Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบงาน วิสุทธิมรรค กลุ่ม ที่ 3

ใบงาน วิสุทธิมรรค กลุ่ม ที่ 3

Description: ใบงาน วิสุทธิมรรค กลุ่ม ที่ 3

Search

Read the Text Version

๓นสิ ติ ช้ันปีที่ หลกั สตู รพทุ ธศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพทุ ธศาสนา



ใบงาน รายวชิ า วสิ ุทธิมคั คศึกษา เร่ือง กมั มฏั ฐานคหณนิเทส โดยกลุมที่ ๓ สมาชิกในกลุ่ม พระอธิการวสิ ุทธิศักด์ิ วสิ ารโท ๖๔๐๙๕๐๑๐๑๐ พระสุพรม จิตฺตปญฺโญ ๖๔๐๙๕๑๐๐๘ นิสิตช้ันปี ท่ี ๓ ปี การศึกษา ๑/๒๕๖๖ หลกั สูตรพทุ ธศาสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตสุรินทร์ นาเสนอ ท่านอาจารย์ พระครูศรีปรีชากร , ดร. การจดั ทาโครงงานนีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษา รายวชิ า วสิ ุทธิมคั คศึกษา ตามหลกั สูตรพุทธศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตสุรินทร์ การศึกษาท่ี ๑ ปี ๒๕๖๖

-ก- บทนา “กรรมฐาน” แปลวา่ ท่ีต้งั แห่งการงาน มีนยั ตรงกบคั า วา่ “ภาวนา” เป็ นคาที่หมายถึงการปฏิบตั ิธรรม หรือการฝึกอบรมจิตใจและอบรมปัญญาตามหลกั พระพุทธศาสนา กรรมฐานหรือภาวนาใพระพทุ ธศาสนา มี ๒ ประการคือ ประการท่ี ๑ สมถกรรมฐาน หรือสมถภาวนา การฝึกอบรมจิตให้เกิดความสงบ หรือการ ฝึกสมาธิ ประการท่ี ๒ วิปัสสนากรรมฐานหรือวิปัสสนาภาวนา การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความรู้แจง้ ตาม เป็นจริง หรือการเจริญปัญญาท้งั ๒ ประการรวมอยใู่ นหลกั ไตรสิกขา คือ (๑)สีลสิกขา (๒)จิตตสิกขาหรือ สมาธิสิกขาก็คือสมถกรรมฐาน และ (๓)ปัญญาสิกขาก็คือวิปัสสนากรรมฐานหลกั การสาคญั ขกรรมฐานก็ คือการฝึ กฝน คาว่า “สิกขา” ในคาว่า วา“จิตตสิกขา” ก็ดีในคา ว่า “ปัญญาสิกขา” ท่ีนิยมนา มาใช้ใน ภาษาไทยว่า “ศึกษา” หมายถึงการฝึ กฝนอบรม ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ “Training” ไม่ใช่ “Study” หลกั การ ของคา วา่ “ฝึกฝน” ก็คือการวางกรอบหรือแนวทางไวช้ ดั เจนแลว้ กาหนดใหท้ าตามน้นั ถา้ มีการแขง็ ขืนไม่ อยากทาตามก็ตอ้ งมีการบงั คบั ให้ ทาตามน้นั ใหไดอ้ าจจะไม่สามารถทาตามกรอบน้นั ไดท้ นั ที แต่ตอ้ งมีการ บงั คบั ทีละเล็กละนอ้ ยจนกว่าจะทาตามกรอบน้นั ไดท้ ้งั หมด เช่น เรานง่ั ตวั ตรง ๕ นาทีแลว้ รู้สึกปวดเม่ือย ตามปกติเราก็มกั จะหาวิธีคลายปวดเม่ือยโดยนง่ั ตวั งอบา้ ง นงั่ พิงฝาบา้ ง นงั่ เทา้ แขนบา้ งลุกข้ึนเดินบา้ งหรือ แมเ้ ปลี่ยนเป็นอิริยาบถอื่นๆ ถา้ เราฝึกฝนบังคบั ตวั เองทนฝืนความปวดเมื่อยนงั่ ให้ไดน้ านกวา่ ๕ นาทีก็จะ ติดเป็นนิสยั สามารถนง่ั นานไดอ้ ยนู่ ิ่งนานๆไดข้ อ้ น้ีเป็นการฝึกฝนกายใหเ้ ขม้ แขง็ ธรรมชาติของจิตคือคิดถึง เร่ืองต่างๆตลอดเวลาถาเราปล่อยให้จิตคิดหลายเรื่องในขณะเดียวกนั จนติดเป็นนิสัยกลายเป็นคนฟุ้งซ่าน ก็ จะกลายเป็นคนไมม่ ีสมาธิทางานไม่สาเร็จ กรรมฐานก็คือ การฝึกฝนอบรมจิตใหม้ ีสมาธิโดยใชว้ ธิ ีการอยา่ ง ใดอยา่ งหน่ึง เช่นให้กาหนดลมหายใจ เขา้ -ออก ของตงั เองมีสติกาหนดลมหายใจเป็ นอุบายให้จิตคิดอยู่ท่ี ลมหายใจ ไม่ให้คิดเรื่องอ่ืน ฝึ กฝนอย่างนอ้ ยเป็ นประจาก็จะทาให้ตนติดเป็ นนิสัย คือจิตคุน้ ชินอยู่กบั ลม หายใจจิตอยกู่ บั ชีวิตของตวั เองไม่ฟุ้งซ่าน เป็ นสมาธิ เพราะฉะน้นั เป้าหมายของการปฏิบตั ิกรรมฐานก็ คือ สมาธิกรรมฐาน ในพระพุทธศาสนาแมจ้ ะมีวิธีปฏิบตั ิหลายอยา่ งแต่ก็มี เป้าหมายเดียวคือมุ่งสร้างสมาธิ เพือ่ เป้าหมายข้นั ต่อไปคือประสิทธิภาพของบุคคลก็เพราะเมื่อจิตมีสมาธิยอ่ มมีอานิสงส์ (ผลดี)

ข หน้า สารบัญ ก บทนา ข สารบญั ๑ ๖ ปัญหาในสมาธิ ๘ ขอ้ ๑๒ ปลิโพธ ๑๐ อยา่ ง ๑๓ กมั มฏั ฐาน ๒ อยา่ ง ๑๔ อาจารยผ์ ใู้ หก้ มั มฏั ฐาน ๑๖ กลั ยาณมิตรตวั อยา่ ง ๑๖ ระเบียบเขา้ หาอาจารยผ์ กู้ ลั ยาณมิตร ๑๘ ระเบียบปฏิบตั ิต่ออาจารย์ ๑๘ จริยา ๖ อยา่ ง ๒๐ จริตบคุ คล ๖ ประเภท. ๒๕ วินิจฉยั กมั มฏั ฐาน ๔๐ โดยอาการ ๑๐ อยา่ ง ๒๖ วธิ ีเรียนเอากมั มฏั ฐาน ๒๗ คาถวายตวั แด่พระพุทธเจา้ ๒๘ คาถวายตวั แก่อาจารย์ ๓๒ โยคีผมู้ ีอชั ฌาสยั สมบรู ณ์ ๓๓ วธิ ีสอนกมั มฏั ฐาน บทสรุป

๑ ๑. ปัญหาในสมาธิ ๘ ข้อ อะไรเรียกว่าสมาธิ สมาธิ หมายถึงความสารวมใจใหแ้ น่วแน่เพ่อื ให้จิตใจสงบหรือเพอื่ ใหเ้ กิดปัญญา เห็นแจง้ การทาสมาธิมีปรากฏในหลายศาสนา เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู และลทั ธิเต๋า และยงั คงรวมถึง สิ่งที่ไม่เกี่ยวกบั ศาสนา เช่น โยคะ เป็ นตน้ สมาธิ (meditation) แปลตามบาลีว่า ความต้งั ใจมนั่ สมาธิใน ความหมายของพจนานุกรม แปลวา่ ท่ีต้งั มน่ั แห่งจิต การทาสมาธิในทางพุทธศาสนาเรียกวา่ สมถะ เมื่อกล่าวถึงสมาธิ ต้องเขา้ ใจในเบ้ืองต้นว่า สมาธิมิใช่เร่ืองของฤๅษีชีไพร หรือมิใช่เป็ นเรื่องท่ี ประพฤติปฏิบตั ิไดเ้ ฉพาะผทู้ ี่เป็ นนกั บวชเท่าน้ัน แต่สมาธิเป็ นเรื่องของการฝึกฝนอบรมจิตใจ และเป็นการ พฒั นาจิตใจให้มีความมน่ั คง ต้งั มนั่ และทาให้มีคุณภาพทางจิตใจที่ดีข้ึน ซ่ึงในทางพระพุทธศาสนาน้ัน สมาธิสามารถประพฤติปฏิบตั ิได้ ท้งั เพ่ือประโยชน์ต่อความมีชีวิตท่ีอยเู่ ป็ นสุขในเพศภาวะของผูท้ ี่ยงั ครอง เรือน และยงั เป็นการปฏิบตั ิเพอ่ื นาไปสู่ความหลุดพน้ สาหรับผทู้ ่ีเป็นนกั บวชอีกดว้ ย แต่อย่างไรก็ตาม สมาธิ ถือเป็ นเรื่องสากล กล่าวคือ มิใช่เฉพาะพุทธศาสนิกชนเท่าน้ันท่ีจะสามารถ ปฏิบตั ิสมาธิได้ แมผ้ ทู้ ่ีนบั ถือศาสนาอ่ืนก็สามารถปฏิบตั ิสมาธิไดเ้ ช่นเดียวกนั ท้งั น้ี การฝึ กสมาธิจะเนน้ ให้ ความสาคญั ของการลงมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง เพราะนอกจากจะทาให้ผูป้ ฏิบตั ิเห็นผลดว้ ยตนเองแลว้ หากมี ข้อสงสัยในเชิงปฏิบัติ ก็สามารถท่ีจะสอบถามจากผู้รู้ผู้ชานาญได้อย่างตรงเป้าหมาย หรื อตรงต่อ ประสบการณ์ที่ตนเองไดป้ ฏิบตั ิมา และถึงแมจ้ ะมีการอธิบายรายละเอียดความรู้ของสมาธิในเชิงทฤษฎี แต่ กระน้นั ก็มิอาจท่ีจะละเลยสมาธิในเชิงปฏิบตั ิได้ ความหมายของสมาธิ การอธิบายความหมายของสมาธิ สามารถอธิบายไดท้ ้งั ในเชิงลกั ษณะผลของสมาธิที่เกิดข้ึน และ อธิบายในลกั ษณะในเชิงการปฏิบตั ิ เช่น สมาธิ คือ ความสงบ สบาย และความรู้สึกเป็ นสุขอยา่ งย่ิงท่ีมนุษย์ สามารถสร้างข้ึนไดด้ ว้ ยตนเอง เป็ นสิ่งท่ีพระพุทธศาสนากาหนดเอาไวเ้ ป็ นขอ้ ควรปฏิบตั ิ เพ่ือการดารง ชีวิตประจาวนั อย่างเป็ นสุข ไม่ประมาท เต็มไปดว้ ยสติสัมปชญั ญะ และปัญญา อนั เป็ นเร่ืองไม่เหลือวิสัย ทกุ คนสามารถปฏิบตั ิไดง้ า่ ยๆ ความหมายในเชิงลกั ษณะผลของสมาธิ สมาธิ คือ อาการที่ใจต้งั มนั่ อยใู่ นอารมณ์เดียว อยา่ งตอ่ เน่ือง หรือ อาการท่ีใจหยดุ นิ่งแน่วแน่ ไมซ่ ดั ส่าย ไปมา เป็ นอาการที่ใจสงบรวมเป็ นหน่ึงแน่วแน่ มีแต่ความบริสุทธ์ิผอ่ งใส สวา่ งไสวผุดข้ึนในใจ จนกระทงั่ สามารถเห็นความบริสุทธ์ิน้ันด้วยใจตนเอง อนั จะก่อให้เกิดท้ังกาลงั ใจ กาลงั ขวญั กาลงั ปัญญา และ ความสุขแก่ผปู้ ฏิบตั ิในเวลาเดียวกนั

๒ ความหมายในเชิงลกั ษณะการปฎบิ ัติสมาธิ กล่าวอีกนยั หน่ึงในเชิงลกั ษณะการปฏิบตั ิ สมาธิ แปลวา่ ความต้งั มนั่ ของจิต หรือภาวะที่จิตแน่วแน่ต่อ ส่ิงท่ีกาหนด หรือการท่ีจิตกาหนดแน่วแน่อยกู่ บั ส่ิงใดส่ิงหน่ึง ไมฟ่ ุ้งซ่าน ชื่อว่าสมาธิ เพราะอรรถว่า ไม่หวนั่ ไหว เพราะความไมห่ วนั่ ไหว, ชื่อวา่ สมาธิ เพราะอรรถวา่ หลุดพน้ จากกิเลส เพราะพน้ จากกิเลสดว้ ยการข่มไว้ หรือดว้ ยการตดั เดด็ ขาด และเพราะนอ้ มไปในอารมณ์. เป็ นลกั ษณะ, เป็ นรส, เป็ นอาการปรากฏ และเป็ นปทฏั ฐานของสมาธิ ลกั ษณะ รส อาการปรากฏ ปทฏั ฐานของสมาธิ คือ ๑. ความไม่ซดั ส่ายในอารมณ์ต่างๆของจิตเป็ นลกั ษณะของสมาธิ ความไม่หวนั่ ไหวในอารมณ์เป็ น อาการปรากฏของสมาธิ ความสุขเป็ นปทฏั ฐานของสมาธิตามพระพุทธพจน์ว่า จิตของผูม้ ีความสุข ยอ่ มต้งั มน่ั ๒. ทุกขาปฏิปทาทนั ทาภิญญาสมาธิ คือสมาธิท่ีปฏิบตั ิลาบากและรู้ไดช้ า้ คือยากต่อการบรรลุ สมาธิน้นั แบ่งออกเป็ น ๓ ระดบั ๑. ขฌิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะ ซ่ึงบุคคลทวั่ ไปสามารถนามาใช้ประโยชน์ในการปฏิบตั ิ หน้าท่ี กิจการงานในชีวติ ประจาวนั ใหไ้ ดผ้ ลดี ๒. อุปจารสมาธิ สมาธิเฉียด ๆ หรือจวนจะแน่วแน่ ๓. อปั ปนาสมาธิ สมาธิท่ีแน่วแน่แนบสนิท เป็ นการเจริญสมาธิในข้นั ฌาน ถือเป็ น ความสาเร็จสูงสุด ของการเจริญสมาธิ ความเศร้าหมองของสมาธิ เหตุปัจจัยให้เศร้าหมองเพราะรูป เวทนา สัญญา สังข่าร วิญญาณเป็ นสุข สุขตามสนอง หยงั่ ลงสู่ ความสุขมิไดป้ ระกอบดว้ ยทุกขเ์ สมอไปสัตวจ์ ึงกาหนดั ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเพราะกาหนดั จึงถกู ประกอบเขา้ ไวเ้ พราะถูกประกอบ จึงเศร้าหมอง ความผ่องแผ้วของสมาธิ จิตที่เศร้าหมอง ยอ่ มทาใหผ้ อ่ งแผว้ ไดด้ ว้ ยความเพยี ร ดงั น้ี ๑. หมน่ั ระลึกถึงพระผูม้ ีพระภาคพระองคน์ ้นั เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมดว้ ยวิชชา และจรณะเสดจ็ ไปดีแลว้ ทรงรู้แจง้ โลก เป็นสารถีฝึกบรุ ุษท่ีควรฝึก ไมม่ ีผอู้ ื่นยงิ่ กวา่ เป็นศาสดาของเทวดา

๓ และมนุษยท์ ้งั หลาย ทรงเบิกบานแลว้ เป็ นผูจ้ าแนกธรรมเมื่อเธอหมน่ั นึกถึงพระตถาคตอยู่ จิตย่อมผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ๒. หมั่นระลึกถึงพระธรรมอันพระผูม้ ีพระภาคตรัสดีแล้ว อันบุคคลผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ ประกอบดว้ ยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรนอ้ มเขา้ มา อนั วิญญูพึงรู้เฉพาะตนเม่ือเธอหมนั่ นึกถึงธรรมอยู่ จิต ยอ่ มผอ่ งใส เกิดความปราโมทย์ ละเคร่ืองเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ๓. หมนั่ ระลึกถึงพระสงฆส์ าวกของพระผูม้ ีพระภาค เป็ นผูป้ ฏิบตั ิดีแลว้ เป็ นผูป้ ฏิบตั ิตรงแลว้ เป็ นผู้ ปฏิบตั ิเป็ นธรรม เป็ นผูป้ ฏิบตั ิสมควร น้ีคือคู่แห่งบุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ น้ีพระสงฆ์สาวกของพระผูม้ ีพระ ภาค เป็นผคู้ วรของคานบั เป็นผคู้ วรของตอ้ นรับ เป็นผคู้ วรของทาบุญ เป็นผคู้ วรทาอญั ชลี เป็นนาบุญของ โลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่าเมื่อเธอหมน่ั ระลึกถึงพระสงฆอ์ ยู่ จิตยอ่ มผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่อง เศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ๔. ย่อมระลึกถึงศีลอนั ไม่ขาดของตน ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็ นไทยแก่ตวั ท่านผูร้ ู้สรรเสริญ ไม่ ถูกตณั หา ทิฐิลูบคลา เป็ นไปเพื่อสมาธิเมื่อเธอหมนั่ ระลึกถึงศีลอยู่ จิตยอ่ มผ่องใส เกิดความปราโมทย์ ละ เครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ ๕. ยอ่ มระลึกถึงเทวดาวา่ เทวดาพวกช้นั จาตุมหาราชิกามีอยู่ เทวดาพวกช้นั ดาวดึงส์มีอยู่ เทวดาพวก ช้นั ยามามีอยู่ เทวดาพวกช้นั ดุสิตมีอยู่ เทวดาพวกช้นั นิมมานรดีมีอยู่ เทวดาพวกช้นั ปรินิมมิตวสวตั ตีมีอยู่ เทวดาพวกที่นบั เน่ืองเขา้ ในหมู่พรหมมีอยู่ เทวดาพวกท่ีสูงกว่าน้นั ข้ึนไปมีอยูเ่ ทวดาเหล่าน้นั ประกอบดว้ ย ศรัทธาเช่นใด จุติจากภพน้ีไปเกิดในภพน้ัน ศรัทธาเช่นน้ันแมข้ องเราก็มีเทวดาเหล่าน้นั ประกอบด้วยศีล เช่นใด จุติจากภพน้ีไปเกิดในภพน้นั ศีลเช่นน้นั แมข้ องเราก็มีเทวดาเหล่าน้ันประกอบดว้ ยสุตะเช่นใด จุติ จากภพน้ีไปเกิดในภพน้นั สุตะเช่นน้นั แมข้ องเราก็มีเทวดาเหล่าน้ันประกอบดว้ ยจาคะเช่นใด จุติจากภพน้ี ไปเกิดในภพน้นั จาคะเช่นน้นั แมข้ องเราก็มีเทวดาเหล่าน้นั ประกอบดว้ ยปัญญาเช่นใด จุติจากภพน้ีไปเกิด ในภพน้ัน ปัญญาเช่นน้นั แมข้ องเราก็มีเมื่อเธอระลึกถึงศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาของตนกบั ของ เทวดาเหล่าน้นั อยู่ จิตยอ่ มผอ่ งใส เกิดความปราโมทย์ ละเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตเสียได้ สมาธิน้ัน จะพงึ เจริญภาวนา เวลาภาวนาอย่าใจร้อน เวลาเราน่ังภาวนา รู้สึกตวั ข้ึนมา แลว้ คอยสังเกต ถนัดดูร่างกาย ก็สังเกต ร่างกาย ร่างกายมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวก็หายใจออก เดี๋ยวก็หายใจเขา้ เด๋ียวก็ยืน เดิน นัง่ นอน เฝ้ารู้เฝ้าดูไป เห็นร่างกายเป็นของไม่เท่ียง ไม่วา่ ร่างกายจะอยใู่ นสภาพอนั ไหน ก็อยไู่ ดช้ วั่ คราว ถกู บีบ ค้นั ให้เปล่ียนแปลงตลอดเวลา อยา่ งเราหายใจเขา้ เราก็หายใจเขา้ ไดช้ ว่ั คราว ความทุกขก์ ็บีบค้นั ให้เราตอ้ ง หายใจออก ถา้ มองอยา่ งน้ีได้ เรากจ็ ะเห็นร่างกายน้ีเป็นของถกู บีบค้นั เป็นทกุ ขห์ รือมองไปอีกอยา่ ง ร่างกาย

๔ เป็นแค่วตั ถุ มีธาตไุ หลเขา้ มีธาตุไหลออก หมุนเวยี นเปลี่ยนแปลงอยทู่ ้งั วนั ท้งั คืน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา เป็นแค่ วตั ถุ อย่างมีธาตุลมไหลเขา้ ทางจมูกเรา ธาตุลมก็ไหลออกไป มีธาตุน้า ธาตุดินไหลเขา้ มาทางปาก แลว้ ก็ ไหลออกไป เฝ้ารู้เฝ้าดู อย่างพอธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุลมเขา้ ไปในร่างกาย มนั ทางานได้ ก็เกิดพลงั งาน เกิด ความร้อน เห็นร่างกายเราน้ีคายความร้อนออกมาตลอดเวลา เหมือนเตา เหมือนเตาถ่าน เตาแก๊สอะไรก็ได้ ขา้ งในมนั ร้อน ความร้อนมนั ระบาย ดูไปๆ ไม่มีเราที่ไหน มีแต่ธาตุเวลาเรานง่ั ภาวนา ถา้ จิตใจเราสงบ มี เรี่ยวมีแรงพอแลว้ เราก็เจริญปัญญา ดูกายไดก้ ็ดูกายไป ถา้ ดูจิตไดใ้ หด้ ูจิต ดูจิตไม่ไดใ้ หด้ ูกาย ร่างกายมนั ไม่ หายไปไหน ดูง่าย ก็นงั่ อยู่น่ีล่ะ คอยรู้สึกลงไปในร่างกาย แต่จิตมนั ว่องไว มนั หนีเก่ง มนั ปรุงแต่งเก่ง สติ สมาธิเราไมพ่ อ มองจิตไมอ่ อก ก็ไปนง่ั เพ่งจิต บอกวา่ ดูจิตๆ การดูจิต ถา้ ใจเราสบายๆ ทากรรมฐานสกั อยา่ ง หน่ึง แลว้ คอยดูความเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนกบั จิตใจ จิตใจเด๋ียวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชว่ั เดี๋ยวก็ปรุงสุข เดี๋ยวก็ ปรุงทกุ ข์ เดี๋ยวก็ไปดูรูป เด๋ียวก็ไปฟังเสียง เดี๋ยวไปดมกลิ่น ลิม้ รส รู้สมั ผสั ทางกาย เด๋ียวกค็ ิดนึกทางใจ ดูจิต ดูใจก็ดูมนั ไปอยา่ งน้ี อานสิ งส์ของสมาธิภาวนา คือ การฝึกใจใหเ้ กิดสมาธิ โดยทาใจใหห้ ยดุ นิ่งอยภู่ ายในกลางกายน้ี มีอานิสงส์ท่ีสาคญั ๕ ประการ คือ ๑. ได้เข้าถึงความสุขที่แท้จริง พระสัมมาสัมพุทธเจา้ ตรัสว่า ”สุขอื่นจากความสงบย่อมไม่มี” สุด ยอดปรารถนาของมนุษยท์ ้งั หลาย คือ ความสุข สมาธิสามารถทาใหเ้ ราเขา้ ถึงความสุขที่แทจ้ ริง ซ่ึงเป็นยอด ปรารถนาของมนุษยท์ ุกคนไดไ้ ม่วา่ จะอยใู่ นอิริยาบถใดก็ตามสมาธิเป็ นจุดกลางเชื่อมโยงในอิริยาบถ หรือ กิจกรรมต่างๆ เม่ือหยดุ ใจเขา้ ไปอยกู่ บั เน้ือกบั ตวั ของเราในก่ึงกลางกายท่ียาววา หนาคืบ กวา้ งศอกของเรา แลว้ เราจะพบความอศั จรรย์ วา่ แหล่งกาเนิดแห่งความสุขท้งั มวลท่ีเราปรารถนาน้นั อยตู่ รงน้ีเอง และท่ีน่ียงั เป็นท่ีต้งั ที่แทจ้ ริงของใจอีกดว้ ย เมื่อเราไดพ้ บความสุขที่เราเฝ้าแสวงหาน้นั แลว้ เราจะเปรียบเทียบไดว้ า่ สิ่งท่ี เราเคยพบเจอมาน้นั มนั เป็นแค่เพยี งความสนุก หรือความเพลินเพยี งชวั่ คร้ังชว่ั คราว วบู วาบแลว้ ก็หายไปถา้ จะเป็นความสุข กเ็ ป็นไดเ้ พียงความสุขเลก็ ๆ นอ้ ยๆ เท่าน้นั เอง ไมใ่ ช่ความสุขอนั ยง่ิ ใหญ่หรือท่ีเราปรารถนา เราจะสังเกตได้ วา่ เราเบื่อง่าย ไม่วา่ จะไดข้ องถูกใจ คนถูกใจ หรืออะไรต่างๆ ท่ีถูกใจก็ตามจะถูกใจเพยี งชว่ั คร้ังช่ัวคราว ไม่นานก็เบื่อหน่าย จะแสวงหาของในอุดมคติหรือคนในอุดมคติที่จะทาให้เราไดเ้ ข้าถึง ความสุขที่แทจ้ ริง ถึงความเตม็ เป่ี ยมในชีวิตอยา่ งสมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นตน์ ้นั เป็ นเรื่องยาก เพราะฉะน้นั จะ สังเกตไดว้ ่าเมื่อเรายงั ไม่พบความสุขท่ีแทจ้ ริง ใจก็จะเปล่ียนแปลงไปเรื่อยๆ การเปล่ียนแปลงน้นั ก็คือการ แสวงหานน่ั เอง แสวงหาในสิ่งท่ีดีกว่า ประณีตกว่าประเสริฐกว่า จนกระทงั่ ถึงท่ีสุดแลว้ ไม่ตอ้ งแสวงหาอีก คือ การเขา้ ถึงความสุขที่แทจ้ ริงแต่เนื่องจากความรู้ของเรามีจากดั เม่ือเกิดมาในโลกแลว้ เห็นใครครอบครอง สิ่งใด ก็มกั จะคิดว่าสิ่ง น้นั เป็ นส่ิงที่ทาใหเ้ ขา้ ถึงความสุขที่แทจ้ ริงได้ เราจึงอยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่าง น้นั ท่มุ เทท้งั ชีวติ เพื่อแสวงหาอยา่ งน้นั โดยเขา้ ใจผิดวา่ สิ่งน้นั จะใหค้ วามสมบูรณ์แก่ชีวิต เม่ือพบแลว้ ไม่

๕ นานก็เบ่ือ พอเบื่อก็เปล่ียนแปลงแสวงหากนั ต่อๆไปส่ิงที่พบเจอน้นั ก็เป็ นความสุขเพียงนิดเดียวแต่มีทุกข์ มากตอ้ งคอยแกป้ ัญหาต่างๆนานาน้ีคือสัญญาณท่ีแสดงใหเ้ รารู้วา่ เรายงั ไม่พบของจริงแต่เม่ือเราทาภาวนา โดยการนาใจของเรากลบั เขา้ มาสู่ที่ต้งั ด้งั เดิมของใจ ซ่ึงเป็ นแหล่งกาเนิดแห่งความสุขที่แทจ้ ริงภายใน อยา่ ง ท่ีพระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนีไดส้ อนเอาไวว้ า่ ใหน้ าความเห็น ความจา ความคิด ความรู้ มารวมหยดุ เป็ นจุดเดียวท่ีกลางกายน้ีแหละ จึงจะพบความสุขที่แทจ้ ริงได้ เป็ นส่ิงที่ แตกต่างจากเดิม ซ่ึงใครก็ตามท่ี เขา้ ถึงก็จะรู้ไดด้ ว้ ยตวั ของตวั เอง ท่ีท่านเรียกวา่ เป็น ”ปัจจตั ตงั ” ๒. ได้ฌานสมาบัติ เมื่อทาภาวนาจนใจหยดุ น่ิงที่ศูนยก์ ลางกายอยา่ งน้ีไปเรื่อยๆ ไม่ชา้ ก็จะเขา้ ถึงฌาน สมาบตั ิ จะพบ กายต่างๆ ท่ีซ้อนอยู่ภายใน ไดแ้ ก่ กายที่เป็ นท่ีต้งั แห่งปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถ ฌาน ตามลาดับ จะมีอารมณ์เดียว คือ อารมณ์ที่เป็ นสุข น่ิงอยู่ภายในกายต่างๆ เรียกว่า ได้ฌานสมาบตั ิ อารมณ์ดี อารมณ์เดียว อารมณ์สบายน้ีเป็ นส่ิงที่หาไดย้ ากมากจะตอ้ งมีอย่ใู นผูท้ ี่มีใจหยุดน่ิงอย่างสมบูรณ์ แลว้ เท่าน้นั เม่ือทาไดเ้ ช่นน้ีจะมีอารณ์เดียว ไม่ซดั ส่าย ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน อุปมาเหมือนกบั ภูเขา ศิลาแท่งทึบ ลมพายพุ ดั มาทุกทิศทุกทางก็ไม่ทาให้หวน่ั ไหวไดเ้ พราะฉะน้ันอารมณ์ต่างๆที่ผ่านเขา้ มาจะ กระทบกระเทือนใหเ้ กิดความยนิ ดียนิ ร้ายอยา่ งไรก็ไม่ได้ ๓.ได้วิปัสสนา ไดว้ ิปัสสนา แปลว่า การเห็นแจง้ การเห็นอยา่ งวิเศษ การเห็นที่แตกต่างจากส่ิงที่เคย เห็น คือ ของท่ีอยู่ในที่ลึก มืดๆ มวั ๆ สลวั ๆ สามารถดึงออกมาสู่ที่แจง้ ไดห้ มด ความไม่รู้จริงอนั ใดท้งั ใน อดีต ปัจจุบนั อนาคต เร่ืองราวเกี่ยวกบั ชีวิตของตวั เรา ต้งั แต่ตวั เราคือใคร ประกอบดว้ ยอะไร มาจากไหน มาทาไม อะไรคือ เป้าหมายของชีวิต และได้บรรลุเป้าหมายของชีวิตน้ันแล้ว การเห็นอย่างน้ีเรียกว่า \"วิปัสสนา\" วิปัสสนาจะเกิดข้ึนไดเ้ ม่ือใจหยดุ จนกระทงั่ เขา้ ถึงกายธรรม คือ ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ จะมีความเห็นไปตามความเป็นจริงดว้ ยธรรมจกั ขขุ องธรรมกาย มีความรู้ไปตามความเป็นจริงดว้ ยญาณทสั สนะของธรรมกายจะมีความรู้และความเห็นอยา่ งน้ีเป็นปกติ คือ สิ่งใดท่ีไมเ่ ที่ยงกเ็ ห็นวา่ ไมเ่ ที่ยง ส่ิงใดเท่ียง ก็เห็นว่าเท่ียง สิ่งใดเป็นสุขก็เห็นวา่ เป็ นสุข สิ่งใดเป็ นทุกขก์ ็เห็นวา่ เป็ นทุกขเ์ ห็นตลอดหมดไม่ใช่ เห็นคร่ึงๆ กลางๆ เพราะความรู้น้นั สมบูรณ์แลว้ ๔. ได้นิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบตั ิจะบงั เกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งสมบูรณ์เม่ือใจร่อนจากกิเลสอาสวะท้งั มวล กิเลสท้งั 3 ตระกูล ไดแ้ ก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะหลุดร่อนไปหมด สังโยชน์เบ้ืองต่า และเบ้ือง สูงจะหลุดหมด ใจใส กระจ่างสว่างเต็มเปี่ ยม ใจไม่มีอะไรเหน่ียวร้ังเลยนิโรธ แปลวา่ หยดุ เป็ นการหยดุ ท่ี แตกตา่ งจากทางโลก คือ หยดุ แลว้ ไป หยดุ แลว้ เคลื่อนเขา้ ไปสู่ภายในไปสู่แหล่งแห่งบรมสุขยงิ่ ๆ ข้ึนไป

๖ ขอบข่ายของธรรมจกั ขุ และญาณทสั สนะก็จะขยายกวา้ งออกไปอีก ความรู้และความเห็นก็จะขยายกวา้ ง ยง่ิ ข้ึนกวา่ เดิม ๕. ไดภ้ พอนั วิเศษ คือ อายตนนิพพาน ไดภ้ พอนั วิเศษ คือ อายตนนิพพาน อายตนนิพพานเป็ นภพที่ วเิ ศษยง่ิ ไปกวา่ ภพท้งั ปวง ไมม่ ีการเวียนวา่ ยตายเกิด มีแต่ผรู้ ู้ ผตู้ ่ืน ผเู้ บิกบานแลว้ ผหู้ ลุดพน้ จากกิเลสอาสวะ ที่ครอบงาท้งั ปวง มีแต่ความบริสุทธ์ิลว้ นๆ ๒. ปลโิ พธ ๑๐ อย่าง ปลิโพธ แปลว่า ความกงั วล เป็ นสิ่งผูกพนั หน่วงเหนี่ยวใจให้พะวกั พะวน ไม่ปลอดโปร่ง ในคมั ภีร์วิ สุทธิมรรคแสดง มหาปลิโพธ (ความกงั วลใหญ)่ ไว้ ๑๐ อยา่ ง คือ ๑. อาวาส หมายถึง ที่อยู่ วดั วาอาราม ส่ิงของเครื่องใชใ้ นอาวาส และการงานที่เก่ียวเนื่อง ๒. กุละ หมายถึง ตระกูล หรือบคุ คลท่ีสนิทสนมคุน้ เคยกนั มาก ๓. ลาภ หมายถึง ส่ิงของที่โยมถวายดว้ ยใจท่ีเล่ือมใส หรือส่ิงของท่ีไดม้ า ๔. คณะ หมายถึง มีคณะศิษยท์ ี่ตอ้ งสอน ยงุ่ อยกู่ บั งานสอนและแกค้ วามสงสยั ของเขา ๕. กรรม หมายถึง การงาน โดยเฉพาะการก่อสร้าง ๖. อทั ธานะ หมายถึง การเดินทางไกล เพราะมีกิจธุระ ๗. ญาติ หมายถึง ญาติทางบา้ น หรือญาติทางวดั คือ พระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ ลูกศิษย์ ๘. อาพาธ หมายถึง ตนเองป่ วยไข้ ๙. คนั ถะ หมายถึง ปริยตั ิ หรือสิ่งที่เลา่ เรียน ๑๐.อิทธิ หมายถึง ฤทธ์ิของปถุ ชุ น ปลโิ พธ ๑๐ ประการน้นั มอี รรถาธิบายตามลาดบั ดงั นี้ ๑. อธิบายอาวาสปลโิ พธ หอ้ งเล็ก ๆ แมเ้ พียงห้องเดียว บริเวณแมเ้ พียงแห่งเดียว หรือแมท้ ว่ั ท้งั สังฆารามเรียกวา่ ท่ีอยู่ ท่ีอยนู่ ้ีน้นั หาไดเ้ ป็นเครื่องกงั วลแก่ภิกษุไปเสียหมดทุกรูปไม่ หากแต่ภิกษใุ ดกาลงั ขวนขวายอยใู่ นการก่อสร้างเป็ นตน้ ในวดั น้ัน หรือเป็ นผูส้ ะสมส่ิงของไวม้ ากในวดั น้นั หรือเป็ นผูม้ ีความห่วงใยมีจิตผกู พนั อยู่ดว้ ยเหตุอยา่ งใด อยา่ งหน่ึงในวดั น้นั ท่ีอยยู่ อ่ มเป็นเครื่องกงั วลเฉพาะแก่ภิกษุน้นั หาเป็นเคร่ืองกงั วลแก่ภิกษุอ่ืนนอกน้ีกห็ าไม่ ในประการท่ีท่ีอยไู่ มเ่ ป็นเครื่องกงั วลแก่ภิกษุน้ีน้นั มีเร่ืองตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี

๗ เรื่องภกิ ษุ ๒ รูป ไดย้ ินว่า มีกุลบุตรอยู่ ๒ คน ไดพ้ ากนั ออกจากเมืองอนุราธปุระไปโดยลาดบั แลว้ พากนั ไปบวชอยู่ ณ วดั ถูปาราม ในภิกษุ ๒ รูปน้นั รูปหน่ึงท่องมาติกาท้งั ๒ ไดอ้ ยา่ งคล่องแคล่ว คร้ันพรรษาครบ ๕ ปวารณา ออกพรรษาแลว้ ไปอยู่ ณ วดั ป่ าชื่อปาจีนขณั ฑราชี (อยู่ที่ราวป่ าระหว่างหุบเขาดา้ นทิศตะวนั ออก) อีกรูป หน่ึงอยทู่ ่ีวดั ถูปารามนน่ั เอง ภิกษุรูปที่อยวู่ ดั ป่ าปาจีนขณั ฑราชีน้นั อยู่ ณ ท่ีน้นั นานจนเป็ นพระเถระ จึงคิด ข้ึนมาไดว้ า่ “สถานที่น้ีเหมาะสาหรับท่ีจะหลีกเร้นอยู่ ถา้ กระไร เราจะบอกสถานท่ีน้ีแก่พระสหายดว้ ย” เธอ ไดอ้ อกจากวดั ป่ าปาจีนขณั ฑราชีน้ัน ไดไ้ ปถึงวดั ถูปารามโดยลาดบั ส่วนพระเถระผูบ้ วชร่วมพรรษากนั คร้ันไดเ้ ห็นพระเถระอาคนั ตุกะกาลงั เดินเขา้ มา จึงรีบลุกข้ึนไปทาการปฏิสนั ถาร ช่วยรับบาตรและจีวรทาอา คนั ตุกวตั รดว้ ยอธั ยาศยั ไมตรีอนั ดี พระเถระผอู้ าคนั ตุกะ คร้ันเขา้ ไปพกั อยใู่ นเสนาสนะแลว้ จึงคิดในใจว่า “บดั น้ีพระสหายของเราคงจกั ส่งเนยใส, น้าออ้ ยหรือเครื่องด่ืมมาให้เป็ นแน่เพราะเขาอยู่ในเมืองน้ีมานาน แลว้ ” เม่ือพระอาคนั ตุกเถระไม่ไดอ้ ะไรในตอนกลางคืนตามท่ีคิด ตกมาถึงตอนเชา้ จึงคิดอีกวา่ “บดั น้ีพระ สหายของเราคงจกั ส่งขา้ วตม้ และของเค้ียวท่ีไดร้ ับจากอปุ ัฏฐากท้งั หลายมาให”้ แตแ่ ลว้ ก็มิไดเ้ ห็นส่ิงของน้นั จึงคิดวา่ “ชะรอยจะไม่มีคนมาส่ง เขาคงจกั ถวายแก่ภิกษุผเู้ ขา้ ไป รับเองกระมงั ” จึงไดเ้ ขา้ ไปในบา้ นพร้อม กบั พระสหายน้นั แตเ่ ชา้ ท่ีเดียว พระเถระท้งั ๒ น้นั พากนั ไปบิณฑบาตที่ถนนสายหน่ึงไดข้ า้ วตม้ ประมาณหน่ึงกระบวย แลว้ พากนั ไป นงั่ ด่ืมขา้ วตม้ อยทู่ ่ีโรงฉัน ขณะน้นั พระอาคนั ตุกเถระคิดว่า “ชะรอยขา้ วตม้ ที่เขาถวายประจาจะไม่มี บดั น้ี มนุษยท์ ้งั หลายคงจกั ถวายขา้ วสวยอยา่ งประณีตในเวลาอาหาร” แต่แลว้ ก็ผิดหวงั แมใ้ นเวลาอาหารพระอา คนั ตุกเถระ ก็ฉันอาหารที่ไปบิณฑบาตไดม้ าเท่าน้ัน จึงถามพระเถระผูส้ หายว่า “สหาย คุณเล้ียงชีวิตมา ตลอดกาลดว้ ยทานองน้ีหรือ ?” พระเถระเจา้ ถิ่นตอบว่า “ใช่แลว้ สหาย” พระอาคนั ตุกเถระจึงพดู ชกั ชวนวา่ “สหาย วดั ป่ าปาจีนขณั ฑราชีผาสุกสบายมากเรามาไปกนั ท่ีโน้นเถอะ” พระเถระเจา้ ถิ่นออกจากเมืองทาง ประตูดา้ นทิศทกั ษิณ ตรงไปตามทางท่ีจะไปยงั บา้ นนายช่างหมอ้ ฝ่ ายพระอาคนั ตุกเถระจึงถามว่า “สหาย คุณไปทางน้ีทาไม” พระเถระเจา้ ถิ่นตอบว่า “ก็คุณไดก้ ล่าวสรรเสริญวดั ป่ าปาจีนขณั ฑราชีนักมิใช่หรือ ?” พระอาคนั ตุกเถระยอ้ นถามว่า “จริงละสหาย แต่ว่าบริขารที่เหลือเฟื อของคุณในที่ท่ีคุณอยมู่ านานถึงเพียงน้ี ไม่มีอะไรบา้ งดอกหรือ” พระเถระเจา้ ถ่ินตอบวา่ “มีซิคุณ คือเตียงต้งั อนั เป็นสมบตั ิของสงฆ์ แตข่ องน้นั ผมก็ ไดเ้ กบ็ งาเรียบร้อยแลว้ ส่ิงอ่ืนไม่มีอะไร” พระอาคนั ตกุ เถระพูดวา่ “สหายไมเ้ ทา้ ทะนานน้ามนั รองเทา้ และ ถุงยา่ มของผมยงั อยทู่ ่ีวดั โนน้ ” พระเถระเจา้ ถิ่นถามข้ึนอยา่ งแปลกใจวา่ “เออ ! คุณมาอยเู่ พียงวนั เดียวยงั เก็บ สิ่งของไวไ้ ดถ้ ึงเทา่ น้ีหรือ ?” ส่วนพระอาคนั ตกุ เถระตอบตามตรงวา่ “ใช่แลว้ คุณ” ดงั น้ีแลว้ เกิดมีจิตเลื่อมใส ในพระเถระเจ้าถ่ินมาก จึงไหวพ้ ระเถระพลางกล่าวสรรเสริญว่า “สหาย พระอย่างคุณน้ีย่อมมีท่ีอยู่ เหมือนกบั วดั ป่ าในท่ีทว่ั ไป วดั ถปู ารามเป็นสถานท่ีบรรจุพระบรมธาตุของพระพุทธเจา้ ท้งั ๔ พระองค์ คุณ

๘ ยอ่ มไดก้ ารฟังธรรมอนั เป็ นที่สัปปายะท่ีโลหปราสาท ไดเ้ ห็นพระมหาเจดียแ์ ละไดเ้ ห็นพระเถระกาลน้ียอ่ ม เป็นไปอยเู่ หมือนกบั สมยั พุทธกาลขอใหค้ ุณจงอยู่ ณ ท่ีวดั ถูปารามน้ีแหละ” คร้ันแลว้ พอถึงวนั ที่ ๒ พระอา คนั ตุกเถระถือเอาบาตรและจีวรกลบั ไปยงั วดั ป่ าปาจีนขณั ฑราชแต่ลาพงั ตนผูเ้ ดียว ฉะน้ี ที่อยยู่ ่อมไม่เป็ น เคร่ืองกงั วลสาหรับภิกษผุ มู้ ีจิตไมต่ ิดขอ้ งเช่นน้ี เหมือนอยา่ งพระเถระน้ี ดว้ ยประการฉะน้ี ๒. อธิบายกลุ ปลโิ พธ คาวา่ ตระกลู หมายเอาตระกูลญาติหรือตระกูลอุปัฏฐาก ก็แหละ แมต้ ระกูลอปุ ัฏฐากยอ่ มเป็นเคร่ืองกงั วลแก่ ภิกษุบางรูปซ่ึงชอบอยอู่ ยา่ งคลุกคลีโดยนัยมีอาทิวา่ เม่ือตระกูลอุปัฏฐากมีความสุข ภิกษุก็พลอยมีความสุข ดว้ ย ภิกษุผูช้ อบอย่อู ย่างคลุกคลีน้ัน เมื่อเวน้ จากญาติโยมในตระกูลแลว้ แมเ้ พียงวดั ใกล้ ๆ ก็ไม่ยอมไปฟัง ธรรม แต่ภิกษุบางรูปแมม้ ารดาบิดาก็ไม่เป็ นเครื่องกงั วล ตวั อยา่ งเช่น ภิกษุหนุ่มหลานของพระเถระผูอ้ ยู่ที่ วดั โกรัณฑกวิหาร เรื่องภกิ ษหุ นุ่ม ไดย้ นิ วา่ ภิกษุหนุ่มรูปน้นั ไดไ้ ปยงั โรหณชนบทเพื่อประสงคจ์ ะเรียนพระบาลี ฝ่ายอุบาสิกาผเู้ ป็นพ่ีสาว ของพระเถระซ่ึงเป็นมารดาของเธอ มกั เรียนถามพระเถระถึงความเป็ นไปของเธออยเู่ สมอนบั แต่เวลาท่ีเธอ ไดจ้ ากไป พระเถระจึงคิดอยวู่ า่ จกั ไปพาเอาภิกษุหนุ่มมาสักวนั หน่ึง แลว้ กไ็ ดม้ ุง่ หนา้ ไปสู่โรหณชนบท ฝ่าย ภิกษหุ นุ่มก็บงั เอิญคิดข้ึนวา่ “เรา อยู่ ณ ที่น้ีมานานแลว้ บดั น้ีเราจกั ไปกราบเยยี่ มพระอปุ ัชฌายแ์ ละทราบข่าว คราวของโยมอุบาสิกาแลว้ จึงจกั กลบั มา” แลว้ ก็ออกเดินทางจากโรหณชนบท พอดีพระเถระหลวงลุงกบั พระหนุ่มหลานชายท้งั สองไดม้ าพบกนั เขา้ ตรงท่ีฝั่งแม่น้า พระหนุ่มหลานชายไดท้ าอุปัชฌายวตั รแก่พระ เถระหลวงลุง ณ โคนไมแ้ ห่งใดแห่งหน่ึง พระเถระถามว่า “คุณจะไปไหน ?” เธอจึงกราบเรียนความ ประสงคถ์ วายพระเถระใหท้ ราบทุกประการ พระเถระพูดกบั พระหลานชายว่า “คุณทาถูกแลว้ แมอ้ ุบาสิกา โยมของคุณก็ถามถึงคุณอยูเ่ สมอ ๆ แมฉ้ ันเองก็มาเพื่อประสงคเ์ ช่นน้ีเหมือนกนั นิมนตค์ ุณไปเถิด ส่วนฉนั พรรษาน้ีจะจาพรรษา ณ วดั ใดวดั หน่ึงในตาบลน้ี” แลว้ ก็อนุญาตใหภ้ ิกษุหนุ่มน้นั ไป ภิกษุหนุ่มไดไ้ ปถึงวดั โกรัณฑกวหิ ารในวนั เขา้ พรรษาพอดี และบงั เอิญเสนาสนะท่ีโยมบิดาใหส้ ร้างข้ึน ไวน้ นั่ แลถึงแก่เธอแลว้ ถดั มาในวนั ท่ีสอง โยมบิดาของภิกษุหนุ่มน้นั ไดม้ าถามสงฆว์ า่ “ท่านครับ เสนาสนะ ของพวกกระผมไดแ้ ก่ภิกษุอะไร ?” คร้ันทราบวา่ ไดแ้ ก่ภิกษหุ นุ่มผอู้ าคนั ตกุ ะจึงเขา้ ไปพบภิกษุน้นั นมสั การ แลว้ เรียนปฏิบตั ิว่า “คุณครับ สาหรับภิกษุผูท้ ่ีอยจู่ าพรรษาในเสนาสนะของพวกกระผมยอ่ มมีธรรมเนียมท่ี จะตอ้ งปฏิบตั ิอยูอ่ ย่างหน่ึง” ภิกษุหนุ่มถามว่า “ธรรมเนียมท่ีจะตอ้ งปฏิบตั ิน้ันอยา่ งไร อุบาสก” โยมบิดา เรียนว่า “ภิกษุท่ีอยจู่ าพรรษาในเสนาสนะของพวกกระผมน้นั ตอ้ งไปรับบิณฑบาตที่เรือนของพวกกระผม นนั่ เทียวตลอดไตรมาสสามเดือนและเม่ือออกปวารณาออกพรรษาแลว้ เวลาจะไปตอ้ งบอกลา” ภิกษหุ นุ่ม

๙ รับปฏิบตั ิตามดว้ ยอาการท่ีนิ่งเฉย ฝ่ ายอุบาสกกลบั ไปถึงเรือนแลว้ ไดแ้ นะนาแก่ภริยาว่า “พระผูเ้ ป็ นเจ้า อาคนั ตกุ ะรูปหน่ึงไดเ้ ขา้ จาพรรษาอยใู่ นเสนาสนะของเรา เราจะตอ้ งอุปัฏฐากพระผเู้ ป็นเจา้ โดยความเคารพ” อบุ าสิการับคาวา่ สาธุ แลว้ ก็ไดร้ ับหนา้ ที่ทาของควรเค้ียวของควรบริโภคลว้ นแตอ่ ยา่ งประณีต แมภ้ ิกษหุ นุ่ม ก็ไดไ้ ปฉันท่ีเรือนของโยมในเวลาภตั ตาหารแต่ไม่มีใครจาเธอไดเ้ ลย ภิกษุหนุ่มไดไ้ ปฉันบิณฑบาตที่เรือน ของโยมน้นั ครบไตรมาสตามสัญญา คร้ันออกพรรษาแลว้ จึงบอกลาวา่ “อาตมาจะลาไปละ อบุ าสกอบุ าสิกา ท้งั หลาย” ขณะน้นั หมู่ญาติของเธอไดข้ อร้องว่า “ท่านครับ พรุ่งน้ีจึงค่อยไปเถิด” ในวนั ที่สองไดน้ ิมนตเ์ ธอ ใหฉ้ นั ณ ท่ีเรือนนนั่ เทียว คร้ันแลว้ ไดบ้ รรจุน้ามนั ใส่ใหเ้ ตม็ ขวด ถวายน้าออ้ ยงบหน่ึง และถวายผา้ ยาว ๙ คืบ เสร็จแลว้ จึงเรียนว่า “นิมนตพ์ ระผูเ้ ป็ นเจา้ ไปเถิดขอรับ” ภิกษุหนุ่มทาการอนุโมทนาทาน แลว้ ก็ไดม้ ุ่งหนา้ ไปสู่โรหณชนบทต่อไป ฝ่ ายพระอุปัชฌายข์ องเธอ ปวารณาออกพรรษาแลว้ ก็ไดเ้ ดินสวนทางมาบงั เอิญได้ พบกบั พระภิกษุหนุ่มน้นั ณ ที่ท่ีไดพ้ บกนั คร้ังก่อนน้นั พอดี ภิกษุหนุ่มไดท้ าอุปัชฌายวตั รแด่พระเถระ ณ ที่ โคนไมแ้ ห่งใดแห่งหน่ึง ทนั ใดน้นั พระเถระไดถ้ ามเธอว่า “พ่อหนา้ งาม คุณไดพ้ บโยมอุบาสิกาแลว้ หรือ” ภิกษุหนุ่มกราบเรียนว่า “ขอรับผม กระผมไดพ้ บแลว้ ” คร้ันไดก้ ราบเรียนความเป็ นไปถวายพระเถระให้ ทราบทุกประการแลว้ ไดเ้ อาน้ามนั น้นั มาทาเทา้ ถวายพระเถระ ทาน้าปานะดว้ ยน้าออ้ ยงบถวาย แลว้ ถวายผา้ สาฏกผืนน้นั แก่พระเถระ แลว้ เรียนวา่ “ทา่ นขอรับโรหณชนบทเทา่ น้นั เป็ นที่สัปปายะสาหรับกระผม” ฉะน้ี แลว้ จึงไดก้ ราบลาไป ฝ่ายพระเถระคร้ันมาถึงวดั โกรัณฑกวิหารแลว้ ในวนั ที่สองก็ไดเ้ ขา้ ไปบิณฑบาตที่บา้ น โกรัณฑกะ ฝ่ ายอุบาสิกา ไดย้ ืนคอยดูทางอยู่เสมอดว้ ยคิดว่า “พระเถระน้องชายของเราคงจะพาบุตรของเรามา เดี๋ยวน้ี” คร้ันไดเ้ ห็นพระเถระมาแต่รูปเดียวเท่าน้นั ก็สาคญั ไปวา่ “บุตรของเราชะรอยจะถึงแก่มรณภาพเสีย แลว้ พระเถระน้ีจึงไดม้ าแต่ลาพงั รูปเดียว” แลว้ จึงไดร้ ้องไหร้ าพนั ต่าง ๆ ลม้ ฟุบลงที่แทบเทา้ ของพระเถระ พระเถระรู้ทนั ว่า “พระหนุ่มไม่ยอมแสดงตนให้ใคร ๆ ทราบแลว้ หลบไปเสีย เพราะเป็ นผูม้ ีความมกั นอ้ ย แน่นอน” จึงปลอบโยนอุบาสิกาพ่ีสาวใหเ้ บาใจ แลว้ เล่าเร่ืองความเป็ นไปให้ทราบหมดทุกอยา่ ง พลางลว้ ง เอาผา้ สาฎกผืนที่ภิกษุหนุ่มถวายน้นั ออกจากถลกบาตรแสดงให้ดูเป็ นพยาน อุบาสิกาเกิดความเลื่อมใสใน บุตร ผินหน้าไปทางทิศท่ีบุตรอยู่แลว้ นอนพงั พาบลงนมสั การ*พลางกล่าวสรรเสริญว่า “พระผูม้ ีพระภาค ชะรอยจะทรงทาภิกษผุ มู้ ีปฏิปทาเหมือนบุตรของเราน้ีเองให้เป็นพยานทางกาย แลว้ จึงไดท้ รงแสดงปฏิปทา ในรถวินีตสูตร ปฏิปทาในนาลกสูตร, ปฏิปทาในตุวฏั ฏกสูตร และมหาอริยวงั สปฏิปทา อนั ประกาศถึง ความสนั โดษในปัจจยั ๔ และความเป็นผยู้ นิ ดีในการเจริญภาวนา บตุ รของเราแมม้ าฉนั ในเรือนของมารดาผู้ บงั เกิดเกลา้ แท้ ๆ ถึงสามเดือน ไม่ปริปากพูดเลยวา่ อาตมาเป็ นบุตร, ท่านเป็ นมารดา บุตรของเราเป็ นมนุษย์ น่าอศั จรรยจ์ ริง ๆ ฉะน้ี”

๑๐ ภิกษุผูม้ ีปฏิปทาเห็นปานฉะน้ี ไม่ตอ้ งกล่าวถึงตระกูลอุปัฏฐากอ่ืนละท่ีจะมาเป็ นเคร่ืองกงั วล แมแ้ ต่ มารดาบิดาก็ไมต่ อ้ งเป็นเคร่ืองกงั วลเสียแลว้ ดว้ ยประการฉะน้ี ๓. อธิบายลาภปลโิ พธ คาวา่ ลาภ หมายเอาปัจจยั ๔ ปัจจยั ๔ เหล่าน้นั เป็ นเคร่ืองกงั วลอยา่ งไร ? ธรรมดาภิกษุผมู้ ีบุญไป ณ ท่ีไหน ๆ ยอ่ มมีพวกมนุษยพ์ ากนั ถวายปัจจยั ซ่ึงมีเคร่ืองบริวารเป็นอนั มาก ภิกษผุ มู้ ีบญุ เช่นน้นั มวั แต่อนุโมทนแสดง ธรรมโปรดมนุษย์เหล่าน้ัน ย่อมไม่ได้โอกาสเพ่ือที่จะบาเพ็ญสมณธรรม ต้งั แต่รุ่งอรุณจนถึงปฐมยาม (๐๖.๐๐ น. ถึง ๒๒.๐๐ น.) ไม่ขาดจากการเกี่ยวขอ้ งกับมนุษยเ์ ลย พอถึงเช้าวนั ใหม่พวกภิกษุผูถ้ ือการ บิณฑบาตท่ีมกั มากดว้ ยปัจจยั มาเรียนอีกแลว้ ว่า “ท่านขอรับอุบาสกคนโนน้ อุบาสิกาคนโน้น อามาตยค์ น โน้น ธิดาของอามาตยค์ นโน้น มีความประสงคท์ ี่จะไดเ้ ห็นท่าน” ภิกษุผูม้ ีบุญน้นั พูดว่า “นี่แน่คุณ ช่วยรับ บาตรและจีวรไวด้ ว้ ย” แลว้ ก็ตระเตรียมที่จะไปอีก ฉะน้นั จึงเป็ นผูข้ วนขวายในอนั ที่จะอนุเคราะห์อุบาสก อบุ าสิกาเป็ นตน้ ตลอดกาลเป็นนิจ ปัจจยั เหล่าน้นั ยอ่ มเป็ นเคร่ืองกงั วลแก่ภิกษผุ มู้ ีบุญน้นั อยา่ งน้ี ภิกษผุ มู้ ีบุญ พึงปลีกตนจากหมู่แลว้ ไปอยตู่ ามลาพงั ผูเ้ ดียว ณ ท่ีท่ีคนท้งั หลายไม่รู้จกั จึงจกั เป็ นอนั ตดั เครื่องกงั วลน้นั ได้ ดว้ ยประการฉะน้ี ๔. อธิบายคณปลโิ พธ คาว่า คณะไดแ้ ก่คณะท่ีศึกษาพระสูตรหรือคณะท่ีศึกษาพระอภิธรรมภิกษุใดมวั แต่สาละวนสอนพระบาลี หรืออรรถกถาอยแู่ ก่คณะน้นั ยอ่ มไม่ไดโ้ อกาสเพอ่ื จะบาเพญ็ สมณธรรม คณะจึงนบั เป็นเคร่ืองกงั วลแก่ภิกษุ น้นั จึงตดั เคร่ืองกงั วลน้นั เสียดงั น้ี ถา้ คมั ภีร์ภิกษุเหล่าน้นั เรียนไปไดแ้ ลว้ เป็ นส่วนมาก ท่ียงั เหลือเล็กนอ้ ย ก็ พึงสอนคมั ภีร์น้นั ใหจ้ บเสียก่อนแลว้ จึงเขา้ ป่ าบาเพญ็ สมณธรรม แต่ถา้ ท่ีเรียนไปแลว้ เพยี งเลก็ นอ้ ยท่ีเหลืออยู่ มาก พึงเขา้ ไปหาอาจารยผ์ สู้ อนคณะรูปอ่ืนภายในกาหนดโยชน์หน่ึง อยา่ ไปเกินกวา่ โยชน์หน่ึง แลว้ ขอร้อง วา่ “ขอท่านไดก้ รุณาสงเคราะห์ภิกษุนกั ศึกษาเหล่าน้ีดว้ ยพระบาลีเป็ นตน้ ดว้ ยเถิด” เม่ือไม่สามารถจะทาได้ อย่างน้ี พึงพูดว่า “เธอท้งั หลาย ฉันมีกิจอย่างหน่ึงอยู่ ขอให้พวกเธอจงพากนั ไปสู่ที่อนั ผาสุกตามสะดวก เถิด” ดงั น้ี แลว้ จึงปลีกตนจากคณะไปบาเพญ็ สมณธรรมส่วนตนตอ่ ไป ๕. อธิบายกมั มปลโิ พธ คาว่า กมั มะ หมายเอานวกรรมคือการก่อสร้าง ธรรมดาภิกษุผทู้ าการก่อสร้างน้นั จาตอ้ งทราบวา่ สิ่งใดที่นาย ช่างเป็ นตน้ ไดท้ า ส่ิงใดที่ยงั ไม่ไดท้ า จาตอ้ งพยายามขวนขวายในงานส่วนท่ีทาเสร็จแลว้ และที่ยงั ไม่เสร็จ ดงั น้นั นวกรรมจึงเป็นเคร่ืองกงั วลแก่ภิกษุผนู้ วกมั มิกน้นั ตลอดไป แมภ้ ิกษุผนู้ วกมั มิกน้นั จึงตดั เครื่องกงั วล ดงั น้ี คือ ถา้ นวกรรมน้ันยงั เหลือนอ้ ย จึงทาเสียให้เสร็จ ถา้ ยงั เหลืออย่มู ากหากเป็ นนวกรรมของสงฆ์ ก็จง มอบหมายใหแ้ ก่สงฆ์ หรือแก่ภิกษทุ ้งั หลายผมู้ ีหนา้ ท่ีรับภาระแทนสงฆ์ ถา้ เป็นของของตนก็จงมอบใหแ้ ก่

๑๑ ภิกษุท้งั หลายผรู้ ับภาระของตน เม่ือไม่ได้ ภิกษุเช่นน้นั ก็จงตดั ใจสละแก่สงฆ์ แลว้ จึงไปบาเพญ็ สมณธรรม เถิด ๖. อธิบายอทั ธานปลโิ พธ คาว่า อทั ธานะ ไดแ้ ก่การเดินทาง จริงอยู่ ภิกษุใดมีเด็ก ๆ ที่จะบรรพชาอยู่ในที่บางแห่งก็ดี มีปัจจยั ลาภ บางอยา่ งท่ีควรจะไดก้ ็ดี ถา้ เม่ือภิกษุน้นั ไม่ไดท้ ากิจน้นั ให้สาเร็จหรือยงั ไม่ไดป้ ัจจยั ลาภน้นั มา ก็ไม่สามารถ ท่ีจะทาจิตให้หยดุ คิดได้ แมถ้ ึงจะหลบเขา้ ป่ าไปบาเพญ็ สมณธรรมอยกู่ ็ตาม จิตคิดท่ีจะไปเพ่ือทากิจน้นั เป็ น สิ่งท่ีจะบรรเทาโดยยาก เพราะฉะน้นั จึงไปทากิจน้นั ให้สาเร็จเสร็จส้ินก่อน แลว้ จึงพยายามขวนขวายในอนั ท่ีจะบาเพ็ญสมณธรรมต่อไป ไดย้ ินว่า งานบรรพชาเด็ก ๆ* ในตระกูลที่ประเทศลงั กา เป็ นเช่นกบั งานอา วาหมงคลและวิวาหมงคล เพราะฉะน้ัน จึงไม่สามารถที่จะเลื่อนวนั ที่กาหนดไวแ้ ลว้ น้ันได้ จึงตดั เคร่ือง กงั วลดว้ ยการช่วยสงเคราะหท์ ากิจน้นั ใหเ้ สร็จสิ้นไป ๗. อธิบายญาติปลโิ พธ คาวา่ ญาติ ไดแ้ ก่บคุ คลมีอาทิอยา่ งน้ีคือ ญาติในวดั ไดแ้ ก่ พระอาจารย,์ พระอปุ ัชฌาย,์ สัทธิวหิ าริก, อนั เตวา สิก และภิกษุผูร้ ่วมอุปัชฌายร์ ่วมอาจารยก์ นั ญาติในบา้ น ไดแ้ ก่โยมมารดา, โยมบิดา และพ่ีชายน้องชาย พี่สาวนอ้ งสาว ญาติเหล่าน้นั ท่ีเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วย ยอ่ มเป็ นเครื่องกงั วลแก่ภิกษุน้ี เพราะฉะน้นั จึงตดั เครื่องกงั วล น้ันดว้ ยการปฏิบตั ิบารุงทาญาติเหล่าน้ันให้หายเป็ นปกติ ในบรรดาญาติเหล่าน้ัน สาหรับพระอุปัชฌาย์ อาพาธ ถา้ ท่านเป็นโรคชนิดท่ีไม่หายเร็ว สัทธิวิหาริกพึงอยปู่ รนนิบตั ิท่านแมถ้ ึงตลอดชีวิต บรรพชาจารย,์ อุปสัมปทาจารย,์ สัทธิวิหาริก, อนั เตวาสิกผูท้ ่ีตนเป็ นกรรมวาจาอุปสมบทและบรรพชาให้ และภิกษุผูร้ ่วม พระอปุ ัชฌายก์ นั ก็พึงปฏิบตั ิตลอดชีวติ เช่นกนั ส่วนนิสสยาจารย,์ อทุ เทสาจารย,์ นิสสยนั เตวาสิก, อทุ เทสัน เตวาสิก และภิกษุผรู้ ่วมอาจารยก์ นั จึงอยปู่ รนนิบตั ิตลอดเวลาที่นิสัยยงั ไม่ขาดและอุทเทศคือการเรียนพระ บาลียงั ไม่เสร็จสิ้น แตส่ าหรับผมู้ ีความปรารถนาอยู่ แมจ้ ะพ่งึ อยปู่ รนนิบตั ิใหเ้ ลยกวา่ น้นั ไป ก็ไดเ้ หมือนกนั ในโยมหญิงโยมชาย พ่ึงอยู่ปรนนิบตั ิเช่นเดียวกบั พระอุปัชฌาย์ แมว้ ่าท่านเหล่าน้นั จะดารงอยู่ในราช สมบตั ิและไม่ตอ้ งการซ่ึงการปรนนิบตั ิบารุงจากบุตร ก็ยงั ตอ้ งทาอยู่นั่นเอง ถา้ เภสัชของท่านไม่มี จึงให้ เภสัชของตนเอง แมข้ องตนเองก็ไม่มี พึงเสาะหาดว้ ยภิกษาจริยาวตั รแลว้ ให้แก่ท่าน ส่วนพี่ชายน้องชาย พสี่ าวนอ้ งสาวพงึ ประกอบเภสชั อนั เป็ นของของเขาเทา่ น้นั ให้ ถา้ ของของเขาไม่มี ก็พงึ ใหข้ อยมื ของของตน ไปก่อน ภายหลงั เมื่อจะไดก้ พ็ ึงรับคืน เม่ือจะไม่ไดก้ ็ไมต่ อ้ งทวง สาหรับสามีของพี่สาวนอ้ งสาวท่ีไมไ่ ดเ้ ป็น ญาติมาโดยกาเนิด จะประกอบเภสัชให้ก็ดี จะให้เภสัชก็ดี ไม่สมควรท้งั น้ัน แต่จึงมอบให้พี่สาวหรือ นอ้ งสาวไปพร้อมกบั ส่ังวา่ จงใหแ้ ก่สามีของเธอ แมใ้ นกรณีภริยาของพ่ชี ายและนอ้ งชายท่ีมิไดเ้ ป็นญาติ ก็

๑๒ พึงปฏิบตั ิทานองเดียวกนั น้ี ส่วนบุตรธิดาของพี่ชายนอ้ งชายพ่ีสาวนอ้ งสาวน้นั นบั เป็ นญาติ ของภิกษุน้ีนนั่ เทียว เพราะฉะน้นั การที่จะประกอบยาใหเ้ ขาเหลา่ น้นั ยอ่ มเป็นส่ิงสมควร ฉะน้ี ๙. อธิบายคันถปลโิ พธ คาว่า คนั ถะ หมายเอาการรักษาปริยตั ิธรรม การรักษาปริยตั ิธรรมน้นั ยอ่ มเป็ นเคร่ืองกงั วลแก่ภิกษุผู้ ขวนขวายดว้ ยการสาธยายและการทรงจาเป็นตน้ แต่ยอ่ มไม่เป็นเคร่ืองกงั วลสาหรับภิกษผุ ไู้ มข่ วนขวายนอก น้ี ในกรณีท่ีการรักษาปริยตั ิธรรมไมเ่ ป็นเคร่ืองกงั วลน้นั เอง ๑๐. อธิบายอทิ ธิปลโิ พธ คาวา่ อิทธิ หมายเอาอิทธิฤทธ์ิอนั เป็นของปุถุชน ก็แหละ อิทธิฤทธ์ิของปถุ ุชนน้นั ยอ่ มเป็นสิ่งที่รักษาไดย้ าก เหมือนทารกท่ียงั นอนหงาย และเหมือนขา้ วกลา้ ที่ยงั อ่อน ยอ่ มเส่ือมไปไดด้ ว้ ยเหตุเพียงเล็กนอ้ ยเท่าน้นั แต่ ว่าอิทธิฤทธ์ิปุถุชนน้นั เป็ นเคร่ืองกงั วลแก่วิปัสสนาเท่าน้นั หาเป็ นเครื่องกงั วลแก่สมาธิไม่ เพราะตอ้ งผ่าน สมาธิมาแลว้ จึงจะไดบ้ รรลุถึงอิทธิฤทธ์ิ อธิบายว่า อิทธิฤทธ์ิน้ันเป็ นเคร่ืองกงั วลแก่วิปัสสนาสาหรับโยคี บุคคลผูเ้ ป็ นสมถยานิก มิไดเ้ ป็ นเครื่องกงั วลสาหรับโยคีบุคคลผูเ้ ป็ นวิปัสสนายานิกเพราะว่าโดยมากโยคี บุคคลผูไ้ ดฌ้ านแลว้ ยอ่ มเป็ นสมถยานิกท้งั น้นั เพราะฉะน้นั โยคีบุคคลผตู้ อ้ งการวิปัสสนาจึงจะตอ้ งตดั อิทธิ ปลิโพธ ส่วนปลิโพธท่ีเหลืออีก ๔ อยา่ ง โยคีบุคคลผตู้ อ้ งการสมถะนอกน้ีจาตอ้ งตดั ดว้ ยประการฉะน้ี ๓. กมั มฏั ฐาน ๒ อย่าง กรรมฐาน ๒ อยา่ ง คือ สมถกรรมฐาน และ วิปัสสนากรรมฐานกรรมฐาน แปลว่า ท่ีต้งั ของการงาน หรืออารมณ์อนั เป็ นท่ีต้งั แห่งการงาน หมายถึง วิธีการหรืออุบายสาหรับฝึกฝนอบรมจิตใหเ้ หมาะสมแก่การ ใชง้ านคร่าว ๆ จุดมุ่งหมายของการฝึกอบรมจิตใจน้นั มี ๒ ประการคือ ๑. เพ่อื ใหเ้ กิดสมาธิ (สมถะ) มีจิตต้งั มนั่ และสามารถกาจดั นิวรณ์ได้ สมถะ คือการน้อมจิตให้ไปอยู่ในอารมณ์อนั เดียวท่ีเป็ นกุศล และเป็ นอารมณ์ท่ีเรารู้แลว้ มีความสุข เช่น ถา้ เราพุทโธแลว้ มีความสุขก็พุทโธเล่นๆ พุทโธไปอยา่ งสบายพอจิตใจมีความสุขจะสงบเองแต่ตอ้ งทา ดว้ ยความมีสติ ไม่ใช่นง่ั เคลิ้มคร่ึงหลบั คร่ึงตื่นหรือนงั่ เห็นสิ่งน้นั ส่ิงน้ีการทาสมถะมีประโยชน์กบั นกั ปฏิบตั ิ ทุกคน เพราะเป็ นเครื่องข่มนิวรณ์และเป็ นการพกั ผ่อน แต่การทาสมถะอย่างเดียวจะไม่เกิดปัญญาโดย อตั โนมตั ิการทาสมถะจาเป็ นและขาดไม่ไดส้ าหรับสมถยานิกหรือผูป้ ฏิบตั ิที่ใชส้ มาธินาปัญญาคือตอ้ งทา สมถะจนเกิดฌานเสียก่อนแลว้ คอ่ ยพิจารณาองคธ์ รรมใหเ้ กิดปัญญาในภายหลงั แตไ่ ม่ใช่เร่ืองจาเป็นที่ขาด

๑๓ เสียไม่ไดส้ าหรับวิปัสสนายานิกหรือผูป้ ฏิบตั ิที่ใชป้ ัญญานาสมาธิคือผเู้ จริญสติสัมปชญั ญะระลึกรู้รูปนาม ไปเลยแลว้ จิตจึงคอ่ ยรวมเขา้ อปั ปนาสมาธิเองในภายหลงั \" ๑. เพอื่ ใหเ้ กิดปัญญา (วปิ ัสสนา) ใหร้ ู้แจง้ เห็นจริงในสภาวะธรรม วปิ ัสสนา คือ การฝึกอบรมจิตใหเ้ กิดปัญญารู้แจง้ ตามความเป็นจริง ในธรรมชาติ ในรูปนาม ขนั ธ์ วา่ เป็นสภาวะท่ีไม่เท่ียง(อนิจจงั ) เป็ นทุกข์ ทนไดย้ าก (ทุกขงั ) เป็ นสภาวะที่ไม่ใช่บุคคล ตวั ตน เราเขา บงั คบั บัญชาไม่ได้ (อนัตตา) เป็ นวิธีการปฏิบัติที่จะนากายและใจของผูป้ ฏิบัติให้เขา้ ถึงสภาวดับ สงบเย็น (นิพพาน)ได้ ถา้ ตอ้ งการสุขแท้ สุขถาวรท่ีไม่กลบั มาทุกขอ์ ีกก็ตอ้ งดาเนินไปตามหนทางน้ีเท่าน้นั ไม่มีทาง อื่น ขอ้ ปฏิบตั ิต่างๆ ในการฝึกฝนอบรมปัญญาใหเ้ กิดความเห็นแจง้ รู้ชดั สิ่งท้งั หลายตรงต่อสภาวะของมนั คือใหเ้ ขา้ ใจตามความเป็ นจริง หรือ ตามที่ส่ิงเหลา่ น้นั มนั เป็ นของมนั เอง (ไม่ใช่เห็นไปตามท่ีเราวาดภาพให้ มนั เป็ นดว้ ยความชอบความชงั ความอยากได้ หรือ ความขดั ใจของเรา) รู้แจง้ ชดั เขา้ ใจจริง จนถอนความ หลงผิดรู้ผิดและยึดติดในส่ิงท้งั หลายได้ ถึงข้นั เปลี่ยนท่าทีต่อโลกและชีวิตใหม่ท้งั ท่าทีแห่งการมอง การ รับรู้ การวางจิตใจและความรู้สึกท้งั หลาย ความรู้ความเขา้ ใจถูกตอ้ งที่เกิดเพิ่มข้ึนเรื่อย ๆ ในระหว่างการปฏิบตั ิน้นั เรียกว่า ญาณ มีหลายระดบั ญาณสาคญั ในข้นั สุดทา้ ยเรียกวา่ วิชชา เป็ นภาวะตรงขา้ มท่ีกาจดั อวิชชา คือความหลงผิดไม่รู้แจง้ ไม่รู้จริง ให้หมดไป ภาวะจิตท่ีมีญาณหรือวิชชาน้นั เป็ นภาวะท่ีสุขสงบผ่องใสและเป็ นอิสระ เพราะลอยตวั พน้ จาก อานาจครอบงาของกิเลส เช่น ความชอบความชงั ความติดใจ และความขดั ใจเป็ นตน้ ไมถ่ ูกบงั คบั หรือชกั จูง โดยกิเลสเหล่า น้นั ให้มองเห็นหรือรับรู้ส่ิงต่าง ๆอยา่ งบิดเบือน จนพาความคิด และการกระทาท่ีติดตามมา ให้หันเหเฉไปและไม่ตอ้ งเจ็บปวดหรือเร่าร้อนเพราะถูกบีบค้นั หรือต่อสู้กบั กิเลสเหล่าน้นั ญาณและวิชชา จึงเป็ นจุดมุ่งหมายของวิปัสสนา เพราะนาไปสู่วิมุตติ คือความหลุดพน้ เป็ นอิสระที่แทจ้ ริงซ่ึงยง่ั ยืนถาวร ทา่ นเรียกวา่ สมจุ เฉทนิโรธ หรือสมจุ เฉทวิมตุ ติ แปลวา่ ดบั กิเลส หรือหลุดพน้ โดยเดด็ ขาด ๔.อาจารย์ผ้ใู หกมั มฏั ฐาน ครูบาอาจารย์ผู้ท่ีสามารถสอนกัมมัฏฐาน และคอยเป็ นกัลยาณมิตรให้แก่ผู้เจริ ญสมาธิได้ต้อง ประกอบดว้ ย กลั ยาณมิตตธรรม ๗ ประการ คือ ๑. ปิ โย หมายถึง บคุ คลผมู้ ีความน่ารักน่าเลื่อมใส เป็นท่ีชื่นชมของทกุ คนเพราะเป็นผมู้ ีศีลบริสุทธ์ิ เป็น นกั ให้ ใหท้ ้งั ปัจจยั ๔ ความรู้และความปลอดภยั เป็นผมู้ ีปกติยมิ้ แยม้ แจ่มใสและอารมณ์ดีอยเู่ สมอ มีมารยาท งาม ทาใหใ้ ครๆเห็นกร็ ู้สึกรัก ประดุจพระจนั ทร์วนั เพญ็ ชุ่มเยน็ ชวนมอง

๑๔ ๒. ครู หมายถึง บุคคลผูท้ ่ีน่าเคารพ น่าเกรงใจ เพราะมีศีล สมาธิและการถือธุดงคม์ ีความอ่อนน้อม ถอ่ มตน วางตวั ไดเ้ หมาะสม เป็นท่ีพ่งึ ที่ยดึ เหนี่ยวจิตใจไดท้ ุกเม่ือประดุจขนุ เขาตระหง่านมนั่ คง ๓. ภาวนีโย หมายถึง บุคคลผนู้ ่าสรรเสริญเทิดทูน เพราะมีจิตใจเท่ียงธรรมปราศจากอคติ ๔ คือ ไม่มี ความลาเอียงในบรรดาสหธรรมิกและลกู ศิษยเ์ หมือนดวงอาทิตยเ์ ป็นใหญใ่ นทอ้ งฟ้า ๔. วตฺตา หมายถึง บุคคลผฉู้ ลาดพร่าสอน สามารถอบรมลูกศิษยใ์ ห้ดีไดแ้ ละคอยปกป้อง ลูกนอ้ ยให้ ปลอดภยั อปุ มาเหมือนแมไ่ ก่สอนลกู ใหห้ าอาหาร ๕. วจนกฺขโม หมายถึง บคุ คลผอู้ ดทนตอ่ ถอ้ ยคา ยอมรับคาตกั เตือนจากสหธรรมิกและลูกศิษย์ มีนิสัย ไมเ่ อาเร่ืองใครอุปมาดงั่ แผน่ ดินไมส่ ะทกสะทา้ นหวน่ั ไหวในของหอมและของเหมน็ ที่ ราดรด ๖. คมฺภีรญฺจ กถ กตฺตา หมายถึง บุคคลผูส้ ามารถแถลงเรื่องล้าลึก คือสามารถถ่ายทอดธรรมะที่ลึกซ้ึง ยากแก่การเขา้ ใจให้เป็นเร่ืองง่ายเขา้ ใจได้ ชดั เจน เช่น ขนั ธ์ ๕ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อุปมาเหมือน จุดไฟในท่ีมืดหงายของท่ีควา่ เปิ ดของท่ีปิ ด บอกทางแก่คนหลงทาง ๗. โน จฏฺฐาเน นิโยชเย หมายถึง บุคคลผูไ้ ม่ชกั นาไปในทางเส่ือมเพราะมีความมนั่ คงสม่าเสมอใน ธรรม ไม่ชักชวนในส่ิงท่ีไม่เป็ นประโยชน์แม้เพียงคร้ังเดียว อุปมาเหมือนตาชั่งมาตรฐาน คงเส้นคงวา คุณธรรมท้งั ๗ ประการดงั กล่าวน้ี สาคญั มากต่ออาจารยผ์ ูส้ อนภาวนาหากขาดขอ้ ใดขอ้ หน่ึงไป ก็ไม่ อาจจะไดช้ ่ือวา่ กลั ยาณมิตรที่สมบรู ณ์ ๕. กลั ยาณมิตรตัวอย่าง กลั ยาณมิตรตวั อยา่ ง กแ็ หละ กลั ยาณมิตรผสู้ มบรู ณ์ดว้ ยคุณสมบตั ิทุก ๆ ประการน้นั คือ พระสัมมาสัม พทุ ธเจา้ โดยมีพระบาลีรับรองวา่ \"อานนท์ สตั วท์ ้งั หลายผมู้ ีความเกิดเป็นธรรมดา ยอ่ มพน้ จากชาติความเกิด ได้ ดว้ ยอาศยั กลั ยาณมิตรคือเราตถาคตนน่ั เทียว เพราะเหตดุ งั น้นั เม่ือพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ยงั ทรงพระชนม์ อยนู่ ้นั การเรียนเอาพระกมั มฏั ฐานในสานกั ของพระผมู้ ีพระภาคน้นั นน่ั แลเป็นประเสริฐท่ีสุด\" แต่เม่ือพระพุทธองคเ์ สด็จปรินิพพานไปแลว้ ในบรรดาพระมหาสาวก ๘๐ องค์ องคใ์ ดยงั มีชนมายอุ ยู่ การเรียนเอาพระกมั มฏั ฐานในสานกั ของพระมหาสาวกองคน์ ้นั ยอ่ มเป็นการสมควร เม่ือพระมหาสาวกน้นั ไม่มีอยแู่ ลว้ ก็พึงเรียนเอาในสานกั ของพระอรหนั ตขีณาสพองคท์ ี่ไดฌ้ านจตุกกนยั หรือฌานปัญจกนยั ดว้ ย พระกมั มฏั ฐานบทที่ตนประสงคจ์ ะเรียนเอาน้นั แลว้ เจริญวิปัสสนาซ่ึงมีฌานเป็ นปทฏั ฐาน จนไดบ้ รรลุถึง ซ่ึงความส้ินสุดแห่งอาสวกิเลสนน่ั เถิด

๑๕ ถาม - ก็แหละ พระอรหนั ตข์ ีณาสพน้นั ทา่ นประกาศตนใหท้ ราบหรือวา่ ทา่ นเป็นพระขีณาสพ ? ตอบ - จะตอ้ งตอบทาไม เพราะพระอรหันต์ขีณาสพน้ัน ท่านรู้ถึงภาวะท่ีผูจ้ ะทาความเพียรแลว้ ย่อม แสดงตนใหท้ ราบดว้ ยความอาจหาญและรื่นเริง โดยช้ีใหเ้ ห็นถึงภาวะแห่งการปฏิบตั ิไม่เป็นโมฆะ พระอสั ส คุตตเถระรู้ว่า ภิกษุน้ีเป็ นผูจ้ ะทากมั มฏั ฐานฉะน้ีแลว้ ท่านปูลาดแผ่นหนงั ไวบ้ นอากาศแลว้ นัง่ ขดั สมาธิอยู่ บนแผน่ หนงั น้นั บอกพระกมั มฏั ฐานแก่ภิกษุผปู้ รารภพระกมั มฏั ฐานแลว้ มิใช่หรือ เพราะเหตุฉะน้นั ถา้ โยคีบุคคลไดพ้ ระอรหันตชีณาสพ ขอ้ น้นั นบั วา่ เป็ นบุญแต่ถา้ หาไม่ได้ จึงเรียนเอา พระกัมมฏั ฐานในสานักของท่านผูท้ รงคุณสมบัติเหล่าน้ี โดยจากก่อนมาหลังคือ พระอนาคามี พระ สกทาคามี พระโสดาบนั ปุถุชนผูไ้ ดฌ้ าน ท่านผูท้ รงจาปิ ฎกท้งั สาม ท่านผูท้ รงจาปิ ฎกสอง ท่านผูท้ รงจา ปิ ฎกหน่ึง แมเ้ มื่อทา่ นผทู้ รงจาปิ ฏกหน่ึงก็ไม่มี ทา่ นผใู้ ดมีความชานาญแมเ้ พยี งสังคีติอนั เดียวพร้อมท้งั อรรถ กถา และเป็นผมู้ ีความละอายดว้ ย จึงเรียนกมั มฏั ฐานในสานกั ของทา่ นผนู้ ้นั เถิด ดว้ ยว่าบุคคลผูม้ ีลกั ษณะเห็นปานฉะน้ี ชื่อว่าเป็ นผูร้ ักษาประเพณี เป็ นอาจารยผ์ ูย้ ึดถือมติของอาจารย์ ไม่ใช่ผูถ้ ือมติของตนเองเป็ นใหญ่ เพราะเหตุฉะน้ีแหละ พระเถระในปางก่อนท้งั หลาย จึงไดก้ ล่าวประกาศ ไวถ้ ึง ๓ คร้ังว่า ท่านผูม้ ีความละอายจกั รักษา, ท่านผูม้ ีความละอายจกั รักษา, ท่านผูม้ ีความละอายจกั รักษา ฉะน้ี กแ็ หละ ในบรรดากลั ยาณมิตรเหล่าน้นั กลั ยาณมิตรท่ีเป็ นพระอรหนั ตขีณาสพเป็ นอาทิ ที่ขา้ พเจา้ กล่าว มาในตอนตน้ ท่านย่อมบอกพระกมั มฏั ฐานให้ไดเ้ ฉพาะแต่แนวทางท่ีท่านไดบ้ รรลุมาดว้ ยตนเองเท่าน้ัน ส่วนกลั ยาณมิตรผูเ้ ป็ นพหูสูต เพราะเหตุท่ีพระบาลีและอรรถกถาอนั เป็ นอุปการะแก่กมั มฏั ฐานเป็ นสิ่งท่ี ท่านไดเ้ ขา้ ไปหาพระอาจารยน์ ้นั ๆ แลว้ เรียนเอาอยา่ งขาวสะอาด ไม่มีขอ้ เคลือบแคลงสงสัยเหลืออยู่ ท่านจึง เลือกสรรเอาแต่สุตบทและเหตุอนั คลอ้ ยตามสุตบทซ่ึงสมควรแก่กมั มฏั ฐานน้นั ๆ จากนิกายน้ีบา้ งโนน้ บา้ ง แลว้ เอามาปรับปรุงให้เป็ นที่สะดวกสบายเหมาะสมแก่โยคีบุคคลผูท้ ี่ท่านจะให้กมั มฏั ฐาน แสดงวิธีแห่ง กมั มฏั ฐานให้เห็นแนวทางอย่างกวา้ งขวาง เป็ นดุจพญาชา้ งบุกไปในสถานที่รกชฏั จึงจกั บอกกมั มฏั ฐาน เพราะเหตุฉะน้ัน โยคีบุคคลพึงเขา้ ไปหากลั ยาณมิตรผูใ้ ห้พระกมั มฏั ฐาน ซ่ึงมีคุณสมบตั ิเห็นปานฉะน้ี ทา วตั รปฏิบตั ิแก่ทา่ นแลว้ จึงเรียนเอาพระกมั มฏั ฐานเถิด

๑๖ ๖. ระเบียบเข้าหาอาจารย์ผ้กู ลั ยาณมิตร แหละถา้ โยคีบคุ คลไดก้ ลั ยาณมิตรน้นั ในวดั เดียวกนั ขอ้ น้นั นบั วา่ เป็นบุญ แตถ่ า้ หาไม่ได้ ทา่ นอยู่ ณ วดั ใดกท็ ิ้งไป ณ ท่ีวดั น้นั และเม่ือไปน้นั อยา่ ลา้ งเทา้ อยา่ ทาน้ามนั อยา่ สวมรองเทา้ อยา่ กนั ร่ม อยา่ ใหศ้ ิษยช์ ่วย ถือทะนานน้ามนั และน้าผ้ึงน้าออ้ ยเป็นตน้ อยา่ ไปอยา่ งมีอนั เตวาสิกหอ้ มลอ้ ม แตพ่ ่งึ ไปอยา่ งน้ี คือ พงึ ทาคมิ กวตั ร (วตั รของผเู้ ตรียมจะไป) ให้เสร็จบริบูรณ์แลว้ ถือเอาบาตรและจีวรของตนดว้ ยตนเองไป เมื่อแวะพกั ณ วดั ใด ๆ ในระหว่างทาง จึงทาวตั รปฏิบตั ิ ณ วดั น้นั ๆ ตลอดไป คือในเวลาเขา้ ไป จึงทาอาคนั ตุกวตั ร* ใน เวลาจะออกมา พงึ ทาคมกวตั ิ*ใหบ้ ริบรู ณ์ จึงมีเคร่ืองบริขารเพยี งเลก็ นอ้ ยและมีความประพฤติอยา่ งเคร่งครัด ท่ีสุดก่อนแต่จะเขา้ ไปสู่วดั น้นั จึงให้ทาไมช้ าระฟันให้เป็ นกปั ปิ ยะสมควรแก่ท่ีจะใชไ้ ดเ้ สียแต่ในระหวา่ ง ทาง แลว้ จึงถือเขา้ ไป และอยา่ ไดไ้ ปแวะพกั ณ บริเวณอื่นดว้ ยต้งั ใจวา่ จะพกั สักครู่หน่ึงลา้ งเทา้ ทาน้ามนั เทา้ เป็นตน้ แลว้ จึงจะไปสานกั ของอาจารยเ์ พราะเหตุไร ? เพราะว่า ถา้ ในวดั น้นั จะพึงมีพวกภิกษุที่ไม่ลงคลอง กนั กบั อาจารยน์ ้นั ภิกษุเหล่าน้นั ก็จะพึงซกั ถามถึงเหตุท่ีมาแลว้ ประกาศตาหนิติโทษของอาจารยใ์ หฟ้ ัง จะ พงึ ก่อกวนใหเ้ กิดความเดือดร้อนใจวา่ ฉิบหายแลว้ สิ ถา้ คุณมาสู่สานกั ของภิกษุองคน์ ้นั ขอ้ น้ีก็จะพึงเป็นเหตุ ใหต้ อ้ งกลบั ไปเสียจากท่ีน้นั ได้ เพราะฉะน้นั จึงถามถึงที่อยขู่ องอาจารยแ์ ลว้ ตรงไปยงั ที่น้นั เลยทีเดียว (อาคนั ตุกวตั ร ไดแ้ ก่ธรรมเนียมอนั ภิกษุผเู้ ป็ นแขกจะพึงปฏิบตั ิ คือ ๑. เคารพในเจา้ ของถ่ิน ๒. แสดง ความเกรงใจ ๓. แสดงอาการสุภาพ ๔. แสดงอาการสนิทสนม ๕. ประพฤติใหถ้ ูกธรรมเนียมของเจา้ ของถ่ิน ๖. อยใู่ นเสนาสนะแลว้ อยา่ ดูดาย) (คมิกวตั ร ไดแ้ ก่ธรรมเนียมอนั ภิกษุผเู้ ตรียมจะไปพ่ึงปฏิบตั ิ คือ ๑. เก็บงา เสนาสนะใหเ้ รียบร้อย ๒. มอบคืนเสนาสนะและเครื่องใช้ ๓. บอกลาเจา้ ของถิ่น) ๗.ระเบียบปฏิบัตติ ่ออาจารย์ ถา้ แหละ แมอ้ าจารยน์ ้นั จะเป็นผอู้ ่อนพรรษากวา่ กอ็ ยา่ พ่งึ ยนิ ดีตอ่ การช่วยรับบาตรและจีวรเป็นตน้ ถา้ ท่านแก่พรรษากวา่ จึงไปไหวท้ า่ นแลว้ ยนื คอยอยกู่ ่อน พึงเกบ็ บาตรและจีวรไวต้ ามที่ทา่ นแนะนาวา่ “อาวโุ ส เก็บบาตรและจีวรเสีย” ถา้ ปรารถนาอยากจะดื่มก็จงด่ืมตามท่ีท่านแนะนาว่า “อาวโุ ส นิมนตด์ ่ืมน้า” แต่อยา่ เพิ่งลา้ งเทา้ ทนั ทีตามที่ท่านแนะนาวา่ “ลา้ งเทา้ เสีย อาวุโส” เพราะถา้ เป็ นน้าท่ีพระอาจารยต์ กั เอามาเอง ยอ่ ม เป็นสิ่งท่ีไม่สมควร แต่เม่ือท่านแนะนาวา่ “ลา้ งเถิดอาวุโส ฉันไม่ไดต้ กั มาเองดอก คนอ่ืนเขาตกั มา” จึงไป น่ังลา้ งเทา้ ณ โอกาสอนั กาบงั ท่ีอาจารยม์ องไม่เห็น หรือ ณ ส่วนขา้ งหน่ึงของวิหารอนั เป็ นที่ว่างเปล่าถา้ แหละ ท่านอาจารยห์ ยบิ เอาขวดน้ามนั สาหรับทามาให้ พึงลุกข้ึนรับโดยเคารพดว้ ยมือท้งั สอง เพราะถา้ ไม่ รับ ความสาคญั เป็นอยา่ งอ่ืนก็จะพึงมีแก่อาจารยว์ ่าภิกษุน้ีทาการสมโภคคือการใชร้ ่วมกนั ให้กาเริบเสียหาย ต้งั แต่บดั น้ีเทียว (รังเกียจการใชส้ ่ิงของร่วมกนั ) แตค่ ร้ันรับแลว้ อยา่ พ่งึ ทาต้งั ตน้ แต่เทา้ ไป เพราะถา้ น้ามนั น้นั

๑๗ เป็นน้ามนั สาหรับทาตวั ของพระอาจารยแ์ ลว้ ก็จะเป็ นส่ิงท่ีไม่สมควร เพราะฉะน้นั พึงทาศีรษะแลว้ ทาตาม ลาตวั เป็นตน้ ก่อน แต่เมื่อท่านแนะนาวา่ “อาวโุ ส ทาเทา้ ก็ได้ น้ามนั น้ีเป็ นน้ามนั สาหรับรักษาอวยั วะทว่ั ไป” พึงทาท่ีศีรษะนิดหน่อยแล้วจึงทาเทา้ คร้ันทาเสร็จแล้วจึงเรียนว่า “กระผมขออนุญาตเก็บขวดน้ามนั น้ี ขอรับ” เม่ือท่านรับเองก็พึงมอบถวายคืน อย่าเพ่ิงเรียนขอว่า “ขอท่านกรุณาบอกพระกัมมฏั ฐานให้แก่ กระผมดว้ ย” ต้งั แต่วนั ท่ีมาถึง แต่ถา้ อุปัฏฐากประจาของท่านอาจารยม์ ี จึงขออนุญาตกะเขาแลว้ ทาวตั ร ปฏิบตั ิแก่ท่านนบั ต้งั แต่วนั ท่ีสองไป ถา้ แมข้ อแลว้ แต่เขาไม่ยอมอนุญาตให้ เม่ือไดโ้ อกาสก็พ่ึงทาทนั ที เม่ือ ทาวตั รปฏิบตั ิจึงจดั เอาไมช้ าระฟัน ๓ ชนิดเขา้ ไปวางไว้ คือ ชนิดเลก็ ชนิดกลางและชนิดใหญ่ พึงตระเตรียมน้าบว้ นปากและน้าสรง ๒ ชนิด คือน้าเยน็ และน้าอุ่น แต่น้ันพึงสังเกตไว้ ท่านอาจารยใ์ ช้ชนิดไหนถึง ๓ วนั ก็พ่ึงจดั เฉพาะชนิดน้ันตลอดไป เมื่อท่านไม่ถือ ระเบียบแน่นอน ใชต้ ามมีตามเกิด ก็พ่ึงจดั ไปไวต้ ามท่ีได้ ธุระอะไรที่ขา้ พเจา้ จะตอ้ งพิจารณามากเล่า วตั ร ปฏิบตั ิโดยชอบอนั พระผมู้ ีพระภาคทรงบญั ญตั ิไวแ้ ล้วฉนั ใด พึงทาวตั รปฏิบตั ิแมน้ ้นั ใหค้ รบทุก ๆ อยา่ ง ซ่ึง มีปรากฏอยูใ่ นคมั ภีร์มหาขนั ธกะ วินยั ปิ ฎก มีอาทิว่า :- ภิกษุท้งั หลาย อนั เตวาสิกพึงประพฤติปฏิบตั ิโดย ชอบในพระอาจารย์ กิริยาท่ีประพฤติปฏิบตั ิโดยชอบในพระอาจารยน์ ้ัน ดงั น้ี พึงลุกข้ึนแต่เช้าแลว้ ถอด รองเทา้ เสีย ห่มจีวรเฉวยี งบ่า ถวายไมช้ าระฟัน ถวายน้าลา้ งหนา้ ปลู าดอาสนะ ถา้ มีขา้ วตม้ จึงลา้ งภาชนะให้ สะอาดแลว้ นอ้ มขา้ วตม้ เขา้ ไปถวาย เม่ือโยคีบุคคลทาให้ท่านอาจารยพ์ อใจดว้ ยวตั รสมบตั ิอยโู่ ดยทานองน้ี ตกถึงเวลาเยน็ กราบท่านแลว้ เม่ือท่านอนุญาตให้ไปว่าไปไดฉ้ ะน้ี จึงค่อยไป เม่ือใดท่านถามว่า “เธอมา ณ ท่ีน้ีเพ่ือประสงคส์ ่ิงใดหรือ ?” เม่ือน้นั พงึ กราบเรียนเหตุท่ีมาให้ทราบ ถา้ ทา่ นไม่ถามเลย แต่กย็ นิ ดีตอ่ วตั รปฏิบตั ิ คร้ันล่วงเลยมาถึง ๑๐ วนั หรือปักษห์ น่ึงแลว้ แมถ้ ึงท่านจะอนุญาตให้ไป ก็อย่าเพิ่งไป จึงขอให้ท่านให้โอกาสแลว้ พึงกราบเรียนถึง เหตุที่มาให้ทราบสักวนั หน่ึง หรือพึงไปหาท่านใหผ้ ิดเวลา เมื่อท่านถามว่า มาทาไม ? จึงฉวยโอกาสกราบ เรียนถึงเหตุท่ีมา ถา้ ทา่ นนดั หมายใหม้ าเชา้ ก็พ่งึ ไปเชา้ ตามนดั นน่ั แล ก็แหละ ถา้ ตามเวลาที่นัดหมายน้ัน โยคีบุคคลเกิดเสียดทอ้ งดว้ ยโรคดีกาเริบก็ดี หรืออาหารไม่ย่อย เพราะไฟธาตุอ่อนก็ดี หรือโรคอะไรอยา่ งอ่ืนเบียดเบียนก็ดี จึงเรียนโรคน้นั ใหท้ ่านอาจารยท์ ราบตามความ จริง แลว้ กราบเรียนขอเปล่ียนเวลาท่ีตนสบาย แลว้ จึงเขา้ ไปหาในเวลาน้นั ท้งั น้ีเพราะว่า ในเวลาท่ีไม่สบาย แมท้ ่านอาจารยจ์ ะบอกพระกมั มฏั ฐานใหก้ ไ็ มส่ ามารถที่จะมนสิการได้

๑๘ ๘. จริยา ๖ อย่าง คาว่า จริยา ไดแ้ ก่ จริยา ๖ คือ ราคจริยา โทสจริยา โมหจริยา สัทธาจริยา พุทธิจริยา วิตกจริยา เน่ือง ดว้ ยจริยา ๖ น้นั บุคคลก็มี ๖ เหมือนกนั คือ คนราคจริต คนโทสจริต คนโมหจริต คนสัทธาจริต คนพุทธิ จริต คนวิตกจริต เพราะเหตุที่ในบุคคล ๖ จาพวกน้ัน คนราคจริต ในเวลาประพฤติกุศล ย่อมศรัทธากล้า เพราะศรัทธาเป็นคุณท่ีบางใกลต้ ่อราคะ จริงอยใู่ นฝ่ ายอกุศล ราคะเป็ นโทษท่ีสดใส ไม่มอซอ ฉนั ใดในฝ่ าย กุศล ศรัทธาก็เป็นคุณที่แจ่มใส ไมม่ วั ซวั ฉนั น้นั ราคะยอ่ มแส่หาวตั ถุกาม ฉนั ใด ศรัทธาก็แสวงหาสีลาทิคุณ ฉันน้นั ราคะไม่ทิ้งสิ่งที่ไม่ใช่ประโยชน์เก้ือกูล ฉันใด ศรัทธาก็ไม่สละสิ่งท่ีเป็ นประโยชน์เก้ือกูล ฉันน้นั เพราะเหตุน้นั คนสัทธาจริตจึงมีส่วนเสมอกนั แห่งคนราคจริตส่วนว่าคนโทสจริต ในเวลาประพฤติกุศล ยอ่ มมีปัญญากลา้ เพราะปัญญาเป็ นคุณใกลต้ ่อโทสะ จริงอยใู่ นฝ่ ายอกุศลโทสะเป็ นโทษท่ีไม่มีเยอ่ื ใย ไม่ติด พนั อารมณ์ ฉนั ใด ในฝ่ายกุศล ปัญญาก็เป็นคุณท่ีไม่มีเยอื่ ยาง ไม่พวั พนั อารมณ์ฉนั น้นั อน่ึง โทสะส่ายหาแต่ โทษ แมท้ ี่ไมเ่ ป็นจริง ฉนั ใด ปัญญาก็สอดหาโทษแตท่ ่ีเป็นจริง ฉนั น้นั โทสะเป็นไปโดยอาการไม่เอ้ือสตั ว์ (คน) ฉนั ใด ปัญญาก็เป็ นไปโดยอาการไม่เอ้ือสังขาร ฉนั น้นั เพราะเหตุน้นั คนพุทธิจริต จึงมีส่วนเสมอกนั แห่งคนโทสจริต ฯลฯ ต้นเหตุแห่งจริยา ถามวา่ กจ็ ริยาเหลา่ น้ีน้นั มีอะไรเป็นตน้ เหตุ และจะพึงทราบ ไดอ้ ยา่ งไรวา่ บคุ คลน้ีเป็นราคจริต บคุ คล น้ีเป็นจริตอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ในจริตท่ีเหลือมีโทสจริตเป็ นตน้ และอะไรเป็ นสัปปายะของบุคคลจริตอะไร ในจริยา ๖ น้นั จะแกจ้ ริยา ๓ ขา้ งตน้ ก่อน อาจารยล์ างพวกกล่าวว่า จริยา ๓ ขา้ งตน้ น้นั มีอาจิณกรรมในภพ ก่อนเป็นตน้ เหตุประการ ๑ มีธาตแุ ละโทษ (ในร่างกาย) เป็นตน้ เหตปุ ระการ ๑ ๙. จริตบุคคล ๖ ประเภท จริต (อ่านวา่ จะหริด) จริต แปลวา่ จิตทอ่ งเที่ยว สถานท่ีจิตชอบท่องเท่ียว หรืออารมณ์ท่ีชอบท่องเที่ยว ของจิตน้ัน พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ไดต้ รัสไว้ มี ๖ ประการ หมายถึง ความประพฤติ คือกิริยาอาการที่แสดง ออกมาใหเ้ ห็น มีความหมายเช่นเดียวกบั คาวา่ จริย จริยา หรือ จรรยา โดยทว่ั ไปจะใชห้ มายถึงกิริยาอาการที่ ไม่ดี เช่น เสียจริต วิกลจริต ดดั จริต จริตจะกา้ น แต่ในทางพุทธศาสนา หมายถึง ความประพฤติ, พ้นื เพ นิสัย มี 6 อยา่ งคือ ๑. ราคจริต หนกั ไปทางรักสวยรักงามคือ พอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผสั น่ิม นวล ชอบการมีระเบียบ สะอาด ประณีต พูดจาอ่อนหวาน เกลียดความเลอะเทอะ

๑๙ ๒. โทสจริต หนกั ไปทางเจา้ อารมณ์มกั โกรธ เป็นคนข้ีโมโหโทโส พดู เสียงดงั เดินแรง ทางานหยาบ แต่งตวั ไม่พิถีพิถนั เป็ นคนใจเร็ว ชอบจบั ผิด จึงมองขอ้ ตลกของคนไดด้ ี จึงมกั เป็ นคนท่ีพูดจาไดต้ ลกและ สนุกสนาน ๓. โมหจริต หนกั ไปทางเขลา ง่วงซึม ไมค่ อ่ ยชอบคิดมาก และข้ีเกียจ ๔. สัทธาจริต หนกั ไปทางเชื่อถือจริงใจ นอ้ มไปในความเชื่อเป็ นอารมณ์ประจาใจ เกิดปี ติเลื่อมใส ไดง้ า่ ยเม่ือเจอบคุ คลน่านบั ถือ เช่ือตามท่ีบอกตอ่ กนั มา ขาดการพิจารณา ๕. พทุ ธิจริต หรือญาณจริต หนกั ไปทางใชป้ ัญญา เจา้ ปัญญาเจา้ ความคิด มีความฉลาด มีปฏิภาณไหว พริบ การคิดการอา่ น ความทรงจาดี ชอบสั่งสอนคนอ่ืน ๖. วิตกจริต หนกั ไปทางชอบคิดมาก ถา้ ข้ีขลาดจะวิตก กงั วล ฟุ้งซ่านชอบคิด ตดั สินใจไม่เด็ดขาด ไม่กลา้ ตดั สินใจ คิดอยา่ งไมม่ ีเหตผุ ล เกินจริง โดยแยกเป็ นสองกลุ่ม คือ ตณั หาจริต และ ทิฏฐิจริต ราคจริต โทสจริต โมหจริต จดั เป็นตณั หาจริต สัทธาจริต พุทธิจริต วติ กจริต จดั เป็นทิฏฐิจริต กรรมฐานทเี่ หมาะสมกบั แต่ละจริต ๑. ราคจริต เหมาะกบั อสุภะ ๑๐ นวสี ๙ กายคตานุสสติ ๒. โทสจริต เหมาะกบั วณั ณกสิน ๔ พรหมวิหาร ๔ ๓. โมหจริต เหมาะกบั อานาปานสติ ๔. วิตกจริต เหมาะกบั อานาปานสติ กสินท้งั ๖ คือ ปฐวีกสิน อาโปกสิน เตโชกสิน วาโยกสิน อาโลกกสิน อากาสกสิน ๖. สัทธาจริต เหมาะกับ อนุสสติ ๖ คือพุทธานุสสติ ธรรมานุสสติ สังฆานุสสติ จาคานุสสติ ศีลานุสสติ เทวตานุสสติ พทุ ธิจริต เหมาะแก่การบอกไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เพอ่ื ใหเ้ กิดความ เล่ือมใส พิจารณาธาตุ ๔อาหาเรปฏิกลู สญั ญา มรณานุสสติ อปุ สมานุสสติอานาปานสติเหมาะสมกบั ทุกจริต อารมณ์ท่ีกล่าวมา ๖ ประการน้ี บางคนมีอารมณ์ท้งั ๖ อยา่ งน้ีครบถว้ น บางรายก็มีไม่ครบ มีมากนอ้ ย กวา่ กนั ตามอานาจวาสนาบารมีที่อบรมมาในชาติอดีต อารมณ์ท่ีมีอยคู่ ลา้ ยคลึงกนั แต่ความเขม้ ขน้ รุนแรงไม่ เสมอกนั น้นั เพราะบารมีที่อบรมมาไม่เสมอกนั

๒๐ ๑๐. วนิ ิจฉัยกมั มฏั ฐาน ๔๐ โดยอาการ ๑๐ อย่าง กราวินิจฉยั กมั มฏั ฐาน ๔๐ โดยอาการ ๑๐ อยา่ ง เพราะเหตุฉะน้นั ในหัวขอ้ สังเขปท่ีขา้ พเจา้ กล่าวไวว้ า่ เรียนเอาพระกมั มฏั ฐานอย่างใดอย่างหน่ึงในบรรดาพระกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการ ฉะน้ีน้ัน ประการแรก นกั ศึกษาพงึ ทราบการวินิจฉยั กมั มฏั ฐานโดยอาการ ๑๐ อยา่ ง ดงั น้ี คือ ๑ . โดยแสดงจานวนกมั มฏั ฐาน ในอาการ ๑๐ อย่างน้ัน ประการแรก ขอ้ ว่า โดยแสดงจานวนกมั มฏั ฐาน มีอรรถาธิบายดงั น้ี :- ก็ ขา้ พเจา้ ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ ในบรรดาพระกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการ ฉะน้ี พระกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการ ณ ท่ีน้นั ทา่ นสงเคราะหเ์ ขา้ ไวเ้ ป็น ๗ หมวดดงั น้ี คือ ๑. กสิณกมั มฏั ฐาน ๑๐ อย่าง ๑.๑ ปฐวีกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยดิน ๑.๒ อาโปกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยน้า ๑.๓ เตโชกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยไฟ ๑.๔ วาโยกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยลม ๑.๕ นีลกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยสีเขียว ๑.๖ ปี ตกสิณกสิณสาเร็จดว้ ยสีเหลือง ๑.๗ โลหิตกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยสีแดง ๑.๘ โอทาตกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยสีขาว ๑.๙ อาโลกกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยแสงสวา่ ง ๑.๑๐ ปริจฉินนากาสกสิณ กสิณสาเร็จดว้ ยช่องวา่ งซ่ึงกาหนดข้ึน ๒. อสุภกมั มฏั ฐาน ๑๐ อย่าง ๒.๑ อุทธมาตกอสุภะ ซากศพท่ีข้ึนพองน่าเกลียด ๒.๒ วนิ ีลกอสุภะ ซากศพที่ข้ึนเป็นสีเขียวน่าเกลียด ๒.๓ วิปพุ พกอสุภะ ซากศพที่มีหนองแตกพลกั น่าเกลียด ๒.๔ วจิ ฉททุกอสุภะ ซากศพที่ถกู ตดั เป็นท่อน ๆ น่าเกลียด ๒.๕ วิกขายติ กอสุภะ ซากศพท่ีถูกสตั วก์ ดั กระจุยกระจายน่าเกลียด ๒.๖ วิกขิตตกอสุภะ ซากศพท่ีทิง้ ไวเ้ รี่ยราดน่าเกลียด ๒.๗ หาวิกขิตตกอสุภะ ซากศพท่ีถูกสับฟันทิง้ กระจดั กระจายน่าเกลียด ๒.๘ โลหิตกอสุภะ ซากศพที่มีโลหิตไหลออกน่าเกลียด

๒๑ ๒.๙ ปุฬวกอสุภะซากศพท่ีเตม็ ไปดว้ ยหนอนน่าเกลียด ๒.๑๐ อฏั ฐิกอสุภะ ซากศพที่เป็นกระดูกน่าเกลียด ๓. อนุสสตกิ มั มฏั ฐาน ๑๐ อย่าง ๓.๑ พุทธานุสสติ ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจา้ ๓.๒ ธมั มานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ๓.๓ สงั ฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระอริยสงฆ์ ๓.๔ สีลานุสสติ ระลกึ ถึงศีลของตน ๓.๕ จาคานุสสติ ระลึกถึงการบริจาคท่ีตนบริจาคแลว้ ๓.๖ เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นเทวดา ๓.๗ มรณานุสสติ ระลึกถึงความตาย ๓.๘ กายคตาสติ ระลึกถึงร่างกายซ่ึงลว้ นแต่ไมส่ ะอาด ๓.๙ อานาปานสติ ระลึกกาหนดลมหายใจเขา้ ออก ๓.๑๐ อุปสมานุสสติ ระลึกถึงนิพพานอนั เป็นท่ีดบั ทุกขท์ ้งั ปวง ๔. พรหมวิหารกมั มัฏฐาน ๔ อย่าง ๔.๑ เมตตา ความรักที่มุ่งช่วยทาประโยชน์ ๔.๒ กรุณา ความสงสารท่ีมุ่งช่วยบาบดั ทกุ ข์ ๔.๓ มุทิตา ความพลอยยนิ ดีต่อสมบตั ิ ๔.๔ อเุ ปกขา ความเป็นกลางไม่เขา้ ฝ่ายใด ๕. อารุปปกมั มฏั ฐาน ๔ อย่าง ๕.๑ อากาสานญั จายตนะ อากาศไมม่ ีท่ีสุด ๕.๒ วญิ ญาณญั จายตนะ วญิ ญาณไม่มีท่ีสุด ๕.๓ อากิญจญั ญายตนะ ความไมม่ ีอะไร ๕.๔ เนวสัญญานาสัญญายตนะ สญั ญาละเอียด ซ่ึงจะวา่ มีสัญญากไ็ มใ่ ช่ ไมม่ ีก็ไม่ใช่ ๖. สัญญากมั มัฏฐาน ๑ อย่าง ๖.๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ความหมายรู้ในอาหารโดยเป็นส่ิงที่น่าเกลียด ๗. ววตั ถานกมั มัฏฐาน ๑ อย่าง ๗.๑ จตุธาตวุ วตั ถาน การกาหนดแยกคนออกเป็นธาตุ ๔

๒๒ ๒. โดยการนามาซ่ึงอปุ จารฌานและอปั ปนาฌาน ขอ้ วา่ โดยนามาซ่ึงอปุ จารณานและอปั ปนาฌาน น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี :-กแ็ หละ ในกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการน้นั เฉพาะกมั มฏั ฐาน ๑๐ ประการ คือยกเวน้ กายคตาสติกบั อานาปานสติเสีย อนุสสติ กมั มฏั ฐานท่ีเหลือ ๘ กบั อาหาเรปฏิกูลสญั ญา ๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ นามาซ่ึงอปุ จารฌาน กมั มฏั ฐานที่เหลือ ๓๐ ประการ นามาซ่ึงอปั ปนาฌาน ๓. โดยความต่างกนั แห่งฌาน ขอ้ วา่ โดยผา่ นองคฌ์ านและอารมณ์ น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี การผา่ น๒ อยา่ ง คือ การผา่ นองคฌ์ าน ๑ การผา่ นอารมณ์ ๑ ใน ๒ อยา่ งน้นั การผา่ นองคฌ์ านยอ่ มมีไดใ้ นกมั มฏั ฐานที่ใหส้ าเร็จฌาน ๓ และฌาน ๔ แมท้ ้งั หมดท้งั น้ี เพราะทตุ ิยฌานเป็นตน้ ท่ีฌานลาภีบุคคลจะพึงไดบ้ รรลุในอารมณ์เดียวกนั น้นั ตอ้ งผา่ นองค์ ฌานท้งั หลาย มีวิตกและวิจารเป็นตน้ ข้ึนไป ในพรหมวหิ ารขอ้ ที่ ๔ กเ็ หมือนกนั เพราะแมพ้ รหมวหิ ารขอ้ ท่ี ๔ น้นั อนั ฌานลาภีบุคคลจะพึงไดบ้ รรลกุ ็ตอ้ งผา่ นโสมนสั เวทนาในอารมณ์ของพรหมวิหาร ๒ มีเมตตาเป็น ตน้ ไปเหมือนกนั ส่วนการผา่ นอารมณ์ ยอ่ มมีไดใ้ นอารูปปกมั มฏั ฐาน ๔ เพราะอากาสานญั จายตนฌานอนั ฌานลาภีบคุ คลจะพงึ ไดบ้ รรลุ ก็ตอ้ งผา่ นกสิณอนั ใดอนั หน่ึงในบรรดากสิณ ๙ อยา่ งขา้ งตน้ และวญิ ญาณญั จายตนฌานเป็นตน้ อนั ฌานลาภิบุคคลจะพึงไดบ้ รรลุ กต็ อ้ งผา่ นอารมณ์ท้งั หลายมีอากาศเป็นตน้ ข้ึนไป การ ผา่ นอารมณ์หาไดม้ ีในกมั มฏั ฐาน ท่ีเหลือนอกจากน้ีไม่ ๔. โดยผ่านองค์ฌานและอารมณ์ ขอ้ วา่ โดยผา่ นองคฌ์ านและอารมณ์ น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี การผา่ น๒ อยา่ ง คือ การผา่ นองคฌ์ าน ๑ การผา่ นอารมณ์ ๑ ใน ๒ อยา่ งน้นั การผา่ นองคฌ์ านยอ่ มมีไดใ้ นกมั มฏั ฐานท่ีใหส้ าเร็จฌาน ๓ และฌาน ๔ แมท้ ้งั หมดท้งั น้ี เพราะทตุ ิยฌานเป็นตน้ ท่ีฌานลาภีบุคคลจะพงึ ไดบ้ รรลใุ นอารมณ์เดียวกนั น้นั ตอ้ งผา่ นองค์ ฌานท้งั หลาย มีวิตกและวิจารเป็นตน้ ข้ึนไป ในพรหมวิหารขอ้ ท่ี ๔ ก็เหมือนกนั เพราะแมพ้ รหมวิหารขอ้ ท่ี ๔ น้นั อนั ฌานลาภีบุคคลจะพงึ ไดบ้ รรลุก็ตอ้ งผา่ นโสมนสั เวทนาในอารมณ์ของพรหมวิหาร ๒ มีเมตตาเป็น ตน้ ไปเหมือนกนั ส่วนการผา่ นอารมณ์ ยอ่ มมีไดใ้ นอารูปปกมั มฏั ฐาน ๔ เพราะอากาสานญั จายตนฌานอนั ฌานลาภีบคุ คลจะพงึ ไดบ้ รรลุ กต็ อ้ งผา่ นกสิณอนั ใดอนั หน่ึงในบรรดากสิณ ๙ อยา่ งขา้ งตน้ และวญิ ญาณญั จายตนฌานเป็นตน้ อนั ฌานลาภิบคุ คลจะพึงไดบ้ รรลุ กต็ อ้ งผา่ นอารมณ์ท้งั หลายมีอากาศเป็นตน้ ข้ึนไป การ ผา่ นอารมณ์หาไดม้ ีในกมั มฏั ฐาน ท่ีเหลือนอกจากน้ีไม่

๒๓ ๕. โดยควรขยายและไม่ควรขยาย ขอ้ วา่ โดยควรขยายและไมค่ วรขยาย น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี: กมั มฏั ฐานที่ควรขยาย ในกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการน้นั กสิณกมั มฏั ฐานควรขยายท้งั ๑๐ ประการนน่ั เทียว เพราะวา่ โยคีบุคคลแผก่ สิณไปสู่โอกาส ไดป้ ระมาณเทา่ ใด กส็ ามารถไดย้ นิ เสียงดว้ ยทิพพโสตะ เห็นรูปไดด้ ว้ ยทิพพจกั ษุ และรู้จิตของสัตวอ์ ่ืนได้ ดว้ ยจิต ภายในโอกาสประมาณเทา่ น้นั กมั มฏั ฐานท่ีไมค่ วรขยาย ส่วนกายคตาสติ กบั อสุภกมั มฏั ฐาน ๑๐ ประการ ไม่ควรขยาย เพราะเหตุ ไร ? เพราะกมั มฏั ฐานเหลา่ น้ี โยคีบคุ คลกาหนดเอาดว้ ยโอกาสเฉพาะ และเพราะไม่มีอานิสงส์อะไร และขอ้ ที่กมั มฏั ฐานเหล่าน้ีอนั โยคีบุคคลกาหนดเอาดว้ ยโอกาสเฉพาะน้นั จกั ปรากฏในแผนกแห่งภาวนาของ กมั มฏั ฐานน้นั ๆ ขา้ งหนา้ แหละเม่ือโยคีบคุ คล ขยายกมั มฏั ฐานเหลา่ น้ีแลว้ ก็เป็นแตเ่ พียงขยายกองแห่ง ซากศพเท่าน้นั หามีอานิสงส์อะไรแตป่ ระการใดไม่ แมค้ วามขอ้ น้ีสมกบั ที่ท่านกล่าวไวใ้ นโสปากปัญหา พยากรณ์วา่ ขา้ แตส่ มเด็จพระผมู้ ีพระภาค รูปสญั ญาปรากฏชดั แลว้ แต่อฏั ฐิกสญั ญาไม่ปรากฏชดั ก็ใน ปัญหาพยากรณ์น้นั ท่ีทา่ นกล่าววา่ รูปสัญญาปรากฏชดั แลว้ ท่านกลา่ วดว้ ยอานาจที่ไดข้ ยายนิมิต ส่วนที่วา่ อฏั ฐิกสัญญาไม่ปรากฏชดั น้นั ทา่ นกล่าวดว้ ยอานาจที่ไม่ไดข้ ยายนิมิต ส่วนพระพุทธพจน์ที่ตรัสไวว้ า่ ภิกษุ แผอ่ ฏั ฐิกสญั ญาไปสู่แผน่ ดินท้งั ส้ิน ฉะน้ีน้นั พระองคต์ รัสไวด้ ว้ ยอานาจอาการท่ีปรากฏแก่ภิกษผุ มู้ ีอฏั ฐิก สัญญา หาไดต้ รัสดว้ ยการขยายนิมิตไม่ จริงอยา่ งน้นั ในรัชสมยั ของพระเจา้ ธรรมาโศกราช ไดม้ ีนกกรเวก เห็นเงาของตนที่ฝาซ่ึงทาดว้ ยกระจกโดยรอบ ๆ ตวั แลว้ มนั สาคญั วา่ มีนกกรเวกอยใู่ นทว่ั ทกุ ทิศ จึงไดร้ ้อง ออกไปดว้ ยเสียงอนั ไพเราะ แมพ้ ระเถระก็เช่นเดียวกนั เพราะทา่ นไดส้ าเร็จอฏั ฐิกสญั ญา จึงเห็นนิมิตปรากฏ อยใู่ นทว่ั ทุกทิศ เลยเขา้ ใจวา่ แผน่ ดินแมท้ ้งั หมดเตม็ ไปดว้ ยอฏั ฐิ ฉะน้ี ๖. โดยอารมณ์ของฌาน ขอ้ วา่ โดยอารมณ์ของฌาน น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี :- กแ็ หละ ในกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการน้นั กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อานาปานสติ ๑ กายคตาสติ ๑ รวม ๒๒ กมั มฏั ฐานน้ี มีอารมณ์เป็นปฏิภาคนิมิต กมั มฏั ฐานที่ เหลือ ๑๘ มีอารมณ์ไม่เป็ นปฏิภาคนิมิต อน่ึง ในอนุสสติ ๑๐ ยกเวน้ อานาปานสติกบั กายคตาสติเสีย อนุสสติที่เหลือ ๘ กบั อาหาเรปฏิกลู สญั ญา ๑ จตธุ าตุววตั ถาน ๑ วิญญาณญั จายตนะ ๑ เนวสัญญา นาสญั ญายตนะ รวม ๑๒ กมั มฏั ฐานน้ี มี อารมณ์เป็นสภาวธรรม กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อานาปานสติ ๑ กายคตาสติ ๑ รวม ๒๒ กมั มฏั ฐานน้ี มีอารมณ์ เป็นนิมิต กมั มฏั ฐานท่ีเหลือ ๕ คือ พรหมวหิ าร ๔ อากาสานญั จายตนะ ๑ อากิญจญั ญายตนะ ๑ มีอารมณ์ท่ี พูดไมถ่ ูก (คือใช่สภาวธรรมและไมเ่ ป็นนิมิต)

๒๔ ๗. โดยภูมเิ ป็ นทบี่ งั เกดิ ก็แหละ ในขอ้ วา่ โดยภูมิเป็นท่ีบงั เกิด น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี - อสุภกมั มฏั ฐาน ๑๐ กายคตาสติ ๑ อา หาเรปฏิกลู สัญญา ๑ รวม ๑๒ กมั มฏั ฐานน้ี ยอ่ มไมบ่ งั เกิดในเทวโลกช้นั กามาวจร เพราะซากศพและอาหาร อนั น่าเกลียดไม่มีในเทวโลกช้นั น้นั กมั มฏั ฐาน ๑๒ น้นั รวมกบั อานาปานสติ ๑ เป็น ๑๓ กมั มฏั ฐานน้ี ยอ่ ม ไม่บงั เกิดในพรหมโลก เพราะลมอสั สาสะปัสสาสะไมม่ ีในพรหมโลกกมั มฏั ฐานอื่นจากอารุปปกมั มฏั ฐาน ๔ แลว้ ยอ่ มไมบ่ งั เกิดในอรูปภพส่วนในโลกมนุษย์ กมั มฏั ฐานบงั เกิดไดค้ รบหมดท้งั ๔๐ ประการ ฉะน้นั นกั ศึกษาพงึ ทราบการวินิจฉยั กมั มฏั ฐานโดยภมู ิเป็ นท่ีบงั เกิด ดว้ ยประการฉะน้ี ๘. โดยการถือเอา นขอ้ วา่ โดยการถือเอา น้นั พึงทราบการวินิจฉยั กมั มฏั ฐาน แมโ้ ดยการถือเอาดว้ ยวตั ถุที่ไดเ้ ห็น, ได้ ถกู ตอ้ ง และท่ีไดย้ นิ ดงั น้ี ในกมั มฏั ฐานเหล่าน้นั ยกเวน้ วาโย กสิณเสีย กสิณท่ีเหลือ ๙ กบั อสุภ ๑๐ รวมเป็น ๑๙ กมั มฏั ฐานน้ี พึงถือเอาไดด้ ว้ ยสีท่ีไดเ้ ห็น อธิบายวา่ ในเบ้ืองตน้ ตอ้ งแลดูดว้ ยตาเสียก่อนแลว้ จึงถือเอา นิมิตของกมั มฏั ฐานเหล่าน้นั ได้ ในกายคตาสติ อาการ ๕ คือ ผม, ขน, เลบ็ , ฟันและหนงั พงึ ถือเอาไดด้ ว้ ยสี ที่ไดเ้ ห็น อาการท่ีเหลืออีก ๒๗ พงึ ถือเอาไดด้ ว้ ยเสียงท่ีไดย้ นิ ดงั น้นั อารมณ์ของกายคตาสติกมั มฏั ฐาน จึง ถือเอาไดด้ ว้ ยสีท่ีไดเ้ ห็นและเสียงที่ไดย้ นิ ฉะน้ี อานาปานสติกมั มฏั ฐาน จึงถือเอาไดด้ ว้ ยการถูกตอ้ ง(สัมผสั ) วาโยกสิณพึงถือเอาไดด้ ว้ ยสีที่ไดเ้ ห็นและสมั ผสั ท่ีไดถ้ ูกตอ้ ง กมั มฏั ฐานท่ีเหลืออีก ๑๔ พงึ ถือเอาไดด้ ว้ ย เสียงที่ไดย้ นิ แหละในกมั มฏั ฐาน ๔๐ ประการน้นั กมั มฏั ฐาน ๕ คือ อเุ ปกขาพรหมวิหาร ๑ อารุปป กมั มฏั ฐาน ๔ อนั โยคีบุคคลผเู้ ริ่มลงมือทากมั มฏั ฐานจะพึงถือเอาไมไ่ ดใ้ นทนั ทีทีเดียว กมั มฏั ฐานท่ีเหลืออีก ๓๕ จึงถือเอาไดโ้ ดยทนั ที ฉะน้นั นกั ศึกษาพึงทราบการวินิจฉยั กมั มฏั ฐานโดยการถือเอา ดว้ ยประการฉะน้ี ๙. โดยความเป็นปัจจยั เก้ือหนุน ขอ้ วา่ โดยความเป็นปัจจยั เก้ือหนุน น้นั มีอรรถาธิบายดงั น้ี :- กแ็ หละในบรรดากสิณ ๙ ประการ (ยกเวน้ อากาสกสิณ) ยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่อารุปปฌานท้งั หลายกสิณท้งั ๑๐ ประการ ยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่อภิญญาท้งั หลายพรหมวหิ าร ๒ (ขา้ งตน้ ) ยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่พรหมวหิ ารขอ้ ท่ี ๔อารุปป กมั มฏั ฐานบทต่า ๆ ยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่อารุปปกมั มฏั ฐานบทสูง ๆ เนวสัญญานาสญั ญายตน กมั มฏั ฐาน ยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่นิโรธสมาบตั ิกมั มฏั ฐานแมท้ ้งั หมด ยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่การอยู่ เป็นสุข แก่วปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน และแก่ภวสมบตั ิท้งั หลาย ฉะน้นั นกั ศึกษาพึงทราบการวินิจฉยั กมั มฏั ฐาน โดยความเป็นปัจจยั เก้ือหนุนดว้ ยประการฉะน้ี

๒๕ ๑๐. โดยเหมาะสมแก่จริยา ในขอ้ วา่ โดยเหมาะสมแก่จริยา น้ี พงึ ทราบการวินิจฉยั แมโ้ ดยความเหมาะสมแก่จริยาท้งั หลาย ดงั น้ี ประการแรก ในกมั มฏั ฐาน ๔๐ น้นั กมั มฏั ฐาน ๑๑ คือ อสุภ ๑๐ กายคตาสติ ๑ ยอ่ มเหมาะสมแก่คนราคจริต กมั มฏั ฐาน ๔ คือ พรหมวหิ าร ๔ วรรณกสิณ ๔ เหมาะสมแก่คนโทสจริตอานาปานสติกมั มฏั ฐานขอ้ เดียว เท่าน้นั เหมาะสมแก่คนโมหจริตและคนวติ กจริตอนุสสติ ๕ ขา้ งตน้ เหมาะสมแก่คนศรัทธาจริตกมั มฏั ฐาน ๔ คือ มรณสติ ๑ อุปสมานุสสติ ๑ จตธุ าตวุ วตั ถาน ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา๑ เหมาะสมแก่คนพุทธิจริตกสิณ กมั มฏั ฐานที่เหลือ ๖ กบั อารุปปกมั มฏั ฐาน ๔ เหมาะสมแก่คนทุกจริตแต่วา่ ในกสิณ น้นั กสิณอยา่ งใด อยา่ ง หน่ึงที่เล็กขนาดขนั โอ ยอ่ มเหมาะสมแก่คนวิตกจริตกสิณอยา่ งใด อยา่ งหน่ึงขนาดใหญก่ วา่ น้นั จนขนาดเท่า จานขา้ วเป็นตน้ ยอ่ มเหมาะสมแก่คนโมหจริต ๑๑. วธิ เี รียนเอากมั มัฏฐาน เมื่อพิจารณาถึงองคป์ ระกอบท่ีมีส่วนสาคญั ในการปฏิบตั ิกมั มฏั ฐานเพอื่ การบรรลุมรรคผลนิพพาน ตามที่ไดก้ ล่าวถึงในคมั ภีร์วสิ ุทธิมรรคน้นั หากทาการแยกแยะและจาแนกเป็นองคป์ ระกอบหลกั ในระบบ การเรียนการสอนกมั มฏั ฐานจะประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ ดงั น้ี ๑) อาจารยผ์ สู้ อนกมั มฏั ฐาน ๒) ผปู้ ฏิบตั ิกมั มฏั ฐาน ๓) สภาพแวดลอ้ มในการปฏิบตั ิกมั มฏั ฐาน ๔) วิธีการเรียนการสอนและการปฏิบตั ิกมั มฏั ฐาน ๕) ผลผลิตของการปฏิบตั ิกมั มฏั ฐาน วธิ ีการสงั เกตดูคนแตล่ ะจริต และกมั มฏั ฐานท่ีเหมาะสมกบั แตล่ ะจริตเพื่อใหส้ ามารถเลือกกมั มฏั ฐานท่ี เหมาะสม ดงั น้ี ราคจริต อสุภะ ๑๐, กายคตาสติ, ภูตกสิณ, อาโลกกสิณ, อากาสกสิณ โทสจริต วณั ณกสิณ, พรหมวิหาร ๔, ภตู กสิณ, อาโลกกสิณ, อากาสกสิณ โมหจริต อานาปานสติ, ภตู กสิณ, อาโลกกสิณ, อากาสกสิณ วติ กจริต อานาปานสติ, ภตู กสิณ, อาโลกกสิณ, อากาสกสิณ สัทธาจริต อนุสสติ ๖, ภูตกสิณ, อาโลกกสิณ, อากาสกสิณ พุทธิจริต มรณานุสสติ, อปุ สมานุสติ, อาหาเรปฏิกูลสัญญา, จตุธาตวุ วตั ถาน, ภตู กสิณ, อาโลกกสิณ, อากาสกสิณ

๒๖ การเลือกกมั มฏั ฐานให้เหมาะสมกบั จริตถือเป็ นการให้แนวทางแก่พระอาจารยผ์ ูส้ อนกมั มฏั ฐานเพื่อ จะไดม้ ีหลกั ในการพจิ ารณาเลือกกมั มฏั ฐานใหเ้ หมาะสมกบั จริตของศิษยแ์ ต่ละคน ซ่ึงในคมั ภีร์วิสุทธิมรรค กล่าววา่ การเลือกกมั มฏั ฐานน้นั เป็ นหนา้ ท่ีของพระอาจารยผ์ ูไ้ ดเ้ จโตปริยญาณ จึงจะทราบถึงกมั มฏั ฐานที่ เหมาะกบั จริตแต่หากไม่มีคุณวิเศษดงั กล่าว ก็เป็ นหน้าท่ีของอาจารยท์ ี่ควรถามศิษยว์ ่ามีจริตอะไร มีความ ถนดั ในการทากมั มฏั ฐานเช่นไร และเลือกกมั มฏั ฐานใหเ้ หมาะสมกบั จริตของศิษยน์ ้นั ๑๒. คาถวายตัวแด่พระพทุ ธเจ้า อนั โยคีบุคคลน้นั จึงเขา้ ไปหากลั ยาณมิตรผูม้ ีลกั ษณะอาการตามท่ีขา้ พเจา้ ไดก้ ล่าวมาในหัวขอ้ ว่า พึง เขา้ ไปหากลั ยาณมิตรผูใ้ ห้พระกมั มฏั ฐาน ฉะน้ีแลว้ พึงถวายตวั แต่ พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจา้ หรือแก่พระ อาจารย์ แลว้ จึงทาตนใหเ้ ป็ นผมู้ ีอชั ฌาสัยอนั สมบูรณ์ และมีอธิมุติอนั สมบูรณ์ แลว้ จึงขอเอาพระกมั มฏั ฐาน เถิด คาถวายตวั แด่พระพทุ ธเจ้า ในการถวายตวั น้นั โยคีบุคคลพงึ กล่าวคาถวายตวั แด่พระผมู้ ีพระภาคพุทธ เจา้ วา่ ดงั น้ี อิมาห ภควา อตฺตาภาว ตมุ ฺหาก ปริจฺจชามิ ขา้ แต่พระผมู้ ีพระภาค ขา้ พระพุทธเจา้ ขอถวายอตั ภาพร่างกายอนั น้ี แด่พระพุทธองค์ โทษท่ีไม่ถวายตัวแด่พระพุทธเจ้า จริงอยู่ โยคีบุคคลคร้ันไม่ไดถ้ วายตนอยา่ งน้ีแลว้ เมื่อหลีกไปอยทู่ ี่ เสนาสนะอนั เงียบสงดั คร้ันอารมณ์อนั น่ากลวั มาปรากฏใหเ้ ห็นในคลองแห่งจกั ษุ ก็ไมส่ ามารถท่ีจะยบั ย้งั ต้งั ตนอยไู่ ด้ จะเล่ียงหนีไปยงั แดนหมู่บา้ น เกิดเป็นผคู้ ลุกคลีกบั พวกคฤหสั ถท์ าการแสวงหาลาภสักการะอนั ไม่ สมควร ก็จะพงึ ถึงซ่ึงความฉิบหายเสีย อานิสงส์ถวายตวั แด่พระพุทธเจ้า ส่วนโยคีบุคคลผไู้ ดถ้ วายตวั แลว้ ถึงแมจ้ ะมีอารมณ์อนั น่ากลวั มา ปรากฏใหเ้ ห็นในคลองแห่งจกั ษุ ก็จะไม่เกิดความหวาดกลวั แต่อยา่ งใด มีแต่จะเกิดความโสมนสั อยา่ งเดียว โดยท่ีจะไดเ้ ตือนตนวา่ พอ่ บณั ฑิต ก็วนั ก่อนน้นั เจา้ ไดถ้ วายตวั แด่พระพุทธเจา้ แลว้ มิใช่หรือ ? เหมือนอยา่ ง ว่า บุรุษคนหน่ึงจะพึงมีผา้ กาสิกพสั ตร์ (ผา้ ท่ีทาในแว่นแควน้ กาสี) อยา่ งดีท่ีสุด เม่ือผา้ น้นั ถูกหนูหรือพวก แมลงสาบกดั เขาก็จะพงึ เกิดความโทมนสั เสียใจ แต่ถา้ เขาจะพึงถวายผา้ น้นั แก่ภิกษุผไู้ ม่มีจีวรไปเสีย แต่น้นั ถึงเขาจะไดเ้ ห็นผา้ น้นั อนั ภิกษุเอามาตดั ทาใหเ้ ป็ นช้ินเลก็ ชิ้นนอ้ ย เขาก็จะพึงเกิดแตค่ วามโสมนสั อยา่ งเดียว ฉนั ใด แมค้ าอุปไมยน้ีนกั ศึกษากพ็ งึ ทราบเหมือนฉนั น้นั

๒๗ ๑๓. คาถวายตัวแก่อาจารย์ โยคีบุคคล แมเ้ มื่อจะถวายตวั แก่พระอาจารย์ ก็พงึ กล่าวคาถวายตวั ดงั น้ี อิมาห ภนุเต อตฺตภาว ตุมฺหาก ปริจฺจชามิ ขา้ แต่ทา่ นอาจารยผ์ เู้ จริญ กระผมขอมอบถวายอตั ภาพร่างกายอนั น้ีแก่ทา่ นอาจารย์ โทษท่ีไม่ถวายตัวแก่อาจารย์ จริงอยู่ โยคีบุคคลผูไ้ ม่ไดถ้ วายตวั อย่างน้ี ย่อมจะเป็ นคนอนั ใคร ๆ ขดั ขวางไม่ได้ บางทีก็จะเป็นคนวา่ ยากไม่เช่ือฟังโอวาท บางทีก็จะเป็ นคนตามแต่ใจตนเอง อยากไปไหนก็ จะไปโดยไม่บอกลาอาจารยก์ ่อน โยคีบุคคลเช่นน้ีน้ัน อาจารยก์ ็จะไม่รับสงเคราะห์ดว้ ยอามิสหรือดว้ ย ธรรมะคือการส่ังสอน จะไม่ให้ศึกษาวิชากัมมฏั ฐานอนั สุขุมลึกซ้ึง เม่ือเธอไม่ได้รับการสงเคราะห์ ๒ ประการน้ีแลว้ ก็จะไมไ่ ดท้ ่ีพ่ึงในพระศาสนา ไม่ชา้ ไม่นานก็จะถึงซ่ึงความเป็นคนทุศีล หรือเป็นคฤหัสถไ์ ป เลย อานิสงส์ท่ีถวายตวั แก่อาจารย์ ส่วนโยคีบุคคลผถู้ วายตวั แลว้ จะไม่เป็ นคนอนั ใคร ๆ ขดั ขวางไมไ่ ด้ ไม่เป็ นคนตามแต่ใจตนเอง จะเป็ นคนว่าง่าย มีความประพฤติติดเน่ืองอยู่กบั อาจารย์ เม่ือเธอได้รับการ สงเคราะห์ ๒ ประการจากอาจารยแ์ ลว้ ก็จะถึงซ่ึงความเจริญงอกงามไพบูลยใ์ นพระศาสนา เหมือนอยา่ ง พวกศิษยอ์ นั เตวาสิกของพระจูฬปิ ณฑปาติกติสสเถระเป็นตวั อยา่ ง เร่ืองศิษย์พระติสสเถระ มีเรื่องเล่าวา่ มีภิกษุ๓ รูป ไดม้ าสู่สานกั ของพระติสสเถระแลว้ ใน ๓ รูป น้นั รูปหน่ึงกราบเรียนอาสาแก่พระเถระวา่ “ท่านขอรับ เม่ือมีใคร ๆ ขอร้องเพ่ือประโยชน์ของท่านอาจารย์ แลว้ กระผมสามารถท่ีจะกระโดดลงไปในเหวลึกชวั่ ร้อยบุรุษ” รูปท่ีสองกราบเรียนอาสาว่า “ท่านขอรับ เมื่อมีใคร ๆ ขอร้องเพ่ือประโยชน์ของท่านอาจารยแ์ ลว้ กระผมสามารถท่ีจะเอาร่างกายน้ีฝนท่ีพ้ืนหินให้ กร่อนไปต้งั แต่ สนั เทา้ จนกระทง่ั ไม่มีร่างกายเหลืออย”ู่ รูปท่ีสามกราบเรียนอาสาว่า “ท่านขอรับ เมื่อมีใคร ๆ ขอร้องเพื่อประโยชน์ของท่านอาจารยแ์ ลว้ กระผมสามารถท่ีจะกล้นั ลมอสั สาสะ ปัสสาสะทากาลกิริยา ตายได”้ ฝ่ายพระเถระพิจารณาเห็นวา่ “ภิกษเุ หลา่ น้ีเป็นผมู้ ีความสมควรแลว้ ” จึงไดบ้ อกพระกมั มฏั ฐานให้ ภิกษุเหล่าน้นั ดารงตนอยใู่ น โอวาทของพระเถระ ไดบ้ รรลุซ่ึงพระอรหตั แมท้ ้งั ๓ รูปแล น้ีเป็นอานิสงส์ใน การมอบถวายตวั ดว้ ยเหตุน้ี ขา้ พเจา้ จึงไดก้ ล่าวไวว้ ่า จึงมอบถวายตวั แด่พระผูม้ ีพระภาคพุทธเจา้ หรือแก่ อาจารย์ ฉะน้ี

๒๘ ๑๔. โยคผี ู้มีอชั ฌาสัยสมบูรณ์ ก็แหละ ในหวั ขอ้ สังเขปที่ขา้ พเจา้ กลา่ วมาแลว้ วา่ เป็นผมู้ ีอชั ฌาสยั อนั สมบูรณ์และมีอธิมุติอนั สมบูรณ์ ฉะน้ีน้นั มีอรรถาธิบายดงั ต่อไปน้ี อนั โยคีบคุ คลน้นั พงึ เป็นผมู้ ีอชั ฌาสัยอนั สมบรู ณ์ โดยอาการ ๖ อยา่ ง ดว้ ย อานาจแห่งธรรม มี อโลภะ เป็นตน้ อรรถาธิบายของฎกี าจารย์ ในอธิการน้ี ท่านฎีกาจารยไ์ ดอ้ รรถาธิบายไวอ้ ย่างพิสดารดงั น้ี: ธรรมท้งั หลายมีอโลภะเป็ นตน้ มี อุปการะมากแก่สัตวท์ ้งั หลายและแก่โยคีบุคคล โดยพิเศษ ท้งั น้ีเพราะเป็ นเหตุกาจดั เสียซ่ึงโทษอยา่ งอนันต์ และเป็ นเหตุนามาซ่ึงคุณอยา่ งมหันต์ เป็ นความจริงอยา่ งน้นั ธรรมท้งั หลายมี อโลภะ เป็ นตน้ ยอ่ มเป็ นไป โดยความเป็นปฏิปักษแ์ ก่มลทินท้งั หลายมีมลทินคือความตระหนี่เป็ นตน้ สมจริงตามที่ท่านอรรถกถาจารย์ แสดงไวใ้ นอรรถกถาแห่งอภิธรรม ดงั ตอ่ ไปน้ี อโลภะ เป็นปฏิปักษแ์ ก่มลทินคือ ความตระหน่ี แตเ่ ป็นเหตุแห่ง ทาน อโทสะ เป็นปฏิปักษแ์ ก่มลทินคือ ความทศุ ีล แตเ่ ป็นเหตแุ ห่ง ศีล อโมหะ เป็นปฏิปักษแ์ ก่ การไม่ภาวนาในกศุ ลธรรมท้งั หลาย แต่เป็นเหตุแห่ง ภาวนา แหละใน ๓ เหตุน้นั บุคคลยอ่ มถืออยา่ งไม่ตึงเครียดดว้ ยอโลภะ เพราะคนท่ีโลภแลว้ ยอ่ มถืออย่างตึง เครียดบคุ คลยอ่ มถืออยา่ งไม่หยอ่ นยานดว้ ยอโทสะ เพราะคนท่ีโกรธแลว้ ยอ่ มถืออยา่ งหยอ่ นยาน บุคคลยอ่ ม ถืออยา่ งไม่วิปริตผิดเพ้ียนดว้ ยอโมหะ เพราะคนท่ีหลงแลว้ ยอ่ มถืออยา่ งวิปริตผิดเพ้ียนอีกอยา่ งหน่ึง ใน ๓ เหตุน้นั บุคคลทรงจาโทษอนั มีอยไู่ วโ้ ดยความเป็ นโทษและประพฤติเป็ นไปในโทษน้นั ดว้ ยอโลภะ เพราะ คนท่ีโลภแลว้ ย่อมปกปิ ดโทษไว้ บุคคลทรงจาคุณอนั มีอยไู่ วโ้ ดยความเป็ นคุณและประพฤติเป็ นไปในคุณ น้นั ดว้ ยอโทสะ เพราะคนท่ีโกรธแลว้ ยอ่ มลบลา้ งคุณเสีย บคุ คลทรงจาซ่ึงสภาวะที่เป็นจริงโดยเป็นสภาวะที่ เป็นจริงและประพฤติเป็ นไปในสภาวะท่ีเป็ นจริงน้นั ดว้ ยอโมหะ เพราะคนหลงแลว้ ยอ่ มยดึ ถือส่ิงท่ีเปล่าว่า ไม่เปล่าและสิ่งท่ีไม่เปล่าวา่ เปล่า อน่ึง ทุกข์เพราะพรากจากส่ิงที่รักยอ่ มไม่เกิดมีดว้ ยอโลภะเป็ นเหตุ เพราะคนที่โลภแลว้ เป็ นแดนเกิด แห่งสิ่งเป็นท่ีรักดว้ ย เพราะอดกล้นั ไวไ้ มไ่ ดต้ ่อการพรากจากส่ิงท่ีรักดว้ ย ทกุ ขเ์ พราะประจวบกบั สิ่งไมเ่ ป็ นที่ รักยอ่ มไม่เกิดมีดว้ ยอโทสะเป็ นเหตุ เพราะคนโกรธแลว้ เป็ นแดนเกิดแห่งสิ่งไม่เป็ นท่ีรักดว้ ย ทุกข์เพราะ ไม่ไดส้ มหวงั ยอ่ มไม่เกิดมีดว้ ยอโมหะเป็ นเหตุ เพราะคนท่ีไม่หลงเป็ นแดนเกิดแห่งการใคร่ครวญพิจารณา วา่ ขอ้ น้นั จะพงึ ได้ ณ ที่น้ีแตท่ ี่ไหนเลา่

๒๙ อีกประการหน่ึง ในเหตุ ๓ อยา่ งน้นั ชาติทุกขไ์ ม่มีดว้ ย อโลภะเป็นเหตุ เพรา ะอโลภะ เป็นปฏิปักษ์ แก่ตณั หา เพราะชาติทุกข์มีตณั หาเป็ นมูลราก ชราทุกขไ์ ม่มีดว้ ย อโทสะเป็ นเหตุ เพราะความโกรธอย่าง รุนแรงเป็นเหตุใหแ้ ก่เร็ว มรณทุกขไ์ มม่ ีดว้ ยอโมหะเป็ นเหตุ เพราะความหลงตายเป็นเหตุนามาซ่ึงทุกข์ และ มรณทุกขน์ ้นั ยอ่ มไม่มีแก่คนที่ไม่หลง อน่ึง ความอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสบายยอ่ มมีแก่คฤหัสถท์ ้งั หลายดว้ ยอโล ภะเป็นเหตุ ความอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสบายยอ่ มมีแก่บรรพชิตท้งั หลายดว้ ยอโมหะเป็นเหตุ ส่วนความอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสบายสาหรับคนทุกเพศ ยอ่ มมีไดด้ ว้ ยอโทสะเป็นเหตุ อีกประการหน่ึง เมื่อวา่ โดยพเิ ศษแลว้ ในเหตุ ๓ น้นั ดว้ ยอโลภเหตุ จึงไมม่ ีการบงั เกิดในเปตติวิสยั จริง อยู่ ส่วนมากสัตวท์ ้งั หลายยอ่ มเขา้ ถึงเปตติวิสัยดว้ ยตณั หา และอโลภะก็เป็ นปฏิปักษแ์ ก่ตณั หาดว้ ย ดว้ ยอ โทสเหตุ จึงไม่มีการบงั เกิดในนรก จริงอยสู่ ัตวท์ ้งั หลายยอ่ มเขา้ ถึงนรกอนั คลา้ ยกบั โทสะดว้ ยโทสะเป็ นเหตุ เพราะเป็ นผูม้ ีสันดานดุร้ายและอโทสะก็เป็ นปฏิปักษ์แก่โทสะดว้ ย ดว้ ยอโมหเหตุ จึงไม่มีการบงั เกิดใน กาเนิดดิรัจฉาน จริงอยู่ สัตวท์ ้งั หลายย่อมเขา้ ถึงกาเนิดดิรัจฉานอนั หลงอยู่ตลอดกาลดว้ ยโมหะเป็ นเหตุ และอโมหะก็เป็ นปฏิปักษแ์ ก่โมหะดว้ ย อน่ึง ใน ๓ เหตุน้นั อโลภเหตุทาให้ไม่มีการประจวบดว้ ยอานาจ ราคะ อโทสเหตุทาให้ไม่มีการพลดั พรากดว้ ยอานาจโทสะ อโมหเหตุทาให้ไม่มีความไม่เป็ นกลางด้วย อานาจโมหะ อีกประการหน่ึง สัญญา ๓ เหล่าน้ี คือ เนกขมั มสัญญา สัญญาในการออกจากกาม ๑ อพั ยาปาทสัญญา สญั ญาในอนั ไม่พยาบาท ๑ อวหิ ิงสาสัญญา สัญญาในอนั ไมเ่ บียดเบียน ๑ และสญั ญาอีก ๓ เหลา่ น้ี คือ อสุภ สัญญา สัญญาในความไม่งาม ๑ อปั ปมาณสัญญา สัญญาในอนั ไม่มีประมาณ ๑ ธาตุสัญญา สัญญาในความ เป็นธาตุ ๑ ยอ่ มมีไดด้ ว้ ยเหตุแมท้ ้งั ๓ ประการน้ีโดยลาดบั อน่ึง การงดเวน้ ซ่ึงขอบทางคือกามสุขลั ลิกานุโยค ยอ่ มมีไดด้ ว้ ย อโลภะ การงดเวน้ ซ่ึงขอบทางคืออตั ตกิลมถานุโยค ยอ่ มมีไดด้ ว้ ย อโทสะ การดาเนินไปสู่ขอ้ ปฏิบตั ิอนั เป็นกลาง ยอ่ มมีไดด้ ว้ ย อโมหะ การทาลายอภิชฌากายคนั ถะ ยอ่ มมีไดด้ ว้ ย อโลภะ การทาลายพยาบาทกายคนั ถะ ยอ่ มมีไดด้ ว้ ย อโทสะ การทาลายสีลพั พตปรามาส และอิทงั สจั จาภินิเวส ยอ่ มมีไดด้ ว้ ย อโมหะ

๓๐ อน่ึง สติปัฏฐาน ๒ ขอ้ ตน้ (กาย, เวทนา) ยอ่ มสาเร็จดว้ ยอานุภาพของกศุ ลเหตุ ๒ ขา้ งตน้ (อโลภะ, อโท สะ) สติปัฏฐาน ๒ ขอ้ หลงั (จิต, ธรรม) ยอ่ มสาเร็จดว้ ยอานุภาพของกศุ ลเหตุขอ้ หลงั ขอ้ เดียว (อโมหะ) อีกประการหน่ึง ใน ๓ เหตนุ ้นั อโลภเหตุยอ่ มเป็นปัจจยั แก่ความไมม่ ีโรค จริงอยคู่ นท่ีไมม่ ีโลภย่อมไม่ เสพอาหารอนั ไม่เป็นท่ีสบาย แมท้ ่ีเร้าใหอ้ ยากกิน จึงเป็นผไู้ ม่มีโรคดว้ ยเหตุน้นั อโทสเหตุยอ่ มเป็นปัจจยั แก่ ความเป็นหนุ่ม จริงอยู่ คนท่ีไมโ่ กรธ อนั ไฟคือความโกรธไมเ่ ผาผลาญดว้ ยอานาจทาหนงั ใหเ้ ที่ยวและทาผม ให้หงอกย่อมเป็ นหนุ่มอยไู่ ดน้ าน ๆ อโมหเหตุย่อมเป็ นปัจจยั แก่ความมีอายยุ ืน จริงอยคู่ นท่ีไม่หลง รู้ส่ิงที่ เป็ นประโยชน์และไม่เป็ นประโยชน์แล้ว ละเว้นเสียซ่ึงส่ิงท่ีไม่เป็ นประโยชน์ ต้องเสพแต่สิ่งท่ีเป็ น ประโยชนย์ อ่ มเป็นผมู้ ีอายยุ นื อีกประการหน่ึง ใน ๓ เหตุน้นั อโลภะยอ่ มเป็ นปัจจยั แก่โภคสมบตั ิ เพราะเหตุที่คนจะไดโ้ ภคสมบตั ิ ดว้ ยการบริจาค อโทสะเป็นปัจจยั แก่มิตตสมบตั ิ เพราะเหตทุ ี่คนจะไดม้ ิตรท้งั หลายดว้ ยเมตตา และเพราะไม่ เสื่อมมิตรกด็ ว้ ยเมตตา อโมหะเป็นปัจจยั แก่อตั ตสมบตั ิ จริงอยู่ คนท่ีไมห่ ลง ทาแตส่ ิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตน อยา่ งเดียว ยอ่ มทาตนให้สมบูรณ์ อน่ึง อโลภะเป็ นปัจจยั แก่การอย่อู ยา่ งเทวดา อโทสะเป็ นปัจจยั แก่การอยู่ อยา่ งพรหม อโมหะเป็นปัจจยั แก่การอยอู่ ยา่ งพระอริยเจา้ อีกประการหน่ึง ใน ๓ เหตุน้นั บุคคลเป็นผูด้ บั เสียไดใ้ นสัตวแ์ ละสังขารท้งั หลายฝ่ ายของตนดว้ ยอโล ภะเป็นเหตุ เพราะทุกขซ์ ่ึงเป็ นเหตุปรุงแต่งไม่มีเพราะสัตวแ์ ละสังขารเหล่าน้นั พินาศไป บุคคลเป็ นผดู้ บั เสีย ได้ในสัตว์และสังขารท้ังหลายฝ่ ายของคนอ่ืนด้วยอโทสะเป็ นเหตุ เพราะความจองเวรแม้ในคนคู่เวร ท้งั หลายไม่มีสาหรับคนที่ไม่โกรธ บุคคลเป็ นผูด้ บั เสียไดใ้ นสัตวแ์ ละสังขารท้งั หลายฝ่ ายเป็ นกลาง ๆ ดว้ ยอ โมหะเป็นเหตุ เพราะความปรุงแต่งท้งั ปวงไม่มีสาหรับคนท่ีไม่หลง อีกอยา่ งหน่ึง การเห็นอนิจจงั ย่อมมีไดด้ ว้ ยอโลภะ จริงอยู่ คนท่ีโลภแลว้ ย่อมไม่เห็นสังขารท้งั หลาย แมท้ ี่ไม่เที่ยงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ดว้ ยหวงั ในการร้องเสพอยู่ การเห็นทุกขงั ยอ่ มมีไดด้ ว้ ยอโทสะ จริง อยู่ คนที่มีอชั ฌาสยั ไม่โกรธ เป็นผปู้ ล่อยวางอาฆาตวตั ถุแลว้ ยอ่ มเห็นสังขารท้งั หลายโดยความเป็นทุกข์ การ เห็น อนัตตาย่อมมีไดด้ ว้ ยอโมหะ จริงอยู่ คนที่ไม่หลง เป็ นผูฉ้ ลาดในการถือเอาตามความจริง ยอ่ มรู้แจง้ ขนั ธ์ ๕ อนั ไม่ไดเ้ ป็ นผนู้ า โดยความไม่ใช่ผูน้ า อน่ึง ทรรศนะท้งั หลายมีการเห็นไม่เท่ียงเป็ นตน้ ย่อมมีได้ ดว้ ยเหตุท้งั หลายมีอโลภะเป็ นตน้ เหล่าน้ี ฉนั ใด แมเ้ หตุท้งั หลายมีอโลภะเป็ นตน้ เหล่าน้ี ก็มีไดด้ ว้ ยทรรศนะ ท้งั หลายมีการเห็นอนิจจงั เป็ นตน้ เช่นเดียวกนั จริงอยู่ อโลภะยอ่ มมีไดด้ ว้ ยการเห็นอนิจจงั อโทสะยอ่ มมีได้ ดว้ ยเห็นทุกขงั อโมหะยอ่ มมีไดด้ ว้ ยการเห็นอนตั ตา

๓๑ ก็ใครเล่ารู้โดยถูกตอ้ งว่าขนั ธ์ ๕ น้ีเป็ นทุกขแ์ ลว้ จะพึงยงั ความรักให้เกิดข้ึนเพื่อประโยชน์แก่ขนั ธ์ ๕ น้นั หรือรู้สังขารท้งั หลายว่าเป็ นทุกข์แลว้ จะพึงยงั ทุกขเ์ พราะความโกรธอนั คมกลา้ ท่ีสุดแมอ้ ื่นอีกให้เกิดข้ึน และรู้ความว่างเปล่าจากตวั ตนของสังขารท้งั หลายแลว้ จะพึงยงั ความหลงงมงายให้เกิดข้ึนอีกต่อไป ดว้ ย เหตุดงั พรรณนามาน้ี ท่านฎีกาจารยจ์ ึงให้อรรถาธิบายคาวา่ ผูม้ ีอชั ฌาสัยสมบูรณ์ไวว้ า่ อชั ฌาสัยของบุคคลน้ี สมบูรณ์แลว้ ดว้ ยอานาจการยงั ศีลสมบตั ิเป็ นตน้ อนั เป็ นส่วนเบ้ืองตน้ ใหส้ าเร็จ และดว้ ยความเป็ นอุปนิสัย ปัจจยั แก่โลกตุ ตรธรรมท้งั หลาย เหตุน้นั บุคคลน้ีจึงช่ือวา่ สมุปนุนชุฌาสโย ผมู้ ีอชั ฌาสัยสมบูรณ์แลว้ ฉะน้ี มีอชั ฌาสัย ๖ ประการ มีความจริงอยวู่ า่ โยคีบุคคลผมู้ ีอชั ฌาสัยสมบูรณ์เห็นปานฉะน้ี ยอ่ มจะบรรลุ พระโพธิญาณ ๓ ประการอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง สมกบั ที่ท่านโบราณาจารยก์ ล่าวไวว้ า่ อชั ฌาสัย ๖ ประการ ยอ่ ม เป็นไปเพือ่ ความแก่แห่งโพธิญาณของพระโพธิสัตวท์ ้งั หลาย คือ ๑. พระโพธิสตั วท์ ้งั หลาย ผมู้ ีอชั ฌาสยั ไม่โลภ เห็นโทษในความโลภ ๒. พระโพธิสตั วท์ ้งั หลาย ผมู้ ีอชั ฌาสยั ไมโ่ กรธ เห็นโทษในความโกรธ ๓. พระโพธิสตั วท์ ้งั หลาย ผมู้ ีอชั ฌาสยั ไมห่ ลง เห็นโทษในความหลง ๔. พระโพธิสัตวท์ ้งั หลาย ผมู้ ีอชั ฌาสัยในการออกบวช เห็นโทษในฆราวาส ๕. พระโพธิสตั วท์ ้งั หลาย ผมู้ ีอชั ฌาสัยชอบความสงดั เห็นโทษในการคลกุ คลีกบั หมู่คณะ ๖. พระโพธิสตั วท์ ้งั หลาย ผมู้ ีอชั ฌาสัยในพระนิพพาน เห็นโทษในภพและคติท้งั ปวง ก็แหละ พระโสดาบนั พระสกทาคามี พระอนาคามี พระขีณาสพ พระปัจเจกพทุ ธเจา้ และพระสัมมาสมั พุทธเจา้ ท้งั หลายจาพวกใดจาพวกหน่ึง ท้งั ท่ีล่วงไปแลว้ ท้งั ที่จะมีมาในอนาคต ท้งั ที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบนั ท้งั หมดน้ันไดบ้ รรลุแล้วซ่ึงคุณวิเศษอนั ตนและตนจึงบรรลุด้วยอาการท้งั หลาย ๖ ประการน้ีน่ันเทียว เพราะฉะน้นั อนั โยคีบคุ คลพึงเป็นผมู้ ีอชั ฌาสยั สมบูรณ์ดว้ ยอาการ ๖ ประการ เหลา่ น้ี โยคีผู้มีอธิมุติสมบูรณ์ ก็แหละ อนั โยคีบุคคลน้นั พึงเป็ นผูส้ มบูรณ์ดว้ ยอธิมุติ ดว้ ยความเป็นผนู้ อ้ มจิต ไปเพ่ือประโยชน์น้นั อธิบายวา่ พึงเป็ นผูน้ อ้ มจิตไปในสมาธิ เป็ นผหู้ นกั ในสมาธิ เป็ นผโู้ นม้ จิตไปในสมาธิ และพึงเป็นผนู้ อ้ มจิตไปในนิพพาน เป็นผหู้ นกั ในนิพพาน เป็นผโู้ นม้ จิตไปในนิพพาน

๓๒ ๑๕. วธิ ีสอนกมั มฏั ฐาน ๑. พทุ ธวธิ ีการสอนตามหลกั พระพุทธศาสนาสาหรับบคุ คล วิธีการสอนตามหลกั พระพุทธศาสนาพบว่าพระวิปัสสนาจารยร์ วมถึงพระพี่เล้ียงไดก้ าหนดหัวขอ้ และเน้ือหาท่ีสอนสาหรับบุคคลแต่ละช่วงวยั สอดคลอ้ งและเป็นไปตามพุทธวธิ ีการสอนกลา่ วคือ (๑) สอน จากเร่ืองท่ีเขา้ ใจง่ายไปหาเร่ืองท่ีเขา้ ใจยาก (๒) สอนจากเรื่องที่ปฏิบตั ิตามไดง้ ่ายไปหาปฏิบตั ิตามไดย้ าก (๓) ใชเ้ น้ือหาเทียบเคียงมายกตวั อย่างเชิงประจกั ษ์หรืออุปมาอุปไมย เพื่อให้การบรรยายธรรมสามารถ เขา้ ถึงผูฟ้ ังที่มีสติปัญญาญาณไม่เท่าเทียมกนั ไดอ้ ย่างทว่ั ถึง (๔) สอนให้เห็นเหตุ/ปัจจยั ของส่ิงท่ีเกิดข้ึน อธิบายเป็นล าดบั เป็นข้นั ตอนของส่ิงที่ทาและส่ิงที่จะเกิดข้ึน (๕)เลือกเน้ือหาเฉพาะท่ีจ าเป็นเป็นประโยชน์ ต่อผูเ้ รียนและไม่อวดภูมิจนเกินงาม เช่น สอนเร่ืองวิธีคลายทุกข์ท่ีเกิดข้ึนในชีวิตประจาวนั หรือสอนให้มี สติสัมปชญั ญะในการทางาน ใชส้ ติแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหนา้ ที่เกิดข้ึนในชีวติ ประจาวนั (๒) สอนใหส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของผเู้ รียนที่แตกตา่ งกนั พระวิปัสสนาจารยป์ รับเน้ือหาวิธีการสอน การบรรยาย การฝึ กอบรมให้สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะ ของผูเ้ ขา้ ฝึ กอบรมที่แตกต่างกนั ดงั กล่าว สอดคลอ้ งกบั พุทธวิธีการสอน กล่าวคือ (๑) สอนตามความต่าง ดา้ นจริตผูเ้ ขา้ ฝึ กอบรม (๒) สอนตามความต่างดา้ นความพร้อม ความสุกงอมของอินทรีย/์ ญาณ(๓) สอน โดยใหผ้ เู้ ขา้ รับการฝึกลงมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง(๓) วธิ ีการและลีลาการสอนสาหรับบุคคลแต่ละช่วงวยั วิธีการและลีลาการสอนของพระวิปัสสนาจารยม์ ีความสอดคลอ้ งกบั พุทธวิธีหรือพทุ ธลีลาในการสอน ดงั น้ี (๑) สอนโดยอธิบายให้ชดั เจนแจ่มแจง้ (๒) สอนโดยจูงใจใหเ้ ห็นจริงและคลอ้ ยตามและเร้าใจใหแ้ กลว้ กลา้ เกิดกาลงั ใจ (๓) สอนโดยวธิ ีการถามตอบเชิงปัญหา (๔) สอนโดยวธิ ีการวางกฎขอ้ บงั คบั

๓๓ บทสรุป สมถกรรมฐาน หมายถึง กรรมฐานอนั เป็นอุบายสงบใจ ซ่ึงคู่กบั วิปัสสนากรรมฐานอนั เป็ นอุบายเรือง ปัญญา สมถกรรมฐาน คือ วิธีการในอนั ท่ีจะเพิ่มพูนสมาธิ คู่กบั วิปัสสนากรรมฐาน คือวิธีการในอนั ท่ีจะ เพิ่มพูลสติสมถกรรมฐาน อารมณ์กรรมฐานท่ีทาใหบ้ รรลุอุปจารสมาธิข้ึนไป มีอยู่ ๔๐ อยา่ ง คือ ๑.กสิณ ๑๐ ๒.อสุภ ๑๐ ๓.อนุสสติ ๑๐ ๔.อปั ปมญั ญาหรือพรหมวหิ าร ๔ ๕.อรูปฌาน ๔ ๖.จตุธาตวุ วฏั ฐาน ๗.อาหาเรปฏิกลู สัญญา พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ จตุธาตุววฏั ฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เป็นอารมณ์ใหส้ าเร็จอุปจารสมาธิ (หมายถึงทาได้ สูงสุดที่อุปจารสมาธิ) อสุภ ๑๐ และกายคตาสติ เป็นอารมณ์ใหส้ าเร็จปฐมฌาน เมตตา กรุณา มุทิตา เป็น อารมณ์ใหส้ าเร็จตติยฌาน อุเบกขา ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ เตโชกสิณ โลหิตกสิณ นีลกสิณ ปี ตก สิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ และอานาปานสติ เป็นอารมณ์ใหส้ าเร็จจตตุ ถฌาน อากาสกสิณ เป็นอารมณ์ ให้สาเร็จ อากาสานัญจายตนะ, วิญญาณัญจายตนะ เป็ นอารมณ์ให้สาเร็จ วิญญาณัญจายตนะ, อา กิญจญั ญายตนะ เป็นอารมณ์ให้สาเร็จ อากิญจญั ญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอารมณ์ให้สาเร็จ เนวสัญญานาสัญญายตนะ กสิณ ๑๐ และอปั ปมญั ญา ๔ ควรขยายอารมณ์กรรมฐาน อรูปกรรมฐาน กา้ วล่วง รูป, เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก้าวล่วง เวทนาและสัญญา กสิณ ๑๐ เป็ นปัจจยั แห่งอภิญญา๕ และกรรมฐานท่ีเหลือไม่เป็ นปัจจยั แห่งอภิญญา ๕ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ไม่เป็ นเหตุแห่งวิปัสสนา กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ กายคตาสติ และอานาปานสติ มีนิมิตเป็นอารมณ์กรรมฐาน วิญญาณัญจายตนะ เนว สญั ญานาสัญญายตนะ พุทธานุสสติ ธมั มานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณา นุสสติ อุปสมานุสสติ จตธุ าตุววฏั ฐาน อาหาเรปฏิกลู สัญญา มีสภาวธรรมเป็นอารมณ์กรรมฐาน

๓๓ อปั ปมญั ญา ๔ อากาสานัญจายตนะ และอากิญจญั ญายตนะ เป็ นอารมณ์ที่พูดไม่ถูก ไม่มีท้งั นิมิตและ สภาวธรรมเป็ นอารมณ์กรรมฐาน อสุภ ๑๐ ปฐวีกสิณ อาโปกสิณ วาโยกสิณ เตโชกสิณ โลหิตกสิณ นีลก สิณ ปี ตกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณ กาหนดนิมิตโดยการเห็นอานาปานสติ กาหนดนิมิตโดยการถูก กระทบวาโยกสิณ กาหนดนิมิตโดยการเห็นและการถูกกระทบ พุทธานุสสติ ธมั มานุสสติ สังฆานุสสติ สี ลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ จตุธาตุววฏั ฐาน อาหาเรปฏิกูลสัญญา เมตตา กรุณา มุทิตา กาหนดนิมิตโดยการฟังหรือคิดพิจารณา กายคตาสติ กาหนดนิมิตโดยการเห็นและการ ฟังหรือคิดพจิ ารณา อุเบกขาเป็นบาทฐานตอ่ จากตติยฌานของผเู้ จริญเมตตา กรุณา มทุ ิตา, อากาสกสิณเป็นบาทฐานตอ่ จาก ปฐมฌานของผูเ้ จริญกสิณท้งั 9(เวน้ อากาสกสิณ) อรูปกรรมฐานเป็ นบาทฐานต่อจากจตุตถฌานของผูเ้ จริญ อากาสกสิณ, อรูปกรรมฐานบทต่ากวา่ ยอ่ มเป็ นปัจจยั เก้ือหนุนแก่อรูปกรรมฐานบทท่ีสูงกว่าโดยลาดบั คือ อากาสกสิณยอ่ มเป็ นปัจจยั เก้ือหนุนแก่อากาสานญั จายตนะ อากาสานญั จายตนะยอ่ มเป็ นปัจจยั เก้ือหนุนแก่ วญิ ญาณญั จายตนะ วิญญาณญั จายตนะยอ่ มเป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่อากิญจญั ญายตนะ อากิญจญั ญายตนะยอ่ ม เป็นปัจจยั เก้ือหนุนแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ, อุเบกขา อากาสกสิณ อรูปกรรมฐาน ผใู้ หม่ไม่พึงปฏิบตั ิ ก่อนเพราะเป็ นอารมณ์ที่ลึกซ้ ึง, อสุภ ๑๐ กายคตาสติ อานาปานสติ จตุธาตุววฏั ฐาน เป็ นท้งั สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน เพราะมีรูปนามเป็นอารมณ์ , กสิณ ๑๐ อปั ปมญั ญา ๔ อรูปฌาน ๔ พุทธานุสสติ ธมั มานุสสติ สังฆานุสสติ สีลานุสสติ จาคานุสสติ เทวตานุสสติ มรณานุสสติ อุปสมานุสสติ อาหาเรปฏิกูลสัญญา จดั เป็นสมถกรรม ฐานอยา่ งเดียว เพราะไม่มีรูปนามเป็นอารมณ์ ฯลฯ เอกสารอ้างองิ 1http://www.palungjit.com/tripitaka/search.php?kword 2. =%CD%C7%D4%CA%D2%CB%D2%C3%D0[ลิงกเ์ สีย] 3.https://www.dhammasutta.com/search/label/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B9%80%E04 4.%B8%894.%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%20%E0%B9%93%2 5.คมั ภีร์วสิ ุทธิมรรค 6.คมั ภีร์วมิ ุตติมรรค