อารมณเ์ า� �ี่ดั�ไปโดยไม�ไดถ้ �ร�้���|�49 สังโยชน์จะตัด ๔ ครงั้ ๔ ระดับ แต่อวิชชา ต้อง สร้างวชิ ชาละอวชิ ชา สร้างวชิ ชาละอวชิ ชา สร้างวชิ ชาละ อวิชชาอย่างนี้อยู่ตลอด เพ่ืออะไร เพ่ือให้เกิดมรรค เพราะอวิชชาจะไปสร้างอนุสัย พออนุสัยใหม่ไม่ได้ถูก เติมเข้าไป เหลอื แตอ่ นุสัยเกา่ โดยธรรมชาตนิ ี่ เวลาเรา รู้ทุกข์ อวิชชาจะถูกละ อวิชชาถูกละคือสมุทัยตัวที่ จะก่อให้เกิดทุกข์ก็ต้องถูกละไปพร้ อม แม้ทุกข์ถูกรู้ สมุทัยถูกละ แต่ยังมีอะไรบางอย่างอยู่ในภายในท่ียัง ไม่ได้ถูกละ กรุน่ ๆ อยู่ หรอื ว่ามีแรงผลักดัน มีแรง ยึดเหนี่ยว มีแรงเกาะเก่ียว น่ีแหละคือกลุ่มอนุสัย พอเข้าใจหรอื ยงั โยม : อตั ตาเก่ยี วด้วยไหม พระอาจารย์ : น่ีคือกลุ่มอัตตาทัง้ หมด ถ้าจะ พูดถึงกลุ่มอนุสัย ก็คือกลุ่มอัตตาทัง้ หมด เพียงแต่พูด ในชัน้ ของการแสดงอาการของอัตตาชนิดนัน้ ๆ ออกมา เร่อื งอนสุ ัย ไมใ่ ชเ่ ร่อื งที่เราจะไปละในทันทีทันใด สว่ น อวิชชา เราละได้ แตอ่ นสุ ยั ต้องรออรยิ มรรคเตม็ เราแค่ รู้มันเท่านัน้ เองว่ามันเกิด แต่เราจะละมัน ยังละไม่ได้ หรอก อรยิ มรรคเตม็ เม่อื ไหร่ จึงถกู ละเม่อื นัน้
50 | เข้าใจอริยสจั เพือ่ ความหลดุ พ้น อวิชชา คอื สมุทยั แท้ โยม : เขาเรยี ก มคั คสมงั คี พระอาจารย์ : เรยี กอย่างนัน้ ส่วนอาการจรงิ เกิดข้ึน ไม่มีคําเรยี กแล้วตอนนัน้ แต่เราจะรู้ทันทีว่า “อ๋อ นี่หรอื ที่เขาเรยี ก มัคคสมังคี” จะตัด จะละ จะ ทําลาย หรอื จะเรยี กว่า สังโยชน์คือสมุทัยแท้ ก็ว่าได้ ถึงแม้อวิชชาจะเป็ นสมุทัยแท้ก็จรงิ อยู่ อวิชชาท่ีจะถูก ละ คือ อวิชชาสังโยชน์ที่จะถูกละด้วยอรยิ มรรค แต่ อวิชชาท่ีเกิดรว่ มกับทุกข์ ที่เกิดมาพร้อมกับไม่รู้ทุกข์ ทําให้เราไม่รู้ทุกข์ คือ อวิชชาท่ีเราต้องสร้างอรยิ มรรค เป็ นตัวที่เราจะตอ้ งกาํ หนดรู้ เพ่ือสร้างอรยิ มรรค ถ้าจะพูดถึงสมุทัยแท้ก็คือ กลุ่มอวิชชาท่ีเป็ น อวิชชาสังโยชน์ ซ่ึงอวิชชาสังโยชน์อยู่ในระดับสุดท้าย คําว่า ระดับสุดท้าย คือมันควบคุมทุกระดับนัน่ แหละ เชน่ ทําให้เราไม่รู้จักกายตามความเป็ นจริง ก็คือ อวิชชาสังโยชน์ ไมร่ ู้จักวจิ ิกจิ ฉา คือความลงั เลสงสัย ไม่ร้จู รงิ ไมร่ ู้
อารมณเ์ า� �่ีดั�ไปโดยไมไ� ด้ถ�ร�้� ��|�51 ตามความเป็ นจรงิ กเ็ ป็ นอวชิ ชาสงั โยชน์ การยึดถือผิดอย่างงมงาย ก็เป็ นสีลัพพตปรามาส ก็คือความไม่รู้นั่นเอง จึงไปยึดถือผิดอย่างงมงาย ก็ เป็ นอวชิ ชาสังโยชน์ กามราคะ ปฏฆิ ะ ก็คอื อวชิ ชาสงั โยชน์ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธจั จะ อวิชชา คือ ไมร่ ู้รปู ราคะตามความเป็ นจรงิ ไม่ร้อู รูปราคะตามความ เป็ นจรงิ ไมร่ ู้มานะตามความเป็ นจรงิ ไมร่ ้อู ทุ ธจั จะตาม ความเป็ นจรงิ และไม่รู้ตัวอวิชชาตามความเป็ นจรงิ ก็ เป็ นอวชิ ชาสังโยชน์ ท่ีแท้แล้วสังโยชน์มีตัวเดียว คือ อวิชชา แต่ แจกแจงไปตามกลุ่มอนุสัยท่ีเคยเกิดกับระบบขันธ์ อันมีมาแต่ปางก่อนที่สะสมมา สะสมมา สะสมมา แล้วสืบทอดมาปรากฏอยู่กับภาวะกายสังขารและจิต- สังขารในเวลานี้
52 | เขา้ ใจอริยสัจเพอ่ื ความหลุดพ้น โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอกศุ ลมูล ไม่ใช่กิเลส โยม : แล้วกิเลสแท้ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ก่อนทเี่ ขา้ สูพ่ ระโสดาบัน กเิ ลสแท้คือ ๓ ตวั นี้ใชไ่ หม พระอาจารย์ : ใช่ นี่คือกิเลสแท้ ๆ สังโยชน์ ๓ เบ้ืองต้น อย่างอ่ืนเป็ นแค่ของปลอม โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่กเิ ลสแท้ เป็ นแคต่ วั ลอ่ ให้ใจเราติดหรอื ไม่ติด หรอื ปฏิบัติผิด หรอื ปฏิบัติพลาด โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ กิเลส เป็ นอกุศลมูล เป็ นรากเหง้าของอกุศล เป็ นราก เหงา้ แต่ว่าไม่ใชต่ วั กเิ ลส อกศุ ลมูลมีเท่าไร มี ๓ โลภะ- โลภ โทสะ-โกรธ โมหะ-หลง เป็ นอกศุ ลมลู ไมใ่ ชก่ เิ ลส ทนี ี้เราไปกลัวความโลภ ความโกรธ ความหลง ไปกลัว ทําไม ไม่ใช่กิเลส ถ้าละสังโยชน์ (ขัน้ แรก) ได้ โลภ โกรธ หลง จะเบาบางไปเอง รากเหง้าของอกุศลจะ เบาบางไปเอง คอื จะไมโ่ น้ มไปด้านอกุศล เจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ให้บริบรู ณ์ ศีลจะบรบิ รู ณ์ โยม : พระอาจารย์เคยสอนว่า เราไม่ต้อง ไปเครง่ รกั ษาศีล แตเ่ ราเดินมรรค
โลภ��โ�ส��โมห��เปน็ อุศลมล� �ไม�ใช� ิเลส�|�53 พระอาจารย์ : ใช่ พระพุทธเจ้าก็ทรงบอกอยู่ แล้วว่า “มีพราหมณ์ไปถามพระองคว์ า่ พวกขา้ พระองค์ ไม่สามารถท่ีจะรักษาสิกขาบทให้บริบูรณ์ได้ แล้ว ข้าพระองค์จะปฏิบัติอย่างไร พระองค์บอก จงเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ให้บรบิ ูรณ์ เพราะสติปัฏฐาน ๔ บรบิ ูรณ์ แล้ว จะทําให้สกิ ขาบทบรบิ ูรณ์” เหน็ ไหม พระพทุ ธเจ้า ไม่ได้ทรงบอกว่า จะต้องรกั ษาศีลก่อนเสมอ ในขณะที่ ผิดศีลอยู่ก็เจรญิ สติปั ฏฐาน ๔ ให้บรบิ ูรณ์ คือเจรญิ สติปัฏฐาน ๔ ได้โดยที่ศีลยังไม่บรสิ ุทธไิ์ ด้ พอบรบิ ูรณ์ แล้วศีลจะตามมา ศีลจะเป็ นของบรบิ ูรณ์เอง สิกขาบท จะบรบิ ูรณ์เอง ดังนัน้ พระอาจารย์จึงไม่ค่อยได้พูดถึงศีลเท่าไหร่ ท่ีพูดถึงจะพูดในแง่ของการให้เข้าใจหลักการของการ ปฏิบัติในข้อมรรค คือ ข้อปฏิบัติอันเป็ นไปเพ่ือความ ดับทุกข์ ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง เม่ือเราเข้าใจข้อปฏิบัติ เพ่ือการดับทุกข์ได้อย่างแจ่มแจ้งแล้ว เราก็ปฏิบัติตาม นัน้ พอปฏิบัติแล้วสติจะเกิดข้ึนตามมา ๆ ๆ สติบรบิ ูรณ์ จะทําให้เกิดศีลบรบิ ูรณ์ ถ้าสติไม่บรบิ ูรณ์ อย่าหวังเลย ว่าศลี จะบรบิ ูรณ์ จะไปสมาทานอยู่ ๑๐๐ ปี กไ็ ม่บรบิ ูรณ์
54 | เขา้ ใจอริยสัจเพือ่ ความหลดุ พ้น เพราะถา้ จะบรบิ ูรณ์ ต้องบรบิ รู ณ์ด้วยสติ โยม : ถ้าอย่างนัน้ แสดงว่า สติปัฏฐาน ๔ น่าจะ เป็ นพ้นื ฐานมากกว่าศลี พระอาจารย์ : สติปั ฏฐาน ๔ เป็ นพ้ืนฐาน มากกว่าศีลไหม ไม่ใช่พ้ืนฐาน แต่พระพุทธเจ้าใช้คําว่า “สพฺพตฺถกกมฺมฏฺฐาน” เป็ นกัมมัฏฐานท่ีจําต้อง ปรารถนาในธรรมทัง้ ปวง หมายความว่า จะทําอะไร ก็ตาม ต้องมีสติเข้าในการกระทํา เราจะเจรญิ มรรค ก็ ต้องมีสติเข้าไปแทรก แต่ไม่ใช่ไปเจรญิ สติโดด ๆ คือ ความหมายในคําสอนของพระพุทธเจ้าต้องตีตรงนี้ให้ แตก ถ้าตไี มแ่ ตกจะงง หลกั ใหญ่ ๆ ทงั้ หมดทคี่ รอบคลุมมรรคกค็ ือ สัมมา- ทฏิ ฐิ ในขณะทีเ่ ราเจรญิ สมั มาทฏิ ฐนิ ี้ เราต้องเจรญิ ดว้ ย สติ สติในเบ้ืองต้นต้องระลึกรู้ก่อนว่าอะไรเป็ นกุศล อะไรไม่ใช่กุศล เพราะว่าในกลุ่มสัมมาทิฏฐใิ นเบ้ืองต้น จรงิ ๆ สัมมาทิฏฐนิ ี้ต้องแยกให้ออกว่า อะไรเป็ นกุศล อะไรไม่ใช่กุศล รู้กุศลโดยความเป็ นกุศล รู้อกุศลโดย ความเป็ นอกุศล ไม่ใชร่ ้กู ุศลโดยความเป็ นอกุศล หรอื รู้
โลภ��โ�ส��โมห��เปน็ อุศลม�ล�ไม�ใช�เิ ลส�|�55 อกศุ ลโดยความกศุ ล หลายอย่างที่ชาวพุทธเราเห็นส่ิงท่ีเป็ นอกุศลว่า เป็ นกุศล แล้วไปทําในสิ่งนั้น เพราะคิดว่าเป็ นกุศล แต่สร้ างความผิดพลาดในการทํา แล้วผิดจากหลัก คําสอนของพระพุทธเจ้าตัง้ หลายอย่าง ยกแค่กฐนิ กับ ผ้าป่ าท่ีแจกซองกัน ซ่ึงพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ทําอย่าง นัน้ ไปเห็นสิ่งท่ีเป็ นอกุศลว่าเป็ นกุศล นี่สัมมาทิฏฐยิ ัง ไม่เกิดเลย ขาดสติกันในเร่อื งนี้ สติ ก็คือสติรู้ตาม สมั มาทิฏฐิ โยม : ใชส่ ัมมาสตหิ รอื ไม่ พระอาจารย์ : สัมมาสติก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ กํากับ เม่ือเจรญิ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติก็ต้องเข้าไปเกิด รว่ ม หมายถึงว่า องค์ธรรมจะต้องไม่แยกกัน ฉะนัน้ สติจึงเป็ นส่ิงจําต้องปรารถนาในทุก ๆ กัมมัฏฐาน เช่น บางคนเจรญิ อสุภกัมมัฏฐานแต่ขาดสติ มีไหม มี เจรญิ อสุภกัมมัฏฐานได้ดี เห็นทุกอย่างเป่ื อยเน่า ยุ่ย ย่อยสลาย มหี นอนชอนไช เหน็ แตเ่ ป็ นของปฏิกลู เห็น แต่ของน่าเกลียด เห็นแต่ของโสโครก กินข้าวไม่ลง
56 | เข้าใจอรยิ สจั เพ่ือความหลุดพน้ ขาดสติแล้ว รงั เกียจคนนัน้ รงั เกียจคนนี้ รงั เกียจแม้ กระทัง่ ตัวเอง อยากจะคล่ืนไส้อาเจียน นี่คือขาดสติ แล้ว คําว่า ขาดสติ นี้คือไม่ใช่ทางอรยิ มรรค ทําไมจึง ขาดสติ เพราะไม่มีสัมมาทฏิ ฐิ ฉะนัน้ ภิกษุที่เจรญิ อสุภกัมมัฏฐานแล้วฆ่าตัวตาย คือคนท่ีขาดสติ แต่ได้กุศลธรรมอยู่ เราไม่ปฏิเสธกุศล ธรรมที่เกิดข้นึ จากการพิจารณา ไดก้ ศุ ลธรรมอยู่ แม้ฆา่ ตัวตายกไ็ ม่ไปสู่อบายภูมิ ไปสู่สุคตเิ พราะกุศลธรรมจาก การพิจารณานัน้ แต่ขาดสติ ไม่เกิดมรรคผล เพราะใน ความหมายของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติคือสร้างสัมมา- ทิฏฐิ สร้างสติ สร้างกัมมัฏฐานข้ึนมาเพ่ือให้ได้มรรคผล กุศลธรรมนัน้ ได้อยู่แล้ว แต่จุดประสงค์ เป้ าหมายของ การปฏิบัติทั้งหมดเพ่ือให้เกิดมรรคผล รู้แจ้งพระ นิพพาน ดับทุกข์ให้ได้อย่างถาวร ต้องตีตรงนี้ให้แตก หลักการท่ีพระพุทธเจ้าทรงสอน พระองค์ตรสั คําสอน มาทัง้ หมด เรามัว่ ไม่ได้ ต้องมาทําการแจกแจง อธบิ าย ทําความเข้าใจให้ถูก ถูกตัว ถูกข้อปฏิบัติท่ีจะปฏิบัติ มัว่ ไมไ่ ด้ ศาสนานี้ไมม่ วั่ นะ ถา้ มัว่ คอื ผดิ ไปทงั้ ระบบ
ส�ิสัมโพชฌงค�์ |�57 สติสมั โพชฌงค์ โยม : สตสิ ัมโพชฌงค์ ใช่ตัวเดียวกันไหม พระอาจารย์ : ไม่ใช่ตัวเดียวกัน ส ติ - สัมโพชฌงค์เป็ นสติในชัน้ โลกุตตระ เป็ นผลแล้ว ส่วน สติธรรมดาเป็ นสติในชัน้ โลกียะ สติสัมโพชฌงค์ที่จะ เกิดข้ึน “พึงเจรญิ สติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัย วิราคะ อาศัยนิโรธะ” นัน่ คือสติสัมโพชฌงค์ คือสตินัน้ ต้องมีวิเวกรองรบั มีวิราคะรองรบั และมีนิโรธะรองรบั จึงจะเป็ นสติสัมโพชฌงค์ ในระดับปุถุชนมีได้ไหม วเิ วก สติท่ีมวี ิเวกรองรบั วริ าคะ ปราศจากราคะ นิโรธะ สติที่เข้าถึงความดับด้วย เป็ นอริยผลแล้ว เป็ น โลกตุ ตระแลว้ โยม : อนั นี้คอื ทีเ่ รยี กวา่ สติบรบิ รู ณ์แล้ว พระอาจารย์ : ยังไม่บรบิ ูรณ์ คือบรบิ ูรณ์ในชัน้ ทํากิจของอรยิ มรรค คือเกิดรว่ มทําหน้ าที่ของสัมมา- สติมรรค ท่ีทําหน้ าท่ีรว่ มในการละอาสวะ โดยการเกิด รว่ มของสัมมาทิฏฐทิ ี่แก่กล้า คือคล้อยตามสัมมาทิฏฐิ ท่ีแก่กล้าเกิดรว่ ม จึงสามารถเป็ นสติสัมโพชฌงค์ แต่
58 | เขา้ ใจอรยิ สจั เพอ่ื ความหลดุ พน้ ในระดับสติที่จะเป็ นสัมโพชฌงค์ได้ในชัน้ โลกียะ จะ เกิดในตอนท่ีโคตรภูญาณปรากฏ ถ้าโคตรภูญาณไม่ ปรากฏสติสัมโพชฌงค์ก็จะยังไม่เกิด เพราะในชัน้ ของ โคตรภูญาณจะมีวิเวก คือจะรู้สึกวิเวกมากในเวลานัน้ จะสัมผัสกับความเงียบในภายใน ไม่ใช่ความเงียบใน ภายนอก รู้สึกสัมผัสความเงียบในภายในได้ แล้ว ทําให้เราไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงภายนอกเลย เงียบอยู่ภายใน เงียบแบบผิดปกติ ไม่ใช่วิสัยโดย ธรรมดา อยทู่ ีเ่ ดิม จุดเดิม บา้ นหลงั เดิม หรอื ทที่ ี่เคยมี เสียงนั่นเสียงนี่กระทบ แต่ขณะนั้นรู้สึกเงียบ “เอ ทําไมเงียบอยา่ งนี้” โยม : เหมือนที่พระอาจารยพ์ นมพรเคยเล่าให้ฟัง พระอาจารย์ : ใช่ นัน่ แหละ อันนัน้ น่าจะเกิด สติสัมโพชฌงค์ได้ในตอนนัน้ นัน่ คือโคตรภูญาณ จะมี วิเวก วิราคะ-ปราศจากราคะ มีนิโรธะเข้ามาประกอบ แต่ยังอยู่ในชัน้ ของโลกียะ พอโคตรภูญาณเสรจ็ จึง เข้าไปสู่มรรคญาณก็ตัด มรรคญาณตัดก็เกิดผลญาณ จึงเป็ นสัมโพชฌงค์บรบิ ูรณ์ เป็ นโสดาบัน แต่ต่ํากว่า โคตรภูญาณนัน้ เป็ นสมั โพชฌงคไ์ ม่ได้ ยากมาก
ผ้�มีโ�ส�มา�|�59 เพราะฉะนั้น เราจะไปเจริญสติสัมโพชฌงค์ไป โดด ๆ เป็ นไปไม่ได้ และเพราะเขา้ ใจผิดนัน่ เอง จึงตอ้ ง มีการปฏิบัติแบบออกไปท่ีวิเวก หาท่ีสงบ เพราะคิดว่า นัน่ คือการเจรญิ สติ ที่ ๆ ปราศจากราคะ ท่ีมันดับ มัน ไม่ใช่ แต่ก็กลายเป็ นความใช่ เพราะเข้าใจว่านั่นคือ ความใช่ เพราะฉะนัน้ พระอาจารย์จึงไม่ค่อยเน้ นเร่อื ง สมั โพชฌงค์เท่าไร เพราะนัน่ คือผลท่จี ะเกดิ ข้นึ แน่นอน อยู่แล้ว จะคล้อยตามมรรคเอง ส่ิงเหล่านี้จะคล้อยตาม มรรค ไม่ตอ้ งกลัวจะหายไปไหน เราเรยี นรู้ไว้ได้ แตไ่ ป ทาํ มนั โดด ๆ ไม่ได้ ผูม้ ีโทสะมาก โยม : คนทโ่ี ทสะมาก ๆ จะเป็ นอยา่ งไรบ้าง พระอาจารย์ : โทสะเยอะ ๆ ก็จะกระทบจิตใจ ตวั เอง อย่างเชน่ นางโรหณิ ีละกายสงั ขารจากชาตกิ อ่ น โน้ นด้วยกําลังแห่งโทสะ นางทํากุศลกรรมแต่ว่ามี โทสะอยู่ในจิตมาก จึงสืบทอดมาสู่ยุคที่เกิดมาในสมัย พระพุทธเจ้า ทําให้ผิวหนังเป่ื อย คือนางโกรธมาก จึง นําตําแยไปโปรยหว่านใส่คนอ่ืน อิจฉารษิ ยาคนอ่ืนด้วย
60 | เขา้ ใจอรยิ สจั เพื่อความหลุดพน้ ความโกรธ เขาก็คันเกาจนเป็ นแผลพุพองข้ึน จาก กรรมนัน้ พอเกิดมาชาตินี้จึงเป็ นโรคเร้อื นตัง้ แต่วันเกิด ด้วยกรรมนั้น นี่คือความโกรธ ดีท่ียังได้เกิดมาเป็ น มนุษย์ ถ้าจะแบบรุนแรงก็ไปสู่นรกได้ ข้ึนอยู่กับว่าโกรธ แล้วทํากรรมหนักไหม โกรธแล้วฆ่าคนไหม โกรธแล้ว ตบตีคนไหม โกรธแล้วทําให้คนอ่ืนได้รบั ความเดือด- ร้อนไหม โกรธแล้วไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ไหม ก่องข้าวน้ อย* โกรธโมโหก็ฆา่ แม่ คืออยู่ที่กรรมประกอบดว้ ย ถ้าโกรธ แล้วไม่ทําอะไรใคร ก็รบั ผลเฉพาะตัวเอง ผลเฉพาะ ตัวเองเป็ นอย่างไร ก็ต้องไปโกรธดูจะรู้ว่าเป็ นอย่างไร แต่ทีนี้ถ้าเกิดอยู่ภายในใจเรา แล้วเราไม่กระทํากรรม ลงไปก็จะเกิดแล้วดับ ๆ ๆ แต่ถ้ากระทํากรรมไปแล้ว เป็ นกรรมแล้ว แก้ไม่ได้แล้ว ถ้ายังอยู่ในจิต เกิดแล้ว ดับไป ก็ดับไป ยังแก้ได้เพราะเป็ นนามธรรม เพราะ นามธรรม เกดิ แลว้ ดบั ๆ ไมเ่ ป็นกรรม เพราะกรรมจะเป็น กรรมก็ต่อเม่อื เจตนาอย่างแรงกล้าเพ่ือทีจ่ ะโกรธ * กอ่ งข้าว คอื ภาชนะสาํ หรบั ใส่ขา้ วเหนียวทีน่ ่ึงสุกแลว้ เรยี ก อีกอย่างหน่ึงวา่ กระติบข้าวเหนียว ส่วนมากใช้สําหรบั คนอีสาน
ผม�้ ีโ�ส�มา�|�61 บางครงั้ ความโกรธเกิดข้ึน ไม่ได้เกิดด้วยเจตนา แล้วส่วนมากก็เป็ นเจตนากระทําตอบต่อความโกรธ ด้วยแรงแห่งความโกรธ ด้วยอารมณ์แห่งความโกรธ นัน้ จึงจะเป็ นกรรม เพราะเจตนาเป็ นตัวกรรม แต่ถ้า เป็ นชัน้ อารมั มณะ อาการขุ่นเคือง ไม่พอใจ หงุดหงิด เป็ นชัน้ อารมั มณะ อันนี้ไม่เป็ นกรรม ก็ได้รบั ผลเฉพาะ ตัวเรา แต่ถ้าขุ่นเคือง หรอื ความโกรธเกิดกับใจมาก แล้ว เจตนากระทําด้วยแรงแห่งความโกรธนั้นต่อคน อ่ืน กรรมเกิดข้นึ แลว้ ทนี ี้ ถงึ แมว้ ่าจะยังไมไ่ ด้ทํา กรรม เกิดข้ึนแล้ว เพราะเจตนาเกิดรว่ มแล้ว เป็ นกรรมแล้ว ไปสร้างกรรมแล้ว ถ้าทําออกไปด้วยก็เป็ นกายกรรม พูดออกไปด้วยก็เป็ นวจีกรรม เพราะมาจากมโนกรรม นี้ ใจต้องทาํ กรรมกอ่ นเสมอ ฉะนัน้ ถ้าดับกรรมทางใจได้ กาย วาจา ก็สงบ ระงับ แต่อารมณ์ยังคงอยู่ ก็ต้องเรยี นรู้และยอมรบั กัน ไปว่า “นี่คือทุกข์ นี้คือเหตุให้เกิดทุกข์ นี้คือความดับ ของทกุ ข์ นี้คือข้อปฏิบัตทิ จ่ี ะดับทุกข์ได”้ คือการร้ทู ุกข์ อย่างนัน้ รู้อารมณ์เป็ นอารมณ์อย่างนัน้ ตรง ๆ เลย พอ เรารู้อย่างนี้แล้ว ความโกรธจะดับหรอื ไม่ดับก็ไม่เป็ น
62 | เขา้ ใจอริยสจั เพ่ือความหลุดพน้ ปัญหาอะไร อยู่ท่ีเราไดร้ ้แู ลว้ เราไดป้ ฏบิ ตั แิ ลว้ เม่ือเรา ได้ปฏิบัติแล้วก็ได้เจรญิ มรรคแล้ว เม่ือมรรคเจรญิ เราก็ รู้เวียนรอบอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงใช้คําว่า ปรวิ ัฏฏ์ เวียนรอบรู้อย่างนี้ รู้แล้วรู้อี กๆ ๆ ย้ํา ๆ ซ้ํา ๆ อย่างนี้ จึงจะสามารถทําลายอาสวะได้ ความโกรธเกิดข้ึน เพราะอิงอาศยั เหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดข้ึนเพราะมตี ัวความ โกรธลอยมาชนเราปังแล้วก็โกรธเลย ไม่ใช่ เหตุปัจจัย ทัง้ นัน้ พระพุทธศาสนาจึงพูดถึงเร่อื งเหตุปั จจัย น่ีคือ หลักการทางวิทยาศาสตร์ มีเหตุปัจจัย มีสมุฏฐานของ มนั คือสมทุ ัยนัน่ เอง สมุฏฐานทีน่ ําเกดิ มานี้ ทกุ อยา่ งมี สมฏุ ฐานของมนั หลักวทิ ยาศาสตรใ์ ห้กําหนดอยา่ งนัน้ ความเกลยี ด ความรกั และความยดึ “ธรรมเหลา่ ใดกเ็ กิดแตเ่ หตุ” มาจากเหตุจึงได้เกดิ มาได้ เพราะฉะนัน้ ถ้าไม่มีเหตุความโกรธจะเกิดข้ึนมา ลอย ๆ เป็ นไปไม่ได้ เช่น จู่ ๆ ไม่มีเหตุอะไรหรอก แต่ นึกโกรธคน ๆ นี้ข้ึนมาเฉย ๆ นี่ ก็แสดงว่าเคยโกรธมา แต่ปางก่อน เพราะจะมาโกรธเฉย ๆ ไม่มี มีมาแต่ ปางก่อนแน่นอนอยู่แล้ว เคยรกั กัน พอมาเห็นกัน
ความเลียด�ความรั��ล�ความยดึ �|�63 ก็รกั กัน แสดงว่าเคยรกั กันมาแต่ปางก่อนเหมือนกัน เหน็ ป๊ บุ รกั ทนั ที เห็นหน้ ากัน เกลียดกัน ก็เกลียดกันมาแต่ก่อน โน้ น ก็ไม่ได้เคยสงบระงับเวรแต่ปางก่อนไว้ เพราะ ฉะนัน้ เจอแล้วเกลียดทันที “อ๋อ เวรกําลังจะต่อไปอีก นี่” มันดึงของเก่าข้ึนมาปรากฏ แล้วของใหม่มันจะ สร้างต่อ รบี สงบระงับเลย “จงเป็ นสุข ๆ เถิด” แผ่ เมตตาทนั ทีเลย แลว้ ถา้ รกั ละ่ ทาํ อยา่ งไร หยดุ หรอื ไมห่ ยดุ รกั นัน้ ดี ไม่ใช่หรอื เราไม่ได้โกรธใคร เรารกั กันผิดด้วยหรอื พระพุทธศาสนาไม่สอนให้รกั กันหรอื รกั แต่ไม่ต้องยึด มีความรกั อันไหนท่ีไม่ต้องยึดบ้าง ไม่ยึดมาเป็ นของ ของเรา แลว้ ถา้ มแี รงแหง่ การยดึ ข้นึ มาโดยธรรมชาตลิ ะ่ โยมหมอ : ยงั ไม่เคยเกิด พระอาจารย์ : ยังไม่เคยเกิด แหม โยมหมอนี่ ประสบการณ์ตรงนี้หายไป รกั น้ องหมาเป็ นอย่างไร ตอนทเ่ี ขากาํ ลังพะงาบ ๆ จติ ใจเราสขุ หรอื ทุกข์ โยมหมอ : คือจริง ๆ ไม่ได้เป็ นแรงยึดเขา
64 | เขา้ ใจอริยสัจเพื่อความหลดุ พ้น เพียงแต่วา่ เรา ... พระอาจารย ์ : มีแรงยึดอยู่ โยมหมอ : ตอนที่เกิดมันเหมือนโน้ มมาที่ตัว เรามากกว่า แต่ก็บอกเขาว่าให้เขาทิ้งรา่ งไป ตอนท่ีเรา บอกเขา เรารู้สึกว่าเขารบั เราได้ พอบอกว่าปล่อยวาง รา่ งนี้ซะเพราะรา่ งนี้เป็ นกายท่ีควรจะต้องวาง แล้วก็ อย่ายึดกับกาย พอบอกเขา เขาก็คลายแล้วก็สงบไป เลย คอื ร้สู ึกได้เลยวา่ เขารบั ทราบความ พระอาจารย ์ : แล้วจิตเป็ นอย่างไร โยมหมอ : จติ เรากร็ ้สู ึกว่าดี พระอาจารย ์ : มคี ิดถงึ บ้างไหม โยมหมอ : ไม่ไดค้ ดิ ถงึ เขา พระอาจารย ์ : มีคดิ อยากจะทําบญุ ให้บา้ งไหม โยมหมอ : มี พระอาจารย ์ : อ้าว ทําไมถงึ อยากจะทําบญุ ให้ โยมหมอ : อาจจะเป็ นเพราะว่าเราอยากให้เขา ไปได้ดี
ความเลียด�ความรั��ล�ความยดึ �|�65 พระอาจารย ์ : แรงยึด ... เขา้ ใจไหม โยมหมอ : ยอมรบั ๆ พระอาจารย ์ : ก็นี่ไง จะได้ร้ไู ง เหน็ ไหม โยม : นี่ครู...ยอมรบั ครู...ไปอาบน้ําให้น้ อง หมาทุกเดือน พระอาจารย์ : อ๋อ.. นัน่ ดว้ ย ๆ ระวงั เถอะ โยม : รกั หมา แตว่ ่าโมโหให้หมา กบ็ อ่ ย ๆ พระอาจารย์ : ก็ถูก ประสบกับส่ิงเป็ นที่รกั ก็ เป็ นทุกข์ ก็ไม่เป็ นไร โมโหก็เป็ นเร่อื งธรรมดา ถามว่า โมโหให้หมาน่ี หมาทุกข์หรอื เราทุกข์ ข้ึนอยู่กับว่า อยากจะทุกข์ ร้หู รอื เปล่า เราพิจารณาอย่างนี้ งา่ ย ๆ เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธความรกั แต่พุทธศาสนาบอกเพียงแค่ว่า เม่ือมีรกั ก็ต้องมีทุกข์ แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ไห้รกั ต้องเข้าใจว่ารกั แล้วต้องทุกข์ ถ้าใครยอมรบั ความทุกข์ได้ก็รกั ได้ ไม่ได้เป็ นปั ญหา อะไร โยม : ความรกั จดั เป็ นทุกขสัจจะข้อท่ี ๑
66 | เขา้ ใจอรยิ สัจเพื่อความหลดุ พน้ พระอาจารย์ : นัน่ ...เรมิ่ ฉลาดแล้ว เด๋ียวจะหา ว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้รกั กัน รกั ... พระองค์ บอกว่ามองกันด้วยสายตาอันเป็ นที่รกั ประดุจดัง่ น้ํากับ นมท่ีเข้ากันได้ กลมเกลียวกัน ปรารถนาดีต่อกัน กระทําส่ิงต่าง ๆ ด้วยใจอันเป็ นที่รกั อย่าทําด้วยใจอัน เป็ นที่รงั เกียจ จรงิ ๆ ความรกั มีประโยชน์ เพราะจะ ป้ องกันการรงั เกียจ หรอื การเพ่งกันในทางที่ไม่ดี สร้างความรกั ต่อกันมีประโยชน์มาก แต่ไม่ใช่ว่าเราจะ ต้องไว้วางใจ เพราะจะเกิดแรงยึดอยู่ เรยี กว่ารู้จักใน การใช้ประโยชน์ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าสอน การระลึก ถึงกันและกันในแง่ดีอยู่เสมอ หรอื เผ่ือแผ่ความรกั ให้ ถึงแก่กันและกันอยู่เสมอ จะช่วยลดทอนความ- เกลียดชังจากภายในได้ เราไม่รกั คนนี้หรอก แต่ว่า ลองรกั ดูซิ รกั และมองเขาให้เป็ นแบบคนที่เราต้องรกั ลองรกั เขาดู เกลียดเขาทุกอย่างนั่นแหละ แต่ว่า เกลยี ดเขาเท่าไหรก่ ็ลองรกั เขาเทา่ นัน้ ดู อาตมาทดลองมาแล้วนะ ทําแบบคนที่เรารกั ทํา ต่อคนท่ีเราเกลียดแบบทําต่อคนที่เรารกั เคยทดลอง มาแลว้ ฝื นใจอย่างมาก โอ้ย ... จะทาํ ไปทาํ ไม ฝื นทาํ ๆ
ความเลยี ด�ความรั��ล�ความยึด�|�67 จะวางมวยกนั อยแู่ ล้ว เป็ นพระด้วยกนั น่ีแหละ ทีค่ ิดจะ ทําเพราะหลวงป่ ูบอกว่า “อยู่ด้วยกันให้รู้นิสัยกัน ถ้ารู้ นิสัยกันแล้วก็ทําให้ถูกนิสัยกันเสีย” ก็จะลองพลิกจิตดู ลองรกั คนนี้ดู คือทําใจให้เป็ นรกั พระพุทธเจ้าก็ทรง บอกว่า “มองกนั ดว้ ยสายตาอนั เป็ นท่ีรกั พูดจากนั ดว้ ย คําอันไพเราะ” คือสร้างจิตให้เหมือนกับว่าเรารกั เขา ทงั้ ๆ ท่ีเตรยี มจะวางมวยกนั อยู่ โยม : ไมใ่ ชก่ ารหลอกลวงหรอื พระอาจารย์ : ต้องหลอก จิตเราต้องหลอก ลวงมัน เราไม่หลอกลวงมันไม่ได้ เราต้องหลอกมัน ก่อนจติ น่ี เพราะจิตชอบถกู ให้หลอก รู้วา่ หลอกก็เตม็ ใจ ให้หลอก หลอกมันกอ่ น โยม : ผลลพั ธเ์ ป็ นอยา่ งไร พระอาจารย์ : ดี เราทําดกี บั เขา เขาก็ทําดีตอบ เขารกั เราตอบ แต่ก่อนนี้มีอะไรไม่ค่อยเอามาแบ่งเรา เท่าไหร่ โยมท่ีดูแลจะส่งของมาให้พระรูปนี้เป็ นประจํา ตอนนัน้ อยู่กับหลวงป่ ู อาตมาไม่มีโยมดูแล ส่งมาท่าน กเ็ กบ็ ๆ ๆ ใชแ้ ละกินแต่ของตวั เอง เรากเ็ กลยี ดมนั ดว้ ย
68 | เขา้ ใจอรยิ สจั เพ่ือความหลุดพน้ ไม่แบ่งเราเลย แต่พอเราเรม่ิ ทําดีกับเขา เวลามีของ อะไรมาถงึ มาใหเ้ รากอ่ นเลย โยม : พระอาจารย์ใชเ้ วลาหลายวันไหม พระอาจารย ์ : ใชเ้ วลาประมาณ ๗ วัน ร้วู า่ เขา ชอบอะไรหาอันนัน้ ให้ รู้ว่าเขาต้องการอะไรจัดให้ รู้ว่า เขาต้องการแบบนี้ ๆ ทําให้ถูกใจเขาหมดเลย ทําถูกใจ เขาแล้ว เขากท็ ําถกู ใจเราคืนแบบเยอะเหมือนกัน โยม : แล้วหลังจาก ๗ วัน ใจจรงิ ๆ ของเราท่ี เราเคยเกลยี ดเป็ นอย่างไร พระอาจารย์ : กลายเป็ นหายเกลียดหมดเลย แต่เขาก็ยังมีลักษณะของความเป็ นคนกวน ๆ อยู่ ตัวนี้ ก็ยังมีออกมาอยู่ แต่ความรกั มันมากกว่าแล้ว ความ เข้าใจกันมีมากกว่า แต่นิสัยกวน ก็รู้ “อ๋อ เขานิสัย กวน ๆ อยา่ งนี้แหละ ถา้ เป็ นแบบนี้ไปเดินแถวซอยบา้ น อาตมา โดนแน่” พอเขาลาสกิ ขาออกไปโดนจรงิ ๆ โดน กลุ่มวัยรุน่ ลักษณะอย่างนี้แก้ไม่หาย คือคนมีอุปนิสัย เป็ นอย่างนี้ เราก็เลยเข้าใจเขา แล้วรู้สึกสงสารว่า ถ้า เขาปรบั แก้ตรงนี้ได้ เขาก็จะไม่เป็ นอะไร คือเขาจะ
ความเลียด�ความรั��ล�ความยดึ �|�69 ชอบกรา่ ง ชอบกวน ๆ อะไรประมาณนัน้ เราได้ผลจาก ตรงนี้ จึงอยู่ได้มาถึงขนาดนี้ เพราะเราปฏิบัติต่อหลัก คําสอนของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้อง ฉะนั้นการรกั กัน ไม่ได้ผิด แต่มที กุ ข์ แลว้ ยอมรบั ได้ไหม ยอมรบั กนั ได้ พระอาจารย ์ : ไดป้ ระโยชน์หรอื เปล่า โยมทัง้ หลาย : ได้ประโยชน์มาก โยม : กราบเรยี นพระอาจารย์ว่า วันนี้โยมได้ ประโยชน์อย่างย่ิง โยมเอาหนังสือเล่มนี้ (เร่อื งปฏิจจ- สมุปบาท) ไม่ทราบวา่ ทําไมหยบิ เลม่ นี้มา นัง่ อา่ นตรงนี้ จบพอดี และมีคําถามอยู่ในใจ ๓ คําถาม พระอาจารย์ ได้อธิบายทั้งหมดอย่างชัดเจน โยมเลยไม่ได้ถาม เพราะตอนแรกไม่เข้าใจ ตัณหา ๓ ท่ีไม่ได้เขียนขยาย ในเลม่ พระอาจารยก์ เ็ ทศน์ตณั หา ๓ อกี คําถามคอื อวิชชาสังโยชน์ ตอนแรกกต็ ดิ ใจอยู่ พระอาจารย์กอ็ ธบิ ายอย่างชัดเจน แลว้ ก็ สติปัฏฐาน ๔ ซ่งึ เป็ นธรรมะทผ่ี ดุ ข้ึนมาเอง ตลอดเวลา ให้โยมไปศึกษาในช่วงนี้ พระอาจารย์ก็ เทศน์หมดแล้ว ๓ หัวข้อ และยังขยายในส่วนท่ีโยม
70 | เขา้ ใจอริยสัจเพอื่ ความหลดุ พน้ ตอ้ งไปปฏบิ ัตติ ่อดว้ ย เข้าใจหมดแล้ว พระอาจารย ์ : ดี ๆ ขออนโุ มทนา โยม : ยังไม่มีอะไรจะถามพระอาจารย์ ต้องไป ศึกษาก่อน เพราะว่าเป็ นแนวทางใหม่ แต่ก็ถูกจรติ เพราะรู้สึกว่าเป็ นแนวทางท่ีตรง แต่ก่อนชอบฟั งแต่ ไม่ค่อยปฏบิ ตั ิ ไปมาหลายท่ี แต่ถูกใจทีน่ ี่ พระอาจารย ์ : ถูกแล้ว ตอ้ งไปศกึ ษากอ่ น การเข้าถึงพระรัตนตรยั เป็นเบือ้งแรก ของการเริ่มปฏบิ ัติ โยม : ต้องเรมิ่ ปฏิบัติอย่างไร ถามว่าให้เรมิ่ มี พระรตั นตรยั เป็ นที่พ่ึงก่อนใช่ไหม พระอาจารย์ : ใช่ เร่ิมท่ีพระรตั นตรยั ก่อน เสมอ ต่อจากนั้นก็ท่องธาตุกัมมัฏฐาน ๔ ท่ีพระ อาจารย์วางไว้ลักษณะนี้ต้องเข้าใจว่า ทําไมต้องเรม่ิ จากพระรตั นตรยั พระรตั นตรยั คือ ส่วนท่ีสําคัญท่ีสุด เรยี กว่า เป็ นประตูเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา อย่าลืมว่าที่เรา
ารเข้าถึงพร�ร�ั น�รยั เป็นเ�อ้ื ง�รของารเร่ิมปฏิ�ั��ิ �|�71 เข้ามาสู่พระพุทธศาสนาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เรา เข้ามาสู่ศาสนาด้วยรูปแบบภายนอก ซ่ึงเป็ นการ ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษท่ีประทับไว้ในทะเบียนบ้าน หรอื ในบตั รประชาชนวา่ เราคือชาวพทุ ธ นัน่ คอื การเขา้ มาสู่ศาสนาในรูปรอยอย่างนัน้ แต่ในความหมายของ พระอาจารย์ คอื เข้ามาสศู่ าสนาท่ีเป็ นตวั ปฏบิ ัติ พระพุทธศาสนาท่ีจะเป็ นตัวปฏิบัติ คือจะนําเรา ออกไปจากวัฏฏะ หรอื พ้นทุกข์ได้ จะต้องเขา้ ไปถึงพระ รตั นตรยั ให้ชัดเจนในจิต จึงให้ท่องบทระลึกถึงพระ รตั นตรยั กอ่ นเสมอ ทกุ คนต้องท่องย้ํา ๆ ๆ ๆ “พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็ นท่ีพ่ึงอันประเสรฐิ ของข้าพเจ้า” จนจิตสัมผัสกับพระรัตนตรัยได้ เม่ือประตูพระ รตั นตรยั เปิ ด นัน่ คือเราได้เดินเข้ามาสู่พระพุทธศาสนา อย่างถกู ต้อง ตัง้ แต่แรกเลย ตัง้ แต่เรมิ่ ตน้ เลย จากนัน้ จงึ เขา้ มาสกู่ ารท่องธาตุฯ เพราะการปฏิบตั ทิ งั้ หมดจะอยู่ บนพ้ืนฐานของพระรตั นตรยั ท่ีรองรบั จิต เพราะเป็ น เส้นทางของพระรตั นตรยั ที่จะควบคุมจิตเรา ไปตลอด เส้นทาง ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง คือถ้าจิตเข้าถึง พระรตั นตรยั แล้วไม่มีทางปฏิบัติผิด ผิดก็จะถูกดึง
72 | เขา้ ใจอริยสจั เพือ่ ความหลดุ พ้น เข้ามาถูก ผิดก็จะถูกดึงเข้ามาถูก อาจจะแวะไป แป๊ ปหน่ึง สุดท้ายก็จะถูกดึงเข้ามาให้ถูกจนได้ เพราะ พระรัตนตรัยจะควบคุมทิศทาง ทิศทางของพระ รตั นตรยั มีทิศทางเดียว คือ นําเราออกไปจากวัฏฏะ- ทกุ ข์ โยม : แล้วจะทราบได้อย่างไรว่าจิตสัมผัส พระรตั นตรยั แล้ว พระอาจารย์ : จะเกิดความพิเศษข้ึนมาที่เรา สามารถรู้ได้เลย จะมีเคร่อื งรองรบั ในภายใน ปกติจิต ธรรมดา ๆ จะไม่มีเคร่อื งรองรบั ซัดส่ายไปตามอารมณ์ แต่ตอนนัน้ เหมือนมเี คร่อื งรองรบั ข้นึ มาในจติ จิตเรามี ตัวรองรบั อยู่ภายใน อันนี้จะรู้สึกได้เลย ซ่ึงแต่ก่อน ไม่มี แต่ตอนนี้จะมี เรียกว่าจิตสัมผัสกับกระแส พระรตั นตรยั ได้แล้ว เพราะการท่องแต่ละครงั้ คือการ เช่ือมโยงจิตเราให้เข้าถึงพระรตั นตรยั พระรตั นตรยั จะเป็ นแบบไหนกต็ าม เราไมส่ ามารถทจี่ ะร้ไู ด้ พระอาจารย์ใช้นิยามคําว่า พระรตั นตรยั คือ พลังอํานาจทางธรรมชาตอิ ันบรสิ ทุ ธ์ิ คือ
ารเขา้ ถงึ พร�ร�ั น�รยั เป็นเ�้ือง�รของารเรม่ิ ปฏ�ิ �ั ิ��|�73 พลังของพทุ ธะ พลงั อันท่ีรูต้ ่นื เบิกบาน พลังแห่งธรรมะ พลงั แหง่ สัจจะ พลังแห่งสังฆะ คือพลังแห่งความดี พลังแห่ง จิตท่ีบริสุทธ์ิ หมดจด ท่ี ห ลุ ด พ้ น ติ ด ต า ม พระพุทธเจ้าไป คือ พลังแห่งอรยิ สงฆ์ทัง้ หลาย หรอื สงั ฆะ พ ลั ง เ ห ล่ า นี้ ยั ง ต ก ค้ า ง ห รือ ยั ง มี อ ยู่ ใ น ร ะ บ บ ท า ง ธรรมชาติ ตราบใดท่ียังมีพระพุทธศาสนา พลังพระ รตั นตรยั ก็ยังมีอยู่ การมีอยู่ของพลังพระรตั นตรยั นี้ สามารถเช่อื มต่อกับจติ ของบคุ คลผู้ระลกึ ถงึ ในบทท่พี ระพุทธเจา้ กลา่ วสอนไวว้ า่ “พทุ ธํ สรณํ คจฺฉามิ” บทนีไ้ ม่ได้เป็ นบทกล่าวถึงพระรตั นตรยั แตเ่ ป็ นบทท่สี อนใหเ้ ราระลกึ ถงึ พระรตั นตรยั พทุ ธงั คอื ภาวะอันทีร่ ู้ต่นื เบิกบาน สรณงั คอื การระลึก คัจฉามิ แปลวา่ การเข้าถึง ความหมายโดยรวมแล้ว ให้เข้าถึงพระรตั นตรยั โดยการระลกึ ถึง ระลึกอะไร ระลึกว่า
74 | เขา้ ใจอริยสัจเพื่อความหลุดพ้น พุทโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็ นที่พ่ึง อันประเสรฐิ ของขา้ พเจ้า ธัมโม เม นาโถ พระธรรมเป็ นท่ีพ่ึงอันประเสรฐิ ของข้าพเจา้ สังโฆ เม นาโถ พระสงฆ์เป็ นท่ีพ่ึงอันประเสรฐิ ของข้าพเจา้ โยม : โยมไม่เข้าใจว่าทําไมไม่ให้ท่องบท “พทุ ธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” พระอาจารย์ : บท “พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ” เป็ นบทท่ีสอนให้เราระลึก ให้เราเข้าถึงพระ รตั นตรยั โดยการระลึก ไม่ใช่บทระลึก แต่เป็ น บทสอนให้เรารู้จักว่า เราจะเข้าถึงพระรตั นตรยั โดย การระลึก แล้วระลึกอย่างไรจึงจะเข้าถึงพระรตั นตรยั ก็ระลึกว่า “พุทฺโธ เม นาโถ พระพุทธเจ้าเป็ นที่พ่ึง อันประเสรฐิ ของขา้ พเจา้ ” ฯลฯ เพราะคําว่า ท่ีพ่ึง นี้ สรณะ ไม่ได้แปลว่าท่ีพ่ึง สรณะ แปลว่า การระลึก “นาโถ” หรอื “นาถ” (อา่ นวา่ นา-ถะ) แปลว่า ท่ีพ่ึง อนาถา แปลว่า ไม่มีที่พึง นาถะ
ารเขา้ ถึงพร�ร�ั น�รยั เปน็ เ�ื้อง�รของารเร่ิมปฏิ��ั ิ��|�75 แปลว่า ผู้มีที่พ่ึง “พุทฺโธ เม นาโถ” ข้าพเจ้ามี พระพุทธเจ้าเป็ นท่ีพ่ึง หรอื พระพุทธเจ้าเป็ นที่พ่ึงอัน ประเสรฐิ ของขา้ พเจ้า นี่คอื บทระลึก แต่บท “พุทธํ สรณํ คจฉฺ ามิ” คจั ฉามิ คนไมเ่ ข้าใจ ภาษาบาลีจะไม่เข้าใจความหมายว่า บทนี้เป็ นบทที่ พระพุทธเจา้ สอนไวว้ ่า การเขา้ ถึงพระรตั นตรยั ใหเ้ ข้าถงึ โดยการระลึก ระลึกด้วยบทที่ว่า “พุทฺโธ เม นาโถ, ธมฺโม เม นาโถ, สงโฺ ฆ เม นาโถ” “คจฺฉ” (อ่านว่า คัด-ฉะ) แปลว่า การเข้าถึง การถึง การไป “มิ” หมายถึงตัวเรา กํากับไว้แล้วว่าคือตัวเรา มิ คือตัวเราเท่านัน้ ไม่ใช่คนอ่ืน หมายถึงว่าเราจะเข้าถึง พระรตั นตรยั เราจะต้องเข้าถึง “สรณํ” (อ่านวา่ สะ-ระ-นัง) การระลึก “พุทฺธํ” (อ่านว่า บุ๊ด-ธงั ) คือ พุทธะ ระลึกถึง พุทธะนัน้ ระลึกอย่างไร ก็ระลึกว่า “พุทฺโธ เม นาโถ” เราก็ต้องย้ําบทนี้แหละ ย้ํา ๆ ๆ ๆ เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนาเราเอามาใช้ผิด
76 | เข้าใจอรยิ สัจเพือ่ ความหลุดพน้ ประเด็นกันมากในบทสวด บทกล่าวหลาย ๆ บท พระอาจารย์จึงบอกมาเสมอว่า พระพุทธศาสนาเรา เข้าใจไม่ถูกกันมามาก มานานแล้วเกือบจะทุกเร่อื ง แม้แตบ่ ทสวด เรายังสวดแบบไม่เข้าใจกันทงั้ ประเทศ โยม : ก่อนหน้ านี้ก็ไม่ได้เน้ นบทสวด ได้แต่นึก เอาในใจว่า เวลาจะทําอะไรก็จะนึกถึงคุณพระศรี รตั นตรยั ขออาราธนาบารมีคุณพระศรรี ตั นตรยั แต่ว่า ไมม่ ีคาํ กล่าว คําระลึก คําอธษิ ฐาน พระอาจารย ์ : ต่อไปนี้ กใ็ หเ้ ข้ามาสู่แบบฉบบั ที่ วางไว้ ให้ใช้บทนี้ ย้าํ ๆ ๆ ซ้าํ ๆ ๆ อยตู่ ลอด โยม : ทีนี้ต้องท่อง ๓ วัน หรอื ๗ วนั พระอาจารย์ : จนกว่ากระแสจิตเราจะสามารถ รบั ทราบได้ในกระแสของพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ กระแสแห่งพุทธคุณ กระแสแห่งธรรมคุณ กระแสแห่ง สังฆคุณ จนกว่าจิตเราจะรบั กระแสนัน้ ได้ หรอื กระแส นัน้ เกิดข้ึนมารองรบั ในจิต เพราะน่ีคือปรากฏการณ์ที่ เกิดข้ึนกับอาตมาเอง เป็ นประสบการณ์จากการที่ได้ ปฏบิ ัติ จงึ ได้เห็นกระแสนี้จรงิ ๆ วา่ มอี ยู่ในหลกั ธรรมชาติ
ารเข้าถงึ พร�ร�ั น�รยั เปน็ เ�้ือง�รของารเรมิ่ ปฏิ��ั �ิ �|�77 เห็นชัดได้ด้วยตาเปล่าตอนที่เกิดข้ึน จึงได้รู้ว่า ธรรมชาติของพระรตั นตรยั มีอยู่ในด้านนามธรรม ไม่ได้ มีอยู่ในรูปเคารพใด ๆ ทัง้ สิ้น พอมีอยู่แล้ว แต่จิตเรา ไม่สามารถเช่ือมโยงไปถงึ กระแสเหลา่ นี้ได้ เราจงึ ไมไ่ ด้ เป็ นผู้เข้าถึงพระรตั นตรยั ที่แท้จรงิ เป็ นเพียงแค่ขอถึง พระรตั นตรยั แตไ่ ม่เขา้ ถงึ อาตมากําลังจะสอนวิธกี ารเข้าถึง คือการระลึก ย้ํา ๆ การระลึกย้ํา ๆ ซ้ํา ๆ นี้จะไปเช่ือมต่อกับพระ รตั นตรยั ที่มีอยู่โดยธรรมชาตินัน้ มี ไม่ใช่ไม่มี ไม่มี เฉพาะคนที่ไม่เห็น ทําไมคนนัน้ ไม่เห็น ก็คนไม่มีตาท่ี จะเห็น ก็เลยมองเห็นไม่ได้ แต่อาตมามีตาเห็นอยู่ แม้ ตอนนี้ก็ยังมองเห็นอํานาจพระรตั นตรยั มีรองรบั สภาพ จิตของคนระลกึ ถงึ อยู่เสมอ พระพุทธเจ้าจึงตรสั ว่า “บุคคลใดก็ตามระลึกถึง พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดวนั และคืน ได้ช่อื วา่ เป็ นสาวกของพระองค์ ต่ืนอยู่ด้วยดีในกาลทุกเม่ือ” พระองค์ตรสั อยา่ งนี้ แล้วจะไดร้ บั อานิสงสจ์ ากการระลึก ถึงพระรตั นตรยั คอื อมนษุ ย์ ผี ปี ศาจ ไมส่ ามารถเข้ามา ทําอันตรายได้ นี้คืออานิสงส์ที่คุ้มครอง แม้อํานาจ
78 | เข้าใจอรยิ สัจเพือ่ ความหลุดพ้น ไสยศาสตรก์ ็ไม่สามารเข้ามากล้ํากรายคน ๆ นั้นเลย เม่ือมาสัมผัสกับพระรัตนตรัยในจิตแล้วก็สลายไป น่ีคือส่ิงท่ีพระอาจารย์พิสูจน์แล้ว และก็ใช้อํานาจ พระรตั นตรยั นี้แก้ไขคนที่ถูกอํานาจไสยศาสตรท์ ําร้าย แก้ไขมาเยอะแล้ว หลายชีวิตท่ีพ้นออกจากการก่อกวนด้วยอํานาจ ไสยศาสตร์ เพราะใช้บทนี้ “พุทโฺ ธ เม นาโถ” “ธมฺโม เม นาโถ” “สงโฺ ฆ เม นาโถ” จึงเกดิ ความเข้าใจอาํ นาจ พระรัตนตรัยกันใหม่ แก้ไขกันจนเขาอยู่เป็ นสุข หมาด ๆ ก็คือ มาจากอีสาน สวดพระปรติ รอยู่ ๗ วัน และให้เขาระลึกถึงบทพระรัตนตรัย โดนกันทั้ง ครอบครวั พ่อแม่ลูก ลูกนี้นัยน์ตา ตาลอย ตาค้าง มือเย็น เท้าเย็น หามมา ไปโรงพยาบาลไหนเขาก็บอก ปกติ ปวดทอ้ งเขากบ็ อกปกติ ไปตรวจ ไปเอ็กซเรย์ ไป กโ่ี รงพยาบาลก็บอกปกติ แตค่ นจะตายอย่แู ลว้ กใ็ ชบ้ ท พระรตั นตรยั นี้ วันแรกสวดพระปรติ รให้ ยังซึม ๆ ยัง เหม่อ ๆ ยังลอย ๆ อยู่ วันสุดท้ายน่ี ยิ้ม พูดเป็ น ธรรมชาติ หัวเราะเป็ นคนปกติ ถ้าท่องบทพระรตั นตรยั ยิ่งสามารถแก้ไขได้ง่าย
ารเขา้ ถงึ พร�รั�น�รัยเป็นเ�้ือง�รของารเรม่ิ ปฏิ��ั �ิ �|�79 และสําคัญท่ีสุดคือ การท่ีจิตเราเข้าถึงพระรตั นตรยั ได้ น่ันคือส่วนสาํ คัญท่ีดีท่ีสุด แล้วจะทาํ ให้ทิศทาง การปฏิบัติของเราไม่ออกนอกลู่นอกทาง เพราะ พระรตั นตรยั จะควบคุมระบบจิตของเราให้ไปสู่ทิศทาง ท่ีถูกตอ้ ง เป็ นสมั มาทิฏฐิ โยม : กราบลาพระอาจารย์ พระอาจารย์ : ผู้มีปกติกราบไหว้อ่อนน้ อม ถอ่ มตน ย่อมเจรญิ ด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ขอให้ ได้รบั อานิสงส์กศุ ลนี้ทุกคน เทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
ปุจฉา-วิสชั นา ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ปุจฉา : ขออนุญาตถามคําถามเพ่ือความเข้าใจ ที่ตรงตามธรรม เม่ือรู้ทันทุกข์ สมุทัยใหม่ก็ไม่เกิด (สมุทัยเก่าที่เกิดพร้ อมกับทุกข์ท่ีถูกรู้เท่าทันก็ดับไป ตามเหตุอยู่แล้ว) ความหมายของนิโรธ คอื สมุทยั ใหม่ ไม่เกิด ไม่ก่อภพชาติใหม่ ใช่หรอื ไม่ เม่ือก่อนเคย เข้าใจว่า นิโรธ คือ การดับสมุทัยท่ีกําลังเกิดอยู่พร้อม การกําหนดรู้ทุกข์ แต่ท่ีจรงิ สมุทัยที่มาจากเหตุเก่าก็ เกิด-ดับตามเหตุปั จจัยอยู่แล้ว หากความเข้าใจนี้ถูก นิโรธ ก็คือการไม่เกิดข้ึนของสมุทัย อาสวะ สังโยชน์ และ อวิชชา ตามกําลังของวิชชาที่สัง่ สมมาตามลําดับ ขั้นของความละเอียดที่พระอาจารย์แสดงธรรมไว้ใน วันท่ี ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ใช่หรอื ไม่ (อีกความหมาย หน่ึงของนิโรธ คือ สมุทัยใหม่ไม่เกิด ไม่ก่อภพชาติ ใหม่ ใช่หรอื ไม)่
ปุจฉา-วสิ ัชนา�|�81 วิสัชนา : ประเด็นตรงนี้ก็เป็ นประเด็นที่ถูกต้อง ถ้าสังเกต เม่ืออาตมาอธบิ ายธรรมะ เวลาอธบิ ายทุกข- สัจจะ อาตมาจะพูดทุกข์ไว้ ๒ แง่เสมอ แล้วพูดสมุทัย ไว้ ๒ แง่เหมอื นกัน นิโรธกจ็ ะมี ๒ แงใ่ นลกั ษณะนี้ คอื เป็ นเร่อื งของรายละเอียดที่เพิ่มมากข้ึน เพราะมีอยู่ ๒ ชนั้ ทงั้ หมดเลย ชนั้ แรก คอื ร้ทู กุ ข์ ร้เู หตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ ร้คู วามดบั ทกุ ข์ ร้ขู อ้ ปฏิบตั ิทจ่ี ะดับทุกข์ ชัน้ ที่ ๒ คอื ปฏิบัตติ อ่ ทุกข์ โดยการร้แู ละยอมรบั ปฏิบตั ติ ่อ สมุทยั โดยการร้แู ล้วละ ปฏบิ ัติต่อ นิโรธ โดยการรู้แลว้ ทําใหแ้ จง้ ปฏบิ ตั ิตอ่ มรรค โดยการทาํ ใหเ้ จรญิ ข้ึน ฉะนัน้ คาํ ถามที่ถามมาจึงเป็ นคาํ ถามที่ถือวา่ เป็ นผู้ สังเกตท่ีดีมาก ท่ีทําให้เกิดรายละเอียดในการอธบิ าย ธรรมะ แม้แต่มรรคเองก็มี ๒ แง่ คือ มรรคท่ีเป็ นตัว มรรค กับมรรคที่ตอ้ งเจรญิ ข้ึน จะมี ๒ แง่เสมอ เพราะ ฉะนั้น เวลาอาตมาอธบิ าย ถ้าใครจับประเด็นตรงนี้ เข้าใจจรงิ ๆ จะเป็ นความเข้าใจอยู่ในตัวตามมาอยู่แล้ว
82 | เขา้ ใจอริยสัจเพอื่ ความหลุดพน้ กรณีนี้จะเป็ นความสงสัยเพ่ือสร้างความเข้าใจ ไม่ใช่ สงสัยแบบลังเล ปุจฉา : เม่ือก่อนเคยเข้าใจว่า นิโรธ คือ การ ดบั สมุทัยท่ีกาํ ลงั เกดิ อยพู่ ร้อมการกําหนดรู้ทุกข์ วิสชั นา : อนั นี้กใ็ ช่ อันนี้ก็ถกู อีกนัน่ แหละ ปุจฉา : แต่ท่ีจรงิ สมุทัยท่ีมาจากเหตุเก่าก็เกิด- ดบั ตามเหตุปัจจยั อยูแ่ ลว้ วิสชั นา : ก็ถูก ปุจฉา : หากความเข้าใจนี้ถูก นิโรธ ก็คือการ ไมเ่ กดิ ข้ึนของสมุทัย อาสวะ สงั โยชน์ และอวชิ ชา ตาม กํ า ลั ง ข อ ง วิ ช ช า ท่ี สั่ ง ส ม ม า ต า ม ลํ า ดั บ ชั้ น ข อ ง ค ว า ม ละเอียดที่พระอาจารย์แสดงไว้ในวันท่ี ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๓ วิสัชนา : ถูกต้อง เป็ นความเข้าใจท่ีดี เป็ น ความเข้าใจที่ถูกต้องจะเป็ นอย่างนี้ นิโรธตัวไหนท่ี ดับไป ตัวนัน้ ก็ดับไปโดยถาวร เรยี กว่าดับไปโดยไม่ เหลือ ฉะนัน้ วธิ กี ารกาํ หนดรู้นิโรธ จงึ บอกว่าทาํ ให้แจ้ง แจ้ง คือ แจ้งชัดในใจว่า การดับไปนัน้ ดับไปโดยเหลือ
ปจุ ฉา-วสิ ัชนา�|�83 หรอื ไม่เหลือ ท่ีเกิดข้ึนเม่ือกี้นี้ ดับไปโดยท่ีเหลือหรอื ไม่เหลือ อันท่ดี ับไปโดยไม่เหลอื กไ็ มเ่ หลือ อนั ทจี่ ะเกดิ ข้ึนใหม่ก็เกิดข้ึนใหม่ ไม่ใช่อันที่ดับไป มาเกิดข้ึนใหม่ ไม่ได้เป็ นอันเดียวกัน ฉะนัน้ อนั ใหมท่ ี่เกดิ ข้ึนด้วยปัจจัยใหม่ ดว้ ยผสั สะ ใหม่ ด้วยระบบของปฏิจจสมุปบาทใหม่ ธรรมท่ีอิง อาศัยกันเกิดใหม่ จะเกิดข้ึนมา หากเรายังกําหนดรู้อยู่ (ปรญิ ญา) ลักษณะของวชิ ชาท่ีจะทําลายอวิชชา คือการ เรยี นรู้ทุกข์ เรยี นรู้เหตุให้เกิดทุกข์ เรยี นรู้ความดับ ทุกข์ เรยี นรู้ข้อปฏิบัติท่ีจะปฏิบัติต่อทุกข์ เรยี นรู้ท่ีจะ ปฏิบัติต่อเหตุ ปฏิบัติต่อความดับ ปฏิบัติต่อมรรคโดย การเจรญิ ข้ึนอยู่เร่อื ย ๆ จนเป็ นปรวิ ัฏฏ์ (เวียนรอบ) นี้ เรยี กวา่ วชิ ชาละอวชิ ชา ซ่ึงจะมี ... อวิชชาสังโยชน์ที่เป็ นที่ตั้งของ สักกายทิฏฐิ วิจกิ ิจฉา สีลพั พตปรามาส อวิชชาสงั โยชน์ท่เี ป็ นทตี่ งั้ ของ กามราคะ ปฏฆิ ะ อวชิ ชาสังโยชน์ทีเ่ ป็ นที่ตัง้ ของ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธจั จะ และ ...
84 | เข้าใจอริยสัจเพื่อความหลุดพน้ อวิชชาสงั โยชน์ท่เี ป็ นที่ตงั้ ของ อวชิ ชา เอง สังโยชน์เหล่านี้ต้องละด้วยอรยิ มรรค แต่อวิชชา ในชัน้ ของอรยิ สัจต้องละด้วยวิชชา คือ การรู้ทุกข์ รู้ เหตใุ หเ้ กิดทุกข์ ซ่ึงนี้เป็ นองคข์ องสมั มาทิฏฐิ ทีนี้เรามาดูว่า สมุทัยซ่ึงเป็ นตัวเหตุให้เกิดทุกข์ สมุทัยเรม่ิ ท่ีอวิชชาเป็ นท่ีตัง้ อวิชชาอิงอาศัยอะไรเกิด อิงอาศัยขันธ์ ๕ เกิด โดยอิงอาศัยเพราะไม่รู้ขันธ์ ๕ ตามความเป็ นจรงิ เพราะไม่รู้ขันธ์ ๕ ตามความเป็ น จรงิ อวิชชาจึงเกดิ ข้ึน ไมร่ ้ขู ันธ์ ๕ ตามความเป็ นจรงิ ว่า นี้คือทุกข์ เพราะฉะนั้น อวิชชาจะเกิดได้ เพราะอิง อาศัยการไม่รู้จักขันธ์ ๕ ตามความเป็ นจรงิ เม่ือใด ก็ตามที่รู้ขันธ์ ๕ ตามความเป็ นจรงิ อวิชชาก็ไม่เกิด ไม่เกิดก็คือ ถูกละ นิโรธปรากฏ เม่ือนิโรธปรากฏ การดับไปของอวิชชาท่ีถูกละด้วยความรู้นัน้ ดับไปด้วย การละนัน้ ดับไปโดยเหลือหรอื ไม่เหลือ ต้องแจ่มแจ้ง ในตนเอง ถามวา่ ถ้าอวิชชาไมไ่ ด้ถูกรู้ อวิชชาดับเองไดไ้ หม ตอบว่า ได้ ถ้าดับไม่ได้แสดงว่าอวิชชาตัง้ อยู่
ปุจฉา-วสิ ัชนา�|�85 ตลอดหรอื ดับสิ เพราะธรรมชาติทุกอย่างเกิด-ดับ ตลอดเวลา แต่ไม่ได้ถูกรู้จากเรา มรรคจึงไม่เกิด เม่ือ มรรคไม่เกิด จึงไม่สามารถเป็ นวิชชา เม่ือไม่เป็ นวิชชา ก็ไม่สามารถที่จะเจรญิ มรรคได้ เพราะมันเกิดเอง-ดับ เองโดยตัวของมันอยู่แล้ว มันเกิดเองดับเอง เกิดเอง ดับเอง แล้วก็ดับโดยไม่เหลืออยู่แล้วโดยตัวมันเอง ซ่ึง การเกดิ -ดบั อย่างนัน้ ไม่ได้ทําใหก้ เิ ลสหายไป แต่ถ้าเกดิ แล้วเรารู้ ถูกรู้ มีกิจของการกําหนดรู้ด้านอรยิ สัจอยู่ อันนัน้ ดับไปโดยไม่เหลือแล้วสร้างวิชชา คือ ความรู้ การเรยี นรู้อรยิ สัจ แล้วเป็ นสัมมาทิฏฐมิ รรค มรรคก็จะ เจรญิ ข้ึน มรรคเจรญิ ข้ึนเพ่ือทําหน้ าท่ีละสังโยชน์ แต่ วิชชาละอวิชชาในขณะนัน้ เลย ในปัจจุบันนัน้ ใช้วิชชา ละอวิชชา แต่มรรคจะทําลายอวิชชาสังโยชน์ จึงมี อวิชชาชัน้ ไม่รู้ขันธ์ ๕ กับอวิชชาสังโยชน์ที่ผูกเราให้ สบื เน่ืองอยู่ในขันธ์ ๕ โดยการยึดมนั่ ถอื มัน่ กลุ่มของอนุสัย อาสวะจะเกิดนอนเน่ืองอยู่ใน อปุ าทาน กเิ ลสจะนอนเน่ืองอยใู่ นกลมุ่ ของตณั หา กิเลส ทัง้ หลายท่ีประกอบไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ คือ แม้ตัวนี้ไม่ใช่กิเลสในตัวมันเอง เพราะอาศัยตัณหา
86 | เข้าใจอรยิ สัจเพื่อความหลุดพน้ เป็ นพ้ืนให้เกิดและตัง้ อยู่ จึงเป็ นกิเลสข้ึนด้วยอํานาจ ของตณั หาชนิดนัน้ ๆ อนสุ ยั จะเกดิ นอนเน่ืองอยทู่ เี่ วทนา เหน็ ไหม ตงั้ แตอ่ วชิ ชาเป็นสมทุ ยั อวชิ ชาไมไ่ ดถ้ กู รู้ จึงสืบเน่ืองไปเป็ น ผัสสะ เวทนา นี้เป็ นห่วงโซ่กลาง ๆ แล้ว แต่ละเปลาะของห่วงโซ่ท่ีสืบมานี้เราไม่ทันหรอก เพราะมันเรว็ มาก จนมาเจอผัสสะจึงเกิดสุข ทุกข์ ไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ แลว้ ในชวี ติ เรา อนุสัยจะนอนเน่ือง นี้คอื กลุ่มอนุสัยสังโยชน์ทั้งหลายจะนอนเน่ือง จะมี ๑. อนุสยั ๒. อนสุ ัยสงั โยชน์ ถ้าอนสุ ัยธรรมดา ... ปฏฆิ านสุ ัย นอนเน่ืองอยู่ใน ทุกขเวทนา ราคานสุ ัย นอนเน่ืองอยู่ใน สุขเวทนา อวชิ ชานุสัย นอนเน่ืองอยู่ใน อทุกขมสขุ เวทนา อนุสัยเหล่านี้เวลาเกิด ถ้าเราไม่รู้ อนุสัยเหล่านี้จะ เกิดเป็ นสังโยชน์ จึงเรยี กสังโยชน์ตามอนุสัยว่า นี้เป็ น ปฏิฆะสังโยชน์ เพราะเราไม่รู้ (อยู่ในทุกขเวทนา) นี้ เป็ นราคะสังโยชน์ (อยู่ในสุขเวทนา) นี้เป็ นอวิชชา สังโยชน์ (อยใู่ นอทกุ ขมสุขเวทนา)
ปจุ ฉา-วิสชั นา�|�87 สังโยชน์จะเรยี กตามช่ือของอาการอนุสัยที่นอน- เน่ือง อนุสัยจึงเป็ นอนุสัยกิเลส อนุสัยสังโยชน์ที่ นอนเน่ืองอยู่ในอาการของเวทนา เพราะมีอวิชชา เป็ นพ้นื เป็ นสมุทัย เป็ นเหตุ อวิชชา เป็ นเหตุ ตัณหา เป็ นผล ตัณหา เป็ นเหตุ อนสุ ัย เป็ นผล อนุสัย (ที่เราไม่รู้ตามความเป็ นจรงิ ) เป็ นเหตุ (จึงเกดิ ) สงั โยชน์ เป็ นผล สังโยชน์ ละได้ด้วยอรยิ มรรค อนุสัย ละได้ โดยการกําหนดรูใ้ นเวทนาทัง้ ๓ ไม่ให้ปฏิฆานุสัย นอนเน่ือง หรอื นอนเน่ืองมาก็รู้ รู้แล้วละได้ เวทนา ก่อให้เกิดตัณหา ตัณหาก่อให้เกิดอุปาทาน พอเป็ น อุปาทานแลว้ พวกอาสวะจะมา คือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ทิฏฐาสวะ จะมานอนเน่ืองอยู่ท่ีอุปาทาน เพราะยึดถือไว้ อยากแล้วไม่ได้ส่ิงนัน้ จะเกิดอุปาทาน คือแรงยึดไว้ ไม่ได้วันนี้จะเอาวันต่อไป เกิดแรงยึดไว้ พวกนี้เกิดเป็ นอาสวะหมักดองสันดานไว้
88 | เข้าใจอรยิ สัจเพ่ือความหลุดพน้ อุปาทานเป็ นปั จจัยให้เกิดภพ แต่ละครงั้ ที่อาสวะ ตัง้ อยู่บนอุปาทานก็เป็ นภพ ก่อให้เกิดภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ อย่างที่เรากําลังเป็ นอยนู่ ี้ เราชาติ (ชา-ต)ิ เราเกิดมาแล้วก็ชรา พยาธิ มรณะ เป็ นไปตามเร่อื งที่ เราสั่งสมมาแต่ปางก่อน ว่าจะส่งผลให้เราเป็ นอะไร ในปั จจุบันนี้ ปางก่อนแก้ไขไม่ได้ ปางนี้คือตอนนี้ เม่ือเรารู้เข้าใจแล้ว เราก็จะพยายามแก้ ซ่ึงไม่ได้ไปแก้ ส่ิงที่ส่งผลมาแต่ปางก่อน แต่กําลังจะแก้ว่าเราจะไม่ สืบต่อจากเร่อื งราวที่เกิดข้ึนในปั จจุบันนี้ เพ่ือให้เรา ไปเป็ นแบบนั้นในภายภาคหน้ า ก็จะดับการเกิด ละ การเกิด ยตุ ิการเกิด สุดทา้ ยแลว้ จะไม่ไดเ้ จอกันอกี แล้ว พระพุทธศาสนาสอนแบบนัน้ p
Search