การละเล่นของไทย อศิ ริยา เรืองศรี 6427228001660 พสั ตราภรณ์ สงฤทธ์ิ 6427228001597 เบญจมาส แพคีรี 6427228001584 เทพรักษ์ สุขมาก 6427228001554 สลลิ ทิพย์ พ่มุ ทอง 6427228001635 เอวติ รา สอนนอง 6427228001661 กล่มุ เรียน 64026.071 รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหน่งึ ของการศึกษาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2564 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสุราษฎร์ธานี
การละเล่นของไทย อศิ ริยา เรืองศรี 6427228001660 พสั ตราภรณ์ สงฤทธ์ิ 6427228001597 เบญจมาส แพครี ี 6427228001584 เทพรักษ์ สุขมาก 6427228001554 สลลิ ทพิ ย์ พุ่มทอง 6427228001635 เอวติ รา สอนนอง 6427228001661 กลุ่มเรียน 64026.071 รายงานนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสุราษฎร์ธานี
ก คานา รายงานฉบบั น้ีเป็นส่วนหน่ึงของวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการศึกษาโดยมีจุดประสงค์ เพ่ือการศึกษาในการพฒั นาส่ือสารการเรียนรู้ซ่ึงรายงานน้ีมีเน้ือหาเก่ียวกบั การละเล่นของไทยทางผูจ้ ดั ทา ไดท้ ารายงานโดยรวบเน้ือจากแหลง่ สารสนเทศต่างๆ ผจู้ ดั ทาจะตอ้ งขอขอบคุณ อาจารย์ ดร.สุพฒั น์ สีระพดั สะ ผใู้ ห้ความรู้และแนวทางการศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนท่ีให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผูจ้ ดั ทาหวงั ว่ารายงานฉบบั น้ีจะให้ ความรู้ และเป็ น ประโยชนแ์ ก่ผอู้ ่านทุก ๆ ท่าน คณะผจู้ ดั ทา 21 กนั ยายน 2564
ข สารบัญ เร่ือง หน้า คานา ………………………………………………………………………………………………….ก สารบญั ……………………………………………………………………………………………….ข สารบัญภาพ…………………………………………………………………………………………...ค การละเลน่ ของไทย 1 การละเล่นของไทย 1 ความหมายของการละเลน่ ของไทย 1 ความสาคญั การละเลน่ ของไทย 1 ความเป็นมาของการละเลน่ พ้นื บา้ นไทย 1 การละเล่นสมยั สุโขทยั 2 การละเลน่ สมยั กรุงศรีอยทุ ธยา 3 การละเล่นสมยั รัตนโกสินทร์ 5 การละเลน่ ของเดก็ ไทยในปัจจุบนั 7 การพฒั นาการดา้ นต่างๆ ของเดก็ ในสมยั ปัจจุบนั 8 ประโยชนข์ องการเลน่ ในเดก็ 9 ลกั ษณะของกิจกรรมบนั เทิงท่ีจดั อยใู่ นการละเล่น 10 ประเภทของการละเล่น 11
ค สารบัญ ภาพท่ี หน้า วา่ วหง่าว ................................................................................................................................... 2 โคเกวยี น ................................................................................................................................... 3 มอญซ่อนผา้ .............................................................................................................................. 4 ไมห้ ่ึง ........................................................................................................................................ 4 ลิงชิงหลกั .................................................................................................................................. 5 กลองหมอ้ ตาล ........................................................................................................................... 6 หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง ..................................................................................................................... 6 การเลน่ ตุก๊ ตาของเด็กผหู้ ญิง....................................................................................................... 7 การเลน่ รถของเดก็ ผชู้ าย.............................................................................................................. 7 การเลน่ ของเดก็ ไทยในปัจจุบนั ................................................................................................. 8 ลกั ษณะกิจกรรมบนั เทิงที่จดั อยใู่ นการเลน่ ................................................................................ 11 ประเภทของการเล่น .......................................................................................................……… 12
1 การละเล่นของไทย เป็นการละเลน่ ของเดก็ ต้งั แต่สมยั โบราณ แต่ในปัจจุบนั มกั ไม่คอ่ ยไดพ้ บเห็นการละเลน่ ประเภท เหล่าน้ีกนั บ่อยนกั เพราะยคุ สมยั ท่ีเปล่ียนไป (สุวฒั น์ กล่ินเกสร,2559) ดงั น้ี ความหมาย การละเลน่ ของไทย หมายถึง การเล่นด้งั เดิมของเดก็ และผใู้ หญ่ เพือ่ ความบนั เทิงใจ ท้งั ท่ีเป็นการเล่นท่ีมีกติกา หรือไม่มีกติกา ไม่มีบทร้องประกอบ หรือมีบทร้องประกอบใหจ้ งั หวะ บางทีกม็ ี ท่าเตน้ ท่าราประกอบ เพ่ือให้งดงาม และสนุกสนานย่ิงข้ึน ท้งั ผูเ้ ล่น และผูช้ มมีส่วนร่วมสนุก (ไม่ ครอบคลุมไปถึงการละเล่นท่ีเป็นการแสดงใหช้ ม โดยแยกผเู้ ล่น และผดู้ ูออกจากกนั ดว้ ยการจากดั เขตผู้ ดู หรือการสร้างเวทีสาหรับผเู้ ลน่ (เป็นตน้ ) ความสาคญั ของการละเล่น การละเลน่ เป็นส่วนหน่ึงของชีวติ มนุษย์ ทุกชาติทุกภาษา ไม่วา่ จะอยใู่ นวยั ใด การละเล่น ทาให้มนุษยไ์ ดผ้ ่อนคลายความตึงเครียด จากงานในชีวิตประจาวนั นอกจากน้นั ยงั เป็ นการเสริมสร้าง กาลงั กายใหแ้ ขง็ แรง ลบั สมองใหม้ ีสติปัญญาแหลมคม มีจิตใจเบิกบาน สนุกสนานร่าเริง ท้งั ยงั ทาใหเ้ กิด ความสัมพนั ธ์อนั ดีข้ึนในหมู่มวลมนุษย์ การละเล่นมีมาแต่สมยั ใดไม่มีใครกาหนดแน่นอนได้ เพียงแต่ สนั นิษฐานกนั ตามประวตั ิศาสตร์เท่าน้นั ความเป็ นมาของการละเล่นพืน้ บ้านไทย การเล่นของไทยมีมาต้ังแต่สมัยโบราณ ที่ไม่มีทราบชัดเจนว่าเม่ือไหร่ มีแต่การ สันนิษฐาน ท่ีปรากฏตามท่ีมีการจารึกไวเ้ ท่าน้นั ซ่ึงปรากฏหลกั ฐานว่ามีมาต้งั แต่สมยั กรุงสุโขทยั จาก ขอ้ ความในหลกั ศิลาจารึกของพ่อขนุ รามคาแหง และหลกั ฐานที่ปรากฏในหนงั สือ วรรณคดี และภาพ จิตรกรรมฝาผนงั ซ่ึงมีการสืบทอดวิธีการเล่นกนั มาอยา่ งต่อเน่ือง และปรับให้เขา้ กบั แต่ละยคุ สมยั โดย การเล่นของไทยได้สอดแทรกไปกับประเพณีและวฒั นธรรมไทยในสมัยก่อน เพื่อให้เกิดความ สนุกสนานบนั เทิงควบคู่กนั ไปกบั การทางาน ท้งั ในชีวิตประจาวนั และเทศกาลงานบุญ ตามระยะเวลา แห่งฤดูกาล
2 1. สมยั สุโขทยั การละเล่นของเด็กไทยน้ันมีประวัติความเป็ นมาต้ังแต่สมัยดึกดาบรรพ์ก่อน ประวตั ิศาสตร์แลว้ กล่าวคือ เม่ือมนุษยร์ ู้จกั เอาดินมาป้ันเป็นภาชนะ สิ่งของเครื่องใชใ้ นคร้ังแรกแลว้ จึง พฒั นามาเป็นลาดบั เดก็ ๆ เห็นผใู้ หญ่ทากเ็ ลียนแบบนาดินมาป้ันเล่นบา้ ง ประวตั ิศาสตร์ไดม้ ีการบนั ทึก ว่าคนไทยมีการละเล่นมาต้งั แต่สมยั สุโขทยั จากความในศิลาจารึกของพ่อขุนรามคาแหง สมยั สุโขทยั หลักท่ี ๑ กล่าวว่า \"...ใครใคร่จักมักเล่น เล่นใครจักมักหัว หัว ใครจักมักเลื่อน เลื่อน...\" แต่ไม่มี รายละเอียดกล่าวไวว้ ่าคนสมยั น้ันมีการละเล่นอะไรบา้ ง ในตารับทา้ วศรีจุฬาลกั ษณ์ มีการกล่าวถึง การละเล่นของคนสมยั น้นั ว่า \"...เดือนย่ีถึงการพระราชพิธีบุษยาภิเษก เถลิงพระโคกินเล้ียงเป็ นนักขตั ฤกษ์ หมู่นางในกไ็ ดด้ ูชุดชกั วา่ วหง่าวฟังสาเนียง เสียงวา่ วร้องเสนาะลนั่ ฟ้าไปท้งั ทิวาราตรี...\" การละเล่นในสมยั สุโขทยั 1.1 ว่าวหง่าว ภาพท่ี 1.1 ว่าวหง่าว ทมี่ า https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 คือเล่นวา่ วในสถานท่ีโล่งแจง้ เช่น กลางสนามหรือทุ่งโลง่ ใชไ้ ม่ไผท่ ี่ใชท้ าวา่ วควรเป็น ไมไ้ ผส่ ีสุกเพราะมีความแขง็ แรงทนทาน ตวั วา่ วจะมีขนาดลาตวั ใหญ่ อาจสูงเกินศีรษะ เพราะวา่ ตอ้ งติด คนั เสียง เสียงของวา่ วหง่าวจะมีความไพเราะหรือไม่ข้ึนอยกู่ บั ความสามารถของคนประดิษฐเ์ ป็นสาคญั
3 1.2 โคเกวียน ภาพท่ี 1.2 โคเกวยี น ท่ีมา https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 โคเกวียนเป็ นกีฬาพ้ืนเมืองของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ นิยมเล่นกนั มากในจงั หวดั ร้อยเอ็ด การเล่นโคเกวียนเป็ นการเล่นเลียนแบบชีวิตประจาวนั ของชาวบา้ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ ซ่ึงใชโ้ คเทียมเกวียนเป็นพาหนะ มีลกั ษณะการเล่นคลา้ ยกบั การแข่งเกวียน แต่มีจานวนผูเ้ ล่นแต่ละทีม นอ้ ยกว่าและมีลกั ษณะการเทียบเกวียนต่างกนั สันนิษฐานว่ากีฬาโคเกวียนน่าจะเป็ นกีฬาท่ีเก่าแก่ชนิด หน่ึงเพราะพบวา่ มีการเลน่ ววั เกวยี นกนั แลว้ ต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา 2. สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมยั อยุธยา ก็ไดก้ ล่าวถึงการแสดงเรื่อง มโนห์รา ไวใ้ นบทละครคร้ังกรุงเก่า ซ่ึง เร่ืองน้ีสมเดจ็ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานวา่ แต่งก่อนสมยั สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ การละเล่นที่ปรากฏในบทละครเรื่องน้ี คือ ลิงชิงหลักและการเล่นปลาลงอวน ซ่ึงประเพณีและ วฒั นธรรมสมยั ก่อน มกั สอดแทรกความสนุกสนานบนั เทิงควบคู่กนั ไปกบั การทางานท้งั ในชีวิตประจา วนั และเทศกาลงานบุญ ตามระยะเวลาแห่งฤดูกาลในสมยั อยธุ ยา บทละครกรุงเก่าไดก้ ล่าวถึงการละเล่น บางอย่างท่ีคุณคงจะคุน้ เคยดีเมื่อสมยั ยงั เด็ก คือ ลิงชิงหลกั และปลาลงอวน ในบทที่ว่า \"เม่ือน้นั โฉม นวลพระพี่ศรีจุลา วา่ เจา้ โฉมตรูมโนห์รา มาเราจะเล่นกระไรดี เล่นให้สบาย คลายทุกข์ เล่นใหส้ นุกใน วนั น้ี จะเล่นใหข้ นั กนั สกั ทีเล่นใหส้ นุกกนั จริงจริง มาเราจะวิ่งลิงชิงเสา ชา้ งโนน้ นะเจา้ เป็นแดนพ่ี ชา้ งน้ี เป็ นแดนเจา้ น้ี เล่นลิงชิงเสาเหมือนกนั ถา้ ใครวิ่งเร็วไปขา้ งหนา้ ถา้ ใครว่ิงชา้ อยขู่ า้ งหลงั เอาบวั เป็ นเสา เขา้ ชิงกนั ขยกิ ไล่ผายผนั กนั ไปมา เม่ือน้นั โฉมนวลพระพ่ีศรีจุลาบอกเจา้ โฉมตรู มโนห์รา มาเราจะเล่น ปลาลงอวน บวั ผดุ สุดทอ้ งนอ้ งเป็นปลา ลอยล่องท่องมาเจา้ หนา้ นวลจะขึงมือกนั ไวเ้ ป็นสายอวน ดกั ท่า หนา้ นวลเจา้ ลอ่ งมา ออกหนา้ ที่ใครจบั ตวั ได้ คุมตวั เอาไวว้ า่ ไดป้ ลา\"
4 การละเล่นในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา 2.1 มอญซ่อนผ้า ภาพที่ 2.1 มอญซ่อนผ้า ทมี่ า https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 การเล่นมอญซ่อนผา้ เป็นการเลน่ ที่ง่าย ไม่มีกฎกติกามากมายนกั มกั เป็นการละเล่นของ หนุ่มสาวโดยมากจะซ่อนเป็ นคู่ ๆ เป็ นการเจาะจงตวั ผูซ้ ่อน นิยมเล่นในงานเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะ เทศกาลตรุษสงกรานต์ 2.2 ไม้หงึ่ ภาพท่ี 2.2 ไม้หึง่ ทมี่ า https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 เป็ นการเล่นท่ีเล่นไดท้ ้งั หญิงและชาย มีกฎกติกาและระเบียบแบบแผนในการเล่น ที่ เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน มีการใชอ้ ุปกรณ์จาเพาะ นิยมเล่นกนั ในเทศกลางตรุษสงกรานต์
5 2.3 ลงิ ชิงหลกั ภาพท่ี 2.3 ลงิ ชิงหลกั ทม่ี า https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 เป็นการเล่นที่ตอ้ งใชค้ วามคลอ่ งแคล่วในการวิง่ เปล่ียนหลกั แขง่ ขนั กนั ระหวา่ งผเู้ ล่น ท่ี เป็ นลิงและผูเ้ ล่นท่ีเปลี่ยนหลกั โดยมากนิยมเล่นกนั ในเด็กเล็กมากกว่าเด็กโต เด็ก ๆ จะเล่นกนั ใตถ้ ุน บา้ นหรือใตถ้ ุนโรงเรียน 3. สมยั รัตนโกสินทร์ ในเร่ือง \"อิเหนา\" วรรณคดีสมยั รัตนโกสินทร์ก็ปรากฏการละเล่นหลายอย่าง เช่น ตะกร้อ จอ้ งเต ข่ีมา้ ส่งเมือง พระยาอนุมานราชธน ไดก้ ล่าวถึง การละเล่นของเด็กไทยสมยั ท่านไวใ้ น \"ฟ้ื นความหลงั \" วา่ การละเล่นของเดก็ ปูนน้ีไม่ใช่มีปื น มีรถยนตเ์ ลก็ ๆ อยา่ งท่ีเดก็ เล่นกนั เกร่ออยใู่ นเวลา น้ี ลูกหนงั สาหรับเล่น แมว้ ่ามีราคาแพงและยงั ไม่แพร่หลาย ตุ๊กตาที่มีด่ืน คือ ตุ๊กตาลม้ ลุก และตุ๊กตา พราหมณ์นง่ั ทา้ วแขนสาหรับเด็กผหู้ ญิงเล่น ตุ๊กตาเหล่าน้ีเด็ก ๆ ชาวบา้ นไม่มีเล่น เพราะตอ้ งซ้ือจะมีแต่ ผูใ้ หญ่ทาให้หรือไม่ก็เด็กทากนั เองตามแบบอยา่ งที่สืบต่อจามาต้งั แต่ไหนก็ไม่ทราบ เช่น มา้ กา้ นกลว้ ย ตะกร้อสานดว้ ยทางมะพร้าวสาหรับโยนเตะเล่น หรือตุ๊กตาววั ควาย ป้ันดว้ ยดินเหนียว ของเด็กเล่นท่ีสมยั น้ันนิยมเล่นกนั คือ \"กลองหมอ้ ตาล\" ในสมยั น้นั ขายน้าตาลเม่ือใช้ หมดแลว้ เด็ก ๆ ก็นามาทาเป็ นกลอง มีวิธีทาคือ ใชผ้ า้ ข้ีริ้วหุ้มปากหมอ้ เอาเชือกผูกรัดคอหมอ้ ให้แน่น แลว้ เอาดินเหนียวเหลว ๆ ละเลงทาใหท้ ว่ั หาไมเ้ ลก็ ๆ มาตีผา้ ท่ีขึงขา้ ง ๆ หมอ้ โดยรอบ เพื่อขนั เร่งใหผ้ า้ ตึงก็เป็นอนั เสร็จ ตีได้ มีเสียงดงั กลองหมอ้ ตาลของใครตีดงั กว่ากนั เป็นเก่ง ถา้ ตีกระหนาจนผา้ ขาดก็ทา ใหเ้ ดก็ ผหู้ ญิงส่วนใหญ่ชอบเล่น \"หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง\" หรือเล่นขายของหุงตม้ แกงไปตามเรื่อง เอาเปลือก ส้มโอ เปลือกมงั คุด หรือใบกน้ บิด ผสมดว้ ยปูนแดงเลก็ นอ้ ย ค้นั เอาน้าขน้ ๆ รองภาชนะอะไรไวไ้ ม่ชา้ จะแขง็ ตวั เอามาทาเป็นวนุ้ คนไทยในอดีตมองการละเลน่ ของเดก็ ไปในแง่ของจิตวทิ ยา โดยตีความหมาย ของการแสดงออกของเด็กไปในเชิงทานายอนาคตหรือบุพนิมิตต่าง ๆ ความเช่ือเช่นน้ีปรากฏใน วรรณคดีไทยหลายเร่ือง เช่น ขนุ ชา้ งขนุ แผน
6 การละเล่นในสมัยรัตนโกสินทร์ 3.1 กลองหม้อตาล ภาพที่ 3.1 กลองหม้อตาล ที่มา https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 ของเด็กเล่นท่ีสมยั น้นั นิยมเล่นกนั คือ “ กลองหมอ้ ตาล “ ในสมยั น้นั ขายน้าตาล เมื่อใช้ หมดแลว้ เด็กๆ ก็นามาทาเป็ นกลอง มีวิธีทาคือ ใชผ้ า้ ข้ีริ้วหุ้มปากหมอ้ เอาเชือกผูกรัดคอหมอ้ ให้แน่น แลว้ เอาดิน เหนียวเหลวๆ ละเลงทาใหท้ ว่ั หาไมเ้ ลก็ ๆ มาตีผา้ ท่ีขึงขา้ งๆ หมอ้ โดยรอบ เพื่อขนั เร่งให้ผา้ ตึงกเ็ ป็นอนั เสร็จ ตีได้ มีเสียงดงั กลองหมอ้ ตาลของใครตีดงั กว่ากนั เป็นเก่ง ถา้ ตีกระหน่าจนผา้ ขาดก็ทา ใหม่ 3.2 หม้อข้าวหม้อแกง ภาพที่ 3.2 หม้อข้าวหม้อแกง ทมี่ า https://sites.google.com/site/benjaratsky15/prawati-khwam-pen-ma-khxng-kar-la-len-thiy-1 เด็กผูห้ ญิงส่วนใหญ่ชอบเล่น “ หมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง “ หรือเล่นขายของหุงตม้ แกงไป ตามเรื่อง เอาเปลือกส้มโอ เปลือกมงั คุด หรือใบกน้ บิด ผสมดว้ ยปูนแดงเล็กน้อยค้นั เอาน้าขน้ ๆ รอง ภาชนะอะไรไวไ้ ม่ชา้ จะแขง็ ตวั เอามาทาเป็นวนุ้ “
7 4. การละเล่นของเด็กไทยในปัจจุบัน การละเล่นของเด็กไทยในปัจจุบัน เด็กผูห้ ญิงเล่นตุ๊กตากระดาษชุดขายของ พลาสติกเลียนแบบของจริง วิดีโอเกม เด็กผูข้ ายก็เล่นปื น จรวด เกมกด และเครื่องเล่นต่าง ๆ ซ่ึงมีขาย มากมาย และมีการละเล่นหลายชนิดท่ีนิยมเล่นท้งั ในเด็กชายและเด็กหญิง นอกจากน้นั ยงั เล่นตามฐานะ และเศรษฐกิจของครอบครัว ดงั น้นั การละเล่นของเด็กไทยสมยั ก่อนจึงค่อย ๆ เลือนหายไปทีละนอ้ ย ๆ จนเกือบจะสูญหายไปหมดแลว้ เช่น กาฟักไข่ เขยง่ เก็งกอย ข่ีมา้ ส่งเมืองข้ีตู่กลางนา เตย งูกินหาง ช่วงชยั ชกั เยอ่ ซ่อนหา มอญซ่อนผา้ ไอโ้ ม่ง ต่ี รีรีขา้ วสาร ต้งั แต่ ฯลฯ การละเล่นในปัจจุบนั 4.1 การเล่นตุ๊กตาของเดก็ ผู้หญงิ ภาพท่ี 4.1 การเล่นตุ๊กตาของเดก็ ผู้หญงิ ทม่ี า https://th.pngtree.com/freepng/christmas-girl-holding-a-doll_4029184.html 4.2 การเล่นรถของเล่นของเดก็ ผู้ชาย ภาพที่ 4.2 การเล่นรถของเล่นของเด็กผู้ชาย ที่มา https://th.lovepik.com/image-401157669/little-boy-playing-with-toy-car.html
8 การเล่นของเด็กไทยในปัจจุบนั การพฒั นาการด้านต่างๆ ของเดก็ ในสมยั ปัจจุบัน พฒั นาการ หมายถึง การเปล่ียนแปลงความสามารถและพฤติกรรมที่เกิดข้ึนในมนุษย์ ท้งั ดา้ นร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม เป็นการเจริญกา้ วหนา้ อยา่ งมีลาดบั ข้นั ตอน ต้งั แต่แรกเกิดจาก ครรภม์ ารดา เป็นทารก จนโตข้ึน พฒั นาการในเดก็ แบ่งเป็น 4 ดา้ นหลกั ๆ ดงั น้ี พฒั นาการดา้ นกลา้ มเน้ือ พฒั นาการดา้ นภาษาและการส่ือสารพฒั นาการดา้ นอารมณ์และสงั คม พฒั นาการดา้ นการช่วยเหลือ ตวั เอง พฒั นาการด้านกล้ามเนื้อ แบ่งเป็น กลา้ มเน้ือมดั ใหญ่ (Gross motor development) เป็น ตามลาดบั ชนั คอ ควา่ นงั่ เกาะยนื ต้งั ไข่ เดิน ว่ิง กลา้ มเน้ือมดั เลก็ (Fine motor development) ใชม้ ือควา้ ของ หยบิ ขนมเขา้ ปาก ใชช้ อ้ นตกั อาหาร จบั ดินสอขีดเขียน ต่อบลอ็ ก เลง็ กะระยะตาแหน่งโดยใช้ สายตาประสานมือ (Eye-hand coordination)
9 1. พัฒนาการด้านภาษาและการส่ือสาร (Language development) การเขา้ ใจภาษา – ทกั ษะการฟัง การการเขา้ ใจ ทาตามคาสั่งได้ ช้ีอวยั วะ ช้ีภาพ ส่วนการใชภ้ าษา ก็คือ ใชค้ าพูด ภาษาท่าทางเพื่อบอก ความตอ้ งการ 2. พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม (Social emotional development) ต้งั แต่ทารกมองหน้า จดจา ใบหนา้ พ่อแม่ ยิ้มตอบ แสดงสีหน้าบอกอารมณ์ สามารถส่ือสารความคิดความตอ้ งการกบั คนอื่น ไป จนถึงสามารถเลน่ กบั เพอ่ื นได้ 3. พัฒนาการด้านการช่วยเหลือตัวเองและการปรับตัว (Personal and adaptive skill) เช่น การกิน อาหารดว้ ยตวั อง ถอดและใส่เส้ือผา้ แต่งตวั บอกเขา้ หอ้ งน้า ฝึกขบั ถา่ ย อาบน้า แปรงฟัน การท่ีเดก็ ไดร้ ับ การส่งเสริม กิจกรรม การเรียนรู้ การเล่น ที่สอดคลอ้ งกบั วุฒิภาวะ และระดบั พฒั นาการ ส่งผลให้เด็ก สามารถพฒั นาไดเ้ ตม็ ศักยภาพที่เคา้ มี มีคาพดู หน่ึงที่กล่าววา่ “การเล่นคอื งานของเดก็ ๆ” ดงั น้นั ส่ิงหน่ึงที่สาคญั ในการดูแลลูก ของคุณพ่อคุณแม่ ที่มีส่วนช่วยให้ลูกมีพฒั นาการที่ดีเต็มศกั ยภาพก็คือ การใช้เวลาเล่นกบั ลูกน่ันเอง . ประโยชน์ของการเล่นในเด็ก 1. ส่งเสริมใหเ้ ดก็ มีพฒั นาการที่สมวยั ในทุกดา้ น 2. ส่งเสริมความรักความผกู ผนั ความสมั พนั ธท์ ่ีดีในครอบครัว 3. การเล่นเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนาน มีความสุข สร้างรอยยมิ้ และเสียงหวั เราะ เป็นเวลาที่คุณพอ่ คุณ แม่ไดม้ องเห็นและช่ืนชมสิ่งดีดีในตวั ลูก 4. การเล่นกิจกรรมกลางแจง้ เช่น วง่ิ ปี นป่ าย ป่ันจกั รยาน ในสนามเดก็ เลน่ ท่ีปลอดภยั ช่วยใหส้ ุขภาพ แขง็ แรงและพฒั นาทกั ษะดา้ นกลา้ มเน้ือ 5. การเลน่ กิจกรรมที่สงบ เช่น ต่อจ๊ิกซอว์ วาดรูป ในขณะท่ีคุณพอ่ คุณแม่สนใจลูกอยู่ จะเป็นการช่วย ฝึกสมาธิและการกากบั ตวั เองของเดก็ ไดด้ ี 6. ลดการเกิดปัญหาพฤติกรรม เช่น ด้ือต่อตา้ น ติดจอ ติดโทรศพั ท์ ไม่ยอมเขา้ นอน 7. ลดเวลาการใชส้ ่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ผา่ นจอที่ไม่มีคุณภาพ เช่น การดูทีวี เล่นโทรศพั ท์ เลน่ เกม 8. การเลน่ กบั เพอื่ น การเล่นเป็นกลุม่ ยงั ช่วยฝึกใหเ้ ดก็ พฒั นาในเร่ือง การกากบั ตนเอง รู้จกั การรอ คอย การทาตามกฎกติกา การเจรจาต่อรอง นาไปสู่การพฒั นาของทกั ษะสมองข้นั สูง EF (executive function) ท่ีมีความจาเป็นอยา่ งมากในเดก็ ศตวรรษท่ี 21 .
10 ลกั ษณะของกจิ กรรมบันเทิงท่จี ดั อยู่ในการละเล่น ได้แก่ 1. การแสดง หมายถึง การละเล่นท่ีรวมท้งั ที่เป็ นแบบแผนและการแสดงทว่ั ไปของชาวบา้ นใน รูปแบบการร้องการบรรเลงการฟ้อนราซ่ึงประกอบดว้ ยดนตรี เพลงและนาฏศิลป์ 2. มหรสพ หมายถึง การแสดงที่ฝ่ ายบ้านเมืองจะเรียกเก็บค่าแสดงเป็ นเงินภาษีแผ่นดินตาม พระราชบัญญัติท่ี กาหนดไว้ต้ังแต่พุทธศักราช 2404 เป็ นต้นมา ประกาศมหรสพว่าด้วย การละเล่นหลายประเภทดงั น้ี ละคร งิ้วหุ่นหนงั ต่างๆ สกั วา เสภา ลิเก กลองยาว ลาวแพน มอญ ราและทวายรา พณิ พาทย์ มโหรี กลองแขก คฤหสั ถส์ วดศพ และจาอวด 3. กีฬาและนนั ทนาการ คือการละเล่นเพื่อความสนุกสนานตามเทศกาลและเล่นตามฤดูกาลแลการ และเล่น เพื่อการแข่งขันหรือกิจกรรมท่ีทาตามความสมัครใจในยามว่าง เพื่อให้เกิดความ สนุกสนาน เพลิดเพลินและ ผอ่ นคลายความตึงเครียด
11 การละเล่นของเด็กแบบไทย ๆ มมี าต้งั แต่เมื่อไร ชนชาติไทยมีมาต้งั แต่เม่ือไร การละเล่นแบบไทย ๆ ก็น่าจะมีมาแต่เมื่อน้นั แหละ ถา้ จะ เคน้ ให้เห็นกนั เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ก็คงตอ้ งขดุ ศิลาจารึกพ่อขนุ รามคาแหง มาอา้ งพอเป็นหลกั ฐานได้ ราง ๆ ว่าเนื่องจากการละเล่นของไทยเราน้ันมีมากมายจนนึกไม่ถึง (กรมพลศึกษารวบรวมไวไ้ ด้ ถึง 1,200 ชนิด) การเล่นกบั เด็กเป็ นของคู่กนั มาต้งั แต่กาลคร้ังไหน คงไม่มีใครทราบได้ แต่การเล่นก็ เป็นเรื่องท่ีสืบ เนื่องแสดงถึงเอกลกั ษณ์ของชนชาติหรือทอ้ งถ่ินเป็นเร่ืองท่ีถ่ายทอดเขา้ สู่กระแสชีวิตและ ตกทอดกนั มาต้งั แต่ รุ่นป่ ูยา่ ตายายของป่ ูยา่ ตายายโน่น เอาต้งั แต่เม่ือเราเกิดมาลืมตาดูโลกก็คงจะไดเ้ ห็น ปลาตะเพียนที่ผูใ้ หญ่แขวน ไวเ้ หนือเปลให้เด็กดู “เล่น” เป็ นการบริหารลูกตา แหวกว่ายอยู่ในอากาศ แลว้ พอโตข้ึนมาสกั 3-4 เดือน ผใู้ หญ่กจ็ ะสอนใหเ้ ล่น “จับปูดา ขยาปูนา” “แกว่งแขนอ่อน เดนิ ไว ๆ ลูก ร้องไห้ วิ่งไปวิ่งมา” โดยที่จะคิดถึงจุดประสงคอ์ ่ืนใดหรือไม่สุดรู้ แต่ผลท่ีตามมาน้นั เป็นการหดั ใหเ้ ด็ก ใชก้ ลา้ มเน้ือมือ กลา้ มเน้ือแขนประสานกบั สายตา การละเล่นเป็นการส่งเสริมใหเ้ ดก็ ใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ และเป็นกิจกรรมที่แฝง ไว้ ดว้ ยสัญลกั ษณ์ หากศึกษาการเล่นของเด็กในสังคม เท่ากบั ไดศ้ ึกษาวฒั นธรรมของสังคมน้ันดว้ ย การละเล่นของเดก็ ไทย มีความหลากหลาย เช่น หมากเกบ็ วา่ ว โพงพาง รีรีขา้ วสาร เป็นตน้
12 ประเภทของการละเล่น แบ่งเป็ น การละเล่นกลางแจ้ง และการละเล่นในร่ม การละเล่นกลางแจง้ และการละเล่นในร่ม และในแต่ละประเภทก็ยงั แบ่งยอ่ ยอีกเป็ น การละเล่นท่ีมีบทร้องประกอบ กบั ที่ไม่มีบทร้องประกอบการละเลน่ กลางแจง้ ที่มีบทร้องประกอบไดแ้ ก่ โพงพาง เสือไล่หมู่ อา้ ยเขอ้ า้ ยโขงซ่อนหาหรือโป้งแปะ เอาเถิด มอญซ่อนผา้ รีรีขา้ วสาร ท่ีมีคาโตต้ อบ เช่น งูกนั หาง แม่นาคพระโขนง มะล็อกก๊อกแก็ก เขย่งเก็งกอย ท่ีไม่มีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ลอ้ ต๊อก หยอดหลุม บอ้ หุ้น ลูกดิ่ง ลูกข่าง ลูกหิน เตยหรือตาล่อง ขา้ วหลามตดั ววั กระทิง ลูกช่วง ห่วงยาง เสือ ขา้ มหว้ ยเค่ียว เสือขา้ มหว้ ยหมู่ ตี่จบั แตะหุ่น ตาเขยง่ ยงิ หนงั สะติ๊ก ปลาหมอ ตกกะทะ ตีลูกลอ้ การเล่น ว่าว กระโดดเชือกเดี่ยว กระโดดเชือกคู่ กระโดดเชือกหมู่ ร่อนรูป หลุมเมือง ทอดกะทะ หรือหมุน นาฬิกา ขี่มา้ ส่งเมือง กาฟักไข่ ตีโป่ ง ชกั คะเยอ่ โปลิศจบั ขโมย สะบา้ เสือกนั ววั ขี่มา้ กา้ นกลว้ ย กระดาน กระดก วิ่งสามขา วิ่งสวมกระสอบ ว่ิงทน ยงิ เป็นกา้ นกลว้ ย การละเล่นในร่มท่ีมีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ข้ีตู่กลางนา ซกั ส้าว โยกเยก แมงมุม จบั ปูดาขยาปูนา จีจ่อเจ๊ียบ เด็กเอ๋ยพาย จ้าจ้ี ท่ีไม่มีบทร้องประกอบ ไดแ้ ก่ ดีดเมด็ มะขามลงหลุม อีขีดอีเขียน อีตกั เสือตกถงั เสือกนั ววั หมากกินอิ่ม สีซอ หมากเกบ็ หมาก ตะเกียบ ป่ันแปะ หวั กอ้ ย กาทาย ทายใบสน ตีไก่ เป่ ากบ ตีตบแผละ กดั ปลา นาฬิกาทางมะพร้าว กงจกั ร ต่อบา้ น พบั กระดาษ ฝนรูป จูงนางเจา้ หอ้ ง การเล่นเลียนแบบผใู้ หญ่เช่นเล่นเป็นพ่อเป็นแม่ เล่นแต่งงาน เล่นหมอ้ ขา้ วหมอ้ แกง แคะขนมครกเล่นขายของ เล่นเขา้ ทรง ทายคาปริศนา นอกจากน้นั ยงั มีทบร้อง เล่น เช่น จนั ทร์เอ๋ย จนั ทร์เจา้ ขอขา้ วขอแกงแกง....และบทลอ้ เลียน เช่น ผมจุก คลุกน้าปลา เห็นข้ีหมา นงั่ ไหวก้ ระจ๊องหง่อง เป็นตน้ การละเล่นที่เล่นกลางแจง้ หรือในร่มก็ไดท้ ่ีไม่มีบทร้อง ไดแ้ ก่ ลิงชิงหลกั ขายแตงโม เกา้ อ้ีดนตรี แขง่ เรือคน ดมดอกไมป้ ิ ดตาตีหมอ้ ปิ ดตาต่อหาง โฮกป๊ี บ เป่ ายงิ ฉุบ เดก็ แต่ละภาคเล่นเหมือนกนั หรือไม่ เน่ืองจากในแต่ละภาคมีลกั ษณะเฉพาะตวั ท่ีแตกต่างกนั ท้งั ในดา้ นภาษา วฒั นธรรม ประเพณี ความเชื่อ สภาพแวดลอ้ ม ทาใหก้ ารละเลน่ ของเดก็ แต่ละภาคมีความแตกต่างกนั ไปบา้ งในเรื่อง ของบทร้องประกอบการละเลน่ กติกา และอปุ กรณ์การละเลน่ แต่โดยส่วนรวมแลว้ ลกั ษณะการเลน่ จะ คลา้ ยคลึงกนั เป็นส่วนใหญ่ ความแตกต่างในเร่ืองของบทร้องประกอบการละเล่น การละเลน่ ซ่ึงมีบทร้องประกอบ บางอยา่ งมีลกั ษณะคลา้ ยกนั หรือเหมือน ๆ กนั แต่บท ร้องจะแตกต่างไปตามภาษาทอ้ งถิ่น และเน้ือความซ่ึงเดก็ เป็นผคู้ ิดข้ึน เช่น การละเลน่ จ้าจ้ี หรือ ปะเปิ้ ม
13 บรรณนุกรม สุวัฒน์ กล่ินเกสร, (2559). การละเล่นของไทย.ขอ้ มูลจากหนงั สือสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน ฯเล่ม 13 : สานกั ศิลปะและวฒั นะธรรม.
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: