ทอดกฐนิ กเ็ ปน็ ทาน ทานอยา่ งหนง่ึ เทา่ นนั้ กไ็ ดบ้ ญุ เหมอื น กนั ฟงั แลว้ ใจฝอ่ ไหม เรามขี องทดี่ กี วา่ มศี ลี กไ็ ดบ้ ญุ เยอะ กวา่ มสี มาธกิ ไ็ ดบ้ ญุ เยอะกวา่ ศลี อกี มปี ญั ญากเ็ ปน็ บญุ ใหญ่ บญุ ทงั้ หลายพาใหเ้ รา วนเวยี นอยใู่ นวฏั ฏะนแ่ี หละ แตเ่ วยี น ไปแบบมคี วามสขุ หนอ่ ย บญุ ทเี่ กดิ จากการเจรญิ สตปิ ญั ญา เปน็ บญุ ทพ่ี าเราขา้ มวฏั ฏะ มคี วามสขุ ทม่ี หาศาล พวกเราคอ่ ย ๆ พฒั นาตวั เองไป ทำ� กศุ ลตา่ ง ๆ ให้ ถงึ พรอ้ ม ทาน ศลี ภาวนาทำ� ไป ชว่ ยเหลอื คนทส่ี มควร ชว่ ย คอ่ ย ๆ ฝกึ บญุ ทใี่ หญท่ สี่ ดุ คอื ทำ� ความเหน็ ถกู ใหเ้ กดิ ขน้ึ สรา้ งสมั มาทฏิ ฐขิ นึ้ มา สว่ นหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซดี แี สดงธรรม ณ วดั สวนสนั ตธิ รรม แผน่ ที่ ๖๒ ไฟล์ ๕๘๑๑๐๘A ๕๐
สมั มาสมาธิ
มคี วามเพยี ร มสี ติ ระลกึ รรู้ ปู นามทง้ั หลายไป แลว้ ถา้ จติ เกิดยินดียินร้ายขึ้นมา รู้ทัน ทันทีท่ีรู้ทัน ความยินดี ยนิ รา้ ยดบั ลง สมั มาสมาธจิ รงิ ๆ กจ็ ะเกดิ ขนึ้ ฉะนน้ั สมาธใิ นสตปิ ฏั ฐานเนย่ี ไมใ่ ชแ่ คเ่ ขา้ ฌาน จดุ ส�ำคัญของสมาธิในสติปัฏฐานคือความเป็นกลาง ตั้งม่ัน อยา่ งเดียวไม่ได้ ต้องเป็นกลางดว้ ย ไมห่ ลงยินดี ไมห่ ลง ยินรา้ ย เวลายินดี อะไรเกิดข้ึน จิตกระเพื่อมไหม ยินดี จิตกระเพื่อม เสียสมาธิ เวลากระทบส่ิงที่ไม่ชอบใจ จิตยินร้าย จิตกระเพ่ือมไหม เวลาความยินร้ายเกิดขึ้น จติ กระเพอื่ ม ก็เสียสมาธไิ ป พอจิตไม่มีความยินดียินร้าย จิตไม่กระเพ่ือมขึ้น กระเพ่ือมลง จิตทรงสมาธิอยู่ เจริญสติปัฏฐานไป ใน ขณะนั้นก�ำลังมีความเพียรแผดเผากิเลสอยู่ ในขณะนั้น ศีลก็ดี สมาธิก็ดี ขณะนั้นก็ด�ำริถูก ขณะน้ันก็เห็นถูก ๕๒
นอี่ งค์มรรคมนั คอ่ ย ๆ ประมวลตัวเข้ามา สดุ ท้ายอาศยั กำ� ลงั ของสมาธิน่ันละ่ พอเราเจรญิ ทกุ สิง่ ทุกอยา่ งไปเตม็ ที่แลว้ ศีล สมาธิ ปัญญารวมตัวกัน รวมดว้ ยอ�ำนาจของ สมาธิ อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ รวมลงในจิตดวง เดียวกัน ในขณะเดียวกนั ในขณะเดียวเลย ในทเี่ ดียวกัน คือท่จี ิตด้วยก�ำลังของสมั มาสมาธิ ฉะนนั้ สมั มาสมาธนิ ี่ ทา่ นเทยี บเหมอื นภาชนะ เปน็ ทร่ี องรบั องคม์ รรคทงั้ ๗ ทเ่ี หลอื ใหป้ ระชมุ ลงทเี่ ดยี วกนั ในขณะจติ เดยี วกนั คอื ประชมุ ลงท่จี ิต สว่ นหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ท่ี ๓๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซดี ีแสดงธรรม ณ วัดสวนสันตธิ รรม แผ่นที่ ๖๒ ไฟล์ ๕๘๑๐๓๑ ๕๓
จะเอาแกน่ ไม้ กต็ อ้ งอาศัย เปลือกดว้ ย
ไมม่ ใี ครสั่งจิตใหบ้ รรลุมรรคผลนพิ พานได้ จติ บรรลุของ จิตเอง เมอ่ื ศลี สมาธิ ปัญญาน้แี ก่รอบพอ จะต้องสะสม ท่านบอกวา่ ไมเ่ อาศีลเปน็ เป้าหมาย ไมเ่ อาสมาธิ ไมเ่ อา ปัญญา แต่ตอ้ งอาศยั ส่งิ เหลา่ น้ี ไม่ใช่ไม่เอาเลย เพียงแต่ วา่ ไมเ่ อามาเปน็ เปา้ หมาย บางคนฟังหลวงพ่อบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เปน็ สะเกด็ ไม้ เปน็ เปลอื กไม้ เปน็ กระพไี้ ม้ นนั้ แสดงวา่ ไม่ ต้องเอา จะเอาวิมุตติ อยากหลุดพ้นอย่างเดียวไม่หลุด หรอก ต้นไม้จะมีแก่นข้ึนมาได้ ต้องมีใบใช่ไหม มีก่ิง มีเปลือก มกี ระพี้ ไมอ่ ยา่ งนน้ั จะมแี กน่ ข้ึนมาไดอ้ ย่างไร เราจะภาวนาให้เกิดวมิ ุตติ เราก็ต้องมีเปลอื กพวก นี้ ศลี สมาธิ ปัญญา ตอ้ งอบรมไปเรอ่ื ย ใหแ้ ก่รอบ แต่ ไม่ใชเ่ ปา้ หมาย มนั คอื เครอ่ื งมือ เคร่ืองมือกบั เป้าหมาย ไม่เหมือนกัน อย่างเป้าหมายของหมอต้องรักษาโรคให้ ได้ แตห่ มอมเี ครอ่ื งมอื เยอะแยะเลย ถา้ หมอคนนเี้ ปน็ หมอ พกิ ลพกิ ารทางจติ ใจ จะซอ้ื เครอื่ งมอื มาเยอะเลย แตค่ นไข้ ๕๖
จะอยหู่ รอื จะตายไม่สน ขอให้ได้ใชเ้ ครือ่ งมือ อย่างนีก้ ็ไม่ ไหวใช่ไหม เรียกว่าผิดเปา้ หมายแลว้ อยา่ งนัน้ เปา้ หมาย เราจรงิ ๆ คอื การหลดุ พน้ นะ แตเ่ ครอื่ งมอื ตอ้ งสะสม ศลี สมาธิ ปัญญา ต้องสะสมไปเร่อื ย สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ณ วัดสวนสนั ตธิ รรม วันที่ ๒๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๕๗
ทำ�เหตุกับผล ให้ตรงกนั
การปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ ไมย่ ากเลย รจู้ กั ทำ� เหตกุ บั ผลใหม้ นั ตรง กัน อย่างเราต้องการความสงบ เราก็อย่าไปฟุ้งซ่าน ความฟุ้งซ่านเป็นกิเลส กิเลสมันแพ้สติ ฉะน้ันเราอยาก ให้ใจมีสมาธิ สงบเข้าสมาธิ อาศัยสติรู้ทันความฟุ้งซ่าน รทู้ นั นวิ รณ์ ศตั รขู องสมาธเิ รยี กวา่ นวิ รณ์ เครอื่ งกนั้ ทำ� ให้ จติ ไม่มีสมาธิ นวิ รณ์ก็เป็นกิเลส เมือ่ ใดมีสติ เมื่อนั้นไมม่ ี กิเลส หลกั ง่าย ๆ แคน่ เี้ อง กอ็ ย่าไปฟุง้ มัน ฟงุ้ กร็ ู้ว่าฟงุ้ ไป จติ กห็ ายฟงุ้ จติ หายฟุ้งจิตกม็ สี มาธิ ท�ำเหตกุ บั ผลให้ ตรงกนั ถ้าอยากจะให้จิตสงบ ก็ฟุ้งซ่านหนักกว่าเก่าอีก “ทำ� อย่างไรจะสงบ ทำ� อยา่ งไรจะสงบ” คดิ หนกั กวา่ เก่า อีก ก็เลยยิ่งฟุ้งใหญ่ พวกภาวนาแล้วก็ไม่ยอมสงบซักที มวั แตค่ ดิ วา่ ทำ� อยา่ งไรจะสงบ แทนทจ่ี ะรวู้ า่ กำ� ลงั ฟงุ้ ซา่ น อยู่ ถ้ารู้วา่ กำ� ลงั ฟุ้งซา่ นอยู่ สงบเลย ถ้าร้จู ักวธิ ี ไมย่ าก อะไรหรอก ๖๐
ทำ� อยา่ งไรจติ จะตงั้ ม่นั ก็อย่าไหลไปสิ จิตไหลไป ก็จิตฟุ้งซ่านอีกแหละ รู้ทันมัน มันไหลแล้วรู้ ไหลแล้วรู้ มีสติรู้ทัน มันก็ไม่ไหล ทีน้ีมัวแต่คิดว่าท�ำอย่างไรจะไม่ ไหล คิดมาก ก็แคร่ ู้วา่ มันไหล แค่รูว้ ่ามนั ไหล มนั กเ็ ลิก ไหลของมันเอง สว่ นหนงึ่ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซดี แี สดงธรรม ณ วัดสวนสันตธิ รรม แผน่ ท่ี ๖๒ ไฟล์ ๕๘๑๑๒๘B ๖๑
วนั พอ่
วันพ่อมาวดั กด็ ี หาพอ่ อย่างในหลวง หายาก อายทุ ่าน ยืน หลวงพ่อร่นุ ลูกทา่ น หลวงพอ่ ๖๐ กวา่ ตอนเกิดมา ก็เห็นท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่แล้ว ท่านก็เป็นมาจน เราแกเ่ ลย ทา่ นอย่ไู ด้นาน สรา้ งความดมี ามาก คนท่ที �ำ อะไรเพือ่ คนอน่ื ไดข้ นาดนไ้ี มธ่ รรมดา ครบู าอาจารยบ์ อกวา่ ทา่ นเปน็ พระโพธสิ ตั ว์ หลวงพอ่ ไม่รู้หรอกอดีตท่านจะเป็นใครมา อนาคตท่านจะเป็น พระพุทธเจา้ หรอื เปลา่ หลวงพ่อกไ็ ม่รู้ดว้ ยหรอก แต่ร้วู า่ ปจั จบุ นั ทา่ นไมม่ ใี ครเหมอื น ดที สี่ ดุ ทเี่ หน็ คนซง่ึ มอี �ำนาจ ในบา้ นในเมอื งเราน่ี เปน็ ทพ่ี งึ่ ไมไ่ ดเ้ ลย กเ็ หน็ ทา่ นอยอู่ งค์ เดียวน่ลี ะ่ ท่านอายเุ ยอะ ไมค่ อ่ ยสบาย บางคนเรม่ิ ปรามาส ว่าท่านไม่สบาย ท�ำอะไรก็ไม่ได้ ลืมคิดไป อย่างพ่อแม่ เราเล้ียงเรามาจนโตแล้ว พอพ่อแม่เราแก่แล้วก็ไป ปรามาสพ่อแม่ กอ็ กตญั ญูละ่ ๖๔
หลวงพ่อเหน็ มานาน ตัง้ แต่สมัยไหน ๆ เวลาบา้ น เมอื งวนุ่ วาย ไดท้ า่ นนล่ี ะ่ เขา้ มาจดั การชว่ ย ตอน ๑๔ ตลุ า ทา่ นก็เป็นคนจดั การ ช่วยให้คลค่ี ลาย นกั ศกึ ษาถกู ไลย่ ิง ตกลงไปในคสู วนจิตรฯ ปีนรวั้ ท่านก็ให้เปิดประตูสวนจิตรฯ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็น นักศึกษาอยู่ ท่านก็เปิดประตูให้ ให้ข้าวกินด้วย หลาย ยคุ หลายสมัย รอดมาได้ เม่อื กอ่ น คนบา้ นนอกไม่มีใครสนใจ ท่านกส็ นใจ เขา้ ไปพฒั นา ไปช่วย คนทท่ี ำ� งานมาตลอดชวี ติ ขนาดน้ี ไม่ยกย่อง ก็ไมร่ จู้ ะไปยกยอ่ งใครแล้ว วนั นเี้ ราฟงั ธรรม มาทำ� บญุ ท�ำทาน มาฟังธรรม เจริญสติกัน หายใจออกรู้สึกตัว หายใจเข้ารู้สึกตัว เคลื่อนไหว ยืน เดิน น่ัง นอน รู้สึกตัว ใจมีสมาธิ ใจเปน็ ผู้รู้ ผตู้ ืน่ ผู้เบกิ บาน เหน็ รา่ งกาย เห็นจติ ใจ ไม่ ลืมมนั นี่มสี มาธิ ได้บุญตรงนีก้ ็คดิ ถึงทา่ น ขอให้ทา่ นมี ๖๕
ส่วนแห่งบุญของเราด้วย หรือเราสามารถมากกว่าน้ัน เราแยกรปู นามไดแ้ ลว้ เราเหน็ รปู นามแสดงไตรลกั ษณไ์ ด้ เราท�ำวิปัสสนา เป็นบุญใหญ่กว่าสมาธิเสียอีก บุญของ การเจรญิ ปัญญาเปน็ บญุ สงู ท่ีสดุ พวกเราลองรู้สึกสิ กายกับใจคนละอันกัน รู้สึก ไหม รา่ งกายไมใ่ ชต่ วั เรา รา่ งกายเปน็ สงิ่ ทใี่ จไปรเู้ ขา้ ขณะ น้ีจิตใจเราสุขหรือจิตใจเราทุกข์ ดูออกไหม เห็นไหมว่า ความสุขความทุกข์ท่ีก�ำลังปรากฏอยู่ ไม่ใช่ใจเราหรอก เปน็ สง่ิ ที่ใจเราไปรเู้ ขา้ ดูออกไหม เหน็ ไหมว่าความรสู้ กึ สุข ความรสู้ กึ ทกุ ขไ์ ม่คงที่ สุขมาก แลว้ ก็ลดลง ๆ ก็เปน็ อเุ บกขา ความทกุ ข์ พอเราไปรูก้ ล็ ดลง ๆ ก็เป็นอุเบกขา ความสขุ เหมอื นคลื่นสูงขึ้นไป ความทกุ ขเ์ หมอื นน้�ำทย่ี ุบ ลงบนคล่นื สูงบ้างตำ่� บา้ ง จิตทอ่ี เุ บกขาเป็นจติ ไม่มีคล่ืน มีลม ราบเรยี บ สบาย ดอู อกไหมวา่ ความสขุ ความทุกข์ ไม่คงท่ี นีค่ อื การเจริญปัญญา เราเจริญปญั ญาแล้วเปน็ บญุ เป็นกุศล นึกถึงพระเจ้าอยู่หวั ใหท้ ่านมีสว่ นแหง่ บุญ นี้ดว้ ย ๖๖
สว่ นหนึ่งของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันท่ี ๕ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซีดีแสดงธรรม ณ วัดสวนสันตธิ รรม แผ่นที่ ๖๒ ไฟล์ ๕๘๑๒๐๕B ๖๗
สมบตั ิที่ข้ามภพ ข้ามชาติ
เรยี นรอู้ ยใู่ นกาย เรยี นรอู้ ยใู่ นใจ อยา่ สนใจคนอน่ื เลย เสยี เวลา ไม่นานทุกคนก็ตายจากกัน เราไม่ต้องไปเพ่งโทษ คนอ่นื ไมต่ อ้ งไปหลงเขา ไม่ต้องไปเพ่งโทษเขา เราฝึก ของเราไป ไม่นานทกุ คนก็ตาย จากกันหมด ทกุ คนนา่ สงสารเหมือนกันหมด ฉะนั้นดูของเรา ถ้ามองคนอ่ืนก็ มองดว้ ยความรู้สกึ เมตตา ด้วยความร้สู กึ เป็นมติ ร เปน็ เพ่ือนร่วมทุกข์กัน แล้วใจเราจะร่มเย็นเป็นสุข ใจเราจะ คอ่ ย ๆ เจริญงอกงามขน้ึ เรอื่ ย ๆ ถึงวันหนง่ึ ธรรมะก็มา สู่ใจเรา เมื่อใจได้ธรรมะมาแล้ว จะรู้ว่าเป็นของที่มีค่าท่ี สดุ เลย ของอ่นื ทเ่ี ราได้มา เพ่ือทจ่ี ะเสยี ไป ไดบ้ ้านมา วัน หนง่ึ ก็เสยี บ้านไป อาจจะต้องขายไป ถกู ยึดไป ไฟไหม้ไป หรอื เราตายไป กเ็ สียไปใหค้ นอ่ืน มอี ะไรกเ็ พื่อจะสูญเสยี ไป มธี รรมะจะไดข้ องดีของวเิ ศษตดิ ตัวจรงิ ๆ เลย เปน็ สมบตั ิท่ีตดิ ตัวจริง ๆ ข้ามภพขา้ มชาติเลย สว่ นหนึ่งของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ จากซีดีแสดงธรรม ณ วัดสวนสันตธิ รรม แผน่ ที่ ๖๓ ไฟล์ ๕๙๐๑๐๑B ๗๐
คนเราลงกันดว้ ยธาตุ
ถา้ ไมม่ คี นซงึ่ ดกี วา่ เรา หรอื เสมอกบั เรา พระพทุ ธเจา้ ทา่ น สอนว่าไปคนเดยี วดกี วา่ เดนิ คนเดียวดกี ว่า ถา้ ไมม่ คี นที่ ดีเหมอื น ๆ กบั เรา หรือดกี ว่าเรา เพราะถ้าเราคบกับคน ชนดิ ไหน เราจะกลายเป็นคนแบบน้นั ในสมัยพุทธกาลก็มี พวกพระท่านเดินจงกรมกัน เปน็ กลุ่ม ๆ อยู่ในวดั พระพทุ ธเจา้ ทา่ นกช็ ใ้ี ห้ดู ภิกษุกลมุ่ น้ันเดินตามพระสารีบุตรอยู่ พระสารีบุตรเดินจงกรม ก็มีพระกลุ่มหน่ึงเดินอยู่กับพระสารีบุตร พระพุทธเจ้า บอกพระพวกนชี้ อบปญั ญา ชอบการเจรญิ ปญั ญา อกี พวก หน่ึงเดินตามพระโมคคัลลานะอยู่ พระพทุ ธเจา้ ก็ชี้ ภิกษุ เหล่าน้ชี อบมีฤทธ์ิ พวกหนึง่ เดินตามพระอนุรทุ ธ ท่านก็ ว่าภกิ ษเุ หล่านช้ี อบทพิ ยจักษุ ชอบอยากรใู้ ครตายแล้วไป เกิดท่ีไหน อะไรอย่างนี้ พวกหนึ่งเดินตามพระเทวทัต ตามหลายองค์ พระพุทธเจ้าก็ชี้ ภิกษุเหล่านี้ปรารถนา ลามก ต้ังแต่เทวทัตยังไม่ได้แตกคอกับพระพุทธเจ้าเลย ท่านชีเ้ ลย ภิกษพุ วกน้ปี รารถนาลามก ๗๒
แลว้ ทา่ นพูดอยู่กับใคร พระพุทธเจา้ พดู กับภกิ ษุใช่ ไหม ภิกษุพวกนี้ปรารถนาอะไร มาอยู่กับพระพุทธเจ้า ท่านบอกวา่ คนลงกนั ด้วยธาตุ หมายถงึ มธี าตุท่ีดี มนั ก็ ไปรวมกับธาตุท่ีดี มีธาตุที่ช่ัว ก็รวมกับกลุ่มที่ช่ัว ๆ ถ้า ข้ามกลุ่มกันเลยวุ่นวาย ไม่เสมอกันด้วยศีลด้วยธรรม วนุ่ วาย ทา่ นบอกวา่ ถา้ เราจะไปไหนมาไหน หาคนทด่ี กี วา่ เราหรอื เสมอกับเราเดนิ คู่กบั เราไมไ่ ด้ ไปคนเดียว ส่วนหนงึ่ ของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วันท่ี ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๙ จากซีดแี สดงธรรม ณ วดั สวนสันตธิ รรม แผน่ ที่ ๖๓ ไฟล์ ๕๙๐๑๐๒B ๗๓
เราไปยึดคนอนื่ ยึดสง่ิ อืน่ ก็เพราะเรายดึ ตัวเอง
เราไปยดึ คนอนื่ ยดึ สิ่งอื่นกเ็ พราะเรายึดตัวเอง อยา่ งเรา ยดึ ว่านี่สามเี รา กเ็ พราะว่ามนั มีเรา เรายึดเรา นภ่ี รรยา เรา นีก่ เ็ ราอีก นล่ี กู เรา กเ็ ราอกี นี่บ้านเรา เหน็ ไหมมนั มเี ราตลอดเลย เพราะจริง ๆ แล้วมันยึดตัวเรา ทนี ้สี ิ่งท่ี จิตไปยึดเข้าล้วนแต่เป็นของแปรปรวนตลอดเวลา ร่างกายนี้ก็เป็นของแปรปรวน ความรู้สึกนึกคิด ในจติ ใจกเ็ ปน็ ของแปรปรวน ความสขุ กเ็ ปน็ ของแปรปรวน ความทุกข์ก็เป็นของท่ีแปรปรวน ทุกสิ่งทุกอย่างเปล่ียน ตลอดเวลา เราไปยดึ ถอื สงิ่ ทแ่ี ปรปรวน เราฝากชวี ติ จติ ใจ ไวก้ ับสง่ิ ท่ีแปรปรวน มนั ฝากไมไ่ ด้จรงิ สุดท้ายกผ็ ิดหวัง ยึดไม่ได้จริง ยดึ ไวแ้ ลว้ เอาไม่ได้ ไมเ่ ปน็ เจา้ ของท่ีแทจ้ ริง ตราบใดที่เรายังยดึ ถืออยู่ ความ สุขของเรายังอาศัยคนอื่น อิงอาศัยส่ิงอื่น หรือกระท่ัง ความสขุ ท่ียังตอ้ งยดึ ถือ วา่ ร่างกายน้ตี ้องแข็งแรง ต้อง เป็นหนมุ่ เป็นสาว จติ ใจนีก้ ็ตอ้ งมีแตอ่ ารมณ์ที่มคี วามสุข อะไรอยา่ งน้ี ถา้ เรายงั ยดึ อยา่ งนอ้ี ยู่ เราตอ้ งเจอความผดิ หวงั แนน่ อน ๗๖
พระอรหนั ตไ์ มใ่ ชฝ่ กึ จติ จนสงบ แตฝ่ กึ จติ จนฉลาด จติ ใจทรี่ คู้ วามจรงิ ของรปู นามกายใจ กจ็ ะรคู้ วามจรงิ ของ โลก จิตใจท่ีไม่ยึดถือรูปนามกายใจ จะไม่ยึดถือส่ิงใดใน โลก เมอื่ ไมไ่ ด้ยึดถอื สิง่ ตา่ ง ๆ เมอื่ ส่งิ ต่าง ๆ แปรปรวน ไป จิตใจจะไม่ทกุ ข์ ร่างกายจะแก่ จติ ใจไม่ได้ยึดรา่ งกาย จิตใจก็ไม่ทุกข์ ร่างกายเจ็บป่วย จิตใจไม่ได้ยึดร่างกาย จิตใจก็ไม่ทุกข์ ร่างกายจะตาย จิตใจไม่ได้ยึดร่างกาย จติ ใจก็ไมท่ ุกข์ อารมณ์สขุ อารมณท์ กุ ข์ทั้งหลายทผ่ี ่านเขา้ มาใน ใจ ถ้าจิตมันเห็นความจริง มีปัญญา รู้ว่าความสุขก็ไม่ เที่ยง ความทุกขก์ ไ็ ม่เท่ียง ทุกอยา่ งเป็นของชว่ั คราว มา แลว้ ไปทง้ั สน้ิ เวลาความสขุ มาจติ กไ็ มห่ ลงลำ� พอง เพราะ รู้ว่าไม่นานมันก็ไป เมื่อความสุขมันจากไป จิตใจก็ไม่ อาลยั อาวรณ์ เพราะรวู้ า่ ความสขุ กท็ ำ� หนา้ ทข่ี องความสขุ เสร็จแล้ว ตอนนี้เขาหมดแล้ว ถึงวาระที่เขาจะดับ เมื่อ เวลาความสุขไม่มาก็ไม่โหยหาอยากได้ แม้กระท่ังอยาก ไดค้ วามสขุ จติ ใจกม็ คี วามทกุ ขเ์ รยี บรอ้ ยไปแลว้ อยากได้ ความสขุ ก็ทกุ ขเ์ ลย ๗๗
ฉะนั้นความอยากเกิดทีไรความทุกข์ทางใจก็เกิด ทุกที ถ้าจิตฉลาด มันก็หมดความอยาก รู้ว่าความสุข เป็นของแปรปรวน เป็นของชั่วคราว ไม่มี ก็ไม่ได้หิว เพราะว่ารู้ว่าถึงได้มา มันก็อยู่ช่ัวคราว อยู่แล้วก็ไม่ได้ อยากให้มันอยู่ตลอด เพราะรู้ว่ามันของอยู่ชั่วคราว อยู่ แล้วมันดับไปก็ไม่เสียดายไม่เสียใจ เพราะรู้ว่ามันของ ช่วั คราว ใจจะเข้าสูค่ วามสงบสขุ ท่ีแทจ้ ริง ส่วนหนง่ึ ของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช วนั ท่ี ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซีดีแสดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม แผน่ ที่ ๖๒ ไฟล์ ๕๘๑๒๑๑A ๗๘
มีศลี แลว้ จะมีธรรม
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นพน้ ขน้ึ มาเปน็ พระองคแ์ รก ทา่ นกห็ นั มา มองพวกเรา ประทานธรรมะไว้ให้เราเดินตาม เพ่ือเรา จะได้พ้นตามท่านไป การปฏิบัติธรรมที่ท่านสอนเพ่ือให้ เราพน้ ขน้ึ มา กค็ อื เรอ่ื งของศลี เรอ่ื งของสมาธิ เรอื่ งของ ปัญญา ศีลนั้นจ�ำเป็น ต้ังใจรักษาศีลง่าย ๆ เลย อย่า เบยี ดเบยี นตวั เอง อยา่ เบยี ดเบยี นคนอนื่ เบยี ดเบยี นคนอน่ื ดว้ ยทางกาย ทางวาจา เบยี ดเบยี นตวั เอง คอื เบยี ดเบยี น สติปัญญาของตัวเอง ศีล ๕ ข้อก็มุ่งมาท่ีความไม่ เบยี ดเบยี นคนอนื่ ไมเ่ บยี ดเบยี นตวั เอง ถา้ เราไมเ่ บยี ดเบยี น คนอนื่ ไมเ่ บียดเบยี นตวั เอง แลว้ เราได้อะไร เราได้ความ สงบ ได้ความสขุ อย่างคนทมี่ ีความรกั ความเมตตาคน อนื่ จติ ใจรม่ เยน็ เปน็ สขุ คนทอ่ี าฆาตพยาบาท มงุ่ ทำ� รา้ ย คนอ่นื ไมม่ คี วามสขุ ฉะนนั้ ทแี รกเราต้งั ใจ เราไม่ทำ� สงิ่ ท่จี ะเบียดเบียน คนอน่ื เบียดเบียนตัวเอง ฝึกไปเรอื่ ย ใจมนั ค่อยเขม้ แข็ง ๘๐
ขนึ้ ๆ สดุ ทา้ ยใจมนั กส็ งู ขน้ึ มา นอกจากจะไมท่ ำ� ชว่ั ความ ดใี นใจของเรากเ็ พิม่ ข้ึนมา อย่างไมท่ �ำร้ายคนอ่ืนนาน ๆ ไป ความเมตตากรุณาก็เกดิ ขึ้นในใจเรา บางทีอยากฆา่ มันให้ตายเลย โกรธมัน ดูไป ๆ มันก็น่าสงสารเหมือน กนั มันก็ทกุ ข์ของมันเหมือนกนั แตล่ ะคน ความเมตตา มนั เกิดขึน้ แทนที่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจะเกดิ ขึ้นมา ใจจะค่อยสูงขึ้น ๆ อย่างเราไม่ขโมยของคนอ่ืน เราสงสารเขา กลัวเขาล�ำบาก ดูไป ๆ คนเขาก็ล�ำบาก เรามีเกนิ เขาไม่มี เราก็แบ่งใหเ้ ขาได้ เรารู้จกั ใหท้ าน การรักษาศีล ถ้าเราฝกึ ของเราไปเร่อื ย นอกจาก จะไดศ้ ลี แลว้ เราจะไดธ้ รรมะดว้ ย ไดค้ วามดงี ามขน้ึ มาใน ใจดว้ ย อยา่ งเราซอื่ สตั ยใ์ นคขู่ องเรา จติ ใจไมเ่ รา่ รอ้ น เรา ไมซ่ อ่ื สตั ยใ์ นคขู่ องเรา จติ ใจเรา่ รอ้ น ฉะนนั้ เราซอ่ื สตั ยใ์ น คขู่ องเรา มนั ฝึกใจให้สันโดษ พอใจในสิง่ ท่ีเรามี ค่อย ๆ เปน็ การฝกึ ตวั เองไปในตวั หรอื เราไมโ่ กหกหลอกลวงคน อน่ื ต่อไปทุกคำ� พูดของเรา มันเปน็ สัจจะขึ้นมา มีศีล ก็ จะมีธรรมข้ึนมา เราไมข่ เ้ี หลา้ เมายา พยายามฝกึ ตัวเอง ๘๑
ไปเรื่อย ต่อไปส่งิ ทไี่ ด้มาคอื สตสิ ัมปชญั ญะ คอ่ ย ๆ ฝึก ตัวเองไป มีศีล ใจจะดีงาม ใจที่ดีที่งามมันร่มเย็นเป็นสุข สงบง่าย ทำ� สมาธิงา่ ย สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วันที่ ๑๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซีดแี สดงธรรม ณ วัดสวนสนั ตธิ รรม แผ่นท่ี ๖๓ ไฟล์ ๕๘๑๒๑๓A ๘๒
มีความสุข อยู่กับปัจจุบนั
ความแก่รออยู่ข้างหน้า หนีไม่ได้ เราพร้อมที่จะมีชีวิต ตอนแก่ ๆ หรอื ยงั ตอ้ งมคี วามสขุ ใหไ้ ด้ ทจ่ี รงิ แลว้ ถา้ รจู้ กั ด�ำรงชวี ิต เป็นเด็กก็มีความสุข เป็นหนุ่มสาวก็มีความสุข กลางคนหรอื แก่ ๆ กม็ คี วามสขุ แตค่ นเราไมค่ อ่ ยมโี อกาส ไมค่ ่อยมีความสุข ตอนเด็ก ๆ ร่างกายแขง็ แรง เวลาก็ ยงั เยอะอยู่ ไมต่ อ้ งหัวปกั หัวปำ� ท�ำมาหากิน ไมม่ เี งนิ ทจี่ ะ ช่วยตัวเอง เลี้ยงตัวเองไม่ได้ มีความสุขไม่เต็มท่ี ตอน หนุ่มสาวร่างกายก็ยงั แข็งแรง เงินกม็ ี ทำ� งานไดด้ ้วยตัว เอง แต่ไม่มีเวลา เอาเวลาไปท�ำมาหากินหมด ตอนแก่ ไมไ่ ดท้ ำ� อะไร เวลากม็ ี บางคนเกบ็ เงนิ ไวน้ าน เงนิ กม็ ี แต่ ไม่แข็งแรงไมม่ ีเรยี่ วมแี รง ชวี ติ ทกุ ชนั้ ของวยั แตล่ ะชน้ั แตล่ ะชว่ ง มปี ญั หาทง้ั สนิ้ เราคาดหวงั วา่ เราผา่ นตรงนไ้ี ป แลว้ เราจะมคี วามสขุ อย่างตอนเด็ก ๆ เราหวังว่า เดี๋ยวเราท�ำมาหากินเล้ียง ตวั เองได้เราจะสบายแลว้ มอี ิสระท�ำอะไรก็ได้ ก็ทำ� ไม่ได้ ๘๔
ซ้ือตั๋วเครื่องบินจะบินไปเที่ยว เจ้านายเรียกประชุมด่วน แหม อยากฆ่าเจ้านาย ทำ� ไม่ได้อยา่ งท่ตี อ้ งการ ท�ำงาน ไปเรอ่ื ย เหนื่อยมากเลย คิดวา่ ช่วงไหนรีไทร์แลว้ จะไดม้ ี ความสขุ กับเขาสักที เกบ็ เงนิ ไว้ รไี ทรแ์ ลว้ กไ็ ม่มีแรงจะไป ไหนแล้ว นอนเฝ้าบ้านอยู่ คิดถึงอดีต แล้วก็บอกความ สขุ ผา่ นไปหมดแลว้ ยงั ไมเ่ คยเจอเลย แตบ่ อกผา่ นไปหมด แลว้ ยงั ไม่ทนั จใุ จเลย เด็ก ๆ ไม่มีความสุข ไม่พอใจปัจจุบัน ตอนเป็น เด็กรู้สึกมีข้อจ�ำกัดเยอะ ไม่พอใจ อยากเป็นอย่างอ่ืน กเ็ ลยไมม่ คี วามสขุ ในวยั ทำ� งานไมไ่ ดพ้ อใจ ในวยั หนมุ่ สาว ไมไ่ ดพ้ อใจ คดิ แตฝ่ นั เฟอ่ื งไปอนาคตบา้ งไปอะไรบา้ ง ไมม่ ี ความสขุ อยกู่ บั ปจั จบุ นั แกแ่ ลว้ กค็ ดิ ถงึ อดตี ถงึ จะมคี วาม สุข อยู่กับปัจจุบันไม่มีความสุขแล้ว มีแต่ทุกข์ คิดถึง อนาคตย่ิงแยใ่ หญ่เลย ตอ้ งสญู เสยี ทกุ สง่ิ ทุกอยา่ ง ถา้ เราสามารถฝกึ จติ ฝกึ ใจ จนเรามคี วามสขุ อยกู่ บั ปจั จบุ นั ได้ ชวี ติ เราก็มคี ณุ คา่ สมบรู ณ์แบบ ธรรมะน้ีสอน ๘๕
ใหเ้ ราสามารถอยูก่ บั ปจั จุบนั ได้ มคี วามสขุ อยูใ่ นปัจจบุ ัน ได้ ไมใ่ ชค่ วามสขุ อยใู่ นอนาคต เหมอื นเดก็ เหมอื นคนหนมุ่ สาว ไม่ใชค่ วามสุขอย่ใู นอดตี เหมอื นคนแก่ แตค่ วามสขุ อยูก่ บั ปจั จุบนั ถา้ ใจไมม่ คี วามหวิ โหย ใจจะมคี วามสุขอยู่ กับปัจจุบันได้ ใจไม่มีความสุขเพราะมันหิว หิวอนาคต หวิ อดีต อย่างน้ีมันไม่อยูก่ ับปจั จุบนั ฉะน้ันเรามาฝกึ ทจี่ ะ ให้อยใู่ นปจั จุบนั สว่ นหน่ึงของพระธรรมเทศนา หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช วนั ที่ ๑๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ จากซดี แี สดงธรรม ณ วัดสวนสันติธรรม แผ่นที่ ๖๒ ไฟล์ ๕๘๑๒๑๑B ๘๖
ประวตั ิ หลวงพอ่ ปราโมทย์ ปาโมชโฺ ช
เกิด พ.ศ. ๒๔๙๕ ณ บ้านดอกไม้ ต.บ้านบาตร อ.ป้อมปราบศตั รูพ่าย จงั หวัดพระนคร การศึกษา ชั้นประถมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนสุริย วงศ,์ ชนั้ ประถมศกึ ษาตอนปลาย ณ โรงเรยี นวดั พลบั พลา ชยั , ชัน้ มธั ยมศกึ ษา ณ โรงเรยี นโยธนิ บูรณะ, ปรญิ ญา ตรีและโท ณ คณะรฐั ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สจว. รนุ่ ท่ี ๕๗ การทำ� งาน ลกู จา้ ง กอ.รมน. (๒๕๑๘-๒๕๒๑), เจา้ หนา้ ท่ี วิเคราะห์นโยบายและแผน ๓-๗ ส�ำนักงานสภาความ มั่นคงแห่งชาติ (๒๕๒๑-๒๕๓๕), ผู้ช�ำนาญการ ๘-๑๐ องคก์ ารโทรศพั ท์แห่งประเทศไทย (๒๕๓๕-๒๕๔๔) การศึกษาธรรม นักธรรมตรี, ศกึ ษาอานาปานสติตาม ค�ำสอนของท่านพ่อลี ธัมมธโร ตั้งแต่ ๒๕๐๒, ศึกษา กรรมฐานจากครูบาอาจารย์สายวัดป่าหลายรูปตั้งแต่ ๒๕๒๕ อาทิ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่สมิ พทุ ธาจาโร หลวงปู่ ๘๘
บุญจันทร์ จันทวโร และหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ เป็นต้น, อุปสมบทคร้ังแรกในสมัยท่ียังเป็นนักศึกษา ณ วัด ชลประทานรังสฤษด์ิ จ.นนทบุรี โดยมีหลวงพ่อปัญญา นันทภกิ ขเุ ป็นพระอุปชั ฌาย,์ อปุ สมบทคร้งั ท่ี ๒ ณ วัด บูรพาราม จ.สุรินทร์ (๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๔) โดยมี พระราชวรคณุ (สมศกั ดิ์ ปณั ฑโิ ต) เปน็ พระอุปชั ฌาย์ สถานทจ่ี ำ� พรรษา ๕ พรรษาแรกจำ� พรรษาอยู่ ณ สวน โพธญิ าณอรญั วาสี อ.ทา่ มว่ ง จ.กาญจนบรุ ี ของทา่ นพระ อาจารย์สจุ ินต์ สุจิณโณ และพรรษาที่ ๖-ปจั จบุ ัน ณ วัด สวนสนั ตธิ รรม อ.ศรรี าชา จ.ชลบุรี โดยความเห็นชอบ ของพระอุปชั ฌาย์ งานเขยี น วมิ ตุ ตปิ ฏปิ ทา (๒๕๔๒-๒๕๔๔) กอ่ นอปุ สมบท, วถิ แี หง่ ความร้แู จ้ง (๒๕๔๕), ประทีปสอ่ งธรรม (๒๕๔๗) ทางเอก (๒๕๔๙) วมิ ตุ ตมิ รรค (๒๕๔๙) เรยี นธรรมคเู่ พอื่ รูธ้ รรมหน่ึง (๒๕๕๑) และแกน่ ธรรมคำ� สอนของหลวงปู่ ดูลย์ อตโุ ล (๒๕๕๑) ๘๙
แผนที่แสดงเสน้ ทางไปวัดสวนสันติธรรม วดั สวนสนั ตธิ รรม อ.ศรรี าชา จ.ชลบรุ ี ตรวจสอบวนั และเวลาแสดงธรรม ของหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ไดท้ ี่ www.dhamma.com/calendar หรือโทร. ๐๘๑-๕๕๗๙๘๗๘ ๙๐
Search