หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 3 กฎหมายแรงงาน สมั พนั ธแ์ ละการ ประกนั สงั คม
1. กฎหมายแรงงานสมั พนั ธ์ กฎหมายแรงงานสมั พนั ธ์ เป็ นกฎหมาย ที่ใช้บงั คบั ในกิจการ ทวั่ ไปท่ีมีการจ้างแรงงานที่กาหนดแนวทางปฏิบตั ิต่อกนั ระหว่าง ฝ่ ายนายจ้างกบั ฝ่ ายลูกจ้าง ให้มีความเข้าใจอนั ดีต่อกนั สามารถ ตกลงในเร่ืองสิทธิหน้าท่ี และผลประโยชน์ในการทางานร่วมกนั ได้ รวมทงั้ กาหนดวิธีการระงบั ข้อพิพาทแรงงานที่อาจเกิดขึ้นให้ ยุติ ลงโดยเร็วด้วยความพอใจของทัง้ สองฝ่ าย เพื่อให้เกิ ด ความสมั พนั ธ์อย่างสร้างสรรค์และก่อให้เกิดความสงบสุขใน องคก์ ารที่ทางานรว่ มกนั
2. วตั ถปุ ระสงคข์ องกฎหมายแรงงานสมั พนั ธ์ วตั ถุประสงค์และขอบข่ายใช้บังคับกับ ผู้ประกอบกิจการทัว่ ไป ที่มีการใช้แรงงาน เพื่อให้นายจ้างและลกู จ้างมีความสมั พนั ธ์ท่ีดี ต่อกนั ป้องกนั ไม่ให้เกิดความกระทบกระทงั่ และลุกลามบานปลาย อนั ส่งผลกระทบต่อ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็ นวงกว้าง
3. การแจง้ ข้อเรียกร้องเกี่ยวกบั สภาพการ จ้าง สภาพการจ้าง ที่ใช้บังคับระหว่างนายจ้างกับ ลูกจ้างนั้นเป็ นข้อตกลงต่อกัน เม่ือฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ ง ประสงค์จะให้มีการเปล่ียนแปลงตามระยะเวลา หรือ สถานการณ์ ทัง้ นายจ้างและลูกจ้างต่างก็มีสิทธิท่ีจะ บอกกล่าวหรือเรียกร้องต่ อกัน เพื่อขอให้มีการ เปล่ียนแปลงหรือแก้ไขเพ่ิมเติมข้อตกลงเก่ียวกบั สภาพ การจ้างนัน้ ได้
4. องค์กรเกี่ยวข้องกบั การระงบั ขอ้ พิพาท เมื่อมีข้อพิพาทเกี่ยวข้องกบั แรงงานเกิดขึ้น นอกจากค่กู รณี คือ ฝ่ ายนายจ้างและฝ่ ายลูกจ้างร่วมเจรจาระงบั ข้อ พิพาทกนั แล้ว ยงั มีองคก์ รผ้เู กี่ยวข้องกบั ข้อพิพาทแรงงานที่จะเข้ามาร่วมเจรจาให้ข้อพิพาทแรงงานยุติ และมีความ เป็นธรรมเกิดขึน้ องคก์ รที่เกี่ยวข้องโดยกฎหมายประกอบด้วย จา้ งคณะกรรมการลกู ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน งานพนักงานประนอมข้อพิพาทแรง คณะกรรมการแรงงานสมั พนั ธ์
5. ขนั้ ตอนการระงบั ข้อพิพาทแรงงาน การเจรจา การไกล่เกล่ีย การชี้ขาดข้อ การใช้ พิพาทแรงงาน มาตรการทาง แรงงานสมั พนั ธ์
6. หลกั กฎหมายประกนั สงั คม วตั ถปุ ระสงคข์ องพระราชบญั ญตั ิประกนั สงั คมฉบบั นี้กเ็ พ่อื 1. จดั ตงั้ กองทุนประกนั สงั คมขนึ้ 2. เพ่ือเป็นหลกั ประกนั แก่บคุ คลผเู้ ป็นลกู จา้ ง (ผปู้ ระกนั ตน) 3. ใช้กองทุนเป็นหลกั ประกนั ให้แก่ลกู จ้าง คือ ผปู้ ระกนั ตนได้รบั ประโยชน์ทดแทน 4. เหตุท่ีลูกจ้างหรือผู้ประกันตนจะได้รับประโยชน์ทดแทนจากกองทุนก็ต่อเม่ือลูกจ้างหรือ ผ้ปู ระกนั ตนประสบอนั ตรายเจบ็ ป่ วย ทุพพลภาพ หรือตาย อนั มิใช่เน่ืองจากการทางานให้นายจ้าง รวมทงั้ กรณีคลอดบตุ ร สงเคราะหบ์ ตุ ร ชราภาพ และกรณีว่างงานด้วย
7. ผปู้ ระกนั ตน ผปู้ ระกนั ตน ผ้ปู ระกนั ตน คือลูกจ้างที่มีอายุไม่ตา่ กว่า15 ปี ท่ี จ่ า ย เ งิ น ส ม ท บ เ ข้ า ก อ ง ทุ น ป ร ะ กัน สัง ค ม เ พ่ื อ ก่อให้เกิ ดสิ ทธิ ได้รับประโยชน์ ทดแทนตาม พระราชบญั ญัตินี้ ผู้ประกันตนประเภทนี้ เป็ น ประเภทอยู่ในระบบ ซึ่งกฎหมายบงั คบั ว่าต้อง เป็ นผ้ปู ระกนั ตนจนกระทงั่ มีอายุไม่เกิน 60 ปี ถ้า อายุ 60 ปี บริบูรณ์แล้ว กฎหมายไม่บงั คบั จะเป็ น ผปู้ ระกนั ตนหรอื ไม่กไ็ ด้
8. การขึน้ ทะเบยี นประกนั ตน นายจ้างซึ่งมีลกู จ้างตงั้ แต่ 1 คนขึน้ ไป ต้องดาเนินการขึน้ ทะเบียนประกนั ตน การขึน้ ทะเบียนประกนั ตน จะต้องกระทาภายใน 30 วนั นับแต่วนั ท่ีลกู จ้างเร่ิมเป็นผปู้ ระกนั ตน โดยให้นายจ้างหกั เงินค่าจ้างของลกู จ้าง ทุกครงั้ ที่มีการจ่ายค่าจ้างตามจานวนท่ีจะต้องนาส่งเป็นเงินสมทบในส่วนของผปู้ ระกนั ตนและเงินสมทบใน ส่วนของนายจ้างจานวนเท่ากนั ส่งให้สานักงานประกนั สงั คม ภายในวนั ท่ี 15 ของเดือนถดั ไปจากเดือนท่ีมี การหกั เงินสมทบไว้ พรอ้ มย่ืนรายการแสดงการส่งเงินสมทบตามแบบของสานักงานประกนั สงั คม
9. เงินสมทบ เงินสมทบ คือ เงินที่ผู้ประกันตนต้องส่งเข้ากองทุน ประกันสังคม เป็ นประจาทุกเดือน ตาม อัต ร า ร้ อ ย ล ะ จ า ก ฐ า น เ งิ น เ ดื อ น ข อ ง ผ้ปู ระกนั ตนซ่ึงกาหนดจากฐานเงินเดือน ขนั้ ตา่ และขนั้ สงู เป็นฐานในการคานวณ แต่ ต้องไม่เกินอตั ราเงินสมทบที่กาหนดไว้ท้าย พระราชบญั ญตั ิประกนั สงั คมฉบบั นี้
10. ประโยชน์ ทดแทน ป ร ะ โ ย ช น์ ท ด แ ท น ห ม า ย ถึ ง ป ร ะ โ ย ช น์ ท่ี ผู้ประกนั ตนจะได้รบั ประโยชน์ทดแทนเป็ นเงินจาก กองทุนประกันสังคม ประโยชน์ทดแทนมี 7 กรณี ตามที่กล่าวมาแล้วอาจแยกได้เป็น 3 กล่มุ คือ
1. กล่มุ ที่ 1 มีประโยชน์ทดแทน 4 กรณี 1. ประโยชน์ทดแทน 3. ประโยชน์ทดแทน กรณีประสบอันตราย ก ร ณี ต า ย อั น มิ ใ ช่ หรือเจ็บป่ วย อันมิใช่ เน่ืองจากการทางาน เน่ืองจากการทางาน 2. ประโยชน์ทดแทน 4 . ป ร ะ โ ย ช น์ กรณีทุพพลภาพ อัน ท ด แ ท น ก ร ณี มใิ ชเ่ น่ืองจากการทางาน คลอดบุตร
2. กล่มุ ที่ 2 มีประโยชน์ทดแทน 2 กรณี ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะหบ์ ตุ ร ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ
3. กล่มุ ท่ี 3 มีประโยชน์ทดแทน 1 กรณี ประโยชน์ทดแทนกรณวี า่ งงาน
11. สิทธิของผปู้ ระกนั ตนในระบบหลงั สิ้นสภาพการเป็น ผปู้ ระกนั ตน 1. มีสิทธิได้รบั ประโยชน์ทดแทนจากกรณีประสบอนั ตราย กรณี เจ็บป่ วย กรณี คลอดบุตรและกรณี ตาย ต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่วนั สิ้นสภาพการเป็นลกู จา้ ง 2. มีสิทธิสมคั รเป็ นผ้ปู ระกนั ตนต่อไปได้หากประสงค์ โดย แสดงความจานงต่อสานักงานประกนั สงั คมภายในกาหนด 6 เดือน นับแต่วนั สิ้นสดุ ความเป็นผปู้ ระกนั ตน
12. เงินทดแทน กองทุนเงินทดแทน เป็นกองทุนที่จดั ตงั้ ขึ้นเพื่อเป็ นทุนในการจ่ายเงินทดแทนให้แก่ ลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือ เจบ็ ป่ วย หรือถึงแก่ความตาย หรือสูญหาย เนื่องจากการทางานให้นายจ้าง โดยนายจ้าง เป็ นผ้มู ีหน้าที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเพียง ฝ่ ายเดียว
คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2557 บุตรตามพระราชบญั ญตั ิ เงินทดแทน พ.ศ. 2537มาตรา 20 วรรคหน่ึง (3) ต้องถือเอาความเป็ นบุตรตาม ความเป็ นจริง เมื่อโจทก์เป็ นบุตรตามความเป็ นจริงของผู้ตายซึ่งเป็ นลูกจ้าง ประสบอนั ตรายถึงแก่ความตายจึงเป็นผมู้ ีสิทธิได้รบั เงินทดแทน พระราชบญั ญตั ิ เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 49 บญั ญตั ิให้ลูกจ้างหรือผ้มู ีสิทธิตามมาตรา 20 ย่ืนคาร้องขอรับเงินทดแทนภายในหน่ึ งร้อยแปดสิบวันนับแต่วนั ที่ประสบ อนั ตรายเจบ็ ป่ วย หรือสูญหาย แต่ไม่ได้บญั ญตั ิว่าหากไม่ยื่นคาร้องขอรบั เงิน ทดแทนภายในกาหนดเวลาดงั กล่าวจะมีผลทาให้สิทธิที่จะได้รบั เงินทดแทนระงบั สิ้นไป ระยะเวลาการยื่นคาร้องขอรบั เงินทดแทนภายในหน่ึงร้อยแปดสิบวนั จึง เป็ นเพียงกาหนดระยะเวลาเร่งรดั ให้ลูกจ้างหรือผ้มู ีสิทธิตามมาตรา 20 ใช้สิทธิ โดยเรว็ ไม่ใช่บทบญั ญตั ิตดั สิทธิแม้โจทก์ยื่นคาร้องขอรบั เงินทดแทนเกินหน่ึง ร้อยแปดสิบวนั นับแต่วนั ท่ีผู้ตายประสบอันตราย โจทก์ก็ยงั มีสิทธิได้รบั เงิน ทดแทน กรณีมีเหตเุ พิกถอนคาวินิจฉัยของคณะกรรมการกองทนุ เงินทดแทน
Search
Read the Text Version
- 1 - 17
Pages: