การศึกษาวิจยั รปู แบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ออนไลนท์ ส่ี ง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมกจิ กรรมการ เรยี นรู้ออนไลน์ใหม้ คี วามสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ https://drive.google.comc และ Messenger ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 นายกิตพิ งษ์ จันทรเ์ พ็ญ แผนกวิชาชา่ งยนต์ วิทยาลยั การอาชีพองครักษ์ สังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร
ชือ่ : นายกิติพงษ์ จันทร์เพญ็ ชอ่ื วิจยั ในช้ันเรียน : การศึกษารปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรูอ้ อนไลนท์ สี่ ่งผลต่อพฤติกรรมกิจกรรมการ เรยี นรอู้ อนไลน์ใหม้ ีความสขุ โดยการใช้โปรแกรม Facebook รว่ มกับ https://drive.google.comc และMessenger แผนกวิชา : ช่างยนต์ วิทยาลยั การอาชีพองครักษ์ ทปี่ รึกษาโครงการ : นางสวุ นิจ สรุ ยิ พันตรี และคณะผูบ้ รหิ าร ภาคเรียนที่ / ปกี ารศึกษา : 2/2563 บทคดั ยอ่ การศึกษาวจิ ัยรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลนท์ ี่ส่งผลต่อพฤติกรรมกจิ กรรมการเรียนรู้ ออนไลน์ให้มีความสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ https://drive.google.comc และ Messenger ด้วยเหตุนี้ผู้วจิ ยั ได้ให้ความสาคัญกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเนน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคัญ ตาม นโยบาย คนเกง่ คนดี และมีความสุข เป็นการสร้างแรงจูงใจทางการเรียน และนาความรู้ไปใช้ในการประกอบ อาชพี ตามสาขางานยานยนต์ แผนกวิชาชา่ งยนต์ พบวา่ นกั เรยี นนักศึกษา ประเภทอตุ สาหกรรมสาขาวิชาช่าง ยนต์ ทัง้ หมด จานวน36 คน จาแนกเปน็ เป็นเพศชาย 35 คน คิดเป็นร้อยละ 97.20 มีอายุส่วนใหญใ่ นชว่ งอายุ 14-18 จานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 61.10 และอายุช่วง19-23 จานวน 13 คนคิดเป็นร้อยละ 36.10 มี พฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาส่งผลต่อความรับผิดชอบการเรียนรู้ไม่เป็นตามสมรรถนะของแผนกวิชาช่าง ยนต์ วทิ ยาลัยการอาชีพองครักษ์ ไปในทศิ ทางที่อยู่ในระดับดีมาก เม่อื นามาเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ 4.47 อย่าง มีนัยสาคัญที่ 0.05 ทาให้พฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาส่งผลต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามสมรรถนะโดยใช้ Facebookhttps://drive.google.com/Messenger ของแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ ไป ในทิศทางท่ีอยใู่ นระดับดมี าก เมื่อนามาเปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ 4.48 อย่างมีนัยสาคัญที่ 0.05 สรุป การศึกษาวิจัยคร้ังน้ี พบว่า ข้อมูลสอดคล้องเป็นไปตามสมติฐานท่ีว่านักเรียน นักศึกษาของ แผนกวิชาช่างยนต์ มีพฤติกรรมใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของ นักเรียนนักศึกษาโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับhttps://drive.google.comc และMessenger ไม่แตกต่างจากรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์แบบ Google classroom และรูปแบบอ่ืน อย่าง ไม่มีนัยสาคัญท่ี 0.05 (มีจานวนทงั้ สิ้น 34 หนา้ ) สาคัญ : _______________________________________________________ผู้วจิ ยั
กติ ตกิ รรมประกาศ การศกึ ษาวิจัย รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรยี นรูอ้ อนไลน์ ท่ีสง่ ผลต่อพฤติกรรมกจิ กรรมการ เรียนรูอ้ อนไลน์ใหม้ คี วามสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกบั https://drive.google.comc และ Messenger คร้งั นี้สาเร็จลลุ ว่ งไปดว้ ยดี ดว้ ยความกรณุ าจากบุคคลและฝา่ ยตา่ งๆ ทใ่ี หค้ วามรู้ ความ ชว่ ยเหลือแนะนา ซง่ึ ผวู้ จิ ัยของกราบขอบพระคุณ นางสวุ นจิ สุริยพันตรี ผอู้ านวยการ และรองผู้อานวยการ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ทุกท่าน ท่ีใหก้ ารสนบั สนุนการวิจยั ตลอดจน คณะครู และเจ้าหนา้ ที่ นกั เรยี น นักศึกษา ทใี่ ห้ความชว่ ยเหลอื การสร้างเครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ยั จนสามารถทาการวจิ ัย ได้สาเร็จ สุดทา้ ย ผ้วู ิจยั หวงั เปน็ อยา่ งย่ิงวา่ งานวจิ ัยจะเปน็ ประโยชนไ์ มม่ ากกน็ อ้ ย ในการนาเสนอข้อมูลไป พฒั นากจิ กรรมการเรียนและการสอนของครู และพฒั นารูปแบบของงานวิจยั เพ่ือนาไปใช้วิจยั พัฒนาผเู้ รยี น เพอื่ ให้เกิดประโยชนต์ ่อสถานศกึ ษา วิทยาลัยการอาชีพองครกั ษ์แหง่ นี้ต่อไป
บทท่ี 1 บทนา 1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของการวจิ ัย การพัฒนาประเทศไทยตามแผนพัฒนาแห่งชาติฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) ประเทศไทยจะ ยังคงประสบสภาวะแวดล้อมและบริบทของการเปล่ียนแปลงต่างๆ ท่ีอาจก่อให้เกิดความเส่ียงท้ังจากภายใน และภายนอกประเทศ อาทิ กระแสการเปิดเศรษฐกิจเสรี ความท้าทายของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีการพัฒนา ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การพัฒนาเหล่านี้ จาเป็นต้องอาศัยปัจจัยหลาย ๆ ประการเกื้อหนุนกัน แต่ ปัจจัยหลักของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ท่ีมีคุณภาพ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติกาหนดให้ระบบ การศึกษา มีการพัฒนาบุคคลให้มีคุณสมบัติท้ังทางด้านสมรรถภาพทางร่างกายแข็งแรงและจิตใจท่ีดี มี สติปัญญา มีความรู้ความสามารถและการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารสารสนเทศในการเรียนรู้ส่ิงใหม่ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นสถานศึกษาจึงเปน็ แหล่งอันประกอบไปดว้ ยทรัพยากรที่มีความพร้อมในการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ และผทู้ ี่มีบทบาทสาคัญต่อการพฒั นาคือ ครู การดาเนนิ งานจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับนักเรียนตาม หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เป็นประชากรของการ ศึกษาวิจัยเพ่ือพัฒนา ระบบการจัดการเรียนรู้นรูปแบบออนไลน์ที่มีอยู่อย่างมากมายในปัจจุบัน ได้ใช้ เทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วยเพ่ือเพ่ิม ความน่าสนใจและสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเพราะในปัจจุบันแหล่ง ความรู้ใหม่ๆเกิดข้ึนมากมายและ เปล่ียนแปลงตลอดเวลาซ่ึงการนาเทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วยจะสามารถ ส่งเสรมิ ศกั ยภาพใหผ้ ู้เรยี นมีความรูร้ อบ ดา้ นและสามารถตอบสนองตอ่ การเรียนรู้ไดร้ วดเร็วแต่อย่างไรก็ตาม ในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ ออนไลน์ก็ยังสอดแทรกเนื้อหาสาระองค์ความรู้หลักเป็นสาคัญและ การเรยี นการสอนแบบออนไลน์ มาจดั การเรียนการสอนใหส้ อดคล้องตามพฤติกรรมของนกั เรียน นกั ศึกษาที่ ส่งผลต่อกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ให้มีความสุขในการใช้โปรแกรม Facebook ประกอบการเรียนทาให้ เรียน https://drive.google.com/Messenger ของ แผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอชีพองครกั ษ์ อาเภอ องครกั ษ์ จังหวดั นครนายก จากการศึกษาข้อมูลเบอ้ื งต้นของความพร้อมในการเรียนออนไลน์ทาให้ผู้วจิ ัยที่ประกอบอาชพี ครูได้ เห็นความสาคัญเป็นรูปแบบหนึ่งที่นิยมมาใช้เพ่ือศึกษาพฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาที่ส่งผลต่อกิจกรรม ก า ร เ รี ย น รู้ อ อ น ไ ล น์ ใ ห้ มี ค ว า ม สุ ข ใ น ก า ร ใ ช้ โ ป ร แ ก ร ม Facebook ป ร ะ ก อ บ ก า ร เ รี ย น https://drive.google.comc และMessenger ของประชากรกลุ่มตัวอย่างท่ีทาการสอนระดับปวช.และ ปวส.ของแผนกวชิ าช่างยนต์ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 วิทยาลัยการอาชพี องครกั ษ์
ความสาคญั ของการศกึ ษาค้นควา้ 2 การศึกษาวิจัยครั้งนี้ จะทาให้ทราบถึงรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ที่ส่งผลต่อ พฤติกรรมกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ให้ มีความสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ https://drive.google.comc และMessenger มีความพึงพอใจและเป็นท่ีนิยมของกลุ่ม ประชากรนักเรียน นักศกึ ษา ของแผนกวชิ าชา่ งยนต์ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ มากนอ้ ยเพียงใด 1.2 จดุ มุ่งหมายของการวจิ ยั 1.2.1 เพือ่ ทราบข้อมูลถงึ รปู แบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของนักเรยี น นักศึกษาโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับhttps://drive.google.comc และMessenger ของกลุ่ม ประชากรนักเรยี น นักศกึ ษา ของแผนกวิชาช่างยนต์ วทิ ยาลยั การอาชพี องครกั ษ์ 1.2.2 เพ่ือศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของ นักเรียน นักศึกษาโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับhttps://drive.google.comc และMessenger กับรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์แบบอื่น ของกลุ่มประชากรนักเรียน นักศึกษา ของแผนกวิชา ชา่ งยนต์ วิทยาลยั การอาชพี องครักษ์ 1.3 ขอบเขตของการศึกษาค้นควา้ 1.3.1 ประชากร กลุ่มตัวอย่างเป็น นักเรียน นักศึกษา ที่ครูผู้นั้นใช้รูปแบบการเรียนการสอนของแผนก วิชาช่างยนต์ วทิ ยาลัยการอาชพี องครกั ษ์ 1.3.2 ระยะเวลาทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาวจิ ัยครัง้ น้ี ของภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2563 1.4 เน้อื หาท่ใี ช้ในการศึกษาวจิ ัยคือ 1.4.1 การศกึ ษารปู แบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ออนไลน์ทีส่ ง่ ผลตอ่ พฤตกิ รรมของนักเรยี น นักศกึ ษา โดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับhttps://drive.google.comc และMessenger ของกลุ่มประชากร นักเรยี น นักศกึ ษา ของแผนกวชิ าชา่ งยนต์ วิทยาลยั การอาชพี องครกั ษ์ 1.5 ตวั แปรทศี่ ึกษา 1.5.1 ตัวแปรต้น คือ นักเรียนแผนกวิชาช่างยนต์ที่ครูผู้สอนใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ออนไลน์หอ้ งเรียนน้นั 1.5.2 ตัวแปรตาม คือรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับhttps://drive.google.comc และMessenger กับ รูปแบบการจัดกจิ กรรมการเรียนรอู้ อนไลน์แบบอื่น 1.6 สมมุตฐิ านในการวิจัย 1.6.1 นักเรียน นักศึกษาของแผนกวิชาช่างยนต์ มีพฤติกรรมใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ อhtอtpนsไ:/ล/นd์rทivี่สe่ง.gผoลoตgl่อeพ.coฤmติกcรแรลมะขMอeงssนeักnเgรeียr นไมน่แักตศกึตก่าษงาจโาดกรยูปกแาบรบใกช้าโรปจรัดแกกิจรกมรรมFกaาcรeเbรoียoนkรู้อรอ่วนม3ไกลันบ์ แบบอน่ื 1.6.2 นักเรียน นักศึกษาของแผนกวิชาช่างยนต์ มีพฤติกรรมใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ออนไลน์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของนักเรียนนักศึกษาโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ
https://drive.google.comc และMessenger แตกต่างจากรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ แบบอ่นื 1.7 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ นักเรียน นักศึกษา หมายถึง ผู้ที่กาลังศึกษาอยู่ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และ หลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี ชัน้ สงู (ปวส.) ครูผู้สอนหมายถึง ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทาการสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และ หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนออนไลน์ 1.6 ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะได้รบั 1.6.1 การศกึ ษาขอ้ มลู ครั้งนี้ ทาให้ทราบถึงขอ้ มูลรูปแบบการจัดการเรยี นการออนไลน์ที่มคี วามนิยม เหมาะกับวยั ของผู้เรยี น 1.6.2 การศึกษาวิจัยคร้ังนี้ เป็นประโยชน์ต่อครูผู้สอน การนาข้อมูลรูปแบบการจัดการเรียนการ ออนไลน์ที่มีความนิยมเหมาะกับวัยของผู้เรียนไปปรับปรุงพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ และมีวิธีการพัฒนา รูปแบบกรบวนการเรียนการสอนนักเรียนนักศึกษาให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มี คณุ ภาพสมารถนาความรู้ไปประกอบอาชีพทาคุณประโยชนต์ ่อสังคมและประเทศชาติสบื ไป
บทที่ 2 เอกสารและทฤษฎที เี่ กยี่ วข้อง 2.1 แนวความคดิ หรอื ทฤษฎี ทีเ่ กีย่ วข้องกับเรอื่ งท่ีทาการศกึ ษาวจิ ัยกลา่ วคือ การศึกษารูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมกิจกรรมการเรียนรู้ ออนไลน์ให้มีความสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ https://drive.google.comc และ Messenger มีความพึงพอใจและเป็นที่นิยมของกลุ่ม ประชากรนักเรียน นักศึกษา ของแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาค้นคว้า และจัดลาดับ ตามสาระดงั น้ี 1. การจัดการเรยี นการสอนในรูปแบบออนไลน (Google Classroom) 2. การจดั การเรยี นการสอนในรูปแบบออนไลน Faecbook 3. ทฤษฎแี รงจงู ใจ 4. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ เบนจามนิ บลมู และคณะ (Bloom et al, 1956) 1. การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน (Google Classroom) อ้างถึง นายมณเฑียร นันทะศรงานวิจัย : ศึกษาระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนใน รูปแบบออนไลน์ (Google Classroom) ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนตามอัธยาศัย อาเภอห้างฉัตรจังหวัด ลาปาง สาหรบั การจดั การเรยี นการสอนในรูปแบบออนไลน์ในปัจจุบันไดใ้ ช้เทคโนโลยีเข้ามารว่ มด้วยเพื่อเพ่ิม ความน่าสนใจและสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเพราะในปัจจุบันแหล่งความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นมากมายและ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาซ่ึงการนาเทคโนโลยีเข้ามาร่วมด้วยจะสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ผู้เรียนมีความรู้ รอบ ด้านและสามารถตอบสนองต่อการเรียนรู้ได้รวดเร็วแต่อย่างไรก็ตามในการจัดการเรียนการสอนใน รูปแบบ ออนไลน์ก็ยังสอดแทรกเนื้อหาสาระองค์ความรู้หลักเป็นสาคัญและการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ซึง่ เปน็ ระบบ บริหารจดั การเรยี นการสอนที่มีฟังกช์ ่ันการทางานทีส่ นับสนนุ ต่อการจัดการเรียนการสอนอย่าง การใช้ Google Application ซึ่งเป็นรูปแบบหน่ึงท่ีนิยมใช้ในการเรียนการสอนแบบออนไลน์ท่ีจะนามาช่วย ให้ผู้เรียนได้พัฒนา กระบวนการคิดการทางานการสบื คน้ ข้อมูลและการแสวงหาความรูด้ ้วยตนเองมากยิ่งขึ้น สาหรบั google Classroom เป็นฟังกช์ นั บรกิ ารอีกรปู แบบหนึง่ ใน Application ของ Google Application ซ่ึงเป็นระบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ที่ให้บริการบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตด้วยผู้ใช้ไม่ ต้องติดตั้ง ระบบเองแต่ผู้ใช้ต้องมีบัญชีผู้ใช้งาน Gmail ของ Google เพื่อใช้สาหรับการใช้โดยใช้ Google assistance ก็จะมีความหลากหลายท่ีจะนามาใช้งานเช่น google ไดรฟ์เพื่อเป็นพ้ืนท่ีในการจดั เก็บเอกสารและ Google classroom ท่ีสามารถนามาจัดการเรียนการสอนและจัดการเรียนรู้ในการอัพโหลดเอกสาร ประกอบการ สอนการจัดทาการบ้านในงานรวมทั้งทาแบบทดสอบออนไลน์เพ่ือเพ่ิมความสะดวกและรวดเร็วใน การ ส่ือสาร จากที่กล่าวมาข้างต้นพบวา่ การเรยี นการสอนในรูปแบบออนไลน์มีความสาคัญอย่างมากในการเรยี น การสอนในยุคปัจจุบนั โดยเฉพาะกบั ผู้เรยี นท่ีมีปญั หาในเร่ืองของการพบกลุ่มไม่ต่อเน่ือง บางคนไม่มเี วลาใน
5 การมาพบกลุ่ม ดังน้ันในงานวิจัยนี้จึงได้ศึกษาระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนรูปแบบ ออนไลน์ (Google Classroom) ท่ี กศน.ตาบลห้างฉัตร ได้ดาเนินการทดลองให้กับผู้เรียนในกลุ่มที่มีความ พร้อมในการ เรียนรู้ ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๒ ซ่ึงเปน็ การเพิม่ ความสามารถในการจัดการเรยี นการ สอนใหม้ ี ประสิทธิภาพมากย่ิงข้ึน สรุป การจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ ท่ีมีประสิทธิภาพของ Google Classroom จาก การศึกษามีรูปแบบในการสร้างมีข้ันตอนสลับซับซ้อนการที่ใช้รูปแบบต้องมีความรู้ในการใช้ระบบท้ังผู้สอน และผเู้ รียนและเปน็ ระบบปิดผทู้ ี่ไดร้ บั อนญุ าตจึงจะสามารถเขา้ หอ้ งเรียนได้ 2. การจัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน Faecbook อีเลิร์นน่ิงอใน้างกถาึงรยเรุวียนนุชกการุลสาอตนี แขลอะพงมัชหรานวิกิทายนาตล์พัยงนษค์ธรนพู กนามรศ: กึกรษณาพีศฤึกตษิการนรักมศกึกาษราใชค้เณฟะสวบิทุ๊คยแากลาะรรจะัดบกบาเรอ6็นแพลียะู เทคโนโลยีสารสนเทศและคณะศลิ ปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนครพนม ปัจจุบนั สอื่ สงั คมออนไลน์ (Social Media) และ เครือข่ายสงั คมออนไลน์ (Social Network) ได้เข้า มามีสว่ น เก่ียวขอ้ งกบั ชีวิตประจา วนั ของผูค้ นทุกวัย ไม่วา่ จะเป็นวัยเด็ก วยั เรียน วัยทา งาน หรอื แมก้ ระท่ัง วัยเกษียณ ทุกคนต่างรู้จักและ เก่ียวข้องกับสื่อสังคมออนไลน์และ Social Network ด้วยกัน ทั้งสิ้น เน่ือง ดว้ ยสองคา น้มี าพร้อมกบั ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์ ทั้งดา้ นฮารด์ แวร์และซอฟต์แวร์ พบได้ จากปัจจุบัน ทุกเพศทุกวัยใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฟน (Smart Phone) แท็บเลท (Tablet) ในการติดต่อส่ือสาร กันผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์และ Social Network ราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได้กา หนดให้ศัพท์ บัญญัติ ของคา ภาษาอังกฤษ Social Media ว่าส่ืออิเล็กทรอนิกส์ เป็นสื่อกลางท่ีให้บุคคลท่ัวไปมีส่วนร่วมในการ สร้างและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ (ศรีเชาวน์ วิหคโต. 2556) ปัจจุบันมีสื่อสังคม ออนไลน์จา นวนมากท่ีให้บริการบนอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นเฟสบุ๊ค (Facebook) ทวีตเตอร์ (Twitter) อินสตาแกรม (Instagram) พินเตอร์เรส (Pinterest) ยูทูบ (Youtube) มายสเปซ (Myspace) ลิงค์อิน (Linkin) กูเกิ้ลพลัส (Google+) สไกป์ (Skype) ฯลฯ ให้ผู้ใช้สามารถติดตั้งไว้ใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ในการ ใช้งานส่ือสังคมออนไลน์มีผลต่อการดา เนินชีวิตประจา วัน ของผู้คนท่ีเปลี่ยนไป เพราะมีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์และ แบ่งปันข้อมูลร่วมกันผ่านทางส่ือสังคมออนไลน์มากขึ้น เช่น สามารถอ่านหนังสือพิมพ์ สามารถตรวจสอบสภาพการจราจร ในเส้นทางหลัก สามารถนา รูปภาพ วดี ีโอเพ่ือเผยแพรท่ าง อินเตอร์เน็ต ได้ หรือสามารถขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้ เป็นต้น การติดต่อสื่อสารโดยใช้โซเชียลมีเดีย (Social Media) มีทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น การติดต่อส่ือสาร ในระบบ Moodle และ Blackboard เป็นการติดต่อสื่อสารอย่างเป็นทางการ เนื่องจากเป็นส่วนเสริมช่วยการทา งานต่างๆ ที่มีใน ระบบเช่น Announcement, Blogs, Discussion Board, Groups, Tasks, Unit Messages เป็นต้น ซ่ึง ส่วนเสริมเหล่านี้ มีไว้สา หรับอาจารย์และนักศึกษาในรายวิชา ใช้ติดต่อสื่อสาร และ แลกเปลี่ยนความ คิดเห็น แต่ Facebook เป็นช่องทางการสื่อสาร (Communication Channel) แบบไม่เป็นทางการ เน่ืองจากใช้ ในการติดต่อส่ือสารเรื่องท่ัวไป แต่ก็สามารถปรับให้ Facebook ติดต่อส่ือสารแบบทางการเพื่อ การศึกษาได้ งานวิจัยของ Lenhart, et al. (2010) และ Witrek & Grettano. (2012) พบว่าในปี 2009 วัยรุ่นท่ีมีช่วงอายุระหว่าง 12-17 ปี ร้อยละ 73 ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการติดต่อส่ือสารเป็นประจา
ร้อยละ 83 ใส่คา แนะนา ให้เพื่อนๆ ที่ Post รูป ร้อยละ 77 ส่งข้อความให้เพ่ือนๆ ตัวเลขทั้งหมดที่กล่าวมา นั้น ทา ให้เห็นว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์มีอิทธิพลต่อกลุ่มวัยรุ่นเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับงานวิจัยของ Allen & Nelson (2013) พบว่า วัยรุ่นร้อยละ 95 ใช้งานออนไลน์บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ตลอดเวลา จะเห็นได้ว่าการนา Facebook มาใช้ในการศึกษา และติดต่อสื่อสารในกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวถือว่าเป็นเร่ืองที่ น่าสนใจ เนื่องจากช่วยให้กลุ่มวัยรุ่นมีแรงกระตุ้นทจี่ ะพัฒนาความรแู้ ละ สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้ อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ระบบ e-Learning มีการใช้การติดต่อสื่อสาร ท้ังแบบ ทางเดียวและสองทาง (Synchronous and Asynchronous) เป็นการเรียนการสอนที่ใช้ได้ตลอด 24 ช่ัวโมง ทุกที่ ทุกเวลา แต่ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยของ Chou & Pi (2015) พบว่า เป็นระบบที่ใช้งานง่าย สะดวก และทันสมัยมีผลต่อ ความ ตอ้ งการในการใช้ระบบของผู้เรยี น ในปัจจุบนั Facebook เป็นหนง่ึ ในกระแสหลักบนเว็บไซตเ์ ครือข่าย สังคมออนไลน์ ท่ีเป็นที่นิยมมาก และสอดรับกับผลการวิจัยของ Chou & Pi ข้างต้น เพราะมีผู้ใช้สามารถ โพสต์ สนทนา แลกเปล่ียน ข้อมูลและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนผ่านเครือข่ายสังคม ออนไลน์ อีกท้ังในปี 2012 Facebook ได้เพิ่มช่องทางการติดต่อส่ือสารระหว่างบุคลากรในสถานศึกษาให้สามารถสร้าง กลุ่มใน Facebook ได้ และยังสามารถสนทนาโต้ตอบได้ทันที (Interactivity) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ท่ีสา คัญท่ี ได้รับ จากเครือข่ายสังคมออนไลน์ จากงานวิจัยของ Cerda, & Planas. (2011) ยังพบอีกว่าควรนา Facebook มาใช้ใน ชั้นเรียน เนื่องจาก Facebook มีการทา งานร่วมกันของ เทคโนโลยีตามแนวทางของ โซเชียลมเี ดีย (Social Media) มาปรับใช้ในการเรยี นการสอนเพื่อความสา เร็จในการติดต่อส่ือสาร และเพิ่ม ความพึงพอใจให้กบั ผใู้ ช้งาน ในการจดั การเรยี นการสอนในปัจจุบัน จะเหน็ ไดว้ ่า การศึกษากบั เทคโนโลยีเป็น ส่ิงท่ีสา คัญที่จะต้องไปคู่กันเสมอ เน่ืองจากการใช้เทคโนโลยีเป็นการส่งเสริมการศึกษาสามารถ ช่วยสืบค้น ข้อมูล งานวิจัยต่างๆ ที่สนับสนุนการศึกษาท่ัวโลกอย่าง ไร้พรมแดน ผู้สอนจะต้องทาส่ือ การสอนเพ่ือให้ ผู้เรียนเกิดความ เข้าใจมากข้ึน โดยอาจจัดทาคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือซเี อไอ (CAI) คอื สอ่ื ทใ่ี ชใ้ นการเรยี น การสอนอยา่ งหน่ึง ซเี อไอ CAI คล้ายกับสือ่ การสอนอน่ื ๆ เชน่ วิดีโอ ช่วยสอน บัตรคา ช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนจะดีกว่าเพราะส่ือการสอน ซ่ึงก็คือ คอมพิวเตอร์น้ัน สามารถโต้ตอบกับผู้เรียนได้ หรือผู้สอนอาจสร้างเว็บไซต์รายวิชา หรือระบบการเรียนการ สอนผ่านส่ืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) มหาวิทยาลัยนครพนมได้เปิดใช้ระบบการเรียนการสอนผ่าน สื่อ อิเล็กทรอนิกส์ หรือ NPU e-learning ซ่ึงเป็นระบบการเรียน การสอนในรูปแบบการเรียนการสอนบนเว็บ (Web-based Learning) การเรยี นออนไลน์ (Online Learning) ให้อาจารย์ ผ้สู อนได้สร้างรายวิชาทส่ี อนใน แต่ละภาคการศึกษา โดยอาจารย์ สามารถสร้างเนื้อหารายวิชา อัพโหลดเอกสารประกอบการสอน สร้าง กิจกรรมในช้ันเรียน สร้างแบบฝึกหัด พร้อมทั้งสร้างแบบ ทดสอบต่างๆ ผ่านระบบ NPU e-Learning และ นักศึกษาสามารถ เข้าถึงเน้ือหารายวิชาที่อาจารย์ได้ทาการอัพโหลดไว้ ผ่านระบบ NPU e-Learning สามารถสง่ แบบฝึกหัด หรอื เขยี นขอ้ สงสยั หรือ ขอ้ ซักถามสง่ ให้อาจารย์ผา่ นระบบ NPU e-Learning ได้ การ ใช้ ระบบ NPU e-Learning ทา ใหส้ ามารถสรา้ งระบบการเรียน การสอนไดค้ รอบคลมุ มากทสี่ ดุ ทั้งส่วนของ เอกสารประกอบ การสอน การส่งงาน การบ้าน รวมทั้งการสอบเก็บคะแนน ช่วยประหยดั เวลาเก็บรวบรวบ งานและตรวจข้อสอบของผู้สอน แต่เนื่องจากในปัจจุบันผู้สอนและผู้เรียนมีการใช้ Facebook เป็นประจา ทุกวันและมีการสร้างกลุ่มรายวิชา เพ่ือติดต่อ ส่ือสารกันทางกลุ่มรายวิชาใน Facebook มากกว่า ทั้งการ
7 แจ้ง ประกาศ การนัดหมายต่างๆ การอัพโหลดเอกสารประกอบ การเรียนการสอน จึงทา ให้การแจ้ง ประกาศต่างๆ ในระบบ e-Learning อาจจะไม่ท่ัวถึง เพราะผู้เรียนบางคนอาจไม่ได้เข้าระบบ e-Learning ทกุ วนั ในขณะที่ Facebook มีการเข้าใชง้ าน ทุกคนและทุกวนั ทา ใหผ้ วู้ ิจัยต้องการศกึ ษาเก่ยี วกบั พฤติกรรม การใช้งานระบบ NPU e-Learning ของมหาวิทยาลัยนครพนม กับพฤติกรรมการใช้งาน Facebook ของ นักศึกษาในปัจจุบัน เพ่ือนาข้อมูลเหล่าน้ันมาวิเคราะห์ และพัฒนาโปรแกรมเพื่อเช่ือม ระบบ NPU e- Learning กบั Facebook ให้สามารถดึงข้อมลู ที่ มีการอัพเดท ขา่ วประกาศต่างๆ บนระบบ e-Learning มา แสดง ใน Facebook ได้ ซึ่งจะทา ให้ผู้เรียนไม่ต้องเข้าระบบ e-Learning เพื่อตรวจสอบข่าวประกาศต่างๆ แตก่ ารเขา้ Facebook ทุกๆ วนั กท็ า ให้เข้าถึงขา่ วประกาศตา่ งๆ ไดเ้ ช่นกนั สรุป การจัดการเรียนการสอนรูปแบบออนไลน์ ท่ีมีประสิทธิภาพของ Facebook เป็นท่ีนิยมของบุ คลท่ัวไปสามารถควบคมุ และต้ังค่าเป็นระบบปิดหรอื เปิดให้บุคลท่ัวไปท่ีใช้ Facebook เข้าถึงได้โดยง่ายและ แต่ระบบจะไม่มีระบบใช้สาหรับการทดสอบความรู้ความสามารถของผู้เรียนจึงต้องใช้ร่วมกับระบบอ่ืนๆ ให้ เกิดประสิทธภิ าพเชื่อมโยงได้ไมส่ ลับซบั ซอ้ น ใช้เป็นระบบสารสนเทศในการส่ือสารได้ดี 3. ทฤษฎีแรงจงู ใจ อ้างถงึ บทความhttps://sites.google.com/site/httpbitly42331316/ (สบื ค้น 10 เมษายน พ.ศ. 2564 ) อับราฮัม มาสโลว์ (A.H.Maslow) ค้นหาวิธีที่จะอธิบายว่าทาไมคนจึงถูกผลักดันโดยความต้องการ บางอย่าง ณ เวลาหน่ึง ทาไมคนหนึ่งจึงทุ่มเทเวลาและพลังงานอย่างมากเพ่ือให้ได้มาซึ่งความปลอดภัยของ ตนเองแต่อีกคนหนึ่งกลับทาสิ่งเหล่าน้ัน เพ่ือให้ได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อ่ืน คาตอบของมาสโลว์ คือ ความต้องการของมนุษย์จะถูกเรียงตามลาดับจากส่ิงท่ีกดดันมากท่ีสุดไปถึงน้อยท่ีสุด ทฤษฎีของมาสโลว์ได้ จดั ลาดบั ความต้องการตามความสาคัญ คือ 1.1 ความต้องการทางกาย (physiological needs) เป็นความต้องการพื้นฐาน คือ อาหาร ท่ีพัก อากาศ ยารักษาโรค 1.2 ความต้องการความปลอดภัย (safety needs) เป็นความต้องการท่ีเหนือกว่า ความต้องการ เพ่ือความอยู่รอด เปน็ ความต้องการในด้านความปลอดภัยจากอนั ตราย 1.3 ความต้องการทางสงั คม (social needs) เป็นการต้องการการยอมรับจากเพ่ือน 1.4 ความต้องการการยกย่อง (esteem needs) เป็นความต้องการการยกย่องส่วนตัว ความนับ ถือและสถานะทางสังคม 1.5 ความต้องการให้ตนประสบความสาเร็จ (self – actualization needs) เป็นความต้องการ สูงสดุ ของแตล่ ะบุคคล ความต้องการทาทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งได้สาเร็จ บุคคลพยายามท่ีสร้างความพึงพอใจให้กับความต้องการที่สาคัญที่สุดเป็นอันดับแรกก่อนเมื่อความ ต้องการน้นั ได้รบั ความพงึ พอใจ ความต้องการนนั้ ก็จะหมดลงและเปน็ ตวั กระตุ้นใหบ้ ุคคลพยายามสร้างความ พึงพอใจให้กับความต้องการที่สาคัญท่ีสุดลาดับต่อไป ตัวอย่าง เช่น คนท่ีอดอยาก (ความต้องการทางกาย) จะไม่สนใจต่องานศิลปะช้ินล่าสุด (ความต้องการสูงสุด) หรือไม่ต้องการยกย่องจากผู้อ่ืน หรือไม่ต้องการ
8 แม้แต่อากาศที่บริสุทธิ์ (ความปลอดภัย) แต่เม่ือความต้องการแต่ละข้ันได้รับความพึงพอใจแล้วก็จะมีความ ตอ้ งการในขนั้ ลาดับตอ่ ไป 2.1 ทฤษฎีแรงจูงใจของฟรอยด์ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( S. M. Freud) ต้ังสมมุติฐานว่าบุคคลมักไม่รู้ตัว มากนกั ว่าพลังทางจติ วิทยามีสว่ นชว่ ยสร้างให้เกิดพฤติกรรม ฟรอยดพ์ บวา่ บุคคลเพม่ิ และควบคมุ สิง่ เร้าหลาย อย่าง ส่ิงเร้าเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมอย่างส้ินเชิง บุคคลจึงมีความฝัน พูดคาท่ีไม่ต้ังใจพูด มีอารมณ์ อยู่เหนอื เหตผุ ลและมีพฤตกิ รรมหลอกหลอนหรอื เกดิ อาการวติ กจรติ อยา่ งมาก ขณะที่ ชาริณี (2535) ได้เสนอทฤษฎีการแสวงหาความพึงพอใจไว้ว่า บุคคลพอใจจะกระทาส่ิงใดๆ ที่ให้มีความสุขและจะหลีกเล่ียงไม่กระทาในส่ิงที่เขาจะได้รับความทุกข์หรือความยากลาบาก โดยอาจแบ่ง ประเภทความพอใจกรณีนไ้ี ด้ 3 ประเภท คือ ความพอใจด้านจิตวิทยา (psychological hedonism) เป็นทรรศนะของความพึงพอใจว่ามนุษย์ โดยธรรมชาติจะมคี วามแสวงหาความสขุ ส่วนตัวหรือหลกี เลีย่ งจากความทกุ ข์ใดๆ ความพอใจเกี่ยวกับตนเอง (egoistic hedonism) เป็นทรรศนะของความพอใจว่ามนุษย์จะพยายาม แสวงหาความสขุ ส่วนตวั แต่ไม่จาเป็นวา่ การแสวงหาความสขุ ตอ้ งเปน็ ธรรมชาตขิ องมนุษย์เสมอไป ความพอใจเก่ียวกับจริยธรรม (ethical hedonism) ทรรศนะว่ามนุษย์แสวงหาความสุขเพ่ือผล ประโยชนข์ องมวลมนุษยห์ รอื สังคมทต่ี นเปน็ สมาชิกอยูแ่ ละเป็นผูไ้ ด้รบั ผลประโยชน์ผู้หน่งึ ด้วย สรปุ การนาทฤษฎีแรงจงู ใจมาใช้วดั ความต้องการหรือความพึงพอใจของประชากรทาให้เราทราบ ระดับความพึงพอใจของประชากรทัศนะคติของผู้คนท่ีผู้วิจัยได้ทาการศึกษาจึงมีความจาเป็นท่ีผู้วิจัยต้องนา หลักการมาใช้เพื่อเปรียบเทียบกันมีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันหรือมีความแต่กต่างทางหลักสถิติ ตอ่ ไป 4. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ เบนจามนิ บลมู และคณะ (Bloom et al, 1956) อ้างถึงใน https://sites.google.com/site/anansak2554/ (สืบค้นวันที่ 11 เมษายน 2564) ได้ จาแนกจุดมงุ่ หมายการเรียนรูอ้ อกเป็น 3 ดา้ น คอื 1. ด้านพทุ ธพิ ิสยั (Cognitive Domain) 2. ดา้ นทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) 3. ดา้ นเจตพิสยั (Affective Domain) พทุ ธิพสิ ยั (Cognitive Domain) พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเก่ียวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคดิ เรอ่ื งราวต่างๆ อย่างมปี ระสิทธิภาพ ซง่ึ เป็นความสามารถทางสตปิ ญั ญา 9 พฤติกรรมทางพทุ ธพิ สิ ยั 6 ระดับ ไดแ้ ก่
1. ความรู้ความจา ความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ จากการท่ีได้รับรู้ไว้และ ระลึกสิ่งน้ันได้เมื่อต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวีดิทัศน์ที่สามารถเก็บเสียงและภาพของเร่ืองราว ตา่ งๆได้ สามารถเปดิ ฟังหรอื ดภู าพเหล่านน้ั ได้ เม่อื ตอ้ งการ 2. ความเข้าใจเป็นความสามารถในการจับใจความสาคัญของสือ่ และสามารถแสดงออกมาในรปู ของ การแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรอื การกระทาอนื่ ๆ 3. การนาความรู้ไปใช้ เป็นข้ันที่ผู้เรียนสามารถนาความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในกาแก้ปัญหาใน สถานการณ์ตา่ ง ๆ ได้ ซึ่งจะตอ้ งอาศัยความรู้ความเข้าใจ จงึ จะสามารถนาไปใช้ได้ 4. การวเิ คราะห์ ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเร่ืองราวส่ิงต่าง ๆ ออกเป็นส่วนย่อย เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญได้ และ มองเห็นความสัมพนั ธ์ของส่วนท่เี กีย่ วขอ้ งกัน ความสามารถในการวเิ คราะห์จะแตกตา่ งกันไปแลว้ แต่ความคิด ของแตล่ ะคน 5. การสังเคราะห์ ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเร่ืองราวเดียวกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดส่ิงใหม่ท่ี สมบรู ณแ์ ละดีกว่าเดิม อาจเป็นการถา่ ยทอดความคิดออกมาใหผ้ ู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกาหนดวางแผนวิธีการ ดาเนินงานข้ึนใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งท่ีเป็นนามธรรมขึ้นมาใน รปู แบบ หรือ แนวคิดใหม่ 6. การประเมินคา่ เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรม อย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ซ่ึงอาจเป็นไปตามเน้ือหาสาระในเร่ืองน้ัน ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคม ยอมรบั ก็ได้ จิตพิสยั (Affective Domain)(พฤติกรรมด้านจติ ใจ) ค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซ้ึง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจ ไม่เกิดขึ้นทันที ดงั นนั้ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม แลสอดแทรกสิ่งท่ี ดีงามอย่ตู ลอดเวลา จะทาให้พฤตกิ รรมของผู้เรยี นเปลีย่ นไปในแนวทางท่ีพึงประสงค์ได้
10 ดา้ นจิตพสิ ยั จะประกอบด้วย พฤตกิ รรมยอ่ ย ๆ 5 ระดบั ไดแ้ ก่ 1.การรบั รู้ ... เปน็ ความร้สู ึกทเ่ี กิดข้นึ ตอ่ ปรากฎการณ์ หรือสงิ่ เร้าอย่างใดอยา่ งหนึง่ ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้นว่าคืออะไร แล้วจะแสดงออกมาในรูปของ ความรู้สึกทเ่ี กิดขึน้ 2. การตอบสนอง ...เป็นการกระทาที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม และพอใจต่อสิ่ง เร้าน้ัน ซึ่งเป็นการตอบสนองทเ่ี กิดจากการเลือกสรรแลว้ 3. การเกิดค่านิยม ... การเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นท่ียอมรับกันในสงั คม การยอมรับนับถือในคุณค่า นน้ั ๆ หรอื ปฏบิ ัติตามในเรอื่ งใดเรื่องหน่ึง จนกลายเปน็ ความเชื่อ แลว้ จึงเกิดทัศนคตทิ ดี่ ีในสง่ิ นนั้ 4. การจดั ระบบ ... การสรา้ งแนวคดิ จัดระบบของคา่ นยิ มท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัยความสัมพนั ธ์ ถ้าเขา้ กันไดก้ ็จะยดึ ถือตอ่ ไปแต่ถา้ ขัดกันอาจไมย่ อมรบั อาจจะยอมรบั คา่ นิยมใหมโ่ ดยยกเลิกค่านยิ มเกา่ 5. บุคลิกภาพ ... การนาค่านิยมท่ียึดถือมาแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นนิสัยประจาตัว ให้ประพฤติปฏบิ ตั ิ แต่ส่ิงท่ีถูกต้องดีงามพฤติกรรมด้านนี้ จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจ ซึ่งจะเร่ิมจากการได้รับรู้จาก สิง่ แวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏกิ ริ ยิ าโต้ตอบ ขยายกลายเป็นความร้สู กึ ดา้ นตา่ ง ๆ จนกลายเป็นค่านิยม และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ ซึ่งจะเป็นควบคุมทิศทางพฤติกรรมของคน คนจะรู้ดีรู้ช่ัวอย่างไรนน้ั ก็เปน็ ผลของพฤติกรรมด้านน้ี ทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกลา้ มเนือ้ ประสาท) พฤติกรรมท่ีบ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชานิชานาญ ซึ่งแสดงออกมา ได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงานเปน็ ตัวชร้ี ะดบั ของทกั ษะ พฤติกรรมดา้ นทักษะพสิ ยั ประกอบดว้ ย พฤตกิ รรมย่อย ๆ 5 ขัน้ ดังน้ี
11 1.การรับรู้ ... เปน็ การให้ผเู้ รียนได้รบั รู้หลกั การปฏิบัตทิ ี่ถกู ต้อง หรือ เปน็ การเลือกหาตัวแบบทสี่ นใจ 2.กระทาตามแบบ หรือ เครื่องช้ีแนะ ... เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบท่ีตนสนใจและ พยายามทาซา้ เพอื่ ทีจ่ ะใหเ้ กิดทกั ษะตามแบบทตี่ นสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏิบัติงานได้ตามขอ้ แนะนา 3.การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องช้ีแนะ เมื่อได้ กระทาซา้ แล้ว กพ็ ยายามหาความถูกตอ้ งในการปฏบิ ตั ิ 4.การกระทาอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบท่ีเป็นของตัวเองจะกระทาตามรูปแบบน้ัน อย่างต่อเนื่อง จนปฏิบัติงานท่ียุ่งยากซับซ้อนได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง คล่องแคล่ว การท่ีผู้เรียนเกิดทักษะ ได้ ตอ้ งอาศยั การฝกึ ฝนและกระทาอยา่ งสม่าเสมอ 5.การกระทาได้อย่างเป็นธรรมชาติ พฤติกรรมท่ีได้จากการฝึกอย่างต่อเนื่องจนสามารถปฏิบัติ ได้ คลอ่ งแคล่ววอ่ งไวโดยอตั โนมตั ิ เป็นไปอย่างธรรมชาตซิ ง่ึ ถือเปน็ ความสามารถของการปฏบิ ัตใิ นระดบั สูง
บทท่ี 3 วธิ ดี าเนนิ การวจิ ัย การศึกษาคน้ คว้าครงั้ น้ีรปู แบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ออนไลน์ทีส่ ่งผลต่อพฤติกรรมกจิ กรรมการ เรียนรู้ออนไลน์ให้มีความสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ https://drive.google.comc และ Messenger มีความพึงพอใจและเป็นท่ีนิยมของกลุ่ม ประชากรนักเรียน นักศึกษา ของแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพองครกั ษ์ ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2563 ไดด้ าเนินการศกึ ษาตามลาดับดังนี้ 1. การกาหนดประชากร 2. การสรา้ งเครอื่ งมือท่ีใช้ในการวิจัย 3. ทดสอบความเท่ยี งตรง 4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 5. การวเิ คราะห์ข้อมูลตามหลกั สถิติด้วยโปรแกรมสาเร็จรูป 3.1 การกาหนดประชากร 1) ประชากร คือ นักเรียน นักศึกษา ของแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ ท่ีกาลัง ศึกษาอยู่ในหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ(ปวช.) และหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพช้ันสูง(ปวส.) จานวน 40 คน ท่ีผวู้ ิจัยไดท้ าการสอนใชร้ ะบบอยู่ ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2563 3.2 การสร้างเคร่อื งมอื การวิจัย ผวู้ จิ ยั ศกึ ษาจากหลักการ ทฤษฎี แนวคิด วตั ถปุ ระสงค์ ท่ีตอ้ งการศึกษา เป็น แบบสอบถามมี 2 ตอน ตอนท่ี 1 แบบเลอื ก ตอบ (Check List) ตอนที่ 3-5 เป็นคาถามแบบมาตราสว่ น ประมาณค่า (Rating-Scale) มี 3 ดา้ น โดยใช้เกณฑก์ ารกาหนดคา่ น้าหนักคะแนนระดับความสาคญั ของ ปจั จยั (ธานินทร์ 2550:77) แบง่ ออกเปน็ 5 ระดับตามแบบวิธีของ ลเิ คริ ท์ (Likert) ได้แก่ 5 หมายถงึ ปจั จยั ที่ส่งผลต่อการเข้าศกึ ษาต่อมากท่สี ุด 4 หมายถึงปจั จยั ทสี่ ง่ ผลต่อการเข้าศึกษาต่อมาก 3 หมายถงึ ปัจจัยที่สง่ ผลต่อการเข้าศกึ ษาต่อปานกลาง 2 หมายถึงปจั จยั ทส่ี ง่ ผลต่อการเขา้ ศกึ ษาต่อน้อย 1 หมายถึงปจั จยั ทีส่ ่งผลต่อการเข้าศึกษาต่อนอ้ ยท่สี ดุ โดยแปลผลคา่ เฉล่ียตามเกณฑข์ อง Best ( 1977:296;) ดงั น้ี ค่าเฉล่ยี 4.50 - 5.00 หมายความว่า ดเี ย่ียม ค่าเฉลี่ย 3.50 - 4.49 หมายความว่า ดีมาก คา่ เฉลย่ี 2.50 - 3.49 หมายความ วา่ ดี ค่าเฉลย่ี 1.50 - 2.49 หมายความ พอใช้ คา่ เฉล่ยี 1.00 - 1.49 หมายความว่า ปรบั ปรุง
13 3.3 ทดสอบความเทยี่ งตรง เพ่ือตรวจสอบความเท่ียง (Validity) ของแบบสอบถามว่าความครอบคลุมเน้ือหาของงานวิจัยท้ัง หมดและตรวจสอบความเหมาะสมของสานวนภาษาท่ีใช้แล้ว นามาปรับปรุงแก้ไขให้เป็นไปตามข้อเสนอ- แนะของผู้เชี่ยวชาญ กลับไปนาเสนออาจารย์ที่ปรึกษาอีกคร้ังก่อนนาแบบสอบถามไปทดลองใช้(Try Out) โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่าง อย่างง่าย (random Sampling) กับกลุ่มประชากร ตัวอย่างนักเรียน นักศึกษาระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพระดบั ชน้ั ปที ่ี 1-2 ซงึ่ ไมใ่ ชก่ ลมุ่ ประชากรทใี่ ชใ้ นการทาวิจัย จานวน 30 คน นาแบบสอบถามท่ีมขี ้อมูลจากการทดลองใช้(Try Out) แทนค่าลงรหัส เพ่อื คานวณหาคุณภาพ ของ แบบสอบถาม ซึ่งเป็นการคานวณหาค่าความเช่ือม่ัน (Reliability)โดยวธิ ีหาคา่ สมั ประสทิ ธอิ์ ัลฟา (Alpha Coefficient ),(∝) ของCronbach (1970:126) 3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผวู้ จิ ัยนาเครื่องมอื ทส่ี ร้างขน้ึ ใหน้ ักเรียนไดต้ อบแบบสอบถามและเก็บข้อมูลด้วยตนเองทางออนไลน์ โดยใช้ https://drive.google.comc 5.5 การวิเคราะห์ข้อมูลตามหลกั สถติ ิ โดยนาขอ้ มลู ทีไ่ ด้มาวิเคราะห์ข้อมลู และเขียนสรปุ ผลการวเิ คราะหข์ ้อมูล 1) สถติ ิวิเคราะห์คณุ ภาพเคร่ืองมือ วเิ คราะห์หาค่าความเช่อื ม่ัน ( Reliability ) ของแบบสอบถาม โดยใชส้ มั ประสทิ ธแ์ิ อลฟา ( Alpha Coefficient) ของ (Cr6nbrach) (1970:126) 2 n 1 -S i 2 n 1 S i เมื่อ แทน คา่ สัมประสิทธขิ์ องความเชื่อมั่น n แทน จานวนขอ้ ของเครื่องมอื วดั S2i แทน คะแนนความแปรปรวนเป็นรายข้อ S2i แทน คะแนนความแปรปรวนของเคร่อื งมือน้ันทั้งฉบับ S2i แทน ผลรวมของคา่ ความแปรปรวนของคะแนนเครื่องมือวัดแต่ละข้อ 2) คา่ สถติ ิพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ ตอนที่ 1 ข้อมลู ของผตู้ อบแบบสอบถาม และตอนที่ 2 ขอ้ มูลโดยใช้ค่าสถติ ิคา่ ร้อยละ( Percentage ) P = f 100 N เมื่อ P แทน รอ้ ยละ f แทน ความถี่ท่ีตอ้ งการแปลงใหเ้ ปน็ ร้อยละ
14 N แทน จานวนความถีท่ ้งั หมด 3) คะแนนเฉลี่ย ( Mean ) X = x N เมื่อ X แทน คะแนนเฉล่ยี x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จานวนข้อมูล ค่าความเบยี่ งเบนมาตรฐาน (Standard deviation) SD. = ( x x) 2 i i n 1 เม่ือ Xi แทน ค่าของข้อมลู n แทน จานวนข้อมลู
บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ขอ้ มลู การศกึ ษารปู แบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ออนไลน์ทส่ี ่งผลต่อพฤติกรรมกจิ กรรมการเรยี นรู้ออนไลน์ ใหม้ ีความสุขโดยการใชโ้ ปรแกรม Facebook รว่ มกบั https://drive.google.comc และMessenger มคี วาม พึงพอใจและเป็นที่นิยมของกลุ่ม ประชากรนักเรียน นักศึกษา ของแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพ องครักษ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 มีจานวนประชากรนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ จานวน 36 คน โดยคิดเป็นร้อยละ 100 ซ่ึงนาเสนอข้อมูลโดยใช้ตารางประกอบการอธบิ ายเปน็ ไปตามลาดบั ของทั้ง 6 ดา้ น ดงั นี้ 1. ดา้ นขอ้ มูลท่ัวไป 2. ดา้ นพฤตกิ รรมทส่ี ่งผลตอ่ ความรับผดิ ชอบการเรียนรู้ไม่เปน็ ตามสมรรถนะ 3. ดา้ นพฤติกรรมท่ีส่งผลต่อการเรยี นรู้ดว้ ยระบบออนไลน์ใช้Facebook ร่วมกบั https://drive.google.com/Messenger 4. ดา้ นความพึงพอใจการใชร้ ะบบการเรียนออนไลน์ท่ีทางสถานศกึ ษามกี ารใช้ 5. ดา้ นพฤติกรรมนักเรยี น นักศึกษา ที่ใช้ระบบอนิ เตอร์ 6. ดา้ นขอ้ เสนอแนะ สวนท่ี 1 ดา้ นข้อมลู ทั่วไป 1-1 แสดงสถานภาพของประชากรจาแนกตามเพศของนักศึกษา จากรปู ที่ 1-1 พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามประชากรนักเรยี น-นักศึกษา ทงั้ หมด 36 คน จาแนกเป็น เพศชาย 35 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 97.20 และเปน็ หญงิ จานวน 1 คน คดิ เป็นร้อยละ 2.80
16 1-2 แสดงข้อมลู ของกลุ่มประชากรจาแนกตามอายุของนักศกึ ษา จากรูปท่ี 1-2 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น ลาดับท่ี1 อายุ 14-18 จานวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 61.10 ลาดับท่ี 2 อายุ 19-23 จานวน 13 คนคิดเป็น ร้อยละ 36.10 ลาดับที่ 3 อายุ 24-50 จานวน 1 คนคิดเป็นร้อยละ 2.80 1-3 แสดงขอ้ มูลของประชากรจาแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย จากรูปที่ 1-3 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนก เป็นประเภทท่ีอยู่อาศยั ลาดับท่ี1 นอกเขตเทศบาล จานวน 19 คน คิดเปน็ ร้อยละ 52.80 ลาดับท่ี 2 ในเขต เทศบาลจานวน 17 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 47.20
17 ส่วนท่ี 2 ด้านแบบสอบถามพฤตกิ รรมนักศึกษาท่ีส่งผลต่อความรับผิดชอบการเรยี นรูไ้ มเ่ ป็นตามสมรรถนะ 2-1 แสดงข้อมลู ของประชากรมพี ฤตกิ รรมการนอนตืน่ สาย/เท่ียวกลางคืน/การทางานล่วงเวลากลางคนื จากรูปท่ี 2-1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมการนอนต่ืนสาย/เที่ยวกลางคืน/การทางานล่วงเวลากลางคืน พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับน้อย และปานกลาง จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับน้อยสุด จานวน 9 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 25.00 ลาดับท่ี 3 อยใู่ นระดบั มากจานวน 5 คน คิดเปน็ ร้อยละ 13.90 2-2 แสดงข้อมูลของประชากรปญั หาการเดนิ ทางมาเรียน/รถประจาทางไม่มี/อยูไ่ กล จากรูปท่ี 2-2 พบวา่ ผูต้ อบแบบสอบถามประชากรนกั เรยี น-นกั ศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น ประเภทปัญหาการเดนิ ทางมาเรยี น/รถประจาทางไม่มี/อยไู่ กล พบวา่ ลาดับที่ 1 อย่ใู นระดบั ปานกลาง จานวน 16 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 44.40 ลาดับที่ 2 อยใู่ นระดับนอ้ ยจานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 ลาดับท่ี 3 อยูใ่ นระดบั น้อยสุดจานวน 5 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 13.9 ลาดบั ที่ 4 อย่ใู นระดับมากจานวน 3 คน คดิ เป็นร้อยละ 8.30 ลาดบั ท่ี 5 อยูใ่ นระดบั มากสุดจานวน 2 คน คิดเปน็ ร้อยละ 5.60
18 2-3 แสดงข้อมูลของประชากรมีพฤติกรรมทางานก่อนมาเรยี น/ทางานเป็นชว่ งเวลากะ จากรูปที่ 2-3 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นกั ศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมทางานก่อนมาเรยี น/ทางานเป็นช่วงเวลากะ พบวา่ ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดบั น้อยจานวน 14 คน คิด เป็นร้อยละ 38.90 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับน้อย จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 ลาดับท่ี 3 อยู่ใน ระดับปานกลาง จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 19.40 ลาดับที่ 4 จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 8.30 ลาดับ ท่ี 5 อย่ใู นระดบั จานวน 2 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 5.60 2-4 แสดงข้อมูลของประชากรมีพฤติกรรมการเลน่ โทรศพั ท์ขณะเรียน/ไมต่ ิดตามเพจรายวิชา จากรูปที่ 2-4 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมการเล่นโทรศัพท์ขณะเรียน/ไม่ติดตามเพจรายวิชา พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดับน้อยสุดจานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 44.40 ลาดบั ท่ี 2 อยูใ่ นระดับน้อยและปานกลางจานวน 9 คน คดิ เป็นร้อยละ 25.00 ลาดบั ที่ 3 อยใู่ นระดับมากสุด จานวน 2 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 5.60
19 2-5 แสดงข้อมลู ของประชากรมพี ฤติกรรมขณะเรียนไม่ได้เข้ากลุม่ เพอ่ื น/Messenger/ Facebook จากรูปท่ี 2-5 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมขณะเรียนไม่ได้เข้ากลุ่มเพ่ือน/Messenger/ Facebook พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดับน้อยสุด จานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 52.80 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับน้อยจานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 ลาดบั ที่ 3 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 13 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 11.10 ลาดับท่ี 4 อยใู่ นระดบั จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.60 ลาดับท่ี 5 อย่ใู นระดบั จานวน 1 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 2.80 2-6 แสดงข้อมลู ของประชากรพฤติกรรมไม่ได้พดู คยุ กบั เพื่อนในกลมุ่ Messenger ขณะเรยี น จากรูปที่ 2-6 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนกั เรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมพฤติกรรมไม่ได้พูดคุยกับเพ่ือนในกลุ่ม Messenger ขณะเรียน พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดับน้อย สุด จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับน้อย จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 ลาดบั ที่ 3 อยู่ในระดบั ปานกลางจานวน 8 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 22.0 ลาดับท่ี 4 อยู่ในระดับมากจานวน 3 คน คิดเปน็ ร้อยละ 8.30 ลาดบั ท่ี 5 อยู่ในระดับมากสดุ จานวน 1 คนคดิ เปน็ ร้อยละ 2.80
20 2-7 แสดงข้อมูลของประชากรมพี ฤติกรรมการส่งงานที่ไดร้ ับมอบหมายไม่เป็นไปตามกาหนด จากรูปที่ 2-7 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมพฤติกรรมการส่งงานที่ได้รับมอบหมายไม่เป็นไปตามกาหนด พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับน้อย จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 ลาดบั ที่ 3 อยใู่ นระดับจานวน 7 คน คดิ เป็นร้อยละ 19.40 ลาดบั ท่ี 4 อยู่ในระดบั จานวน 4 คน คิด เปน็ ร้อยละ 11.10 2-8 แสดงข้อมลู ของประชากรพฤติกรรมการส่งงานไม่ครบตามที่ได้รบั มอบหมาย จากรูปท่ี 2-8 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมมีพฤติกรรมการส่งงานไม่ครบตามที่ได้รับมอบหมาย พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับน้อย จานวน 13 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 36.10 ลาดบั ท่ี 2 อย่ใู นระดับนอ้ ยสุด จานวน 12 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 33.30 ลาดบั ท่ี 3 อย่ใู นระดบั ปานกลางจานวน 11 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 30.60
21 2-9 แสดงข้อมูลของประชากรทมี่ พี ฤตกิ รรมทาแบบทดสอบไม่ผ่านจดุ ประสงคข์ องบทเรียน จากรูปที่ 2-9 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมทาแบบทดสอบไม่ผ่านจุดประสงค์ของบทเรียน พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับน้อยจานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 38.90 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับน้อยสุด จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 19.40 ลาดับท่ี 4 อยู่ในระดับมากจานวน 2 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 5.60 22 ส่วนท่ี 3 แบบสอบถามพฤติกรรมนักศึกษาที่มีผลตอ่ กิจกรรมการเรียนรู้ตามสมรรถนะโดยใช้ Facebookhttps://drive.google.com/Messenger
3-1 แสดงข้อมูลของประชากรมพฤตกิ รรมของการมคี วามสขุ ในการใช้โปรแกรม Facebook ประกอบการ เรียนทาใหเ้ รียนhttps://drive.google.com/Messenger จากรูปท่ี 3-1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมของการมีความสุขในการใช้โปรแกรม Facebook ประกอบการเรียนทาให้เรียน https://drive.google.com/Messenger พบว่าลาดับที่ 1 อยู่ในระดับมากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับมาก สดุ จานวน 7 คน คิดเปน็ ร้อยละ 19.40 ลาดับท่ี 4 อยใู่ นระดับน้อยจานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 5.60 ลาดับ ที่ 5 อย่ใู นระดบั น้อยสดุ จานวน 1 คน คิดเปน็ ร้อยละ 2.80 3-2 แสดงขอ้ มลู ของประชากรมพฤตกิ รรมการมคี วามสะดวกทันสมยั ท่ีใช้โทรศพั ท์ทางานดีกว่าจดบนั ทึกในสมุดแบบเดมิ จากรูปท่ี 3-2 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมการมีความสะดวกทันสมัยท่ีใช้โทรศัพท์ทางานดีกว่าจดบันทึกในสมุดแบบเดิม พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดบั มากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 ลาดับที่ 2 อยูใ่ นระดบั มากสดุ จานวน 12 อคยนใู่ นครดิ ะ2เปด3ับ็น ร้อยละ 33.30 ลาดับท่ี 3 อยูใ่ นระดบั ปานกลางจานวน 7 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 19.40 ลาดบั ที่ 4 นอ้ ยจานวน 2 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 5.60 3-3 แสดงข้อมูลของประชากรมีพฤติกรรมการเรยี นร้มู ีความเขา้ ใจในเน้ือหา และการฝกึ ทกั ษะ
จากรูปท่ี 3-3 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมการเรียนรู้มีความเข้าใจในเน้อื หา และการฝึกทักษะ พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับมากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับมากสุดจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 19.4 ลาดับที่ 4 อยู่ในระดับน้อยจานวน 3 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 8.30 3-4 แสดงข้อมลู ของประชากรมีพฤติกรรมสามารถเรยี นรู้ล่วงหนา้ ไดด้ ว้ ยตนเอง และนาปญั หาสอบถามครู จากรูปท่ี 3-4 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤตกิ รรมสามารถเรียนรู้ล่วงหน้าไดด้ ้วยตนเอง และนาปัญหาสอบถามครู พบวา่ ลาดบั ที่ 1 อย่ใู นระดับปาน กลางจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับมากจานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 ลาดับท่ี 3 อยู่ในระดับมากสุดและน้อย จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 11.10 ลาดับที่ 4 อยู่ในระดับน้อยสุด24 จานวน 2 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 5.60 3-5 แสดงข้อมลู ของประชากรมพี ฤติกรรมตดิ ตามขอ้ มลู ข่าวสารในรายวชิ าทีเ่ รียนพร้อมกบั แกไ้ ขงานเพม่ิ คะแนน
จากรูปที่ 3-5 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนกั เรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมติดตามข้อมูลข่าวสารในรายวิชาที่เรียน พร้อมกับแก้ไขงานเพิ่มคะแนน พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ใน ระดับมากจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 52.80 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 11 คน คิดเป็น ร้อยละ 30.60 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับมากสุดจานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 13.90 ลาดับท่ี 4 อยู่ในระดับ นอ้ ยจานวน 1 คน คดิ เป็นร้อยละ 2.80 3- 6 แสดงข้อมูลของประชากรมีพฤตกิ รรมสามารถวางแผนคาดหวังเกรดในการวัดและประเมินผลการเรียน จากรูปท่ี 3-6 พบวา่ ผ้ตู อบแบบสอบถามประชากรนักเรยี น-นกั ศึกษา ท้งั หมด 36 คน จาแนกเป็นมี พฤติกรรมสามารถวางแผนคาดหวังเกรดในการวัดและประเมินผลการเรียน พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระด2ับ5 ปานกลางจานวน 23 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 63.90 ลาดับท่ี 2 อยใู่ นระดบั มากจานวน 9 คน คิดเปน็ ร้อยละ 25 ลาดับท่ี 3 อยู่ในระดับมากสุดและน้อยสุดจานวน 2 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 5.60 3-7 แสดงข้อมูลของประชากรมพี ฤติกรรมสามารถเรียนรู้ไดท้ กุ ที่ และทางานสง่ ครทู ันเวลา
จากรูปที่ 3-7 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรยี น-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็นมี พฤติกรรมสามารถเรียนรู้ได้ทุกท่ี และทางานส่งครูทันเวลา พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับมาก จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 ลาดับท่ี 3 อย่ใู นระดับมากสุด จานวน คน คิดเป็นร้อยละ 16.70 ลาดบั ท่ี 4 อยใู่ นระดบั นอ้ ยจานวน 6 คน คดิ เป็นรอ้ ย ละ 8.30 ลาดับที่ 5 อยู่ในระดบั น้อยสุดจานวน 1 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 2.80 3-8 แสดงขอ้ มูลของประชากรมีพฤตกิ รรมมคี วามสขุ ในการคดิ วเิ คราะห์,การสงั เคราะห์ท่ีได้ทากิจกรรมการเรียน จากรูปท่ี 3-8 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมมีความสุขในการคิดวิเคราะห์, การสังเคราะห์ ที่ได้ทากิจกรรมการเรียน พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ใน ระดับปานกลางจานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 58.30 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับมากจานวน 10 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 27.80 ลาดับท่ี 3 อย่ใู นระดบั มากสุดจานวน 3 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 8.30 ลาดบั ที่ 4 อยู่ในระดบั น้อย และนอ้ ยสุดจานวน 13 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 2.80 26 3-9 แสดงข้อมลู ของประชากรมพี ฤตกิ รรมความภูมใิ จที่ไดน้ าเสนอเผยแพรผ่ ลงานของตนไดอ้ ย่างกว้างขวาง
จากรูปที่ 3-9 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมความภูมิใจที่ได้นาเสนอเผยแพร่ผลงานของตนได้อย่างกว้างขวาง พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับ ปานกลาง จานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับมากจานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 11.10 ลาดับท่ี 4 อยู่ในระดับน้อย จานวน 3 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 8.30 สว่ นที่ 4 ดา้ นความพงึ พอใจการใชร้ ะบบการเรยี นออนไลนท์ ่ีทางสถานศึกษามีการใช้ 4-1แสดงข้อมลู ของประชากรมีความพงึ พอใจการใช้ Facebook , drive.google.com ,Messenger จากรูปที่ 4-1 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น ทศั นคตมิ คี วามพึงพอใจการใช้ Facebook , drive.google.com ,Messenger พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับ มากจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 13 คน คิดเป็นร้อย2ล7ะ 36.10 ลาดับท่ี 3 อยู่ในระดบั มากสดุ จานวน 6 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 16.70 4-2 แสดงข้อมูลของประชากรมีความพึงพอใจการใช้ Google classroom
จากรูปท่ี 4-2 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น ทัศนคตมิ ีความพงึ พอใจการใช้ Google classroomพบวา่ ลาดบั ที่ 1 อยใู่ นระดับมากจานวน 17 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 47.20 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 ลาดับที่ 3 อยู่ใน ระดับมากสุด จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 8.30 ลาดับที่ 4 อยู่ในระดับน้อย จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.60 ลาดับท่ี 5 อยูใ่ นระดับนอ้ ยสุด จานวน 1 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 2.80 4-3 แสดงข้อมลู ของประชากรมีความพึงพอใจการใช้ Zoom Room จากรูปท่ี 4-3 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น มีความพึงพอใจการใช้ Zoom Room พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดับจานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 44.40 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับจานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 22.20 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับ จานวน 7 คน คิดเป2็น8 รอ้ ยละ 19.40 ลาดับท่ี 4 อยู่ในระดบั จานวน 5 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 13.90 4-4 แสดงข้อมลู ของประชากรมคี วามพึงพอใจการใช้ Line
จากรูปท่ี 4-4 พบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรยี น-นกั ศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น ทัศนคติมีความพึงพอใจการใช้ Line พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับมากจานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 22.20 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับน้อย จานวน 7 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 19.40 ลาดบั ที่ 4 อย่ใู นระดับมากสุดและน้อยสุด จานวน 2 คน คิดเปน็ ร้อยละ 5.60 4-5 แสดงข้อมลู ของประชากรมคี วามพึงพอใจการใช้ WhatsApp จากรูปท่ี 4-4 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนกั เรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเปน็ ทศั นคตมิ คี วามพึงพอใจการใช้ WhatsApp พบว่า ลาดับที่ 1 อยใู่ นระดบั ปานกลาง จานวน 13 คน คดิ เป็น ร้อยละ 36.10 ลาดบั ท่ี 2 อยู่ในระดบั นอ้ ยจานวน 10 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 27.80 ลาดบั ที่ 3 อยใู่ นระดับน2อ้ 9ย สุด จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 19.40 ลาดับท่ี 4 อยู่ในระดับมาก จานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 13.90 ลาดบั ที่ 5 อยูใ่ นระดบั มากสดุ จานวน 1 คน คิดเปน็ ร้อยละ 2.80 4-6 แสดงข้อมลู ของประชากรมีความพึงพอใจการใช้ Skype
จากรูปที่ 4-6 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น ทัศนคติมีความพึงพอใจการใช้ Skype พบว่า ลาดับท่ี 1 อยู่ในระดับปานกลางและน้อยสุด จานวน 12 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 33.30 ลาดบั ท่ี 2 อยใู่ นระดบั น้อยสุด จานวน 8 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 22.20 ลาดับที่ 3 อยใู่ น ระดับมาก จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 8.30 ลาดับที่ 4 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.80 4-7 แสดงข้อมูลของประชากรมีความพึงพอใจการใช้ YouTube จากรูปที่ 4-6 พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนักเรียน-นักศึกษา ทั้งหมด 36 คน จาแนกเป็น มีความพึงพอใจการใช้ YouTube พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับมาก จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 ลาดับท่ี 3 อยู่ในระดับปานกล30าง จานวน 10 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 27.80 ลาดบั ที่ 4 อยู่ในระดบั น้อยจานวน 1 คนคิดเป็นร้อยละ 2.80 สว่ นท่ี 5 ดา้ นพฤตกิ รรมนกั เรียน นักศึกษาทใี่ ชร้ ะบบอนิ เตอร์
5-1 พฤติกรรมนักเรยี น นักศึกษาทเ่ี ช่ือมต่อการใช้ระบบอินเตอร์เนต็ จากรูปท่ี 4-6 พบวา่ ผู้ตอบแบบสอบถามประชากรนกั เรียน-นักศึกษา ท้ังหมด 36 คน จาแนกเป็น พฤติกรรมการเช่ือมต่อการใช้ระบบอนิ เตอรเ์ นต็ พบว่า ลาดบั ท่ี 1 ใชเ้ ปน็ บางเวลา จานวน 23 คน คิดเป็น ร้อยละ 63.90 และใช้ตลอดเวลา จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 ลาดบั ที่ 3 อยู่ในระดับใชเ้ ปน็ บาง เวลาเพราะต้องแชร์จากเพื่อน จานวน 1 คน คิดเปน็ ร้อยละ 2.80 ส่วนท่ี 6 ขอ้ เสนอแนะ จานวน13 ราย ผแู้ สดงข้อเสนอแนะ ไมม่ คี รบั /ไม่มีคับ/อยากให้ครสู อนแบบปฏิบตั เิ ยอะๆ/ทฤษฎีไม่มีก็ไม่เป้นไร/นดั พบกลุ่มเดือนหนึ่งสัก 2อาทิตย์หรือ1อาทิตย์ก็ได้ดีกว่าหายไปเฉยๆ/มาทีก็เช็คช่ือๆทาแบบฝึกหัดๆ/ทางานสะดวกสบาย/ปกติครับ / อยากใหเ้ รยี นแบบออนไลน์/อยากลงมอื ปฏิบตั ิจริงครบั /อยากใหส้ อนและลองฝกึ ปฏบิ ตั บิ ่อยๆ/ ขอบคุณมากครับ/สั่งงานให้นอ้ ยๆหนอ่ ยอย่าใชท้ างานหนักเหนอ่ื ย
บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ การศึกษาวิจัยรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมกิจกรรมการเรียนรู้ ออนไลน์ให้มีความสุขโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับ https://drive.google.comc และ Messenger ด้วยเหตุนี้ผู้วิจยั ได้ให้ความสาคัญกระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีเน้นผ้เู รียนเปน็ สาคัญ ตาม นโยบาย คนเก่ง คนดี และมคี วามสุข เป็นการสร้างแรงจูงใจทางการเรยี น และนาความรู้ไปใช้ในการประกอบ อาชพี ตามสาขางานยานยนต์ แผนกวชิ าช่างยนต์ ในการศึกษาพบขอ้ มูลดังน้ี สรปุ ผลการวจิ ัย ผ้วู ิจยั ไดข้ ้อมูลท่วั ไป พบว่านักเรยี นประเภทอุตสาหกรรมสาขาวชิ าชา่ งยนต์ ท้งั หมด จานวน36 คน จาแนกเป็นเปน็ เพศชาย 35 คน คิดเป็นร้อยละ 97.20 มอี ายุส่วนใหญ่ในช่วงอายุ 14-18 จานวน 22 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 61.10 และอายุช่วง19-23 จานวน 13 คนคดิ เป็นรอ้ ยละ 36.10 สว่ นที่ 2 ด้านพฤติกรรมนกั เรยี น นกั ศึกษาท่ีส่งผลตอ่ ความรบั ผดิ ชอบการเรยี นรไู้ มเ่ ป็นตามสมรรถนะ ผู้วิจัยได้ข้อมูลด้านพฤติกรรมนักศึกษาท่ีส่งผลต่อความรับผิดชอบการเรียนรู้ไม่เป็นตามสมรรถนะ พบว่า การนอนตืน่ สาย/เทยี่ วกลางคืน/การทางานลว่ งเวลากลางคืนอยูใ่ นระดบั น้อยและปานกลาง จานวน 11 คนในภาพรวมนักเรียนตื่นเช้าจึงทาให้ปัญหาการเดินทางมาเรียน/รถประจาทางไม่มี/อยู่ไกลอยู่ในระดับปาน กลางจานวน 16 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 44.40 อยู่ในระดับน้อยจานวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 27.80 อยู่ในระดบั น้อยสุดจานวน 5 คน นักเรียนมีความต่ืนตัวเอาใจใส่ในการเดินทางมาเรียน และการทางานก่อนมาเรียน/ ทางานเป็นช่วงเวลากะอยู่ในระดับน้อยสุดจานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 38.90 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับน้อย จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.8ในภาพรวมนักเรียนไม่มีอุปสรรค์ ส่วนพฤติกรรมการเล่นโทรศัพท์ขณะ เรียน/ไม่ติดตามเพจรายวิชา อยู่ในระดับน้อยสุดจานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 44.40 รองลงมาอยู่ในระดับ นอ้ ยและปานกลางจานวน 9 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 25.00ภาพรวมถือว่านักเรียนมีการใชร้ ะบบสารสนเทศในการ เรียนท่ีดี เพราะมีความสอดคล้องทราบข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามนักเรียนว่าขณะเรียนไม่ได้เข้ากลุ่ม เพ่ือน/Messenger/ Facebook อยู่ในระดับน้อยสุดจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 52.80 และอยู่ในระดับ น้อยจานวน 10 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 27.80 สอดคลอ้ งวา่ สว่ นใหญม่ ีการพูดคยุ แลกเปลยี่ นความรู้กับเพื่อนทราบ ข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามนักเรียนวา่ ไม่ได้พูดคุยกับเพื่อนในกล่มุ Messenger ขณะเรียน1 อยู่ในระดับ น้อยสุด จานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 อยู่ในระดับน้อย จานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 สอดคล้องว่าส่วนใหญ่ส่งงานตามกาหนดทราบข้อมูลจากการตอบแบบสอบถามนักเรียนว่าพฤติกรรมการส่ง งานท่ีไดร้ ับมอบหมายไม่เป็นไปตามกาหนด อยูใ่ นระดับนอ้ ย จานวน 11 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 30.60 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 และเป็นไปตามการส่งงานครบทราบข้อมูลจาก
32 การตอบแบบสอบถามนักเรียนว่าไม่ครบตามที่ได้รับมอบหมายจานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 อยู่ใน ระดับน้อยสุด จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 จึงส่งผลให้ทาแบบทดสอบท่ีไม่ผ่านจุดประสงค์ของ บทเรียนอยู่ในระดบั น้อยจานวน 14 คน คิดเป็นร้อยละ 38.90 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 13 คน คิดเป็น รอ้ ยละ 36.10 อย่ใู นระดบั นอ้ ยสดุ จานวน 7 คน คิดเปน็ ร้อยละ 19.40 ถอื วา่ นักเรยี นมคี วามตัง้ ใจเรยี นดี สรุป ได้ว่าพฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาส่งผลต่อความรับผิดชอบการเรียนรู้ไม่เป็นตามสมรรถนะของ แผนกวชิ าช่างยนต์ วทิ ยาลัยการอาชพี องครักษ์ ไปในทิศทางทอ่ี ยู่ในระดับดีมาก เมือ่ นามาเปรียบเทยี บกับ เกณฑ์ 4.47 อย่างมีนัยสาคญั ที่ 0.05 ส่วนท่ี 3 ด้านพฤติกรรมนักเรียน นักศึกษาท่ีมีผลต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามสมรรถนะโดยใช้ Facebookhttps://drive.google.com/Messenger พฤติกรรมของการมีความสุขในการใช้โปรแกรม Facebook ประกอบการเรียนทาให้เรียน https://drive.google.com/Messenger พบว่า อยู่ในระดับมากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 มีความสะดวกทันสมัยที่ใช้โทรศัพท์ ทางานดีกว่าจดบันทึกในสมุดแบบเดิม อยู่ในระดับมากจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 และอยู่ใน ระดับมากสุดจานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 ทาให้การเรียนรู้มีความเข้าใจในเนื้อหา และการฝึก ทกั ษะ อยู่ในระดบั มากจานวน 15 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 41.70 และอยู่ในระดับปานกลาง จานวน 11 คน คิด เป็นร้อยละ 30.60 จนถึงมากสุดจานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 19.4 ทาให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ล่วงหน้า ได้ด้วยตนเอง และนาปัญหาสอบถามครู อยู่ในระดับปานกลางจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 อยู่ใน ระดับมากจานวน 9 คน คิดเป็นร้อยละ 25.00 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 11.10 ส่วนใหญ่นักเรียนมีการติดตามข้อมูลข่าวสารในรายวชิ าที่เรียน พร้อมกับแก้ไขงานเพ่ิมคะแนน อยู่ใน ระดับมากจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 52.80 และอยู่ในระดับปานกลางจานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 รวมถึงอยู่ในระดับมากสุดจานวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 13.90 สอดคล้องกับการใช้ข้อมูลเช่ือมต่อ ระบบอินเตอร์ นักเรียนสามารถวางแผนคาดหวังเกรดในการวัดและประเมินผลการเรียน อยู่ในระดับปาน กลางจานวน 23 คน คิดเปน็ ร้อยละ 63.90 อยใู่ นระดบั มากจานวน 9 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 25 ลาดบั ที่ 3 อยู่ ในระดับมากสุด จานวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5.60 สอดคล้องกับทฤษฎีแรงจูงใจของอับราฮัม มาสโลว์ (A.H.Maslow) ในการจดั ลาดบั ความต้องการ และทฤษฎีแรงจูงใจของ ฟรอยด์ซิกมันด์ ฟรอยด์ ( S. M. Freud) ที่ว่าบุคคลเพิ่มจานวนและควบคุมสิ่งเร้าหลายอย่าง สิ่งเร้าเหล่าน้ี อยู่นอกเหนือการควบคุมอย่างส้ินเชิง บุคคลจึงมีความฝัน ส่งผลให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ และ ทางานส่งครูทันเวลา อยู่ในระดับปานกลางจานวน 15 คน คิดเป็นร้อยละ 41.70 อยู่ในระดับมาก จานวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 30.60 และอยู่ในระดับมากสดุ จานวน คน คิดเป็นร้อยละ 16.70 มีความสุขในการ คิดวิเคราะห์, การสังเคราะห์ ที่ได้ทากิจกรรมการเรียน อยู่ในระดับปานกลางจานวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 58.30 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับมากจานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 ลาดับท่ี 3 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 8.30 นักเรียนมีความภูมิใจท่ีได้นาเสนอเผยแพร่ผลงานของตนได้อย่าง กว้างขวาง อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับที่ 2 อยู่ในระดับมากจานวน
33 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 4 คนสอดคลองกับทฤษฎีการเรียนรู้ เบนจามิน บลูมและคณะ (Bloom et al, 1956) จาแนกจุดมุ่งหมายการเรียนรู้ออกเป็น 3 ด้าน คือ 1. ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) 2. ดา้ นทักษะพสิ ัย (Psychomotor Domain) 3. ด้านเจตพิสัย (Affective Domain) (มรี ายละเอยี ดกล่าวไว้ในบทที่ 2 ของบทความพฤติกรรมด้านสมองเปน็ พฤติกรรมเก่ียวกบั สติปัญญา ความรู้ ความคิด ความเฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงเป็น ความสามารถทางสติปัญญามี 6 ระดบั ) สรุป ได้ว่าพฤติกรรมของนักเรียน นักศึกษาส่งผลต่อกิจกรรมการเรียนรู้ตามสมรรถนะโดยใช้ Facebookhttps://drive.google.com/Messenger ของแผนกวิชาช่างยนต์ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ ไป ในทิศทางท่อี ยใู่ นระดบั ดมี าก เมอื่ นามาเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ 4.48 อย่างมีนยั สาคัญที่ 0.05 ส่วนที่ 4 ดา้ นความพงึ พอใจการใชร้ ะบบการเรียนออนไลนท์ ีท่ างสถานศกึ ษามีการใช้ การศึกษาทัศนคติมีความพึงพอใจการใช้ Facebook , drive.google.com ,Messenger พบว่า อยู่ ในระดับมากจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับท่ี 2 อยู่ในระดับปานกลางจานวน 13 คน คิดเป็น ร้อยละ 36.10 ลาดับที่ 3 อยู่ในระดับมากสุด จานวน 6 คน คิดเป็นร้อยละ 17.70 มีความพึงพอใจการใช้ Google classroom อยู่ในระดับมากจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 13 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 36.10 อย่ใู นระดับมากสุด จานวน 3 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 8.30 และ มีความพึงพอใจการใช้ Line อยู่ในระดับปานกลางจานวน 17 คน คิดเป็นร้อยละ 47.20 ลาดับท่ี 2 อยู่ใน ระดับมากจานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 22.20 มีความพึงพอใจการใช้ WhatsApp พบว่า ลาดับที่ 1 อยู่ใน ระดับปานกลาง จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 มีความพึงพอใจการใช้ Skype อยู่ในระดับปานกลาง และน้อยสุด จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 มีความพึงพอใจการใช้ YouTube อยู่ในระดับมากสุด จานวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 36.10 อยู่ในระดับมาก จานวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 33.30 อยู่ในระดับ ปานกลาง จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 27.80 สรุป การศึกษาวิจัยคร้ังน้ี พบว่า ข้อมูลสอดคล้องเป็นไปตามสมติฐานที่ว่านักเรียน นักศึกษาของ แผนกวิชาช่างยนต์ มีพฤติกรรมใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ท่ีส่งผลต่อพฤติกรรมของ นักเรียนนักศึกษาโดยการใช้โปรแกรม Facebook ร่วมกับhttps://drive.google.comc และMessenger ไม่แตกต่างจากรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์แบบ Google classroom และรูปแบบอื่น อย่าง ไมม่ นี ัยสาคัญที่ 0.05 สว่ นที่ 5 ด้านพฤติกรรมนกั เรยี น นักศึกษาท่ใี ชร้ ะบบอนิ เตอร์ การศกึ ษาพฤติกรรมการเชอื่ มตอ่ การใช้ระบบอนิ เตอรเ์ น็ต พบว่า พฤติกรรมการเชื่อมต่อการใช้ระบบ อินเตอร์เน็ต พบวา่ ลาดบั ท่ี 1 ใช้เป็นบางเวลา จานวน 23 คน คดิ เป็นร้อยละ 63.90 และใช้ตลอดเวลา 34 จานวน 12 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 33.30 ลาดับท่ี 3 อยู่ในระดบั ใช้เป็นบางเวลาเพราะตอ้ งแชรจ์ ากเพื่อน จานวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.80 การอภปิ รายผล
จากผลการวิเคราะห์ข้อมลู สามารถนาการวิจัยมาอภิปรายผลขอ้ มลู เปน็ 5 ดา้ น ได้ดงั น้ี นกั เรยี น นักศกึ ษา แผนกวชิ าช่างยนต์ วิทยาลยั การอาชีพองครักษ์ ไดว้ ่าพฤตกิ รรมของนักเรียน นักศึกษา ส่ ง ผ ล ต่ อ ค ว า ม รั บ ผิ ด ช อ บ กิ จ ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น รู้ โ ด ย ก า ร ใ ช้ โ ป ร แ ก ร ม Facebook ร่ ว ม กั บ https://drive.google.comc แ ล ะ Messenger เ ป็ น ต า ม ส ม ร ร ถ น ะ ที่ ก า ห น ด ไ ว้ ใ น ห ลั ก สู ต ร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี และหลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพชนั้ สูง และสอดคลอ้ งตามหลกั ทฤษฎีในบทที่ 2 ที่อ้างถึง เป็นไปในทิศทางเดียวกันจึงส่งผลให้การจัดการเรียนการสอนของแผนกวิชาช่างยนต์ ได้ มาตรฐานตามท่สี ถานศกึ ษากาหนดไว้เป็นอย่างดี ข้อเสนอแนะ ผวู้ ิจัยได้รบั ขอ้ เสนอแนะ จากนกั เรยี น นักศกึ ษา จานวน 13 ราย กลา่ วคือ ไมม่ ีครบั /ไมม่ ีคับ/อยากให้ ครูสอนแบบปฏิบัติเยอะๆ/ทฤษฎีไม่มีก็ไม่เป้นไร/นัดพบกลุ่มเดือนหนึ่งสัก2 อาทิตย์หรือ1 อาทิตย์ก็ได้ดีกว่า หายไปเฉยๆ/มาทีก็เช็คช่ือๆทาแบบฝึกหัดๆ/ทางานสะดวกสบาย/ปกติครับ / อยากให้เรียนแบบออนไลน์/ อยากลงมือปฏิบัติจริงครับ/อยากให้สอนและลองฝึกปฏิบัติบ่อยๆ/ขอบคุณมากครับ/สั่งงานให้น้อยๆหน่อย อย่าใช้ทางานหนกั เหนื่อย ข้อเสนอแนะจากผู้วิจัย จากการศึกษาพบข้อมูลรูปแบบการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ท่ีมีใช้อยู่ใน ปัจจุบันไม่มีความแตกต่างกันทั้งผู้ให้บริการและผู้รับบริการในส่วนของกิจการเรียนรู้และกิจกรรมการสอน ดังน้ัน ไม่ควรเลือกรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมาใช้เพียงอย่างเด่ียวควรใช้ให้หลากหลายอันจะส่งผลให้ครู และ นักเรยี นมีการพัฒนาการใช้/การผติ นวตั กรรมการเรียนและการสอนโดยใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาจัด กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ีม่ คี วามหลากหลายในสถานศกึ ษามากยง่ิ ข้ึน ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ัยครัง้ ตอ่ ไป 1. ควรจัดใหม้ ีศึกษาวิจัยรูปแบบการจดั การเรยี นการสอนออนไลนภ์ าพรวมของสถานศึกษา 2. ควรจัดให้มีการศึกษาวิจัยสภาพปัญหาท่ีส่งผลต่อกิจกรรมการจัดการเรียนและการสอนของ สถานศึกษา
บรรณานกุ รม นายมณเฑียร นันทะศรงานวิจัย : ศึกษาระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ ออนไลน์ (Google Classroom) . ศูนย์การศึกษานอกโรงเรยี นตามอธั ยาศัย อาเภอห้างฉัตรจังหวัดลาปาง ยุวนุช กุลาตี และพัชรนิกานต์พงษ์ธนู : การศึกษาพฤติกรรมการใช้เฟสบุ๊ค และระบบเอ็นพียูอีเลิร์ นน่ิงในการเรยี นการสอน. ของมหาวิทยาลัยนครพนม บทความทฤษฎีแรงจงู ใจ :https://sites.google.com/site/httpbitly42331316/ :อบั ราฮัม มาส โลว์ (A.H.Maslow) และของฟรอยดซ์ ิกมนั ด์ ฟรอยด์ (S.M.Freud) (สบื คน้ 10 เมษายน พ.ศ. 2564 ) บทความ:การเรียนรู้ เบนจามิน บลูมและคณะ (Bloom et al, 1956) https://sites.google. com/site/anansak2554/ (สืบคน้ วันที่ 11 เมษายน 2564) ฉันทนา ภาคบงกชและคณะ.(2539). การสารวจคุณลักษณะทางวินัยที่พึงประสงค์ในสังคมไทย. กรงุ เทพฯ สถาบันวิจัยพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒ ดวงเดอื น พนั ธมุ นาวนิ . (2524). จติ วทิ ยาจริยธรรมและจติ วทิ ยาภาษา. กรุงเทพฯ. ไทยวัฒนาพานชิ พระธรรมปิฎก (ประยุทธิ์ ปยุตโต). (2538). “วินัย: เร่ืองใหญ่กว่าท่ีคิด” วารสารพฤติกรรมศาสตร์ สุโขทัยธรรมาธิราช, มหาวิทยาลัย. (2540). เอกสารการสอนชุดวิชา 32304 : การบริหารงานบุคคล กรงุ เทพฯ. มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช สุรพงษ์ ชูเดช. (2542). ผลของการฝึกอบรมตามแนวทางไตรสิกขาท่ีมีต่อการพัฒนาวินัยใน ตนเอง ของนกั เรียน ชั้นประถมศึกษาปที ี่ 5. ปริญญานพิ นธ์ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ สานักงานคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติ. (2537). การเสริมสร้างวินัย. คู่มือแนะแนวทาง ปฏิบัติ. กรุงเทพฯ สานักงาน คณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ สุชาและสุรางค์ จนั ทรเ์ อม. (2521). จติ วทิ ยาในหอ้ งเรยี น. กรุงเทพฯ โอเดียนสโตร์: สถดิ าพร คาสด. (2546). การศกึ ษาพฤติกรรมความมวี ินัยในตนเองของนิสิตระดับปรญิ ญา มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ
ภาคผนวก
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: