นาฏศิลป์
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-BOOK)เล่มนี้เป็นส่วน หนึ่ง ของวิชา นาฏศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โดยมีจุด ประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องนาฏศิลป์ ไทย ซึ่งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เล่มนี้มี เนื้อหาเกี่ยว กับ วิวัฒนาการของนาฏศิลป์และละครไทย วิวัฒนาการ ของละครตะวันตก และ การชม วิจารณ์ และประเมิน คุณภาพการแสดง ผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ อาจารย์ผู้สอน ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษาห้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่าหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK) เล่มนี้จะให้ความรู้ และเป็น ประโยชน์แก่ผู้อ่านที่ อ่านในการเรียนรู้นาฏศิลป์ไทย คณะผู้จัดทำ
เรื่อง หน้า คำนำ ก สมาชิก ข สารบัญ ค วิวัฒนาการละครไทย 1-6 วิวัฒนาการละครตะวันตก การชมวิจารณ์เเละประเมินคุณภาพการเเสดง 7-16 17-26
1. สมัยน่านเจ้า มีนิยายเรื่อง นามาโนห์รา เป็นนิยายของพวกไต หรือคนไทย ใน สมัยน่านเจ้าที่มีปรากฏอยู่ ก่อนหน้านี้คือ การแสดงจำพวกระบำ เช่นระบำหมาก ระบำนกยุง (การแสดงโนราห์ ชาตรี) 2. สมัยสุโขทัย พบหลักฐาน การละครและฟ้อนรำ ปรากฏอยู่ในศิลาจาลึก ของ พ่อขุนรามคำแหง กล่าว่า เมื่อจักเข้ามาเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท้า หัวลานด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครจักมักเห ล้น เหล้นใครจักมักหัว หัวใครจักมักเลื้อน เลื้อน จึงทำให้รับวัฒนธรรมของอินเดีย ผสมผสานกับวัฒนธรรมไทย มี การบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ เพื่อนใช้เรียกศิลปะการแสดงของไทย ว่า โขน ละคร ฟ้อนรำ (ระบำศรีสัชนาลัย)
3.สมัยอยุธยา มีการแสดงละครชาตรี ละครนอก ละครใน แต่เดิม ที่เล่นเป็นละคร เร่ จะแสดงตามพื้นที่ว่างโดยไม่ต้องมีโรงละคร เรียกว่า ละครชาตรี ต่อมาได้มีการวิวัฒนาการ เป็นละครรำ เรียกว่า ละครใน ละครนอก โดยปรับปรุงรูปแบบ ให้มีการแต่งการที่ประณีตงดงามมากขึ้น มี ดนตรีและบทร้อง และมีการสร้างโรงแสดง ละครในแสดงในพระราชวัง จะใช้ผู้หญิงล้วน ห้ามไม่ให้ชาวบ้าน เล่น เรื่องที่นิยมมาแสดงมี 3 เรื่องคือ อิเหนา รามเกียรติ์ อุณรุท ส่วนละครนอก ชาวบ้านจะแสดง ใช้ผู้ชายล้วนดำเนินเรื่องอย่าง รวดเร็ว สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เป็นสมัยที่โขนเจริญรุ่งเรื่องเป็น อย่างมาก มีละครเรื่องใหญ่ๆ อยู่ 4 เรื่อง คือ อิเหนา รามเกียรติ์ อุ ณรุท ดาหลัง ดาหลัง อิเหนา อุณรุท รามเกียรติ์
4. สมัยธนบุรี สมัยนี้บทละครในสมัยอยุธยาได้สูญหายไป สมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงรวบรวมศิลปิน บทละคร ที่เหลือมาทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ อีก 5 ตอนได้แก่ 1.ตอนอนุมานเกี้ยวนางวานริน 2.ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ 3.ตอนทศกันฐ์ตั้งพิธีทรายกรด 4.ตอนพระลักษมณ์ถูกหอกกบิลพัท 5.ตอนปล่อนม้าอุปการ นอกจากทรงพระราชนิพนธ์ บทละครในเรื่องรามเกียรติ์ด้วย พระองค์เองแล้ว พระองค์ยังทรง ฝึกซ้อม ด้วยพระองค์เองอีกด้วย รามเกียรติ์
พระบาทสมเด็กพระพุทฑยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(รัชกาลที่1) สมัยนี้ได้ฟื้นฟูและรวบรวม สิ่งที่สูญหายให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นและรวบรวม ตำราการฟ้อน รำ ไว้เป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดในประวัตืศาสตร์ พระองค์ทรงพัฒนาโขน โดยให้ผู้แสดงเปิด หน้าและสวมมงกุฎ หรือชฏา ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนารายณ์ปราบน นทก พระบาทสมเด็กพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่2) สมัยนี้วรรณคดี และละครเจริญถึงขีดสุด พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงการแต่งกาย ให้เป็นการแต่งยืน เครื่อง แบบในละครใน ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา ซึ่งเป็นละครที่ได้รับการยกย่องจาก วรรณคดีสโมสร ว่าเป็นยอดของบทละครรำ คือแสดงได้ครบองค์ 5 คือ ตัวละครงาม รำงาม ร้องเพราะ พิณพาทย์เพราะ และกลอนเพราะ เมื่อปี พ.ศ.2511 ยูเนสโก ได้ถวายพระเกียรติคุณแด่พระองค์ ให้ใน ฐานะบุคคลสำคัญ ที่มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม ระดับโลก พระบาทสมเด็กพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่3) สมัยนี้พระองค์ ให้ยกเลิกละครหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ จึงพากันฝึกหัดโขนละคร คณะละครที่มี แบบแผนในเชิงฝึกหัดและแสดง ทางโขน ละครถือเป็นแบบแผนในการปฏิบัติสืบต่อมา ถึงปัจจุบันได้แก่ 1.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณาคุณ 2.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ 3.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ 4.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ 5.ละครของพระเข้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทรนกร กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ 6.ละครของเจ้าพระยาบดินทรเดชา 7.ละครของเจ้าจอมมารดาอัมพา 8.ละครเจ้ากรับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่4) ได้ฟื้นฟูละครหลวง ขึ้นใหม่อนุญาตให้ราษฎรฝึกละครในได้ ซึ่งแต่เดิมละครในจะแสดงได้แต่ เฉพาะในพระราชวังเท่านั้น ด้วยเหตุที่ละครแพร่หลายไปสู้ประชาชนมากขึ้น จึงมีการบัญญัติข้อ ห้ามในการแสดงลำครที่มิใช่ละครหลวง ดังต่อไปนี้ 1.ห้ามฉุดบุตรชาย-หญิง ผู้อื่นมาฝึกละคร 2.ห้ามใช้รัดเกล้ายอดเป็นเครื่องประดับศีรษะ 3.ห้ามใช้เครื่องประกอบการแสดงที่เป็นพานทอง หีบทอง 4.ห้ามใช้เครื่องประดับลงยา 5.ห้ามเป่าแตรสังข์ 6.หัวช้างที่เป็นอุปกรณ์ในการแสดงห้ามใช้สีเผือก ยกเว้นช้างเอราวัณ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่5) ในสมัยนี้สถาพบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า และขยายตัวอย่างรวดร็ว เพราะได้รับ วัฒนธรรมจากตะวันตก ทำให้ศิลปะการแสดงละครได้มีวิวัฒนาการขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง นอกจาก นี้ ยังกำเนิดละครดึกดำบรรพ์ และละครพันทางอีกด้วย นอกจากพระองค์ทรงส่งเสริมให้เอกชน ตั้งคณะละครอย่างแพร่หลายแล้ว ละครคณะใดที่มีชื่อเสียงแสดงได้ดี พระองค์ทรงเสด็จมาทอด พระเนตร และโปรดเกล้าฯ ให้แสดงในพระราชฐานเพื่อเป็นการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่6) ในสมัยนี้เป็นสมัยที่โขน ละคร ดนตรี ปี่พาทย์เจริญถึงขีดสุด พระองค์ทรงเป็นราชาแห่งศิลปิน แม้ว่าจะมีประสมการณ์ด้านละครพูดแบบตะวันตก แต่ก็ทรงมีพระราชปณิธานอันแรงกล้า ที่จะ ทรงไว้ซึ่ง “ความเป็นไทย “ และดนตรีปี่พาทย์ ทั้งยังทรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้แก่ศิลปิน โขนที่มีฝีมือให้เป็นขุนนาง เช่น พระยานัฏกานุรักษ์ พระยาพรหมาภิบาล เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(ราชกาลที่7) สมัยนี้ประสมภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองเกิดการคับขัน จึงได้มีการปรับปรุงระบบบริหาร ราชการกระทรวงวังครั้งใหญ่ ให้โอนงานช่างกองวังนอก และกองมหรสพไปอยู่ในสังกัดของ กรมศิลปากร และการช่างจึงย้ายมาอยู่ในสังกัดของกรมศิลปากร ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2478 โขนกรมมหรสพ กระทรวงวังจึงกลายเป็น โขนกรมศิลปากร มาแต่ครั้งนั้น ในสมัยนี้มี ละครแนวใหม่เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ละครเพลง หรือที่รู้จักกันว่า ละครจันทโรภาส พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล(รัชกาลที่8) ในสมัยนี้การแสดงนาฎศิลป์ โขน ละคร จัดอยู่ในการกำกับดูแลของกรมศิลปากร หลวงวิจิตร วาทการ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปากรได้ฟื้นฟู เปลี่ยนแปลงการแสดงโขน ละครในรูปแบบ ใหม่ โดยจัดตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ขึ้น เพื่อให้การศึกษาทั้งด้านศิลปะและสามัญ และ เพื่อยกระดับศิลปินให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ในสมัยนี้ได้เกิดละครรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า ละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นละครที่มีแนวคิดปลุกใจให้รักชาติ บางเรื่องเป็นละครพูด เช่น เรื่อง ราชมนู เรื่องศึกถลาง เรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นต้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาลที่9) ในสมัยนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บันทึกภาพยนตร์สีส่วนพระองค์ บันทึกท่ารำเพลงหน้าพาทย์ องค์พระพิราพ ท่ารำเพลงหน้าพาทย์ของพระ นาง ยักษ์ ลิง และโปรดเกล้าฯ ให้จักพิธีไหว้ครู อีกทั้งยังมีการปลูกฝังจิตสำนึกในการร่วมกันอนุรักษ์ สืบสาน สืบทอด และพัฒนาศิลปะการ แสดงของชาติผ่านการเรียนการสอนในระดับการศึกษาทุกระดับ มีสถาบันที่เปิดสอนวิชาการ ละครเพิ่มมากขึ้นทั้งของรัฐและเอกชน มีรูปแบบในการแสดงลำครไทยที่หลากหลายให้เลือกชม เช่น ละครเวที ละครพูด ละครร้อง ละครรำ เป็นต้น
ยุคแรก ละครกรีก เริ่มจากการประกวดการร้องรำทำเพลงเป็นหมู่ (Choral dance) ซึ่งเรียกว่า ดิธีแรมบ์ (dithyramb) ในเทศกาล บวงสรวงเทพเจ้าไดโอนีซุส ต่อมา ราว 500 ปีก่อนคริสตกาล ถือว่าเป็นยุคทองของ การละคร มีการประกวดเขียนบทละครและจัดการแสดงละครใน ด้านต่าง ๆ ทำให้การละครรุ่งเรืองมาก ละครกรีก ที่หลงเหลือมาถึงยุคปัจจุบันมี 2 ประเภท คือ ละครโศกนาฏกรรม (Tragedy) และ ละครสุขนาฏกรรม (Comedy)
ละครโศกนาฏกรรม แสดงให้เห็นชีวิตตัวละครตัวเอกที่มีความน่ายกย่องแต่ต้อง ดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจของชะตากรรม ลงท้ายด้วยความเศร้า หรือไม่สมหวังแสดงถึงความทุกข์ทรมานของมนุษย์ ละครสุขนาฏกรรม เป็นละครที่ให้ความรู้สึกตลกขบขันเพราะความบกพร่อง ของมนุษย์ พัฒนามาจากการขับร้องเพลงเพื่อความ สนุกสนานเฮฮาของผู้ติดตามขบวนแห่เทพเจ้าไดโอนีซุส ให้ ตัวเอกพบกับความสมหวังในตอนจบของเรื่อง ละครโศกนาฏกรรม ละครสุขนาฏกรรม
ละครโรมัน ได้รับอิทธิพลจากละครของกรีก แล้วพัฒนาให้เข้ากับ รสนิยมชาวโรมัน ละครโศกนาฏกรรมโรมัน - มีนักเขียนชื่อ ลูเซียสแอนน์เซียส เซเนกา - เรื่องราวเกี่ยวพันกับเหตุการณ์รุนแรง หรือการกระทำ ที่สยดสยอง ความพยาบาทอาฆาตแค้น มีเรื่องราวของภูตผีปีศาจและการใช้เวทมนตร์คาถา มี การใช้ตัวละครเหนือธรรมชาติอย่างแม่มดและผี - มีอิทธิพลต่อนักเขียนบทละครยุคเรเนอซองส์ เพราะ เขียนด้วยภาษาละติน อ่านง่าย
ละครตลกขบขันแบบโรมัน ละครแพบูลาอาเทลลานา เป็นละครตลกสั้นๆ ใช้ตัวละครที่ไม่ ลึกซึ้งและมีลักษณะซ้ำกันทุกเรื่อง ใช้เรื่องราวชีวิตในชนบท ของชาวบ้านสามัญ ละครชนิดนี้ได้รับความนิยมสูงสุด มายม์ (Mime) เป็นละครสั้นๆ ตลกโปกฮา มีการใช้ผู้หญิง แสดงบทของผู้หญิง (เป็นละครประเภทแรกที่ใช้ผู้หญิงแสดง) ไม่มีการสวมหน้ากาก แสดงเรื่องราวชีวิตของคนในเมือง ระยะหลังมายม์แสดงเรื่องราวที่ผิดทำนองคลองธรรม เช่น การคบชู้สู่ชาย ความชั่วช้าสามานย์ ภาษาที่หลาบโลน ทำให้ เกิดการต่อต้านจากคริสต์ศาสนิกชน แพนโทมายม์ (Pantomime) เป็นการร่ายรำที่มีความหมาย โดยใช้นักแสดงคนเดียว ซึ่งเปลี่ยนบทบาทโดยการ “เปลี่ยน หน้ากาก” มีพวกคอรัสเป็นผู้บรรยายเรื่องราว มักเป็นเรื่อง ราวที่เคร่งเครียดและได้จากตำนานปรัมปรา มีเครื่องดนตรี ประกอบหลายชิ้น เช่น ขลุ่ยและเครื่องตี แพนโทมายม์ (Pantomime)
ละครยุคกลาง ตั้งแต่อาณาจักรโรมันล่มสลายไป นับเป็นยุคมืดของการละคร เพราะเป็นยุคที่มีความเจริญน้อยมาก นับเป็นเวลาประมาณ 300 ปี เมื่อ พ.ศ. 1400 ก็ได้กลับมาฟื้ นฟูอีกครั้งโดยคริตจักร และถูกยับยั้งอีกครั้งในการต่อสู้ทางศาสนา จึงทำให้เกิดละคร รูปแบบใหม่แพร่หลายออกไป คือละครเริงรมย์ 1.การแสดงละครในวัด ศาสนจักรเห็นว่าผู้คนให้ความสนใจในด้านการแสดงละครจึงนำวิธีนี้ใน การให้ผู้คนหันมาสนใจทางด้านศาสนา โดยนำละครเข้ามาในวันอีส เตอร์ ละครที่เก่าแก่ที่สุด คือ เควมควอริทิส และใช้บทเพลงสอดแทรก ในพิธีกรรมทางศาสนา 2.ละครที่เกี่ยวกับศาสนาและศีลธรรม เป็นละครที่แสดงประกอบเรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิล เรื่องราวเกี่ยว กับพระเยซูและเรื่องราวในคัมภีรืไบเบิล เรียกว่า มิสตรี เพลย์ (Mystery Play)นอกจากนั้นยังมีละครมิระเคิล เพลย์(Miracle Play)ที่ แสดงเรื่องราวชีวิตของนักบุญและผู้พลีชีพเพื่อศาสนา และละครมอแร ลลิตี เพลย์ (Morality Play) ที่แสดงเรื่องราวของคนธรรมดาสามัญที่ ต้องต่อสู้กับทางเลือกระหว่างความดีและความชั่ว
3. การแสดงประเภทอื่นๆ โพลค์เพลย์ (Folk Play) เป็นเรื่องราวการผจญภัยของวีรบุรุษยอดนิยม เช่น โรบินฮูด เกี่ยวกับการต่อสู้ เต้นระบำ ความตาย และการเกิดใหม่ ฟาร์ส (Farce) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการล้อเลียนความชั่วร้ายของมนุษย์ โดย มองดูอย่างตลกขบขัน เซอร์คูลา อิเตอร์ลูด (Secular Interlode) เป็นเรื่องราวที่อาจจริงจังหรือตลกขบขันที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา เป็นการแสดงแทรกละครหน้าม่าน จากผู้รับจ้างขุนนางที่เรียก ตัวเองว่า อินเตอร์ลูด
ละครสมัยใหม่ 1.ละครแนวสัจนิยม และแนวธรรมชาตินิยม เป็นละครแนวสมจริง บทละครไม่บิดเบือนไปจากความ เป็นจริงของ ชีวิต สะท้อนความจริงของสังคมในยุคนั้น และให้ความสำคัญกับคน สามัญ ตัวเอกของเรื่องจะเป็น ชาวนา โจร ขอทาน โสเภณี เสมียน เป็นต้น ซึ่งแตกต่าง จากยุคก่อนๆที่ตัวเอกของเรื่องจะมีฐานะที่ร่ำรวย และ สมบูรณ์พร้อมทุกด้าน
ละครยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ ละครยุคนี้มีทั้งละครเทรดิจิ (Tradegy) และละครคอมเมดี (Comedy) ซึ่งรับอิทธิพลมาจากละครโรมัน ละครยุคนี้ส่วน ใหญ่จะแสดงในฉากเดียวแต่ใหญ่โต แต่งกายหรูหรา 1.อินเตอร์เมทซี (Intermazzi) เป็นการแสดงสลับฉาก มักเป็นเรื่องราวจากตำนานกรีกและ โรมัน เช่นการต่อสู้กับปีศาจทางทะเล มีการใช้ดนตรีและระบำ ประกอบ 2. โอเปร่า (Opera) การนำดนตรี ขับร้อง การระบำ เข้ามารวมกันในรูปของละคร นิยมจัดฉากหรู หรา อินเตอร์เมทซี (Intermazzi) โอเปร่า (Opera)
2.ละครแนวต่อต้านสัจธรรม (Anti-realism) 1.ละครสัญลักษณนิยม (Symbolism) เป็นละครที่ใช้วัตถุหรือการกระทำที่ เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งจะกระตุ้นและโยงความรู้สึกนึกคิดของคนดูเข้ากับความ เป็นจริง ละครชนิดนี้ พยายามมองให้ลึกลงไปถึง สัจธรรมที่ไม่อาจจับต้อง ได้ เช่น ความหมายของชีวิตและความตาย จึงมักดูลึกลับ ลางเลือน และ สร้างปมปริศนาไว้ให้ขบคิด 2.ละครเอ็กซ์เปรสชั่นนิสม์ (Expressionism) เป็นละครที่เสนอความเป็น จริงตามความคิดของตัวละคร ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ปรากฏแก่ สายตาคนทั่วไป โดยใช้ฉากที่มีสภาพไม่เหมือนจริง ใช้คำพูดที่ไม่เป็นเหตุ เป็นผลนัก ฉากแบบเอ็กซ์เปรสชั่นนิสม์ มีลักษณะพิเศษที่สะท้อนความรู้สึก ภายในของตัวละคร เน้นรูปลักษณะภายนอก สีสัน และขนาดที่ผิดปกติไป 3.ละครเพื่อสังคม (Theatre for Social Action) หรือละครเอพิค (Epic Theatre) เป็นละครที่กระตุ้นความสำนึกทางสังคม นำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงแก้ไขสังคมให้ดีขึ้น โดยไม่คำนึงถึงความเป็นกลางแบบ ธรรมชาติ จุดสำคัญ คือ ต้องการให้ผู้ชม ชมอย่างไตร่ตรองมากกว่าจะให้ เห็นคล้อยตามเรื่องไปผู้ชมจะถูกทำให้ตระหนักอยู่ทุกขณะที่กำลังชมละคร ว่า นั่นคือการแสดงทั้งสิ้น ละครแนวนี้ มีบทบาทสำคัญมากต่อสังคมโลก และการละครเวทีสมัยใหม่
หลักการในการชมละคร ศึกษาหาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบ ประเภท และชนิดของ การแสดงทีม •ศึกษาเอกสาร และข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับการแสดง ตลอดจน สถานภาพของผู้มาชมเมื่อการแสดงจบลง ผู้ชมควรให้เกียรติผู้แสดงด้วยการปรบมือ •มีความสามารถในการรับสาร คือ เป็นผู้ชมที่ดูเป็น ฟังเป็น สามารถวิเคราะห์ วิจารณ์เรื่องที่ชมได้อย่างสร้างสรรค์ มีจิตใจผ่อนคลาย มีสมาธิในการชมการแสดง ไม่กังวลต่อสิ่ง ใดๆ ทั้งสิ้น * มีปฏิกิริยาโต้ตอบด้วยการแสดงออกทางอารมณ์ มีอารมณ์ คล้อยตามไปกับบทบาทของผู้แสดง เห็นแก่ลูก มีมารยาทในขณะชมการแสดง โดยปิดเครื่องมือสื่อสาร ไม่ส่งเสียง ดังรบกวนผู้ชมคนอื่น งดรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มทุกชนิด
หลักการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ การบรรยาย เป็นการพูด หรือเขียนถึงการรับรู้สิ่งที่เห็นและรู้สึก การรับรู้ คุณสมบัติต่างๆ ของการแสดง * บรรยาย หรือแจกแจงส่วนประกอบต่างๆ การวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ในผลงานการแสดงนาฏศิลป์ไทย รูปแบบของนาฏศิลป์ไทย ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทั้งนาฏศิลป์ แบบมาตรฐาน และนาฏศิลป์พื้นบ้าน ความเป็นเอกภาพ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความงดงามของการร้าย า และองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความ ถูกค้องตามแบบแผนท่าว่า แม่ท่าลีลาท่าเชื่อมความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์
โครงเรื่อง การวิจารณ์โครงเรื่อง มีข้อที่ควรพิจารณา แบ่งออกเป็น ๓ ตอน คือ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น - ตอนต้น เป็นการปูพื้นให้ผู้ชมทราบ จะตรซัดเจน หรือไม่ เกี่ยวกับวัน เวลาสถานที่ การ กระทำของตัวละคร -เหตุการณ์ที่จะนำไปสู่จุดวิกฤต - ตอนกลาง มีการสร้างอุปสรรค เข้มข้น เพียงพอหรือไม่ ถ้า ความขัดแย้ง ทำให้ตัวละครเอก อารมณ์ ได้มาก น้อยแค่ไหน เกิด ปัญหาจนถึงจุดวิกฤต ดำเนิน -การจบของเรื่องเหมาะสมหรือไม่ ต่อไป จนถึงขั้นแตกหัก -ละครเรื่องนี้น่าสนใจชวนติดตาม -ตอนอวสาน เรื่องค่อยๆ คลี่คลาย ตลอดเรื่องหรือไม่ ปัญหาในตอนบ่อรองเรื่อง -สิ่งใดที่ทำให้เรื่องมีความน่าสนใจ มาก ที่สุด เช่น โครงเรื่อง ตัว ละครหรือ
แนวความคิด ข้อที่ควรน่ามาพิจารณาในการ ที่เป็นแก่นของเรื่อง วิจารณ์ แนวความคิด มีดังนี้ • ผู้ประพันธ์บทละคร • ดูละครแล้วได้ประสบการณ์ จะต้องมี แนวคิดว่า แนวคิด ปรัชญาอะไรบ้าง จะใหัเรือง าเนิน ไปสู่ จุดหมายได้อย่างไร * เห็นด้วยกับปรัชญา แนวคิด ของเรื่อง • แนวคิดของละคร เช่น เพื่อ ความ หรือไม่ * เราคิดได้จากการชม บันเทิง สะท้อน ละครเกิดขึ้นใน ปัญหา วิต ปัญหา สังคม ชีวิตจริงได้หรือไม่ • บทเจรจา ของตัวละคร มีคติ คำคมที่น่า จดจำบ้างหรือไม่ เนื้อเรื่อง ฉาก ตัวละครมีความ เหมาะสม สอดคล้องกันหรือไม่
ภาพที่เห็น -ทัศนองค์ประกอบต่างๆ ฉาก การแสดง และ สอดคล้อง ทัศนองค์ประกอบ กับตัวละคร สร้างอารมณ์ สร้าง ต่างๆ สอดคล้อง บรรยากาศ สมเหตุสมผลหรือไม่ กับ ตัวละคร สร้าง -จาก อุปกรณ์ประกอบฉาก เครื่อง บรรยากาศที่ แต่ง ยะการแฝงหน้า ถูกต้องตาม เหมาะสม กองละเนาะสมกับยุคสมัย หรือไม่ สร้างอารมณ์ที่ สอดคล้องและเป็น -จาก และทัศนองค์ประกอบช่วยให้ ไปอย่าง การแสดงละครสื่อความหมายได้ สมเหตุสมผล สมจริงหรือไม่ การแสดงน่าตื่นเต้น มี ชีวิตชีวา ชวนให้ติดตามโดย ตลอด หรือน่าเบื่อหน่าย -ตัวละครตีบทแตกหรือไม่ ตัวละคร แสดงได้เป็นธรรมชาติจากความ รู้สึก ภายใน
คุณภาพด้านการแสดง หลักเกณฑ์ที่ควรน่ามาใช้ในการประเมินคุณภาพของการแสดง การนำาเสนอการแสดงต้องชัดเจนในเรื่องประเภท ผู้แสดงมีเอกลักษณ์ในการเคลื่อนไหวร่างกาย ลักษณะการแสดงมีความงาม ทั้งในระดับพื้นฐาน และมาตรฐาน ผลงานควรมีประโยชน์ ให้คุณค่าต่อสังคม ทั้งในด้านสติปัญญา อารมณ์ และจิตใจ
หลักเกณฑ์ที่ควรนำมาใช้ในการประเมินคุณภาพองค์ ประกอบของการแสดง ประกอบด้วย -ครื่องประกอบการแสดงบนเวที เช่น อุปกรณ์ประกอบฉาก อุปกรณ์ประกอบการ แสดง เครื่องใช้ส่วนตัว เครื่องประดับถูก ต้องตามแบบแผน ตามยุคสมัย เป็นต้น -ระบบเสียง และอุปกรณ์เสียง ระบบเสียงชัดเจน ไม่มีเสียง สะท้อนหรือเสียงก้อง เกิด นขณะมีการแสดง -เครื่องแต่งกาย การแต่งหน้า ถูกต้องตามยุคสมัย เครื่อง แต่งกายสมฐานะและบทบาท -ของตัวละคร คุณภาพด้านองค์ประกอบของการแสดง สะท้อน ให้เห็นความสามารถของผู้จัดการ -แสดงว่า มีความรู้ ในเรื่องของศิลปะเป็นอย่างดี
เป็นศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งที่ใช้การเคลื่อนไหวและการ จัดระเบียบร่างกายของ มนุษย์อย่างมีจังหวะ ลีลา ทำให้ เกิดภาษาท่าทางที่สามารถสื่อความหมายแทน ภาษาพูด ลีลาในการเคลื่อนไหวถูกต้องตามแบบแผ่น - นำหลักแห่งความสมดุลมาใช้ โดยใช้เวทีเป็นจุดศูนย์กลางตำแหน่ง ของผู้แสดง ให้มีสัดส่วนจำนวนเท่ากัน ไม่ควรไปรวมกลุ่มอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง จนมากเกินไป - มีการเคลื่อนไหว การแปรแถวมีความหลากหลายไม่น่าเบื่อ • ดนตรี การขับร้อง ท่วงทํานอง จังหวะของเพลง เครื่องแต่งกาย และ ลีลาในการเคลื่อนไหวต้องมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน
Search
Read the Text Version
- 1 - 28
Pages: