Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 1.กระบวนการเรียนการสอนในรูปแบบ Problem – based Learning

1.กระบวนการเรียนการสอนในรูปแบบ Problem – based Learning

Published by krusomjet, 2019-10-19 04:13:11

Description: 1.กระบวนการเรียนการสอนในรูปแบบ Problem – based Learning

Search

Read the Text Version

รายงานผลการวจิ ัย เรอ่ื ง กระบวนการเรยี นการสอนในรปู แบบ Problem – based Learning ในสาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร The Study Process by Problem - based Learning Method in Food Science and Technology โดย ดร.นันท์ชนก นนั ทะไชย ดร.อินทริ า ลจิ ันทร์พร โครงการวิจยั ได้รับเงนิ สนับสนุนจาก งบประมาณเงนิ รายได้ คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บุรี ประจาปงี บประมาณ 2554

บทคัดยอ่ การวจิ ยั น้มี วี ตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ศกึ ษาผลสมั ฤทธ์ขิ องการเรียนการสอนโดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน ของนกั ศกึ ษา ระดับปรญิ ญาตรี ชน้ั ปที ี่ 3 สาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร คณะ เทคโนโลยกี ารเกษตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธญั บุรี โดยศกึ ษาจากนักศึกษา ที่ ลงทะเบียน เรยี นรายวชิ าการพัฒนาผลติ ภัณฑ์อาหาร จานวน 99 คน ทาการเปรียบเทยี บ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นจากผลการทดสอบกอ่ นและหลังการเรยี นการสอน โดยการหาค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า t-test และร้อยละการพฒั นาการของผูเ้ รียน ผลจากการ ศึกษา พบวา่ วิธีการเรียนการสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นฐาน เรอ่ื งการทดสอบ ผูบ้ ริโภคและการทดสอบอายกุ ารเกบ็ รกั ษา ของผลิตภณั ฑ์ ทาให้คะแนนเฉลีย่ ของการทดสอบหลงั เรยี นมีคา่ สูงกวา่ คะแนนเฉลีย่ ของการทดสอบก่อนเรียน อยา่ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ิ (p  0.05) และ มพี ฒั นาการของผูเ้ รยี นเท่ากับ รอ้ ยละ 32.79

Abstract The objective of this research was to study the problem-based learning achievement of the 3rd year undergraduate students, Division of Food Science and Technology, Faculty of Agricultural Technology, Rajamangala University of Technology Thanyaburi. The selected students were 99 students, which registered in the course of Food Product Development. The methodology of the research was compared pre-test and post-test scores. The data were analyzed by mean, standard deviation and t-test and percentage of student development. The result of the study shown that used of problem-based learning in the topic of consumer testing and shelf-life testing had affected on students. Mean of post-test was significant higher than pre-test (p  0.05) and percentage of student development was 32.79 percent.

คำนำ การวิจยั ในชน้ั เรยี น คอื กระบวนการแสวงหาความร้อู นั ทเ่ี ชือ่ ถือไดเ้ กีย่ วกับการพฒั นาการ จดั การเรยี นการสอน เพ่ือการพัฒนาการเรียนรู้ของผเู้ รียน จดุ มงุ่ หมายของการทาวิจยั ในชน้ั เรยี น คอื การปรบั ปรงุ ประสทิ ธิภาพของการปฏบิ ตั ิงานสอนใหด้ ีขึน้ งานวจิ ยั เรอื่ ง กระบวนการเรยี นการสอนในรูปแบบ Problem – based Learning ในสาขา วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร ศึกษาถงึ การเรยี นการสอนท่ีใช้ปญั หาเปน็ หลกั ซึ่งเปน็ รปู แบบการเรียนการสอนทมี่ ีผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง โดยใชส้ ถานการณป์ ัญหาเปน็ ตัวกระตุ้นให้ ผเู้ รียนแสวงหาความรูเ้ พือ่ นามาแกป้ ัญหาน้นั ต่อการเรียนของนกั ศึกษาชน้ั ปที ่ี 3 สาขา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร คณะเทคโนโลยกี ารเกษตร ทีล่ งทะเบียนเรียนรายวิชาการ พฒั นาผลิตภณั ฑอ์ าหาร จานวน 99 คน ผวู้ ิจัยหวงั เปน็ อย่างยิง่ ว่ารายงานการวิจยั ฉบับน้ีจะเป็นประโยชนแ์ กผ่ ทู้ ีส่ นใจทีจ่ ะพัฒนา และปรับปรงุ การเรยี นการสอนให้มปี ระสิทธภิ าพยิ่งข้นึ ดร.นันท์ชนก นันทะไชย ดร.อนิ ทริ า ลจิ นั ทร์พร

สารบัญ [ก] เรื่อง หน้า สารบัญ [ก] สารบัญตาราง [ข] สารบัญภาพ [ค] บทนา 1 วัตถปุ ระสงค์ 2 ตรวจเอกสาร 3 วิธีการวิจัย 10 ผลการวจิ ยั 12 วิจารณผ์ ลการวิจยั 20 สรปุ และขอ้ เสนอแนะ 22 เอกสารอ้างอิง 24 ภาคผนวก 26 27 ภาคผนวก ก 34 ภาคผนวก ข 39 ภาคผนวก ค 42 ภาคผนวก ง

สารบัญตาราง [ข] ตารางที่ หน้า 12 1 ผลการวเิ คราะห์ผลสมั ฤทธ์ขิ องการสอนแบบใช้ปัญหาเปน็ ฐาน 13 สาหรับนกั ศกึ ษาสาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร 17 ดว้ ยการทดสอบ t-test 19 2 ผลการวัดคะแนนพฒั นาการเรยี นเฉลีย่ ของนกั ศกึ ษาจานวน 99 คน จากการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐานสาหรบั นกั ศึกษาสาขา วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร 3 ผลการประเมินตนเองของนกั ศกึ ษาสาขาวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีการอาหาร 4 ผลการประเมินกลมุ่ ยอ่ ย 20 กลุม่ ของนกั ศกึ ษาสาขา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร

สารบญั ภาพ [ค] ภาพที่ หน้า 1 แผนผงั การทดสอบการยอมรบั และการพฒั นาผลิตภัณฑ์ 4

1 บทนา การพัฒนาผลิตภัณฑเ์ ปน็ กระบวนการซับซ้อน และเกีย่ วขอ้ งกับตัวแปรตา่ งๆ มกี ารใช้ เทคนคิ และวิธีการตา่ งๆ เพือ่ เปล่ยี นแนวความคดิ ใหก้ ลายเปน็ ตวั ผลติ ภณั ฑ์ กระบวนการพฒั นา ผลิตภณั ฑ์ ประกอบดว้ ย 7 ขนั้ ตอนหลักๆ คือ กาหนดยุทธศาสตร์ทม่ี ีเป้าหมายและวตั ถุประสงค์ ของงาน สร้างแนวความคิดผลิตภณั ฑใ์ หมโ่ ดยการรวบรวมขอ้ มูลทัง้ ปฐมภมู ิและทุติยภูมิทาง เทคโนโลยีและการตลาด กลัน่ กรองและประเมินแนวความคิดเพอื่ สรุปผลิตภัณฑ์ท่ีจะทาการพฒั นา วเิ คราะห์ผลติ ภัณฑ์ทีจ่ ะพัฒนาเชิงธุรกิจ ทาการพัฒนาผลิตภณั ฑ์โดยการพฒั นาสูตรและพัฒนา กรรมวธิ กี ารผลิต การทดสอบคณุ ภาพของผลติ ภัณฑ์ทงั้ ทางด้านกายภาพ เคมี จุลนิ ทรีย์ ประสาท สัมผสั รวมทัง้ ทดสอบผ้บู รโิ ภคและอายกุ ารเกบ็ ของผลิตภณั ฑ์ ขนั้ สุดท้ายคอื การนาเสนอสนิ ค้าออก สู่ตลาด จะเห็นไดว้ ่าการพัฒนาผลิตภณั ฑ์ นัน้ ตอ้ งใช้รวมความรจู้ ากหลาย วิชารว่ มกนั และต้อง อาศัยกระบวนการคดิ วเิ คราะหใ์ นการดาเนินโครงการพัฒนาผลติ ภัณฑอ์ าหาร ซ่ึงจากการเรยี นการ สอนท่ผี า่ นมา พบว่านกั ศกึ ษาขาดแนวความคดิ ทีห่ ลากหลาย รวมถงึ ไมส่ ามารถนารายวิชาท่ไี ด้ เรยี นมาแล้ว เช่น การวางแผนการทดลอง เคมีอาหาร จลุ ชีววิทยาทางอาหาร การควบคมุ และการ ประกันคณุ ภาพอาหาร เปน็ ต้น มาใช้ในการปฏิบัตงิ านโครงการพัฒนาผลติ ภณั ฑอ์ าหารได้ การพฒั นาการเรียนรู้เพอ่ื เสรมิ สรา้ งความสามารถในการ คดิ วเิ คราะห์ใหก้ ับนักศึกษา โดย การใช้การจดั การเรยี น การสอนแบบ การเรียนรู้โดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem-based learning หรือ PBL) เป็นรปู แบบการเรียนรทู้ เ่ี กิดขน้ึ ตามแนวคิ ดตามทฤษฎีการเรียนรแู้ บบ สร้างสรรคน์ ยิ ม (Constructivism) โดยให้ผเู้ รียนสรา้ งความรู้ใหม่ จากการใชป้ ัญหาท่ีเกดิ ขึ้นในโลก แหง่ ความเป็นจริงเปน็ บรบิ ท (context) ของการเรยี นรู้ เพื่อใหผ้ เู้ รียนเกดิ ทกั ษะในการคิด วเิ คราะหแ์ ละคดิ แกป้ ญั หารวมทง้ั ได้ความรู้ตามศาสตรใ์ นส าขาวิชาทต่ี นศกึ ษาด้วย ซง่ึ ผเู้ รยี น จะตอ้ งมีวิธีคดิ วิเคราะหใ์ นการแกป้ ัญหาโดยใช้ความรูท้ ่ไี ดศ้ ึกษามาด้วย ดังนน้ั การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเปน็ ฐานจะเปน็ วธิ กี ารทช่ี ่วยฝึกฝนให้ผเู้ รียนสามารถใช้ความคดิ อย่างเปน็ ขนั้ เป็นตอนและมี ความเข้าใจในปญั หา การเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐานเปน็ เทคนคิ การสอนทสี่ ง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนได้ลง มอื ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ทาใหผ้ ู้เรียนเกิดทักษะในการคดิ วิจารณญาณและคิดสรา้ งสรรค์

2 วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื พฒั นาวธิ ีการเรยี นรกู้ ารพฒั นาผลติ ภณั ฑอ์ าหารโดยใช้ปัญหาเปน็ ฐาน 2. เพ่อื ศึกษาผลสัมฤทธข์ิ องการเรยี นการสอนโดยใชป้ ัญหาเป็นฐาน

3 ตรวจเอกสาร 1. การพฒั นาผลิตภัณฑ์ การพฒั นาผลติ ภัณฑเ์ ปน็ กระบวนการทเี่ ปน็ กลยุทธใ์ นการนานวตกรรมส่บู รษิ ัทธุรกจิ หรอื เป็นกระบวนการสรา้ งความคิดผลติ ภัณฑใ์ หมใ่ ห้แก่ผ้ซู ้ือ ซ่งึ สินคา้ น้นั ไมไ่ ดม้ ีวางจาหน่ายมากอ่ น (ทิพย์วรรณนา , 2545) การพฒั นาผลติ ภัณฑเ์ ปน็ การพฒั นาผลิตภณั ฑ์ใหมห่ รือปรบั ปรงุ จาก ผลติ ภณั ฑเ์ ดิม ผลติ ภัณฑจ์ ะมคี วามแตกต่างจากผลติ ภณั ฑ์ทม่ี ีอยู่ในตลาดและยังไมม่ ีวางจาหนา่ ย ในทอ้ งตลาด (ไพโรจน์, 2545) การพัฒนาผลิตภณั ฑ์เปน็ กระบวนการซบั ซ้อน และเกีย่ วข้องกบั ตัวแปรตา่ งๆ มีการใช้ เทคนคิ และวิธีการต่างๆ เพอ่ื เปลย่ี นแนวความคิดให้กลายเปน็ ตัวผลิตภณั ฑ์ กระบวนการพฒั นา ผลติ ภัณฑ์ ประกอบด้วย 7 ขน้ั ตอนหลักๆ คอื กาหนดยทุ ธศาสตรท์ ่ีมีเปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ ของงาน สร้างแนวความคิดผลติ ภณั ฑ์ใหมโ่ ดยการรวบรวมข้อมูลทงั้ ปฐมภูมิและทุตยิ ภูมทิ าง เทคโนโลยีและการตลาด กลั่นกรองและประเมินแนวความคดิ เพือ่ สรปุ ผลิตภณั ฑ์ทีจ่ ะทาการพัฒนา วเิ คราะห์ผลติ ภณั ฑ์ที่จะพฒั นาเชงิ ธุรกิจ ทาการพัฒนาผลติ ภัณฑโ์ ดยการพัฒนาสูตรและพัฒนา กรรมวิธกี ารผลติ การทดสอบคณุ ภาพของผลิตภัณฑท์ ้งั ทางดา้ นกายภาพ เคมี จุลินทรยี ์ ประสาท สมั ผัสรวมทงั้ ทดสอบผบู้ รโิ ภคและอายกุ ารเกบ็ ของผลติ ภณั ฑ์ ข้ันสุดทา้ ยคือการนาเสนอสนิ ค้าออก สตู่ ลาด (คณาจารย์ภาควิชาพฒั นาผลิตภัณฑ์, 2550) 1.1 การทดสอบผูบ้ รโิ ภค ผูบ้ ริโภคคือกลุม่ ตัวแทนผู้บรโิ ภคเป้าหมายของผลิตภณั ฑท์ ก่ี าลงั พฒั นา และการทดสอบ ผูบ้ รโิ ภคคือการศกึ ษาปฏิกิริยาของกลมุ่ ผู้บริโภคที่มตี อ่ แนวคิดผลิตภัณฑ์ รูปแบบและคณุ ลักษณะ ทางประสาทสัมผัสของผลติ ภัณฑท์ ี่พัฒนาขึน้ ในข้ันตอนต่างๆ (เพญ็ ขวัญ, 2550) จากแผนภาพกิจกรรมการพฒนั าผลติ ภณั ฑ (ภาพที่ 1) จะเร่มิ จากการประเมนิ โดย ผู้ชานาญการกลุ่มเลก็ ๆ (I) จากนัน้ จึงใช้ผปู้ ระเมินระดับหอ้ งปฏิ บัติการ (II) และตามดว้ ยผปู้ ระเมิน ทไ่ี ม่ไดผ้ า่ นการฝกึ ฝน (III) โดยปกติมีความเป็นไปไดท้ ่จี ะเปน็ คนในบรษิ ัทหรือในอตุสาหกรรม นั้นๆ หรอื กลมุ่ คนที่รู้จักและเป็นตัวแทนของผบู้ รโิ ภคกลมุ่ เป้าหมายได้ ข้ันที่ IV และ V แสดงถึง ประเภทของการทดสอบผบู้ ริโภค 2 ประเภทที่ใชใ้ นการ ทดสอบการยอมรับ และหลังจากน้นั จะนา ผลมาทา การวิเคราะห์ (VI) และสดุ ท้ายใชผ้ ลการวิเคราะห์เป็นพน้ื ฐานในการตัดสนิ ใจของ ผู้ประกอบการ (VII) ทงั้ อาจจะใช้เพอื่ เป็นขอ้ มูลประกอบการผลติ สินค้าในระดับอตุ สาหกรรม หรือ อาจจะใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการปรบั ปรงุ สนิ ค้าต่อไปเพ่อื เพ่ิมการย อมรบั ผลติ ภณั ฑ์ใหม้ ากขึน้ (ไพโรจน์, 2545)

4 ภาพท่ี 1 แผนผังการทดสอบการยอมรับและการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ ทีม่ า : ไพโรจน์ (2545) 1.2 อายุการเกบ็ ของผลติ ภัณฑอ์ าหาร ž อายกุ ารเกบ็ ของผลติ ภณั ฑอ์ าหารคอื ชว่ งเวลาตง้ั แตผ่ ลติ ภัณฑน์ ั้นได้ผลิตข้นึ มา ผลติ ภณั ฑ์ ยงั มคี ณุ ภาพทางด้านคุณค่าทางอาหาร รสชาติ ลกั ษณะเน้ือสมั ผสั และลกั ษณะปรากฎเปน็ ทพ่ี อใจ ของผู้บรโิ ภค จนถึงเวลาทผ่ี ลิตภัณฑ์ไมเ่ ปน็ ที่ยอมรบั ของผู้บริโภค หรือไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค (รงุ่ นภา, 2540) ž การเสอ่ื มเสยี ของอาหารคือ การที่อาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงคณุ ลกั ษณะและคุณภาพ ซง่ึ รวมถงึ สี กล่ินรส รปู รา่ ง ลักษณะเน้อื สมั ผสั ของอาหารและคณุ ค่าทางโภชนาการคุณภาพของ อาหารเปล่ียนไปจนถงึ ระดบั ท่ไี ม่เป็นทยี่ อมรบั ของผูบ้ รโิ ภค หรืออาจเป็นอันตรายต่อผบู้ ริโภคได้ (รงุ่ นภา, 2540)

5 ž ดงั นน้ั การระบุอายกุ ารเก็บของผลติ ภณั ฑ์อาหารจงึ มีความสาคญั ตอ่ อตุ สาหกรรมอาหาร อยา่ งมาก ตามประกาศกระทรวงสาธารณสขุ (ฉบบั ที่ 194) พ.ศ. 2543 เรือ่ งฉลาก ไดก้ าหนดใหม้ ี การระบุอายุการเก็บของผลติ ภัณฑอ์ าหารดังนี้ ž (11) วันเดือนและปที ่ีผลติ เดอื นและปีทีผ่ ลติ วนั เดอื นและปที ห่ี มดอายกุ ารบริโภค หรือ วนั เดอื นและปีทอี่ าหารยังมคี ณุ ภาพหรือมาตรฐานดี โดยมี ขอ้ ความว่า “ผลิต” “หมดอายุ” หรอื “ควรบริโภคกอ่ น” กากับไวด้ ้วยแลว้ แต่กรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี (11.1) วันเดอื นและปีท่หี มดอายุการบริโภค สาหรบั อาหารท่ีเก็บไวไ้ ด้ไม่เกิน 90 วนั (11.2) เดือนและปที ี่ผลติ หรือ วนั เดอื นและปที ห่ี มดอายุการบริโภค สาหรับ อาหารทีเ่ ก็บไว้ได้เกิน 90 วัน (11.3) วนั เดอื นและปีทีผ่ ลติ และ วนั เดือนและปีท่ีหมดอายกุ ารบรโิ ภค สาหรับ อาหารที่สานกั งานคณะกรรมการอาหารและยาประกาศกาหนด การแสดงข้อความตาม (11.1) (11.2) และ (11.3) จะต้องแสดงใหเ้ รียงตามลาดับ ของวันเดือนปตี ามทีก่ าหนด กรณีการแสดงเดือนอาจแสดงโดยใชต้ ัวอักษรแทนได้ สาหรับวันเดือนและปที ี่หมดอายกุ ารบรโิ ภค อาจแสดงวนั เดอื นและปีที่ควร บริโภคกอ่ นแทนได้ 2. การวิจยั ในชั้นเรียน การวจิ ัยในช้นั เรียน คือ กระบวนการแสวงหาความรอู้ ันเปน็ ความจรงิ ที่เชื่อถือได้ในเน้ือหา เกยี่ วกบั การพฒั นาการจดั การเรยี นการสอน เพอื่ การพฒั นาการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น (สุวัฒนา, 2538) จุดม่งุ หมายของการทาวิจยั ในชัน้ เรียน คือ การปรบั ปรุงประสิทธภิ าพของการปฏิบตั ิงาน สอนให้ดีขึ้น โดยวเิ คราะหห์ าสาเหตสุ าคญั ทเ่ี ปน็ ปัญหาทาให้การเรียนการสอนไม่ประสบผลสาเร็จ ไปตามเป้าหมายที่ผคู้ าดหวงั ไว้ จากนน้ั จะใช้แ นวคิดทางทฤษฎแี ละประสบการณก์ ารปฏบิ ัตทิ ี่ ผา่ นมา แสวงหาขอ้ มลู และวิธีการทค่ี าดว่าจะแกป้ ญั หาได้ แลว้ นาวธิ กี ารดงั กล่าวไปทดลองปฏิบัติ กบั กลุ่มผ้เู รยี นทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหา การวจิ ยั ในช้ันเรยี นเป็นการวิจัยเชิงปฏบิ ัตกิ าร (พนม, 2554) ประชากรเป้าหมายของการวจิ ัยในช้ัน เรยี นถกู จากดั เป็นกลุ่ม ผู้เรยี นในความรบั ผดิ ชอบของ ผ้สู อน เทา่ น้ัน และขอ้ ความรทู้ ไ่ี ด้มกั จะมีความเฉพาะคอื จะเกีย่ วกับสภาพปญั หาและผลการพัฒนา ผู้เรียน ในชัน้ เรียนของผสู้ อนเปน็ สาคัญ (สวุ ัฒนา, 2538)

6 3. การเรียนแบบใช้ปัญหาเปน็ หลัก การเรียนท่ใี ชป้ ญั หาเปน็ หลกั (Problem-based Learning) หมายถึง รูปแบบการเรยี นการ สอนที่มผี ู้เรยี นเปน็ ศนู ย์กลาง โดยใชส้ ถานการณป์ ญั หาเป็นตวั กระตุ้นใหผ้ ้เู รียนแสวงหาความรู้ เพ่อื นามาแกป้ ญั หานนั้ (ณฐั กร, 2552) การเรียนที่ใช้ปญั หาเป็นหลักมกี ารพฒั นาข้ึนคร้ังแรกโดย Faculty of Health Sciences, McMaster University ประเทศแคนาดา ในปี 1969 ต่อมามหาวิทยาลยั ในสหรัฐอเมรกิ านาวิธกี าร เรียนท่ใี ช้ปญั หาเปน็ หลกั ไปเป็นแบบอย่างบา้ ง University of New Mexico เปน็ มหาวทิ ยาลัยแหง่ แรกในสหรัฐอเมริกาท่นี าการเรยี นท่ีใช้ปัญหาเป็นหลกั มามาใชใ้ นหลักสูตรทางการแพทย์ (medical curriculum) (Donner และ Bickley, 1993) ลกั ษณะทีส่ าคญั ของการเรียนที่ใชป้ ญั หาเปน็ หลัก (มณั ฑรา, 2545) 1. ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลางของการเรยี นรู้อย่างแท้จริง (student-centered learning) 2. การเรยี นรเู้ กดิ ข้นึ ในกลมุ่ ผู้เรียนทม่ี ขี นาดเลก็ 3. ครผู ู้สอนเป็นผู้อานวยความสะดวก (facilitator) หรือผ้ใู ห้คาแนะนา (guide) 4. ใชป้ ัญหาเปน็ ตัวกระต้นุ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ 5. ปัญหาทนี่ ามาใชม้ ลี กั ษณะคลุมเครือไมช่ ัดเจน ปัญหา 1 ปญั หาอาจมคี าตอบไดห้ ลาย คาตอบหรอื มที างแก้ไขปญั หาได้หลายทาง (ill-structured problem) 6. ผู้เรยี นเป็นค นแก้ปัญหาโดยการแสวงหาข้อมูลใหม่ ๆ ดว้ ยตนเอง (self-directed learning) 7. ประเมนิ ผลจากสถานการณ์จริง โดยดูจากความสามารถในการปฏบิ ตั ิ (authentic assessment) กระบวนการของการเรียนท่ีใชป้ ญั หาเป็นหลัก Bridges (1992) จาแนกการเรียนที่ใชป้ ัญหาเปน็ หลกั ท่นี าไปใช้ใ นหอ้ งเรยี นออกเป็น 2 รูปแบบ คอื แบบเนน้ ปัญหา และแบบเนน้ ผเู้ รียน การเรียนท่ใี ช้ปญั หาเป็นหลกั ท่ีเนน้ ปัญหา (Problem-stimulated PBL) รปู แบบน้จี ะใช้บทบาทของปัญหาต่างๆ ท่เี กย่ี วข้องเพือ่ ท่ีจะแนะนาและเรียนรู้ ความรู้ใหม่ การเรียนทใ่ี ชป้ ัญหาเปน็ หลักท่ีเนน้ ปั ญหาน้ีใหค้ วามสาคญั กบั เปา้ หมายหลกั 3 ประการ คือ 1) การพฒั นาทกั ษะเฉพาะเจาะจง (domain-specific skills) 2) การพัฒนาทักษะการ แกป้ ัญหา (problem-solving skills) และ 3) การได้มาซง่ึ ความรเู้ ฉพาะเจาะจง (domain-specific knowledge) โดยประกอบด้วยกระบวนการดังตอ่ ไปนี้

7 1. ผู้เรยี นไดร้ ับทรพั ยากรการเรยี นรู้ ดงั นี้ 1.1 ปญั หา 1.2 วตั ถปุ ระสงคท์ ี่ผเู้ รียนคาดหวังว่าจะไดร้ บั ขณะปฏบิ ัติการแก้ปญั หา 1.3 รายการอ้างองิ ของทรพั ยากรต่างๆ ที่เกยี่ วกบั วตั ถปุ ระสงคพ์ ้นื ฐาน 1.4 คาถามท่เี น้นมโนทศั น์ทส่ี าคัญและการประยุกต์ใช้ฐานความรู้ 2. ผู้เรยี นรว่ มกนั ทางานเปน็ กลุ่มเพอ่ื ให้โครงการประสบความสาเร็จ สามารถ แกป้ ัญหา และทาใหบ้ รรลุวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้ 2.1 ผเู้ รยี นแตล่ ะคนมีบทบาทหนา้ ทต่ี า่ งๆ กันในกลมุ่ ไม่วา่ จะเปน็ บทบาทผนู้ า ผู้ช่วยเหลือ ผู้บนั ทึก และสมาชิกกล่มุ 2.2 จัดสรรเวลาท่ชี ัดเจนในแตล่ ะช่วงของโครงการ 2.3 จัดตารางกจิ กรรมการปฏบิ ัติงานของทมี และวางแผนใหเ้ ป็นไปตาม เวลาท่ีกาหนด 3. ความสามารถของผเู้ รยี นถูกวัดโดยผู้สอน เพือ่ นรว่ มชนั้ และตัวผ้เู รียนเองโดย ใชแ้ บบสอบถาม การสมั ภาษณ์ การสังเกต และวธิ กี ารประเมนิ อื่นๆ กระบวนการทงั้ หมด ผ้สู อนจะ ทาหน้าทเี่ ป็นผู้สนบั สนุนแก่กลุ่ม และให้คาแนะนา รวมทัง้ กาหนดทศิ ทางถา้ กลมุ่ ร้องขอหรือเกิด ปญั หาอุปสรรคในการทางาน การเรยี นทีใ่ ชป้ ญั หาเปน็ หลักทเี่ น้นผเู้ รียน (Student Centered PBL) รูปแบบนี้คล้ายกบั รูปแบบแรกในบางลักษณะ เชน่ มีเป้าหมายเหมื อนกัน แต่มีสงิ่ ที่มากกวา่ คอื ส่งเสรมิ ทกั ษะการเรยี นรตู้ ลอดชวี ิต (Fostering life-long learning skills) กลมุ่ แพทย์ เป็นผู้ทีต่ อ้ งการการพฒั นาทางานอยตู่ ลอดเวลา ทกั ษะการเรียนร้ตู ลอดชวี ิตจึงเปน็ สว่ นที่สาคญั ใน การปฏบิ ตั งิ าน เพราะฉะน้ันโรงเรียนแพทยจ์ งึ นยิ มใช้รูปแบบนี้ ในการเรียนการสอน โดย ประกอบด้วยกระบวนการที่คลา้ ยกบั รูปแบบแรกดังต่อไปน้ี 1. ผู้เรยี นไดร้ บั สถานการณ์ของปัญหา 2. ผเู้ รียนทาการฝกึ ปฏบิ ัติการแกป้ ญั หาในรูปแบบกลุ่ม 3. ผู้เรียนถูกประเมนิ ผลโดยวิธีการท่หี ลากหลายโดยผสู้ อน เพ่อื นรว่ มชนั้ และตัว ผ้เู รยี นเอง แมก้ ระบวนการดังกล่าวจะมีความใกลเ้ คียงกบั รูปแบบแรก แต่สิ่งท่ีแตกต่างกัน อย่างชดั เจนคอื ในกระบวนการแต่ละขัน้ ตอนน้ันจะถูกขบั เคล่อื นโดยเป้าหมายของการสง่ เสรมิ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยภาระความรับผดิ ชอบของผู้เรียนมดี ังนี้ 1. ผเู้ รียนระบุปญั หาการเรยี นรู้ท่ีพวกเขาต้องการค้นหา 2. ผู้เรยี นกาหนดเนอื้ หาทตี่ อ้ งการศกึ ษา

8 3. ผ้เู รียนกาหนดและคน้ หาแหล่งข้อมูลทจ่ี าเป็นต้องใช้ 4. โดยสรปุ แลว้ ผ้เู รยี นกาหนดประเด็นที่ตอ้ งการเรยี นรู้ด้วยตนเอง โดยตัดสินใจ ว่าจะใช้ข้อมลู และความรใู้ หม่ทไี่ ด้รบั มาแก้ปัญหาไดอ้ ย่างไรจึง จะเหมาะสม ณฐั กร (2552) สรปุ วา่ กระบวนการเรยี นทีใ่ ชป้ ัญหาเป็นหลัก ประกอบดว้ ย 8 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. เตรียมความพรอ้ มผเู้ รยี น ผู้สอนทาการปฐมนเิ ทศเพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นทราบวิธีการเรียนการสอน บทบาทของ ผสู้ อนผู้เรียน การแบ่งกลมุ่ ผ้เู รียน รวมท้ังระยะเวลาในการเรยี นหรือเงือ่ นไขอน่ื ๆ ทเ่ี ก่ยี วข้อง 2. เสนอสถานการณข์ องปญั หา ผู้สอนเกร่นิ นาเพือ่ เช่อื มโยงประสบการณ์เดิมของผู้เรยี นกบั สถานการณ์ทผ่ี ู้ เรยี น จะได้พบ จากน้ันจึงนาเสนอสถานการณป์ ัญหาพรอ้ มท้งั แจ้งวัตถุประสงค์หรอื ประเดน็ ปญั หา ที่ ตอ้ งการให้แกไ้ ข รวมทงั้ บอกแหล่งข้อมูลทเ่ี ตรยี มไว้และแหลง่ ข้อมลู ภายนอกท่ีผู้เรยี นสามารถ เขา้ ไปคน้ คว้าได้ 3. กาหนดกรอบการศกึ ษา ผู้เรยี นวเิ คราะหส์ ถานการณป์ ญั หาร่วมกันภายในกล่มุ เพ่อื กาหนดกรอบหรอื ขอบเขตที่จะศึกษาแนวทางการแก้ปญั หา จากน้นั วางแผนการดาเนนิ งานและแบง่ บทบาทหนา้ ที่ ความรับผิดชอบ 4. สรา้ งสมมตฐิ าน ผู้เรยี นระดมความคิดเหน็ จากสมาชกิ ทุกคนในกลุม่ เพ่อื เชือ่ มโยงแนวคิดของแต่ ละคน ซึง่ อาศยั ความรเู้ ดิมเปน็ ข้อมูลในการสร้างสมมตฐิ านโดยสร้างสมมตฐิ านให้ได้ มากทส่ี ดุ จากนนั้ รว่ มกันคดั เลอื กแตส่ มมติฐานทนี่ า่ จะเป็นไปได้ และคัดท่ไี มน่ า่ จะใชท่ ้งิ ไป 5. ค้นคว้าขอ้ มูลเพ่อื พสิ ูจนส์ มมตฐิ าน ในข้นั ตอนนผี้ เู้ รียนแต่ละคนหรอื ทัง้ กลุ่มค้นคว้าหาขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ จากแหล่งข้อมูล ภายในและภายนอกตามท่ไี ด้แบง่ หนา้ ที่ความรบั ผิดชอบ 6. ตัดสินใจเลอื กแนวทางแก้ปัญหา สมาชิกในกลุม่ ประชุมรว่ มกนั เพื่อพิจารณาเลือกสมมตฐิ านที่ นา่ จะถกู ตอ้ งท่ีสุด ใน การนาไปใช้เป็นแนวทางในการแกป้ ญั หา โดยใช้ขอ้ มลู ทไ่ี ปศกึ ษาคน้ ควา้ มาประกอบการตัดสนิ ใจ หรือหากมสี มมติฐานท่ีนา่ จะถูกตอ้ งมากกวา่ หนงึ่ ก็ใหจ้ ดั เรยี งลาดบั ความนา่ จะเปน็ 7. สรา้ งผลงาน หรอื ปฏิบตั ติ ามทางเลือก นาแนวทางทเี่ ลอื กไปทดลองแกป้ ัญหา หากแก้ปญั หาไมไ่ ดก้ ็ให้ใชท้ างเลอื กข้อ ถัดไป หรอื ค้นควา้ ขอ้ มูลเพิ่มเติมเพ่ือปรบั ปรงุ ทางเลอื กน้ันใหส้ มบูรณ์ย่ิงขน้ึ และ นาไปทดลองใหม่ อกี ครัง้ (ในการนาไปใชจ้ ริงๆ อาจไม่ตอ้ งใหผ้ ู้เรยี นลงมือปฏิบัตกิ ารทดลองแกป้ ัญหาจริงกไ็ ด้ หาก

9 ปัจจยั ตา่ งๆ ไมเ่ อ้ือ อาจใช้แคก่ ารให้ผู้ เรียนตรวจสอบแนวทางการแก้ปัญหาของกลุ่มตนดว้ ยการ สอบถาม ผู้เชยี่ วชาญภายนอกกไ็ ด้) 8. ประเมนิ ผลโดยวธิ ีทีห่ ลากหลาย โดยกลมุ่ นาเสนอผลการแกป้ ญั หาหรอื แนวทางการแก้ปญั หาหนา้ ช้นั เรยี น และทา การประเมินทั้งจากผูส้ อน ผ้เู รยี นกล่มุ อื่นและกลุม่ ทน่ี าเสนอเอง รวมท้งั ผเู้ ช่ี ยวชาญหรือ บคุ คลภายนอกท่เี ก่ียวขอ้ ง การประเมนิ จะไม่วดั เฉพาะความรหู้ รอื ผลงานสุดทา้ ยเพยี งอย่างเดียว แต่จะวัดกระบวนการทีไ่ ดม้ าซงึ่ ผลงานด้วย ซง่ึ การประเมินสามารถวดั ไดจ้ ากแบบทดสอบ แบบสอบถาม การสมั ภาษณ์ การสังเกต หรอื วธิ ีการประเมินอนื่ ๆ

10 วิธกี ารวจิ ัย 1. กล่มุ ตวั อย่าง นักศึกษาระดับปริญญาตรี ชน้ั ปที ่ี 3 สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร คณะ เทคโนโลยกี ารเกษตร มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบุรี ท่ี ลงทะเบียน เรียน ราย วชิ า 03064304 การพฒั นาผลติ ภณั ฑอ์ าหาร (Food Products Development) ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2553 จานวน 99 คน 2. ตัวแปรทีศ่ ึกษา ตวั แปรต้น คือ วิธีการสอนแบบการเรยี นร้โู ดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem – based Learning) ตัวแปรตาม คอื การเรียนร้เู รอ่ื ง “การทดสอบผูบ้ รโิ ภคและการทดสอบอายุการเก็บรกั ษา ผลติ ภณั ฑอ์ าหาร” 3. เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ัย 1. แผนการจั ดการเรียน การสอนวิชาการพฒั นาผลิตภัณฑ์อาหาร เร่ือง “การทดสอบ ผู้บรโิ ภคและการทดสอบอายุการเก็บรักษาผลติ ภณั ฑอ์ าหาร” 2. แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ทั้งแบบปรนัยและอตั นัย 3. แบบประเมนิ ตนเองและกลุ่ม 4. ขนั้ ตอนการวจิ ัย 1. ทาการทดสอบวัดความรกู้ อ่ นการเรียน เร่ืองการทดสอบผู้บริโภคและการทดสอบอายุ การเก็บรักษา ผลติ ภัณฑอ์ าหาร ของนกั ศกึ ษา โดยใช้ระยะเวลาในการทดสอบ 1 ชวั่ โมง เพื่อ ทดสอบวา่ นักศึกษามคี วามรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั เรือ่ งการทดสอบผูบ้ รโิ ภคและการทดสอบอายุการ เกบ็ รกั ษาผลติ ภัณฑอ์ าหารมากน้อยเพียงใด 2. ดาเนนิ การจัดการเรยี นการสอนแบบใช้ปญั หาเป็นหลัก ตามแผนการจัดการเรยี นการ สอน ใชเ้ วลา 6 ชว่ั โมง โดยมขี น้ั ตอนดงั นี้ 2.1 กาหนดโจทยป์ ัญหา 2.2 แบ่งนกั ศึกษาออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 5-6 คน

11 2.3 ให้นกั ศกึ ษาทาความเข้าใจคาศพั ท์และข้อความทปี่ รากฏอยู่ ในโจทยป์ ัญหาให้ ชดั เจน 2.4 นักศกึ ษาระดมสมองวิเคราะหป์ ญั หา โดยอาศัยความร้เู ดมิ ของสมาชกิ ในกลุ่ม ทุกคน และทาการสรุป รวบรวมความรแู้ ละแนวคดิ ของกลุม่ 2.5 นักศึกษาค้นคว้ารายละเอยี ด เพมิ่ เตมิ จากสอ่ื และแหล่งการเรยี นร้ตู า่ งๆ เช่น ห้องสมดุ และ Internet เป็นต้น จากนน้ั ทาการรวบรวมความร้ทู ี่ได้จากการคน้ ควา้ เพิม่ เตมิ และ สรปุ เปน็ แนวคดิ ของกล่มุ 2.6 นกั ศกึ ษานา เสนอ รายงานข้อมลู ทไี่ ด้ ใหก้ บั กล่มุ ใหญ่ และทาการ อภปิ ราย ร่วมกัน และวเิ คราะห์เพอื่ สรปุ เปน็ องค์ความรู้ 2.7 นักศึกษาทาการประเมนิ ตนเองและกล่มุ 3. ทาการทดสอบวดั ควา มรู้หลงั การเรยี นเร่ืองการทดสอบผูบ้ รโิ ภคและการทดสอบอายุ การเกบ็ รกั ษา ผลติ ภัณฑ์อาหาร ของนกั ศกึ ษา ใช้ระยะเวลาในการทดสอบ 1 ชัว่ โมง โดยใช้ แบบทดสอบชดุ เดียวกบั แบบทดสอบก่อนเรยี น นาคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประเมินผลมาเปรียบเทียบ กับการประเมนิ ผลครั้งแรก 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. ทาการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากผลการทดสอบก่อนและหลังการเรียน การสอน โดยการหาค่าเฉลย่ี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งทางสถิติ ระหวา่ งคะแนนก่อนและหลงั การจดั การเรยี นการสอน โดยการทดสอบการแจกแจงแบบที (t-test) ใชน้ ยั สาคญั ทางสถติ ิที่ p  0.05 2. วดั คะแนนพฒั นาการของผเู้ รียน โดยวิธีการวดั คะแนนพฒั นาการสัมพัทธ์ (ศริ ชิ ยั , 2552) คานวณตามสตู รดังน้ี DS = 100 x (B-A) (F-A) โดยที่ DS คอื คะแนนรอ้ ยละของพฒั นาการของผเู้ รยี น (Development Score) F คอื คะแนนเตม็ ในการวัด A คือ คะแนนการวดั ครง้ั แรก B คอื คะแนนการวดั คร้ังหลงั 3. ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากแบบประเมินตนเองและกลมุ่ วเิ คราะห์เป็นค่ารอ้ ยละ และความถี่

12 ผลการวิจัย ผลการสอนด้วยรูปแบบการใชป้ ัญหาเป็นฐานสาหรับนักศึกษาสาขาวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยกี ารอาหาร ในรายวิชาการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ อาหาร หวั ขอ้ การทดสอบผบู้ ริโภคและการ ทดสอบอายกุ ารเกบ็ รักษา ของผลติ ภัณฑ์ จากการทดสอบก่อนและหลงั การเรียนการสอน ซงึ่ ใช้ แบบทดสอบเปน็ แบบปรนัยและอัตนยั จานวน 15 ข้อ 30 คะแนน ระยะเวลาในการทดสอบ 1 ชว่ั โมง ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยการทดสอบ t-test แสดงดงั ตารางท่ี 1 และผลการวัดคะแนน พัฒนาการของนกั ศกึ ษาแสดงดงั ตารางที่ 2 ตารางท่ี 1 ผลการวเิ คราะหผ์ ลสมั ฤทธิ์ของการสอนแบบใช้ปญั หาเป็น ฐานสาหรบั นักศกึ ษาสาขา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร ดว้ ยการทดสอบ t-test การทดสอบ จานวนนักศกึ ษา คะแนนเฉลย่ี S.D. t-test 17.49* ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) 99 5.49 1.77 ทดสอบหลงั เรยี น (Post-test) 99 13.53 4.16 * หมายถงึ ค่าเฉล่ียของตัวอยา่ งมีความแตกตา่ งอยา่ งมีนัยสาคัญ (p  0.05) ข้อมูลจากตารางที่ 1 แสดงคะแนนทดสอบกอ่ นการเรียนการสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ ฐาน เร่ืองการทดสอบผบู้ รโิ ภคและการทดสอบอายุการเ ก็บรกั ษา ของผลิตภณั ฑ์ ของนักศกึ ษาสาขา วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร มคี า่ เฉล่ีย 5.49 คะแนน สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กับ 1.77 และคะแนนทดสอบหลังการเรยี นการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน เร่ืองการทดสอบ ผบู้ รโิ ภคและการทดสอบอายกุ ารเกบ็ รกั ษา ของนกั ศึกษาสาขาวิทยาศาส ตร์และเทคโนโลยีการ อาหาร มคี ่าเฉล่ีย 13.53 คะแนน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทา่ กับ 4.16 เม่อื พจิ ารณาผลคะแนน ทดสอบก่อนและหลังการเรียนการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน พบว่าคะแนนสอบเฉล่ยี ของ นกั ศึกษาหลังการเรยี นสงู กวา่ คะแนนสอบเฉลยี่ ของนกั ศกึ ษาก่อนเรยี น และเมือ่ ทดสอบทางสถติ ิ โดยค่า t-test พบวา่ ค่า t จากการคานวณมคี ่าเท่ากบั 17.49 ซงึ่ มคี ่ามากกวา่ คา่ t ท่ไี ดจ้ ากตารางมี คา่ เทา่ กับ 1.98 (ท่ีค่า df เท่ากับ 98 และ  เทา่ กบั 0.05) แสดงว่ามคี วามแตกต่างอย่างมี นยั สาคัญทางสถติ ิ (p  0.05)

13 ตารางท่ี 2 ผลการวัดคะแนนพฒั นาการเรียน เฉลย่ี ของนักศึกษาจานวน 99 คน จากการสอนแบบ ใช้ปัญหาเปน็ ฐานสาหรับนกั ศกึ ษาสาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร คนท่ี ผลการประเมิน ผลต่างคะแนน พฒั นาการของ ผู้เรยี น (ร้อยละ) กอ่ นเรยี น (A) หลงั เรยี น (B) (B) – (A) คะแนนเต็ม – (A) 56.52 17 20 13 23 43.33 13 30 50.00 20 13 15 30 33.33 8 24 18.18 30 15 4 22 27.27 6 22 54.17 46 14 13 24 52.00 13 25 39.13 58 12 9 23 48.00 12 25 40.00 68 14 10 25 29.17 7 24 52.00 76 19 13 25 44.00 11 25 16.00 85 18 4 25 45.83 11 24 36.00 97 16 9 25 26.92 7 26 52.00 10 5 17 13 25 46.15 12 26 44.00 11 5 15 11 25 18.18 4 22 29.17 12 6 13 7 24 31.82 7 22 36.36 13 5 18 8 22 45.83 11 24 45.83 14 5 16 11 24 15 5 9 16 6 17 17 5 14 18 4 11 19 5 18 20 4 16 21 5 16 22 8 12 23 6 13 24 8 15 25 8 16 26 6 17 27 6 17

14 ตารางที่ 2 (ต่อ) คนที่ ผลการประเมนิ ผลตา่ งคะแนน พัฒนาการของ ผ้เู รียน (รอ้ ยละ) กอ่ นเรยี น (A) หลังเรียน (B) (B) – (A) คะแนนเต็ม – (A) 5 21 23.81 28 9 14 5 24 20.83 10 26 38.46 29 6 11 5 24 20.83 13 27 48.15 30 4 14 7 23 30.44 31 6 11 7 25 28.00 12 27 44.44 32 3 16 8 23 34.78 12 22 54.55 33 7 14 3 21 14.29 12 24 50.00 34 5 12 7 21 33.33 9 24 37.50 35 3 15 1 25 4.00 8 30 26.67 36 7 15 5 24 20.83 6 24 25.00 37 8 20 10 22 45.45 14 28 50.00 38 9 12 14 24 58.33 11 30 36.67 39 6 18 10 25 40.00 5 21 23.81 40 9 16 17 26 65.38 10 25 40.00 41 6 15 17 27 62.96 42 5 6 43 0 8 44 6 11 45 6 12 46 8 18 47 2 16 48 6 20 49 0 11 50 5 15 51 9 14 52 4 21 53 5 15 54 3 20

15 ตารางที่ 2 (ต่อ) คนที่ ผลการประเมนิ ผลตา่ งคะแนน พัฒนาการของ ผู้เรียน (รอ้ ยละ) กอ่ นเรยี น (A) หลงั เรยี น (B) (B) – (A) คะแนนเตม็ – (A) 13 26 50.00 55 4 17 0 23 0.00 5 28 17.86 56 7 7 17 26 65.38 2 26 7.69 57 2 7 3 27 11.11 11 29 37.93 58 4 21 1 25 4.00 5 26 19.23 59 4 6 3 24 12.50 13 30 43.33 60 3 6 -2 23 -8.69 10 26 38.46 61 1 12 10 25 40.00 7 30 23.33 62 5 6 9 30 30.00 8 26 30.77 63 4 9 -5 22 -22.73 5 24 20.83 64 6 9 4 27 14.81 5 24 20.83 65 0 13 -2 24 -8.33 11 26 42.31 66 7 5 10 26 38.46 13 24 54.17 67 4 14 12 26 46.15 10 25 40.00 68 5 15 11 22 50.00 9 27 33.33 69 0 7 70 0 9 71 4 12 72 8 3 73 6 11 74 3 7 75 6 11 76 6 4 77 4 15 78 4 14 79 6 19 80 4 16 81 5 15 82 8 19 83 3 12

16 ตารางที่ 2 (ตอ่ ) คนที่ ผลการประเมนิ ผลตา่ งคะแนน พัฒนาการของ 84 ก่อนเรยี น หลงั เรียน (B) – (A) คะแนนเตม็ – (A) ผู้เรียน (ร้อยละ) 85 (A) (B) 86 10 28 35.71 87 2 12 8 30 26.67 88 08 9 30 30.00 89 09 12 30 40.00 90 0 12 8 23 34.78 91 7 15 17 30 56.67 92 0 17 14 26 53.85 93 4 18 7 30 23.33 94 07 11 30 36.67 95 0 11 7 25 28.00 96 5 12 12 26 46.15 97 4 16 11 23 47.83 98 7 18 10 24 41.67 99 6 16 4 23 17.39 ค่าเฉลี่ย 7 11 10 26 38.46 4 14 14 23 60.87 7 21 8.04 24.51 32.79 5.49 13.53 จากตารางที่ 2 แสดงคะแนนการทดสอบกอ่ นเรยี น การทดสอบหลังเรียนและรอ้ ยละของ พัฒนาการของผูเ้ รยี นจานวน 99 คน ซึ่งผลต่างคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบมคี ่ าเท่ากับ 8.04 ซงึ่ วิธีการเรยี นการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน เร่อื งการทดสอบผบู้ รโิ ภคและการทดสอบอายกุ ารเก็บ รักษาของผลิตภัณฑ์ ทาใหค้ ะแนนเฉล่ยี ของการทดสอบหลงั เรียนมคี า่ สูงกว่าคะแนนเฉลย่ี ของการ ทดสอบกอ่ นเรียน เมอ่ื นามาวิเคราะห์หาพฒั นาการเรยี นรู้ ของนักศกึ ษา พบว่าพัฒนา การของ ผู้เรียนเทา่ กบั รอ้ ยละ 32.79 ในการเรียนการสอนดว้ ยรูปแบบการใชป้ ัญหาเป็นฐานสาหรับนกั ศึกษาสาขาวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยกี ารอาหาร ได้จัดแบ่งนักศึกษาออกเปน็ กล่มุ ย่อยและให้นักศกึ ษาประเมินตนเองใน

17 ดา้ นการรว่ มงานกลุ่ม ผลการประเมนิ ตนเองของนกั ศกึ ษาสาขาวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการ อาหาร แสดงดังในตารางที่ 3 ตารางที่ 3 ผลการประเมินตนเองของนกั ศกึ ษาสาขาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร ทกั ษะของนักศกึ ษา ควรปรบั ปรุง พอใช้ ดี ดีมาก 1. รับฟังความคิดเหน็ ความถี่ รอ้ ยละ ความถี่ ร้อยละ ความถี่ รอ้ ยละ ความถ่ี ร้อยละ ของเพือ่ นแ ละเปดิ โอกาส ใหส้ มาชกิ กลมุ่ แสดง 1 1.01 14 14.14 60 60.61 24 24.24 ความคิดเหน็ 2. ใหข้ อ้ มลู หรือเสนอ 0 0 19 19.19 68 68.69 12 12.12 ความคดิ เหน็ ทส่ี รา้ งสรรค์ และเปน็ ประโยชน์ตอ่ กลมุ่ 3. อธิบายและถ่ายทอด 0 0 21 21.21 62 62.63 16 16.16 ความคดิ ใหก้ ล่มุ เข้าใจได้ 4. ความตรงต่อเวลา 1 1.01 20 20.20 43 43.43 35 35.36 5. โดยภาพรวม การ 0 0 16 16.16 52 52.53 31 31.31 แสดงบทบาทสมาชกิ กลุ่ม เหมาะสม ผลการประเมินตนเองของนักศึกษาสาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร สาหรับ ทักษะของนกั ศึกษาด้านการรับฟงั ความคิดเหน็ ของเพ่ือนและเปดิ โอกาสให้สมาชิกกลุ่มแสดงความ คิดเห็น มนี ักศกึ ษาจานวน 1 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.01 ประเมนิ ตนเองควรปรับปรุง นักศกึ ษา จานวน 14 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 14.14 ประเมนิ ตนเองพอใช้ นกั ศึกษาจานวน 60 คน คิดเป็นร้อยละ 60.61 ประเมนิ ตนเองดี และนกั ศึกษาจานวน 24 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 24.24 ประเมนิ ตนเองดมี าก ทกั ษะของนกั ศึกษาด้านใหข้ ้อมลู หรือเสนอความคิดเหน็ ที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชนต์ อ่ กลมุ่ มนี ักศึกษาจานวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 19.19 ประเมินตนเองพอใช้ นักศกึ ษาจานวน 68

18 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 68.69 ประเมินตนเองดี และนักศึกษาจานวน 12 คน คดิ เป็นร้ อยละ 12.12 ประเมินตนเองดีมาก ทักษะของนกั ศึกษาดา้ นอธบิ ายและถา่ ยทอดความคดิ ใหก้ ลุม่ เข้าใจได้ มีนกั ศกึ ษาจานวน 21 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 21.21 ประเมนิ ตนเองพอใช้ นักศกึ ษาจานวน 62 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 62.63 ประเมนิ ตนเองดี และนักศึกษาจานวน 16 คน คิดเป็นร้อยละ 16.16 ประเมินตนเองดีมาก ความตรงต่อเวลาของนักศกึ ษา มนี ักศึกษาจานวน 1 คน คดิ เป็นร้อยละ 1.01 ประเมิน ตนเองควรปรบั ปรงุ นกั ศึกษาจานวน 20 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 20.20 ประเมินตนเองพอใช้ นักศกึ ษา จานวน 43 คน คิดเป็นร้อยละ 43.43 ประเมินตนเองดี และนักศกึ ษาจานวน 35 คน คิดเป็นร้อยละ 35.36 ประเมินตนเองดมี าก โดยภาพรวมการแสดงบทบาทสมาชกิ กลุ่มเหมาะสม มนี กั ศกึ ษาจานวน 16 คน คิดเปน็ ร้อยละ 16.16 ประเมินตนเองพอใช้ นักศึกษาจานวน 52 คน คดิ เป็นร้อยละ 52.53 ประเมินตนเอง ดี และนกั ศกึ ษาจานวน 31 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 31.31 ประเมินตนเองดีมาก ในการเรยี นการสอนด้วยรปู แบบการใช้ปญั หาเป็นฐานสาหรบั นกั ศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการอาหาร ไดแ้ บ่งนักศกึ ษาออกเปน็ กลมุ่ ยอ่ ย 20 กลุ่ม และใหแ้ ตล่ ะกล่มุ ย่อยทา การประเมิน กิจกรรม กลุ่ม ผลการประเมนิ กล่มุ 20 กลุ่ม ของนกั ศกึ ษาสาขาวทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยีการอาหาร แสดงดงั ตารางท่ี 4 ผลการประเมินกจิ กรรมกลุม่ ของนักศกึ ษาสาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยกี ารอาหาร สาหรับรูปแบบกระบวนการกลมุ่ นักศึกษาประเมินวา่ สมาชกิ ในกลมุ่ แสดงความคดิ เหน็ น้อย คดิ เป็นร้อยละ 10 สมาชิกสว่ นใหญ่มีส่วนรว่ มในการอภิปรายค่อนขา้ งน้อย คดิ เปน็ รอ้ ยละ 70 และ สมาชกิ กลุ่มมสี ่ วนรว่ มและปฏสิ มั พันธอ์ ย่างทว่ั ถงึ มีการแสดงความคิดเห็นซ่ึงกันและกนั คดิ เป็น ร้อยละ 20 การทางานและการจดั การภายในกลมุ่ นักศึกษาประเมนิ ว่าสมาชิกในกลุม่ เตรยี มตวั มาไม่ พอทาให้ไม่สามารถทางานไดท้ ง้ั หมด คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20 สมาชกิ อภิปรายในประเดน็ ที่เก่ียวข้อง และทางานไดบ้ รรลุตามวัตถปุ ระสงค์ รว่ มมอื และช่วยเหลือกันหาแนวทางในการแก้ปัญหาเปน็ สว่ น ใหญ่ มีการแบ่งความรับผดิ ชอบ คิดเป็นรอ้ ยละ 55 และสมาชิกกล่มุ อภปิ รายในประเดน็ ที่เกยี่ วข้อง อย่างครบถ้วน ทางานไดบ้ รรลุตามวัตถุประสงค์ สมาชกิ ทุกคนรับผิดชอบงานทไี่ ด้รบั มอบหมาย เสนอความคดิ เหน็ ทีเ่ ปน็ ประโยชน์ คดิ เปน็ ร้อยละ 25

19 ตารางท่ี 4 ผลการประเมนิ กล่มุ ยอ่ ย 20 กลุม่ ของนกั ศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยกี าร อาหาร หัวขอ้ ประเมนิ ควรปรบั ปรุง พอใช้ ดี ดีมาก 1. รูปแบบกระบวนการ ความถี่ ร้อยละ ความถี่ รอ้ ยละ ความถ่ี รอ้ ยละ ความถ่ี รอ้ ยละ กลุ่ม 0 0 2 10 14 70 4 20 2. การทางานและการ 0 0 4 20 11 55 5 25 จดั การภายในกลมุ่ 3. ขั้นตอนและ 0 0 12 60 7 35 1 5 กระบวนการคดิ อยา่ งมี เหตผุ ล 4. การประเมนิ โดย 0 0 4 20 12 60 4 20 ภาพรวม ขัน้ ตอนและกระบวนการคดิ อยา่ งมีเหตผุ ล นักศกึ ษาประเมินว่าสมาชกิ ใน กล่มุ ต้งั สมมติฐานสอดคล้องกับปญั หาไดพ้ อควร กลุ่มพยายามช่วยกนั แสดงความคิดเห็น แตก่ าร สังเคราะหค์ วามคิดของกลุม่ คอ่ นข้างผวิ เผิน คดิ เป็นร้อยละ 35 สมาชิกตั้งสมมตฐิ านสอดคล้องกับ ปญั หาไดค้ อ่ นขา้ งดี คิดเปน็ ร้อยละ 60 และสมาชิกกลุ่มตง้ั สมมตฐิ านได้ตรงประเด็น อธบิ ายได้ อยา่ งสมเหตุสมผล มกี ารระดมสมอง แสดงความคิดเหน็ เชงิ ลึกตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูลที่ ค้นหามา คิดเป็นรอ้ ยละ 5 การประเมินโดยภาพรวม นกั ศึกษาประเมนิ วา่ การดาเนินกิจกรรมกลุ่มพอใช้ คดิ เปน็ รอ้ ย ละ 20 การดาเนินกิจกรรมกลุ่มดี คิดเปน็ ร้อยละ 60 และการดาเนินกจิ กรรมกลมุ่ ดีมาก คิดเปน็ ร้อย ละ 20

20 วจิ ารณผ์ ลการวิจัย ผลการวจิ ัยการสอนดว้ ยรูปแบบการใชป้ ัญหาเป็นฐานสาหรับนกั ศกึ ษาสาขาวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยีการอาหาร ในรายวชิ าการพฒั นาผลิตภณั ฑอ์ าหาร หวั ข้อ การทดสอบผ้บู รโิ ภคและ การทดสอบอายกุ ารเก็บรกั ษา ของผลติ ภัณฑ์ เม่อื พิจารณาผลคะแนนท ดสอบก่อนและหลงั การ เรียนการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน พบวา่ คะแนนสอบเฉลี่ยของนกั ศึกษาหลงั การเรยี นสงู กว่า คะแนนสอบเฉลีย่ ของนกั ศกึ ษาก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติ (p  0.05) ซ่ึงอาจมาจากสาเหตุดังต่อไปนี้ 1. ผ้เู รยี นมีสว่ นรว่ มในการเรียนรู้ มากกว่าการรบั ฟงั เน้ื อหาจากผูส้ อนเพียง อยา่ งเดียว การใช้ สถานการณป์ ัญหาหรือกรณศี กึ ษาเป็นแรงกระตุ้นและผลกั ดันใหผ้ ู้เรียนนาความรู้ หรอื ประสบการณท์ มี่ อี ยู่เดิมมาใช้ในการแกป้ ญั หา (Norman และ Schmidt, 1992) ดงั น้นั การเรียนการ สอนที่ใช้ปัญหาเป็นหลกั จงึ ชว่ ยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนร้ไู ด้ 2. ผเู้ รียนจะตอ้ งมีการ นาปญั หาเช่ือมโยงกบั ความรเู้ ดมิ ความคดิ ท่มี เี หตุผล และมกี าร แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพ่ือใช้ในการแกป้ ญั หา จงึ ทาใหผ้ ้เู รียน เกิดการเรยี นรใู้ นเร่ืองการ รวบรวม แนวคิดเพ่อื ใช้ในการแก้ปญั หา 3. ผูเ้ รยี นมเี สรีภาพในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ดงั นั้นจงึ ทาให้ ผเู้ รยี น มคี วาม รับผิดชอบทัง้ ในดา้ นการกาหนดระยะเวลาการดาเนินงาน การประเมนิ ผล และการวิพากษว์ ิจารณ์ งานของตนเอง นอกจากนี้ยงั ช่วยพฒั นาทกั ษะในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองของผู้เรยี นดว้ ย 4. การแบ่งก ารเรยี นรู้เปน็ กล่มุ ยอ่ ย ทาให้ผเู้ รยี นไดพ้ ฒั นาความสามารถในการทาง าน รว่ มกับผอู้ ่ืน ยอมรบั ข้อดีของการทางานร่วมกนั ผเู้ รียนมโี อกาสแสดงความคิดเห็น แลกเปลีย่ น แนวคดิ กับผอู้ น่ื ทาให้เกดิ การคน้ ควา้ หาแนวความคดิ ใหม่ๆ และมีแนวคดิ ในการแก้ปัญหาไดก้ วา้ ง มากขึ้น (Donner และ Bickley, 1993) 5. การเรยี นโดยใช้ปัญหาเปน็ หลักทาให้ผเู้ รยี นได้ รบั ความรู้ในเนื้อหาวชิ าที่เป็นการบูรณา การ และสามารถนาความรไู้ ปประยกุ ต์ใชใ้ นการจดั การปญั หาได้ ชว่ ยพัฒนาความสามารถในการ แกป้ ญั หา การใชเ้ หตุผลในการคิดวิเคราะห์และตดั สินใจ 6. แผนการจดั การเรยี นรู้มกี จิ กรรมทท่ี าให้ผูเ้ รยี นสว่ นใหญ่มคี วามตั้งใจเรียน โดยสงั เกต ได้จากแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น อาจเนื่องจากผเู้ รยี นไดม้ ีการปฏิบัตกิ จิ กรรม คน้ คว้า แสดงความคดิ เหน็ อภปิ รายภายในกล่มุ และการนาเสนอผลงาน เนื่องจากมผี ู้สอนเป็นเพยี งผใู้ ห้ คาปรึกษาแนะนาเทา่ นัน้ ดังนัน้ ผเู้ รียนจงึ ตอ้ งค้นหาคาตอบของปญั หา และสรุปผลด้วยตนเอง จึง ทาให้ผเู้ รียนมคี วามม่งุ นน่ั ในการเรยี นมากข้นึ

21 จากการวเิ คราะหห์ าพฒั นาการเรยี นร้ขู องนกั ศกึ ษาพบว่าพัฒนาการของผเู้ รียนเท่ากับร้อย ละ 32.79 ซ่งึ ค่าน้แี สดงถึงระดบั ปรมิ าณการเปลยี่ นแปลงการเรียนรูไ้ ด้ (อรุณี, 2537) เนื่องจากการ จัดการเรียนการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ ฐานนั้ น นักศกึ ษามกี ารคน้ ควา้ ศกึ ษาดว้ ยตนเอง การระดม สมองจากเพ่อื นสมาชิกในกลมุ่ สรปุ เป็นแนวคดิ ของกลมุ่ และนาเสนอรายงานในชั้นเรียน ซึง่ ผูเ้ รียนทากจิ กรรมเปน็ สาคญั จานวนเวลาท่ผี สู้ อนใ ช้อธบิ ายน้อยกวา่ จานวนเวลาทท่ี ากจิ กรรม มี ผลทาให้เกดิ พฒั นาการเรียนรู้ได้

22 สรปุ และขอ้ เสนอแนะ สรปุ 1. การสอนแบบ การสอนดว้ ยรูปแบบการใชป้ ญั หาเปน็ ฐานสาหรบั นกั ศึกษาสาขา วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร จานวน 99 ในรายวชิ าการพัฒนาผลติ ภณั ฑ์อาหาร หวั ขอ้ การทดสอบผบู้ ริโภคและการทดสอบอายุการเกบ็ รกั ษาของผลิตภณั ฑ์ วเิ คราะหผ์ ลสมั ฤทธ์ขิ องการ เรียนด้วย แบบทดสอบเป็นแบบปรนยั และอตั นัยจานวน 15 ข้อ 30 คะแนน ระยะเวลาในการ ทดสอบ 1 ช่ัวโมง ทาให้คะแนนสอบเฉลี่ยของนกั ศกึ ษาหลังการเรยี นสงู กว่าคะแนนสอบเฉลย่ี กอ่ น เรียนอยา่ งมีนัยสาคญั (p  0.05) โดยผลการทดสอบกอ่ นการเรยี นมีคา่ คะแนนเฉล่ยี เทา่ กับ 5.49 คะแนน และผลทดสอบหลังการเรียนการสอนมีค่าคะแนนเฉล่ยี เทา่ กบั 13.53 คะแนน 2. พฒั นาการเรียนร้ขู องนักศึกษา สาขาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร จานวน 99 คน ในรายวิชาการพัฒนาผลติ ภัณฑอ์ าหาร จากการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐานสาหรับนักศกึ ษา มี พฒั นาการของผู้เรยี นเทา่ กับ ร้อยละ 32.79 3. ผลการประเมนิ ตนเองของ ผเู้ รยี นในหวั ขอ้ (1) รบั ฟงั ความคดิ เห็นของเพอื่ นและเปดิ โอกาสให้สมาชกิ กลุ่มแสดงความคดิ เห็น (2) ให้ขอ้ มูลหรือเสนอความคิดเห็นท่ีสร้างสรรคแ์ ละเป็น ประโยชน์ตอ่ กลุ่ม (3) อธบิ ายและถา่ ยทอดความคิดให้กลุ่มเขา้ ใจได้ (4) ความตรงตอ่ เวลา และ (5) โดยภาพรวม การแสดงบทบาทสมาชกิ กลมุ่ เหมาะสม ผู้เรียนส่วนใหญ่ให้การประเมนิ ตนเองอยูใ่ น ระดับดี คดิ เป็น รอ้ ยละ 60.61, 68.69, 62.63, 43.43 และ 52.53 ตามลาดับ 4. ผลการประเมนิ กลุม่ ของผเู้ รยี นในหวั ข้อ (1) รปู แบบกระบวนการกลุม่ (2) การทางาน และการจดั การภายในกลุ่ม และ (4) การประเมินโดยภาพรวม ผเู้ รยี นสว่ นใหญ่ใหก้ ารประเมินกลุ่ม อยู่ในระดับดี คดิ เป็น ร้อยละ 70, 55 และ 60 ตามลาดบั สาหรบั หวั ขอ้ (3) ข้นั ตอนและ กระบวนการคิดอย่างมเี หตุผล ผ้เู รยี นสว่ นใหญใ่ ห้การประเมนิ กลุม่ อยู่ในระดบั ปานกลาง คดิ เปน็ ร้อยละ 60

23 ขอ้ เสนอแนะ 1. ในการแบง่ กลมุ่ ปฏบิ ตั งิ าน ควรคัดเลือกนักศึกษาท่ีมีความสามารถในการจดั ระบบกล่มุ และกระตุน้ ในสมาชิกทางานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย มาเปน็ ผู้นากลุ่ม เพอ่ื ใหก้ ล่มุ ประสบผลสาเร็จใน การดาเนนิ กจิ กรรมกลุ่ม 2. ควรจดั เวลาในการดาเนินกิจกรรมใหม้ ีความเหมาะสมกับความยากง่า ยของเน้ือหา และ บางกิจกรรมใชเ้ วลาคอ่ นขา้ งมาก ผู้สอนจึงควรจัดสรรเวลาใหเ้ หมาะสม 3. ควรมีการศกึ ษาการเรยี นโดยใชป้ ญั หาเปน็ หลักกบั รายวชิ า ท่ีมีลักษณะเปน็ เชงิ บรู ณา การ เพือ่ ให้นกั ศกึ ษาสามารถนาความรไู้ ปประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั การปญั หาไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ

24 เอกสารอา้ งองิ คณาจารย์ภาควชิ าพัฒนาผลติ ภณั ฑ์ . 2550. การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์อตุ สาหกรรมเกษตร . สานักพมิ พ์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ. ทิพยว์ รรณา งามศกั ด์ิ. 2545. หลักการพัฒนาผลิตภณั ฑอ์ าหาร. คลังนานาวทิ ยา, ขอนแก่น. ณัฐกร สงคราม. 2552. Problem-based Learning: ตวั อยา่ งการเรียนการสอนที่เน้นผเู้ รียนเป็น สาคญั . http://www.agri.kmitl.ac.th/km/blog/?p=386. 4 เมษายน 2554. พนม บุญญ์ไพร . 2554. จุดมงุ่ หมายของการวจิ ยั ในช้นั เรียน . http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main. 4 เมษายน 2554. เพญ็ ขวัญ ชมปรดี า. 2550. การประเมนิ คณุ ภาพทางประสาทสมั ผัสและการยอมรบั ของผู้บรโิ ภค . คณะอตุ สาหกรรมเกษตร, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ไพโรจ น์ วิริยจารี . 2545. การ ประเมินทางประสาทสมั ผสั . คณะอตุ สาหกรรมเกษตร , มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่. ไพโรจน์ วิริยจารี . 2545. เทคโนโลยีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ . คณะอุตสาหกร รมเกษตร , มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. มณั ฑรา ธรรมบศุ ย์ . 2545. การพฒั นาคณุ ภาพการเรียนรู้โดยใช้ PBL (Problem-Based Learning). วารสารวชิ าการ ปที ี่ 5 ฉบับที่ 2 กมุ ภาพนั ธ์ 2545 หน้า 11-17. รุง่ นภา วสิ ิฐอุดรการ . 2540. การประเมินอายุการเก็บของอาหาร . คณะอตุ สาหกรรมเกษตร , มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ศริ ิชยั กาญจนวาสี. 2552. ทฤษฎกี ารทดสอบแบบด้ังเดิม (Classical Test Theory). พมิ พค์ ร้ังท่ี 6. โรงพิมพจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, กรุงเทพมหานคร. สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา . 2543. ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 194) พ.ศ. 2543 เร่ืองฉลาก. สวุ ัฒนา สวุ รรณเขตนคิ ม. 2538. แนวคดิ และรปู แบบเกยี่ วกบั การวิจัยในชนั้ เรยี น (หนา้ 6-11) ใน ลดั ดา ภเู่ กยี ร ติ (บรรณาธกิ าร ). เส้นทางสู่การวิจยั ในชน้ั เรยี น กรุงเทพมหานคร : สานกั พมิ พ์ บริษัทบพิธการพมิ พ์. อรุณี อ่อนสวสั ด์ิ. 2537. การพฒั นาวธิ ีวดั การเปล่ียนแปลงการเรยี นรู้. วิทยานิพนธค์ รุศาสตรดษุ ฎี บณั ฑติ สาขาวชิ าการวดั และประเมินผลการศกึ ษา . คณะครุศาสตร์ , จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. Bridges, E. M. 1992. Problem based learning for administrators. Eugene, OR: ERIC Clearinghouse on Educational Management. (ERIC Document Reproduction Service No. ED 347 617).

25 Donner, R.S. and Bickley, H. 1993. Problem-based learning in American medical education: An overview. Bulletin of the Medical Library Association. 81(3): 294– 298. Norman, G.R. and Schmidt, H.G. 1992. The Psychological basis of problem-based learning: A review of the evidence. Academic Medicine. 67(9): 557-565.

ภาคผนวก

ภาคผนวก ก แผนการจัดการเรียนการสอนวิชาการพฒั นาผลติ ภณั ฑ์อาหาร เรื่อง “การทดสอบผู้บรโิ ภคและการทดสอบอายกุ ารเกบ็ รักษาผลิตภัณฑอ์ าหาร”

แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชา การพฒั นาผลติ ภณั ฑ์อาหาร (Food Product Development) รหสั 03064304 ภาคการศกึ ษาที่ 2 สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร ชั้นปีที่ 3 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 5 การออกแบบผลติ ภณั ฑ์และการพัฒนากระบวนการผลติ หนว่ ยย่อยที่ 7 เร่ือง การทดสอบอายกุ ารเก็บรักษา _________________________________________________________________________ 1. สาระสาคัญ อายกุ ารเก็บรกั ษา (shelf life) หมายถึง ชว่ งระยะเวลาทอี่ าหารอยใู่ น บรรจุภณั ฑ์และ สภาวะการเกบ็ รักษาทีก่ าหนดสามารถรกั ษาคณุ ภาพและความปลอดภยั ใหอ้ ยู่ในระดับท่ีกาหนดได้ ในอุตสาหกรรมแปรรปู อาหาร การกาหนดอายขุ องผลิตภณั ฑอ์ า หารเปน็ หัวใจสาคญั ท่ี ผ้ปู ระกอบการจาตอ้ งกาหนด เนอ่ื งจากเป็นองค์ประกอบสาคัญทจี่ ะชว่ ยช้แี นวทางการลงทนุ เคร่ืองจักรที่ใช้ ในกระบวนการผลติ แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารด้วยการเลือกสรรจดั หา วตั ถดุ บิ และสารปรุงแต่ง ตา่ งๆ พรอ้ มทง้ั กาหนดคณุ ลกั ษณะของบรรจุภณั ฑ์ที่ใชห้ ่อ หมุ้ เพอื่ รักษา คุณภาพของ สนิ ค้าให้ไดต้ ามอายุที่กาหนด 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เพ่อื ใหน้ กั ศกึ ษาสามารถอธบิ ายการทดสอบอายุการเกบ็ รกั ษาได้ 3. สาระการเรียนรู้ 1) ความหมาย 2) การเส่ือมเสยี ของอาหาร 3) ปจั จยั การเสือ่ มเสยี ของอาหาร 4) การดาเนินการทดสอบอายุการเกบ็ อาหาร 4. กระบวนการจัดการเรยี นรู้ 4.1 กาหนดปัญหา มี 6 ข้อ ดงั นี้ ปัญหาที่ 1 ความหมายของอายกุ ารเก็บของผลิตภณั ฑ์อาหาร คอื อะไร และมี ความสาคัญอย่างไร ปัญหาท่ี 2 การเปลีย่ นแปลงคณุ ภาพอาหาร 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ - ทางกายภาพ เกดิ ไดอ้ ยา่ งไร และยกตัวอยา่ งการเปล่ยี นแปลง - ทางเคมี เกิดไดอ้ ย่างไร และยกตัวอยา่ งการเปล่ยี นแปลง

- ทางจลุ ินทรยี ์ เกิดไดอ้ ย่างไร และยกตวั อยา่ งการเปล่ยี นแปลง ปัญหาที่ 3 ปัจจยั ทค่ี วบคมุ อายุการเกบ็ ของผลิตภณั ฑ์อาหารแบง่ เปน็ 3 ปจั จยั หลกั ดังนี้ ลกั ษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ สภาวะแวดล้อมระหว่ างการจดั จาหนา่ ยและเกบ็ รักษา และคุณสมบัตขิ องภาชนะบรรจุ อธิบายวา่ แตล่ ะปัจจัยมีผลตอ่ อายุการเก็บของผลติ ภณั ฑ์อาหาร อยา่ งไร ปญั หาที่ 4 คา่ aw คืออะไร มคี วามสาคญั ต่ออายกุ ารเกบ็ ผลติ ภัณฑอ์ าหารอยา่ งไร และมีหลกั การหาค่าอยา่ งไร ปญั หาท่ี 5 การระบุอายกุ ารเก็บดว้ ยคาว่ า “best before” และ “used by” มีความ แตกตา่ งกันอยา่ งไร ปญั หาท่ี 6 วิธีการทดสอบอายกุ ารเก็บรักษาอาหารทาไดอ้ ยา่ งไร 4.2 แบง่ นักศึกษาเปน็ 12 กลมุ่ ให้นักศึกษาแต่ละกลุ่มเลอื กปัญหา โดยกาหนดใหป้ ญั หา ละ 2 กลมุ่ 4.3 ใหน้ กั ศกึ ษาแตล่ ะกลุ่มวเิ คราะหป์ ัญหา ทาการศึกษาค้นคว้า เสนอความคดิ และ อภปิ รายภายในกลุ่ม 4.4 นกั ศกึ ษาแตล่ ะกลุ่มนาเสนอรายงานหน้าช้ันเรียน 4.5 อาจารยแ์ ละนักศึกษาร่วมกนั อภปิ รายเพือ่ ให้ไดข้ ้อสรุปของปญั หา 5. ส่ือและแหล่งการเรียนรู้ - หอ้ งสมดุ ของคณะเทคโนโลยีการเกษตร - ส่ือ internet และสารสนเทศอน่ื ๆ 6. การวัดและการประเมนิ ผล วิธกี าร - สังเกตความสนใจและตั้งใจ - สงั เกตการรว่ มสนทนาและตอบคาถาม - สงั เกตการทากจิ กรรมตามเวลาทีก่ าหนด - ทดสอบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น เคร่อื งมอื - แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ัติกจิ กรรม - ข้อสอบวัดความรู้ เกณฑ์การประเมนิ ผา่ นทกุ กิจกรรมการเรียนรู้รอ้ ยละ 60

7. บนั ทึกผลการเรียนรู้ 7.1 ผลการจัดการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 7.2 ปัญหาและอุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 7.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………

แผนการจัดการเรียนรู้ รายวชิ า การพฒั นาผลติ ภัณฑ์อาหาร (Food Product Development) รหัส 03064304 ภาคการศกึ ษาท่ี 2 สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยกี ารอาหาร ชั้นปที ี่ 3 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 5 การออกแบบผลติ ภัณฑ์และการพฒั นากระบวนการผลติ หน่วยยอ่ ยท่ี 8 เรอ่ื ง การทดสอบผู้บริโภค _________________________________________________________________________ 1. สาระสาคัญ โดยปรกติแลว้ การทดสอบทางประสาทสัมผัสในผบู้ รโิ ภค จะดาเนินการเม่ือส้ินสุดระยะเวลา ของการพฒั นาผลิต ภณั ฑใ์ หม่เรยี บรอ้ ยแล้ว การทดสอบทางประสาทสัมผัสจะทาหลังเสรจ็ ส้นิ การ สารวจและวจิ ยั การตลาด ขอ้ แตกต่างประการสาคัญระหวา่ งการทดสอบทางประสาทสัมผสั ใน ผบู้ ริโภคและการวจิ ัยทางการตลาดกค็ อื การทดสอบทางประสาทสมั ผัสในผ้บู รโิ ภคมักจะ ดาเนินการโดยการตดิ รหสั เลขสุ่ม 3 ตัวไว้บนภาชนะ ในขณะท่ีการวิจัยทางการตลาดมักจะ ทาโดย ไม่ใช้รหัสเลข 3 ตวั แตน่ าเสนอผลิตภณั ฑ์ในลักษณะทอ่ี ยู่ในหีบห่อหรือภาชนะบรรจทุ ม่ี ีตรา หรือ ย่หี อ้ (brand) ตดิ อยู่ การทดสอบทางประสาทสมั ผัสในผบู้ รโิ ภคนนั้ ผู้วิจัยมีความสนใจในแง่ทวี่ ่าผูบ้ รโิ ภคชอบ ผลิตภัณฑน์ ัน้ ๆ หรือไม่ ชอบมากกวา่ ยี่หอ้ อ่นื หรือไม่ หรือวา่ ผลติ ภณั ฑน์ ี้ไดร้ บั การยอมรบั หรือไ ม่ โดยอยูบ่ นหลักการของคุณลกั ษณะทางประสาทสัมผัสที่ปรากฏ 2. จุดประสงค์การเรยี นรู้ เพ่อื ให้นักศกึ ษาสามารถอธบิ ายการทดสอบผู้บริโภคได้ 3. สาระการเรียนรู้ 1) ความหมาย 2) พฤติกรรมของผ้บู รโิ ภค 3) วธิ กี ารทดสอบผู้บรโิ ภค 4) การดาเนนิ การทดสอบผู้บรโิ ภค 5) แบบสอบถามสาหรับการทดสอบผู้บริโภค 4. กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 กาหนดปัญหา มี 4 ขอ้ ดงั น้ี

ปัญหาที่ 1 การประเมนิ ผู้บริโภคแบง่ เปน็ 2 กลุ่มใหญ่ คอื วิธกี ารประเมินเชิง คณุ ภาพ และวิธีการประเมนิ ทางปริมาณ - วธิ ีการประเมินเชิงคุณภาพ คอื อะไร และมวี ิธกิ ารใดบ้าง - วธิ กี ารประเมินทางปริมาณ คืออะไร และมีวธิ กิ ารใดบ้าง ปญั หาท่ี 2 หลักการ/วิธีการเตรียมตวั อย่าง และการเสิรฟ์ ตวั อย่าง สาหรับการ ทดสอบความชอบและการยอมรบั ของผูบ้ รโิ ภคมอี ะไรบ้าง ปญั หาที่ 3 สถานท่ใี นการประเมนิ แบ่งเปน็ 3 กลุ่มใหญ่ คอื หอ้ งปฏบิ ตั ิ การ ศูนย์ ประเมนิ กลางชุมชน และบ้าน /สถานที่ทางาน ให้บอกข้อดี- ขอ้ เสยี ลักษณะทางกายภาพของ สถานที่ และผ้ทู ดสอบ (ผปู้ ระเมิน) ของแตล่ ะแหง่ ปญั หาท่ี 4 สว่ นประกอบของคาถามในแบบสอบถามในการประเมนิ ผบู้ รโิ ภค แบ่งเป็น 4 สว่ น ไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง และแสดงตัวอยา่ งแบบสอบถามสาหรับประเมนิ ผู้บรโิ ภค 4.2 แบ่งนกั ศึกษาเปน็ 8 กลมุ่ ให้นกั ศกึ ษาแต่ละกล่มุ เลือกปัญหา โดยกาหนดให้ปัญหาละ 2 กลุม่ 4.3 ใหน้ กั ศึกษาแตล่ ะกลมุ่ วิเคราะห์ปญั หา ทาการศกึ ษาคน้ คว้า เสนอความคดิ และ อภิปรายภายในกลุ่ม 4.4 นกั ศึกษาแต่ละกลมุ่ นาเสนอรายงานหนา้ ชั้นเรยี น 4.5 อาจารย์และนกั ศึกษาร่วมกันอภปิ รายเพอ่ื ให้ไดข้ ้อสรปุ ของปัญหา 5. ส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้ - ห้องสมุดของคณะเทคโนโลยกี ารเกษตร - ส่ือ internet และสารสนเทศอ่ืนๆ 6. การวดั และการประเมนิ ผล วิธกี าร - สงั เกตความสนใจและตั้งใจ - สังเกตการรว่ มสนทนาและตอบคาถาม - สังเกตการทากิจกรรมตามเวลาทกี่ าหนด - ทดสอบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เคร่ืองมอื - แบบประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิกิจกรรม - ขอ้ สอบวดั ความรู้ เกณฑ์การประเมนิ ผ่านทกุ กิจกรรมการเรียนรู้ร้อยละ 60

7. บันทกึ ผลการเรยี นรู้ 7.1 ผลการจดั การเรียนรู้ ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 7.2 ปัญหาและอุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… 7.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแก้ไข ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………

ภาคผนวก ข แบบทดสอบกอ่ นและหลังการเรียนรู้

ข้อสอบวัดความรู้ คณะเทคโนโลยกี ารเกษตร สาขาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีการอาหาร รายวชิ า พัฒนาผลติ ภณั ฑอ์ าหาร (03064304) ชือ่ ...........................................................รหสั ประจาตวั .................................ห้อง................... คาชี้แจง : ขอ้ สอบมี 15 ขอ้ รวม 30 คะแนน การทดสอบผ้บู ริโภคและการทดสอบอายุการเก็บรกั ษา 1. การประเมินผูบ้ ริโภคเชิงคุณภาพคืออะไร จงอธิบาย (2 คะแนน) .......................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................ ..................... ................................................................................................................... .............................. 2. ปจั จยั ที่ต้องควบคมุ ในการเสริ ฟ์ ตวั อย่างสาหรับการทดสอบความชอบและการยอมรบั ของ ผู้บรโิ ภคมีอะไรบ้าง (4 คะแนน) ........................................................................................................................ ......................... ............................................................................................................................ ..................... .................................................................................................................... ............................. .......................................................................................................................... ....................... ................................................................................ ................................................................. ............................................................................................................................. .................... 3. ส่วนประกอบของคาถามในแบบสอบถามในการประเมนิ ผู้บริโภค แบง่ เป็นกีส่ ว่ น อะไรบ้าง (5 คะแนน) .......................................................................................................................... ....................... ................................................................... ......................................................... ..................... .......................................................................................................................... ....................... .......................................................................................................................... ....................... .......................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................. ....................

4. อายกุ ารเก็บของผลติ ภัณฑอ์ าหารมคี วามสาคัญอย่างไร (1 คะแนน) ............................................................................................................................ ..................... ............................................................................................................................ ..................... ....................................................................................................................... .......................... 5. อธบิ ายนยิ ามของคาว่า “อายุการเก็บ” (2 คะแนน) ............................................................................................................................ ..................... .................................................................. ........................................................ ....................... ............................................................................................................................ ..................... .......................................................................................................................... ....................... 6. ปัจจยั ที่ควบคมุ อายกุ ารเก็บของผลิตภัณฑ์อาหารไดแ้ ก่อะไรบา้ ง (3 คะแนน) ....................................................................... ..................................................... ..................... .......................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................ ..................... ............................................................................................................................ ..................... .......................................................................................................................... ....................... 7. ถ้าทา่ นไดร้ ับมอบหมายใหด้ าเนินการหาอายกุ ารเก็บในสภาวะเรง่ ของผลิตภณั ฑ์ขนมขบเคี้ยว ชนิดหนง่ึ ทา่ นตอ้ งดาเนินการออกแบบการทดลองอยา่ งไร (5 คะแนน) ............................................................................................................................ ..................... ................................................................................ ............................................................... .. ............................................................................................................................ ..................... .......................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................ ..................... .......................................................................................................................... ....................... ...................................................................................................................... ........................... .......................................................................................................................... ....................... .................................................................................. ............................................................... .......................................................................................................................... ....................... ............................................................................................................................ ..................... ............................................................................................................................ .....................

จงเลือกคาตอบท่ีถูกทีส่ ดุ เพยี งข้อเดียว (ขอ้ ละ 1 คะแนน) 8. ถ้าวัตถุประสงค์ของการทดสอบผูบ้ รโิ ภคเพ่อื ศกึ ษาความต้องการของผู้บรโิ ภคกลุ่มเป้าหมายที่ มตี ่อผลิตภัณฑ์เคร่อื งดืม่ ธัญพชื ควรใช้วิธีการประเมินแบบใด ก. วิธกี ารประเมินความชอบรวม ข. วิธกี ารเรียงลาดบั ความชอบ ค. วธิ กี ารอภิปรายกลมุ่ ง. วิธกี ารเปรียบเทียบตวั อยา่ งคู่ 9. ถ้าวัตถุประสงคข์ องการทดสอบผ้บู รโิ ภคเพื่อประเมินการยอมรับของผบู้ ริโภคกลมุ่ เป้าหมายท่ี มตี ่อผลติ ภัณฑท์ ่ผี า่ นการพัฒนาแล้ว ควรใชว้ ธิ กี ารประเมินแบบใด ก. วธิ ีการประเมินความชอบรวม ข. วธิ กี ารเรยี งลาดับความชอบ ค. วิธีการอภปิ รายกลุ่ม ง. วิธกี ารเปรยี บเทยี บตวั อย่างคู่ 10. ข้อใดกล่าวถูก ก. ข้อด้อยของการประเมนิ ผ้บู ริโภคในห้องปฏิบัติการคือ ไม่สามารถคุมสภาวะการประเมินได้ ข. ข้อด้อยของการประเมินผบู้ รโิ ภคในหอ้ งปฏิบัติการคือ ทดสอบผลิตภัณฑไ์ ด้ 1-2 ตัวอยา่ ง ค. ข้อด้อยของการประเมนิ ผ้บู รโิ ภคในหอ้ งปฏิบัติการคอื มีขอ้ จากัดเรื่องทรพั ยากร ง. ข้อดอ้ ยของการประเมินผูบ้ รโิ ภคในห้องปฏิบัตกิ ารคอื ลกั ษณะตัวอยา่ งทดสอบแตกต่างจาก สภาวะการบรโิ ภคจริง 11. ขอ้ ใดกลา่ วถูก ก. ขอ้ ดีของการประเมินผู้บรโิ ภคในศูนย์ประเมนิ กลางชมุ ชนคอื ได้ผลการประเมนิ เร็ว เนอ่ื งจากสามารถวเิ คราะหผ์ ลไดท้ ันที ข. ข้อดีของการประเมนิ การผูบ้ รโิ ภคในศนู ย์ประเมินกลางชมุ ชนคือ รวบรวมและคดั เลือก ผูบ้ ริโภคเป้าหมายได้จานวนมาก ค. ขอ้ ดขี องการประเมนิ ผบู้ รโิ ภคทีบ่ ้าน/สานกั งานคือ คา่ ใช้จา่ ยในการประเมนิ ตา่ ง. ข้อดีของการประเมนิ ผู้บริโภคท่ีบา้ น/สานกั งานคือ ทดสอบผลิตภัณฑ์ไดห้ ลายตัวอย่าง 12. บทบาททส่ี าคญั ของโปรตนี ในอาหารคอื อะไร ข. การให้ความข้นหนืด ก. ตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ าชวี เคมี ง. ทาให้อาหารมกี ล่ินรส ค. การเกิดอมิ ัลชัน 13. ข้อใดไม่ใช่การเปล่ยี นแปลงทางกายภายของอาหาร ก. การถลอกของผิวสม้ ระหว่างการเกบ็ เกีย่ ว, การเหีย่ วของผักคะนา้ ข. ไอศกรมี เกิดผลกึ น้าแขง็ ใหม่, การเกิดผลกึ เกลือที่ผวิ ของเน้อื รมควัน ค. การแตกหักของมนั ฝรง่ั ทอด, การแยกชั้นของครมี ง. การเกดิ สีนา้ ตาลเมื่อปอกแอปเปิล้ , ฝรัง่ มเี นอ้ื สมั ผสั น่มิ

14. Sorption isotherm คอื อะไร ก. กราพทแี่ สดงความสัมพนั ธ์ระหว่างความช้ืนสมดุลกับความชน้ื สมั พทั ธ์ของอากาศในสภาวะ สมดุลที่อุณหูมิคงท่ี ข. กราพทีแ่ สดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างความชน้ื สมดลุ กบั ความดันไอสมั พทั ธ์ของอากาศใน สภาวะสมดุลทอี่ ุณหูมิคงท่ี ค. กราพท่แี สดงความสัมพันธ์ระหว่างความดันไอสมดลุ กับความชนื้ สัมพัทธ์ของอากาศใน สภาวะสมดุลที่อุณหมู ิคงที่ ง. กราพทแ่ี สดงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งความดนั ไอสมดลุ กบั ความดนั ไอสัมพทั ธข์ องอากาศใน สภาวะสมดุลที่อณุ หูมิคงที่ 15. การระบุอายุการเกบ็ ดว้ ยคาว่า “best before” และ “used by” มีความแตกต่างกนั อย่างไร ก. “best before” เป็นการระบกุ ับอาหารสดทม่ี คี วามเส่ยี งต่อเช้ือจลุ นิ ทรยี ์สูง “used by” เป็นการบอกวนั หมดอายทุ ตี่ อ้ งแสดงในอาหารที่มีการหบี ห่อ ข. “best before” เป็นการบอกวันหมดอายุท่ีตอ้ งแสดงในอาหารท่ีมกี ารหบี หอ่ “used by” เป็นการระบุกับอาหารสดที่มคี วามเสย่ี งต่อเชื้อจลุ นิ ทรียส์ งู ค. “best before” เป็นการบอกวันหมดอายทุ ี่ตอ้ งแสดงในผลติ ภณั ฑ์อาหารทั่วไป “used by” เปน็ การบอกวนั หมดอายุที่ต้องแสดงในผลิตภัณฑเ์ ครื่องดม่ื ง. “best before” และ “used by” ใชเ้ หมือนกนั

ภาคผนวก ค แบบประเมนิ ตนเอง และแบบประเมินกล่มุ

แบบประเมนิ ตนเองและเพอื่ นนักศกึ ษา รายวิชา พัฒนาผลิตภณั ฑอ์ าหาร วทอ. 3 ห้อง …………. โจทย์ปัญหาเรอื่ ง.......................................................................................................................................... วนั ท่ี........................................ ___________________________________________________________________________________ โปรดวงกลมลอ้ มรอบหมายเลยท่ีต้องการ หมายเหตุ : 1 = ควรปรับปรุง 2 = พอใช้ 3 = ดี 4 = ดีมาก ทกั ษะของ รับฟงั ความ ให้ข้อมูลหรือ อธิบายและ ความตรงตอ่ โดยภาพรวม ขอ้ เสนอแนะ/ นักศึกษา คิดเห็นของ เสนอความ ถา่ ยทอด เวลา การแสดง ความคดิ เห็น เพื่อนและเปิด คิดเห็นท่ี ความคดิ ให้ บทบาท เพม่ิ เติม โอกาสให้ สรา้ งสรรค์ กลุม่ เข้าใจได้ สมาชกิ กลุ่ม สมาชกิ กล่มุ และเป็น เหมาะสม แสดงความ ประโยชน์ต่อ ชือ่ คิดเห็น กล่มุ นกั ศึกษา ประเมนิ ตนเอง 1………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 ประเมินเพือ่ น 2………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 3………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 4………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 5………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 6………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 7………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 8………… 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4

แบบประเมนิ กิจกรรมกลมุ่ รายวชิ า พัฒนาผลติ ภณั ฑ์อาหาร วทอ. 3 หอ้ ง ……. โจทยป์ ญั หาเรอื่ ง............................................................................................................... ................... วันที่........................................ ______________________________________________________________________________ โปรดทาเครอื่ งหมาย  ลงในช่องทต่ี ้องการ หมายเหตุ : 1 = ควรปรบั ปรงุ 2 = พอใช้ 3 = ดี 4 = ดมี าก หัวขอ้ ประเมิน 1 2 3 4 1. รปู แบบ บรรยากาศน่าเบ่ือ สมาชกิ แสดงความ สมาชิกส่วนใหญ่มี สมาชกิ กล่มุ มีส่วน กระบวนการกลุ่ม หรือคอ่ นข้างเครียด คดิ เห็นน้อย ส่วนรว่ มในการ ร่วมและปฏิสัมพันธ์ สมาชิกหลกี เลี่ยง อภปิ รายคอ่ นข้าง อยา่ งทั่วถงึ มีการ การแสดงความ น้อย แสดงความคดิ เหน็ คดิ เหน็ ซ่งึ กันและกนั 2. การทางานและ เตรยี มตวั น้อย เตรียมตัวมาไมพ่ อ อภิปรายในประเดน็ อภิปรายในประเดน็ การจดั การภายใน หรือไมม่ ีการเตรยี ม ทาใหไ้ มส่ ามารถ ทเี่ กี่ยวขอ้ งและ ทีเ่ กีย่ วข้องอยา่ ง กลมุ่ ตัว กลุ่มไมค่ อ่ ย ทางานได้ท้งั หมด ทางานได้บรรลุตาม ครบถ้วน ทางานได้ รับผิดชอบงาน ไม่ วัตถุประสงค์ บรรลตุ ามวัตถุ สามารถบรรลุ ร่วมมือและ ประสงค์ สมาชกิ ทกุ วัตถปุ ระสงค์ของ ช่วยเหลือกนั หา คนรับผดิ ชอบงานท่ี กลมุ่ ได้ แนวทางในการ ได้รบั มอบหมาย แกป้ ญั หาเป็นสว่ น เสนอความคดิ เห็นท่ี ใหญ่ มกี ารแบง่ เปน็ ประโยชน์ ความรับผดิ ชอบ 3. ขั้นตอนและ กลุ่มไมส่ ามารถ ต้ังสมมตฐิ าน ไดค้ ่อนขา้ งดี ตัง้ สมมตฐิ านไดต้ รง กระบวนการคดิ หรอื ไมพ่ ยายามให้ สอดคลอ้ งกับปญั หา ประเดน็ อธิบายได้ อย่างมีเหตผุ ล เหตผุ ลสนับสนนุ ได้พอควร กลมุ่ อยา่ งสมเหตุสมผล ความคดิ ไม่ พยายามชว่ ยกนั มีการระดมสมอง สามารถสงั เคราะห์ แสดงความคดิ เหน็ แสดงความคิดเห็น ความคิดได้ แต่การสงั เคราะห์ เชงิ ลกึ ตรวจสอบ ความคิดของกลุ่ม ความถกู ต้องของ คอ่ นขา้ งผวิ เผนิ ข้อมลู ท่คี น้ หามา 4. การประเมนิ โดย ปรับปรงุ ปานกลาง ดี ดมี าก ภาพรวม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook