ใบความรแู้ ละใบงาน รายวิชา ประวัตศิ าสตร์ 5 ส 23103 เวลา 20 ชั่วโมง จำนวน 0.5 หน่วยกติ ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2564 ครูผสู้ อน นางอธชิ า เวชสขุ สกุล
ใบความร้เู รอ่ื ง วิธีการทางประวตั ิศาสตร์ ขนั้ ตอนทางประวัติศาสตร์ มี 5 ข้ันตอน ดงั นี้ 1.การกำหนดหวั เรอื่ งทจ่ี ะศกึ ษา การศึกษาเร่ืองราวในประวัติศาสตร์เริ่มจากความสงสัย อยากรู้ ไม่พอใจกับคำอธิบาย เรื่องราวที่มีมาแต่เดิม ดังน้ัน ผู้ศึกษาจึงเริ่มจากการกำหนดเร่ืองหรือประเด็นท่ีต้องการศึกษาซ่ึงใน ตอนแรก อาจกำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษาไว้กว้างๆ ก่อน แล้วจึงค่อยจำกัดประเด็นลงให้แคบ เพ่ือให้เกิดความชัดเจนในภายหลัง เพราะบางเร่ืองขอบเขตของการศึกษาอาจกว้างมากท้ังเหตุการณ์ บุคคล และเวลา การกำหนดหัวเร่ืองอาจเก่ียวกับเหตุการณ์ ความเจริญ ความเสื่อมของอาณาจักร ตัวบุคคล ในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง อาจยาวหรือส้ันตามความเหมาะสม ซึ่งผู้ศึกษาเห็นว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ และยังมีหลักฐานข้อมูลที่ผู้ต้องการศึกษาหลงเหลืออยู่ หัวข้อเร่ืองอาจปรับให้มีความเหมาะสมหรือ เปล่ยี นแปลงได้ ถา้ หากหลกั ฐานท่ใี ชใ้ นการศกึ ษามีน้อยหรือไมน่ า่ เชื่อถือ 2.การรวบรวมหลกั ฐาน การรวบรวมหลกั ฐาน คอื การรวบรวมหลักฐานท่เี ก่ียวข้องกับหัวขอ้ ทีจ่ ะศึกษา ซ่งึ มที ั้ง หลกั ฐานที่เปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร และหลักฐานท่ีไม่เป็นลายลกั ษณ์อักษร หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์แบ่งออกเปน็ หลักฐานชั้นตน้ หรือหลักฐานปฐมภมู ิกบั หลักฐานชน้ั รองหรอื หลักฐานทตุ ยิ ภมู ิ 1) หลักฐานชั้นต้น (Primary Sources) เป็นหลักฐานร่วมสมัยของผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับ เหตุการณ์โดยตรง ประกอบด้วยหลักฐานทางราชการทั้งที่เป็นเอกสารลับ เอกสารที่เปิดเผย กฎหมาย ประกาศ สุนทรพจน์ บันทึกความทรงจำของผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ หรือ อตั ชีวประวัติผู้ที่ได้รับผลกระทบกับเหตุการณ์ การรายงานข่าวของผู้รู้ ผู้เห็นเหตุการณ์ วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ ภาพถ่ายเหตุการณท์ ีเ่ กดิ ขน้ึ เปน็ ต้น 2) หลักฐานช้ันรอง (Secondary Sources) เป็นหลกั ฐานท่จี ัดทำขึน้ โดยอาศัยหลักฐาน ช้ันต้น หรือโดยบคุ คลที่ไม่ได้เก่ียวขอ้ ง ไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ดว้ ยตนเอง แต่ได้รบั รู้โดยผ่านบุคคล อื่น ประกอบด้วยผลงานของนกั ประวตั ิศาตร์หรอื หนงั สอื ประวัติศาสตร์ รายงานของสื่อมวลชนท่ี ไม่ได้รเู้ ห็นเหตุการณ์ดว้ ยตนเอง ท้ังหลักฐานชั้นต้นและหลักฐานชั้นรองจัดว่ามีคุณค่าแตกต่างกัน คือ หลักฐานชั้นต้นมี ความสำคัญมาก เพราะเป็นหลักฐานร่วมสมัยท่บี ันทึกโดยผู้รู้เห็น หรือผู้ท่เี กย่ี วขอ้ งกบั เหตุการณ์ โดยตรง สว่ นหลกั ฐานช้นั รองเป็นหลักฐานท่ีทำข้นึ ภายหลังโดยใช้ขอ้ มูลจากหลักฐานชั้น ต้น แต่ หลักฐานช้ันรองจะช่วยอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจหลักฐานช้ันต้นได้ง่ายข้ึน ละเอียดขึ้นอันเป็น แนวทางไปสู่หลักฐานข้อมูลอ่ืนๆ ซ่ึงปรากฏในบรรณานุกรมของหลักฐานชั้นรองทั้งหลักฐาน ชั้นต้นและชั้นรองสามารถ ค้นคว้าได้จากห้องสมุด ทั้งของทางราชการ และของเอกชน ตลอดจนฐานข้อมลู ในเครอื ขา่ ยอินเทอรเ์ น็ต (website) การค้นควา้ เร่ืองราวในประวตั ิศาสตร์ทดี่ ีควรใช้หลกั ฐานรอบด้าน โดยเฉพาะหลักฐานที่ เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่จะศึกษา อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะใช้หลักฐานประเภทใดควรใช้ด้วยความ ระมัดระวัง เพราะหลักฐานทกุ ประเภทมจี ุดเด่นจุดดอ้ ยแตกต่างกัน
3.การประเมนิ คุณค่าของหลักฐาน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นคว้ามาได้ ก่อนที่จะทำการศึกษาจะต้องมีกาีรประเมิน คุณค่าว่าเป็นหลักฐานที่แท้จริง เพียงใด การประเมินคุณค่าของหลักฐานนี้เรียกว่า “วิพากษ์วิธี ทางประวัตศิ าสตร”์ ซึง่ มีอยู่ 2 วธิ ี ดังตอ่ ไปนี้ 1) การประเมินคุณค่าภายนอกหรือวิพากษ์วิธีภายนอก ซึ่งหมายถึง การประเมินคุณค่า ของหลักฐานจากลักษณะภายนอกของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ บางครั้งก็มีการปลอมแปลง เพื่อการโฆษณาชวนเช่ือ ทำให้หลงผิด หรือเพ่ือเหตผุ ลทางการเมอื ง การค้า ดังนนั้ จงึ ต้องมีการ ประเมินว่าเอกสารน้ันเป็นของจริงหรือไม่ ในส่วนวิพากษ์วิธีภายนอกเพื่อประเมินหลักฐานว่า เป็นของแท้ พิจารณาได้จากสิ่งท่ีปรากฏภายนอก เช่น เน้ือกระดาษ กระดาษของไทยแต่เดิมจะ หยาบและหนา ส่วนกระดาษฝร่ังดังที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เริ่มเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ทางราชการจะใช้กระดาษฝรั่งหรือสมุดฝร่ังมากข้ึนในต้นรัชสมัย พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เก่ียวกับตัวพิมพ์ดีดเร่ิมใช้มากข้ึนในกลางรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ถ้าปรากฏว่ามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยในรัช สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวใช้ตัวพิมพ์ดีด ก็ควรสงสัยว่าหลักฐานน้ันเป็นของ ปลอม 2) การประเมินคุณค่าภายในหรือวิพากษ์วิธีภายใน เป็นการประเมินคุณค่าของ หลักฐานจากข้อมูลภายในหลักฐานน้ัน เป็นต้นว่า มีช่ือบุคคล สถานที่ เหตุการณ์ ในช่วงเวลาท่ี หลักฐานน้ันทำขึ้นหรือไม่ ดังเช่น หลักฐานซ่ึงเชื่อว่าเป็นของสมัยสุโขทัยแต่มีการพูดถึง สหรัฐอเมริกาในหลักฐาน น้ัน ก็ควรสงสัยว่าหลักฐานน้ันเป็นของสมัยสุโขทัยจริงหรือไม่ เพราะ ในสมัยสุโขทัยยังไม่มีประเทศสหัฐอเมริกา แต่น่าจะเป็นหลักฐานที่ทำขึ้นเมื่อคนไทยได้รับรู้ว่ามี ประเทศสหรัฐอเมริกา แลว้ หรือหลักฐานเป็นของเก่าสมยั สุโขทัยจริง แต่การคัดลอกต่อกันมามี การเตมิ ชือ่ ประเทศสหัฐอเมรกิ า เขา้ ไป เปน็ ต้น วพิ ากษว์ ิธีภายในยังสังเกตได้จากการกล่าวถึงตวั บุคคล เหตุการณ์ สถานท่ี ถ้อยคำ เป็น ต้น ในหลักฐษนว่ามีความถูกต้องในสมัยน้ันๆ หรือไม่ ถ้าหากไม่ถูกต้องก็ควรสงสัยว่าเป็น หลักฐานปลอมแปลง หลักฐานท่ีแท้จริงเท่านั้นที่มีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์ ส่วนหลักฐาน ปลอมแปลงไม่มีคุณค่าใดๆ อีกท้ังจะทำให้เกิดความรูท้ ่ีไม่ถกู ด้วย ดังนั้น การประเมินคุณค่าของ หลกั ฐานจึงมีความสำคัญและจำเป็นมาก
4.การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และจัดหมวดหม่ขู ้อมูล เมื่อทราบว่าหลักฐานน้ันเป็นของแท้ ให้ข้อมูลท่ีเป็นข้อเท็จจริงหรือความจริงใน ประวัติศาสตร์ ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะต้องศึกษาข้อมูลหรือข้อสนเทศในหลักฐานน้ันว่าให้ ขอ้ มูล ทางประวัติศาสตร์อะไรบ้าง ข้อมูลน้ันมีความสมบูรณ์เพียงใด หรือข้อมูลน้ันมีจุดมุ่งหมายเบ้ืองต้น อย่างไร มีจุดมุ่งหมายแอบแฝงหรือไม่ ข้อมูลมีความยุติธรรมหรือไม่ จากน้ันจึงนำข้อมูลท้ังหลายมา จัดหมวดหมู่ เช่น ความเป็นมาของเหตุการณ์ สาเหตุท่ีทำให้เกิดเหตุการณ์ความเป็นไปของ เหตุการณ์ ผลของเหตุการณ์ เปน็ ตน้ เม่ือได้ข้อมูลเป็นเรื่อง เป็นประเด็นแล้ว ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์เรื่องนั้นก็จะต้องหา ความสัมพันธ์ของประเด็นต่างๆ และตีความข้อมูลว่ามีข้อเท็จจริงใดที่ซ่อนเร้น อำพราง ไม่กล่าวถึง หรือในทางตรงกันขา้ มอาจมีข้อมลู กลา่ วเกินความเป็นจริงไปมาก ในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ควรมีความละเอียดรอบคอบ วางตัวเป็นกลาง มีจินตนกาาร มีความรอบรู้ โดยศึกษาข้อมูลท้ังหลายอย่างกว้างขวาง และนำผล การศกึ ษาเรอื่ งนนั้ ทมี่ แี ต่เดมมาวิเคราะหเ์ ปรยี บเทยี บ รวมท้งั จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลให้เป็นระบบ 5.การเรยี บเรยี งหรือการนำเสนอ การเรียบเรียงหรือการนำเสนอจัดเป็นขั้นตอนสุดท้ายของวิธีการทางประวัติศาสตร์ ซ่ึงมี ความสำคัญมาก โดยผศู้ ึกษาประวัติศาสตรจ์ ะต้องนำข้อมูลท้ังหมดมารวบรวมและเรียบเรียงหรือ นำ เสนอให้ตรงกับประเด็นหรือหัวเร่ืองที่ตนเองสงสัย ต้องการอยากรู้เพิ่มเติม ท้ังจากความรู้เดิม และความรู้ใหม่ รวมไปถึงความคิดใหม่ท่ีได้จากการศึกษาครั้งน้ี