Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พิจารณากายเพื่อการรู้แจ้ง

พิจารณากายเพื่อการรู้แจ้ง

Published by Dhammanava, 2021-02-07 04:07:45

Description: พิจารณากายเพื่อการรู้แจ้ง

Keywords: พิจารณากาย

Search

Read the Text Version

ปุจฉา-วสิ ชั นา 43 อย่างนั้นไม่จําเป็ น เอาสมาธทิ ่ีเกิดจากการพิจารณา สมาธทิ ี่เกิดจากการกําหนดรู้นี้สะสมมรรคไว้ในจิต พอ เข้าไปทําลายสักกายทิฏฐใิ นเบ้ืองต้นได้แล้วน่ี ตอนนัน้ แหละเราจะร้เู ลยวา่ สมั มาสมาธทิ แ่ี ทค้ อื อะไร แลว้ เราจะ รู้ว่าการเจรญิ สมาธทิ ี่แท้จรงิ ควรจะเจรญิ อย่างไร ให้ถูก กับจรติ ถูกกับนิสัย ถูกในเร่อื งราว ถูกในการท่ีจะเป็ น ไปในการทาํ ลายอาสวะกเิ ลสในระดบั เบ้ืองบนตอ่ ไป ฉะนัน้ เม่อื อาตมามองเหน็ แลว้ วา่ ไมจ่ าํ เป็นจะตอ้ ง ใช้สมาธใิ นแบบมาก ๆ ขัน้ เอกอุ คอื แบบนัง่ กนั เอาเป็ น เอาตาย แลว้ เสยี เวลานาน บางคนคร่งึ ชวี ติ ในการปฏบิ ตั ิ บางคน ๔๐ ปี ๕๐ ปี เทา่ กบั อายุอาตมาดว้ ยซ้าํ กส็ มาธิ อยู่อย่างนัน้ แหละ กี่สิบปี ก็สมาธอิ ยู่อย่างนัน้ ยังไม่ก้าว เข้าสู่ปั ญญาแม้แต่นิดหน่ึง เพราะต้องอาศัยการสะสม มาก ดไี ม่ดตี อ้ งสะสมกนั ข้ามภพข้ามชาติ แล้วเราจะไป ทาํ ลายอาสวะตอนไหน ดไี มด่ ไี มเ่ จอพระพทุ ธเจา้ ไมเ่ จอ คําสอนพุทธศาสนา จะอาศัยคําสอนในการที่จะปฏิบัติ ทาํ ลายอาสวะในชนั้ ไหน เพราะฉะนัน้ อาตมาวเิ คราะหม์ า เรยี บร้อยแล้วว่า ชัน้ ปุถุชนนี้ให้เข้าไปถึงจุดการทําลาย สักกายะฯ ก่อนเป็ นอนั ดับแรก

44 การพจิ ารณากายเพ่ือความรแู้ จง้ เม่ือทําลายสักกายะฯ ได้แล้ว ตรงนัน้ จะทําสมาธิ มากเพียงไหนก็ทําไปเลย ไม่ผิด อย่างน้ อยก็ปลอดภัย ในวฏั ฏะแลว้ นี่คอื เฟ้ นอยา่ งดแี ลว้ ทมี่ าบอกมาสอน ทพ่ี ดู ทงั้ หมดนี้จะไมพ่ ดู ถงึ ธรรมระดบั สงู มากเกนิ ไป จะพดู ถงึ ระดับชัน้ ล่าง ๆ ปั ญหามากท่ีสุดคือระดับปุถุชนเข้าไป หาความเป็ นพระโสดาบัน น่ีแหละคือปั ญหามากท่ีสุด เพราะไปติดนัง่ สมาธกิ ัน แล้วก็ติดอยู่อย่างนัน้ โดยไม่รู้ ว่าเป็ นมิจฉาสมาธซิ ่ึงไม่สามารถทําประโยชน์หรอื ทํากิจ ในอรยิ มรรคได้เลย น่ีมิจฉาสมาธทิ ํากิจทําประโยชน์ ไม่ได้ ก็ไม่อยากจะให้เป็ นอย่างนัน้ แล้วลูกศิษย์ที่เขา ถูกสอนมา ให้ทําสมาธกิ ่อน ส่วนมากติดอยู่กับสมาธิ อย่างนี้ชัน้ ลึกจนถอนไม่ออก ระดับฌานก็ไม่ส่งเสรมิ ต่อปั ญญาในการท่ีจะไปสู่กระบวนการการพิจารณา แล้วกลายเป็ นด้ือต่อครูบาอาจารย์ก็มี ไปติดนิมิต ติดนั่นติดน่ี ติดอิทธฤิ ทธิ์ ติดปาฏิหารยิ ์ ติดสารพัด นัง่ เพ่ง นัง่ ดู นัง่ เห็นภพภูมินัน่ ภพภูมินี้ เสียเวลามาก จึงได้บอกลูกศิษย์เสมอว่า จะเห็นผี เห็นปี ศาจ เห็นเทวดา เหน็ นรก เห็นสวรรค์ ก็สูเ้ ห็นทกุ ข์ เหน็ เหตุ ให้เกิดทุกข์ เห็นความดับทุกข์ เห็นวิธปี ฏิบัติเพ่ือจะ

ปจุ ฉา-วิสชั นา 45 ดับทุกข์ ไม่ได้หรอก การเห็นอย่างนี้เป็ นการเห็น ที่ประเสรฐิ เห็นผี เห็นเทวดา เห็นพรหม ไม่ประเสรฐิ อย่างไรก็ไม่ประเสริฐ มันไม่ได้ละกิเลสตัวไหนเลย มันไมไ่ ดเ้ กดิ ปัญญาตวั ไหนเลย แล้วการเหน็ แค่นี้ ผ้คู น ก็ยกย่องว่าเป็ นผู้วิเศษ จะวิเศษอะไร กิเลสยังไม่ได้ ถูกละแมแ้ ต่ตัวเดียว จะวเิ ศษไดอ้ ยา่ งไร ถา้ จะใหว้ เิ ศษ จรงิ ๆ ต้องละกิเลสให้ได้ อย่างน้ อยเบ้ืองต้นให้มันได้ เอาตัวเองให้ปลอดภัยในวัฏฏะก่อน เพราะถ้ายังไม่ถึง ความเป็ นโสดาบัน อยา่ หวงั เลยว่าจะปลอดภัยในวัฏฏะ จ ะ เ ห า ะ เ หิ น เ ดิ น อ า ก า ศ ไ ด้ ก็ ไ ม่ ป ล อ ด ภั ย ใ น วั ฏ ฏ ะ ใช่ไหมล่ะ เทวทัตก็เหาะได้เหมือนกัน เหาะอย่างไร กไ็ มร่ ู้ไปอยใู่ นนรก เหาะได้แต่เหาะออกจากนรกไมไ่ ด้ ปจุ ฉา : อารมณท์ เ่ี กดิ ข้นึ มาบางครงั้ แรงจนเผลอ ตามอารมณ์ไป จะทําอยา่ งไร วสิ ชั นา : เราตอ้ งเขา้ ใจวา่ อารมณท์ แ่ี รงจนเผลอ (ตามอารมณ์ไป) นั่นคืออารมณ์ท่ีเรายังเรียนรู้ต่อ อารมณ์นั้นไม่ทัน เป็ นเร่ืองที่เราเรียนรู้ไม่ทันก็คือ เป็นเร่อื งทสี่ ตติ ามตดิ ในการระลกึ ร้ใู นตนเองจากอารมณ์ ที่เกิดข้ึนแรง ๆ นั้นไม่ทัน ทันแต่อารมณ์อ่อน ๆ

46 การพิจารณากายเพือ่ ความร้แู จง้ เขาเรยี กว่าสติยังอ่อน ถา้ ทนั อารมณ์แรงได้ พออารมณ์ แรงป้ึ ง กระทบป๊ ุบรู้ สติตามป๊ ุบ ประกบปั๊บ ดับพรบึ นี่เขาเรยี กว่าสติปั ญญาแก่กล้า แต่ก็ต้องอ่อนไปก่อน เอาแบบอ่อน ๆ น่ีแหละ เวลารุนแรงมาเราอย่าไปอยาก ให้มันทันหรอก อย่างไรก็ไม่ทัน ให้มันไม่ทันอย่างนี้ ไปก่อน แต่จะทันในภายหลังอยู่ ไม่ทันในครงั้ นัน้ ก็จะ ทันในครงั้ ต่อไป คือเอาอันที่กระทบแรง ๆ นัน่ มาเป็ น บทเรยี นวา่ โอ... เราไมท่ นั ครงั้ นี้ คอื แกอ้ ะไรกไ็ มไ่ ดแ้ ลว้ บอกใจตัวเองว่าครงั้ ต่อไปเราจะต้องมีสติให้ทันกว่านี้ กําหนดไว้อย่างนี้ แล้วก็ยังไม่ทันอีกอยู่เหมือนเดิม เด๋ียวจะเรยี นรู้อีก แต่ก็จะกระชัน้ เข้าไป ใกล้เข้าไป พอถงึ จดุ ทนั ไมต่ อ้ งบอกวา่ ทนั หรอื ไมท่ นั มนั ทนั กนั เอง มันตะครุบกันเอง สติกับอารมณ์กับการเกิด-ดับมันจะ แนบไปต่อกันเอง ป๊ ุบปั๊บ ๆ ๆ รวดเรว็ มาก ฉะนั้น พจิ ารณาใหพ้ อดว้ ย อนั นี้ส่วนหน่ึง ปุจฉา : ขณะนี้จงึ ไม่ไดท้ าํ สมาธเิ ลย วิสัชนา : ไม่ต้องทํา ไม่จําเป็ นต้องทําขนาดนัน้ หรอื จะทาํ กอ็ ยา่ ไปทาํ มาก ทาํ พอเป็ นทาํ นองธรรมเนียม ทีด่ ที ่ีเคยทาํ ทําเป็ นอุปนิสัยอะไรประมาณนี้

ปจุ ฉา-วิสัชนา 47 ปุจฉา : นัง่ สมาธแิ ละบรกิ รรมพุทโธ ไปเร่อื ย ๆ สักระยะหน่ึงจะเกิดแสงสว่าง สีเขียว หรือม่วง หรอื เหลือง ที่หน้ าผากเป็ นบางครงั้ คืออะไร มาผิด หรอื ถูกทาง นั่งวันละประมาณ ๒๐ นาที โยมแค่ อยากสงบจติ ใจ วิสัชนา : ถ้าต้องการสงบจิต หากนั่งอย่างนัน้ แลว้ สงบจติ กต็ อ้ งทาํ อยา่ งนัน้ แหละ ถา้ ตอ้ งการแคส่ งบ จิตก็ต้องเอาเท่านัน้ ก็จะไม่แนะนํามากกว่านี้เพราะว่า ตอ้ งการแคส่ งบจติ ถามวา่ ถกู ไหม กถ็ กู ตามสมาธอิ นั นัน้ แต่ก็อยากจะบอกว่ายังเป็ นมิจฉาสมาธอิ ยู่ คําว่ามิจฉา- สมาธไิ ม่ใช่ว่าจะไม่สงบนะ มันสงบอยู่ แล้วสงบลึก ได้ดีด้วย คําว่ามิจฉา(สมาธ)ิ คือ มันไม่ใช่หนทางแห่ง อรยิ มรรค มจิ ฉา แปลวา่ ผิด เป็ นสมาธทิ ผี่ ดิ คือเอาไปใช้ ในการดําเนินมรรคไม่ได้ แต่ถ้าใช้ในด้านความสงบ นั้นได้ เขาเรียกว่าเป็ น ทิฏฐธรรมสุขวิหารสมาธิ เป็ นสมาธิท่ีก่อให้เกิดความสงบความสุขในปั จจุบัน ในขณะที่ทาํ กไ็ ดอ้ ยู่ ปุจฉา : ใช้สติพิจารณาสังขาร หรอื เวทนา หรอื ขนั ธ์ ๕ แลว้ แตจ่ ะปรากฏข้ึนหรอื ไม่

48 การพิจารณากายเพ่ือความรู้แจ้ง วิสัชนา : ใช่ เราจะจับเอาประเด็นตรงไหน มาเป็ นเคร่อื งกาํ หนดด้วยสติ จะเป็ นเวทนา หรอื สงั ขาร หรอื ขันธอ์ ะไรก็ได้ ได้หมด มากําหนดด้วยสติ ก็ได้ อันนี้ถกู ปุจฉา : อยากให้พระอาจารย์อธิบายเร่ืองการ พิจารณาอยู่ทุกขณะจิต ไม่ว่าจะเป็ นอายตนะ ผัสสะ อะไรต่าง ๆ เหลา่ นี้ อธบิ ายเพ่อื ชเี้ ป็ นแนวทางเพิม่ เตมิ วิสัชนา : ไม่ใช่เร่อื งต้องมาอธบิ ายเร่อื งพวกนี้ คือคนสอนนี้รู้ว่าอันไหนควรจะต้องอธบิ าย อันไหน ไม่ควรจะอธบิ าย รู้อยู่ว่าจรงิ ๆ คนถามคืออยากจะรู้ คําตอบ แต่การรู้คําตอบก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ นสิ่งที่ดีเสมอไป เพราะจะได้แค่คําตอบ บางทีบางคนจะได้แค่คําตอบไป เท่านัน้ เพราะอะไร เพราะตัวนี้จะเกิดมาเป็ นผลจาก การปฏิบัติที่เรากําลังปฏิบัติกันอยู่ หมายถึงว่าเรา ปฏิบัติตามแนวทางที่พระอาจารย์ได้แนะนํ าสอนมานี้ พระอาจารย์เช่ือว่าที่รบั ฟั ง รบั ชมกันอยู่ในเพจฯ นี้ ทงั้ ตดิ ตามทเี่ พมิ่ ข้นึ มาแตล่ ะคน ๆ แสดงวา่ มคี วามสนใจ ในแนวทางและหลักการนี้ แล้วก็เช่ือว่าถ้าผู้ปฏิบัติ ๆ อยู่นี้ ท่ีกําลังดําเนินอยู่ ท่ีกําลังปฏิบัติ ย่อมได้รบั ผล

ปุจฉา-วิสัชนา 49 อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงข้นึ อยใู่ นจติ จนนํามาสกู่ ารถามอะไรท่ี เพ่ิมพูนสติปั ญญาตัวเองอย่างนี้ให้มากข้ึนไปเร่ือย ๆ แต่ก็อยากจะให้เข้าใจว่า ส่ิงท่ีถามมานี้จะเกิดรอเรา ในเบ้ืองหน้ าอยู่ ถ้าเราทําข้อปฏิบัตินี้ให้สม่าํ เสมออยู่ได้ เร่อื ย ๆ ตอ่ เน่ืองไปได้เร่อื ย ๆ จะเกิดอยู่ อยตู่ รงจุดท่ีเรา ยังไปไม่เจอเท่านั้นเอง ทีนี้ให้อธบิ ายก่อนท่ีจะไปเจอ ก็ได้อธบิ าย จึงอยู่ในชัน้ ของสัญญา ยังไม่ใช่ชัน้ ของ ความจรงิ บางคนฟังคําตอบ ปัญญายังไม่เกิด ได้คําตอบไป กไ็ ปเจอกบั เร่อื งราวตา่ ง ๆ มากมาย บางทกี ผ็ า่ นไปเป็นปี ไปเจอกบั เร่อื งราวทตี่ รงกบั คาํ ตอบนัน้ ถงึ จะโพลง่ วา่ โอ พระอาจารย์เคยตอบเร่อื งนี้ให้ ไปเจอตอนนัน้ ถึงจะมารู้ แล้วรู้ตอนนั้นกับคําตอบ คําตอบตอนนั้นยังใช้ไม่ได้ แค่ไประลึกได้ว่า พระอาจารย์เคยตอบเร่ืองนี้ไว้ให้ มนั เกิดเป็ นอยา่ งนี้ ก็แค่นัน้ เพราะตอบไปกอ่ นก็แคน่ ัน้ คือจรงิ ๆ จะเกิดรู้อยู่ คําว่าทุกขณะ คือจะเกิดเอง ทกุ อริ ยิ าบถ ทกุ เวลา จะเป็ นเอง จะรู้เอง เราต้องเข้าใจว่ากายของเรา คือ ระบบกายระบบ ขนั ธ์ กค็ อื ธาตุ ขนั ธ์ อายตนะน่ีแหละ อายตนะ คอื ระบบ

50 การพิจารณากายเพ่อื ความร้แู จ้ง การเช่อื มตอ่ เอาตาเช่อื มตอ่ รปู เอาหเู ช่อื มตอ่ เสยี ง จมกู เช่ือมต่อกลิ่น ลิ้นเช่ือมต่อรส กายเช่ือมต่อสัมผัส จิต เช่ือมต่อกับอารมณ์ มันเกิดอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเรา ไมไ่ ดเ้ หน็ มนั ตลอดเวลานี่ นนั่ คอื จงั หวะทไี่ มเ่ หน็ อวชิ ชา จะแทรกในจังหวะนัน้ ทีนี้ความเป็ นไปได้ท่ีจะทําให้จิต ไดก้ าํ หนดร้อู ิรยิ าบถตลอด ๒๔ ชัว่ โมง โดยไม่ขาดตอน เลย ในระดับพวกเรายังยากอยู่ แมจ้ ะบอกวา่ ต้องใหไ้ ด้ ตลอด ๒๔ ชวั่ โมง กย็ ังยากอยู่ คําว่า จะต้องกําหนดรู้ตลอด ๒๔ ชัว่ โมง ใน ความหมายของอาตมา หมายถึงว่า ความรู้ตลอด ๒๔ ชัว่ โมงนี้ เป็ นผลมาจากการพิจารณาของเราเป็ นแบบ เป็ นขัน้ ตอน เป็ นช่วงเวลาที่พอมีเวลาว่างแล้วทํา หรอื ทัง้ ทอ่ งธาตฯุ ทงั้ พิจารณา ๖ ขัน้ ตอน ทัง้ กําหนดขันธ์ ๕ สะสมกันมาอย่างนี้ จนเพียงพอต่อการที่จะทําให้เกิด กระแสของความต่อเน่ืองเองจากการกระทําที่สะสมกัน มานัน้ พอต่อเน่ืองกันข้ึนมาแล้ว ก็จะทําให้ระบบของ การพจิ ารณาหรอื การกาํ หนดไดโ้ ดยอตั โนมตั นิ ี้เกดิ ข้นึ มา ทาํ ทกุ ๆ ขณะ แมเ้ วลาหลบั กท็ าํ หลบั นี่ยงั ร้เู ลยวา่ จติ ยงั ทาํ หน้ าท่ใี นการละอาสวะ ต้องถงึ ขนาดนี้จงึ จะเขา้ ใจได้ อย่างแจม่ แจ้ง

ปจุ ฉา-วิสชั นา 51 ปุจฉา : มีคําถามว่า ทุกขอรยิ สัจกับทุกข์ใน ไตรลกั ษณ์ เหมอื นหรอื ตา่ งกนั อย่างไร วิสัชนา : ทุกข์ของไตรลักษณ์เป็ นทุกข์ใน ลักษณะ ๓ ของสภาพสังขาร สังขารจะมีลักษณะ ๓๔ เสมอเหมือนกันหมด ไม่มีลักษณะ ๔ ไม่มีลักษณะ ๕ ไม่มีลักษณะ ๒ ไม่มีลักษณะเดียว มีลักษณะ ๓ เหมือนกนั ทัง้ หมดของสงั ขาร ทกุ ขข์ องไตรลกั ษณน์ ี้เป็นทกุ ขใ์ นชนั้ ของอรยิ มรรค ท่ีจะต้องเจรญิ ส่วนทุกข์ของอรยิ สัจนี้เป็ นทุกข์ท่ีต้อง กําหนดรู้ ต่างกนั นะ กจิ ในการปฏบิ ัตติ ่างกัน ทุกข์ของ อรยิ สัจต้องกําหนดรู้ แต่ทุกข์ของไตรลักษณ์นี้จะต้อง เจรญิ สง่ิ หน่ึงกําหนดรู้ สง่ิ หน่ึงเจรญิ ทุกข์ของอรยิ สัจ ให้กําหนดรู้ แล้วยอมรบั ทกุ ขข์ องไตรลกั ษณ์ ให้พจิ ารณา แลว้ เจรญิ ข้ึน ทุกขเวทนา จัดอยู่ในทุกขสัจจะ ก็เป็ นของควร กาํ หนดรู้ รู้การเกิด-การตัง้ อย-ู่ การดบั ๔ ลกั ษณะ ๓ ของสภาพสงั ขาร คือ อนิจจลกั ษณะ ความไม่เทีย่ ง, ทกุ ขลักษณะ ความไมค่ งทนอยู่ในสภาพเดมิ , อนัตตลักษณะ ความ ไม่อยใู่ นอํานาจของการบังคับบัญชา

52 การพิจารณากายเพือ่ ความรู้แจง้ นี้คอื ความตา่ ง ตา่ งโดยองคข์ องสจั จะเอง เพราะวา่ ตัวสัจจะถ้าเราแยกไม่ออก เราจะกําหนดผิด จะไม่รู้ว่า ทุกข์ของไตรลักษณ์จะต้องเจริญข้ึน ปั ญญานี้ต้อง เจรญิ ข้นึ สว่ นทกุ ขข์ องอรยิ สจั จะนี้จะเป็ นทกุ ขด์ ว้ ยธาตุ ขันธ์ อายตนะต่าง ๆ เหล่านี้ อันนี้จะต้องกําหนดรู้ คือ เรยี นรู้ กําหนดรู้ ศึกษา ใช้คําว่า สิกขา ก็ได้ ปรญิ ญา ก็ได้ ปรญิ ญาก็คือการกําหนดรู้หรอื ว่ารอบรู้ ต้องรู้ต้อง เข้าใจ ต้องแทงตลอดทุกขสัจจะนี้ให้ดี อันนี้กําหนดรู้ อีกอนั หน่ึงกเ็ ป็ นมรรค ต้องเจรญิ ข้นึ ตอ้ งภาวนาข้ึน $


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook