หนว่ ยที่ 11 อุปกรณ์เก่ียวข้องในงานไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนกิ ส์ 11.1 ไมโครโฟน อุปกรณ์ เครืองมือ เครืองใช้ ทางดา้ นไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์ จะตอ้ งเกียวขอ้ งกบั อปุ กรณ์ประกอบร่วมใช้ งานหลายชนิด ช่วยในการสนบั สนุน ทาํ ให้เกิดการทาํ งานทีถูกตอ้ งสมบูรณ์ หรือทาํ ให้ระบบการทาํ งานของ เครืองมือ เครืองใชเ้ กิดความครบถว้ นสมบูรณ์ อุปกรณ์ส่วนประกอบเหล่านันมีคุณสมบตั ิ และหนา้ ทีการทาํ งาน แตกต่างกนั ไป การนําอุปกรณ์เหล่านีไปใชง้ านจาํ เป็ น ตอ้ งศึกษาทาํ ความเขา้ ใจ เพือการทาํ งานและการใช้งานที ถูกตอ้ ง ไมโครโฟน (Microphone) เป็ นอุปกรณ์ทาํ หนา้ ทีเปลียนคลืนเสียง (พลงั งานเสียง) ทีถูกกาํ เนิดขึนจาก แหล่งกาํ เนิดเสียงชนิดต่างๆ เช่น เสียงสนทนา เสียงร้อง และเสียงดนตรี เป็ นตน้ ให้เปลียนไปเป็ นเสียงใน ลกั ษณะคลืนไฟฟ้า (พลงั งานไฟฟ้า) ในรูปสญั ญาณไฟสลบั นาํ ไปใชง้ านกบั อุปกรณไ์ ฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์ต่างๆ ได้ เช่น บนั ทึกเก็บไวใ้ นแผน่ ซีดี แผ่นดีวีดี บนั ทึกลงในเครืองบนั ทึกเสียง หรือส่งตอ่ ไปขยายเสียงในเครืองขยาย เสียง เป็ นตน้ ไมโครโฟนทีมีคุณภาพดีจะตอ้ งตอบสนองต่อสัญญาณเสียงครอบคลุมย่านความถีเสียงในช่วง ความถี เฮิรตซ์ (Hertz ; Hz) ถึง กิโลเฮิรตซ์ (Kilohertz ; kHz) รูปร่างและสญั ลกั ษณ์ไมโครโฟน แสดงดงั รูปที . (ก) ชนิดใชส้ าย (ข) ชนิดไมใ่ ชส้ าย (ค) สญั ลกั ษณ์ รูปที่ 11.1 รูปร่างและสญั ลกั ษณ์ไมโครโฟน จากรูปที 11. แสดงรูปร่างและสัญลกั ษณ์ไมโครโฟนแบบต่างๆ ไมโครโฟนทีผลิตใชง้ านในปัจจุบนั มี แบบ คือ แบบใชส้ ายเชือมตอ่ ดงั รูปที . ก มีสายตอ่ เชือมจากตวั ไมโครโฟนไปยงั อปุ กรณ์รับสัญญาณเสียง และ
แบบไม่ใช้สายเชือมตอ่ (Wireless) ดงั รูปที . ข โดยสัญญาณ เสียงทีผา่ นไมโครโฟนมาถูกผสมดว้ ยคลืนความถี วิทยุส่งออกอากาศไป ปลายทางมีเครืองรับคลืน วิทยุแปลงกลบั มาเป็ นสัญญาณเสียง ส่งต่อไปยงั อุปกรณ์รับ สญั ญาณเสียง ไมโครโฟนทีผลิตมาใช้งาน มีโครงสร้างภายในตวั ของส่วนแปลงสัญญาณเสียงเป็ นสัญญาณ ไฟฟ้าจ่าย ออกมาใชง้ านแตกต่างกนั ทีมีใชง้ านแพร่หลายมี ชนิด คอื ชนิดไมโครโฟนไดนามิก (Dynamic Microphone) และชนิดไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ (Condenser Microphone) 1. ไมโครโฟนไดนามิก เป็นไมโครโฟนทีมีโครงสร้างภายในของส่วนให้กาํ เนิดสัญญาณ ไฟฟ้าออกมา ประกอบดว้ ยขดลวดเคลือนทีในรูปทรงกระบอกวางไวล้ อ้ มรอบแทง่ แม่เหลก็ มีแผน่ ไดอะแฟรม (Diaphragm) ยดึ ติดกบั ขดลวดเคลือนที วางอย่ดู า้ นหนา้ ไมโครโฟน เมือมีเสียงส่งมากระทบทาํ ให้แผ่นไดอะแฟรมสัน ขดลวด เคลือนทีตดั ผา่ นสนามแม่เหลก็ เกิดแรงเคลือนไฟฟ้าชกั นาํ ในรูปสัญญาณเสียงเป็นแรงดนั ไฟสลบั จ่ายออกไปใช้ งาน ลกั ษณะไมโครโฟนชนิดไดนามิก แสดงดงั รูปที . ก 2. ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ เป็ นไมโครโฟนทีมีโครงสร้างภายในของส่วนให้กาํ เนิดสัญญาณไฟฟ้า ออกมา ประกอบด้วยแผ่นโลหะบางสองแผ่นวางขนานใกลก้ ัน มีคุณสมบตั ิเช่นเดียว กบั ตัวเก็บประจุ วางอยู่ ดา้ นหน้าไมโครโฟน แผ่นโลหะแผ่นหน้าทาํ หนา้ ทีเป็ นแผ่นไดอะแฟรมดว้ ย คอยรับคลืนเสียงมากระทบ แผ่น โลหะทงั สองมีขวั ต่อออก ถูกต่อร่วมกบั แหล่งจ่ายแรงดนั ไฟตรงตงั แต่ . V – 48 V แลว้ แต่การออกแบบ มีตวั ตา้ นทานทีทาํ หน้าทีเป็ นภาระวงจรรับแรงดันจ่ายมาตกคร่อม เมือมีเสียงมากระทบทาํ ให้แผ่นไดอะแฟรมสัน คอนเดนเซอร์เกิดการเปลียนแปลงค่าการเก็บประจุ ทาํ ให้เกิดกระแสไหลเปลียนแปลง เกิดแรงดนั ตกคร่อมตวั ตา้ นทานจา่ ยออกมาใชง้ านเปลียนแปลง ลกั ษณะไมโครโฟนชนิดคอนเดนเซอร์ แสดงดงั รูปที . ข (ก) ไมโครโฟนไดนามิก (ข) ไมโครโฟนคอนเดนเซอร์ รปู ท่ี 11.2 ชนิดของไมโครโฟน
11.2 ลำโพง ลาํ โพง (Loudspeaker) เป็นอุปกรณ์ทีทาํ หนา้ ทีเปลียนสัญญาณเสียงทีอยู่ในรูปสัญญาณ ไฟฟ้าให้กลบั มา เป็ นสัญญาณเสียงในรูปการสันสะเทือน โดยการสันของกรวย (Cone) ลาํ โพงไปทาํ ให้อากาศบริเวณโดยรอบ กรวยลาํ โพงเกิดการสันเป็ นคลืนเสียงออกมา การสันสะเทือนของกรวยลาํ โพงทาํ ใหเ้ กิดคลืนเสียงทีมาจากอากาศ สันสะเทือนมีความถีแตกต่างกนั ตามความเร็วของกรวยสันสะเทือน กรวยลาํ โพงสันเร็วไดค้ ลืนเสียงความถีสูง ออกมา กรวยลาํ โพงสันชา้ ไดค้ ลืนเสียงความถีตาํ ออกมา ลาํ โพงทีถูกสร้างมาใชง้ านมีรูปร่างลกั ษณะแตกต่างกนั ไป ลกั ษณะลาํ โพงแบบตา่ งๆ และสัญลกั ษณ์ แสดงดงั รูปที . (ก) รูปร่าง (ข) สัญลกั ษณ์ รปู ท่ี 11.3 ลาํ โพงแบบตา่ งๆ และสญั ลกั ษณ์ ความถีเสียงทีหูมนุษยไ์ ดย้ ินมียา่ นความถีทีกวา้ งตงั แต่ Hz – 20 kHz คือมียา่ นความถีตงั แต่ความถีตาํ ไป ถึงความถีสูง ทาํ ให้ลาํ โพงทีผลิตขึนมาใช้งานไม่สามารถตอบสนองต่อความถีเสียงได้ครอบคลุมทงั หมด จึง จาํ เป็ นตอ้ งผลิตลาํ โพงขึนมาให้ตอบสนองต่อความถีเสียงเป็ นช่วงความถี ให้เหมาะสมกบั การตอบสนองต่อ ความถีเสียงของลาํ โพงแต่ละชนิด แบ่งความถีออกไดเ้ ป็ น ชว่ งความถี โดยแบง่ ลาํ โพงออกเป็น ชนิด คอื ชนิด ความถีตาํ เรียกวา่ ลาํ โพงเสียงทุม้ หรือ วเู ฟอร์ (Woofer) ชนิดความถีกลางเรียกวา่ ลาํ โพงเสียงกลาง หรือมิดเรนจ์ (Midrange) และชนิดความถีสูงเรียกว่าลาํ โพงเสียงแหลม หรือทวีเตอร์ (Tweeter) ลาํ โพงแต่ละชนิดมีลกั ษณะ รูปร่าง โครงสร้าง และให้กาํ เนิดสัญญาณเสียงออกมาแตกต่างกนั ไป ลาํ โพงแต่ละชนิดมีรายละเอยี ดดงั นี
รปู ท่ี 11.4 ลาํ โพงเสียงทุม้ 1. ลำโพงเสียงทุ้ม หรือนิยมเรียกว่า ลาํ โพงเบส (Base Loudspeaker) เป็ นลําโพงที ผลิตขึนมาใช้งานให้มีการตอบสนองความถีเสียง ในย่านความถีตาํ ประมาณ Hz ถึง kHz โดย กรวยลาํ โพงทาํ ด้วยกระดาษ พลาสติก หรือสาร อืนๆ ทีมีคุณสมบตั ิคลา้ ยกนั ลาํ โพงเสียงทุม้ จะมี ขนาดใหญ่ โดยเส้นผ่านศูนยก์ ลางของกรวย ลาํ โพงมีขนาดตงั แต่ นิวขึนไป ถึง นิว หรือ มากกว่านี ลกั ษณะลาํ โพงเสียงทุม้ แสดงดงั รูปที 11.4 2. ลำโพงเสียงกลาง เป็ นลําโพงทีผลิต รปู ที่ 11.5 ลาํ โพงเสียงกลาง ขึนมาใช้งานให้มีการตอบสนองความถีเสียงใน ย่านความถีปานกลางประมาณ Hz ถึง 5 kHz กรวยลาํ โพงทําดว้ ยกระดาษ พลาสติก หรือสาร อืนๆ ทีมีคณุ สมบตั ิคลา้ ยกนั ลกั ษณะเช่นเดียว กบั ลาํ โพงเสียงทุม้ เพียงแต่ลาํ โพงเสียงกลางจะผลิต ให้มีขนาดเล็กลงมา เส้นผ่านศูนยก์ ลางของกรวย ลาํ โพงมีขนาดตงั แต่ นิว ถึง . นิว โดย ประมาณ ลกั ษณะลาํ โพงเสียงกลาง แสดงดงั รูปที . รปู ที่ 11.6 ลาํ โพงเสียงแหลม 3. ลำโพงเสียงแหลม เป็ นลําโพงทีผลิต ขึนมาใช้งานให้มีการตอบสนองความถีเสียงใน ย่านความถีสูงประมาณ kHz ถึง kHz ส่วน โครงสร้างของลาํ โพงส่วนใหญ่เป็ นโลหะลว้ น ไม่มีกรวยลาํ โพง มีแต่ไดอะแฟรมเป็ นตวั สันทาํ ให้เกิดเสียง จึงให้การตอบสนองต่อเสียงความถี สูงไดด้ ี ลาํ โพงเสียงแหลมมีขนาดเลก็ ขนาดเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางของไดอะแฟรมตงั แต่ นิว ถึง
นิว โดยประมาณ ลักษณะลําโพงเสียงแหลม แสดงดงั รูปที . ลาํ โพงชนิดทีแยกตามย่านความถีเสียง เป็ นลาํ โพงทีนิยมนาํ ไปใชใ้ นงานตอบสนองต่อเสียงเพลงและ เสียงดนตรี สามารถให้สัญญาณเสียงออกมาครอบคลุมความถีเสียงทงั หมด เพือให้ไดเ้ สียงทีสมจริงออกมา แต่ งานระบบเสียงบางชนิดลาํ โพงประเภทนีไม่เหมาะสมกบั การใชง้ าน จึงไดผ้ ลิตลาํ โพงแบบต่างๆ ให้เหมาะสมกบั การใชง้ านในแต่ละด้าน เช่น ใช้งานในรถยนต์ควรใช้ลาํ โพงติดรถยนต์ (Car Loudspeaker) ใช้ฟังเสียงโดยให้ ลาํ โพงแนบกบั หูควรใชล้ าํ โพงแบบหูฟัง (Headphone) ใชก้ ับงานกลางแจง้ เพือให้สามารถกาํ หนดทิศทางของ เสียงได้ และไม่คํานึงถึงการตอบสนองต่อเสียงครอบคลุมทุกย่านความถี ควรใช้ลําโพงฮอร์น (Horn Loudspeaker) หรือสามารถพูดส่งต่อไปขยายเสียงออกลาํ โพงไดท้ ันที และพกพาไปทีต่างๆ ไดส้ ะดวก ควรใช้เม กะโฟน (Megaphone) เป็นตน้ ลกั ษณะลาํ โพงแบบอืนๆ แสดงดงั รูปที . (ก) ลาํ โพงรถยนต์ (ข) ลาํ โพงหูฟัง (ค) ลาํ โพงฮอร์น (ง) เมกะโฟน รูปที่ 11.7 ลาํ โพงแบบอืนๆ
11.3 รีเลย์ รีเลย์ (Relay) เป็ นอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทสวิตช์ ควบคุมการทาํ งานด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เป็ น อุปกรณ์ทีถูกนําไปใชง้ านอย่างแพร่หลาย โดยใช้งานเป็ นส่วนหนึงของอปุ กรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ตวั รีเลยท์ าํ หนา้ ทีเป็ นสวิตช์ตดั ต่อช่วยควบคุมการจ่ายกาํ ลงั ไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟไปให้ภาระสามารถทาํ งาน หรือหยดุ ทาํ งานได้ การควบคุมใหร้ ีเลยท์ าํ งาน โดยการใชส้ นามแม่เหลก็ ไฟฟ้าภายในตวั รีเลย์ ควบคุมหนา้ สัมผสั สวิตช์รีเลยท์ าํ การตดั หรือต่อวงจร โดยใชแ้ รงดนั และกระแสค่าตาํ ในการควบคุมให้หนา้ สัมผสั รีเลยท์ าํ งาน ไป ควบคุมแรงดนั และกระแสคา่ สูงมากขึน จ่ายใหก้ บั อุปกรณ์ เครืองมือ เครืองใชไ้ ฟฟ้าสามารถทาํ งานได้ โครงสร้างรีเลย์ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก ส่วน ได้แก่ ส่วนขดลวด ทาํ หน้าทีให้กําเนิด สนามแม่เหลก็ ไฟฟ้าขึนมาเมือมีแรงดนั ป้อนให้ อีกส่วนได้แก่สวิตช์หน้าสัมผสั ทาํ หนา้ ทีตดั หรือต่อวงจรตาม การควบคมุ ของขดลวดสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้า สวิตชห์ นา้ สัมผสั รีเลยม์ ี สภาวะ คือ สภาวะปกตเิ ปิ ด (Normal Open ; NO) เป็ นสภาวะทีขณะรีเลยไ์ ม่ทาํ งานหนา้ สัมผสั จะถูกเปิ ดวงจร เมือรีเลยท์ าํ งานหนา้ สัมผสั จะต่อวงจร และอีก สภาวะคือ สภาวะปกติปิ ด (Normal Closed ; NC) เป็ นสภาวะทีขณะรีเลยไ์ ม่ทาํ งานหนา้ สัมผสั จะถูกต่อวงจร เมือ รีเลยท์ าํ งานหนา้ สัมผสั จะเปิ ดวงจร สวิตช์หนา้ สมั ผสั รีเลยเ์ ป็นชนิดทนกระแสไดต้ าํ นาํ ไปใชท้ าํ งานในวงจรทน กาํ ลงั ไดไ้ มม่ าก ขึนอยกู่ บั รุ่น และชนิดของรีเลย์ รูปร่างโครงสร้างและสัญลกั ษณ์รีเลย์ แสดงดงั รูปที . NC 6 2 NO 5 NC 4 NO 3 1 A1 A2 (ก) รูปร่าง (ข) สัญลกั ษณ์ รปู ที่ 11.8 รูปร่างและสญั ลกั ษณ์รีเลย์ จากรูปที . แสดงรูปร่างและสัญลกั ษณร์ ีเลย์ รูปที . ก เป็นรูปร่างรีเลยม์ ีหลายรูปโครงสร้าง หลาย ชนิดไฟฟ้าใชง้ าน เช่น แรงดนั ไฟตรง (DC) แรงดนั ไฟสลบั (AC) ค่าแรงดนั ทีใช้ V, 12 V, 24V, 50 V, 110 V และ V เป็นตน้ และหลายลกั ษณะชุดหนา้ สัมผสั เช่น ชุด, ชุด และ ชุด เป็นตน้ และรูปที . ข เป็น สัญลกั ษณ์รีเลยช์ นิดหน้าสัมผสั ชุด มีขา A1, A เป็ นขาต่อไปขดลวดสนามแม่เหล็ก ขา , 3, เป็ นขาต่อ
หนา้ สัมผสั ชุดที และขา , 5, เป็ นขาต่อหนา้ สัมผสั ชุดที ในแต่ละชุดหนา้ สมั ผสั มีทงั หนา้ สัมผสั แบบปกติ เปิ ด (NO) และหนา้ สมั ผสั แบบปกติปิ ด (NC) การทาํ งานของรีเลย์ ขณะทียงั ไม่มีแรงดนั ป้อนให้ขดลวดรีเลย์ ยงั ไม่เกิดสนามแม่เหลก็ ไม่มีการทาํ งาน ของกลไกใดๆ ภายในตวั รีเลย์ เมือป้อนแรงดนั ให้ขดลวดรีเลย์ เกิดสนามแม่เหล็กขึนในแกนเหล็ก เกิดอาํ นาจ แม่เหล็กไปดึงดูดให้ชุดหนา้ สมั ผสั เคลือนทีเขา้ มาชิดกบั แกนเหลก็ ของขดลวด ควบคุมให้ชุดหนา้ สัมผสั ทงั หมด เปลียนแปลงสภาวะการทาํ งาน หน้าสัมผสั แบบปกติเปิ ด (NO) เกิดการต่อวงจร และหนา้ สัมผสั แบบปกติปิ ด (NC) เกิดการตดั วงจร เมืองดการป้อนแรงดนั ให้ขดลวดรีเลย์ ไม่เกิดสนามแม่เหลก็ ชุดหนา้ สัมผสั ต่างๆ กลบั เขา้ สู่สภาวะปกติตามเดิม คือ หนา้ สัมผสั แบบปกติเปิ ด (NO) เปิ ดวงจร และหนา้ สัมผสั แบบปกติปิ ด (NC) ต่อวงจร 11.4 แมกเนติกคอนแทกเตอร์ แมกเนติกคอนแทกเตอร์ (Magnetic Contactor) เป็ นอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทสวิตช์ควบคุมการทาํ งานด้วย สนามแมเ่ หล็กไฟฟ้าเช่นเดียวกบั รีเลย์ แต่สามารถนาํ ไปใชง้ านไดก้ บั กาํ ลงั ไฟฟ้าสูงๆ จึงนิยมเรียกว่า รีเลยก์ าํ ลงั (Power Relay) เป็ นอุปกรณ์ทีถูกนําไปใชง้ านด้านการควบคุมกาํ ลงั ไฟฟ้าในงานอุตสาหกรรม การควบคุมให้ แมกเนติกคอนแทกเตอร์ทาํ งานหรือหยดุ ทาํ งาน โดยใชส้ นามแม่เหลก็ ทีเกิดขึนภายในตวั ของแมกเนติกคอนแทก เตอร์ ควบคุมให้หนา้ สมั ผสั ของสวิตชแ์ มกเนติกคอนแทกเตอร์ตดั ต่อวงจร ดว้ ยการใชแ้ รงดนั และกระแสค่าตาํ จา่ ย ไปให้แมกเนติกคอนแทกเตอร์ ส่งอาํ นาจแม่เหล็กไปควบคุมให้หน้าสัมผสั ทาํ งาน นาํ ไปควบคุมแรงดันและ กระแสค่าสูง จ่ายมาจากแหล่งจ่ายแรงดนั ส่งไปให้ภาระทีใชก้ าํ ลงั ไฟฟ้าสูงค่าต่างๆ รูปร่างและสัญลกั ษณ์แมก เนติกคอนแทกเตอร์ แสดงดงั รูปที .9 (ก) รูปร่าง (ข) สญั ลกั ษณ์ รูปที่ 11.9 รูปร่างและสญั ลกั ษณ์แมกเนติกคอนแทกเตอร์
จากรูปที . แสดงรูปร่างและสัญลกั ษณ์แมกเนติกคอนแทกเตอร์ รูปที . ก เป็ นรูปร่างของแมก เนติกคอนแทกเตอร์ โครงสร้างภายในแมกเนติกคอนแทกเตอร์ ประกอบดว้ ยส่วนประกอบทีสําคญั ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนขดลวดให้กาํ เนิดสนามแม่เหล็กออกมาเมือมีแรงดนั ป้อนให้ขดลวด อีกส่วนไดแ้ ก่ส่วนหน้าสัมผสั แบง่ การใชง้ านออกเป็น ชุด คือ ชุดหนา้ สัมผสั หลกั (Main Contact) เป็นหนา้ สมั ผสั ทีทนกระแสไดส้ ูง ใชต้ อ่ ใน วงจรทีตอ้ งการกาํ ลงั ไฟฟ้าสูงๆ ในการใชง้ าน และชุดหน้าสัมผสั ช่วย (Auxiliary Contact) เป็นหน้าสัมผสั ทีทน กระแสได้ตาํ นาํ ไปใชง้ านไดเ้ ฉพาะในวงจรควบคุมการทาํ งานทีตอ้ งการกาํ ลงั ไฟฟ้าตาํ ส่วนรูปที . ข เป็ น สัญลักษณ์ของแมกเนติกคอนแทกเตอร์ ชุด A1, A เป็ นชุดขดลวดสนามแม่เหล็ก ชุด , และ , เป็ น หนา้ สมั ผสั แบบปกติปิ ด (NC) และชุด , และ , เป็นหนา้ สัมผสั แบบปกติเปิ ด (NO) การทาํ งานของแมกเนติกคอนแทกเตอร์ ขณะทียงั ไม่มีแรงดนั ป้อนให้ขดลวด ยงั ไม่เกิดสนามแม่เหล็ก ไม่มีการทาํ งานของกลไกใดๆ ภายในตวั แมกเนติกคอนแทกเตอร์ เมือป้อนแรงดนั ให้ขดลวด ทาํ ใหข้ ดลวดเกิด สนามแม่เหล็กขึนในแกนเหลก็ เกิดอาํ นาจแม่เหล็กไปดึงดูดให้ชุดหน้าสัมผสั เคลือนทีเขา้ มาชิดกบั แกนเหลก็ ของขดลวด ทาํ ให้ชุดหนา้ สมั ผสั ทงั หมดเปลียนแปลงสภาวะการทาํ งาน หนา้ สัมผสั แบบปกติเปิ ด (NO) เกิดการ ต่อวงจร และหนา้ สัมผสั แบบปกตปิ ิ ด (NC) เกิดการเปิ ดวงจร กรณีทีขดลวดหมดอาํ นาจแม่เหลก็ สปริงจะบงั คบั ใหช้ ุดหนา้ สัมผสั กลบั เขา้ สู่สภาวะปกติ คือ หนา้ สัมผสั แบบปกติเปิ ด (NO) เปิ ดวงจร และหนา้ สมั ผสั แบบปกติปิ ด (NC) ตอ่ วงจร 11.5 อุปกรณ์สารกึง่ ตัวนำ สารกึงตวั นาํ หรือธาตกุ ึงตวั นาํ คอื ธาตทุ ีมีอิเล็กตรอนวงนอกสุด ตวั พอดี เป็นธาตุทีสามารถนาํ ไปใช้ ในการผลิตอุปกรณ์สารกึงตวั นาํ ชนิดต่างๆ ธาตกุ ึงตวั นาํ ทีนิยมนาํ มาใชใ้ นการผลิตอปุ กรณ์สารกึงตวั นาํ ไดแ้ ก่ ธาตุซิลิคอน (Si) และธาตเุ จอร์เมเนียม (Ge) โดยการนาํ ธาตุกึงตวั นาํ บริสุทธิไปเติมธาตุเจือปนอืนๆ เพือให้ได้ เป็ นสารกึงตวั นําชนิด P (Positive = บวก) คือสารกึงตัวนําชนิดทีมีประจุไฟฟ้าบวก (+) หรือมีโฮล (Hole) มากกว่าปกติ และสารกึงตวั นําชนิด N (Negative = ลบ) คือสารกึงตวั นาํ ชนิดทีมีประจุไฟฟ้าลบ (–) หรือมี อิเลก็ ตรอนมากกวา่ ปกติ อุปกรณ์สารกึงตวั นาํ แต่ละชนิดทีผลิตออกมาใชง้ าน ประกอบขึนมาจากการนาํ สารกึง ตวั นาํ ชนิด P และสารกึงตวั นาํ ชนิด N ต่อร่วมกนั ทงั สิน อุปกรณ์สารกึงตวั นาํ ทีผลิตมาใช้งาน เช่น ไดโอด ซี เนอร์ไดโอด ไดโอดเปล่งแสง ทรานซิสเตอร์ และเฟต เป็ นตน้ อุปกรณ์สารกึงตวั นาํ แต่ละชนิดมีโครงสร้าง หลกั การทาํ งาน และถกู นาํ ไปใชง้ านทีแตกตา่ งกนั
11.5.1 ไดโอด ไดโอด (Diode) เป็นอปุ กรณ์สารกึงตวั นาํ ทีถกู ผลิตขึนมาจากการนาํ สารกึงตวั นาํ ชนิด P และสาร กึงตวั นาํ ชนิด N มาต่อชนกนั เป็ นอุปกรณ์สารกึงตวั นาํ ชนิด ตอน มีขาต่อออกมาใช้งาน ขา คือ ขาแอโนด (Anode ; A) ต่อออกมาจากสารกึงตวั นาํ ชนิด P และขาแคโทด (Cathode ; K) ต่อออกมาจากสารกึงตวั นาํ ชนิด N โครงสร้างภายในตวั ไดโอดทกุ ชนิดเหมือนกนั แตกตา่ งเพยี งรูปร่าง ตวั ถงั รวมถึงขนาดทนแรงดนั และทนกระแส ไดโอดทีผลิตมาใช้งานมีตงั แต่ทนกระแสไดต้ าํ ๆ ไม่ถึงแอมแปร์ จนถึงทนกระแสไดส้ ูงเป็ นพนั แอมแปร์ขึนไป รูปร่างโครงสรา้ งและสัญลกั ษณไ์ ดโอด แสดงดงั รูปที . (ก) โครงสร้าง (ข) สัญลกั ษณ์ (ค) รูปร่าง รูปที่ 11.10 โครงสร้างสญั ลกั ษณแ์ ละรูปร่างของไดโอด ตวั ไดโอดจะทาํ งานไดจ้ าํ เป็ นตอ้ งจ่ายแรงดนั ไฟตรง (DC) ใหข้ าไดโอดครบทุกขา แรงดนั ไฟ ตรงทีจา่ ยใหข้ าต่างๆ ของไดโอดนิยมเรียกวา่ การจ่ายไบแอส (Bias) ให้ตวั ไดโอด สามารถจ่ายไบแอสใหข้ าต่างๆ ของไดโอดได้ แบบ คือ การจ่ายไบแอสตรง (Forward Bias) และการจา่ ยไบแอสกลบั (Reverse Bias) 1. การจ่ายไบแอสตรง เป็ นการจ่ายแรงดนั ไฟตรงให้ขาไดโอดทงั สองในแบบถูกตอ้ งตามที ไดโอดตอ้ งการ คอื จ่ายแรงดนั ไฟตรงขวั บวกใหข้ าแอโนด (A) สารชนิด P (P = บวก) และจ่ายแรงดนั ไฟตรงขวั ลบใหข้ าแคโทด (K) สารชนิด N (N = ลบ) การจ่ายไบแอสตรงทาํ ใหไ้ ดโอดทาํ งาน ความตา้ นทานในตวั ไดโอด ลดตาํ ลงอยา่ งมาก ไดโอดทาํ หนา้ ทีเปรียบเสมือนสวิตช์ตอ่ วงจร (ON) มีกระแสไหลผา่ นตวั ไดโอดสูงมาก การ ต่อวงจรจ่ายไบแอสตรงใหไ้ ดโอด แสดงดงั รูปที .
(ก) วงจรไบแอสตรง (ข) วงจรเทียบเทา่ รปู ที่ 11.11 วงจรจา่ ยไบแอสตรงใหไ้ ดโอด 2. การจา่ ยไบแอสกลบั เป็นการจ่ายแรงดนั ไฟตรงให้ขาไดโอดทงั สองในแบบไม่ถูกตอ้ งตามที ไดโอดตอ้ งการ (จ่ายผิดขวั ) คือ จ่ายแรงดันไฟตรงขวั ลบให้ขาแอโนด (A) สารชนิด P (P = บวก) และจ่าย แรงดนั ไฟตรงขวั บวกใหข้ าแคโทด (K) สารชนิด N (N = ลบ) การจ่ายไบแอสกลบั ทาํ ใหไ้ ดโอดไม่ทาํ งาน ความ ตา้ นทานในตวั ไดโอดสูงมาก ไดโอดทาํ หนา้ ทีเปรียบ เสมือนสวติ ช์ตดั วงจร (OFF) ไมม่ ีกระแสไหลผา่ นตวั ไดโอด การตอ่ วงจรจ่ายไบแอสกลบั ใหไ้ ดโอด แสดงดงั รูปที . (ก) วงจรไบแอสกลบั (ข) วงจรเทียบเทา่ รปู ท่ี 11.12 วงจรจา่ ยไบแอสกลบั ใหไ้ ดโอดไมม่ ีกระแสไฟฟ้าไหล 11.5.2 ซีเนอร์ไดโอด ซีเนอร์ไดโอด (Zener Diode) เป็นไดโอดทีผลิตขึนมาจากการนาํ สารกึงตวั นาํ ชนิด P และชนิด N ต่อชนกนั มีลกั ษณะโครงสร้างเช่นเดียวกับไดโอดธรรมดา มีขาต่อใชง้ าน ขา คือ ขาแอโนด (A) และขา แคโทด (K) เหมือนกนั ส่วนทีแตกต่างออกไปของซีเนอร์ไดโอด อยทู่ ีการนาํ ซีเนอร์ไดโอดไปใชง้ านและการต่อ วงจรทาํ งาน ของไดโอดธรรมดาใชก้ ารทาํ งานในสภาวะการจ่ายแรงดนั ไบแอสตรง ทาํ งานเปรียบเสมือนเป็ น สวติ ช์ปิ ดเปิ ดวงจร ส่วนของซีเนอร์ไดโอดใชก้ ารทาํ งานในสภาวะการจ่ายแรงดนั ไบแอสกลบั ทีค่าแรงดนั พงั หรือ ทีค่าซีเนอร์เบรกดาวน์ (Zener Breakdown) โดยไม่ไดท้ าํ งานเป็ นสวิตช์ปิ ดเปิ ดวงจร แต่ใชท้ าํ งานเป็ นตวั ควบคุม
แรงดนั ไฟตรง จ่ายมาตกคร่อมตวั ซีเนอร์ไดโอดใหม้ ีค่าคงทีตลอดเวลา ส่งออกเป็นแรงดนั ไฟตรงคงทีนาํ ไปใช้ งาน โครงสรา้ งสัญลกั ษณ์และรูปร่างของซีเนอร์ไดโอด แสดงดงั รูปที . (ก) โครงสร้าง (ข) สญั ลกั ษณ์ (ค) รูปร่าง รูปท่ี 11.13 โครงสร้างสญั ลกั ษณ์และรูปร่างของซีเนอร์ไดโอด การจ่ายไบแอสให้ตวั ซีเนอร์ไดโอด สามารถจ่ายแรงดนั ไบแอสใหไ้ ด้ แบบ เช่นเดียวกบั ไดโอดธรรมดา คือ จ่ายไบแอสตรง ซีเนอร์ไดโอดทาํ งานเช่นเดียวกบั ไดโอดธรรมดา ซีเนอร์ไดโอดทาํ งานมีกระแสไหลผ่าน ค่า ความตา้ นทานในตวั ซีเนอร์ไดโอดตาํ แบบนีไม่นิยมนาํ ไปใชง้ าน การจ่ายไบแอสใหซ้ ีเนอร์ไดโอดทาํ งาน มกั จะเป็นการจ่ายไบแอสกลบั ใหต้ วั ซีเนอร์ไดโอด ในเบืองตน้ ซี เนอร์ไดโอดไม่ทาํ งาน ไม่มีกระแสไหลผ่าน มีเพียงกระแสรัวไหล (Leakage Current) ไหลผา่ นตวั ซีเนอร์ไดโอด เพียงเล็กน้อย จนกว่าแรงดนั ไบแอสกลบั ทีจ่ายให้เพิมขึนถึงค่าแรงดนั ซีเนอร์เบรกดาวน์ (Zener Breakdown Voltage ; VZ) เป็ นค่าทีตวั ซีเนอร์ไดโอดทาํ งาน มีกระแสไหลผา่ นตวั ซีเนอร์ไดโอด เกิดค่าแรงดนั ไฟตรง (VDC) ตกคร่อมตวั ซีเนอร์ไดโอดคงที ตามคา่ แรงดนั ซีเนอร์เบรกดาวน์ (VZ) ของซีเนอร์ไดโอดตวั นนั แรงดนั ไฟตรงค่า นีจะมีคา่ คงทีตลอดเวลาในการทาํ งาน วงจรทาํ งานซีเนอร์ไดโอด แสดงดงั รูปที . R แรงดนั + K แรงดันคงที่ ไมค งที่ - ตามคา VZ E DZ ภาระ A รปู ที่ 11.14 วงจรทาํ งานซีเนอร์ไดโอด
ค่าแรงดนั ซีเนอร์เบรกดาวน์ (VZ) ของตวั ซีเนอร์ไดโอด ทีผลิตออกมาใชง้ านมีหลายค่าให้เลือกใช้งาน ตงั แต่ . V ถึง V โดยประมาณ และค่าทนกาํ ลงั ไฟฟ้าสูงสุด (Power Dissipation ; PD) มีให้เลือกใชง้ านได้ หลายคา่ ตงั แต่ . W ถึง W โดยประมาณ 11.5.3 ไดโอดเปล่งแสง ไดโอดเปล่งแสง (Light Emitting Diode ; LED) เป็ นไดโอดชนิดหนึง ผลิตขึนมาจากสารกึง ตวั นาํ ชนิด P และชนิด N ต่อชนกนั เช่นเดียวกบั ไดโอดธรรมดา มีขาต่อออกมาใช้งาน ขา คือ ขาแอโนด (A) และขาแคโทด (K) เหมือนกนั ส่วนทีไดโอดเปล่งแสงแตกตา่ งจากไดโอดธรรมดา ตรงผลทีสารกึงตวั นาํ ทีใช้ผลิต มีความแตกต่างไป เมือทาํ งานจะเกิดการเปลง่ แสงออกมาจากตวั ไดโอดเปล่งแสงเป็นสีตา่ งๆ ตามเนือสารกึงตวั นาํ ที ใชผ้ ลิต แสงทีเปล่งออกมาจากตวั ไดโอดเปล่งแสงแบ่งออกไดเ้ ป็น ชนิด คือ ชนิดแสงทีตาคนมองเห็น มีสีหลักทีกําเนิดขึนมา สี ได้แก่ สีแดง สีเขียว สีเหลือง และสีนําเงิน แต่ในปัจจุบันสามารถสร้าง ไดโอดเปลง่ แสงใหก้ าํ เนิดสีขึนมาไดท้ กุ สี โดยใชว้ ิธีผสมสีของแสงเขา้ ดว้ ยกนั ทาํ ใหไ้ ดแ้ สงสีตา่ งๆ ออกมามากมาย และไดโอดเปล่งแสงอกี ชนิดหนึงเป็นชนิดแสงทีตาคนมองไม่เห็น โดยใหก้ าํ เนิดแสงอินฟราเรด (Infrared Light) ออกมา แสงแตล่ ะสีทีใหก้ าํ เนิดออกมาขึน อยทู่ ีการใชส้ ่วนผสมสารกึงตวั นาํ แตกตา่ งกนั ในการผลิต ทาํ ใหก้ าํ เนิด แสงออกมาแตกตา่ งกนั ไป โครงสร้างสญั ลกั ษณ์และรูปร่างของไดโอดเปลง่ แสง แสดงดงั รูปที . (ก) โครงสร้าง (ข) สญั ลกั ษณ์ (ค) รูปร่าง รูปท่ี 11.15 รูปร่างโครงสร้างและสัญลกั ษณ์ไดโอดเปลง่ แสง ไดโอดเปล่งแสงนอกจากจะผลิตออกมาเป็ นแต่ละตัวแล้ว ยังผลิตออกมาในรูปกลุ่ม ไดโอดเปลง่ แสง เช่น ไดโอดเปล่งแสงแบบ ส่วน (Seven Segment LED) เป็นการนาํ ไดโอด เปลง่ แสงแต่ละตวั ร่วม ตัว มาประกอบรวมกันให้อยู่ในรูปเลขแปด ไดโอดเปล่งแสงแบบเมตริ กซ์ (Matrix LED) เป็ นการนํา ไดโอดเปล่งแสงแต่ละตัวจํานวนหนึง มาเรียงลําดับหลายแถวรวมเป็ นกลุ่มอยู่ในรูปสีเหลียมจัตุรัส หรือ
สีเหลียมผนื ผา้ และจดั เรียงเป็นแถวยาวในลกั ษณะต่างๆ เป็นตน้ ไดโอดเปล่งแสงในรูปกลุ่มแตล่ ะชนิด แสดงดงั รูป ที . (ก) แบบ ส่วน (ข) แบบเมตริกซ์ (ค) แบบจดั เรียงแถวยาว รูปท่ี 11.16 ไดโอดเปลง่ แสงในรูปกลุ่มแตล่ ะชนิด R การใชง้ านไดโอดเปลง่ แสง จะตอ้ งจ่ายแรงดนั ไบแอสตรงค่าตาํ ไดโอดเปล่งแสงหนึงตวั ตอ้ งการแรงดนั E+ A ไฟตรงประมาณ . V ตอ้ งการกระแสไฟตรงไหลผา่ น 9V- LED ประมาณ mA ในการเปล่งแสง ถา้ ใชแ้ รงดนั มากกวา่ นี จา่ ยใหไ้ ดโอดเปล่งแสง จาํ เป็นตอ้ งเพิมตวั ตา้ นทานต่อ K อนุกรมกบั ตวั ไดโอดเปล่งแสง ช่วยป้องกนั กระแสไหล ผา่ นมากเกินไป อาจทาํ ใหไ้ ดโอดเปล่งแสงชาํ รุดเสียหาย รูปที่ 11.17 การต่อไดโอดเปลง่ แสงใชง้ าน ได้ การตอ่ ไดโอดเปล่งแสงใชง้ าน แสดงดงั รูปที . 11.5.4 ทรานซิสเตอร์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เป็นอุปกรณ์สารกึงตวั นาํ ชนิดหนึงทีถูกนาํ ไปใชง้ านอย่างแพรหลาย ผลิตจากการนาํ สารกึงตวั นาํ ชนิด P และชนิด N ต่อชนกนั ตอน แบ่งออกได้ ชนิด คือ ชนิด PNP ใชส้ ารกึง ตวั นาํ ชนิด P จาํ นวน ตอน ใชส้ ารกึงตวั นาํ ชนิด N จาํ นวน ตอน และชนิด NPN ใชส้ ารกึงตวั นาํ ชนิด N จาํ นวน ตอน ใชส้ ารกึงตวั นาํ ชนิด P จาํ นวน ตอน โดยมีสารกึงตวั นาํ ตอนกลางแคบทีสุด มีขาต่อออกมาใชง้ าน ขา ไดแ้ ก่ ขาเบส (Base ; B) ขาคอลเลกเตอร์ (Collector ; C) และขาอิมิตเตอร์ (Emitter ; E) ทรานซิสเตอร์ทีผลิต ขึนมาใช้งานมีมากมายหลายชนิด หลายขนาด และหลายเบอร์ ทงั ชนิดทนกาํ ลงั ไฟฟ้าตาํ และชนิดทนกาํ ลงั ไฟฟ้าสูง มีลกั ษณะและรูปร่างแตกต่างกนั ไป โครงสร้างสัญลกั ษณ์และรูปร่างของทรานซิสเตอร์แสดงดังรูปที 11.18
ชนิด PNP ชนิด PNP ชนิด NPN ชนิด NPN (ก) โครงสร้าง (ข) สัญลกั ษณ์ (ค) รูปร่าง รูปท่ี 11.18 โครงสร้างสัญลกั ษณ์และรูปร่างทรานซิสเตอร์ ทรานซิสเตอร์ทาํ งานได้ ตอ้ งจ่ายแรงดนั ไบแอสใหต้ วั ทรานซิสเตอร์ถกู ตอ้ งตาม ทีแต่ละขาของ ทรานซิสเตอร์ตอ้ งการ วิธีการจ่ายแรงดนั ไบแอสทีถูกตอ้ งใหท้ รานซิสเตอร์ มีวิธีเดียวดงั นี จ่ายแรงดนั ไบแอส ตรงใหข้ าอมิ ิตเตอร์ (E) และขาเบส (B) โดยขาเบสตอ้ งไดร้ บั แรงดนั ไบแอสตรงเทียบกบั ขาอมิ ิตเตอร์เสมอ ส่วนขา คอลเลกเตอร์ (C) ตอ้ งจ่ายแรงดนั ไบแอสกลบั การจ่ายแรงดนั ไบแอสดงั กล่าวถือวา่ ถูกตอ้ ง การจ่ายแรงดนั ไบแอส ให้ตัวทรานซิสเตอร์ผิดไปจากนี ทรานซิสเตอร์จะไม่สามารถทํางานได้ การจ่ายแรงดันไบแอสถูกต้องให้ ทรานซิสเตอร์แบบเบืองตน้ แสดงดงั รูปที . B C - - - N P N E (ก) ทรานซิสเตอร์ชนิด PNP (ข) ทรานซิสเตอร์ชนิด NPN รูปที่ 11.19 การจา่ ยไบแอสถูกตอ้ งให้ทรานซิสเตอร์แบบเบืองตน้
รูปที . แสดงการจ่ายไบแอสถูกตอ้ งใหท้ รานซิสเตอร์แบบเบืองตน้ ของทรานซิสเตอร์ทงั ชนิด PNP และ NPN การทาํ งานของตวั ทรานซิสเตอร์อธิบายไดด้ งั นี ถา้ จ่ายแรงดนั ไบแอสใหเ้ ฉพาะขาคอลเลก เตอร์ (C) และขาอิมิตเตอร์ (E) โดยขาเบส (B) ไม่มีแรงดนั ไบแอสจ่ายให้ ทรานซิสเตอร์ไม่ทาํ งาน ไม่มีกระแส ไหลในตวั ทรานซิสเตอร์ เมือจ่ายแรงดนั ไบแอสให้ขาเบส (B) เป็ นไบแอสตรง แรงดนั ไบแอสตรงทีขาเบส (B) ทาํ ให้รอยต่อเบส (B) และอิมิตเตอร์ (E) มีค่าความต้านทานตาํ ยอมให้กระแสไหลผ่านไปขาคอลเลกเตอร์ (C) ทรานซิสเตอร์ทาํ งานนาํ กระแส 11.5.5 เฟต เฟต (FET) เรียกไดอ้ ีกชือวา่ ทรานซิสเตอร์สนามไฟฟ้า (Field Effect Transistor ; FET) เป็นอปุ กรณ์ สารกึงตัวนําชนิด ขาเช่นเดียวกับทรานซิสเตอร์ แต่เป็ นอุปกรณ์สารกึงตวั นําชนิดขัวเดียว (Unipolar) มี โครงสร้างและหลกั การทาํ งานแตกต่างไปจากทรานซิสเตอร์ธรรมดา เพราะทรานซิสเตอร์ธรรมดาการทาํ งาน ตอ้ งอาศยั กระแสช่วยควบคมุ การทาํ งาน ส่วนเฟตการทาํ งานตอ้ งอาศยั แรงดนั ช่วยควบคุมการทาํ งาน เฟตสร้างมาใชง้ านแบ่งออกไดเ้ ป็น ประเภท คือ เฟตประเภทรอยต่อ (Junction FET) หรือเจเฟต (JFET) และเฟตประเภทสารกึงตวั นําออกไซด์โลหะ (Metal Oxide Semiconductor FET) หรือมอสเฟต (MOSFET) เฟตมี ขา คอื ขาเดรน (Drain ; D) ขาซอส (Source ; S) และขาเกต (Gate ; G) ขาเดรน (D) และขาซอส (S) เป็น ขาทาํ งาน ส่วนขาเกต (G) เป็ นขาควบคุมการทาํ งาน เฟตแต่ละชนิดมีโครงสร้างและหลกั การควบคุมให้เฟต ทาํ งานแตกต่างกนั รูปร่างเฟต แบบตา่ งๆ แสดงดงั รูปที . รูปท่ี 11.20 เฟตแบบต่างๆ 1. เจเฟต (JFET) โครงสร้างประกอบดว้ ยสารกึงตวั นาํ ตอนใหญ่ ตอน ตอ่ ขาออกมาใช้งาน ขา คือขาเดรน (D) และขาซอส (S) และประกอบดว้ ยสารกึงตวั นาํ ตอนเล็ก ตอน ต่อขาออกมาใชง้ าน ขา คอื ขา
เกต (G) แบ่งออกไดเ้ ป็ น ชนิด คือ ชนิด N แชนแนล และชนิด P แชนแนล โครงสร้างและสัญลกั ษณ์เจเฟต แสดงดงั รูปที . โครงสร้าง สญั ลกั ษณ์ โครงสร้าง สัญลกั ษณ์ (ก) ชนิด N แชนแนล (ข) ชนิด P แชนแนล รูปที่ 11.21 โครงสร้างและสญั ลกั ษณ์ JFET 2. มอสเฟต (MOSFET) โครงสร้างมีความแตกต่างไปจาก JFET ในส่วนทีสร้างเป็ นขาเกต โดย ส่วนนีถูกแยกออกเป็ นอิสระ มีฉนวนซิลิคอนไดออกไซด์ (Silicon Dioxide ; SiO2) คนั กลาง ส่วนทีเป็ นเดรน และ ซอส สร้างขึนบนฐานรองสารกึงตวั นาํ (Substrate) ทีใชส้ ารกึงตวั นาํ ชนิดตรงขา้ มกบั ส่วนเดรน และซอส มอสเฟ ตแบง่ ออกไดเ้ ป็ น แบบ คือ แบบดีพลีชนั มอสเฟต (Depletion MOSFET) หรือ D – MOSFET และเอ็นฮานซ์เมนต์ มอสเฟต (Enhancement MOSFET) หรือ E – MOSFET และแบ่งย่อยออกได้ ชนิด คือ ชนิด N แชนแนล และ ชนิด P แชนแนล โครงสร้างและสญั ลกั ษณ์มอสเฟตแตล่ ะแบบ แสดงดงั รูปที . และรูปที . โครงสร้าง สัญลกั ษณ์ โครงสร้าง สัญลกั ษณ์ (ก) ชนิด N แชนแนล (ข) ชนิด P แชนแนล รปู ท่ี 11.22 โครงสร้างและสญั ลกั ษณ์ D – MOSFET
โครงสร้าง สัญลกั ษณ์ โครงสร้าง สัญลกั ษณ์ (ก) ชนิด N แชนแนล (ข) ชนิด P แชนแนล รูปท่ี 11.23 โครงสร้างและสัญลกั ษณ์ E – MOSFET จากรูปที . และรูปที . ส่วนทีแตกต่างกนั ของมอสเฟตทงั แบบ อยทู่ ีส่วนฐานรอง (Sub) เป็ นสารกึงตวั นาํ ขวางระหว่างสารกึงตวั นําขา D และขา S แบบ D – MOSFET รูปที . มีสารกึงตวั นําชนิด เดียวกบั ขา D และขา S เชือมตอ่ อยู่ ทาํ ให้ขา D และขา S ตอ่ ถึงกนั ดูไดจ้ ากสัญลกั ษณ์ขา D และขา S ต่อเป็ นเส้น เดียวกนั ส่วนแบบ E – MOSFET รูปที . มีสารกึงตวั นาํ ชนิดตรงขา้ มกบั ขา D และขา S เชือมต่อ ทาํ ให้ขา D และขา S ไม่ต่อถึงกนั ดูไดจ้ ากสัญลกั ษณ์ขา D และขา S ถูกต่อดว้ ยเส้นประ บอกให้ทราบวา่ ขาทงั สองแยกออก จากกนั 11.6 บทสรุป ไมโครโฟนทําหน้าทีเปลียนคลืนเสียงให้เป็ นคลืนไฟฟ้า นําไปใช้งานกับอุปกรณ์ไฟฟ้าและ อิเลก็ ทรอนิกสต์ ่างๆ ไมโครโฟนทีดีตอ้ งตอบสนองต่อสญั ญาณเสียงในช่วงความถี Hz ถึง kHz ไมโครโฟน ทีใชง้ านแพร่หลายมี ชนิด คือ ชนิดไดนามิก และชนิดคอนเดนเซอร์ ลาํ โพงเป็ นอุปกรณ์ทีทาํ หนา้ ทีเปลียนสัญญาณเสียงในรูปสัญญาณไฟฟ้า ให้กลบั มาเป็นสัญญาณเสียงใน รูปการสนั สะเทือน ลาํ โพงแบ่งออกเป็ น ชนิด คอื ชนิดเสียงทุม้ ชนิดเสียงกลาง และชนิดเสียงแหลม รีเลยเ์ ป็ นสวิตช์ไฟฟ้า ควบคุมการทํางานดว้ ยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ตดั ต่อการจ่ายกาํ ลัง ไฟฟ้าจาก แหล่งจ่ายไฟไปยงั ภาระ โดยควบคมุ หนา้ สัมผสั สวติ ชร์ ีเลยต์ ดั ตอ่ วงจร แมกเนติกคอนแทกเตอร์เป็นสวิตช์ไฟฟ้าควบคุมการทาํ งานดว้ ยสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเช่น เดยี วกบั รีเลย์ แต่ ใชง้ านไดก้ บั กาํ ลงั ไฟฟ้าสูงๆ ถูกนาํ ไปใชง้ านดา้ นการควบคมุ กาํ ลงั ไฟฟ้าในงานอตุ สาหกรรม อปุ กรณ์สารกึงตวั นาํ ประกอบขึนมาจากการนาํ สารกึงตวั นาํ ชนิด P และสารกึงตวั นาํ ชนิด N ตอ่ ร่วมกนั ผลิตขึนมาใชง้ านหลายชนิด เช่น ไดโอด ซีเนอร์ไดโอด ไดโอดเปล่งแสง ทรานซิสเตอร์ และเฟต เป็นตน้ อปุ กรณ์แต่ ละชนิดมีโครงสร้าง หลกั การทาํ งาน และการนาํ ไปใชง้ านทีแตกต่างกนั
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: