Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานวิจัยในชั้นเรียนกิตติศักดิ์ สุขปลั่ง

รายงานวิจัยในชั้นเรียนกิตติศักดิ์ สุขปลั่ง

Published by Rattanawadee kamtongtab, 2021-06-22 14:07:43

Description: รายงานวิจัยในชั้นเรียนกิตติศักดิ์ สุขปลั่ง

Search

Read the Text Version

1 บทที่ 1 บทนำ ควำมเป็นมำและควำมสำคญั การจัดการศึกษาในระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ เปน็ การจัดการศึกษาเพ่ือผลิตกาลังคนทั้งในระดับ ก่งึ ฝมี อื ระดับฝมี ือ ระดับเทคนิค และระดับเทคโนโลยีในทกุ สาขาวชิ าชีพอย่างมีคุณภาพและมาตรฐานเพื่อให้มี ความสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม และความก้าวหน้า ทางด้านเทคโนโลยี สามารถสนองความต้องการของตลาดแรงงานและการประกอบอาชีพอสิ ระได้ โดยเนน้ การแก้ปัญหา สร้างองค์ ความรู้ในอาชีพ มีบุคลิกภาพ คุณธรรมและเจตคติที่ดี สาหรับการจัดการศึกษาในแผนกช่างไฟฟ้ากาลัง วิทยาลัยสารพัดช่างตราดนั้น แต่ละรายวิชาจะมุ่งเน้นให้นักเรียนสามารถปฏิบัติงานได้จริงในฐานะช่างเทคนิค และเพ่อื ตรงกบั ความตอ้ งการของตลาดแรงาน การจดั การเรียนการ สอนจงึ จาเปน็ ตอ้ งเนน้ หนกั ในส่วนของการ ลงมือปฏิบัติงาน ในการจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) โดยหลักสูตร กาหนดให้นักเรียนนักศึกษา ระดบั ชนั้ ปวช.1 กลุ่ม1 เรียนวิชางานซอ่ มเครอ่ื งใช้ไฟฟ้าในภาคเรียนท่ี 2 จากการ สอนท่ผี ่านมานกั เรียนระดับ ปวช.1 ไมเ่ ข้าใจในการการใช้งานมลั ติมิเตอรแ์ บบเข็มอยา่ งถกู ต้อง ทาใหเ้ กดิ ความ เสียหายแก่ตัวมัลติมิเตอร์ และนักเรียนขาดทักษะในการใช้มัลติมิเตอร์อย่างถูกต้อง ส่งผลให้นักเรียนไม่กล้าใช้ งานมัลติมิเตอร์ในการวัดวงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ดังน้ัน เพ่ือให้นักเรียน ได้มีความรู้ ความเข้าใจ เกิด ทักษะ ความชานาญในเรื่องการใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเข็ม และสามารถประเมินผลผ่านเกณฑ์ท่ีกาหนดไว้ ผ้วู จิ ัยจึงให้นกั เรียนได้ศึกษาทาความเข้าใจเรื่อง การใช้งานมัลติมเิ ตอร์แบบเขม็ โดยการสาธิต

2 วตั ถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเข็ม โดยการสอนแบบสาธิต วิชา งานซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ของนักเรียนนักศึกษา ปวช.1 แผนกช่างไฟฟ้ากาลัง วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ จานวน 21 คน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนนักศึกษาทุกคนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณท่ีกาหนด ร้อยละ 80 ควำมสำคญั ของกำรวิจยั 1. ไดพ้ ฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น เครอื่ งมือวดั ไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์ 2. ได้แนวทางในการพัฒนาวธิ กี ารเรียนโดยใช้การสาธิต ตอ่ เนื้อหาและวิชาอ่ืนๆต่อไป 3. เป็นแนวทางในการศกึ ษาคน้ คว้า พฒั นา ปัจจยั ในการเรยี นรไู้ ปประยุกต์ใช้ในการออกแบบกจิ กรรม และสอ่ื รูปแบบอน่ื ๆ ขอบเขตของกำรวิจัย ขอบเขตด้านประชากรและกล่มุ ตัวอย่าง ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรยี นแผนกชา่ งไฟฟ้ากาลัง วทิ ยาลยั การ อาชพี องครกั ษ์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศกึ ษา 2562 กลมุ่ ตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นกั เรยี นระดับประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ปี ท1่ี แผนกชา่ งไฟฟ้ากาลัง วทิ ยาลยั การอาชพี องครกั ษ์ ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2562 จานวน 21 คน ขอบเขตดำ้ นตวั แปร ตัวแปรต้น คือ การเรียนเรื่องการใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็ม โดยการสอนแบบสาธิต วิชางานซ่อม เครอื่ งใช้ไฟฟา้ สาหรบั นักเรียน ปวช.1 แผนกช่างไฟฟา้ กาลงั ตัวแปรตำม คือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการศึกษา เร่ืองการใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเข็มโดยการสอน แบบสาธติ

3 คำนยิ ำมศพั ท์ กำรสำธิต หมำยถึง กระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ท่ี กาหนด โดยการแสดงหรือทาส่ิงท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ให้ผู้เรียนสังเกตดู แล้วให้ผู้เรียนซักถามอภิปราย และสรปุ การเรียนรู้ที่ไดจ้ ากการสังเกตการณ์สาธิต ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน หมายถึง คะแนนสอบของนักเรียน ที่ได้จากการทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง กรใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเข็ม ที่ผู้วิจัยสร้างข้ึน จานวน 30 ข้อ เป็นแบบปรนยั ชนิดเลือกตอบ 5 ตัวเลือก ประโยชนท์ ่ไี ด้รับจำกกำรวิจัย 1. เพื่อเป็นแนวทางให้ครูได้รู้แบบและวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพ ซ่ึงสามารถนามาช่วยในการพัฒนาการ เรียนการสอนวชิ างานซ่อมเครอื่ งใช้ไฟฟ้า 2. เพื่อเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขวิธีสอนวิชางานซ่อมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าและเพ่ือประโยชน์ในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนวิชางานซอ่ มเครอื่ งใช้ไฟฟา้

4 บทที่2 เอกสำรและงำนวิจัยทีเ่ ก่ียวขอ้ ง การวิจัยครั้งน้ี เป็นการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรื่อง การใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็ม โดยการสอน แบบสาธิต วิชาซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ของนักเรียนนักศึกษาระดับ ปวช.1 แผนกช่างไฟฟ้ากาลัง ผู้วิจัยได้ศึกษา ค้นคว้าหลักการ แนวคิดทฤษฎี และงานท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานประกอบการวิจัย โดยแบ่งตามหัวข้อ ตามลาดบั ดงั นี้ 1. หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชพี 2. วธิ ีสอนโดยใชก้ ารสาธติ (Demonstration) 3. หลกั จติ วทิ ยาการเรียนรู้ 4. งานวจิ ัยที่เกีย่ วขอ้ ง หลักสตู รประกำศนยี บตั ร การจัดการเรียนการสอนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช) ประเภทวิชาช่างอุตสาหกรรมใน ปัจจุบันใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี พุทธศักราช2546 ซ่ึงมุ่งพัฒนาข้ึนให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 เพื่อเป็นการผลิตกาลงั คนระดับฝมี ือที่มีความรู้ ความชานาญในทักษะวิชาชพี ใน ทักษะวิชาชีพมีคุณธรรม วินัย เจตคติ บุคลิกภาพและเป็นผู้มีปัญญาที่เหมาะสม สามารถนาไปใช้ในการ ประกอบอาชีพไดต้ รงตามความต้องการของแรงงาน โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ 1. หลักกำรของหลักสูตรประกำศนียบัตรวิชำชีพ พุทธศักรำช 2545 (ปรับปรุง พ.ศ. 2546) การจดั การศึกษาตามหลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ มีหลกั การดังตอ่ ไปนี้ 1.1 เป็นหลักสูตรระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชพี หลังมธั ยมศึกษาตอนต้นเพ่ือพัฒนากาลงั คนระดบั ฝีมอื ให้มีความชานาญเฉพาะด้าน มีคุณธรรม บุคลิกภาพ และเจตคติที่เหมาะสม สามารถประกอบอาชีพได้ ตรง ตามความต้องการของตลาดแรงงานและการประกอบอาชีพอสิ ระสอดคล้องกบั ภาวะเศรษฐกิจและสังคม ทัง้ ใน ระดบั ทอ้ งถน่ิ และระดับชาติ 1.2 เป็นหลักสูตรท่ีเปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้อย่างกว้างขวาง เพื่อเน้นความชานาญเฉพาะด้านด้วย การปฏิบัติจริงสามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน ถ่ายโอนผลการเรียน สะสมผล การเรียน เทียบความรู้และประสบการณ์จากแหล่งวิทยาการ สถานประกอบการและสถานประกอบอาชีพ อสิ ระได้

5 1.3 เป็นหลกั สูตรทส่ี นบั สนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกนั ระหว่างหนว่ ยงาน และองคก์ รที่เก่ียวข้องท้ังภาครฐั และเอกชน 1.4 เป็นหลกั สูตรที่เปดิ โอกาสให้สถานศึกษา ชมุ ชนและท้องถ่นิ มีสว่ นรว่ มในการพัฒนาหลักสูตร ให้ ตรงตามความต้องการและสอดคลอ้ งกับสภาพของชุมชนและท้องถ่นิ

6 2. จุดหมำยหลกั สตู รประกำศนียบตั รวชิ ำชพี พทุ ธศกั รำช 2545 ( ปรบั ปรุง พ.ศ. 2546 ) การจัดการศกึ ษาตามหลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี มีจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้ 2.1 เพือ่ ให้มีความรู้ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพตรงตามมาตรฐานวิชาชีพ นาไป ปฏิบัตงิ าน อาชพี ได้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพสามารถเลอื กวิถกี ารดารงชีวิตและการประกอบอาชีพไดอ้ ย่าง เหมาะสมกบั ตน สร้างสรรคค์ วามเจรญิ ต่อชมุ ชนทอ้ งถนิ่ และประเทศชาติ 2.2 เพ่อื ใหเ้ ปน็ ผ้มู ปี ัญญามคี วามคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ใฝ่เรยี นรเู้ พือ่ พฒั นาคุณภาพชีวติ และการประกอบ อาชีพสามารถสรา้ งอาชพี มีทักษะในการจัดการและพัฒนาอาชีพให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ 3. สำขำวชิ ำไฟฟำ้ มีมำตรฐำนวชิ ำชีพ ดังน้ี 3.1 เพือ่ ให้มคี วามเข้าใจหลักการในงานอาชีพสัมพนั ธ์ทเ่ี ก่ียวข้องกับการพฒั นาวชิ าชีพ ไฟฟ้าและ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ให้ทัน ตอ่ เทคโนโลยีและมีความเจริญกา้ วหน้าในอาชีพ 3.2เพ่ือใหม้ คี วามเข้าใจหลักการและกระบวนการทางานในกลุ่มงานพื้นฐานอตุ สาหกรรมการเขียน แบบเทคนิคการเลือกใช้วสั ดุงานปรับและใช้เครื่องมือกล 3.3 เพอ่ื ให้มีเจตคติท่ีดีต่องานอาชพี มีความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ซ่อื สัตยส์ จุ ริตมีระเบียบวินัยเป็นผู้มี ความรับผิดชอบต่อสงั คม 3.4 เพื่อใหส้ ามารถเขยี นแบบอ่านแบบประมาณการวัสดุงานสรา้ งเคร่อื งอเิ ลก็ ทรอนิกสก์ ารประกอบ ทดลองวงจรอิเล็กทรอนกิ ส์ 3.5 เพ่อื ให้สามารถตรวจสอบหาข้อบกพรอ่ งซ่อมบารุงรกั ษาอุปกรณ์อเิ ล็กทรอนกิ ส์ดว้ ย เครื่องมือวัดทดสอบทาง ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ระบบเสียง ระบบภาพ คอมพิวเตอร์ระบบสื่อสาร โทรคมนาคม และอิเล็กทรอนิกสอ์ ุตสาหกรรม 3.6 เพื่อให้สามารถปฏิบัตงิ านช่างอเิ ล็กทรอนกิ สใ์ นสถานประกอบการและประกอบอาชีพอิสระใช้ ความรูแ้ ละทักษะพืน้ ฐานในการศกึ ษาต่อในระดบั สูงข้ึนได้

7 4. สำขำวิชำไฟฟ้ำและอเิ ล็กทรอนิกสม์ ีมำตรฐำนวิชำชีพ ดงั น้ี 4.1 สือ่ สารแสวงหาความรูเ้ สริมสรา้ งความสัมพันธ์ระหวา่ งภาษากบั เทคนิคในงานอาชีพ 4.2 ใชห้ ลักธรรมทางศาสนาวัฒนธรรม คา่ นยิ ม คณุ ธรรมจริยธรรมทางสังคม ตลอดจนการสรา้ ง เสริม สุขภาพ อนามยั และการปอ้ งกันโรคกับตนเองและครอบครัว 4.3 แก้ปัญหาโดยใชค้ ณติ ศาสตรว์ ทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยีและกระบวนการแกป้ ัญหา 4.4 ดาเนนิ งานจดั การธรุ กิจขนาดย่อมาบริหารงานคุณภาพเพมิ่ ผลผลติ ขององคก์ รสงิ่ แวดล้อมอาชีวอ นามยั และความปลอดภยั ในองค์กรและชมุ ชน 4.5 ใชค้ อมพวิ เตอร์และสารสนเทศเพ่ืองานอาชีพ 4.6 อา่ นแบบ เขียนแบบเทคนคิ และเลือกใช้วสั ดอุ ุตสาหกรรม 4.7 ประกอบทดสอบวงจรและอุปกรณ์ไฟฟ้าอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เบอื้ งตน้ 4.8 เชื่อมโลหะและประกอบขึ้นรูปผลติ ภณั ฑ์โลหะแผ่นเบ้อื งตน้ 4.9 ถอดตรวจสอบและประกอบช้ินสว่ นเคร่อื งยนต์ 4.10 ปรับแปรรปู และข้นึ รูปงานด้วยเครอื่ งมือกล 4.11 เขยี นแบบอ่านแบบในงานระบบเสยี งระบบภาพและงานสอ่ื สารโทรคมนาคม 4.12 ติดตง้ั และทดสอบการทางานของอปุ กรณ์และวงจรในงานระบบเสยี ง ระบบภาพ และงาน สอ่ื สารโทรคมนาคม 4.13 ซ่อมบารุงรักษาระบบเสียง ระบบภาพ และงานส่ือสารโทรคมนาคม 4.14 ซอ่ มบารุงรกั ษาเคร่ืองคอมพวิ เตอรแ์ ละอุปกรณ์ 4.15 ซอ่ มบารุงรักษาอปุ กรณ์ในงานอิเล็กทรอนิกสอ์ ตุ สาหกรรม วธิ สี อนโดยใช้กำรสำธติ (Demonstration) วิธสี อนที่ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรงเห็นสงิ่ ท่ี เรียนรอู้ ยา่ งเป็นรูปธรรมทาให้เกดิ ความเข้าใจและเจตนาในเรือ่ งท่สี าธิตได้ดมี รี ายละเอยี ดดังน้ี 1. ควำมหมำย วิธสี อนโดยใชก้ ารสาธิตคอื กระบวนการท่ีผู้สอนใช้ในการชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรตู้ ามวัตถุประสงค์ ที่กาหนดโดยการแสดงหรือทาส่งิ ทต่ี ้องการให้ผ้เู รยี นได้เรยี นรใู้ ห้ผู้เรยี นสังเกตดแู ล้วให้ ผู้เรียนซกั ถาม อภปิ ราย และสรปุ การเรยี นรู้ที่ได้จากการสังเกตการสาธิต

8 2. วัตถปุ ระสงค์ วธิ สี อนโดยใช้การสาธติ เปน็ วิธกี ารทีม่ งุ่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนทงั้ ช้นั ได้เหน็ การปฏิบตั จิ ริงดว้ ยตนเองทาให้เกิด ความรูค้ วามเข้าใจในเร่ืองหรือการปฏบิ ัติน้นั ชัดเจนข้ึน 3. องคป์ ระกอบสำคญั (ทข่ี ำดไม่ได)้ ของวิธสี อน 3.1 มีเรือ่ งหรือสิ่งที่จะสาธติ 3.2 มีการแสดง / การท า / ใหผ้ ู้เรียนสังเกตดู 3.3 มผี ลการเรียนรขู้ องผเู้ รียนอภิปรายและสรุปการเรียนร้ทู ี่ไดจ้ ากการสาธิต 4. ขั้นตอนสำคัญ (ท่ีขำดไม่ได)้ ของกำรสอน 4.1 ผสู้ อนแสดงการสาธิต ผู้เรยี นสงั เกตการสาธิต 4.2 ผ้สู อนและผ้เู รยี นอภิปรายและสรุปการเรยี นรู้ที่ได้จากการสาธติ 5. เทคนคิ ต่ำงๆในกำรใช้วิธสี อนโดยกำรสำธติ ใหม้ ปี ระสิทธภิ ำพ 5.1 กำรเตรียมกำร ผสู้ อนจาเปน็ ต้องมกี ารเตรยี มตวั พอสมควรเพอ่ื ให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างสะดวกและราบรน่ื การเตรียม ตัวท่ีสาคัญคือผู้สอนควรมีการซ้อมการสาธิตก่อนเพื่อจะได้เห็นปัญหาและเตรียมแก้ไขป้องกันปัญหาที่จะ เกิดข้ึนต่อไปจึงจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์เคร่ืองมือและสถานที่ที่จะใช้ในการสาธิต และจัดวางไว้ อย่างเหมาะสม สะดวกแก่การใช้นอกจากน้ันควรจัดเตรียมแบบสังเกตการสาธิตและเตรียมคาถามหรือประเด็นที่จะให้ผู้เรียน ไดร้ วมคิดและอภปิ รายด้วย 5.2 ก่อนกำรสำธิต ผู้สอนควรให้ความรู้เก่ียวกับเรื่องท่ีสาธิตแก่ผู้เรยี นอย่างเพียงพอท่ีจะทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจส่งิ ที่ สาธติ ได้ดีโดยอาจใชว้ ธิ ีบรรยายหรือเตรียมเอกสารท่ีให้รายละเอียดเก่ียวกับลาดับข้ึน ตอนใหผ้ เู้ รียน หรอื ใช้สื่อ เช่น วีดีทัศน์หรือผู้สอนอาจมอบหมายให้ผู้เรียนไปศึกษาเน้ือหาสาระท่ีจะสาธิตมาล่วงหน้าและควรให้คาแนะ นาแก่ผู้เรียนในการสังเกตหรือจัดทาแบบสังเกตการสาธิตให้ผู้เรียน ใช้ในการสังเกตนอกจากน้ันผู้สอนอาจใช้ เทคนิคการมอบหมายให้ผู้เรียนรายบุคคลสังเกตเป็นพิเศษเฉพาtจุดเฉพาะประเด็น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนต้ังใจ สังเกต และมสี ว่ นร่วมอยา่ งท่ัวถงึ

9 5.3กำรสำธิต ผู้สอนอาจใช้วิธีการบรรยายประกอบการสาธติ การสาธติ ควรเป็นไปอย่างมีลาดับข้ันตอนใชเ้ วลาอยา่ ง เหมาะสมไม่เร็วเกินไปขณะสาธิตอาจใช้แผนภูมิกระดานดาหรือแผ่นใสประกอบและควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ซักถามหรือซักถามผู้เรียน เป็นระยะๆเพ่ือกระตุ้นความคิดและความสนใจของผู้เรียนและในบางกรณีอาจให้ ผู้เรียนบางคนมาช่วยในการสาธิตด้วย เทคนิคการสาธิตอีกเทคนิคหน่ึงคือการใช้การสาธิตเงียบแทนการ บรรยายประกอบการสาธติ และอาจมกี ารสาธติ ช้าหากผู้เรยี นยังไมเ่ กิดความเขา้ ใจชัดเจนนอกจากน้ันผู้สอนอาจ ให้ผู้เรียนเป็นฝ่ายแสดงการสาธิตด้วยก็ได้ในกรณีท่ีการสาธิตมีส่ิงที่อาจเป็นอันตรายได้ผู้สอนจะต้องสอนให้ ผเู้ รียนและระมดั ระวงั ในเรอ่ื งความปลอดภัยและควรเตรียมการป้องกัน และแกไ้ ขปญั หาไวด้ ้วย 5.4 กำรอภปิ รำยสรปุ กำรเรียนรู้ หลังจากการสาธิตแล้วผสู้ อนอาจให้ผู้เรียนรายงานสง่ิ ทไ่ี ด้สังเกตเห็นแลกเปล่ียนกนั เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนซกั ถามผู้สอนควรเตรียมคาถามไว้กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นคิดดว้ ยผู้เรียนอภปิ รายแลกเปล่ียนความรู้ความคิดที่ แตล่ ะคนไดร้ บั จากการสาธิตของผู้สอนและร่วมกันสรุปการเรยี นรู้ทีไ่ ด้รบั 6. ข้อดีและขอ้ จำกดั ของวิธีสอนโดยใช้กำรสำธติ 6.1 ขอ้ ดี 1) เปน็ วิธสี อนทช่ี ่วยให้ผู้เรยี นได้รับประสบการณต์ รงเห็นส่งิ ทเ่ี รียนรู้อย่างเป็นรูปธรรมทาให้เกิดความ เขา้ ใจและจดจาในเร่ืองทีส่ าธิตได้ดแี ละนาน 2) เป็นวิธีสอนท่ีชว่ ยประหยัดเวลาอปุ กรณ์และคา่ ใช้จ่ายหากใช้ทดแทนการทดลอง 3) เปน็ วธิ ีที่สามารถสอนผเู้ รียนไดจ้ านวนมาก 6.2 ขอ้ จำกัด 1) เป็นวิธที ่ผี ้เู รยี นอาจไมส่ งั เกตเห็นการสาธติ อยา่ งชัดเจนทั่วถึงหากเปน็ กลุ่มใหญ่ 2) เป็นวิธีท่ผี ้สู อนเป็นผสู้ าธติ จงึ อาจไม่เห็นพฤติกรรมของผู้เรียน 3) เปน็ วิธที ่ีผู้เรียนอาจมีสว่ นรว่ มไม่ทว่ั ถึงและมากพอ 4) เป็นวิธท๊ ี่ผู้เรียนไมไ่ ด้ลงมือทาเองจงึ อาจไมเ่ กิดความรู้ทีล่ กึ ซง่ึ เพียงพอ กำรวำงแผนโดยใช้วธิ ีกำรสอนแบบสำธติ 1. แนวคดิ เปน็ วิธสี อนที่ใหผ้ ู้เรียนได้รบั ประสบการณ์ใกลเ้ คยี งกับประสบการณต์ รงมากทีส่ ุดซึง่ เป็นการสอนท่ี ผูส้ อนแสดงให้ดหู รือผูเ้ รยี นมีโอกาสไดก้ ระทาด้วยตนเองทาให้การเรยี นบรรลวุ ตั ถุประสงคแ์ ละตรงกบั แนวคดิ ของกรวยประสบการณท์ ี่ เอดกา้ เดล ได้กล่าวไวด้ งั น้ี 2. ลักษณะสำคัญ วธิ สี อนแบบสาธิตเปน็ กจิ กรรมทใ่ี ห้ผู้เรียนรูป้ ระสบการณ์แนวทาง เช่น การฟังการดูการสมั ผสั แตะต้อง ซ่งึ เป็นประสบการณท์ ่ีให้การเรยี นรูค้ ่อนขา้ งสมบูรณ์

10 3. วตั ถปุ ระสงค์ 1. ให้ผ้เู รยี นได้รับรูห้ ลาย ๆ ด้าน เช่น ทางตา หจู มกู ลิน้ และการสมั ผสั 2. มุง่ ให้ผู้เรยี นได้รบั ประสบการณก์ ว้างขน้ึ 3. ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ขา้ ใจลาดบั ขั้นต่าง ๆ และสามารถสรุปผลได้ 4. เป็นกจิ กรรมทสี่ ามารถปฏิบัตไิ ปพร้อมกนั วิธีการสอนวธิ อี ่ืน ๆ ด้วยได้จานวนผเู้ รยี น การสาธติ เป็น การแสดงใหด้ ูการลองทาหรอื ผู้เรียนได้มโี อกาสปฏบิ ัตดิ ังน้ันการจดั กลุ่มผู้เรยี นต้องไมม่ ากเกินไปเชน่ 5-7 คนหรอื น้อยกว่าอย่างไรก็ตามการจัดกลมุ่ ผู้เรยี นจานวนเท่าใดขึ้นอยู่กับจุดมงุ่ หมาย วิธกี าร สาธติ สถานท่หี รืออปุ กรณท์ ใี่ ช้ประกอบการสาธติ 4. ระยะเวลำ ระยะเวลาของการสาธิตขน้ึ อยู่กับจดุ มงุ่ หมายของการจัดเนื้อหาเร่อื งราวท่จี ะสาธิตเปน็ สาคญั หากมี ขนั้ ตอนและเนื้อหามากการสาธติ กต็ ้องใช้เวลานาน หรืออยู่ทว่ี ิธีการสาธิตบางอยา่ งผลของการสาธติ ต้องอาศัย เวลานานจึงจะเห็นผลทีเ่ กิดขึ้น แตก่ ิจกรรมสาธิตบางเรอื่ งสามารถเน้นผลได้ในทนั ที 5. ลักษณะห้องเรยี น การสอนแบบสาธิตอาจจะแบ่งลกั ษณะของห้องเรยี นหรอื สถานทไี่ ด้3 รปู แบบคือ 5.1 การสาธิตในห้องทดลองกระบวนการสาธิตในลักษณะนี้จะต้องอาศัยอุปกรณ์ต่างๆในห้องทดลอง เช่น การสาธิตเร่ืองราวทางวิทยาศาสตร์การผสมสารเคมีซ่ึงต้องใช้ความละเอียดอ่อนและข้ันตอนผู้สาธิตต้องรู้ และเข้าใจกระบวนการสาธิตเป็นอย่างดีเพราะรูปแบบการสาธิตวิธีน้ี บางครั้งหากผิดพลาดอาจจะเกิดเร่ือง เสียหายได้ 5.2 การสาธิตในหอ้ งเรียนรปู แบบการสาธติ วิธีน้อี าจจะเปน็ การสาธติ เร่อื งราวต่างๆของบทเรียนท่ีมี ไม่จาเปน็ ต้องทาในห้องทดลองและบางครงั้ ก็ไมต่ ้องใช้อปุ กรณ์มากมาย เชน่ การสาธิต วิธีการการสาธิตทา่ ยืน เดิน น่ัง การสาธิตทา่ กราบไหว้ทถี่ กู ต้องเป็นตน้ 6.3 การสาธิตนอกห้องเรียนการสาธติ รปู แบบน้ีอาจจะต้องใชส้ ถานท่ีนอกห้องเรียน เช่น สนาม กฬี า หรือในแปลงสาธิตทางการเกษตร เปน็ กิจกรรมทีต่ ้องอาศัยสถานทหี่ รอื บริเวณกวา้ งขวางกว่าห้องเรียน 6. ลักษณะเนอื้ หำ รูปแบบการสอนแบบสาธิตสามารถใช้ได้กับเนื้อหาในทุกวิชาทั้งนีข้ ้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการ สอน และผสู้ อนวเิ คราะห์แล้วการใช้กิจกรรมการสาธิตจะช่วยให้ผเู้ รียนเข้าใจได้ดีที่สุดเช่น การทดลอง วิทยาศาสตร์ การสาธิตวิธีการประกอบอาหาร หรือการสาธิตการเล่นกีฬา หรือการออกกาลังกายในท่าท่ี ถูกต้องฯลฯจะ สังเกตได้ว่าเป้าหมายของการสอนแบบสาธิตคือ ต้องการให้ผู้เรียนได้เน้นกระบวนการของเรื่องหน่ึงเร่ืองใด เพ่ือท่ผี ู้เรยี นจะไดน้ าไปปฏิบัตไิ ด้

11 7. บทบำทผสู้ อน วิธีสอนแบบสาธิตส่วนใหญ่จะเป็นบทบาทของผู้สอนมากกว่าผู้เรียน ทั้งนี้การสอนแบบสาธิตจะมี ลักษณะใกล้เคียงกับการแสดงโดยต้องการทาให้ดูและการบอกให้เข้าใจบ่างครั้งเร่ืองที่สาธิตนั้นอาจจะมีขัน ตอนหรือ ต้องอาศัยความชานาญการในการทาหรือบ่างคร้ังเคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ท่ีใช้ในการสาธิตนั้นมีราคา แพงหรอื แตกหักชารุดง่ายผู้สอนจงึ ต้องเปน็ ผู้ทาเสียเองอยา่ งไรก็ตามการสาธิตที่ดนี ั้นผู้เรียนต้องมสี ่วนร่วมด้วย โดยเฉพาะหากการเรียนการสอนเน้นอยู่ทตี่ วั ผู้เรียนผู้เรียนต้องมีโอกาสไดส้ าธติ ดว้ ยตนเองให้มากทส่ี ุดเพอ่ื ให้ได้ ประสบการณต์ รง 8. บทบำทผู้เรยี น วธิ สี อนแบบสาธติ โดยทั่วไปผู้เรียนจะมบี ทบาทน้อยเป็นเพยี งผ้ดู แู ละผูฟ้ ังอาจจะมีสว่ นรว่ มในการ ช่วยเหลอื เลก็ ๆน้อยเท่านนั้ แต่การสาธิตทดี่ ตี อ้ งเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนเขา้ มามีสว่ นรว่ มมากท่ีสดุ ย่ิงถ้ามี โอกาส ได้รับประสบการณต์ รงด้วยคือ มโี อกาสไดป้ ฏบิ ัตภิ ายหลังการสาธติ ดว้ ยแล้วก็ยิ่งทาให้เกิดการเรียนรู้มากข้ึน 9. ขน้ั ตอนกำรสอน ก่อนการสาธติ มีขั้นตอนปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1. การกาหนดวัตถุประสงค์ของการสาธิตให้ชัดเจนว่าการสาธิตนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไรการ สาธิต บางอย่างเป็นการสาธิตกระบวนการเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการข้ึนตอนเช่นการสาธิตข้ันตอนการยิงลูก โทษการสาธิตการเตะตะกร้อและการสาธิตบางเร่ืองต้องการสาธิตให้เกิดผลตามที่ต้องการ เช่น การสาธิตใน ห้องทดลอง 2. การเตรียมการ ผ้สู อนตอ้ งเตรยี มวสั ดุ อุปกรณ์ในการสาธติ เตรยี มขัน้ ตอนการสาธติ ซงึ่ วิธกี าร เตรยี มทีถ่ ูกต้องคอื ตอ้ งลองสาธติ ดูกอ่ น เป็นการตรวจสอบว่าข้ันตอนเหล่านัน้ ถูกต้องหรอื ไม่ หากเกดิ ปัญหาใด ๆ ขน้ึ กม็ ีโอกาสแกไ้ ขได้ก่อน ขณะทำกำรสำธติ ผู้สอนควรอธิบายหรือบรรยายใหผ้ เู้ รียนเข้าใจเสียกอ่ น โดยเฉพาะควรจะบอกวตั ถุประสงค์ของการ สาธติ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดท้ ราบ หลังจากนั้นจงึ นา เขา้ สูก่ ารสาธิต โดยการอธิบายใหฟ้ ังหรอื ใช้ส่อื ตา่ ง ๆ อาจจะเปน็ สไลด์ประกอบคา บรรยายหรือวีดีทศั น์ หรือวิธกี ารทผี่ ู้สอนท่วั ไปใช้คือ การให้ผเู้ รียนไดศ้ กึ ษามาก่อน โดย ใหไ้ ปอ่านเอกสาร หนังสือ หรอื ค้นควา้ เร่ืองราวที่สาธิตนั้นกอ่ น ก็จะทา ใหก้ ารสาธติ ดาเนินไปได้อยา่ ง รวดเร็วและผู้เรียนเขา้ ใจไดช้ ดั เจน ในขณะสาธติ ผเู้ รียนสาธิตตอ้ งดา เนนิ การสาธิตไปตามขนั้ ตอนที่กาหนดไว้ อาจจะสลบั ด้วยการ บรรยายแลว้ สาธิต วิธีทจ่ี ะทา ให้บรรยากาศการสาธิตเปน็ ไปด้วยความตน่ื เตน้ ควรเปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นมี ส่วนรว่ มในการสาธิตตลอดเวลา อาจจะเปน็ การถามนา กระตนุ้ หรอื ให้ผเู้ รียนชว่ ยสาธิตเรอ่ื งราวบางเรื่องที่ มีความสลบั ซบั ซ้อนหรือมีขั้นตอนยุ่งยาก ผสู้ าธิตก็ตอ้ งสาธิตหลาย ๆ คร้งั หรอื ให้ผ้เู รยี นทาตามไปด้วยเป็น ข้นั ๆ ผสู้ อนจะต้องชี้แนะหรือเน้นย้า ในสว่ นทส่ี าคัญตลอดเวลา ดงั น้นั การวางแผนสาธิตจาเป็นตอ้ งเตรยี ม ตัวมาเปน็ อยา่ งดี

12 ภำยหลังกำรสำธติ เมอ่ื การสาธิตจบลงแลว้ การย้าเน้นเรือ่ งราวท่ีสาธิตไม่ว่าจะเปน็ การสาธติ กระบวนการหรอื สาธิต ผ้สู อนกต็ อ้ งให้มีการสรปุ ทัง้ น้ผี ดู้ ูหรือผู้เรียนเปน็ ผู้สรุปเอง โดยมีการอภปิ รายแลกเปล่ียนกนั หรอื บางครัง้ การจดั อาจจะจบลงดว้ ยการสรปุ โดยวดี ที ศั น์ หรอื สไลดป์ ระกอบเสยี ง โดยการสอบถาม แจกแบบสอบถาม แบบทดสอบ ทัง้ นอ้ี ยู่ทร่ี ะยะเวลาทเี่ หลอื 10. สอ่ื กำรสอนแบบสำธติ การสอนแบบสาธติ กเ็ ช่นเดยี วกับวธิ กี ารสอนแบบอนื่ ๆ ที่สามารถนาสอ่ื ในรปู แบบตา่ ง ๆ มาใชไ้ ด้ แตส่ ่วนใหญก่ ารสาธติ น้ันหากเปน็ การสาธิตทไี่ มใ่ ชว้ ัสดุ อปุ กรณ์ใด ๆ ตัวผู้สอนจะเป็นส่ือทสี่ าคญั ดงั น้นั ผล ของการสาธิตจะบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคห์ รอื ไมจ่ งึ ข้นึ อยกู่ บั ผู้สอน แตแ่ นวทางที่จะให้การสอนแบบสาธติ เนน้ ผู้เรียนเป็นสาคัญ การออกแบบการสอนแบบสาธิตซง่ึ ตอ้ งให้ผูเ้ รียนมบี ทบาทมากขน้ึ จึงตอ้ งให้ผู้เรยี นมี บทบาทตั้งแตก่ อ่ นการสาธิตจนกระทั่งหลงั การสาธติ 11. กำรวดั และประเมนิ ผล การสอนแบบสาธติ ส่วนใหญผ่ ู้สอนหรือผู้สาธิตจะมีบทบาทในการประเมิน อาจจะโดยการสงั เกต วิเคราะหค์ า ตอบวา่ ผเู้ รียนเข้าใจหรอื ไมเ่ พยี งใด แตก่ ารประเมนิ ท่ดี ีคอื การใหผ้ ้เู รียนได้ทาแบบทดสอบหรือ แบบสอบถาม 12. ขอ้ ดีและข้อจำกัด ขอ้ ดี 1) ทาใหผ้ เู้ รยี นได้ประสบการณ์ตรง 2) ทาให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจง่ายและจดจาเรอ่ื งทส่ี าธิตได้นาน 3) ทาใหผ้ ูเ้ รียนรวู้ ิธกี ารแกป้ ญั หาได้ด้วยตนเอง 4) ทาใหป้ ระหยัดเงินและประหยดั เวลา 5) ทาให้ผเู้ รียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ ข้อจำกดั 1) หากผูเ้ รยี นมจี านวนมากเกินไปก็อาจทา ใหก้ ารสังเกตไมท่ ว่ั ถึง 2) ถา้ ผเู้ รยี นเตรยี มการมาไม่ดเี มอ่ื เวลาสาธิตวนไปวนมาหรอื สาธิตไมช่ ดั เจนก็ทา ใหไ้ ด้ผลไมด่ ี 3) ถา้ การสาธิตนน้ั เน้นทีผ่ สู้ อนโดยผเู้ รยี นไมม่ ีโอกาสได้ปฏิบตั ิเลย ผู้เรียนก็อาจจะไดป้ ระสบการณ์ น้อย 4) บางครง้ั การสาธติ ท่ียดื ยอ้ื ก็ทา ให้เสียเวลา 4.1). การปรบั ใช้การสอนสาธติ โดยเน้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ ขนั้ เตรียมการสาธติ ผสู้ อนต้องเตรยี มการใหด้ ี ไมว่ า่ การเตรียมเนอ้ื หา บทบาทการสาธติ ส่วนใหญจ่ ะ เปน็ ของผู้สอนแต่เนอ้ื หาหรอื จุดมงุ่ หมายในส่วนใดทีต่ ้องการใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ทกั ษะ ทัศนคติ บทบาทในสว่ น นน้ั จะเน้นท่ีผ้เู รยี นมากกวา่ ผสู้ อน การเตรียมกระบวนการ เตรียมส่อื ที่จะสาธติ และเตรยี มกจิ กรรมทจี่ ะสาธิต

13 ต้องสอดคลอ้ งกบั วัตถปุ ระสงคท์ ีก่ าหนดไว้ เม่ือสาธิตจบแล้วควรมีการวางแผนวา่ จะทา กจิ กรรมอะไรตอ่ ไป โดยใหผ้ ้เู รียนมสี ่วนร่วมมากท่ีสดุ ข้ันกำรสำธติ ผูส้ อนควรใช้วธิ ีการส่อื สารสองทาง คอื มีทั้งผู้สาธติ เป็นคนทา แตใ่ นบางครัง้ กใ็ ห้ผ้เู รยี นมสี ว่ นชว่ ย สาธิต อธบิ ายหรอื ตอบคาถาม ผู้สาธิตควรใช้สื่ออื่น ๆ ท่เี รา้ ความสนใจได้มากกวา่ คาพูดประกอบ เช่น ของ จรงิ ของตวั อยา่ ง แผ่นโปรง่ ใส สไลด์ หรือภาพฉาย ภาพนิ่ง หรือภาพเคลื่อนไหว บนจอ ในขณะสาธิตจะตอ้ งเนน้ ยา้ การทีใ่ หผ้ เู้ รียนไดม้ โี อกาสตอบสนอง (Feedback) ตลอดเวลา เช่น การ ซักถาม การอธิบายเสรมิ การได้มกี ิจกรรมเสริมอนื่ ๆ เชน่ การแสดงบทบาทสมมุติ สถานการณจ์ าลอง การ เลน่ เกม ผสู้ าธติ พยายามให้ผู้ดูมสี ว่ นรว่ มมากท่สี ุด ทสี่ าคญั ผู้สาธติ ตอ้ งมคี วามสามารถท่ีจะต้องจงู ใจให้ ผู้เรยี นติดตามตลอดเวลา การจงู ใจทาไดห้ ลายวธิ ี เช่น การถามตอบ การใหเ้ พือ่ นช่วยเพื่อน ชว่ ยเสริมซง่ึ กัน และกัน เป็นต้น ภำยหลังกำรสำธิต ผ้เู รียนควรมโี อกาสทากจิ กรรมเสริมอืน่ ๆ ทจ่ี ะช่วยเน้นย้า เรอ่ื งราวทีไ่ ด้เหน็ การสาธติ มาเพื่อทา ให้ ผ้เู รียนเกิดความเชือ่ ม่นั ในเร่อื งท่ีเรยี นและจา ได้นาน สว่ นการประเมินการสาธิตถา้ มีโอกาสก็ควรใหผ้ เู้ รียน ไดร้ ู้วา่ มีความเขา้ ใจหรือรู้เรื่องทไ่ี ดเ้ ห็นการสาธติ มาเพียงใด ซง่ึ การวัดและประเมนิ ในส่วนนถี้ า้ ทา ได้ทกุ คร้งั ก็จะเปน็ การดี แต่ถ้าไม่มเี วลาอาจจะไม่จา เปน็ ตอ้ งทา ทุกครั้ง แต่ในสว่ นของผู้สอนนนั้ อาจจะประเมนิ โดย การสังเกตพฤติกรรมของผเู้ รยี นว่าสนใจ หรอื เอาใจใสเ่ พยี งใด การประเมินจะเป็นวิธีการพัฒนาการสาธิต ของผ้สู อนไดเ้ ปน็ อย่างดี หลกั จิตวทิ ยำกำรเรียนรู้ 1. ทฤษฎีกำรเรียนรู้ ทฤษฎีการเรยี นรู้ตามทน่ี ักจิตวิทยานาเสนอไว้มหี ลายกล่มุ ไดแ้ ก่ 1.1 กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral psychology principles) นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้ เช่ือว่าการ เรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนองสิ่งเร้าคือ ข่าวสารข้อมูลที่ส่งไปยัง ผู้เรียนเชน่ คา พูด รูปภาพ ส่ือการสอน เป็นต้น ส่ิงเร้าจะมีประสิทธิภาพในการสือ่ ความหมายต่างกันตามชนดิ และวตั ถุประสงคใ์ นการสอื่ ความหมาย สว่ นการตอบสนองคือ ปฏิกิริยาผู้รับขา่ วสารแสดงออกเมอ่ื ได้รับสิง่ เรา้ การเรียนการสอนสว่ นใหญ่จะเน้นกระบวนการเชอ่ื มโยงระหว่างส่งิ เรา้ และการตอบสนอง แนวคดิ น้ไี ดถ้ ูก นา มาใชใ้ นบทเรียนแบบโปรแกรม โดยมี B.F.Skinner ซ่งึ เช่ือว่าผเู้ รียนจะต้องรับผิดชอบการเรียนรู้ของ ตนเอง ลา ดับขัน้ การเรียนรจู้ ะถูกออกแบบเปน็ ขั้นตอนตามลา ดบั จากเรอื่ งทง่ี ่ายไปสูเ่ ร่อื งท่ียากในแตล่ ะ ข้นั ตอนจะต้องมีการตอบสนองที่ถูกต้อง และผู้เรียนจะได้รผู้ ลแห่งการกระทา ทันที การรวู้ ่าการกระทาของ ตนถกู ตอ้ ง จะเป็นเรอื่ งเสรมิ แรงใหก้ บั ผ้เู รยี น (วฒุ ิชัย ประสารสอย. 2545 :12 -13) 1.2 กลมุ่ พุทธิปญั ญา (Cognitive psychology principle) ลักษณะพ้นื ฐานสาคญั ของทฤษฎีน้ีก็คือ กระบวนการทางปัญญา ความเฉลียวฉลาด และความสามารถในการจดั ระเบยี บความสมั พันธข์ อง ประสบการณ์เดิมกับประสบการณใ์ หม่ ซึ่งเปน็ รากฐานสาคญั ของการเรียนรู้ หรอื กลา่ วอีกนัยหนึ่งคือ คุณภาพของการเรยี นรเู้ ป็นไปตามคณุ ภาพของความฉลาดและความสามารถใน

14 การสร้างความสัมพันธ์ของส่ิงต่าง ๆ ทฤษฎนี จ้ี ึงเน้นเฉพาะพฒั นาการทางปัญญา เชน่ ดา้ นความ เขา้ ใจ ความจา เจตคติ แรงจงู ใจ การคดิ และการเรยี นร้แู บบรูแ้ จง้ มากกว่าการพฒั นาพฤติกรรมภายนอก 1.3 ทฤษฎโี ครงสร้างความรู้ (Schema theory) ภายใต้ทฤษฎีปัญญานิยม (Cognitive) นย้ี ังไดเ้ กดิ ทฤษฎโี ครงสร้างความรู้ (Schema theory) ซึง่ เปน็ แนวคดิ ทีเ่ ช่อื วา่ โครงสรา้ งภายในของความรู้ท่ีมนุษยม์ ีอยู่ น้นั จะมีลกั ษณะเปน็ การเชอ่ื มโยงกนั อยใู่ นการทีม่ นุษย์เรยี นรู้อะไรใหมๆ่ นนั้ มนุษย์จะนาความรใู้ หมๆ่ ทีเ่ พิง่ ไดร้ ับนนั้ ไปเชือ่ มโยงกบั กลมุ่ ความรูอ้ ยู่เดิม Rumlhart และ Ortony (Rumelhart and Ortony. 1977) ไดร้ ับ นยิ ามและความหมายของคา วา่ โครงสร้างความร้ไู ว้ ว่าเป็นโครงสร้างข้อมลู ภายในสมองของมนษุ ย์ ซง่ึ รวบรวมความรเู้ กยี่ วกับวัตถุ ลา ดบั เหตุการณ์ รายการกิจกรรมต่างๆ เอาไว้ หน้าทขี่ องโครงสร้างความรู้น้ีก็ คือ การนา ไปส่กู ารรับรขู้ อ้ มูล ซ่งึ การรับร้ขู ้อมลู นัน้ จะไม่สามารถเกดิ ข้ึนได้หากขาดโครงสรา้ งความรู้ ท้ังนี้ กเ็ พราะการรับร้ขู อ้ มูลนนั้ เป็นการสร้างความหมายโดยการถา่ ยโอนความร้ใู หมเ่ ข้ากบั ความรเู้ ดิมภายใน กรอบความร้เู ดมิ ทมี่ ีอยูแ่ ละจากการกระตุน้ โดยเหตุการณห์ น่ึง ๆ ทชี่ ว่ ยใหเ้ กิดการเชื่อมโยงความรู้นนั้ ๆ เข้า ด้วยกัน การรับรู้เป็นส่งิ ทส่ี าคญั ทที่ า ให้เกดิ การเรียนรู้เนื่องจากไมม่ กี ารเรยี นรู้ใดทีเ่ กดิ ข้นึ ไดโ้ ดยปราศจาก การรบั รู้ นอกจากโครงสร้างความรจู้ ะช่วยในการรับรแู้ ละการเรียนรแู้ ลว้ นั้น โครงสรา้ งความร้ยู งั ชว่ ยในการ ระลึก ถงึ ส่ิงต่างๆ ทีเ่ ราเคยเรยี นรมู้ า 1.4 ทฤษฎีความยืดหยุ่นทางปัญญา (Cognitive flexibility theory) มีแนวความคิดท่ีเชื่อว่าความรู้ แต่ละองค์ความรู้น้ันมีโครงสรา้ งท่ีแนช่ ัดและสลับซับซ้อนมากน้อย แตกต่างกนั ไปโดยองคค์ วามรบู้ าง สาขาวชิ า เชน่ คณติ ศาสตร์กบั จติ วทิ ยานน้ั แตกตา่ งกนั คณติ ศาสตรถ์ อื วา่ เป็นองคค์ วามรู้ท่มี โี ครงสรา้ งตายตวั ไมส่ ลับซับซอ้ น เน่อื งจากเป็นตรรกะและความเป็นเหตเุ ป็นผลทแี่ น่นอนขององคค์ วามรู้ ในขณะเดยี วกัน องค์ความรู้บางประเภทสาขาวชิ า เชน่ จิตวิทยาถอื ว่าเปน็ องคค์ วามรทู้ ีไ่ ม่มโี ครงสรา้ งตายตัวและ สลับซับซ้อน เพราะความไม่เปน็ เหตุเปน็ ผลของธรรมชาตขิ ององคค์ วามรู้ 1.5 ทฤษฎกี ลุม่ นิรมติ นยิ ม (Constructivism) เน้นผเู้ รียนเป็นผสู้ รา้ งองคค์ วามรจู้ ากประสบการณ์ ตนเอง โดยการรวบรวมประสบการณ์ความรแู้ ละเน้นในเร่ืองกระบวนการแกป้ ัญหาจากเน้ือหาทีต่ ้องเผชิญ ในชีวติ จริง ผเู้ รียนได้รบั การสนบั สนนุ ให้ทางานรว่ มกัน กระบวนการเรยี นร้เู กิดจากการเรียนทเ่ี นน้ ผู้เรียน เป็นศนู ย์กลาง การนาเทคโนโลยเี ขา้ มาใช้ในกระบวนการเรยี นรู้นี้ จะช่วยนาสภาพแวดลอ้ มการเรยี นรู้ใน ระยะไกลมาสรา้ งลักษณะสถานการณจ์ ริงได้ไมย่ ากนกั งำนวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง นงค์ เชอ้ื พราหมณ์ ( 2550) ไดศ้ กึ ษาการสร้างและพฒั นาชุดสาธติ เพ่ือผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น วชิ า ดิจติ อลเทคนคิ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ เพ่ือสรา้ งและพฒั นาชดุ สาธติ เพอ่ื ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนวิชาดิจติ อล เทคนิค ใช้เปน็ สอ่ื ประกอบการเรียนการสอนวิชาดิจิตอลเทคนคิ และศกึ ษาความคดิ เห็นของผู้เช่ยี วชาญและ นักศกึ ษา ทีม่ ตี อ่ ชุดสาธิต ในเรือ่ ง วงจรเขา้ รหสั วงจรบวกลบเลขฐานสอง วงจรเปลยี่ นรหัส วงจร เปรยี บเทียบข้อมูล วงจรบฟั เฟอร์ วงจรโมโนสเตเบิล วงจรสร้างสญั ญาณนาฬกิ า วงจรนับ วงจรมลั ตเิ พลก็ ซ์ วงจรถอดรหสั วงจรขับและแสดงผลด้วยเซเวนเซกเมนต์ พร้อมท้งั เปรียบเทยี บผลการเรยี นของนกั ศกึ ษา กลมุ่ ทใี่ ชช้ ดุ สาธิตประกอบการสอนกบั กลุ่มท่ไี ม่ใชช้ ดุ สาธิตประกอบการสอน จากการศึกษาพบว่า

15 ผู้เช่ียวชาญและนักศกึ ษามคี วามคิดเหน็ ต่อชดุ สาธิต สอดคล้องกัน คุณภาพเหมาะสมอยู่ในเกณฑ์ ดมี าก และ ผลการเปรียบเทยี บการสอบวดั ความรูข้ องนักศกึ ษาท่ีใช้ชุดสาธิตประกอบการสอนสงู กวา่ นกั ศึกษาท่ไี มใ่ ช้ ชุดสาธิตประกอบการสอน อยา่ งมนี ัยสาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 จึงเหมาะท่จี ะนาชดุ สาธิตไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การเรยี นการสอนวิชาดจิ ติ อลเทคนิคไดเ้ ป็นอยา่ งดี อนุพันธ์ กรรมการ ( 2552) ได้ศึกษาการพฒั นาเอกสารประกอบการสอนแบบสาธติ กลุ่มสาระการ เรยี นรศู้ ิลปะ (สาระเพมิ่ เติม) วิชาเครอื่ งป้นั ดนิ เผา รหัสวชิ า ศ30208 เรื่อง เครอื่ งป้ันดนิ เผาตามความคดิ อิสระ ชั้นมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 2 โดยมีวัตถุประสงค์ เพ่อื พัฒนาเอกสารประกอบการสอนแบบสาธิต กลมุ่ สาระการ เรียนรศู้ ลิ ปะ (สาระเพมิ่ เตมิ ) วชิ าเครื่องปนั้ ดินเผา รหัสวชิ า ศ30208 เรื่อง เครื่องปั้นดนิ เผาตามความคดิ อสิ ระ ชัน้ มธั ยมศึกษาปี ที่ 2 ให้มปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑม์ าตรฐาน 80/80 และเพอื่ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน กอ่ นเรยี นและหลังเรยี นของนกั เรียนทีไ่ ดร้ บั การสอนโดยใชเ้ อกสารประกอบการสอนแบบสาธิต กล่มุ สาระการเรียนรศู้ ิลปะ (สาระเพิม่ เติม) วชิ าเครอื่ งปน้ั ดินเผา รหัสวชิ า ศ30208 เรอื่ ง เคร่ืองปัน้ ดินเผาตาม ความคดิ อิสระ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2 ผลการศกึ ษาพบว่า 1. เอกสารประกอบการสอนแบบสาธิต กลุ่มสาระ การเรียนรศู้ ลิ ปะ (สาระเพิ่มเตมิ ) วิชาเครอื่ งปน้ั ดนิ เผา รหสั วชิ า ศ30208 เรอื่ ง เครื่องปั้นดนิ เผาตามความคดิ อิสระ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.51/80.59 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กาหนดไว้ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนทไ่ี ดร้ ับการสอนโดยใชเ้ อกสารประกอบการสอนแบบสาธิต กลุม่ สาระ การเรยี นร้ศู ลิ ปะ (สาระเพ่มิ เตมิ ) วชิ าเคร่ืองปัน้ ดินเผา รหัสวิชา ศ30208 เรือ่ ง เครือ่ งปัน้ ดินเผาตามความคดิ อสิ ระ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปี ที่ 2 มคี ะแนนเฉล่ียจากการทดสอบหลังเรยี นสูงกวา่ คะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบ ก่อนเรยี น แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิทร่ี ะดบั .01 เสกสรร ศรีจนั ทร์ ( 2551) ไดศ้ กึ ษาการพฒั นาชุดสาธติ การควบคมุ ตาแหนง่ มอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสตรงดว้ ยไมโครคอนโทรลเลอร์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาชุดสาธติ การควบคุมตาแหน่งมอเตอร์ ไฟฟา้ กระแสตรง ดว้ ยไมโครคอนโทรเลอร์ หลักสตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพชน้ั สูงเพื่อใช้เปน็ ส่อื การสอน ในการจดั การเรยี นรู้ รายวิชาไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontroller)รหัสวชิ า 3105-2014 ทมี่ ุ่งหวงั ให้ ผูเ้ รยี นลดจินตนาการในการเรียนรู้ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจการประยุกตใ์ ชไ้ มโครคอนโทรลเลอร์ ผลิตสญั ญาณพัลส์ วิดธ์มอดูเลช่ัน (Pulse width modulation : PWM) ไปควบคมุ การหมนุ ของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง จาก การศึกษาพบว่า การประเมินคุณภาพชุดสาธิตจากผู้เชี่ยวชาญ [2] อยู่ในระดับ “ ดีมาก ” ( X 4.648 และ S.D.0.479 ) และ ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทุกคน คือ ทา แบบทดสอบได้คะแนนสูงกว่า ร้อยละ 60 ของคะแนนทัง้ หมด ซงึ่ สงู กวา่ เกณฑท์ ่กี าหนดไว้ คอื ร้อยละ 80 ของกลมุ่ ตัวอย่างทไี่ ด้ผลคะแนน รอ้ ยละ 60ข้ึน ไป ดังนั้นจึงเหมาะที่จะนา ชุดสาธิตการควบคุมตาแหน่งมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงด้วยไมโครคอนโทรลเลอร์ไป ใช้ในการเรียนการสอนได้ สชุ าดา สขุ บนั เทิง (2549 : บทคดั ยอ่ ) ได้ทาการวิจยั การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนคณติ ศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปี ท่ี 4 เรื่องอตั ราส่วนตรโี กณมิติและการนา ไปใช้ โดยใชช้ ดุ การ เรยี นแบบกลมุ่ ช่วยเหลือเพื่อน (TAI) กบั การเรยี นปกติ ผลการวจิ ัยพบว่า

16 1.ชุดการเรียนคณิตศาสตร์แบบกลุ่มช่วยเหลือเพื่อนท่ีสร้างข้ึนประสิทธิภาพ92.33/83.17 ซึ่งสูงกว่า เกณฑ์ทก่ี าหนดไว้เกณฑ์ 80/80 2. ผลสมั ฤทธ์ทางการเรยี นหลงั เรียนวิชาคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง อตั ราสว่ นตรีโกณมติ ิและการนา ไปใช้ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 สูงกวา่ หรือเท่ากับร้อยละ 80 อย่างมีนัยสาคัญทางสถติ ิ ที่ระดับ .01 3. ผลสัมฤทธ์ทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ เร่ือง อัตราส่วนตรีโกณมิติและการนา ไปใช้ ของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้ชดุ การเรียนคณติ ศาสตรแ์ บบกล่มุ ช่วยเหลือเพ่ือนสงู กวา่ นักเรียนทเี่ รียนแบบปกติอยา่ งมีนยั สาคัญ ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .01

17 บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ กำรศึกษำค้นคว้ำ ขน้ั ตอนกำรดำเนินกำรวจิ ัย โดยมีขน้ั ตอนวธิ ดี าเนินการวจิ ัยดงั ต่อไปน้ี 1. ข้นั ก่อนทดลอง มีการดา เนินการ ดงั น้ี 1.1 ช้แี จงใหผ้ ู้เรียนทราบถงึ จดุ ประสงค์ และขั้นตอนการสอนโดยการสอนแบบสาธติ ใน การใชง้ านมลั ตมิ เิ ตอรแ์ บบเขม็ เพื่อให้ผูเ้ รยี นมีความรู้ ความเข้าใจ ต่อการใชง้ าน 1.2 ใหผ้ ู้เรียนทา การทดสอบกอ่ นเรยี น 1.3 บนั ทกึ ผลคะแนนการทดสอบกอ่ นเรียนของผเู้ รียนเป็นรายบุคคล ขอ้ ท่ีตอบถูกได้ 1 คะแนน ข้อท่ีตอบผดิ ได้ 0 คะแนน 2. ขั้นทดลอง มกี ารดา เนินการ ดังน้ี ให้ผู้เรยี นศกึ ษาเนื้อหาจากใบงานและขน้ั ตอนการสอนโดยวธิ กี ารสาธติ ในการใชง้ านมลั ติมิเตอรแ์ บบเขม็ วิชา เครือ่ งมือวัดไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์ 3. ขนั้ หลงั ทดลอง มกี ารดา เนนิ การ ดงั น้ี 3.1 ให้ผ้เู รียนทา การทดสอบหลังเรยี น เพอ่ื วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผ้เู รยี น เรอ่ื ง การ ใช้งานมัลตมิ ิเตอรแ์ บบเขม็ โดยการสอนแบบสาธติ 3.2 บันทึกผลคะแนนการทดสอบหลังเรียนของผู้เรยี นเป็นรายบุคคล ขอ้ ที่ตอบถกู ได้ 1 คะแนน ขอ้ ท่ตี อบผิดได้ 0 คะแนน ประชำกรและกลมุ่ ตวั อยำ่ ง ประชากร ได้แก่ นกั ศกึ ษาแผนกช่างอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ วิทยาลยั การอาชีพวิเศษชัยชาญ ภาคเรยี นที่ 1 ปี การศึกษา 2562 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาระดับ ปวช. 1 แผนกช่างไฟฟ้ากาลัง วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ภาค เรยี นท่ี 1 ปี การศกึ ษา 2562 จานวน 21 คน เครือ่ งมอื ท่ีใช้ในกำรวิจยั 1. อปุ กรณ์ทใ่ี ชใ้ นการสาธติ ในการใชง้ านมัลติมเิ ตอรแ์ บบเขม็ 2. ใบงานการใช้ส่ือของจริง ในการใชง้ านมลั ตมิ เิ ตอรแ์ บบเข็ม 3. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น เพอ่ื วัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของนกั เรียน เรื่อง การใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเข็ม โดยการสอนแบบสาธิต ซ่ึงเป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิด เลอื กตอบ 4 ตัวเลือก จานวน 30 ข้อ

18 กำรเก็บรวบรวมขอ้ มลู ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2562 ใช้เวลาจานวน 2 สัปดาห์ 8 ช่ัวโมง ตามข้ันตอนวธิ ีดาเนนิ การวจิ ัยดังต่อไปน้ี 1. ข้ันก่อนทดลอง มีการดาเนนิ การ ดงั นี้ 1.1 ชี้แจงให้ผู้เรียนทราบถึงจุดประสงค์ และขั้นตอนการสอนโดยวิธีการสาธิต ในการใช้งานมัลติ มเิ ตอร์แบบเข็ม เพ่อื ให้ผ้เู รยี นมคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ตอ่ การใชง้ าน 1.2 ให้ผู้เรียนทาการทดสอบก่อนเรียน 1.3 บันทึกผลคะแนนการทดสอบก่อนเรียนของผู้เรยี นเป็นรายบุคคล ขอ้ ทต่ี อบถูกได้ 1 คะแนน ข้อ ที่ตอบผิดได้ 0 คะแนน 2. ขนั้ ทดลอง มกี ารดาเนนิ การ ดังน้ี ให้ผเู้ รียนศึกษาเน้ือหาจากใบงานและขั้นตอนการ สอนโดยวธิ ีการสาธติ ในการใช้งานมัลติมิเตอร์แบบ เข็ม วชิ า งานซ่อมเครอ่ื งใช้ไฟฟ้า 3. ข้นั หลังทดลองมีการดาเนนิ การ ดังนี้ 3.1 ให้ผู้เรียนทา การทดสอบหลังเรียน เพ่ือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน เรื่องการใช้งานมัล ติมิเตอร์แบบเข็ม โดยการสอนแบบสาธิต 3.2 บันทึกผลคะแนนการทดสอบหลังเรียนของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ข้อที่ตอบถูกได้ 1คะแนน ข้อท่ี ตอบผดิ ได้ 0 คะแนน กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นระหวา่ งกอ่ นเรยี นกับหลังเรียน โดย การทดสอบดว้ ยสถติ ทิ ี (t- test for dependent samples) สถติ ิในกำรวิเครำะห์ข้อมูล ใชก้ ารทดสอบดว้ ยสถิติที (t- test for dependent samples)

19 บทท่ี 4 ผลกำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูล ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มูลจากการพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่อื ง การใช้งานมัลตมิ เิ ตอร์แบบเขม็ โดยการสอนแบบสาธิต วิชางานซ่อมเคร่ืองใช้ไฟฟ้า ของนักเรียนระดับ ปวช.1 แผนกช่างไฟฟ้ากาลัง วิทยาลัย การอาชีพองครกั ษ์ ตอนท่ี 1 กำรเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี นของ นักเรียน ระหวำ่ งกอ่ นและหลงั เรียนโดยใชก้ ำรสำธิต เรื่อง กำรใชง้ ำนมัลติมเิ ตอร์แบบเข็ม การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ทางสถติ ิ ในการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ผ้วู จิ ัยไดน้ าคะแนน ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน เรอ่ื ง การใชง้ านมัลติมิเตอร์แบบเขม็ โดยการสอนแบบสาธติ ระหว่างกอ่ นและหลัง เรียนโดยใช้การสาธิต มาวเิ คราะห์โดยการหาคา่ เฉลีย่ ( X ) และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) และการ ทดสอบดว้ ยสถิติที (t- test for dependent samples) ไดผ้ ลดังแสดงในตารางที่ 1 ตารางท่ี 1 การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของ นกั ศึกษา ระหว่างก่อนและ หลงั เรียนโดยใช้การสาธติ เรอ่ื ง การใช้งานมลั ติมเิ ตอรแ์ บบเขม็ การทดสอบ n X S.D. t p ก่อนเรยี น 15 10.13 1.46 32.82 .000 หลงั เรยี น 15 26.80 1.32 * มีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดับ .05 จากตารางท่ี 1 พบวา่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนัก ศึกษา โดยใช้การสาธิต เร่อื ง การการใช้งานมัล ติมิเตอร์แบบเข็ม โดยการสอนแบบสาธิต ปรากฏว่า ก่อนเรียนได้ X = 10.13, S.D. =1. หลังเรียนได้ X = 26.40, S.D.= 1.98 โดยการทดสอบด้วยสถิติที (t- test for dependentsamples) ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นของนักเรียนหลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน อย่างมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .05

20 บทท่ี 5 สรปุ อภิปรำยผลและขอ้ เสนอแนะ การวิจัยครั้งนีม้ วี ัตถุประสงค์ เพอื่ พัฒนาพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เรือ่ งการใช้งานมลั ตมิ เิ ตอร์ แบบเข็มโดยการสอนแบบสาธิต วิชา เคร่อื งมอื วดั ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีเป้าหมายเพอ่ื ใหน้ ักศกึ ษา ทกุ คนมผี ลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผา่ นเกณฑ์ท่ีกาหนดรอ้ ยละ 80 การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นของ นักศกึ ษา ระหว่างก่อนและหลงั เรยี นโดยใชก้ ารสาธติ เรอ่ื งการใช้งานมัลติมเิ ตอรแ์ บบเข็ม โดยการสอนแบบ สาธิต กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการศึกษาวิจัย คร้ังนี้เป็นนักเรียนระดับ ปวช. 1 แผนกช่างไฟฟ้ากาลัง วิทยาลัย สารพัพดช่างตราด ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศกึ ษา 2560 จานวน 21 คน เครือ่ งมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ประกอบดว้ ย การสอนโดยวธิ ีการสาธิต ใบงาน ในการใช้งานมัลตมิ ิเตอร์แบบเข็ม แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี น เพ่อื วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศกึ ษาวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาคา่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ( X ) และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบด้วยสถติ ิที (t – test for dependent samples) สรปุ ผลกำรวิจยั จากผลการวจิ ัยครัง้ นี้ สามารถทา การสรปุ ผลการวจิ ยั ได้ดังนี้ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนของ นักเรียน โดยใช้วธิ ีการสาธติ เรอื่ ง การใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเข็มโดยการสอนแบบสาธิต หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติท่รี ะดับ .05 อภปิ รำยผล จากผลการวจิ ยั ครงั้ นี้ ผู้วิจยั ขออภปิ รายผลการวิจัย ดังนผี้ ลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนกั ศึกษา โดยใช้ วธิ ีการสาธติ เรอ่ื ง การใชง้ านมลั ตมิ เิ ตอรแ์ บบเข็ม หลังเรยี นสงู กว่าก่อนเรยี น อย่างมีนยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ ระดบั .05 ซงึ่ สอดคล้องกับสมมติฐานการวจิ ยั และงานวจิ ยั ของนงค์ เชอ้ื พราหมณ์ ( 2550) เสกสรร ศรจี ันทร์ ( 2551) และอนพุ นั ธ์กรรมการ ( 2552) ซ่งึ ได้ศึกษาถึงผลการใชว้ ิธีการสาธิตที่สง่ ผลตอ่ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นทสี่ ูงข้ึนทง้ั น้ีเกดิ จากการใชว้ ธิ กี ารสาธิต จะชว่ ยเพ่มิ ความมัน่ ใจให้กบั นักศกึ ษา รวมทง้ั มแี รงกระตนุ้ ดา้ นบวกตอ่ การเรียนรู้ เรื่อง การใชง้ านมัลตมิ ิเตอร์แบบเข็ม และลดความกงั วลใจใหก้ บั นักศกึ ษา ทาให้ นกั เรียนเกดิ ทักษะ ความชานาญเช่ียวชาญและเหน็ สภาพจริงของการใชง้ านมลั ตมิ เิ ตอรแ์ บบเข็ม ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยครั้งน้ี ผูว้ ิจัยมขี อ้ เสนอแนะ ดงั นี้ 1. การศึกษาการใช้วธิ ีการสาธติ ทา ให้นักศึกษาไดเ้ รยี นตามความสามารถและเพ่มิ ความรู้ ความเขา้ ใจ มากย่ิงข้ึน ซ่ึงจะทาให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง สนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดทักษะการปฏิบัติงานทอ่ี ยู่ ในสถานการณจ์ รงิ 2. ควรมกี ารแนะนา ช้ีแจง รายละเอียดของการใช้ใบงานรว่ มกบั วธิ ีการสาธติ เพ่อื ป้องกนั ความสับสน 3. ควรมีการศึกษาในเร่ืองความคงทนในการเรียนรู้ระหว่างความคงทนในการเรียนรู้จากการปฏิบัติ โดยใช้วธิ ีการสาธติ และความคงทนในการเรียนรู้จากการใชส้ ื่ออ่ืน ๆ

21 บรรณำนุกรม บุญสบื โพธ์ิศรี และคณะ. งานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนกิ ส์เบ้ืองตน้ . กรุงเทพฯ: ศนู ย์ส่งเสรมิ อาชวี ะ. 2552. พนั ธ์ศกั ด์ิ พฒุ ิมานติ พงค.์ เคร่ืองมอื วัดไฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์. กรงุ เทพฯ : ศูนย์สง่ เสริมอาชวี ะ. 2550. “พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551.” (26 กุมภาพันธ์ 2551). ราชกิจจานเุ บกษา. ฉบบั กฤษฎกี า. เล่ม125 ตอนท่ี 43 ก (5 มนี าคม 2551) หน้า 3-4.วฒุ ิชัย ประสารสอย. การใชเ้ ทคโนโลยใี น การจัดการเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ : บคุ๊ พอยท์. 2545. พุทธารักษ์ แสงกง่ิ . อปุ กรณอ์ ิเล็กทรอนกิ ส์. กรงุ เทพฯ : ศูนย์สง่ เสริมอาชีวะ. 2552 อดุลย์ กัลยาแกว้ และคณะ. วงจรไฟฟา้ 2. กรุงเทพฯ : ศนู ย์ส่งเสริมอาชีวะ. 2546.__

22 กำรพฒั นำผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรียน เร่ือง กำรใช้งำนมลั ตมิ เิ ตอรแ์ บบเข็ม โดยกำรสอนแบบสำธติ วชิ ำงำนซ่อมเครอื่ งใชไ้ ฟฟ้ำ ของนกั เรยี นระดบั ปวช.1 แผนกชำ่ งไฟฟำ้ กำลงั วิทยำลัยกำรอำชีพองครักษ์ นำยกิตตศิ กั ด์ิ สขุ ปลัง่ แผนกวชิ ำไฟฟ้ำกำลัง ภำคเรียนท่ี 2 ปีกำรศกึ ษำ 2562 วทิ ยำลยั กำรอำชพี องครักษ์ สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศกึ ษำ กระทรวงศกึ ษำธิกำร

23 คำนำ งานวิจัยเล่มน้ี สาเร็จเรียบร้อยได้ด้วยความต้ังใจที่ผู้วิจัยได้ทาการวิจัยเชิงทดลองในช้ันเรียน เร่ืองการ พฒั นาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรอื่ ง การใชง้ านมลั ติมเิ ตอรแ์ บบเข็ม โดยการสอนแบบสาธติ วชิ างานซ่อมเครือ่ งใชไ้ ฟฟ้า ของนักเรยี นระดบั ปวช.1 แผนกช่างไฟฟา้ กาลงั วทิ ยาลัยการอาชพี องครักษ์วัตถปุ ระสงคเ์ พ่อื เป็นขอ้ มูลสารสนเทศท่ี นาไปใช้เปน็ แนวทางในการจดั การเรียนการสอน ใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามเปา้ หมาย ของนักเรียนแผนกวชิ าไฟฟ้า กาลงั ระดับช้นั ปวช.1 วทิ ยาลัยการอาชพี องครกั ษ์ ผู้วิจัยได้นาเสนอเนื้อหาประกอบด้วย บทท่ี 1 ได้แก่ บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา คาถามการวิจัย ขอบเขตการวิจัย ตัวแปรท่ีทาการศึกษา เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย การดาเนินงานวิจัย วิธีวิเคราะห์ข้อมูล นิยามศัพท์เฉพาะ บทที่ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง บทที่ 3 วิธีการดาเนินการวิจัย ประชากรท่ีศึกษาได้แก่ เทคนิคและวิธีการเลือกตัวอย่าง ข้อมูลท่ีใช้ในการวิจัย บทที่ 4 ผลการวิจัย บทท่ี 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ ผู้วิจัยขอขอบคุณ คณะครู-อาจารย์ แผนกวิชาไฟฟ้ากาลังท่ีได้ให้คาปรึกษา ให้ความร้แู ละคาแนะนา เก่ียวกับงานวิจัยตลอดมา ให้แนวคิดและช่วยตรวจแก้ไขในส่วนที่บกพร่องต่างๆ ตั้งแต่เร่ิมต้นจนกระท่ัง งานวิจัยเร่ืองนี้สาเร็จเป็นรูปเล่มและขอขอบคุณนักเรียน นักเรียนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ การวิจัยในครั้งน้ี และสิ่งท่ีขาดไม่ได้เลยคือขอขอบคุณ บิดา มารดา และพ่ี น้อง ที่ส่งกาลังใจและคา ปลอบใจมาให้ในการทาวจิ ัยครั้งน้ี นายกิตตศิ ักดิ์ สขุ ปลั่ง

24 ช่ือเร่อื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น เร่ือง การใช้งานมัลตมิ เิ ตอรแ์ บบเขม็ โดยการสอนแบบสาธิต วิชา งานซอ่ มเครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ของนักเรยี นระดับ ปวช.1 แผนกชา่ งไฟฟ้ากาลงั วิทยาลัยการอาชพี องครักษ์ ผวู้ ิจยั นายกติ ตศิ ักดิ์ สุขปลัง่ สำขำ แผนกวชิ าไฟฟ้ากาลัง วทิ ยาลยั การอาชพี องครักษ์ บทคดั ยอ่ การวิจัยในครั้งน้ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน เร่ือง การใช้งานมัลติมิเตอร์แบบเขม็ โดยการสอนแบบสาธติ วิชางานซ่อมเครือ่ งใช้ไฟฟา้ ของนกั เรยี นระดบั ปวช.1 แผนกช่างไฟฟ้ากาลงั วิทยาลัยการอาชพี องครักษ์ ดาเนินการวิจัยโดยศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข้อง ดาเนินการสร้างเคร่ืองมือ โดยใช้ในรปู แบบของแบบสงั เกตพฤติกรรมการทางานเปน็ กลมุ่ ผลจากการวิจัยในคร้ังนี้พบว่า วิธีการสอนแบบเพื่อนช่วยเพื่อนสามารถทาให้นักเรียน นักศึกษาเกิด ความรู้ ความเข้าใจ และความพึงพอใจมากต่อการสอน วิธีการสอนแบบเพ่ือนช่วยเพื่อนจึงถือว่า เหมาะสมท่ี จะนามาใช้ในการเรยี นการสอนตอ่ ไป

สำรบัญ 25 เรื่อง 1 หนำ้ ท่ี 1 บทที่ 1 บทนำ 2 2 หลกั การและเหตุผล 2 วัตถุประสงค์ของการวิจยั 2 สมมตฐิ านของงานวจิ ยั 2 ขอบเขตของการวจิ ัย 2 ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง ตัวแปร 4 นิยามศัพท์เฉพาะ 7 ผลทคี่ าดว่าจะไดร้ บั 7 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวิจยั ทเี่ กี่ยวข้อง 8 ความหมายของสื่อการสอน 10 ประโยชนข์ องสื่อการสอน 12 ประเภทของสอ่ื การสอน แนวโน้มการใช้ส่ือเพ่ือการเรียนรู้ 17 หลักการเลอื กส่อื การสอน 17 งานวิจัยทเ่ี กี่ยวข้อง 18 บทท่ี 3 วธิ ีกำรดำเนินกำรวจิ ยั วิธีดาเนินการ 19 เคร่ืองมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย สถิติที่ใชใ้ นการวิจัย 20 20 บทที่ 4 ผลกำรวิเครำะหข์ ้อมลู 20 ผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู บทท่ี 5 สรุปผล อภิปรำยผลและข้อเสนอแนะ สรุปผลการทดลอง อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ บรรณำนกุ รม ภำคผนวก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook