Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงาน 1

โครงงาน 1

Published by Watthana Phrommachan, 2021-07-15 03:05:56

Description: วิชาโครงงานเป็นวิชาที่ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับการบูรณาการความรู้และทักษะในระดับเทคนิคที่สอดคล้องกับสาขาวิชาชีพที่ศึกษาเพื่อสร้างและหรือพัฒนางานด้วยกระบวนการทดลอง สำรวจ ประดิษฐ์คิดค้น หรือการปฏิบัติงาน เชิงระบบ การเลือกหัวข้อโครงงาน การศึกษาค้นคว้าข้อมูลและเอกสารอ้างอิง การเขียนโครงงาน การดำเนินงานโครงงาน การเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์และแปลผล การสรุปจัดทำรายงาน การนำเสนอ ผลงานโครงงาน โดยดำเนินการเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มตามลักษณะของงานให้แล้วเสร็จในระยะเวลาที่กำหนด

Search

Read the Text Version

วท. หาดใหญ่อาํ นวยวทิ ย์ อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา โครงงาน 1 HATYAI AMNUAYWIT TECHNOLOGICAL COLLEGE TEL. 074253231-2

ความหมายของโครงงาน โครงงาน หมายถงึ กจิ กรรมทเ่ีปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นได้ศกึ ษาค้นคว้าและลงมอื ปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง ตามความสามารถ ความถนดั และความสนใจ โดยอาศยั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื กระบวนการ อน่ื ใดไปใชใ้ นการศกึ ษาหาคาตอบในเรอ่ื งนนั้ ๆ โดยมคี รูผูส้ อนคอยกระตุ้นแนะนาและใหค้ าปรกึ ษาแก่ผูเ้ รยี น อย่างใกล้ชดิ ตง้ั แต่การเลอื กหวั ข้อทจ่ี ะศกึ ษา ค้นคว้า ดาเนนิ การ วางแผน กาหนดขนั้ ตอนการ ดาเนนิ งาน โดยทว่ั ๆ ไป การทาโครงงานสามารถทาได้ทุกระดบั การศกึ ษา ซงึ่ อาจทาเป็นรายบุคคลหรอื เป็นกลุ่มกไ็ ด้ ทงั้ น้ขี ้นึ อยู่กบั ลกั ษณะของโครงงาน อาจเป็นโครงงานเลก็ ๆ ทไ่ี ม่ยุ่งยากซบั ซ้อนหรอื เป็น โครงงานใหญ่ทม่ี คี วามยากและซบั ซ้อนขน้ึ กไ็ด้ ลักษณะของโครงงาน โครงงาน (Project) คอื ภาระงาน ชน้ิ งาน หรอื กจิ กรรมอสิ ระทผี่ ูท้ าโครงงานเลอื กศกึ ษาหรอื ดาเนนิ การตามความสนใจ โดยอาศยั ความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ เพอื่ วดั ความรู้ความสารถของ ตนเอง จนทาให้เกดิ ประโยชน์ในการคดิ ค้นและพฒั นาผู้ทาโครงงาน พฒั นาภาระงาน ช้นิ งาน หรือ กจิ กรรมอสิ ระทท่ี า ตลอดจนพฒั นาประเทศชาติ จงึ อาจกล่าวได้ว่า โครงงานคอื สง่ิ ทเี่ ชอ่ื มโยงระหว่าง สงิ่ ทผี่ ูท้ าโครงงานได้เรยี นร้กู บั การนาความร้นู น้ั ไปใชง้ านจรงิ ในชวี ติ ประจาวนั