ซ่ึงเท่ากับเป็นการรื้อฟ้ืนหรือ จำลองเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์ข้นึ มาใหม่ อย่างถูกตอ้ งและเปน็ กลาง ในขั้นตอนการนำเสนอ ผู้ศึกษาควรอธิบายเหตุการณ์อย่างมีระบบและมีความสอดคล้อง ต่อเนื่อง เป็นเหตุเป็นผล มีการโต้แย้งหรือสนับสนุนผลการศึกษาวิเคราะห์แต่เดิม โดยมีข้อมูล สนับสนุนอยา่ งมนี ้ำหนัก เป็นกลาง และสรุปการศกึ ษาวา่ สามารถให้คำตอบที่ผู้ศกึ ษามคี วามสงสัย อยากรไู้ ด้เพียงใด หรอื มขี อ้ เสนอแนะใหส้ ำหรบั ผทู้ ตี่ ้องการศึกษาต่อไปอย่างไรบา้ ง จะเห็นได้ว่าวิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างมี ระบบ มี ความระมัดระวัง รอบคอบ มีเหตผุ ลและเป็นกลาง ซอ่ื สตั ย์ตอ่ ขอ้ มลู ตามหลกั ฐานที่คน้ คว้ามา อาจ กล่าวได้ว่า วิธีการทางประวัติศาสตร์เหมือนกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จะแตกต่างกันก็เพียง วิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถทดลองได้หลายครั้ง จนเกิดความแน่ใจในผลการทดลอง แต่ เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไม่สามารถทำให้เกิดข้ึนใหม่ได้อีก ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ท่ีดีจึงเป็นผู้ ฟื้นอดีตหรือจำลองอดีตให้มีความถูก ต้องและสมบูรณ์ที่สุด โดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ เพือ่ ทีจ่ ะได้เกดิ ความเขา้ ใจอดตี อันจะนำมาสู่ความเขา้ ใจในปัจจุบัน
ใบงานเร่อื ง วิธีการทางประวตั ิศาสตร์ คำชี้แจง ใหน้ กั เรียนวิเคราะห์ข้อความท่กี ำหนดว่า อยู่ในข้ันตอนใดของวิธีการทางประวตั ศิ าสตร์ 1. แนวทางในการค้นหาคำตอบอย่างมีเหตผุ ล …………………………………………………………………………………………………. 2. พบขอ้ มลู จากหลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ …………………………………………………………………………………………………. 3. ตรวจสอบและประเมินคา่ ความนา่ เช่ือถือของหลักฐาน …………………………………………………………………………………………………. 4. ตอบคำถามตามท่วี างไว้ …………………………………………………………………………………………………. 5. อธบิ ายเร่อื งที่ศึกษาอย่างมีเหตผุ ล …………………………………………………………………………………………………. 6. เขียนรายงานเหตุผลการย้ายราชธานขี องรัชกาลที่ 1 …………………………………………………………………………………………………. 7. สมั ภาษณช์ าวจนี ยา่ นเยาวราชเกี่ยวกบั การทำทองในยา่ นเยาวราช …………………………………………………………………………………………………. 8. หมากตอ้ งการทราบว่า วัดไชยวฒั นาราม จังหวัดพระนครศรีอยธุ ยา สรา้ งขึ้นในสมัยใด …………………………………………………………………………………………………. 9. สนามหลวง เดิมเรียกวา่ ทุ่งพระเมรุ เปน็ สถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ …………………………………………………………………………………………………. 10. จดหมายเหตุรชั กาลท่ี 4 เปน็ หลักฐานช้ันต้น ………………………………………………………………………………………………….
ใบความร้เู รอ่ื ง หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ หลักฐานทางประวัตศิ าสตร์ (Historical Sources) หลักฐานทางประวัติศาสตร์ หมายถึง ร่องรอยการกระทำ การพูด การเขียน การประดิษฐ์ การอยู่ อาศยั ของมนุษย์หรือลึกไปกว่าทป่ี รากฏอย่ภู ายนอก คอื ความคดิ อา่ น โลกทศั น์ ความรสู้ ึก ประเพณีปฏิบัตขิ อง มนุษย์ในอดีต ความรู้สึกของคนในปัจจุบัน สิ่งที่มนุษย์จับต้องและทิ้งร่องรอยไว้ กล่าวได้ว่าอะไรก็ตามท่ีมา เก่ยี วพันกบั มนุษย์ หรอื มนษุ ยเ์ ขา้ ไปเกย่ี วพันสามารถใชเ้ ปน็ หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ไดท้ ั้งส้ิน ประโยชน์ของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ เป็นเคร่ืองมือในการสืบค้นร่องรอยของอดีต เป็น แหล่งคน้ คว้าข้อเท็จจรงิ เก่ียวกบั เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โดยนำเอาไปประกอบกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ เพือ่ สร้าง ความเข้าใจ ในเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ท้ังในอดีตและปจั จบุ ัน การแบง่ ประเภทของหลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ 1. แบ่งตามยุคสมัย 1.1 หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานที่เกิดขึ้นในสมัยท่ียังไม่มีการบันทึกเป็นอักษร แต่ เป็นพวกซากโครงกระดูกมนุษย์ ซากสิ่งมีชีวิตต่างๆ เครื่องมือ เคร่ืองใช้ เครื่องประดับ ร่องรอยการตั้งถ่ินฐาน ของชุมชน ตลอดจนความพยายามท่ีจะถ่ายทอดประสบการณ์ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ ในลักษณะของ ก า ร บ อ ก เ ล่ า ต่ อ ๆ กั น ม า เ ป็ น นิ ท า น ห รื อ ต ำ น า น ซึ่ ง เ ร า เ รี ย ก ว่ า “มุ ข ป า ฐ ะ ” 1.2 หลักฐานสมัยประวัติศาสตร์ คือ หลักฐานสมัยท่ีมนุษย์สามารถประดิษฐ์ตัวอักษร และบันทึกใน วัสดุต่างๆ มีร่องรอยที่แน่นอนเกี่ยวกับสังคมเมือง มีการรู้จักใช้เหล็ก และโลหะอื่นๆ มาเป็นเคร่ืองมือใช้สอยท่ี ปราณีต มีรอ่ งรอยศาสนสถานและประติมากรรมรูปเคารพในศาสนาอยา่ งชดั เจน 2. แบง่ ตามลกั ษณะหรือวธิ กี ารบันทกึ 2.1 หลกั ฐานประเภทลายลกั ษณ์อักษร ได้แก่ จารึก ตำนาน พงศาวดาร จดหมายเหตุ บนั ทึกความ ทรงจำ เอกสารทางวชิ าการ ชีวประวตั ิ จดหมายส่วนตวั หนงั สือพิมพ์ นติ ยสาร วารสาร กฎหมาย วรรณกรรม ตำรา วิทยานิพนธ์ งานวจิ ยั ในการศกึ ษาประวัติศาสตร์ในประเทศไทย มีการเนน้ การฝกึ ฝนทกั ษะการใช้ หลกั ฐานประเภทลายลกั ษณ์อักษรเป็นส่วนใหญ่ จนอาจกล่าวไดว้ า่ หลักฐานประเภทนีเ้ ป็นแกน่ ของงานทาง ประวัติศาสตร์ไทย 2.2 หลักฐานไมเ่ ป็นลายลกั ษณ์อักษร ได้แก่ หลักฐานโบราณคดี เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ เงนิ ตรา หลักฐานจากการบอกเลา่ ท่เี รยี กว่า “มุขปาฐะ” หลักฐานด้านภาษา เก่ยี วกับพัฒนาการของภาษาพดู หลกั ฐานทางศิลปกรรม ได้แก่ จิตรกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม นาฏศลิ ป์ ดุริยางคศลิ ป์ หลกั ฐาน ประเภทโสตทศั น์ ได้แก่ ภาพถา่ ย ภาพสไลด์แผนที่ โปสเตอร์ แถบบันทึกเสยี ง แผน่ เสยี ง ภาพยนตร์ ดวงตรา ไปรษณยี ากร 3. แบง่ ตามลำดับความสำคญั 3.1 หลกั ฐานช้ันตน้ (Primary sources) อันได้แกห่ ลักฐานท่ีบันทึกไวโ้ ดยผ้ทู ่ีเกี่ยวข้อง โดยตรง หรือรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง 3.2 หลกั ฐานรอง(Secondary sources) ซ่ึงไดแ้ กบ่ ันทึกของผทู้ ี่ได้รับทราบเหตกุ ารณ์จากคำบอก เลา่ ของบุคคลอื่นมาอีกต่อหน่ึง หนงั สือประวตั ิศาสตร์ทมี่ ีผ้เู ขียนขึน้ ภายหลัง โดยอาศยั การศกึ ษาจากหลักฐาน ชั้นต้น ก็ยังถอื วา่ เป็นหลกั ฐานรองอยู่นน่ั เอง นธิ ิ เอี่ยวศรีวงศ์ ได้กล่าวไวว้ า่ การแบ่งประเภทของหลกั ฐาน เป็นช้ันต้นและชัน้ รอง มีประโยชนใ์ นการประเมินความน่าเช่ือถือของหลักฐาน หลกั ฐานชั้นตน้ มกั ได้รบั นำ้ หนักความนา่ เชื่อถือจากนักประวัตศิ าสตร์มาก เพราะได้มาจากผู้รูเ้ ห็นใกลช้ ดิ กบั ข้อเทจ็ จรงิ ในขณะทีห่ ลัก ฐานรองไดร้ ับนำ้ หนักความน่าเช่ือถือน้อยลง อย่างไรก็ตาม ไมค่ วรถือ
ในเร่ืองน้ีอย่างเคร่งครัดมากนัก เพราะหลักฐานช้นั ต้นก็อาจใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ผิดพลาดได้ เช่นผบู้ นั ทกึ ไม่มีความ เขา้ ใจอย่างแทจ้ รงิ ในเหตกุ ารณท์ ต่ี นบนั ทึก หรอื อาจจะตัง้ ใจปกปิดบิดเบือนความจริงเพ่ือประโยชนข์ องตน หรือคนที่ตนรักเคารพ เป็นต้น ในทางตรงกนั ข้าม เอกสารชั้นรองทบี่ นั ทึกไว้โดยผู้ไม่มีส่วนได้เสยี แมว้ ่า หา่ งไกลจากเหตกุ ารณ์ แต่ก็สอบสวนขอ้ เท็จจริงอยา่ งถ่องแทแ้ ลว้ ก็อาจให้ความจริงทถ่ี ูกต้องกว่าก็ได้ หลักฐานทางประวตั ิศาสตร์ในประเทศไทย หลักฐานทางประวัติศาสตรใ์ นประเทศไทยแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื - หลกั ฐานทีเ่ ป็นลายลักษณ์อักษร - หลกั ฐานทไี่ มเ่ ปน็ ลายลักษณ์อกั ษร 1. หลักฐานท่เี ปน็ ลายลักษณ์อักษร ถ้าแบ่งตามลักษณะเดน่ ของข้อสนเทศที่ให้ในหลกั ฐานแลว้ อาจกล่าวไดว้ า่ มอี ยู่ 13 ประเภท คือ 1.1 จดหมายเหตชุ าวตา่ งชาติ 1.2 จดหมายเหตชุ าวพน้ื เมอื ง 1.3 ตำนาน 1.4 พงศาวดารแบบพุทธศาสนา 1.5 พระราชพงศาวดาร 1.6 เอกสารราชการหรือเอกสารการปกครอง 1.7 หนงั สือเทศน์ 1.8 วรรณคดี 1.9 บนั ทึก 1.10 จดหมายสว่ นตวั 1.11 หนงั สอื พมิ พ์ 1.12 งานนิพนธท์ างประวตั ิศาสตร์ 1.13 จารกึ 2. หลักฐานทไ่ี มเ่ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ได้แก่ 2.1 หลักฐานทางโบราณคดี เชน่ หลุมฝังศพ ซากโครงกระดูก เคร่ืองปนั้ ดนิ เผา ลูกปัด หม้อ ไห ถ้วย ชาม ภาชนะ ตา่ งๆ หลักฐานเหลา่ น้ไี ดผ้ ่านการตีความหมายของนกั โบราณคดีตามหลักวชิ าอยา่ งถกู ต้องแล้ว 2.2 หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ศลิ ปะ คือ สิ่งก่อสร้างในงาน สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และสงิ่ แวดล้อมของสงั คมท่ีใหก้ ำเนดิ ศิลปกรรมทง้ั หลาย หลักฐาน ทางประวัติศาสตรศ์ ลิ ปะมักจะช่วยกำหนดอายุของเมืองหรืออารยธรรมที่ไม่มหี ลักฐานอย่างอนื่ บอกไว้ 2.3 นาฏกรรมและดนตรี มกั เปน็ ศิลปะทไี่ ดร้ ับสบื ทอดจารตี มาแต่อดตี 2.4 คำบอกเลา่ คอื เหตกุ ารณท์ างประวัตศิ าสตร์ทไ่ี ม่ไดม้ ีการจดเปน็ ลายลกั ษณ์อักษร ไมม่ กี ารจด บนั ทึกไว้เปน็ หลกั ฐาน จงึ แปรเปลยี่ นไปตามยุคสมัยและคนเลา่ ซงึ่ คำบอกเลา่ นี้มักเป็นประวตั ิศาสตร์ ทอ้ งถิ่น ที่คนภายในสังคมน้ันมขี ้อจำกดั ทางการศึกษาจงึ ใช้การจดจำบอกเลา่ สบื ตอ่ กนั มา
ใบงานเรื่อง หลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ คำช้ีแจง ใหน้ ักเรยี นตอบคำถามตอ่ ไปนีใ้ ห้ถูกต้องสมบูรณ์ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ หมายถึง………………………..………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แบ่งตามคุณค่าและความสำคัญของ แบ่งตามยุคสมัย หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ ทางประวัตศิ าสตร์ หลกั ฐานชั้นต้น เชน่ หลักฐานทเี่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร เช่น ...........................................................................…………… ……………………………………………………..……………………… ………………………………………………………………………………. ………………..............……………………………………………. หลกั ฐานชั้นรอง เช่น หลกั ฐานทีไ่ มเ่ ปน็ ลายลักษณ์อักษร เชน่ …………..........................……………………………………………… ……………………………………………………..……………………… ……..………………………………………………………………………… …………………...........……………………………………………… จากภาพเป็นภาพหม้อสามขา นักเรียนจะใช้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์นี้ ศึกษาประวัติศาสตร์ ไดอ้ ยา่ งไรและหากถูกทำลายไปจะเกิดอะไรขนึ้ ……………………………………………………….………………………………… ……………………….…………………………………………………………….…… …............................................................................... ................................................................................. ................................................. .………………… …………………………………….………………. …………………………………………………… ….………….
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: