5 0 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม (อนจิ จงั ) ธรรมทเี่ ขา้ กระทบจติ เปน็ ของทค่ี งทนอยไู่ มไ่ ด ้ (ทกุ ขงั ) และธรรมน้นั เปน็ ของท่มี ิใชต่ ัวมใิ ช่ตน (อนตั ตา) ผู้ใดใช้จิตท่ีตั้งมั่นอันสมควรแล้ว พิจารณาธรรมอัน เปน็ ทต่ี ง้ั แหง่ จติ (สตปิ ฏั ฐาน ๔) จนเหน็ ความเปน็ จรงิ แทใ้ น ธรรมทงั้ สวี่ า่ ไมใ่ ชต่ วั ไมใ่ ชต่ น คอื เหน็ เปน็ สงิ่ ทวี่ า่ งเปลา่ ไดแ้ ลว้ ปญั ญาเหน็ แจ้งตามความเปน็ จรงิ แท ้ ยอ่ มเกดิ ขน้ึ กบั จติ ของ ผู้นั้น เคร่ืองช้ีวัดการเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งของบุคคล ผู้มี แว่นส่องธรรมแบบเห็นแจ้ง คือการมีพฤติกรรมถูกตรงตาม ธรรมวนิ ัยในพุทธศาสนา
พฤติกรรมของมนุษย์ มนษุ ยม์ ีพฤติกรรมอย่ ู ๓ อย่างคอื ๑. ความคดิ เปน็ พฤตกิ รรมเรยี กวา่ มโนกรรม ผมู้ แี วน่ สอ่ งธรรมแบบเหน็ แจง้ ยอ่ มคดิ แตส่ งิ่ ทเ่ี กดิ ประโยชน ์ ถกู ตอ้ ง ชอบธรรมกับชีวิต คือคิดแล้วเป็นเหตุน�ำพาชีวิตพ้นไปจาก วฏั ฏะ เชน่ คดิ พฒั นาจติ ใหเ้ ปน็ อสิ ระจากโลกธรรม คิดพฒั นา จติ ใหเ้ ปน็ อสิ ระจากวตั ถ ุ คดิ ไมเ่ ขา้ ไปกา้ วลว่ งในชวี ติ ของคนอน่ื คดิ ดบั เหตขุ องปญั หาตา่ งๆ ทตี่ วั เอง ในกรณกี ารเกดิ พบิ ตั ภิ ยั จากธรรมชาต ิ ตอ้ งแกป้ ญั หาทต่ี วั เองใหพ้ น้ จากความวบิ ตั ดิ ว้ ย การเอาธรรมะมาคุ้มครองใจ สิ่งสูงสุดท่ีควรคิดคือคิดก�ำจัด กิเลสท่ีผูกมัดใจ (สังโยชน์) ท่ีเป็นต้นเหตุน�ำพาชีวิตให้ต้อง เวยี นตายเวยี นเกดิ อยใู่ นวฏั สงสาร
5 2 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม ๒. การพดู เปน็ พฤตกิ รรมทเี่ รยี กวา่ วจกี รรม ผมู้ แี วน่ สอ่ ง ธรรมแบบเหน็ แจง้ ยอ่ มพดู ในสง่ิ ทเ่ี กดิ ประโยชนส์ งู สดุ กบั ชวี ติ ไมพ่ ดู เทจ็ ไมพ่ ดู หยาบคายไมพ่ ดู สอ่ เสยี ด ไมพ่ ดู เพอ้ เจอ้ ไรส้ าระ เพราะหากพดู แลว้ ยอ่ มเปน็ เหตหุ ลงนำ� พาชวี ติ เวยี นตายเวยี น เกดิ อยใู่ นวฏั สงสาร ซำ�้ ยงั นำ� ทกุ ขน์ ำ� โทษมาสชู่ วี ติ ดว้ ย ดงั ตวั อยา่ ง ท่ีเห็นได้จากอดีตของอัมพปาลี ในครั้งที่ตัวเองได้ไปเกิดเป็น มนษุ ยอ์ ยใู่ นปลายพทุ ธกาลของพระสขิ พี ทุ ธเจา้ ตวั เองไดบ้ วช เปน็ ภกิ ษณุ แี ละรกั ษาศลี อยา่ งเครง่ ครดั แตม่ อี ยวู่ นั หนง่ึ นาง ได้ขาดสติ เผลอพูดปรามาสภิกษุณีอรหันต์รูปหนึ่งท่ีบ้วน น�้ำลายไว้บนลานพระเจดีย์ว่า “อีหญิงคณิกาคนไหนมาถ่ม นำ้� ลายไวต้ รงน”้ี คำ� พดู ทเี่ ปน็ อกศุ ลวจกี รรมถอื วา่ เปน็ การพดู ดูถูก (ปรามาส) ผู้มีแว่นส่องธรรมแบบเห็นแจ้ง จะไม่พูด ปรามาสใครผู้ใดให้เกิดผลเป็นอกุศลวิบากในวันข้างหน้า แต่ เหตทุ อี่ ดตี ของอมั พปาล ี ยงั มสี ภาวธรรมในดวงจติ เปน็ ปถุ ชุ น คอื มแี วน่ สอ่ งธรรมแบบธรรมดา ไมส่ ามารถเหน็ ผลของกรรม ที่จะติดตามมาในวันข้างหน้า จึงได้กล่าวค�ำอันเป็นอกุศลวจี กรรมออกไป เมอ่ื อดตี ของอมั พปาลไี ดน้ ำ� พาชวี ติ มาเกดิ อยใู่ น ครง้ั พทุ ธกาลของพระพทุ ธโคดม ตนจงึ ตอ้ งเสวยผลของอกศุ ล วบิ ากเปน็ โสเภณีแห่งแคว้นวชั ชนี น่ั เอง ๓. การกระทำ� เปน็ พฤตกิ รรมทเี่ รยี กวา่ กายกรรม ตลอด ๔๕ พรรษาท่ีพระพุทธโคดมออกเผยแพร่ธรรม พระองค์ไม่
อ า จ า ร ย์ ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร 53 เคยสอนพทุ ธบรษิ ทั ใหเ้ อาจติ เขา้ ไปกา้ วลว่ งในชวี ติ ของใครผใู้ ด แตพ่ ระองคท์ รงชแี้ นะใหแ้ กป้ ญั หาทตี่ วั เอง เหมอื นตอนทเี่ กดิ เรื่องขึ้นท่ีกรุงโกสัมพี ภิกษุสงฆ์ได้ทะเลาะวิวาทกัน จนท�ำให้ ฆราวาสผอู้ ปุ ฏั ฐากภกิ ษสุ งฆต์ อ้ งแตกแยกทางความคดิ ตามไป ดว้ ย แมพ้ ระพุทธโคดมจะทรงว่ากล่าวตักเตือนอยา่ งไร สงฆ์ สองฝา่ ยกม็ ไิ ดม้ คี วามปรองดองกนั ได ้ ดว้ ยตา่ งคนตา่ งถอื ทฏิ ฐิ ของตนเปน็ ใหญ ่ พระพทุ ธองคจ์ งึ ไดเ้ สดจ็ ไปอยใู่ นปา่ รกั ขติ วนั ล�ำพังพระองค์เดียวมีสัตว์เดรัจฉาน (ช้างปาริเลยยกะ) ท�ำ หนา้ ทคี่ อยรบั ใช ้ (อปุ ฏั ฐาก) พระพทุ ธองค ์ จนกระทง่ั ภายหลงั สงฆ์สองฝ่ายต่างลดทิฏฐิมานะลงได้ จึงเกิดความปรองดอง ข้นึ กับหมู่สงฆ์ ยงั มอี ยอู่ กี เรอ่ื งหนง่ึ เกยี่ วกบั การแกป้ ญั หาทต่ี วั เอง คอื ในครงั้ ทม่ี กี ารปฐมสงั คายนาพทุ ธศาสนา ทถ่ี ำ�้ สตั ตบรรณคหู า กรงุ ราชคฤหแ์ ควน้ มคธ เมอ่ื การทำ� ปฐมสงั คายนาฯ แลว้ เสรจ็ พระอานนทไ์ ดก้ ลา่ วกบั พระเถระ ทรี่ ว่ มกระทำ� ปฐมสงั คายนาฯ วา่ พระอานนท์ : เมอื่ ใกล้เสดจ็ ดบั ขนั ธปรินพิ พาน พระตถาคต ไดต้ รสั กบั ขา้ พเจา้ ใหส้ งฆล์ งพรหมทณั ฑ ์ แก่ ฉนั นภิกษผุ ูด้ ือ้ รนั้ พระเถระ : พรหมทณั ฑน์ ัน้ เปน็ อย่างไร?
5 4 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม พระอานนท์ : พรหมทณั ฑน์ ัน้ คอื ฉนั นภกิ ษพุ งึ พดู ไดต้ ามใจ ปรารถนา ภกิ ษทุ ง้ั หลายไมพ่ งึ วา่ กลา่ วตกั เตอื น ไม่พงึ สง่ั สอน พระเถระ : ดลี ะ่ ทา่ นอานนทน์ น่ั แหละ จงลงพรหมทณั ฑ์ แก่ฉันนภกิ ษ ุ ด้วยการนำ� สงฆ์หมหู่ นึ่งไปด้วย พระอานนท์และคณะสงฆ์จึงลงเรือจากท่าน้�ำกรุง ราชคฤหล์ อ่ งทวนนำ�้ แมค่ งคาขน้ึ ไปทางตน้ นำ�้ เมอ่ื เรอื ผา่ นกรงุ พาราณสีไปแล้วจึงแยกไปทางซ้ายเข้าแมน่ ำ้� ยมนุ า วัดโฆสติ า ราม แหง่ กรงุ โกสมั พตี ง้ั อยรู่ มิ ฝง่ั นำ�้ ยมนุ า ฉนั นภกิ ษอุ าศยั อยู่ ทนี่ ่ัน เม่อื พระอานนท์พร้อมหมสู่ งฆ์เดนิ ทางไปถึงและไดแ้ จง้ กบั ฉันนภกิ ษุว่า พระอานนท์ : ฉนั นภกิ ษ ุ บดั นส้ี งฆไ์ ดล้ งพรหมทณั ฑแ์ กท่ า่ น แลว้ ฉนั นภิกษ ุ : พรหมทณั ฑน์ ั้นเป็นอย่างไร? พระอานนท์ : พรหมทัณฑ์น้ันหมายถึง ฉันนภิกษุสามารถ พดู ไดต้ ามใจปรารถนา แตค่ ณะสงฆไ์ มว่ า่ กลา่ ว ไม่ตักเตือน ไม่พรำ�่ สอน
อ า จ า ร ย์ ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร 55 ฉันนภกิ ษุ : นนั่ หมายความวา่ บดั นสี้ งฆไ์ ดต้ ดั ขา้ พเจา้ ออก จากหมู่แลว้ ใชไ่ หม พดู จบก็ส้ินสตสิ ลบไป (ไม่รตู้ วั ) เมอื่ ฉนั นภกิ ษฟุ น้ื ตนื่ ขน้ึ มาใหม ่ จงึ ไดร้ ะลกึ ถงึ ความดอื้ รั้นถือตัวของตัวเอง จึงได้กลับมาเป็นคนที่มีความเห็นถูก มี พฤติกรรมอ่อนน้อมต่อผู้อ่ืน ได้น�ำตัวเข้าหาพระเถระท่ีป่าอิสิ ปตนมฤคทายวนั ใกลเ้ มอื งพาราณสเี พอ่ื ขอใหส้ อนธรรม แลว้ ตัวเองไดน้ ำ� ไปประพฤตปิ ฏิบัติ แต่ก็ยงั ไมส่ ามารถบรรลธุ รรม สูงสุดได้ จึงย้อนกลับมาหาพระอานนท์ท่ีโฆสิตารามเพ่ือให้ สอนธรรมต่อ เมื่อน�ำธรรมที่พระอานนท์สอนไปปฏิบัติได้ไม่ นาน จิตของฉันนภกิ ษกุ บ็ รรลุอรหัตตผล เรอื่ งทบ่ี อกเลา่ มาขา้ งตน้ น ี้ จะเหน็ ไดว้ า่ พระพทุ ธโคดม มเิ คยสอนใหพ้ ทุ ธบรษิ ทั ไปแกป้ ญั หาทผ่ี อู้ น่ื แตท่ รงสอนใหแ้ ก้ ปญั หาทตี่ ัวเอง ปญั หาจึงจะยุตลิ งได้ เร่อื งการแก้ปัญหาทีต่ วั เองน ้ี ไดเ้ คยเกดิ ขึ้นในคร้ังท่ผี ู้ เขยี นไปปฏบิ ตั ธิ รรมอยกู่ บั ทา่ นเจา้ คณุ โชดก ทคี่ ณะ ๕ วดั มหา ธาตุฯ กรุงเทพฯ มีอยู่วันหนึ่ง ในห้วงเวลาเช้า เม่ือปฏิบัติ ธรรมแลว้ ผเู้ ขยี นมจี ติ ไมส่ งบเปน็ สมาธ ิ ดว้ ยเหตทุ ค่ี ณะ ๕ มี
5 6 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม การก่อสร้างท�ำให้เกิดเสียงดังรบกวนโสตประสาท จึงได้คิด หนีออกจากวัดมหาธาตุฯ เพ่ือจะไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ฯ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ าน ี โดยมไิ ดบ้ อกใครใหร้ บั รคู้ วามคดิ ทจ่ี ะหนี นี้ แต่เมื่อถึงเวลาสอบอารมณ์ตอน ๒๐ นาฬิกาของคืนวัน เดียวกันนั้น เมื่อภิกษุผู้เข้าปฏิบัติมารวมกันพร้อมแล้ว ท่าน เจ้าคณุ โชดกได้มองมาที่ผเู้ ขยี นพร้อมกบั พดู ขน้ึ ว่า เจา้ คณุ โชดก : จะหนไี ปไหนกห็ นใี จตวั เองไมพ่ น้ ใหอ้ ยแู่ ลว้ สสู้ ิ เม่ือรู้ว่าตัวเองพลาดไปแล้วไม่มีทางเล่ียง (ตกกระได พลอยโจน) จึงไดถ้ ามท่านวา่ ผเู้ ขยี น : จะใหส้ ูอ้ ยา่ งไรละ่ ครบั ทา่ นเจา้ คุณอาจารย์ เจา้ คณุ โชดก : เมื่อใดคิดจะหนี ให้บริกรรมค�ำว่า “คิดหนี หนอๆๆๆๆ” บริกรรมไปเร่ือยๆ จนกว่าความ คิดที่จะหนีดับไป จึงเอาใจมาก�ำหนด พอง หนอ-ยบุ หนอ เหมอื นเดมิ ผู้เขียนรับเอาค�ำชี้แนะมาปฏิบัติ ในท่ีสุดความคิดท่ีจะ หนไี ดด้ บั ไปจรงิ จงึ อยปู่ ฏบิ ตั ธิ รรมตอ่ ทว่ี ดั มหาธาตฯุ จนครบ ห้วงเวลาทไ่ี ดต้ งั้ จติ อธษิ ฐานไว้
อ า จ า ร ย์ ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร 57 เร่ืองที่เขียนบอกเล่ามานี้เป็นเคร่ืองยืนยันให้เห็นได้ อยา่ งชดั แจง้ วา่ ทา่ นเจา้ คณุ โชดกมแี วน่ สอ่ งธรรมแบบอภญิ ญา (เจโตปริยญาณ) และมีแว่นส่องธรรมแบบเห็นแจ้ง จึงได้ แนะน�ำได้อย่างถูกต้อง เช่นเดียวกับที่พระพุทธโคดมได้ทรง สอนอยใู่ นครง้ั พทุ ธกาล และเชน่ เดยี วกนั เมอ่ื ผเู้ ขยี นไดพ้ ฒั นา จติ จนเกดิ ปญั ญาเหน็ แจง้ แลว้ หรอื ทเ่ี รยี กวา่ มแี วน่ สอ่ งธรรม แบบเห็นแจ้ง จึงได้แนะน�ำผู้มีปัญหาทั้งหลาย ให้แก้ปัญหา (ดับเหตุ) ท่ีตัวเอง มิให้ไปแก้ปัญหาท่ีคนอื่น เช่นลูกดื้อ ลูก ชอบ โต้แยง้ โต้เถยี ง ลกู เป็นคนขี้เกยี จ ฯลฯ ตอ้ งแกป้ ญั หาที่ ตัวของแม่พิมพ์ (พ่อแม่) ให้ดีได้ก่อน แล้วปัญหาของลูกจึง จะหมดไป ดว้ ยเหตนุ ้ี ผรู้ จู้ รงิ แทจ้ งึ ไดก้ ลา่ ววา่ ใหต้ ง้ั คนดมี ศี ลี มีธรรมเป็นหวั หน้าครอบครัว แล้วครอบครวั (สังคม) จึงจะ มีความสงบสุข เช่นเดียวกัน ค�ำเฉลยปัญหาต่างๆ ที่ตอบลง ในเวบ็ ไซต์ www.kanlayanatam.com ไดช้ แี้ นะให้ผมู้ ปี ัญหา ทงั้ หลายตอ้ งแกป้ ญั หาหรอื ดบั เหตทุ ตี่ วั เอง แลว้ ปญั หาจงึ จะ หมดไปอยา่ งถาวร ยงิ่ ไปกวา่ นน้ั ผรู้ จู้ รงิ แทแ้ ละรจู้ รงิ แทใ้ นทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ ง (สัพพัญญ)ู มเิ คยสอนให้ตำ� หนหิ รือใหร้ า้ ยผู้อนื่ แตท่ รงสอน ให้ดูที่ตัวเองแล้วปรับแก้ไขที่ตัวเอง เช่นเห็นบุคคลผู้รู้ไม่จริง ไดป้ ระพฤตทิ ศุ ลี ไรธ้ รรม หรอื กลา่ ววาจาต�ำหนผิ อู้ น่ื พระพทุ ธ องค์ทรงสอนให้ดูเขาผู้นั้นเป็นครูท่ีไม่ดี สอนใจตัวเองว่าเขา
5 8 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม เปน็ ผมู้ อี ปุ การคณุ ทสี่ อนใหเ้ ราไดร้ วู้ า่ เราจะไมป่ ระพฤตเิ ชน่ เขา แลว้ เรากจ็ ะไมเ่ ปน็ คนไมด่ เี หมอื นเขา ตรงกนั ขา้ ม หากเขาเปน็ คนดีมีศีลมีธรรม ให้ดูเขาเป็นครูผู้มีอุปการคุณว่า เราจะ ประพฤติเชน่ เขา แลว้ เราก็จะเป็นคนดเี หมอื นเขา อีกตัวอย่างหนึ่งที่ผู้เขียนมีความประสงค์ที่จะบอกให้ ผ้อู ่านรวู้ ่า พระพุทธโคดมเปน็ ผมู้ แี วน่ สอ่ งธรรมแบบเหน็ แจง้ พระองค์ได้บัญญัติให้ภิกษุบริโภคใช้สอยแต่สิ่งอันจ�ำเป็นต่อ การดำ� เนนิ ชวี ติ ของภกิ ษ ุ ทเ่ี รยี กวา่ อฐั บรขิ าร (สบง จวี ร สงั ฆาฏิ บาตร มดี โกนหรอื มดี ตดั เลบ็ เขม็ เยบ็ ผา้ ประคดเอว กระบอก กรองน้�ำ) พระอรยิ สงฆผ์ มู้ ีแว่นส่องธรรมแบบเห็นแจง้ ยอ่ ม ประพฤตติ ามพระวินยั บัญญตั ิ ผเู้ ขยี นไดร้ จู้ กั มกั คนุ้ กบั พระทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมอยใู่ นปา่ เปน็ ผู้ประพฤติปฏิบัติได้ถูกตรงตามธรรมวินัย มีอยู่สองเรื่องท่ี ประสงคจ์ ะบอกเล่าให้ผู้อ่านไดท้ ราบว่าพระปา่ รูปน้ันได้พูดกบั ผูเ้ ขียนวา่ พระปา่ : มีพระสังฆาธิการรูปหน่ึง ได้มาบอกเพ่ือจะมอบ สมณศักดิ์ให้ แต่ได้บอกปฏิเสธไม่ขอรับสมณศักด์ิ น้ัน
อ า จ า ร ย์ ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร 59 และยังมีอีกเร่ืองหน่ึง ขณะอยู่กับท่านเพียงสองคน พระปา่ ไดพ้ ดู กบั ผ้เู ขียนว่า พระป่า : อาตมาไดร้ บั ประเคนฟองนำ้� ถตู วั ทมี่ ขี นาดใหญพ่ อๆ กับก้อนขนมปัง (พูดพร้อมกับท�ำมือ) อาตมาไม่รู้ ว่าจะใช้ได้อย่างไร เพราะมันเกินท่ีสมณะจะบริโภค ใชส้ อย เร่อื งนผี้ ู้เขยี นไดพ้ ดู กบั พระป่าวา่ ผเู้ ขียน : เมอ่ื ฆราวาสไดถ้ วายของใหก้ บั ทา่ นแลว้ ฟองนำ้� กอ้ น นน้ั ยอ่ มเปน็ ของทา่ น เมอื่ ทา่ นไดพ้ จิ ารณาแลว้ เหน็ สมควรว่าไม่เหมาะท่ีสงฆ์จะบริโภคใช้สอย ท่านจะ สง่ ตอ่ ให้คนอ่นื น�ำไปใช้ถกู ตวั ย่อมไมผ่ ิดพระวินยั เรื่องนี้ช้ีให้เห็นว่าพระป่ารูปน้ัน เป็นผู้ประพฤติธรรม แลว้ ไดม้ รรคผลถกู ตรงตามธรรม คอื มแี วน่ สอ่ งธรรมแบบเหน็ แจ้งเกิดข้ึนนั่นเอง ในทางตรงกันข้ามนักบวชในพุทธศาสนา ทมี่ สี มณศกั ดแิ์ ละมตี ำ� แหนง่ สงู ในอาวาส ไดพ้ ดู บอกกบั ฆราวาส ทม่ี าทำ� บญุ วดั วา่ พทุ ธศาสนาบอกวา่ มเี ทวดา มพี รหม มเี ปรต มอี สรุ กาย ฯลฯ แทจ้ รงิ แลว้ ไมม่ อี ยจู่ รงิ หรอื มนี กั บวชในพทุ ธ ศาสนา ไมย่ อมแจกหนงั สอื ธรรมะเปน็ ทาน หากฆราวาสมไิ ด้
6 0 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม บรจิ าคทรพั ยถ์ วายทา่ น รวมถงึ นกั บวชอนื่ ๆ ในพทุ ธศาสนาที่ ประพฤติผิดธรรมผิดวินัยท่ีพระพุทธโคดมได้บัญญัติไว้ ฯลฯ ต่างๆ เหล่าน้ีเป็นตัวอย่างท่ีบ่งช้ีให้เห็นถึงความไม่มีแว่นส่อง ธรรมท่ีเห็นแจง้ นนั่ เอง
ปัจฉิมลิขิต จากสาระของเรอ่ื งทเ่ี ขยี นมาทงั้ หมด กลา่ วในเชงิ สรปุ ไดว้ า่ แวน่ สอ่ งธรรมหมายถงึ ตวั ปญั ญาหรอื ตวั ความร ู้ ทม่ี นษุ ย์ สามารถพฒั นาให้เกดิ ขึน้ กบั ตัวเองได้ ซึง่ ในทางโลกแลว้ นยิ ม พฒั นาปัญญากันใน ๒ รูปแบบ คอื ปัญญาท่เี กดิ จากการฟงั การอ่าน (สุตมยปัญญา) แล้วน�ำเอาความรู้ที่ได้ไปพิจารณา วิเคราะห์วิจัย (จินตามยปัญญา) จนเกิดปัญญาข้ันท่ีสูงขึ้น อนั เปน็ ทนี่ ยิ มพฒั นากนั ในสงั คมโลก ปญั ญาประเภทนสี้ ามารถ รู้เห็นเข้าใจด้วยระบบประสาทสัมผัส และเข้าถึงความจริง (เหตุผล) ชั่วคราว เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป ความจริงท่ีเคย เปน็ หรอื เหตผุ ลทเ่ี คยสมั พนั ธก์ นั จะไมส่ มั พนั ธก์ นั อกี ตอ่ ไป จงึ เรยี กความจรงิ เชน่ นว้ี า่ สภาวสจั จะ ทง้ั ๆ ทร่ี วู้ า่ เปน็ ความจรงิ ชัว่ คราวแตม่ นษุ ยใ์ นสังคมยงั นิยมประพฤติหรอื พัฒนากันอยู่ เหตทุ ค่ี วามจรงิ เกดิ ขน้ึ ชว่ั คราวแลว้ หายไปเนอ่ื งมาจากเหตผุ ล
6 4 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม ประเภทน้ียังตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจของกฎธรรมชาติ (กฎ ไตรลกั ษณ)์ ซงึ่ ผเู้ ขยี นเรยี กปญั ญาทเ่ี ขา้ ถงึ ความจรงิ ประเภท นว้ี า่ เปน็ แวน่ สอ่ งธรรมแบบธรรมดา ใครผใู้ ดไดพ้ ฒั นาความ รจู้ นมแี วน่ ส่องธรรมแบบธรรมดาน ้ี ยอ่ มเห็นวา่ โลกธรรมคอื ธรรมทม่ี อี ยปู่ ระจำ� โลก เปน็ สง่ิ ทค่ี วรแสวงหามาไวก้ บั ตน เพอ่ื ให้ตัวเองดูดีดูเด่นกว่าคนอ่ืน โดยหารู้ไม่ว่าโลกธรรมเป็นของ คู่ คือมีท้ังส่วนท่ีดีและส่วนที่ไม่ดีคู่กัน และธรรมทั้งหลายใน สังสารวัฏล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนตั ตา) ผมู้ แี วน่ สอ่ งธรรมแบบธรรมดาน ้ี หากใชส้ อ่ งนำ� ทาง ให้กบั ชวี ิต กจ็ ะต้องประสบกับความสมหวงั และความผิดหวงั เป็นธรรมดา หรือพูดได้ในอีกทางหน่ึงว่า ผู้มีแว่นส่องธรรม แบบธรรมดา ยอ่ มเหน็ กามคอื ความใครค่ วามอยาก ความนา่ ปรารถนา เป็นส่ิงที่ควรแสวงหามาประดับตัวตน จึงท�ำให้ จติ ตกอยใู่ ตอ้ ำ� นาจของกเิ ลสกาม ไดแ้ ก ่ ราคะ โมหะ โทสะ ฯลฯ และจติ ตกอยใู่ ตอ้ ำ� นาจของวตั ถกุ าม อนั ไดแ้ ก ่ รปู เสยี ง กลน่ิ รส และสัมผัสทางกาย (โผฏฐัพพะ) ท่ีน่าใคร่น่าสนใจ ด้วย เหตนุ คี้ นสว่ นใหญใ่ นสงั คมจงึ นยิ มบรโิ ภคกาม หรอื หาความสขุ จากกาม อาทิ มีจิตเป็นทาสของสิ่งสวยงามท่ีตาเห็น มีจิต เป็นทาสของวัตถุรสดีที่ล้ินสัมผัสได้ มีจิตเป็นทาสของเสียง เพราะพร้งิ ท่หี ูสัมผสั ได ้ ฯลฯ ตา่ งๆ เหลา่ น้เี ปน็ เหตุท�ำใหค้ นมี อารมณด์ อี ารมณถ์ กู ใจ (อฏิ ฐารมณ)์ และอารมณไ์ มด่ อี ารมณ์ ไม่ถูกใจ (อนิฏฐารมณ์) สลับกันไปตลอดชวี ิต
อ า จ า ร ย์ ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร 65 ผทู้ พี่ ฒั นาจติ (สมถกรรมฐาน) จนเขา้ ถงึ ปญั ญาสงู สดุ ท่ีเรียกว่าโลกิยญาณได้แล้ว ย่อมรู้เห็นเข้าใจความจริงท่ีอยู่ เหนอื ระบบประสาทสมั ผสั แตย่ งั คงเปน็ ความจรงิ ทแ่ี ปรเปลย่ี น (สภาวะสัจจะ) ไปตามกาลเวลาท่ียาวนานได้ ผู้เขียนเรียก ปญั ญาสงู สดุ ทเ่ี ขา้ ถงึ ความจรงิ ประเภทนว้ี า่ เปน็ แวน่ สอ่ งธรรม แบบอภญิ ญา ใครผใู้ ดสามารถพฒั นาจติ ตนเองจนมแี วน่ สอ่ ง ธรรมแบบอภญิ ญาไดแ้ ลว้ ยอ่ มรเู้ หน็ เขา้ ใจวา่ สตั ว ์ (รปู นาม) กายทพิ ยม์ อี ยจู่ รงิ ในวฏั สงสาร อาท ิ สตั วน์ รก สตั วเ์ ปรต สตั ว์ อสรุ กาย เทวดา พรหม เพราะสามารถสมั ผสั ไดด้ ว้ ยพลงั งาน จิตทพี่ ฒั นาดีแลว้ ผูท้ ีม่ ีแวน่ สอ่ งธรรมแบบอภญิ ญา ยังเห็น ความจรงิ ทไ่ี มเ่ ปน็ จรงิ แท ้ จงึ มกั เอาจติ เขา้ ไปผกู ตดิ เปน็ ทาสกบั สงิ่ ทจ่ี ติ เหน็ มคี นจำ� นวนนอ้ ยทเ่ี หน็ ผดิ ไปจากธรรมจงึ เอาความ รทู้ างไสย (ไสยศาสตร)์ มาสอ่ งนำ� ทางใหก้ บั ชวี ติ เชน่ นำ� ความ รทู้ างไสยมาปลกุ เสกเครอื่ งรางของขลงั นำ� ความรทู้ างไสยมา ทำ� นายความเปน็ ไปของชวี ติ (พยากรณโ์ ชคชะตา) นำ� ความรู้ ทางไสยมาสาปแชง่ ศตั รใู หว้ บิ ตั ิ ฯลฯ การใชค้ วามรทู้ างไสยมไิ ด้ เปน็ เหตทุ ำ� ใหม้ นษุ ยพ์ น้ ไปจากความทกุ ข ์ ผเู้ หน็ ผดิ ยอ่ มนำ� เอา แว่นส่องธรรมแบบอภิญญามาใช้ส่องน�ำทางให้กับชีวิต จึง ต้องเวียนตายเวยี นเกิดอยู่ในทคุ ตภิ พของวัฏสงสารอยา่ งไม่มี วันจบสน้ิ ดว้ ยเหตนุ ้ีผู้รจู้ รงิ แทแ้ ละรู้จริงในทกุ ส่งิ ทกุ อยา่ งคอื พระพุทธเจ้า จึงได้บัญญัติข้ึนไว้เป็นวินัยมิให้ภิกษุในพุทธ ศาสนาประพฤติคอื เวน้ ประพฤตินนั่ เอง
6 6 แ ว่ น ส่ อ ง ธ ร ร ม สำ� คญั ทสี่ ดุ ผทู้ พี่ ฒั นาจติ (วปิ สั สนากรรมฐาน) จนเขา้ ถึงปัญญาสงู สุดทเี่ รียกวา่ โลกุตรญาณ (ญาณ ๑๖) ไดแ้ ลว้ ยอ่ มรเู้ หน็ เขา้ ใจความจรงิ ทเ่ี ปน็ จรงิ แท ้ (ปรมตั ถสจั จะ) ทอี่ ยู่ เหนือระบบประสาทสัมผัสและไม่มีกาลเวลาใดๆ เข้ามาท�ำให้ ความจริงแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอ่ืนได้ ผู้เขียนเรียกปัญญา สงู สดุ ทเี่ ขา้ ถงึ ความจรงิ แทเ้ ชน่ นวี้ า่ เปน็ แวน่ สอ่ งธรรมเหน็ แจง้ แวน่ สอ่ งธรรมประเภทน ้ี มพี ลงั อำ� นาจทจี่ ะกำ� จดั กเิ ลสทผ่ี กู มดั ใจสตั ว ์ คอื สงั โยชน ์ ๑๐ (ความเหน็ วา่ เปน็ ตวั ของตน ความลงั เล สงสยั ความถอื มน่ั ศลี พรต ความตดิ ใจในกามคณุ ความกระทบ กระทง่ั ในใจ ความตดิ ใจในรปู ธรรมอนั ประณตี ความตดิ ใจใน อรปู ธรรม ความถอื วา่ ตวั เองเปน็ นน่ั เปน็ น ่ี ความฟงุ้ ซา่ น ความ ไมร่ จู้ รงิ ) ใหห้ มดไปจากใจได ้ หรอื พดู ไดใ้ นอกี ทางหนงึ่ วา่ นำ� พา ชวี ติ ไปสคู่ วามพน้ ไปจากวฏั สงสารได ้ ดว้ ยเหตนุ ก้ี ารใชแ้ วน่ สอ่ ง ธรรมแบบเห็นแจ้งส่องน�ำทางให้กับชีวิต ย่อมไม่น�ำชีวิตไปสู่ ความวบิ ัติ แตส่ ามารถน�ำพาชวี ิตไปสคู่ วามพน้ ทกุ ข์ได้ ในสังคมมนุษย์ปัจจุบัน แทบจะไม่มีคนพัฒนาจิตให้ เข้าถึงแว่นส่องธรรมแบบเห็นแจ้งได้ ทั้งนี้เป็นเพราะคนที่ไป เกิดอยู่ในอดีตชาติ มีบุญบารมีส่ังสมมาไม่มาก จึงมีความ จ�ำเป็นต้องมาท�ำต่อในชาตินี้ และยังต้องพัฒนาปัญญาเห็น แจง้ ใหเ้ กดิ ขนึ้ หรอื ใหม้ แี วน่ สอ่ งธรรมแบบเหน็ แจง้ ในภายหลงั
อ า จ า ร ย์ ด ร . ส น อ ง ว ร อุ ไ ร 67 ยงั มอี ยอู่ กี สาเหตหุ นง่ึ ทคี่ นในยุคสมยั นม้ี ีจติ เปน็ ทาส ของกามคณุ จงึ มไิ ดส้ นใจ และมไิ ดศ้ รทั ธาทจี่ ะพฒั นาปญั ญา สูงสุด หรอื ความรู้ให้สูงสุด หรอื ใหม้ ีแว่นส่องธรรมแบบเหน็ แจ้ง ท้ังนี้เพราะยังมีจิตยึดติดอยู่กับโลกธรรม วัตถุ ราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ ซ่ึงเป็นส่ิงท่ีท�ำให้เกิดขึ้นได้ง่าย ด้วยการใช้ แว่นสอ่ งธรรมแบบธรรมดาสอ่ งนำ� ทางให้กับชีวติ กอ่ นทจี่ ะยตุ เิ รอ่ื งแวน่ สอ่ งธรรมน ้ี จงึ ขอบอกใหท้ า่ นผู้ อา่ นไดท้ ราบวา่ มนษุ ยม์ ศี กั ยภาพในการพฒั นาปญั ญาได ้ ๓ ระดบั คือ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา และภาวนามยปัญญา ซ่ึงผู้เขียนได้สมมุติว่าเป็นแว่นส่องธรรมแบบธรรมดา แว่น สอ่ งธรรมแบบอภญิ ญา และแวน่ สอ่ งธรรมแบบเหน็ แจง้ ใคร ผู้ใดประสงค์ที่จะพัฒนาจติ ใหม้ แี วน่ สอ่ งธรรมประเภทไหน ก็ เลือกเอาตามทใี่ จปรารถนาเถิด
บรรณานกุ รม บรรจบ บรรณรุจิ ๒๕๓๕ อสีติ มหาสาวก มหาจุฬา ลงกรณราชวทิ ยาลัย กรุงเทพฯ บรรจบ บรรณรุจิ ๒๕๓๙ ภิกษุณี: พุทธสาวิกาครั้ง พทุ ธกาล มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั กรุงเทพ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ๒๕๓๒ พุทธธรรม มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย กรุงเทพฯ พระราชวรมณุ ี (ประยทุ ธ ์ ปยตุ โฺ ต) ๒๕๒๘ พจนานกุ รม พุทธศาสน์ : ฉบับประมวลศัพท์ บริษัทด่านสุทธาการพิมพ์ จ�ำกัด กรุงเทพฯ สุรยี ์ มผี ลกิจ – วเิ ชียร มีผลกจิ ๒๕๔๓ พระพทุ ธกจิ ๔๕ พรรษา บรษิ ทั คอมฟอรม์ จ�ำกดั กรุงเทพฯ ๑๐๒๕๐
รายชอ่ื หนงั สอื อน่ื ๆ ของอาจารย ์ ดร.สนอง วรอไุ ร บางส่วนที่จัดพมิ พ์โดย ชมรมกลั ยาณธรรม มดี ังน้ี การพฒั นาศักยภาพของตนเอง กำ� ลังใจ เขา้ รหัสธรรม ถอดรหสั กรรม ชวี ิตหลงั ความตาย (เลม่ สีฟา้ ) ชวี ิตหลงั ความตาย ชวี ติ ใหมท่ ่ีต้องเตรียมตัว ตามรอยพอ่ ตายแล้วไปไหน เตรียมตัวกอ่ นตาย ถงี โสดาบันในชาตินี้ ทศบารมี ทางสายเอก (เลม่ เล็ก) ทางสายเอก เลม่ ใหญ่ ทางสายเอกภาษาอังกฤษ ทางสายเอกสองภาษา ธรรมะภาคปฏิบัติ พระแม่จามเทวี
พลงั แหง่ บุญญฤทธิ์ อบุ ายทำ� ให้จิตสงบ ศลี และปัญญา สนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑-๒๓ สัจจบารมี เมตตาบารมี
ประวตั ิ ท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอไุ ร ดร.สนอง วรอุไร มีภูมิล�ำเนาเดิมอยู่ที่ อ�ำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน ท่านเป็นบุตรคน ท่ี ๖ ท่านได้รับการศึกษาเบ้ืองต้นจากโรงเรียนสุวรรณศิลป์ เมอ่ื สน้ิ สงครามโลกครง้ั ท ี่ ๒ ทา่ นและพๆี่ นอ้ งๆ ไดย้ า้ ยเขา้ มา เรยี นในกรุงเทพฯ ศึกษาในโรงเรยี นวฒั นศิลป์วทิ ยาลยั จนจบ ชนั้ มธั ยมศึกษา ดร.สนอง สนใจฝึกสมาธิคร้ังแรกในขณะเรียนช้ัน มัธยม จนจบปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขา โรคพืช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ แล้วจึงไปท�ำงานเป็นนักวิชาการ เกษตร ในภาคอสี านอยู่ประมาณ ๒ ปี จากนน้ั ไดโ้ อนย้ายมา เปน็ อาจารยร์ นุ่ บกุ เบกิ ของมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม ่ สงั กดั คณะ วทิ ยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๑๔ ทา่ นกไ็ ดเ้ รยี นจบปรญิ ญาโท เกษตรศาสตร์ มหาบณั ฑิต จากมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร ์ สาขาเชอื้ รา ได้
รบั ทนุ โคลมั โบไปศกึ ษาปรญิ ญาเอก สาขาไวรสั มหาวทิ ยาลยั ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นเวลานาน ๔ ปี ช่วงนี้เรียน หนกั มาก จนมไิ ดเ้ ดนิ ทางกลบั มาเมอื งไทยเลยในระหวา่ งศกึ ษา ท่านใช้เวลาว่างพักท�ำจิตน่ิงทุกวัน ซึ่งมีผลให้ท่านเรียนจบ ๔ ปตี ามกำ� หนด เม่ือกลับเมืองไทยในเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ท่าน ตดั สนิ ใจอปุ สมบท ทวี่ ดั ปรนิ ายก แลว้ มาฝกึ วปิ สั สนากรรมฐาน กับพระเทพสิทธิมุนี (โชดก ปธ.๙) ที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุ ยวุ ราชรงั สฤษฏ ์ ทา่ พระจนั ทร ์ เพยี งเวลา ๓๐ วนั ในสมณเพศ ท่ีท่านปฏิบัติตามค�ำสอนของครูบาอาจารย์ ท่านได้รับ ประสบการณ์ทางจติ และญาณ อภญิ ญาตา่ งๆ มากมาย เมื่อลาสิกขาบทแล้ว ท่านกลับไปเป็นอาจารย์อยู่ท่ี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วิถีชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปมาก ไดร้ บั เชญิ เปน็ องคบ์ รรยายดา้ นหลกั ธรรม คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ตามหน่วยงานต่างๆ องค์กรต่างๆ มากมาย มีผู้ติดตามผล งานของทา่ นทงั้ ในและตา่ งประเทศ และหลงั จากเกษยี ณอายุ ราชการแลว้ กย็ งั เป็นอาจารย์พเิ ศษถวายความรูแ้ ก่พระนสิ ติ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตลา้ นนา ดว้ ย
ปจั จบุ นั ทา่ นไดน้ ำ� ประสบการณต์ รงของทา่ นมาเปน็ แบบอยา่ ง สรา้ งจดุ เปลย่ี นแปลงทดี่ ใี หแ้ กช่ วี ติ คนจำ� นวนมาก มกี ลมุ่ คณะศษิ ยก์ อ่ ตง้ั เป็นชมรมกัลยาณธรรม และชมรมสารธรรมลา้ นนา เผยแผ่ธรรม อยา่ งกวา้ งขวาง ผลงานของทา่ นทส่ี ำ� คญั คอื ทางสายเอก และอนื่ ๆ เชน่ หนงั สอื ทำ� ชวี ติ ใหไ้ ดด้ แี ละมสี ขุ , ยง่ิ กวา่ สขุ เมอ่ื จติ เปน็ อสิ ระ, ตาม รอยพอ่ , และซีดรี วมธรรมบรรยายอีกจำ� นวนมาก
รายนามผบู้ รจิ าคพมิ พ์หนงั สอื แว่นส่องธรรม ลำ� ดบั ช่ือ-สกลุ จ�ำนวนเงิน ลำ� ดบั ชื่อ-สกลุ จ�ำนวนเงนิ ๑ น.ส.มานจิ มาสมาน และ ๑๔,๔๖๐ ๑๘ คณุ เทยี นชยั - คณุ จนั ทรา ๒,๐๐๐ ครอบครวั น.ส.ศระกณุ า ทองเคียน คานพรม นายบญุ เรือง แซก่ ๊วย ดช.พิชาญ ๑๙ คุณกนกนนั ท์ ชวนสนทิ ๒,๐๐๐ ดญ.สุประภา ๒๐ คณุ ศภุ สริ ิ อรยิ วฒุ ยากร ๒,๐๐๐ ดช.อนุภัทร์ แซก่ ๊วย ๒ คุณวทิ ยา หวังกติ ตกิ าล ๑๐,๖๐๐ ๒๑ คณุ สทุ ธิพร อุดม ๒,๐๐๐ ๓ คณุ นนั ทนา ตนั ยานวุ ฒั น์ ๑๐,๒๐๐ ๒๒ ร้านเทียนชัยการยาง ๒,๐๐๐ ๒๓ คณุ ศศิภทั ร ๒,๐๐๐ ๔ คณุ ปารคมณ์ ลกี ลุ พทิ กั ษ์ ๖,๐๖๐ พริ ยิ ะพฒั นพงษ์ ๕ คุณรำ� พรรณ ชชู ัย ๖,๐๐๐ และครอบครัว ๖ ร้าน บ.ี เค.วัสดุภณั ฑ์ ๕,๐๐๐ ๒๔ คุณเกวลนิ เอือ้ อารีมติ ร ๒,๐๐๐ ๗ คณุ ธรี ชัย พงษ์ม่นั จิต ๕,๐๐๐ ๒๕ คุณง้ิม ลมิ้ สมบูรณ์ ๒,๐๐๐ ๘ บจก. อาร์เจ ซพั พลาย ๕,๐๐๐ ๒๖ ชัน้ วางสื่อ ๒,๐๐๐ แอนด์เซอร์วสิ รพ.สตั ว์นครกั ษ์ ๙ คณุ สนุ นั ทา ศรเี ทย่ี งตรง ๕,๐๐๐ ๒๗ คณุ แมม่ ณี ศิริคุปต์ ๒,๐๐๐ ๑๐ คณุ สรุ ีย์ - คณุ ชวลติ ๔,๖๐๐ ๒๘ รา้ นเครป คอร์นเนอร์ ๑,๕๐๐ บุญทวีกิจ เอกมยั ๑๐ ๑๑ แมช่ ีวนิดา ยม้ิ แยม้ ๓,๕๑๐ ๒๙ คณุ พมิ พน์ ิภา ๑,๕๐๐ ๑๒ คุณแคทลยี า พึ่งอดุ ม ๓,๐๔๐ กติ ตชิ ัยชนะกลุ ๑๓ คุณภสั สรา มยาเศส ๓,๐๐๐ ๑๔ แคลุณะคชณุลเวสรกรณเฤกดิดี ศอริ นคิ ันปุ ตต์์ ๓,๐๐๐ ๓๐ คณุ ศิริชัย ลอื กิตไิ ทย ๑,๓๖๐ ๓๑ คณุ พชั รนิ ทร์ เขยี วจนั ทร์ ๑,๒๘๐ ๓๒ แมช่ ีโซเฟยี เค ๑,๐๓๐ ๑๕ คอณุศิ รปารงะกสูรทิ ณธิ์ คอณุ ยสธุ รุยสัาวดี ๓,๐๐๐ ๓๓ พตอ.บุญเสรมิ ศรีชมภู ๑,๐๐๐ ๑๖ คณุ มยรุ ี พฤกษพ์ นาสนั ต์ ๒,๕๖๐ ๓๔ บริษัท สเป็คซลี จำ� กัด ๑,๐๐๐ ๑๗ คไชุณยนเอธิ ้อื ิวงฒั ขวนญั ์ ๒,๐๐๐ ๓๕ คุณสมลกั ษณ์ จันทพล ๑,๐๐๐ ๓๖ คุณสรุ ชยั บุญชัย ๑,๐๐๐
รายนามผ้บู รจิ าคพมิ พห์ นังสอื แว่นส่องธรรม ลำ� ดบั ช่ือ-สกุล จ�ำนวนเงิน ลำ� ดบั ชื่อ-สกลุ จ�ำนวนเงนิ ๓๗ คณุ อจั ฉรยี ์ ทองคำ� เจรญิ ๑,๐๐๐ ๕๕ คุณสภุ าพร ไววรมนตรี ๖๐๐ ๓๘ คณุ ชลอลักษณ์ ๑,๐๐๐ ๕๖ คุณดวงรตั น์ ดีวาจา ๖๐๐ ยำ่� จติ หมน่ั ๕๗ คณุ สมชาย เตง็ การณก์ จิ ๖๐๐ ๓๙ คุณเพ็ญรงุ่ ๑,๐๐๐ ลิมปส์ ุวรรณดีรี ๕๘ คุณบุญชยั ๕๖๐ เหลอื งเรืองแสง ๔๐ คณุ ทวชี ยั จรมั พร ๑,๐๐๐ ๕๙ คณุ บญุ มา - ๕๐๐ ๔๑ คณุ เชษฐ พิพฒั น์ ๑,๐๐๐ คณุ สมทบ นามสวา่ ง ๔๒ คณุ สรุ ชัย บุญชัย ๑,๐๐๐ ๖๐ คณุ สุภาพร ไววรมนตรี ๕๐๐ ๔๓ คุณสเุ มธ สุขเจรญิ ๑,๐๐๐ ๖๑ คุณบญุ ชัย ไชยธีรัตน์ ๕๐๐ ๔๔ คณุ สพุ ร ศานต์สิ ุทธิกลุ ๑,๐๐๐ ๖๒ คุณนิตยา จรัสสขุ สถติ ย์ ๕๐๐ ๔๕ คุณจารวุ รรณ ๑,๐๐๐ ๖๓ พญ.เปรมวดี หริ ญั พฤกษ์ ๕๐๐ วงษ์อนุสาสน์ ๖๔ คณุ ศริ ภิ ญิ ญา ๕๐๐ แก้วพูลศรี ๔๖ คุณอุทมุ พร ๑,๐๐๐ หล่อกิตยิ ะกุล ๖๕ คุณอกุ ฤษฎ์ - ๕๐๐ ๔๗ คณุ วภิ า จรรยาภรณพ์ งษ์ ๑,๐๐๐ คณุ เขษมศกั ดิ์ ชายตวงษ์ ๔๘ คุณมาลา นิตยวรรธนะ ๘๒๐ ๖๖ คุณจันทรา ทองคยี น ๕๐๐ ๔๙ คณุ คนงึ นจิ วงค์อมเรศ ๘๐๐ ๖๗ พตอ. สงิ ขร วมิ ลธำ� รง ๕๐๐ ๕๐ คณุ บ๊วย แซต่ ้งั - ๗๕๐ ๖๘ คณุ ภวยา เสง็ พาณิช ๕๐๐ คณุ ฮุยฮ้ง แซ่โค้ว ๖๙ คณุ พณิ อนงค์ แตงอ่อน ๕๐๐ ๕๑ คุณเกียรติศกั ด์ิ ๗๐๐ ๗๐ คุณเพลินพิศ ๕๐๐ เอยี่ มจิรกุล นวาระสจุ รติ ร ๕๒ คณุ จริ าวรรณ ตรเี จรญิ ๗๐๐ ๗๑ คุณกัญพิมล ๕๐๐ เลศิ จิระประเสรฐิ ๕๓ ดญ.พทั ธรนิ ทร์ ๗๐๐ เอีย่ มจริ กุล ๗๒ คุณสาวติ รี ชาติอทุ ิศ ๕๐๐ ๕๔ คุณวชิ ัย ตนั ตินกิ ลุ ชัย ๖๔๐ ๗๓ คุณศริ จิ ติ วิริยะยทุ ธกร ๕๐๐
รายนามผบู้ รจิ าคพมิ พ์หนงั สือแว่นส่องธรรม ลำ� ดบั ชอ่ื -สกุล จ�ำนวนเงนิ ลำ� ดบั ช่ือ-สกุล จำ� นวนเงนิ ๗๔ คุณพรรณี เชดิ อ�ำไพ ๕๐๐ ๙๒ พระชัยพร จนทฺ วโํ ส ๓๐๐ ๗๕ คุณสุกันยา สิริกีรติกุล ๕๐๐ ๙๓ คณุ พัฒนา สขุ บำ� รุง ๓๐๐ และครอบครวั ๙๔ แม่ชีวนิดา ยม้ิ แยม้ ๓๐๐ ๗๖ คณุ สริ วิ รรณ ชาครติ ฐากรู ๕๐๐ และครอบครวั ๙๕ พระชัยพร จนทฺ วํโส ๓๐๐ ๗๗ คณุ สุพตั รา วศิ รุตพงษ์ ๕๐๐ ๙๖ คุณรัชนี ตันกลาง ๓๐๐ ๗๘ คุณธนิดา บลุ สขุ ๕๐๐ ๙๗ คณุ รุ่งศกั ดิ์ นุชผอ่ ง ๓๐๐ ๗๙ คณุ สภุ าพร จติ รตั นธรรม ๔๐๐ ๙๘ คณุ สมชาย ๒๘๐ ตง้ั ประสิทธโิ ชค ๘๐ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ๔๐๐ ๙๙ คณุ จารุณี จงสวสั ด์ิ ๒๕๐ ๘๑ คุณกัญจน์ณฏั ฐ์ ๔๐๐ เทอญชชู พี ๑๐๐ คณุ สทิ ธชิ ยั ปญั ควิ จญาณ ๒๔๐ ๘๒ คุณอุษา สงา่ งาม ๓๖๐ ๑๐๑ คณุ ศลิ ป์ชยั จันทร์เพชร ๒๔๐ ๘๓ คณุ ฉลองชัย - ๓๕๐ ๑๐๒ คุณวลยั ลกั ษณ์ ดตวิลยั ๒๓๐ วรรณกร คงบนั เทิง ๑๐๓ คณุ ชรินทร์ สวุ ชั รังกูร ๒๒๑ ๘๔ คณุ วิภา อฑั ฒวินท์ ๓๕๐ ๑๐๔ คุณประยทุ ธ ปยิ ะกาโส ๒๒๐ ๘๕ คุณบุศกร ทรงพุฒิ ๓๒๐ ๑๐๕ ดญ.ปัณฑกิ า สุชนรักษ์ ๒๑๐ ๘๖ คณุ ฉลองชยั คงบันเทงิ ๓๑๐ ๑๐๖ คุณญาติกา นนั ทชณฏั - ๒๐๒ คุณอนนั ต์ ปกั สังคเณย์ ๘๗ คณุ นนทกร ๓๐๐ สกั กะพลางกรู ๑๐๗ คณุ วรี ชยั ปญั ควิ จญาณ ๒๐๐ ๘๘ คณุ วาสนิ ี สกั กะพลางกรู ๓๐๐ ๑๐๘ คณุ ผกามาศ ตนั ประเสรฐิ ๒๐๐ ๘๙ ด.ญ.ปวณี ก์ ร ๓๐๐ ๑๐๙ คณุ นติ ยา ปายะนันท์ ๒๐๐ สักกะพลางกรู ๑๑๐ คณุ เกศกนก โพธก์ิ ุล ๒๐๐ ๙๐ คุณวสิ ทุ ธิ์ ๓๐๐ ๑๑๑ คณุ นก วิสุทธ์ศิ รมี ณีกลุ ๒๐๐ ๙๑ คณุ รตั นา สาคร ๑๑๒ คุณเอื้องขวญั ๒๐๐ ๓๐๐ ไชยนิธวิ ัฒน์
รายนามผู้บรจิ าคพิมพห์ นงั สอื แว่นสอ่ งธรรม ลำ� ดบั ชอ่ื -สกลุ จำ� นวนเงิน ลำ� ดบั ช่อื -สกุล จ�ำนวนเงนิ ๑๑๓ คณุ นาถลดา มีฤษ์ยาม ๒๐๐ ๑๓๐ คุณชิชาวรรณ และ ๒๐๐ คณุ ชฎาวรรณ ตันศิริ ๑๑๔ คุณธัชฐิรณิ แกว้ เกิด ๒๐๐ ๑๓๑ คณุ ธนพร ทราธร ๑๘๐ ๑๑๕ คณุ นัทกวนิ รัตนประภา ๒๐๐ ๑๓๒ คณุ ประภากรณ์ ๑๗๐ ๑๑๖ คุณประยุทธ ปิยะกาโส ๒๐๐ ปญั คิวจญาณ ๑๑๗ คณุ ท้อ - ๒๐๐ ๑๓๓ พระมหาธรี านนท์ ๑๖๐ คณุ สนุ นั ทา แหลมไพศาล จริ ฏฐโิ ก ๑๑๘ คณุ เวธกา สขุ แสนไกรศร ๒๐๐ ๑๓๔ คุณนภัทร สทิ ธาโนมัย ๑๖๐ ๑๑๙ คุณพยอม มณพี ฤกษ์ ๒๐๐ ๑๓๕ คณุ ละอองดาว สุขรอด ๑๔๐ ๑๒๐ คุณนชิ า แจ่มกระจา่ ง ๒๐๐ ๑๓๖ พตอ.บญุ เสรมิ ศรชี มภู ๑๓๐ ๑๒๑ คณุ ธญั ธร งา้ ววฑิ รู ยว์ งศ์ ๒๐๐ ๑๓๗ คณุ ณฎั ญา เดชเจรญิ ๑๒๐ (R.๖๐๐) ๑๒๒ คณุ รตั นา งามพงศพ์ รรณ ๒๐๐ ๑๓๘ คุณสุภาณี บูรพภ์ าค ๑๒๐ ๑๒๓ คณุ จรยิ า เหลอื งรงั สรรค์ ๒๐๐ ๑๓๙ คณุ สุวิทย์ แซจ่ วิ ๑๑๐ ๑๒๔ คณุ ศวิ ภรณ์ ๒๐๐ ๑๔๐ คณุ ภาณุมล ภษู า ๑๑๐ สกลุ เทีย่ งตรง ๑๔๑ คณุ ฐาณสิ สรณ์ อำ่� สวสั ดิ์ ๑๐๐ ๑๒๕ คณุ สายรงุ้ ๒๐๐ ๑๔๒ คณุ สุภาพร ไววรมนตรี ๑๐๐ พินิตกาญจนพันธุ์ ๑๔๓ คุณสมชาย ๑๐๐ ๑๒๖ คณุ สปุ กานต์ ๒๐๐ ตง้ั ประสทิ ธโิ ชค วมิ ตุ ตานนท์ ๑๔๔ คุณวชิ ัย ส้มโอชา ๑๐๐ ๑๒๗ คณุ นัชชา, คณากร และ ๒๐๐ ธนกร ดษิ ยาตติย ๑๔๕ คณุ ธนา ศรีนิเวศน์ ๑๐๐ ๑๒๘ คุณประวิทย์ และ ๒๐๐ ๑๔๖ คณุ ผกามาศ ตนั ประเสรฐิ ๑๐๐ คณุ นาตยา นวาระสจุ ติ ร ๑๔๗ คณุ กร วิวิชชานนท์ ๑๐๐ ๑๒๙ คณุ วฤธิ์ และ ๒๐๐ ๑๔๘ คณุ ศทุ ธนิ ี ลวิ นวไพบลู ย์ ๑๐๐ คุณสงานวงษ์ พไิ ลพทุ ธเิ มธ ๑๔๙ คุณกรองทอง ภชู นะกูล ๑๐๐
รายนามผบู้ รจิ าคพมิ พ์หนังสือแว่นสอ่ งธรรม ลำ� ดบั ช่ือ-สกลุ จ�ำนวนเงนิ ลำ� ดบั ชอ่ื -สกุล จำ� นวนเงนิ ๑๕๐ คุณอารยา ปฏิภาณกวี ๑๐๐ ๑๗๐ คณุ ซุ่ยไล้ แซ่ลมิ้ ๑๐๐ ๑๕๑ คณุ มยรุ ี ทองใบ ๑๐๐ ๑๗๑ คณุ รักชนก ๑๐๐ นุสราสุภานนั ท์ ๑๕๒ คณุ ปราณี มหารำ� ลกึ ๑๐๐ ๑๗๒ คุณจติ รา วสิ ุทธิพศิ าล ๑๐๐ ๑๕๓ คุณอารยา ปฏิภาณกวี ๑๐๐ ๑๗๓ คุณแมอ่ ุนสี แซฮ่ ้มิ ๑๐๐ ๑๕๔ คณุ กาญจนา ธงยงั รตั น์ ๑๐๐ ๑๗๔ คณุ สอาด พนารังสรรค์ ๑๐๐ ๑๕๕ คุณอาทิตยา เอ้ือชัยกลุ ๑๐๐ ๑๗๕ คณุ อมรรตั น์ พนารงั สรรค์ ๑๐๐ ๑๕๖ คุณวชิ ัย สม้ โอชา ๑๐๐ ๑๗๖ คณุ เกศรนิ พนารงั สรรค์ ๑๐๐ ๑๕๗ คณุ อารยี ์ หวังกติ ติกาล ๑๐๐ ๑๗๗ คณุ ทองใบ เกษศรี ๑๐๐ ๑๕๘ คุณสนธชิ ยั ตันกลาง ๑๐๐ ๑๗๘ คุณอัญชลี ๑๐๐ ๑๕๙ คุณไกรศรหี ์ ชูชว่ ย ๑๐๐ นวาระสุจริตร ๑๖๐ คณุ วาสนา ศรบี ญุ ธรรม ๑๐๐ ๑๗๙ คุณแมเ่ กยี ว แซ่โงว้ ๑๐๐ และครอบครวั ๑๖๑ คุณมณสิ รา ศรียะพันธ์ ๑๐๐ ๑๖๒ คณุ นฤมล เอีย่ มสะอาด ๑๐๐ ๑๘๐ คุณวภิ าวี สง่าเพชร ๘๐ ๑๖๓ คณุ กร วิวิชชานนท์ ๑๐๐ ๑๘๑ คณุ จงดี ประสาทผ่อน ๘๐ ๑๖๔ คุณสมหมาย ๑๐๐ ๑๘๒ คุณชลิดา อัมภกิ าภรณ์ ๘๐ เต็มประสทิ ธิศักดิ์ ๑๘๓ คุณนงนชุ วรรณสขุ ๘๐ ๑๘๔ คุณธนา ศรนี ิเวศน์ ๗๐ ๑๖๕ คุณสุวฒั นช์ ยั เงินขาว ๑๐๐ ๑๘๕ คณุ ประมง แสนบุคคา ๗๐ ๑๘๖ คณุ ศริ ยิ ุภา ปน่ั กรวด ๖๐ ๑๖๖ พ.อ.ชาญชยั ตนั ศริ ิ ๑๐๐ ๑๘๗ คุณเทวรักษ์ จงจติ ร ๖๐ ๑๘๘ คุณภิเพ็ญ - คุณสุวารี ๖๐ ๑๖๗ คุณธีระ คณุ ฐาปนี ผดุง ๑๐๐ วฒั นโรจน์ และครอบครวั ไชยเพชร และครอบครวั ๑๘๙ คณุ ปภัสสร แถมนลิ ๖๐ ๑๖๘ คณุ เปรมชยั ๑๐๐ นวาระสจุ รติ ร ๑๖๙ คณุ วลั ยล์ ดา พนิ จิ พจิ ยา ๑๐๐ และครอบครัว
รายนามผ้บู รจิ าคพมิ พห์ นงั สอื แว่นส่องธรรม ลำ� ดบั ชอ่ื -สกุล จำ� นวนเงิน ลำ� ดบั ชอื่ -สกลุ จำ� นวนเงิน ๑๙๐ คณุ พทั ธภทั ร ปาลกะวงศ์ ๕๐ ๑๙๘ คณุ อบุ ล บวั บูชา ๒๐ ณ อยุธยา ๑๙๙ คุณมานิตย์ สอนแกว้ ๒๐ ๑๙๑ คณุ นำ้� มนต์ เปรมานพุ นั ธ์ ๕๐ ๒๐๐ คุณธนา ศรีนิเวศน์ ๒๐ ๑๙๒ คณุ ภญิ ญดา เกดิ นรนิ ทร์ ๕๐ ๒๐๑ คณุ อำ� นาจ สมบรู ณท์ รพั ย์ ๒๐ ๑๙๓ คณุ แสงดาว ปลอ้ งนริ าศ ๕๐ ๒๐๒ คณุ สมศักดิ์ สรีเจรญิ ๒๐ ๑๙๔ คณุ จอมขวัญ นาคดี ๕๐ ๒๐๓ คุณเดชา เดชทรพั ย์ ๑๐ ๑๙๕ คณุ อิทธพิ ัทธ์ กรสี วัสด์ิ ๕๐ ๒๐๔ คณุ สมศักด์ิ ๑๐ ๑๙๖ พ.อ.พชั รศกั ดิ์ ๓๐ เนตรกระจา่ งกุล ปฏารปู านนท์ ๒๐๕ ดญ.ณชิ า ศรที บั ทิม ๑๐ ๑๙๗ คุณฤมยั ภรณ์ อยู่นชุ ๒๐ ๒๐๖ คณุ สมเกยี รติ เหลา่ เจรญิ ๑๐ ยอดรวม ๑๗๐,๗๔๓
Search