ประเภทของโครงงาน โครงงานสามารถแบง่ ตามลกั ษณะของกจิ กรรมได้ 4 ประเภท ดงั น้ี 1. โครงงานประเภทสารวจ เป็นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เพอ่ื หาสาเหตุของปญั หาหรอื สารวจ ความ คดิ เหน็ โดยใชว้ ธิ สี ารวจและรวบรวมขอ้ มูลแลว้ นาขอ้ มูลทไ่ี ด้มาแก้ไขปรบั ปรุงร่วมกนั เช่น โครงงาน สารวจคาท่ี มกั เขยี นผดิ โครงงานสารวจคาทบั ศพั ท์ในหนงั สอื พมิ พ์ โครงงานสารวจคาคมท้ายรถ เป็นต้น 2. โครงงานประเภททดลอง เป็นการศกึ ษาหาคาตอบของปญั หาใดปญั หาหนงึ่ เพอื่ ศกึ ษา ผลการ ทดลองว่าเป็นไปตามทต่ี ง้ั สมมตฐิ านไว้หรอื ไม่ การทาโครงงานประเภทน้เีรม่ิ จากการตง้ั ปญั หา การออกแบบการทดลองและดาเนนิ การทดลอง เช่น โครงงานการทดลองธูปสมุนไพรไล่ยุง โครงงาน ทดลอง ปลูกพชื โดยไม่ใชด้ นิ โครงงานทดลองปลูกพชื ผกั สวนครวั โดยไมใ่ ชป้ ุ๋ยวทิ ยาศาสตร์ เป็นต้น 3. โครงงานประเภทส่ิงประดิษฐ์ เป็นการศกึ ษาเพอื่ คดิ ค้นหรอื พฒั นาช้นิ งานให้สามารถใช้ ประโยชน์ ได้มากขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพสูงขน้ึ เพอ่ื ใชแ้ กป้ ญั หาหรอื พฒั นาทกั ษะใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์โครงงาน ประเภทน้ี อาจเป็นการประดษิ ฐ์สง่ิ ใหม่ หรอื การปรบั ปรงุ ของเดมิ ทม่ี อี ยู่แลว้ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพสูงขน้ึ กไ็ด้ เช่น โครงงาน การประดษิ ฐ์กระเช้าดอกไม้จากหนงั สอื พมิ พ์ โครงงานประดษิ ฐ์กงั หนั วดิ น้าในแปลงเกษตร เป็นต้น 4. โครงงานประเภททฤษฎี เป็นโครงงานทเี่ สนอทฤษฎหี ลกั การหรอื แนวคดิ ใหม่ๆ ในการ อธิบาย เร่ืองใดเรื่องหนงึ่ อย่างมเี หตุผล โดยผู้จดั ทาได้ตง้ั กตกิ าหรือข้อตกลง อาจใช้กตกิ าหรือ ขอ้ ตกลงเดมิ มาอธบิ ายในแนวใหม่ เช่น การนาความร้อนด้วยคอมพวิ เตอร์ การกาเนดิ ของแผ่นดนิ ไหวใน ประเทศไทย เป็นต้น ประโยชน์ของการทาโครงงาน 1. คดิ เป็น ปฏบิ ตั ไิด้จรงิ และแกป้ ญั หาจากเรอ่ื งทสี่ นใจโดยฝึ กใหค้ ้นควา้ หาความร้ดู ้วยตนเองได้ 2. มสี ่วนร่วมในการเลอื กและกาหนดวธิ กี ารเรยี นร้ซู งึ่ จะช่วยเพม่ิ แรงจูงใจใหน้ กั เรยี น 3. เกดิ การบูรณาการระหว่างความรู้ทน่ี กั เรยี นมอี ยู่ในตวั กบั ทกั ษะทไี่ด้รบั การฝึ กฝนและสะสมอยู่ใน ตวั นกั เรยี น 4. เป็นการส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นได้คดิ อยา่ งอสิ ระ มกี ารพฒั นาความคดิ รเิรม่ิ สร้างสรรค์ 5. ได้สารวจตนเองและความเชอ่ื มนั่ ในทกั ษะต่างๆ ทถี่ นดั เพอื่ พฒั นาเป็นทกั ษะชวี ติ ต่อไป

รายละเอียดโครงสร้างของโครงงาน 1. ส่วนนา 1.1 ปกหนา้ ประกอบด้วย ชอ่ื เรอื่ ง ผูท้ าโครงงาน อาจารยท์ ปี่ รกึ ษา 1.2 บทคดั ย่อ มกั เขยี นสน้ั ๆ โดยมจี ุดมุ่งหมายให้ผูอ้ ่านได้อ่านเนอ้ื เรอ่ื งย่อๆ ก่อนการ อ่านผลการศกึ ษาทงั้ ฉบบั 1.3 สารบญั (รวมถงึ สารบญั ตารางและสารบญั ภาพ (ถา้ ม)ี ) 1.4 กติ ตกิ รรมประกาศ การขอบคุณบุคคลหรอื หน่วยงานทใ่ีหค้ วามช่วยเหลอื หรอื มสี ่วนเกย่ี วขอ้ ง 2. ส่วนเน้อื หา โดยทวั่ ไปแบ่งออกเป็น 5 บท ดงั น้ี บทที่ 1 : บทนา ประกอบด้วยหลกั การและเหตุผล วตั ถุประสงค์ขอบเขต สมมตฐิ าน ประโยชน์ บทท่ี 2 : เอกสารทเ่ีกย่ี วขอ้ ง เป็นเอกสารขอ้ มูลทช่ี ่วยให้เหน็ ภาพของ ปญั หาได้เด่นชดั ยงิ่ ขน้ึ ในการเขยี นควรเลอื กเฉพาะเรอื่ งทสี่ าคญั และมคี วามสมั พนั ธ์กบั ปญั หา บทท่ี 3 : วธิ ดี าเนนิ งาน อาจเขยี นเป็นตาราง แผนผงั โครงงานเพอ่ื ให้ ดาเนนิ งานเป็นไป ตามหวั ขอ้ เรอื่ ง ตรงตามวตั ถุประสงค์ บทท่ี 4 : วเิคราะห์ขอ้ มูล โดยนาขอ้ มูลทไี่ด้มาจดั หมวดหมู่ จาแนกแยกแยะ ตาม วตั ถุประสงค์ของโครงงานนนั้ ๆ บทที่ 5 : สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ เป็นการอภปิ รายคาตอบทไ่ีด้จากการศกึ ษา ค้นคว้า ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ทศี่ กึ ษา รวมทง้ั ให้เสนอแนะ เพอื่ การศกึ ษาโครงงานอนื่ ๆ ทเี่กยี่ วขอ้ งกบั เรอ่ื งทศ่ี กึ ษาต่อไป 3. ส่วนท้าย 3.1 บรรณานุกรม เป็นเอกสารทใ่ี ช้ค้นคว้าเกยี่ วข้องกบั ปญั หาทตี่ ้องการศกึ ษามหี ลาย ประเภท เช่น หนงั สอื ตารา บทความ โดยเอกสารทนี่ ามาอ้างองิ ควรบอก 3.2 ภาคผนวก เป็นส่วนทที่ าใหข้ อ้ มูลมรี ายละเอยี ดมากขน้ึ เช่น ภาพกกิ รรม แบบสอบถาม บทสมั ภาษณ์ เป็นต้น การเขยี นเรียงรายงานโครงงานต้องใช้ความรอบคอบและความละเอยี ด เมอ่ื เขยี นรายงาน โครงงานเสร็จแล้วจงึ มกี ารทบทวนสงิ่ ทเ่ี ขยี น อาจทบทวนด้วยตนเองหรอื ผู้อน่ื แล้วนาข้อเสนอแนะมา ปรบั ปรุง แกไ้ ขเพอื่ ใหผ้ ลงานทอี่ อกมานน้ั มคี ุณค่า การทาโครงงานสามารถทาได้ทุกระดบั การศกึ ษา ซงึ่ อาจทาเป็นรายบุคคลหรอื เป็นกลุ่มกไ็ด้ ทง้ั น้ี ขน้ึ อยู่กบั ลกั ษณ์ของโครงงาน อาจเป็นโครงงานเลก็ ๆ ทไี่ม่ยุ่งยากซบั ซ้อนเป็นการเรม่ิ ต้นเพอื่ เป็นพน้ื ฐาน สาคญั ในการทาโครงงานทดี่ ตี ่อไป

โครงสร้างของโครงงาน การเขยี นโครงงานจะต้องร้แู ละเขา้ ใจโครงสร้างของโครงงานเสยี ก่อนว่าประกอบไปด้วยส่วนใดบา้ ง ซง่ึ โดยทวั่ ไปโครงสร้างของโครงการประกอบด้วย 1. ชอ่ื โครงงาน ส่วนใหญ่มาจากงานทตี่ ้องการปฏบิ ตั ิ โดยจะต้องมคี วามชดั เจนเหมาะสม เฉพาะเจาะจง กะทดั รดั และสอื่ ความหมายได้อย่างชดั เจน 2. หลกั การและเหตุผล เป็นการกล่าวถงึ ปญั หาและสาเหตุและความจาเป็นทต่ี ้องมกี ารจดั ทา โครงงาน โดยผูเ้ ขยี น โครงงานจะต้องพยายามพรรณนาความ โดยหาเหตุผล หลกั การ ทฤษฎี แนวทาง ตลอดจนความต้องการในการพฒั นาทง้ั นเ้ีพอื่ แสดงขอ้ มูลทมี่ นี ้าหนกั น่าเชอื่ ถอื และให้เหน็ ความสาคญั ของ สถานการณ์ทเ่ีกดิ ขน้ึ 3. วตั ถุประสงค์ เป็นการระบุถงึ เจตจานงในการดาเนนิ งานของโครงงาน โดยแสดงให้เหน็ ถงึ ผล ทต่ี ้องการจะบรรลุไว้อย่างกว้างๆมลี กั ษณะเป็นนามธรรม แต่ชดั เจนและไม่คลุมเครอื โดยโครงงานหนงึ่ ๆ อาจมวี ตั ถุประสงค์มากกว่า 1 ขอ้ กไ็ด้ 4. เป้าหมาย หมายถงึ ระบุถงึ ผลลพั ธ์สุดท้ายทค่ี าดว่าจะได้จากการดาเนนิ โครงงาน โดยจะระบุทงั้ ผลทเี่ ป็นเชงิ ปรมิ าณและผลเชงิ คุณภาพ เป้าหมายจงึ คล้ายกบั วตั ถุประสงค์แต่มลี กั ษณะเฉพาะเจาะจง มากกว่า 5. วธิ กี ารดาเนนิ งาน เป็นการให้รายละเอยี ดในการปฏบิ ตั ิ โดยปกตจิ ะแยกเป็นกจิ กรรมย่อยๆ หลายกจิ กรรม แต่เป็นกจิ กรรมเด่นๆ ซง่ึ จะแสดงใหเ้ หน็ ความเด่นชดั ตง้ั แต่กจิ กรรมเรม่ิ ต้นจนถงึ กจิ กรรม สุดทา้ ยว่ามกี จิ กรรมใดทต่ี ้องทาบา้ ง 6. ผูร้ บั ผดิ ชอบโครงการ เป็นการระบุว่าใครหรอื หน่วยงานใดเป็นผู้รบั ผดิ ชอบและมขี อบเขต ความรบั ผดิ ชอบ 7. งบประมาณ เป็นการระบุค่าใชจ้ ่ายทตี่ ้องใชใ้ นการดาเนนิ กจิ กรรมขน้ั ต่างๆ โดยทว่ั ไปจะแจกแจง เป็นหมวดยอ่ ยๆ เช่น หมวดค่าวสั ดุ หมวดค่าใชส้ อย หมวดค่าตอบแทน หมวดค่าครุภณั ฑ์ ซงึ่ การแจก แจงงบประมาณจะมปี ระโยชน์ในการตรวจสอบความเป็นไปได้และตรวจสอบความเหมาะสมในสถานการณ์ ต่างๆ 8. สถานทดี่ าเนนิ การ เป็นการระบุสถานทต่ี ง้ั ของโครงการหรือระบุว่ากจิ กรรมนน้ั จะทา ณ สถานทแี่ ห่งใด 9. ระยะเวลาในการดาเนนิ การ เป็นการระบุระยะเวลาเรม่ิ ต้นโครงการและระยะเวลาส้นิ สุดโครงงาน โดยจะต้อง ระบุ วนั เดอื น ปี 10. ผลประโยชน์ทคี่ าดว่าจะได้รบั เป็นการระบุถงึ ผลทค่ี าดว่าจะได้รบั จากการดาเนนิ โครงงาน ประกอบด้วยผลทางตรงและผลทางอ้อม นอกจากนนั้ ต้องระบุด้วยว่าใครจะได้รบั ประโยชน์จากโครงการ บา้ ง ได้รบั ประโยชน์อย่างใด ระบุทงั้ เชงิ ปรมิ าณ และเชงิ คุณภาพ 11. การประเมนิ ผลโครงงาน เป็นการแสดงรายละเอยี ดว่าจะมวี ธิ ีการควบคุมตดิ ตามและ ประเมนิ ผลโครงงานอย่างไร ใชเ้ ครอื่ งมอื อะไรในการประเมนิ ผล

เคร่ืองมอื เก็บรวบรวมข้อมลู เครอื่ งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทนี่ ยิ มใชก้ นั ทว่ั ไป มี 4 อยา่ ง คอื 1. การใชแ้ บบสอบถาม 2. การสมั ภาษณ์ 3. การสงั เกต 4. การใชแ้ บบทดสอบ 1. การใช้แบบสอบถาม แบบสอบถามเป็นเครอ่ื งมอื ทนี่ ยิ มใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เพราะประหยดั งบประมาณ เวลา และ เหมาะสมกบั การเกบ็ ขอ้ มูลทอี่ ยู่ในลกั ษณะกระจาย และเป็นจานวนมากๆ แบบสอบถาม จาแนกได้ 2 ชนดิ คอื 1. แบบสอบถามปลายเปิด เป็นแบบสอบถามทกี่ าหนดคาถามแลว้ ไม่มคี าตอบให้เลอื ก ผูต้ อบ สามารถเขยี นตอบตามความต้องการ เช่น ขอ้ คดิ เหน็ เพม่ิ เตมิ ทมี่ ตี ่อการเขา้ รบั การฝึ กอบรม หวั ขอ้ วชิ าท่ี ต้องการใหเ้ พม่ิ ลงไปในหลกั สูตร เป็นต้น 2. แบบสอบถามปลายปิด เป็นแบบสอบถามทก่ี าหนดคาถาม และมคี าตอบใหเ้ ลอื ก เช่น เพศ ( ) ชาย ( ) หญงิ อายุ ( ) 20 - 30 ปี ( ) 30 - 40 ปี ( ) 41 ปีขน้ึ ไป ขั้นตอนในการสรา้ งแบบสอบถาม 1. กาหนดวตั ถุประสงค์ของแบบสอบถาม 2. กาหนดประเดน็ หลกั ของเนอ้ื หา 3. แจกแจงประเดน็ หลกั ประเดน็ ยอ่ ย 4. กาหนดจานวน และประเภทของขอ้ คาถาม 5. ตรวจสอบความสอดคลอ้ งของขอ้ คาถามกบั ประเดน็ ยอ่ ย ประเดน็ หลกั 6. ทดลองใช้ แกไ้ ข จดั พมิ พ์ 2. การสัมภาษณ์ การสมั ภาษณ์ คอื การสอื่ สารระหว่างบุคคลซง่ึ แตกต่างจากการสนทนาโดยทวั่ ๆ ไป เพราะ การสมั ภาษณ์จะต้องมจี ุดมุ่งหมาย ต้องเตรยี มคาถามและตดิ ต่อกบั ผูใ้ ห้สมั ภาษณ์ โดยมกี าหนดเวลาที่ แนน่ อน

รปู แบบการสัมภาษณ์ รปู แบบการสมั ภาษณ์แบ่งออกเป็น 2 แบบคอื 1. การสมั ภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ เป็นการสมั ภาษณ์ความคดิ เหน็ ทวั่ ๆไป เกยี่ วกบั เรอ่ื งราว ต่างๆ การสมั ภาษณ์แบบนไ้ีม่ต้องเตรยี มการมากนกั เพยี งแต่เตรยี มจุดประสงค์ของการสมั ภาษณ์และ คาถามไวล้ ว่ งหนา้ เท่านน้ั 2. การสมั ภาษณ์แบบเป็นทางการ การสมั ภาษณ์แบบน้มี หี ลกั เกณฑ์มากกว่าแบบแรก คอื ผูส้ มั ภาษณ์จะต้องเตรยี มสถานทนี่ ดั วนั เวลา ไปพบ หรอื เชญิ ผูใ้ หส้ มั ภาษณ์ทราบลว่ งหนา้ ข้อดีของการสัมภาษณ์ 1. ใช้ได้กบั คนทุกเพศ ทุกวยั แม้ผูท้ อ่ี ่านหนงั สอื ไม่ออก หรอื เขยี นไม่ได้กส็ ามารถให้ ขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณ์ได้ 2. การสมั ภาษณ์เป็นการสร้างความเป็นกนั เองกบั ผูส้ มั ภาษณ์โดยตรง 3. ผูถ้ ูกสมั ภาษณ์สามารถซกั ถามคาถามใหเ้ ขา้ ใจก่อนทจ่ี ะตอบได้ 4. ขอ้ มูลทไี่ด้มคี วามเชอ่ื ถอื ได้มากกว่าแบบสอบถาม 5. ผูถ้ ูกสมั ภาษณ์มโีอกาสแสดงความคดิ เหน็ และซกั ถามเมอื่ ไม่เขา้ ใจได้ 6. ผูส้ มั ภาษณ์สามารถอ่านความร้สู กึ นกึ คดิ ของผูใ้ หส้ มั ภาษณ์ในเรอ่ื งต่างๆ ได้ 3. การสังเกต การสงั เกต หมายถงึ การเฝ้ าดูพฤตกิ รรมในสถานการณ์ทเ่ีป็นจรงิ อย่างมจี ุดมุ่งหมาย โดยไม่ให้ ผูถ้ ูกสงั เกตร้ตู วั การสงั เกตแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คอื 3.1 การสงั เกตอย่างมแี บบแผน หมายถงึ การสงั เกตทมี่ กี ารเตรียมการล่วงหน้า มกี าร วางแผน มกี าหนดเวลา สถานการณ์ สถานที่ พฤตกิ รรมและบุคคลทจ่ี ะสงั เกต ไว้เรยี บร้อยเมอ่ื ถงึ เวลาที่ นกั จติ วทิ ยาวางแผนกจ็ ะเริ่มทาการสงั เกตพฤติกรรมตามทก่ี าหนดและผู้สงั เกตพฤตกิ รรมจะจด พฤตกิ รรมทุกอยา่ งในช่วงเวลานนั้ อย่างตรงไปตรงมา 3.2 การสงั เกตอย่างไม่มแี บบแผน หมายถงึ การสงั เกตโดยไม่ต้องมกี ารเตรยี มการล่วงหน้า หรอื วางแผนลว่ งหนา้ แต่สงั เกตตามความสะดวกของผูส้ งั เกตคอื จะสงั เกตช่วงเวลาใดกไ็ด้แลว้ ทาการจด บนั ทกึ พฤตกิ รรมทต่ี นเหน็ อย่างตรงไปตรงมา การสงั เกตช่วยใหไ้ ด้ขอ้ มูลละเอยี ดชดั เจนและตรงไปตรงมา เช่น การสงั เกต อารมณ์ ความรู้สกึ ของบุคคลต่อสถานการณ์ต่างๆจะทาใหเ้ หน็ พฤตกิ รรมได้ชดั เจนกว่าการเกบ็ ขอ้ มูลด้วยวธิ กี ารอนื่ ๆแต่การ สงั เกตทด่ี มี คี ุณภาพ มสี ่วนประกอบหลายอย่าง เช่น ผูส้ งั เกตจะต้องมใีจเป็นกลางไม่อคตหิ รอื ลาเอยี ง อย่างหนงึ่ อย่างใด และสงั เกตได้ทวั่ ถงึ ครอบคลุมสงั เกตหลายๆสถานการณ์หลายๆหรือหลายๆ พฤตกิ รรมและใช้เวลาในการสงั เกต ตลอดจนการจดบนั ทกึ การสงั เกตอย่างตรงไปตรงมาและแยกการ บนั ทกึ พฤตกิ รรมจากการตคี วามไม่ปะปนกนั กจ็ ะทาให้การสงั เกตได้ขอ้ มูลตรงตามความเป็นจรงิ และ นามาใชป้ ระโยชน์ตามจุดมุ่งหมาย

4. การใช้แบบทดสอบ แบบทดสอบเป็นเครอื่ งมอื ประเภทหนง่ึ ของนกั แนะแนวในการเกบ็ ขอ้ มูล เพอ่ื ทาความรู้จกั นกั เรยี นใน ด้านต่างๆ เป็นต้นว่า ข้อมูลทเี่ กย่ี วกบั สตปิ ญั ญา สมั ฤทธิผลในการเรียน ความถนดั ความสนใจ บุคลกิ ภาพ การใชแ้ บบทดสอบนอกจากจะทาให้นกั แนะแนวได้ทาความเขา้ ใจนกั เรยี นแลว้ ยงั มวี ตั ถุประสงค์ เพอื่ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจตนเองด้วย เพอ่ื ทนี่ กั แนะแนวและนกั เรยี นจะได้ช่วยกนั วางแผนในการตดั สนิ ใจศกึ ษาต่อ และประกอบอาชพี หรอื เป็นเครอ่ื งใหน้ กั แนะแนววนิ จิ ฉยั ปญั หาการปรบั ตวั ของนกั เรยี น ประเภทของแบบทดสอบ จาแนกตามลกั ษณะต่างๆ ดงั น้ี 1. กระบวนการในการสร้าง 2. จุดมุ่งหมายในการใชป้ ระโยชน์ 3. รปู แบบคาถามและวธิ กี ารตอบ 4. ลกั ษณะการตอบ 5. เวลาทกี่ าหนดใหต้ อบ การสร้างและคุณภาพของแบบทดสอบ ขน้ั ตอนการสร้างและพฒั นาแบบวดั ความรู้ แบ่งเป็น 6 ขน้ั ตอน 1. กาหนดเนอ้ื หาและพฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั 2. เลอื กชนดิ และรปู แบบคาถาม 3. เขยี น (ร่าง) ขอ้ คาถาม 4. จดั เรยี งทาและทารูปเลม่ 5. ตรวจ ปรบั ปรงุ แกไ้ ข 6. ตรวจสอบคุณภาพ

การประเมนิ ผลข้อมลู การประเมนิ ผลขอ้ มูล หมายถงึ การรวบรวมขอ้ มูลทเ่ี กยี่ วกบั ผลของการดาเนนิ งาน เพอ่ื นามา เปรยี บเทยี บกบั วตั ถุประสงค์ทต่ี ง้ั ไว้ว่าได้ผลตามทกี่ าหนดไว้เพยี งใด มบี ทบาทความสาคญั ในการให้ขอ้ มูล ด้านความคบื หน้า ช้ปี ญั หา และข้อขดั ข้องด้านประสทิ ธิภาพ ประสทิ ธิผล และผลกระทบทเ่ี กดิ จาก การดาเนนิ งานโครงงาน เพอ่ื นาขอ้ มูลไปใชป้ ระโยชนใ์ นด้านการจดั การ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ การจดั การหรอื การบรหิ ารโครงงาน บทบาททก่ี ล่าวนจ้ี ะให้ประโยชน์แก่ฝ่ ายบรหิ ารได้ดหี ากได้รบั การสนบั สนุนให้มรี ะบบ การตดิ ตามและประเมนิ ผลขน้ึ ในองค์กรเพราะการประเมนิ ผลเป็นส่วนหนงึ่ ของกระบวนการด้านการจดั การ แนวทางในการประเมินผล การประเมนิ ผลโครงการ มขี น้ั ตอนทจี่ ะต้องปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี 1. การศึกษาและวิเคราะห์โครงงาน เพอื่ ทาความเขา้ ใจโครงการอย่างน้อยในด้านต่างๆ ดงั น้ี 1. สถานการณ์ทว่ั ไป 2. วตั ถุประสงค์เป้าหมายของโครงงาน 3. แผนการปฏบิ ตั กิ ารงาน นอกจากน้ยี งั ขน้ึ อยู่กบั ความต้องการของผูป้ ระเมนิ โครงงานทตี่ ้องการจะรู้ขอ้ มูลอะไรเพมิ่ เตมิ โดยอาจศกึ ษาได้จากเอกสารโครงงาน การพูดคุยกบั เจา้ หนา้ ทโ่ีครงงาน รวมทง้ั การออกไปดูการดาเนนิ โครงงานในพน้ื ที่ 2. วัตถปุ ระสงค์ในการประเมินผล โดยทวั่ ไปจะเป็นผลทสี่ บื เนอื่ งมาจากความต้องการของ ผูป้ ระเมนิ ผลรวม 2 นยั คอื 1. โครงงานมคี วามก้าวหน้าตามแผนทกี่ าหนดไว้หรือไม่ มปี ญั หาและอุปสรรคในการ ดาเนนิ งานเพยี งใด และมแี นวทางแกไ้ ขอย่างไร 2. เมอ่ื โครงงานส้นิ สุดลงแลว้ โครงงานประสบผลสาเรจ็ หรอื ไม่ เพยี งใด และโครงงาน สมควรกระทาต่อเนอ่ื งหรอื ไม่ 3. ข้อมลู ที่จะต้องรวบรวม ต้องกาหนดว่าจะใชข้ อ้ มูลอะไรบา้ ง ทน่ี ามาวเิ คราะห์แลว้ สามารถ ตอบ อธบิ ายหรอื ช้แี จงวตั ถุประสงค์ในการประเมนิ ผลนนั้ ได้ การพจิ ารณาขอ้ มูลทต่ี ้องการรวบรวมนนั้ ควรแยกพจิ ารณาไปตามวตั ถุประสงค์ในการประเมนิ ผลแต่ละขอ้ วธิ กี ารทผ่ี ูเ้ ขยี นนยิ มใช้ในการกาหนด ขอ้ มูลทจี่ ะต้องรวบรวม คอื การใช้ตวั ชว้ี ดั (Indicators) มาช่วย เช่น เราต้องการประเมนิ ผลในส่วน ผลกระทบระยะสน้ั (Effect) ของโครงงาน ในเรอื่ งเพมิ่ ผลผลติ ข้าวต่อไร่ ตวั ช้วี ดั ในเรอ่ื งน้กี ค็ อื ผลผลติ เฉลยี่ (กก./ไร่) เพมิ่ ขน้ึ ซง่ึ ในการนเ้ีราจะต้องเกบ็ ขอ้ มูล ผลผลติ เฉลย่ี 2 ขอ้ มูลมาเปรยี บเทยี บ กนั คอื ผลผลติ เฉลย่ี ก่อนโครงงานกบั ผลผลติ เฉลย่ี หลงั โครงงาน หรือผลผลติ เฉลย่ี ของกลุ่ม ในโครงงานกบั ผลผลติ เฉลยี่ ของกลุม่ นอกโครงงาน

4. แหล่งของข้อมลู และการสารวจข้อมลู ด้วยกล่มุ ตัวอย่าง พจิ ารณาว่าขอ้ มูลเหลา่ นนั้ สามารถหาได้จากใครหรอื จากทไ่ีหน จะใช้ขอ้ มูลปฐมภูมิ หรอื ขอ้ มูลทุตยิ ภูมิ ซง่ึ ขอ้ มูลปฐมภูมิ (Primary Data) คอื ขอ้ มูลทเี่กบ็ รวบรวมชนั้ ต้นหรอื ชน้ั แรกด้วยตนเอง หรอื จากบุคคลใดบุคคลหนงึ่ เช่นขอ้ มูลที่ ได้จากการสมั ภาษณ์ ส่วนขอ้ มูลทุตยิ ภูมิ (Secondary Data) คอื ขอ้ มูลทผี่ ูใ้ ดผูห้ นง่ึ หรอื กลุ่มใดกลุ่ม หนง่ึ ได้ทาการรวบรวมและเรยี บเรยี งไวเ้ รยี บร้อยแลว้ เช่น ขอ้ มูลทไี่ด้จากรายงานต่างๆ 5. เครือ่ งมือและวิธีการเก็บรวบรวมข้อมลู จะต้องกาหนดว่าจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเหล่านน้ั ด้วยเครอ่ื งมอื ชนดิ ใด และใชว้ ธิ ใี ดในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การทจี่ ะใชเ้ ครอ่ื งมอื หรอื วธิ กี ารใดนน้ั จะต้อง เลอื กใช้ให้เหมาะสมกบั ข้อมูลทจ่ี ะรวบรวม และบุคคลทจ่ี ะเป็นผู้ให้ข้อมูล ซงึ่ เคร่อื งมอื ทเ่ี ป็นทนี่ ยิ มใช้กนั แพร่หลาย ได้แก่ แบบสอบถาม การสมั ภาษณ์ และการสงั เกตการณ์ 6. การเก็บรวบรวมข้อมลู เป็นขน้ั ตอนสาคญั ทสี่ ุดทจ่ี ะทาให้ได้ข้อมูล เพอื่ นามาใช้ในการ วเิคราะห์และแปลความ ผูท้ ที่ าการรวบรวมขอ้ มูลจะต้องทาการรวบรวมขอ้ มูลให้ได้ตามทก่ี าหนด และขอ้ มูล ทไี่ด้จะต้องมคี วามถูกต้องและน่าเชอ่ื ถอื การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลนนั้ มเีทคนคิ แตกต่างกนั ออกไปตามชนดิ ของเครอื่ งมอื และวธิ กี ารใชเ้ ครอ่ื งมอื นน้ั ๆ การสมั ภาษณ์ เป็นต้น 7. การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมลู ขอ้ มูลทไี่ด้ยงั ไม่อยู่ในรูปทจี่ ะนามาใช้ประโยชน์ได้ โดยตรง ต้องนาขอ้ มูลเหลา่ นน้ั มาทาการตรวจสอบ เรยี บเรยี งหรอื ประมวล และทาการวเิคราะห์เสยี ก่อนจงึ จะได้ขอ้ มูลทสี่ ามารถอ่านได้งา่ ย เพอ่ื ทจ่ี ะได้แปลความและนาเสนอต่อไป 8. การแปลความและการรายงาน การแปลความเป็นการนาขอ้ มูลทไ่ีด้จากการประมวลผล และการวเิคราะห์มาอธบิ าย ใหค้ วามหมายและชแ้ี นะ หรอื ตง้ั ขอ้ สงั เกตในประเดน็ ต่างๆ โดยแสดงใหท้ ราบถงึ ข้อเทจ็ จริงตามตวั เลขทไี่ ด้รบั และทาให้ออกมาเป็นภาษาสามญั ทบ่ี ุคคลทวั่ ไปสามารถเข้าใจได้ตรงกนั จุดสาคญั ของการแปลความกค็ อื จะต้องตอบ อธิบายหรือช้แี จงวตั ถุประสงค์ของการประเมนิ ผล ได้ชดั เจนและครบถว้ น จากนนั้ นามาจดั ทาเป็นรายงานซงึ่ ในการเขยี นรายงานนนั้ ผูเ้ ขยี นจะต้องคานงึ ถงึ 1. ผูอ้ ่านว่าเป็นใคร มพี น้ื ความร้ใู นเรอื่ งทที่ าการประเมนิ ผลแค่ไหน 2. การนาผลของการประเมนิ ไปใชป้ ระโยชน์ 3. รปู แบบการรายงาน เช่น จดั ทารายงานแบบยอ่ แบบละเอยี ด หรอื รูปแบบอน่ื ๆ นอกจากนก้ี าร เขยี นรายงานผูเ้ ขยี นต้องพยายามเขยี นใหไ้ ด้ความชดั เจน กะทดั รดั มคี วามสมบูรณ์ ถูกต้อง และทสี่ าคญั คอื ต้องซอ่ื ตรง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook