เอกสารประกอบการเรยี น รายวิชาการงานอาชพี (งานเกษตร) รหสั วชิ า ง22101 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 2 ครูผู้สอน นายสมพจน์ เลศิ ตระกูล ตาแหนง่ ครู คศ.1 กลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี โรงเรยี นขนุ ยวมวทิ ยา อาเภอขนุ ยวม จังหวัดแมฮ่ ่องสอน สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษาแม่ฮอ่ งสอน สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
การปลกู พืชท่ัวไป สาระสาคญั การเกษตรกรรมเป็นอาชพี ท่ีสาคญั ยงิ่ ของมนษุ ย์ เพราะเป็นแหลง่ ผลติ ปัจจยั สี่ อันได้แก่ อาหาร เครือ่ งน่งุ ห่ม ทีอ่ ยอู่ าศัย และยารักษาโรค สภาพภมู ิประเทศและภมู ิอากาศในแตล่ ะภาคของประเทศไทย มีความแตกต่างกันและสามารถท่จี ะปลกู พืชแตล่ ะชนิดตามความเหมาะสม การนาพชื พันธทุ์ ่ดี จี าก ทอ้ งถนิ่ อน่ื เขา้ มาปลกู ในท้องถน่ิ ของเรา จะทาใหไ้ ด้พืชพันธแ์ุ ปลกใหม่แตต่ อ้ งพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสม ของสภาพพ้นื ที่ดิน สภาพของอากาศและฤดูกาล พชื ทีจ่ ะนามาปลกู จึงจะไดผ้ ลดี การคัดเลือกพนั ธ์พุ ืช เพ่อื นามาปลูกจะทาให้ไดพ้ ืชพนั ธุ์ทด่ี ีไว้ปลกู ซึ่งมวี ธิ ีการคัดเลือกพันธพ์ุ ืชมหี ลายวธิ ี เช่น การผสมพนั ธุ์ การผสมขา้ มพนั ธ์ุ การปรับปรุงพนั ธุ์พืช ทาได้โดยปลกู แตล่ ะพันธท์ุ ดี่ ดั พนั ธไ์ุ ม่ดีทิ้ง ผสมพันธใุ์ หเ้ กิด พนั ธ์ใุ หมข่ ึ้นและการตดั แตง่ พันธุกรรม การเกบ็ เก่ยี วเม็ดพนั ธุ์ และการเก็บรักษาเมล็ดพันธดุ์ ที ี่คดั เลอื ก แล้วจากไร่นา สวนของเราไว้ปลกู เองจะทาใหไ้ ดเ้ มล็ดพนั ธ์ดุ ีตามท่ีต้องการและเปน็ การประหยัด ค่าใช้จา่ ย ในการซ้อื เมล็ดพนั ธ์ุ สาระการเรยี นรู้ 1. ความหมายและความสาคัญของการเกษตร 2. การเกษตรในประเทศไทย 3. การเกษตรกรรมกับการดารงชวี ิต 4. การประกอบอาชพี เกษตรกรรม 5. ความสาคัญของพชื ตอ่ ชวี ิตประจาวัน 6. การปลูกพืชในท้องถิน่ ตา่ งๆ ของประเทศไทย 7. หลักการคดั เลือกพชื ท่เี หมาะสมกับทอ้ งถิ่น 8. การนาพชื พันธุด์ จี ากถิน่ อ่ืนเข้ามาปลูก 9. การขยายพันธ์ุพชื และการดูแลพันธพ์ุ ชื ทน่ี ามาปลูก 10. การคัดเลือกพันธพุ์ ืช 11. การเก็บเกี่ยวและการเก็บเมลด็ พันธุ์
ชนิดและประเภทของดนิ ถ้าจาแนกดินตามลกั ษณะของเนื้อดนิ แบ่งได้ 3 ชนิด 1 ดินทราย เป็นท่ีประกอบดว้ ยทรายต้งั แต่ร้อยละ 70 ข้ึนไป โดยน้าหนกั มีสมบตั ิเหมือน ทราย น้าซึมผา่ นไดง้ ่ายมาก 2 ดินร่วน เป็นดินที่ประกอบดว้ ย ทราย โคลนตม และดินเหนียว โดยมีปริมาณดินทราย และดินเหนียวไม่มากนกั ดงั น้นั น้าและอากาศจึงไหลผา่ นดินร่วนไดด้ ีกวา่ ดินเหนียว 3 ดินเหนียว เป็นดินที่มีเน้ือละเอียดแน่น อุม้ น้าไดด้ ี และไม่ยอมใหน้ ้าซึมผา่ นไดง้ ่าย ไม่ เหมาะสมในการเพาะปลูก พชื ประเภทของดิน โดยทวั่ ไปแบ่งดินออกเป็ น 2 ประเภทง่ายๆ คือ ดินช้นั บนและ ดินช้นั ล่าง 1 ดินช้นั บน เป็นดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ มีแร่ธาตุหลายชิดและมีซากพชื ซากสตั วเ์ น่า เปื่ อย (ฮิวมสั ) ท่ีพชื ตอ้ งการทบั ถมกนั อยมู่ าก ลกั ษณะของเน้ือดินเป็นสีดาคล้าเมด็ ดิน หยาบ หรือเมด็ ดินมีขนาดใหญ่ร่วนซุย เป็นดินท่ีเหมาะต่อการเจริญเติบโตของพชื 2 ดินช้นั ล่าง อยถู่ ดั จากดินช้นั บนลงไป มีความอุดมสมบูรณ์นอ้ ยมาก เน้ือดินแน่น เมด็ ละเอียด สีจาง เป็นดินท่ีไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของพชื
ภูมิอากาศและอุณหภูมิที่มีผลตอ่ การเจริญเติบโตของพืช พชื แต่ละชนิดจะมีความต้องการอุณหภมู เิ พอื่ การเจรญิ เตบิ โตต่างๆ กัน ไป และอณุ หภมู มิ ีอิทธิพลต่อ พืชตง้ั แตก่ ารเริ่มงอกของเมล็ดพชื ทีเดยี ว อณุ หภูมิท่ีเหมาะสมท่พี ืชจะเจริญเตบิ โตไดเ้ รียกวา่ Cardinal temperature อาจแบ่งออกเปน็ minimum optimum และ maximum เชน่ ได้พบวา่ เมล็ดข้าวโพดจะไม่ งอกถ้าอากาศมีอุณหภมู ิต่ากวา่ 9.5 องศาเซลเซียส หรอื สงู กว่า 46 องศาเซลเซียส แตจ่ ะงอกไดด้ ที ี่สดุ ที่เมื่อ อากาศมีอณุ หภูมิ 34 องศาเซลเซียส น่นั คอื ข้าวโพดมี cardinal temperature 9.5-46 องศาเซลเซียส และมี minimum temperature เป็น 9.5 องศาเซลเซยี ส maximum temperature เป็น 46 องศาเซลเซียส และมี optimum temperature เปน็ 34 องศาเซลเซยี ส พชื ชนดิ หน่ึงๆ จะมี cardinal temperature แตกตา่ งกนั ไปในการงอกของเมล็ด และจะแตกตา่ งกนั ไมเ่ พียงในเรอื่ ง minimum และ maximum เทา่ นั้น แม้แต่ optimum ก็แตกต่างกันได้ด้วย เชน่ เมลด็ ของพืชแถบข้วั โลกเหนือหรือพืชทีข่ ้นึ อยบู่ นยอดเขาสงู เกนิ กว่า 10,000 ฟุต ขึน้ ไปจะงอกได้แมว้ า่ อุณหภมู ิจะเยน็ จดั ถึง 0 องศาเซลเซยี ส และมี maximum เพยี ง 10 องศา เซลเซยี ส เทา่ นน้ั แต่พืชเมืองร้อนสว่ นมากมักจะมี minimum สูงกว่า 10 องศาเซลเซียส ขน้ึ ไป ฉะนัน้ เมล็ดพืช เมืองหนาวจานวนมากจงึ ไม่อาจเพาะใหง้ อกไดใ้ นเมืองไทย เมอื่ พชื งอกมาแล้วกจ็ ะเจริญเตบิ โตต่อไป ในระยะเวลาระหวา่ งการเจริญเตบิ โตขน้ึ นี้พืชจะมีอณุ หภูมิ optimum หรือ minimum และ maximum เปลีย่ นแปลงไปได้อยูเ่ สมอ เชน่ มะเขือเทศจะมี optimum ใน เวลากลางคืนทเี่ หมาะสมต่อการเจรญิ เติบโตลดลงเรือ่ ยๆ ไปจาก 30 องศาเซลเซยี ส เม่ือเป็นต้นกล้าลงไปจนถึง 13-18 องศาเซลเซยี ส เม่ือมนั เติบโตแกเ่ ขา้ ส่วนแตงโม ข้าวฟา่ ง และอนิ ทผลัม จะมี minimum อย่ใู นระหว่าง 15-18 องศาเซลเซียส สว่ นข้าวสาลี ขา้ วไรน์จะอยูใ่ นระหว่าง -2 องศาเซลเซยี ส ถงึ 5 องศาเซลเซยี ส อวัยวะ ตา่ งๆ ของพชื หนีง่ ๆ อาจจะมี cardinal temperature แตกต่างกนั ไป เชน่ รากของพชื สว่ นมากมักจะต้องการ อุณหภมู ทิ ีต่ ่ากวา่ ส่วนตน้ และรากของพชื สว่ นมากจะมีอุณหภมู ิ minimum ต่ามากถงึ แม้ส่วนต้นจะทนไม่ได้ ตายไปแลว้ รากอาจจะยังไม่ตายไปได้งา่ ยๆ ดว้ ยเหตุน้ีความสัมพนั ธ์ระหวา่ งอณุ หภมู ขิ องดินและของอากาศจงึ มักมผี ลกระทบกระเทือนเปน็ อยา่ ง มากต่อการเจริญเตบิ โตหรือตายไปของพชื ชนดิ อน่ื ๆ นอกจากน้ีพืชส่วนมาก ยงั มีความร้สู กึ ไวตอ่ การแปรเปลีย่ นของอณุ หภมู ิกลางวนั และกลางคนื อีกดว้ ย หากนามาปลกู ในท่ๆี ที่มอี ุณหภูมิ สม่าเสมอตลอดทงั้ กลางวนั และกลางคนื จะปรากฏไมเ่ จริญงอกงามเทา่ ท่คี วร
ผลของอุณหภูมิท่ีมตี อ่ พชื อณุ หภูมมิ ีความสาคญั และมีอิทธิพลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื ท้งั ทางตรงและทางออ้ มดงั นี้ คอื 1. ช่วยในการเจรญิ เติบโตของพืช 2. ช่วยทาพชื ให้แก่ 3. ช่วยทาใหอ้ นิ ทรียวตั ถุเน่าเป่ือย 4. ช่วยเพ่มิ สารละลายของแรธ่ าตุต่างๆ 5. เมอ่ื อุณหภมู ิสูงข้นึ อัตราการเจรญิ ของพืชจะเพมิ่ ขึน้ 6. ถา้ อุณหภูมิสูงจะทาใหก้ ารหายใจของพืชและสัตว์มีมาก 7. อุณหภูมิสงู จะทาลายกลน่ิ รสของพชื 8. อุณหภูมิสงู ทาให้การสะสมอาหารแปง้ หรอื น้าตาลของพืชและสตั วล์ ดลง 9. อณุ หภมู สิ ูงจะชว่ ยให้การเกิดและการระบาดของแมลงมีมากขนึ้ ทาให้แมลงเข้าทาลายพืชมากขึ้น 10. หากอุณหภมู ิตา่ ก็จะทาให้พืชอ่อนแอติดโรคไดง้ ่าย โดยเฉพาะเม่ือยังเลก็ อยู่ 11. อุณหภมู ติ ่าชว่ ยกระต้นุ การเจรญิ เติบโตของพชื ช่วยในการงอกของเมล็ดและการออกดอกของพชื ณ จดุ ซึ่งจะเปลี่ยนอัตราของขบวนการเจรญิ เติบโตหรอื ขบวนการสืบพนั ธุ์ (reproductive) ของพชื พืชแตล่ ะชนิดต้องการอณุ หภูมิท่เี หมาะสมในการเจริญเติบโตแตกต่างกนั โดยทัว่ ไปพชื ส่วนมากจะเจริญเตบิ โต ไดด้ ีในระหว่าง 15-30 องศาเซลเซยี ส และอุณหภมู ทิ ีส่ ูงสดุ สาหรับพืชนน้ั ประมาณ 54 องศาเซลเซยี ส หรือ 130 องศาฟาเรนไฮต์ และต่าสดุ ได้ประมาณ 5 องศาเซลเซียส หรอื 41 องศาฟาเรนไฮต์ ณ อณุ หภูมสิ องจุดน้ี หมายความว่าพชื ส่วนมากจะไมส่ ามารถจะมชี วี ิตอยู่ได้ ถา้ อุณหภมู ิสูงเกนิ 54 องศาเซลเซียส หรือจะไม่ เจริญเติบโตถ้าอุณหภมู ติ า่ กว่า 5 องศาเซลเซียส ณ อุณหภูมิที่ 4.5-5.5 องศาเซลเซียส (40-42 องศาเซลเซยี ส) พืชเกอื บท้งั หมดจะหยดุ เจริญ เวน้ แต่พชื บาง species ของทางขั้วโลกซึง่ จะยังคงทาหน้าท่ปี กติ ณ อุณหภูมิ 1- 2 องศาเซลเซียส (33.8-35.6 องศาฟาเรนไฮต์) แต่ ณ อณุ หภูมิเหลา่ นี้อัตราการ metabolism จะชา้ ลง พชื ส่วนมากทขี่ ึ้นในอากาศหนาวและภูมิอากาศที่รุนแรงจะเตี้ยและเลก็ พชื บางชนดิ จะใชเ้ วลาประมาณ 150 ปี หรอื มากกวา่ น้ีเพ่ือโตได้ถงึ 1 หรือ 2 ฟุต อณุ หภมู ิของอากาศมีอทิ ธิพลต่อการเกดิ และเจรญิ เตบิ โตของ bud พืชบางชนิดต้องการอณุ หภูมสิ งู เพือ่ การเกิด bud และอุณหภูมติ ่าเพ่ือการเจริญเติบโตของ bud ส่วนพชื บางชนดิ อาจตอ้ งการอุณหภูมติ า่ เพ่อื การเกดิ bud แต่ดอกนั้นจะเจริญเติบโตเรว็ เมอื่ อุณหภูมิสงู ในระยะต่างๆ กนั เช่น เมื่อต้องการทาลายการพกั ตัว (dormancy) ของเมล็ด พืชตอ้ งการอณุ หภูมติ า่ กว่าการงอก และในการงอกของพืชต้องการอณุ หภูมติ ่ากว่า การเจรญิ ทางลาตน้ และใบ การเจรญิ ทางลาต้นพืชตอ้ งการอุณหภูมติ ่ากว่าการเจรญิ ทางดอกและผล พชื ทั่วๆ ไปเจรญิ เตบิ โตในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน โดยพชื ต้องการอุณหภูมิต่าในเวลากลางคนื ส่วนเวลากลางวนั ตอ้ งการอุณหภูมิสงู พอเหมาะ พืชจะเจริญไดผ้ ลดีเมอ่ื อุณหภมู ิของอากาศแตกต่างกันในเวลากลางวนั และ กลางคืน 8 องศาเซลเซียส
การควบคมุ อณุ หภมู ิ การควบคมุ อุณหภมู ิรอบๆ พืชมีความสาคัญต่อผลผลิตของพชื มาก วิธที จี่ ะควบคมุ อณุ หภูมิของ สภาพแวดล้อมสามารถทาได้หลายทางเช่น 1. การเลอื กสถานทส่ี าหรบั ปลูกพชื โดยเลือกสถานท่ีให้เหมาะแก่พชื ชนิดนน้ั ๆ ถา้ อยใู่ นเมืองรอ้ นก็ต้อง ปลูกพชื ทช่ี อบอากาศร้อน จงึ จะได้ผลดไี ม่ใชเ่ อาพชื เมืองหนาวมาปลูก 2. การใชว้ ตั ถุคลมุ ดนิ (Soil mulch) อณุ หภมู ิของดนิ สามารถควบคุมโดยใช้วัตถุคลมุ ดินเพ่ือป้องกันการ สูญเสียความร้อนของดินในฤดูหนาว และเพ่ือเป็นวตั ถสุ ะท้อนความเขม้ ของแสงอาทติ ย์ในฤดรู อ้ น เพอ่ื ไมใ่ ห้ดนิ สูญเสยี ความชน้ื ในฤดูรอ้ น 3. การชลประทาน (Irrigation) การชลประทานก็เป็นวธิ ีหน่ึงท่สี ามารถใชใ้ นการควบคุมอุณหภูมิสาหรับ พืช 4. สงิ่ ก่อสร้างต่างๆ (Structure) เชน่ การควบคุมอุณหภมู ขิ องพืชโดยปลูกพืชใน Greenhouse ซึ่งใน greenhouse สามารถจัดระดับอุณหภูมใิ ห้สูงให้ต่าได้ตามความตอ้ งการของผู้ปลูกได้ นอกจาก greenhouse แลว้ ยังมี Hot beds, Cold frames 5. การจดั แจงของพชื ท่จี ะปลูก เอาอาจสลับปลูกพืชต่างชนิดในเน้อื ท่ีหนงึ่ ๆ เช่น ปลกู พืชใหญ่เพอื่ เป็นรม่ เงาสาหรบั พชื เล็กอีกชนิดหนงึ่ สมบตั ขิ องดนิ ดนิ เป็ นสง่ิ แวดลอ้ มทเี่ กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ เกดิ จากหนิ และแรท่ ี่ แตกหกั สลายตวั ดว้ ยกระบวนการผพุ งั รวมกบั ซากพืชซากสตั ว์ น้า และ อากาศ ประกอบดว้ ยสว่ นทเี่ ป็ นของแข็ง ของเหลว และกา๊ ซ ดนิ แตล่ ะแหง่ จะมีลกั ษณะและสมบตั แิ ตกตา่ งกนั ขน้ึ อยูก่ บั ปรมิ าณสว่ นประกอบของดนิ ทาใหด้ นิ มีเนื้อดนิ สีของดนิ และปรมิ าณแรธ่ าตแุ ตกตา่ งกนั จาก การศกึ ษาเรอื่ งลกั ษณะของดนิ โดยการขดุ ดนิ ชน้ั บน ( ลกึ จากผวิ ดนิ ประมาณ 20 เซนตเิ มตร) นามาศกึ ษา พบวา่ 2.1 ลกั ษณะเน้ือดนิ คอื คณุ สมบตั ทิ าง กายภาพของเน้ือดนิ ทสี่ ามารถสงั เกตไดด้ ว้ ยตา เปลา่ บางชนิดเนื้อละเอยี ด บางชนิดเน้ือหยาบ ชนิ้ สว่ นเล็กๆ ของดนิ ประกอบดว้ ยกรวด ทราย ดนิ ตะกอน ดนิ เหนียวและฮวิ มสั ภาพที่ 1 ลกั ษณะของดนิ
2.2 สขี องดนิ คอื สีทีเ่ กดิ จากสารประกอบใน ดนิ ทาใหด้ นิ มีสีตา่ งกนั เช่น ดนิ ทมี่ ฮี วิ มสั ปนอยู่ มาจะมี สีคลา้ ดนิ ทมี่ เี หล็กปน อยมู่ ากจะมสี ีน้าตาลแดง การใชส้ บี อกลกั ษณะของดนิ สีของดนิ ทาใหท้ ราบลกั ษณะทสี่ าคญั บางอยา่ งของดนิ เช่น การระบายน้า การถา่ ยเทอากาศ ความอดุ ม สมบรู ณ์และอืน่ ๆ 1. ดนิ สีแดง เป็ นดนิ ทมี่ อี ายุมากผา่ นการสลายตวั อยา่ งรุนแรง มี สภาพการระบายน้า และถา่ ยเทอากาศไดด้ ี ดนิ ทปี่ ลูกพืชอยเู่ สมอจะ สญู เสยี สารอนิ ทรยี ์ไป ทาใหด้ นิ มสี ีจางลง 2. ดนิ สเี หลอื ง เป็ นดนิ ทมี่ ีสภาพระบายน้าและอากาศไมด่ ี 3. ดนิ ทมี่ ีแถบสเี หลือง สแี ดง หรือน้าตาลเทา เป็ นดนิ ทรี่ ะบายน้าไมด่ ี เชน่ ดนิ ทอ้ งนา เป็ นตน้ 4. ดนิ สเี ทาจดั หรือสีเขยี วคลา้ ปนน้าเงนิ เป็ นดนิ ชน้ั ลา่ งทีม่ ีน้าขงั มี การระบายน้าไมด่ ี มกั จะพบในดนิ ชน้ั ลา่ งทมี่ นี ้าขงั หรอื แชน่ ้า สขี องดนิ เกดิ จากกระบวนการเกดิ ดนิ และวตั ถุตน้ กาเนิดทเี่ ป็ น องคป์ ระกอบ สารประกอบทใี่ หส้ ีแกด่ นิ ตารางที่ 1 แสดงสีดนิ และสารประกอบในดนิ สารประกอบในดนิ สีของดนิ เหล็ก เขยี ว เขยี วปนน้าเงนิ แมงกานีส ดา สารอนิ ทรยี ์ ดา สีคลา้ สารประกอบเปอร์ เหลืองปนน้าตาล หรือเทา ออกไซด์ 2.3 ความพรนุ (Porosity) คอื ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเม็ดดนิ เป็ นทีส่ าหรบั ใหน้ ้าและอากาศผา่ นเขา้ ไปในเน้ือดนิ ดนิ ชน้ั บนมคี วามพรุนมากกวา่ ดนิ ชน้ั ลา่ ง 2.4 ความเป็ นกรดเป็ นเบสของดนิ หรอื pH ของดนิ คอื ปรมิ าณ ของโฮโดรเจนทีม่ อี ยูใ่ นดนิ ทาใหด้ นิ มีสภาพเป็ นกรดหรอื เบส ซ่งึ มผี ล ตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืช ดนิ ทเี่ หมาะกบั การเพาะปลูก มคี า่ pH เทา่ กบั 6-7 คอื สภาวะความเป็ นกลาง คา่ pH ตา่ กวา่ 6 มสี ภาวะเป็ น ดนิ เปร้ียว หรอื ดนิ กรด ถา้ pH สูงกวา่ 7 มีสภาวะเป็ นดนิ เคม็
สาเหตทุ ที่ าใหด้ นิ เป็ นกรด ไดแ้ ก่ การใสป่ ๋ ุยวทิ ยาศาสตร์ และการ ใสป่ ๋ ุยอนิ ทรีย์มากเกนิ ไป ป๋ ยุ อนิ ทรีย์จะสลายตวั ใหก้ า๊ ซ คาร์บอนไดออกไซด์ เมอื่ รวมกบั น้าในดนิ จะเกดิ คาร์บอนิกทาใหด้ นิ เป็ นกรด การแกด้ นิ เป็ นกรด ทาไดโ้ ดยการใสป่ นู ขาวหรอื ดนิ มาร์ล ซงึ่ เป็ น ดนิ ทมี่ สี ารประกอบแคลเซียมคาร์บอเนตเป็ นสว่ นใหญ่ ปจั จยั หรอื สาเหตทุ ที่ าใหด้ นิ เป็ นกรด ไดแ้ ก่ การเน่าเปื่ อยของ สารอนิ ทรยี ์ในดนิ การใสป่ ๋ ุยเคมี บางชนิด สารทีป่ ลอ่ ยจากโรงงาน อุตสาหกรรมบางประเภท วธิ ีการทดสอบความเป็ นกรด-เบส วธิ ีทดสอบไดด้ งั นี้ 1. ใชก้ ระดาษลติ มสั สีน้าเงนิ หรือสีแดง โดยนากระดาษลติ มสั ทดสอบกบั สารทีส่ งสยั ถา้ เป็ นกรดจะเปลยี่ นกระดาษลติ มสั สีน้าเงนิ เป็ น สแี ดง และถา้ เป็ นเบสจะเปลยี่ นกระดาษลติ มสั สแี ดงเป็ น สีน้าเงนิ 2. ใชก้ ระดาษยูนิเวอร์แซลอนิ ดเิ คเตอร์ โดยนากระดาษยูนิเวอร์ แซลอนิ ดเิ คเตอร์ทดสอบกบั สารแลว้ นาไปเทยี บกบั แผน่ สีทขี่ า้ งกลอ่ ง 3. ใชน้ ้ายาตรวจสอบความเป็ นกรด- เบส เชน่ สารละลายบรอมไท มอลบลูจะใหส้ ีฟ้ าออ่ นใน สารละลายทมี่ ี pH มากกวา่ 7 และใหส้ เี หลอื งในสารละลายทมี่ ี pH น้อยกวา่ 7 ปจั จยั หรอื สาเหตทุ ที่ าใหด้ นิ เป็ นกรด ไดแ้ ก่ การเน่าเปื่ อยของ สารอนิ ทรยี ์ในดนิ การใสป่ ๋ ุยเคมี บางชนิด สารทีป่ ลอ่ ยจากโรงงาน อตุ สาหกรรมบางประเภท ปจั จยั ทที่ าใหด้ นิ เป็ นเบส ไดแ้ ก่ การใสป่ ูนขาว (แคลเซียมโฮดรอก ไซด์ ความเป็ นกรด – เบส ของดนิ มผี ลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพืช พืช แตล่ ะชนิดเจรญิ เตบิ โตไดด้ ที มี่ ี คา่ pH ทเี่ หมาะสมแกพ่ ืชเทา่ นน้ั ๆ ถา้ สภาพ pH ไมเ่ หมาะสมทาใหพ้ ืชบางชนิดไมส่ ามารถดดู ซมึ แรธ่ าตทุ ี่ ตอ้ งการทมี่ ีในดนิ ไปใชป้ ระโยชน์ได้ การแกไ้ ขปรบั ปรุงดนิ ดนิ เป็ นกรด แกโ้ ดยการเตมิ ปนู ขาว หรอื ดนิ มาร์ล (Marl) ทไี่ ด้ จากการสลายตวั ของหนิ ปนู ซงึ่ มแี คลเซียมคาร์บอเนตเป็ น องค์ประกอบ เมือ่ บีบน้ามะนาวจะทาปฏกิ ริ ยิ ากบั แคลเซียมคาร์บอเนต เกดิ กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซดเ์ ป็ นฟองฟ่ ูขนึ้ ดเู ผนิ ๆ เหมอื นดนิ นน้ั พอง ตวั จงึ เรยี กวา่ ดนิ สอพอง โบราณใชท้ าแป้ ง ประรา่ งกาย เพอื่ ใหเ้ ย็น สบายเมอื่ ผสมน้าหอมลงไปเรยี กวา่ แป้ งกระแจะ
ปจั จบุ นั ประเทศไทยมกี ารใชด้ นิ มาร์ลเป็ นปรมิ าณมากเพือ่ ลด สภาพความเป็ นกรดของดนิ ( หรือทมี่ กั กลา่ วกนั วา่ แกด้ นิ เปรย้ี ว) ใชผ้ สมทาธปู ทาปูนซีเมนต์ เพราะเสยี คา่ ขดุ และคา่ บดต่ากวา่ หนิ ปูนซ่งึ มีเนื้อเป็ นสารประกอบชนิดเดยี วกนั แหลง่ ใหญท่ พี่ บดนิ มาร์ลในประเทศไทย ไดแ้ ก่ จงั หวดั สระบุรี จงั หวดลพบรุ ี และ จงั หวดั นครสวรรค์ ดนิ เป็ นเบส แกไ้ ดโ้ ดยการเตมิ แอมโมเนียมซลั เฟต หรอื ผง กามะถนั จะตอ้ งวเิ คราะห์ปรมิ าณทีจ่ ะใสใ่ หพ้ อดี ถา้ ใสม่ าไปดนิ จะมี สภาพเป็ นกรดได้
กิจกรรมท่ี 1 เร่อื งประโยชน์ของพืช ชื่อ.......................................................................................................................ชนั้ ................เลขท.่ี ............. คาช้แี จง บันทกึ ประโยชน์ที่ได้จากพืชลงในตารางนี้ ชนิด ประโยชน์ทไ่ี ดร้ บั จากพืช ถวั่ เหลอื ง ปาน ปอ หอม กระเทยี ม พรกิ ไทย ยางพารา มะพรา้ ว สบูด่ า ไมย้ าง ไมส้ กั ข้าว มนั เทศ
กจิ กรรมที่ 2 เรอ่ื งภูมอิ ากาศทเ่ี หมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ชอ่ื .......................................................................................................................ชนั้ ................เลขท.ี่ ............. คาชแี้ จง บันทกึ ลกั ษณะภมู ิประเทศ ภูมอิ ากาศ และพืชท่ีสาคัญของแต่ละภาคลงในตารางนี้ ภาค ภูมิประเทศ ภูมอิ ากาศ พนื้ ที่เหมาะสม เหนือ ตะวันออกเฉียงเหนอื กลาง ใต้
กิจกรรมท่ี 3 เรอ่ื งสภาพแวดล้อมต่อการเจริญเตบิ โตของพืช ชือ่ .......................................................................................................................ชนั้ ................เลขท.่ี ............. คาชแ้ี จง บันทึกชื่อพืชท่เี หมาะสมต่อสภาพแวดล้อมต่อไปน้ี 1. พชื ทเ่ี หมาะสมกับดนิ เหนยี ว ได้แก่............................................................................................................ 2. พืชที่เหมาะกับดินทราย ได้แก่................................................................................................................. 3. พชื ทเ่ี หมาะกับดนิ ร่วน ได้แก.่ .................................................................................................................. 4. พืชที่เหมาะกับอากาศรอ้ นชื้น ได้แก.่ ....................................................................................................... 5. พืชที่เหมาะกับอากาศรอ้ นแห้ง ไดแ้ ก.่ ........................................................................................................ 6. พืชทีเ่ หมาะสมจะปลูกในฤดูฝน ได้แก่........................................................................................................ 7. พชื ทเ่ี หมาะสมจะปลูกในฤดูหนาว ได้แก.่ .................................................................................................. 8. พชื ทเ่ี หมาะสมจะปลกู ในฤดแู ล้ง ไดแ้ ก่......................................................................................................
กิจกรรมท่ี 4 เรอ่ื งคณุ สมบัติของดนิ ชอ่ื .......................................................................................................................ชน้ั ................เลขท.่ี ............. คาชีแ้ จง ทดสอบคณุ สมบัติของดินชนิดตา่ งๆ วัสดอุ ุปกรณ์ 1. ดินเหนยี วที่แห้งแล้ว 1 กิโลกรัม 2. ดินร่วนทีแ่ ห้งแล้ว 1 กโิ ลกรัม 3. ดนิ ทรายทีแ่ หง้ แล้ว 1 กิโลกรมั 4. คอ้ นทุบดนิ 5. ถังน้า และน้า วธิ ีปฏิบตั ิ 1. นาดินท้ัง 3 อย่าง มาสงั เกตลักษณะและคณุ สมบัติ 2. ใช้ค้อนทบุ ดินให้ละเอียด 3. จับดนิ แต่ละชนดิ สังเกตความแข็ง ความร่วน ความละเอียด สขี องดนิ แตล่ ะชนิด 4. ใช้นา้ พรมดนิ แต่ละชนิดให้เปียกชุ่มพอปั้นได้ 5. ป้ันดนิ แตล่ ะชนิด แล้วสังเกตความแตกต่างของดนิ 6. บนั ทึกผลการทดลองลงในตารางบันทกึ ผลการทดลอง ตารางบนั ทึกผลการทดลอง ชนดิ ของดนิ สี ความแข็ง ความละเอียด การจบั ตัวเป็นก้อน หมายเหตุ ดินเหนยี ว ดินรว่ น ดนิ ทราย
ใบงานท่ี 1.1 เร่อื งการศกึ ษาเรอื่ งพืช ชือ่ .......................................................................................................................ชนั้ ................เลขท.ี่ ............. คาช้ีแจง ให้นักเรียนปฏบิ ัติกิจกรรมตอ่ ไปนี้ วสั ดอุ ุปกรณ์และเคร่ืองมอื 1. ตัวอย่างพชื เช่น ไม้ดอก ไมผ้ ล ผกั พืชไร่ พืชสวน 2. แบบบันทึกข้อความ 3.โต๊ะวางตัวอย่าง 4. นาฬกิ าจับเวลา 5. กร่ิงสัญญาณ ขน้ั ตอนการปฏบิ ตั งิ าน 1. นาตัวอย่างพชื วางบนโต๊ะติดหมายเลข 2. แจกแบบบันทึก 3. ชี้แจงวิธีการศึกษา การบันทกึ และการจับเวลา 4. ศึกษาแล้วเขียนคาตอบ 5. ตรวจทานแล้ว ส่งครู แบบบันทึกช่ือพันธ์ุพืช ลักษณะการใชป้ ระโยชน์ ลกั ษณะการปลกู หมายเลข ชอ่ื พชื ท่ศี กึ ษา ราก ตน้ ใบ ดอก ผล พชื ไร่ พืชนา พืชสวน
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: