Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ชาดกคลายโศก

ชาดกคลายโศก

Published by Sarapee District Public Library, 2020-11-05 04:47:30

Description: ชาดกคลายโศก
โดย สิริปุณฺโณ

Keywords: ธรรมะ,ชาดก

Search

Read the Text Version

พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมงามผ่องใสอยู่ในวิถี ท้ังสอง รถทองของเราย่อมจะงามด้วยพระจันทร์และ พระอาทิตย์น้นั อนั เป็นล้อท้ังคู่ พราหมณ์ จึงกล่าวคาถาที่เหลือตอ่ จากนนั้ ว่า : ดกู รมาณพ ทา่ นเปน็ คนพาลแท้ เพราะท่านปรารถนาสิ่งท่ีเขาไมพ่ งึ ปรารถนากัน เราส�ำคญั วา่ ท่านจกั ตายเสียเปล่า ทา่ นจักไม่ได้พระจันทรพ์ ระอาทิตยเ์ ลย ลำ� ดับนนั้ มาณพ จึงได้กลา่ วคาถา วา่ : แมค้ วามอุทัย๓๒และอสั ดง๓๓ของพระจนั ทร์ และพระอาทิตยน์ ั้น กย็ ังปรากฏอยู่ สสี รรวรรณะและวิถีทางของพระจนั ทร์ และพระอาทติ ยท์ ัง้ สอง กย็ ังปรากฏอยู่ ส่วนบุคคลผ้ลู ว่ งลบั ไปแล้ว ย่อมไม่ปรากฏเลย เราทง้ั สองผู้ครำ่� ครวญอยู่ ใครเล่าหนอจะเปน็ คนโงเ่ ขลาย่ิงกวา่ กนั ? ๓๒ ก. เรมิ่ สอ่ งแสง ในคำ� วา่ อาทติ ยอ์ ทุ ยั . ๓๓ ก. ตกไป, ใชแ้ กพ่ ระอาทติ ย์ ในคำ� วา่ อาทติ ยอ์ สั ดง. ในทนี่ ใี้ ชก้ บั พระจนั ทร์ ๕. มัฏฐกณุ ฑลชิ าดก 51

เม่ือมาณพกล่าวอยู่อย่างน้ี พราหมณ์พิจารณา ความได้ เขา้ ใจในอปุ มานั้น จึงไดก้ ลา่ วคาถา ว่า : ดกู รมาณพ ทา่ นพดู จริง บรรดาเราทงั้ สอง ผ้คู ร�ำ่ ครวญอยู่ เรานี่แหละคนโงเ่ ขลาย่งิ กว่าทา่ น เราปรารถนาผูต้ ายไปยังปรโลกแลว้ เหมอื นเด็กร้องไห้อยากไดพ้ ระจนั ทร์ฉะนนั้ พราหมณ์หายเศร้าโศกด้วยถ้อยค�ำของมาณพ เม่อื จะกล่าวชมเชยมาณพ จงึ ไดก้ ล่าวคาถาทีเ่ หลือว่า : ท่านมารดเราผู้เร่าร้อนให้สงบระงับ ดับความ กระวนกระวายทั้งปวงได้เหมือนบุคคลดับไฟท่ีติด เปรยี ง๓๔ดว้ ยน้�ำฉะนนั้ ท่านได้ถอนลูกศรท่ีเสียบแทงหทัยของเรา ออกไป แล้ว ได้บรรเทาความโศกถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศก ครอบง�ำแลว้ หนอ ดูกรมาณพ เราเป็นผู้ถอนลูกศรได้แล้ว ปราศจาก ความโศก ไมม่ คี วามขนุ่ มวั เราจะไมเ่ ศรา้ โศก จะไมร่ อ้ งไห้ เพราะไดฟ้ ังถอ้ ยค�ำของท่าน ๓๔ น. นำ�้ มนั ทไ่ี ดจ้ ากไขขอ้ ของววั . 52 ชาดกคลายโศก

ล�ำดับนนั้ มาณพกล่าวสอนพราหมณว์ า่ “ท่านพราหมณ์ ท่านร้องไห้เพื่อประโยชน์แก่บุตร คนใด บุตรคนนั้นคือตวั ขา้ พเจา้ นแ้ี หละเป็นบตุ รของทา่ น ขา้ พเจา้ เกดิ ในเทวโลก ตงั้ แตน่ ท้ี า่ นอยา่ ไดเ้ ศรา้ โศกถงึ เรา จงใหท้ าน รกั ษาศีล กระทำ� อุโบสถกรรม” ดงั นี้แลว้ ไปสู่ วมิ านของตน แมพ้ ราหมณก์ ต็ งั้ อยใู่ นโอวาทของมาณพนน้ั ทำ� บญุ มใี หท้ านเป็นต้น ตายแลว้ ไปเกิดในเทวโลก พระศาสดาครั้นทรงน�ำพระธรรมเทศนาน้ีมาแสดง แลว้ ทรงประกาศสัจธรรม ในเวลาจบสจั จะ กุฎุมพดี ำ� รง อยูใ่ นโสดาปัตตผิ ล ประชุมชาดก เทพบุตรผู้แสดงธรรมในคร้ังนั้น คือเราตถาคต ฉะน้ีแล ๕. มัฏฐกณุ ฑลชิ าดก 53

54 ชาดกคลายโศก

๖) ฆตปณั ฑติ ชาดก๓๕ วา่ ด้วย ความดบั ความโศก สถานทีต่ รัส พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ กุฎมุ พีลกู ตาย สาเหตุทีต่ รัส เนื้อเร่ืองเหมือนกับ เรื่องมัฏฐกุณฑลี นั่นแหละ ส่วนในชาดกน้มี ีความย่อดงั ต่อไปนี้ :- พระศาสดาเสดจ็ เขา้ ไปหาอบุ าสกนน้ั แลว้ ตรสั ถามวา่ “ดูกอ่ นอุบาสก ทา่ นเศรา้ โศกถงึ ลกู ตายหรือ?” เมอ่ื อบุ าสกกราบทูลว่า “ถกู แลว้ พระเจา้ ขา้ ” พระองค์จึงตรัสว่า “ดูก่อนอุบาสก โบราณกบัณฑิตฟังถ้อยค�ำของ บณั ฑิตแลว้ ไม่เศร้าโศกถึงลกู ท่ตี ายไปแล้ว” ๓๕ มชามตรก. ฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก ทสกนบิ าตชาดก, ล.๕๙, น.๙๖๔, ๖. ฆตปณั ฑติ ชาดก 55

ผู้อันอุบาสกนั้นกราบทูลอาราธนาให้ตรัสเร่ืองราว จึงทรงน�ำเอาเรอื่ งในอดตี มาสาธก ดังต่อไปนี้ :- เน้อื หาชาดก ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า ‘มหาวังสะ’ ครองราชสมบัติอยู่ในอสิตัญชนคร แคว้นกังสโคตรใกล้ อุตราปถประเทศ๓๖ พระองค์มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ องค์หน่ึง พระนามว่า ‘กังสะ’ องค์หนึ่งพระนามว่า ‘อุปกังสะ’ มพี ระราชธดิ าองคห์ น่งึ พระนามว่า ‘เทวคพั ภา’ ในวันที่พระราชธิดาน้ันประสูติ พราหมณ์ผู้ทาย ลักษณะพยากรณ์ไว้ว่า ‘พระโอรสท่ีเกิดในพระครรภ์ของ พระนางเทวคัพภานน้ั จกั ทำ� กังสโคตร กังสวงศใ์ หพ้ ินาศ’ พระราชาไมอ่ าจใหส้ ำ� เรจ็ โทษพระราชธดิ าได้ เพราะ ทรงสเิ นหามาก แมพ้ ระเชษฐาทง้ั สองกท็ รงทราบเหมอื นกนั พระราชาด�ำรงราชสมบัติอยู่ตลอดพระชนมายุแล้ว เสด็จ สวรรคตด้วยประการฉะน้ี เมอื่ พระองคเ์ สดจ็ สวรรคตแลว้ กงั สราชโอรสไดเ้ ปน็ พระราชา อปุ กงั สราชโอรสไดเ้ ปน็ อปุ ราช ทงั้ สองพระองค์ ๓๖ อตุ ฺตร แปลว่า ทศิ เหนอื , ปถ แปลว่า (มค. ปถ) น. คลอง, ทาง อตุ ราประเทศ แปลรวมๆ ว่า ดนิ แดนทางทศิ เหนือ 56 ชาดกคลายโศก

ทรงพระด�ำริว่า ‘ถ้าเราจักให้ส�ำเร็จโทษภคินี เราก็จัก ถูกครหา เราจักไมใ่ หภ้ คนิ ีน้แี ก่ใครๆ จกั เล้ียงดโู ดยไม่ให้ มีสาม’ี ดงั นี้ ทั้งสองพระองค์จึงให้สร้างปราสาทเสาเดียวให้ ราชธิดาอยู่ ณ ปราสาทนั้น นางทาสนี ามวา่ ‘นนั ทโคปา’ ไดเ้ ปน็ ปรจิ ารกิ า๓๗ของ พระนาง ทาสนามวา่ ‘อนั ธกเวณฑุ’ ผเู้ ปน็ สามีของนางนันท- โคปาเป็น ผู้พทิ ักษร์ กั ษาพระนาง. ครั้งน้ัน พระเจ้ามหาสาครราชเสวยราชสมบตั ิอยู่ใน อุตตรปถประเทศ พระองค์มีพระราชโอรส ๒ พระองค์ องคห์ นงึ่ พระนามวา่ ‘สาคร’ องคห์ นง่ึ พระนามวา่ ‘อปุ สาคร’ กใ็ นบรรดาพระราชโอรส ๒ พระองคน์ น้ั เมอื่ พระชนก เสด็จสวรรคต สาครราชโอรสได้เป็นพระราชา อุปสาคร ราชโอรสได้เป็นอุปราช อุปสาครอุปราชน้ันเป็นสหายของอุปกังสอุปราช ส�ำเร็จการศึกษาคราวเดียวกัน ในตระกูลอาจารย์ คนเดียวกนั . ๓๗ น. สว่ นมากใชค้ ำ� วา่ บรจิ าริกา แปลวา่ หญงิ รับใช้, ใช้ประกอบกบั ค�ำว่า บาท เป็น บาทบริจาริกา แปลว่า เมีย, ๖. ฆตปณั ฑติ ชาดก 57

อุปสาครอุปราชได้ท�ำมิดีมิงาม นางสนมก�ำนัลใน ของพระเจา้ พส่ี าครราช กลัวพระราชอาชญาหนไี ปส�ำนกั อปุ กงั สอุปราช ในแคว้นกังสโคตร อุปกังสอุปราชพาเข้าเฝ้าพระเจ้ากังสราช พระเจ้า กงั สราชทรงประทานยศใหญ่แก่อปุ สาครอุปราช อุปสาครอุปราชเมื่อไปเฝ้าพระราชา เห็นปราสาท เสาเดยี ว ซง่ึ เปน็ ทปี่ ระทบั ของพระนางเทวคพั ภา จงึ ถามวา่ “นท่ี ี่อยขู่ องใคร ?” ครั้นทราบความน้ันแล้วก็มีจิตปฏิพัทธ์ในพระนาง เทวคัพภา. วันหน่ึง พระนางเทวคัพภาทอดพระเนตรเห็น อุปสาครอุปราชไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอุปกังสอุปราช จึงตรัสถามว่า “น่นั ใคร ?” ทรงทราบจากนางนันทโคปาว่า ‘โอรสพระเจ้ามหา สาครราชพระนามวา่ อปุ สาคร’ กม็ จี ติ ปฏพิ ทั ธใ์ นอปุ สาคร อุปราชนน้ั อปุ สาครอปุ ราชใหส้ นิ บนนางนนั ทโคปา แล้ว กลา่ ววา่ “นอ้ งหญงิ ทา่ นอาจทจี่ กั พาพระนางเทวคพั ภามาให้ เราไหม ?” นางนนั ทโคปากลา่ ววา่ 58 ชาดกคลายโศก

“ขอ้ นั้นไมย่ าก ดอกนาย” แลว้ ก็บอกเรอ่ื งนัน้ แกพ่ ระนางเทวคพั ภา ตามปกติพระนางก็มีจิตปฏิพัทธ์ในอุปสาครอุปราช อยแู่ ลว้ พอไดฟ้ ังดังนัน้ กร็ บั ว่า “ดแี ลว้ ” นางนันทโคปาให้สัญญาแก่อุปสาครอุปราชให้ข้ึน ปราสาทในเวลาราตรี อุปสาครอุปราชได้ร่วมสังวาสกับ พระนางเทวคพั ภา โดยทำ� นองนน้ั บ่อยๆ เขา้ พระนางได้ ตัง้ ครรภ์ ต่อมา ข่าวพระนางทรงครรภ์กไ็ ดป้ รากฏข้ึน พระเชษฐาท้งั สองจงึ ถามนางนนั ทโคปา นางนนั ทโคปาทลู ขออภยั แลว้ กราบทลู ‘ความลบั นน้ั ให้ทรงทราบ’ พระเชษฐาทง้ั สองพระองคท์ รงทราบแลว้ จงึ ปรกึ ษา กันว่า ‘เราไม่อาจท่ีจะส�ำเร็จโทษน้องหญิงได้ ถ้าเธอ คลอดพระธิดา เราจักไม่ส�ำเร็จโทษ แต่ถ้าเป็นพระโอรส เราจักส�ำเร็จโทษเสีย’ แล้วประทานพระนางเทวคัพภา แก่อปุ สาครอุปราช พระนางเทวคัพภาทรงครรภ์ครบก�ำหนดแล้วก็ ประสตู พิ ระธดิ า พระเชษฐาทงั้ สองทรงทราบแลว้ ดพี ระทยั ๖. ฆตปณั ฑิตชาดก 59

ตง้ั พระนามใหพ้ ระธดิ านนั้ วา่ ‘อญั ชนเทว’ี ไดพ้ ระราชทาน บ้านส่วยชอ่ื ‘โภควฒั มานะ’ แก่กษตั รยิ ์ทง้ั สอง อุปสาครอุปราชจึงพาพระนางเทวคัพภาไปประทับ ณ โภควัฒมานคาม พระนางเทวคัพภาก็ทรงครรภ์อีก แม้นางนันทโคปากต็ ง้ั ครรภ์ในวนั นน้ั เหมือนกัน เมื่อหญิงทั้งสองมีครรภ์ครบก�ำหนดแล้ว พระนาง เทวคพั ภาประสตู พิ ระโอรส แมน้ างนนั ทโคปากค็ ลอดธดิ า ในวนั เดยี วกนั น่ันเอง พระนางเทวคพั ภากลวั พระโอรสจะพนิ าศดว้ ยราชภยั จงึ สง่ พระโอรสไปใหน้ างนนั ทโคปา และใหน้ างนนั ทโคปา นำ� ธดิ ามาให้ เปลย่ี นกนั เล้ยี งเงียบ. อำ� มาตยท์ ง้ั หลายกราบทลู ความทพ่ี ระนางเทวคพั ภา ประสตู แิ ลว้ ใหพ้ ระเชษฐาทงั้ สองทรงทราบ พระเชษฐาทง้ั สองพระองค์นนั้ ตรัสถามว่า “ประสูติโอรสหรอื ธดิ า ?” เม่ือได้รับตอบวา่ “ธดิ า” จึงรับสง่ั ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงเล้ียงไว้เถิด” พระนาง เทวคพั ภาประสตู พิ ระโอรสรวม ๑๐ องค์ นางนันทโคปา ก็คลอดลูกหญิงรวม ๑๐ คน ได้เปลี่ยนให้กันเลี้ยงด้วย อบุ ายนี้ 60 ชาดกคลายโศก

โอรสของพระนางเทวคัพภาเจริญอยู่ในส�ำนัก นางนนั ทโคปา ลกู หญงิ ของนางนนั ทโคปาเจรญิ อยใู่ นสำ� นกั ของพระนางเทวคพั ภา ใครๆ มิไดร้ ู้ความลบั เรอ่ื งนน้ั . โอรสองคใ์ หญข่ องพระนางเทวคพั ภานามวา่ ‘วาสเุ ทพ’ องคท์ ี่ ๒ นามวา่ ‘พลเทพ’ องค์ท่ี ๓ นามว่า ‘จนั ทเทพ’ องคท์ ี่ ๔ นามว่า ‘สรุ ิยเทพ’ องค์ท่ี ๕ นามว่า ‘อัคคิเทพ’ องค์ที่ ๖ นามว่า ‘วรุณเทพ’ องค์ท่ี ๗ นามวา่ ‘อัชชุนะ’ องคท์ ี่ ๘ นามว่า ‘ปชั ชุนะ’ องค์ท่ี ๙ นามว่า ‘ฆตบณั ฑิต’ องคท์ ี่ ๑๐ นามวา่ ‘องั กุระ’ โอรสเหล่าน้ันได้ปรากฏว่าพ่ีน้อง ๑๐ คนเป็นบุตร ของอนั ธกเวณฑทุ าส. ตอ่ มา โอรสเหลา่ นน้ั ครน้ั เจรญิ วยั แลว้ มกี ำ� ลงั เรย่ี วแรง มาก เป็นผู้หยาบช้ากล้าแข็ง พากันเท่ียวปล้นประชาชน แมค้ นนำ� บรรณาการไปถวายพระราชากพ็ ากนั ปลน้ เอาหมด ประชาชนประชุมกันร้องทุกข์ที่พระลานหลวงว่า ‘พี่น้อง ๑๐ คนซ่ึงเป็นบุตรของอันธกเวณฑุทาสปล้น แวน่ แควน้ ’ ๖. ฆตปณั ฑติ ชาดก 61

พระราชารับส่ังให้เรียกตัวอันธกเวณฑุทาสมาตรัส คกุ คามวา่ “เหตุไร ? เจ้าจึงปลอ่ ยให้ลูกท�ำการปล้น ดังนี้ เมือ่ ประชาชนร้องทกุ ขถ์ ึง ๒ ครั้ง ๓ ครัง้ อย่างน”ี้ พระราชาก็ทรงคุกคามอันธกเวณฑุ เขากลัวต่อ มรณภยั ทลู ขออภัยโทษกะพระราชาแล้วกราบทูลวา่ “ข้าแตพ่ ระองคผ์ สู้ มมตเิ ทพ กมุ ารเหลา่ นน้ั มใิ ชบ่ ตุ ร ของข้าพระองค์ เปน็ โอรสของอปุ สาครอุปราช” แล้วกราบทูล ‘ความลับเรื่องนัน้ ให้ทรงทราบ’ พระราชาทรงตกพระทยั ตรสั ถามอำ� มาตยท์ ง้ั หลายวา่ “เราจะใชอ้ บุ ายอยา่ งไร จงึ จกั จบั กมุ ารเหลา่ นนั้ ได้ ?” เมอื่ พวกอำ� มาตยก์ ราบทูลว่า “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ สู้ มมตเิ ทพ กมุ ารเหลา่ นนั้ ลำ� พองจติ ดว้ ยมวยปล�ำ้ ข้าพระองคจ์ กั ให้ทำ� การต่อสขู้ ึ้นในพระนคร แลว้ ใหจ้ บั กมุ ารเหลา่ นนั้ ผมู้ าสสู่ นามยทุ ธ ฆา่ เสยี ณ ทน่ี นั้ ” ดังนจี้ งึ รบั สงั่ ให้เรียกนักมวยปล�้ำมา ๒ คน คนหนง่ึ ชอ่ื ‘วานรุ ะ’ อกี คนหนง่ึ ชอ่ื ‘มฏุ ฐกิ ะ’ แลว้ ใหต้ กี ลองประกาศ ทั่วพระนครวา่ ‘จากวนั นีไ้ ป ๗ วันจกั มีการต่อส้’ู ดังน้แี ล้ว ให้ตระเตรียมสนามต่อสู้ที่พระลานหลวง ให้ท�ำสังเวียน ก้นั สนามตอ่ สู้แลว้ ใหผ้ ูกธงและแผน่ ผ้า. 62 ชาดกคลายโศก

เสียงเล่าลือกันแซ่ไปท่ัวนคร ประชาชนพากัน ผูกล้อเลื่อนและเตียงน้อยใหญ่ วานุระแลมุฏฐิกะก็มายัง สนามตอ่ สู้ โหร่ ้องคำ� รามตบมอื เดินไปมาอยู่ แม้กุมารพ่ีน้องทั้ง ๑๐ ก็มาแล้วยื้อแย่งตามถนน ขายอาหาร ของหอมและเครื่องย้อม แล้วนุ่งห่มผ้าสี แย่งเอาของหอมตามร้านขายของหอม แลดอกไม้ตาม รา้ นขายดอกไมม้ าประดบั ตวั ทดั ดอกไม้ ๒ หู โหร่ อ้ งคำ� ราม ตบมอื เขา้ สนามต่อสู้ ขณะนั้นวานุระเดินตบมืออยู่พลเทพเห็นดังนั้น จึงคดิ ว่า ‘เราจะไมถ่ ูกต้องวานรุ ะด้วยมอื ’ แล้วไปนำ� เชือก ผกู ชา้ ง เสน้ ใหญม่ าแตโ่ รงชา้ ง โหร่ อ้ งคำ� รามแลว้ โยนเชอื ก ไปพันท้องวานุระ รวบปลายเชือกทั้ง ๒ เข้ากัน โห่ร้อง ยกข้ึนหมุนเหนือศีรษะแล้วฟาดลงแผ่นดิน โยนไปนอก สงั เวียน เมอ่ื วานรุ ะตายแลว้ พระราชารบั สงั่ ใหม้ ฏุ ฐกิ ะคนปลำ้� ทำ� การตอ่ สตู้ อ่ ไป มฏุ ฐกิ ะลกุ ออกไปโหร่ อ้ งคำ� รามตบมอื อยู่ พลเทพทบุ มฏุ ฐิกะจนกระดกู ละเอยี ด เมือ่ มฏุ ฐกิ ะกล่าววา่ “ทา่ นเป็นนกั มวยปล�ำ้ ฉนั ไม่ใช่นกั มวยปล้�ำ” จึงตอบวา่ ๖. ฆตปณั ฑิตชาดก 63

“เราไม่เข้าใจว่าท่านเป็นนักมวยปล�้ำหรือไม่ใช่ นักมวยปลำ้� ” แล้วจับมือทงั้ ๒ ฟาดลงบนแผ่นดนิ ใหต้ ายแลว้ โยน ไปนอกสงั เวยี น มฏุ ฐกิ ะเมอ่ื จะตายไดต้ ง้ั ความปรารถนาไวว้ า่ ‘ขอให้ เราเป็นยกั ษ์ไดก้ ินพลเทพ’ ครั้นเขาตายไปแล้ว จึงเกิดเป็นยักษ์อยู่ในดงช่ือ ‘กาฬมตั ติกะ.’ พระราชาเสด็จลุกข้ึนตรัสวา่ “ทา่ นทั้งหลายจงจับพน่ี ้องทั้ง ๑๐ คนเหล่านใี้ หไ้ ด้” ขณะน้ัน วาสุเทพขว้างจักรไป ตกถูกพระเศียร กษตั รยิ ส์ องพ่ีน้องสิ้นพระชนม์ มหาชนพากันสะดุ้งหวาด กลัว หมอบลงแทบบาทของกมุ ารเหลา่ นนั้ ด้วยกลา่ ววา่ “ขอพระองค์ไดเ้ ป็นทพ่ี ึ่งของพวกข้าพระองค์เถดิ ” กุมารเหล่านั้นคร้ันปลงพระชนม์พระเจ้าลุงท้ังสอง ก็ยึดราชสมบัติอสิตัญชนคร ยกมารดาบิดาข้ึนครองราช- สมบัติแล้วปรึกษากันว่า ‘เรา ๑๐ คนจักชิงราชสมบัติ ในชมพูทวีปท้ังหมด’ แล้วชวนกันยกออกไปโดยลำ� ดบั ถงึ อยชุ ฌนครซง่ึ เปน็ ทปี่ ระทบั ของพระเจา้ กาลโยนก ราชลอ้ มเมอื งไว้ ทำ� ลายคา่ ยพงั กำ� แพงเขา้ ไปจบั พระราชา 64 ชาดกคลายโศก

ยึดราชสมบัติอยู่ในเงื้อมมือของตน แล้วพากันไปถึง กรงุ ทวาราวด.ี ก็กรุงทวาราวดีน้ันมีสมุทรต้ังอยู่ข้างหน่ึง มีภูเขา ตง้ั อยขู่ า้ งหนง่ึ ไดย้ นิ วา่ นครนนั้ มอี มนษุ ยร์ กั ษา ยกั ษผ์ ยู้ นื รักษานครน้ัน เห็นปัจจามิตรแล้วแปลงเพศเป็นลา ร้อง เสียงเหมอื นลา ขณะนั้น นครทั้งส้ินก็เลื่อนลอยไปอยู่บนเกาะ เกาะหนง่ึ กลางสมทุ รดว้ ยอานภุ าพยกั ษ์ เมอื่ พวกปจั จามติ ร ไปแล้ว นครกก็ ลับมาประดิษฐานตามเดิมอกี แมค้ ราวนน้ั ยกั ษเ์ พศลานนั้ รวู้ า่ ‘กมุ าร ๑๐ คนพน่ี อ้ ง มา’ ก็ร้องเป็นเสียงลาขึ้น นครก็เล่ือนลอยไปประดิษฐาน อยู่บนเกาะ กุมารเหล่าน้ันไม่เห็นนครก็พากันกลับ นคร กม็ าประดษิ ฐานอยู่ตามเดิมอีก กุมารเหล่านั้นกลับมาอีก ยักษ์เพศลากไ็ ด้ท�ำเหมือนอยา่ งนัน้ อีก กุมารเหล่านนั้ เม่อื ไมอ่ าจชงิ ราชสมบัติในกรุงทวา- ราวดีได้ ก็พากันไปหากัณหทีปายนดาบส นมัสการแล้ว ถามวา่ “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าท้ังหลายไม่อาจชิง ราชสมบตั ิ ทวาราวดี ขอทา่ นไดบ้ อกอบุ ายแกพ่ วกขา้ พเจา้ สักอย่างหน่งึ ” ๖. ฆตปัณฑติ ชาดก 65

เมือ่ พระดาบสบอกว่า “มีลาตัวหน่ึงเท่ียวอยู่ที่หลังคูแห่งโน้น ลาน้ันเห็น พวกอมิตรแล้วร้องขึ้น ขณะน้ัน นครก็เลื่อนลอยไปเสีย ทา่ นทง้ั หลายจงจบั เทา้ ของลานนั้ นเี้ ปน็ อบุ ายทจี่ ะใหท้ า่ น ถึงความสำ� เร็จดงั น”้ี กมุ ารทง้ั ๑๐ นมัสการพระดาบส แลว้ ไปหมอบจบั เทา้ ของลา วงิ วอนว่า “ขา้ แตน่ าย คนอนื่ นอกจากทา่ นเสยี แลว้ ไมเ่ ปน็ ทพ่ี งึ่ ของพวกขา้ พเจา้ ได้ กาลเมอ่ื พวกขา้ พเจา้ ยดึ นคร ขอทา่ น อย่าไดร้ อ้ งขนึ้ เลย” ยักษเ์ พศลากล่าวว่า “เราไมอ่ าจที่จะไมร่ ้อง แต่วา่ ทา่ น ๔ คนจงมากอ่ น จงถือเอาไถเหลก็ ใหญๆ่ แล้วตอกหลกั เหลก็ ใหญๆ่ ลงกบั พนื้ แผน่ ดนิ ทป่ี ระตเู มอื งทงั้ ๔ ดา้ น กาลเมอ่ื นครจะเขยอื้ น ขน้ึ จงจบั ไถ แลว้ ชว่ ยกนั เอาโซเ่ หลก็ ทผ่ี กู กบั ไถลา่ มไวก้ บั หลักเหล็กนครจกั ไมอ่ าจลอยไปได.้ ” กมุ ารเหลา่ น้นั รบั วา่ “ดีแลว้ ” ครนั้ เวลาเทยี่ งคนื นน้ั กพ็ ากนั ถอื เอาไถแลว้ ตอกหลกั ลงบนแผ่นดินทีป่ ระตเู มอื งท้ัง ๔ ด้านยืนอยู่ 66 ชาดกคลายโศก

ขณะน้ัน ยักษเ์ พศลาก็ร้องขึ้น นครเร่มิ จะเลอ่ื นลอย กุมารเหลา่ น้นั ยนื อยทู่ ี่ประตูเมืองท้ัง ๔ ดา้ น จับไถเหล็ก ๔ คัน เอาโซ่เหล็กผูกกับไถล่ามไว้กับหลักเหล็ก นคร กไ็ มอ่ าจเขยอ้ื นข้นึ ได้ ลำ� ดบั นน้ั กุมาร ๑๐ พนี่ อ้ งก็เข้านคร ปลงพระชนม์ พระราชาแลว้ ยดึ ราชสมบตั ไิ ด้ กมุ ารเหลา่ นน้ั ไดใ้ ชจ้ กั รปลง พระชนมพ์ ระราชาทง้ั หมดในนคร ๖ หมน่ื ๓ พนั นคร แลว้ มารวมกันอยทู่ กี่ รงุ ทวาราวดี แบ่งราชสมบัติเป็น ๑๐ ส่วน แต่หาทันนึกถึง อญั ชนเทวเี ชษฐภคนิ ไี ม่ ตอ่ มานกึ ขนึ้ ได้ จงึ ปรกึ ษากนั ใหม่ วา่ ‘จะแบง่ เปน็ ๑๑ ส่วน’ อังกรุ กมุ ารพูดขน้ึ ว่า “ทา่ นทงั้ หลายจงใหส้ ว่ นของเราแกอ่ ญั ชนเทวเี ชษฐ- ภคินีเถิด เราจะท�ำการค้าขายเลี้ยงชีพ แต่ท่านทั้งหลาย ตอ้ งแบ่งส่วยในชนบทของตนให้แก่เราทุกๆ คน” พีน่ ้อง ๙ องค์รบั วา่ “ดแี ลว้ ” ดงั นี้ แล้วได้มอบราชสมบัติส่วนของอังกุรกุมารให้แก่ อัญชนเทวีเชษฐภคินี ได้เป็นพระราชา ๙ องค์กับ เชษฐภคนิ ี อยดู่ ว้ ยกนั ในกรงุ ทวาราวดี สว่ นนอ้ งกรุ กมุ าร๓๘ ได้ทำ� การคา้ ขาย. ๓๘ ตรงนน้ี า่ จะชอ่ื วา่ องั กรุ กมุ าร มากกวา่ กรุ กมุ าร (ตามขอ้ ความ น.๖๑) ๖. ฆตปณั ฑติ ชาดก 67

เม่ือพระราชาพ่ีน้องเหล่าน้ันเจริญด้วยบุตรธิดา ตอ่ ๆ มาอีกอย่างนี้ ครน้ั กาลลว่ งไปนาน พระราชมารดาบดิ ากส็ นิ้ พระชนม์ ลง ได้ยินวา่ อายุกาลของมนษุ ยใ์ นครงั้ นน้ั ถงึ ๒๐,๐๐๐ ปี ครั้งน้ัน พระปิโยรสองค์หน่ึงของวาสุเทพมหาราช ส้ินพระชนม์ พระราชาทรงแต่เศร้าโศกละสรรพกิจเสีย นอนกอดแครพ่ ระแท่นบ่นเพ้ออยู่ กาลน้ัน ฆตบัณฑิตคิดว่า ‘เว้นเราเสียแล้ว คนอ่ืน ใครเลา่ ชอื่ วา่ สามารถกำ� จดั ความโศกของพช่ี ายเรายอ่ มไมม่ ี เราจกั ใชอ้ บุ ายกำ� จดั ความโศกของพช่ี าย’ คดิ ดงั นแ้ี ลว้ จงึ ทำ� เปน็ คนบา้ แหงนดอู ากาศเดนิ บน่ ไปทว่ั เมอื งวา่ ‘ทา่ นจงให้กระต่ายแกเ่ รา ทา่ นจงให้กระต่ายแกเ่ รา’ ดังน้ี ขา่ วเลา่ ลอื ไปทวั่ เมอื งวา่ ‘ฆตบณั ฑติ เปน็ บา้ เสยี แลว้ .’ เวลาน้ัน อ�ำมาตย์ช่ือ ‘โรหิเณยยะ’ ไปเฝ้าพระเจ้า วาสเุ ทพ เมอ่ื จะเรมิ่ สนทนากบั พระองค์ ไดก้ ลา่ วคาถาท่ี ๑ วา่ :- ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหวงศ์ ขอพระองค์จงเสด็จ ลุกขึ้นเถดิ จะมัวทรงบรรทมอยทู่ �ำไม ? ความเจริญอะไร จะมีแกพ่ ระองคด์ ้วยพระสุบินเลา่ ? 68 ชาดกคลายโศก

พระภาดาของพระองค์แม้ใดเสมอด้วยพระหฤทัย และเสมอด้วยพระเนตรข้างขวา ลมได้กระทบดวงหทัย ของพระภาดาน้ัน “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ มู้ พี ระเกศางาม ฆตบณั ฑติ ทรงเพอ้ ไป.” เมอื่ อ�ำมาตย์ทลู อยา่ งนแ้ี ลว้ พระศาสดาผตู้ รสั รแู้ ลว้ ทรงทราบความทฆ่ี ตบณั ฑติ มจี ติ มน่ั คง จงึ ตรัสพระคาถาที่ ๒ ว่า :- พระเจา้ เกสวราชทรงสดบั คำ� ของโรหเิ ณยยะอำ� มาตย์ น้ันแล้ว อัดอ้ันพระหฤทัยด้วยความโศกถึงพระภาดา มพี ระวรกายกระสบั กระสา่ ยเสดจ็ ลกุ ขึ้น. พระราชาเสดจ็ ลุกขน้ึ รบี เสดจ็ ลงจากปราสาทไปหา ฆตบัณฑิตจบั หัตถ์ทัง้ ๒ ไว้แน่น เมอื่ จะเจรจากบั ฆตบณั ฑติ ไดก้ ลา่ วคาถาท่ี ๓ วา่ :- เหตุไรหนอ เจ้าจงึ เปน็ เหมอื นคนบา้ เทย่ี วบน่ เพอ้ อยู่ทวั่ นครทวาราวดนี ีว้ ่า กระตา่ ย กระตา่ ย ใครเขาลกั กระตา่ ยของเจา้ ไปหรอื ? เมื่อพระราชาตรัสอย่างนี้แล้ว ฆตบัณฑิตก็ยังตรัส คำ� นนั้ แหละอยบู่ ่อยๆ ๖. ฆตปัณฑิตชาดก 69

พระราชาจึงตรัส ๒ คาถาอีกวา่ :- เจา้ อยากไดก้ ระตา่ ยทอง กระตา่ ยเงนิ กระตา่ ยแกว้ มณี กระตา่ ยสงั ขศลิ าหรอื กระตา่ ยแกว้ ประพาฬประการใด เจา้ จงบอกแกเ่ รา เราจักใหเ้ ขาทำ� ให้เจ้า ถา้ แมเ้ จา้ ไมช่ อบกระตา่ ยเหลา่ น้ี ฝงู กระตา่ ยปา่ อนื่ ๆ มอี ยใู่ นปา่ เราจกั ใหเ้ ขานำ� เอากระตา่ ยเหลา่ นน้ั ใหเ้ จา้ เจา้ ต้องการกระตา่ ยชนิดไรเลา่ ? ฆตบณั ฑิตฟังพระด�ำรสั ของพระราชาแล้ว จึงกลา่ ว คาถาท่ี ๖ วา่ :- ข้าแตพ่ ระองค์ผมู้ พี ระเกศางาม กระตา่ ยเหล่าใดทอี่ าศยั อยู่บนแผน่ ดิน หมอ่ มฉนั ไม่ปรารถนาสิ้นทงั้ นัน้ หม่อมฉันปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ขอพระองคไ์ ด้ทรงโปรดสอยกระต่ายนน้ั มาใหห้ ม่อมฉันเถดิ . พระราชาทรงสดับถ้อยค�ำของฆตบัณฑิตแล้วทรง โทมนัสว่า ‘น้องชายของเราเป็นบ้าเสียแล้วโดยไม่ต้อง สงสัย’ จงึ กลา่ วคาถาท่ี ๗ วา่ :- 70 ชาดกคลายโศก

นอ้ ง เจา้ ปรารถนาสิ่งท่ีเขาไม่พึงปรารถนากนั อยากได้กระต่ายจากดวงจันทร์ จกั ละชวี ิตทยี่ ังดไี ปเสียเปน็ แน่. ฆตบณั ฑิตฟงั พระราชด�ำรสั แลว้ ยืนน่ิงอยู่กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าพี่ เจ้าพ่ีทรงทราบว่า ‘ข้าพระองค์ ปรารถนากระตา่ ยจากดวงจนั ทรไ์ มไ่ ดแ้ ลว้ จะตาย กเ็ หตไุ ร? เจ้าพจี่ งึ เศร้าโศกถึงโอรสท่สี ิ้นพระชนม์ไปแลว้ เล่า ?” แล้วกล่าวคาถาท่ี ๘ วา่ :- ข้าแตพ่ ระองค์ผ้กู ัณหวงศถ์ า้ พระองคท์ รงทราบ และตรัสสอนผอู้ ื่นอยา่ งนี้ไซร้ เหตุไรพระองคจ์ ึงทรงเศรา้ โศกถึงพระราชโอรส ผู้ส้นิ พระชนมไ์ ปแลว้ ในกาลกอ่ น จนกระท่ังถึงวนั นเ้ี ลา่ ? ฆตบัณฑติ ยืนอยรู่ ะหว่างวิถกี ราบทูลดงั นว้ี ่า “ขา้ แตพ่ ระเจา้ พ่ี หมอ่ มฉนั ปรารถนาสง่ิ ทเ่ี หน็ ปรากฏ อยู่แท้ๆ แต่เจ้าพ่ีทรงเศร้าโศกเพื่อทรงประสงค์สิ่งท่ีมิได้ ปรากฏอยู”่ เมือ่ จะแสดงธรรมถวายพระราชา ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาอีกว่า :- ๖. ฆตปณั ฑิตชาดก 71

มนษุ ย์หรอื เทวดาไมพ่ งึ ไดฐ้ านะอนั ใด คือ ความมงุ่ หวงั วา่ บตุ รของเราทเ่ี กดิ มาแลว้ อยา่ ตายเลย พระองคท์ รงปรารถนาฐานะอนั นั้นอยู่ จะพึงทรงได้ฐานะทีไ่ มค่ วรไดแ้ ตท่ ีไ่ หน ข้าแตพ่ ระองคผ์ ู้กณั หวงศ์ พระองคท์ รงเศรา้ โศก ถงึ พระโอรสองคใ์ ดผไู้ ปปรโลกแลว้ พระองคก์ ไ็ มส่ ามารถจะน�ำพระโอรสนน้ั มาได้ ด้วยมนต์ ยารากไม้ โอสถ หรือพระราชทรัพย์เลย. พระราชาทรงสดับดงั นนั้ แลว้ ตรสั ว่า “แนะ่ พอ่ ฆตบณั ฑติ คำ� ทกี่ ลา่ วนคี้ วรกำ� หนดไว้ ทา่ น ได้ทำ� ใหเ้ ราหายโศกแล้ว” เม่ือจะสรรเสริญฆตบัณฑิต จึงตรัสพระคาถา ๔ พระคาถาว่า :- บรุ ุษผู้เปน็ บัณฑติ เชน่ น้ี เปน็ อำ� มาตยข์ องพระราชา พระองคใ์ ด พระราชาพระองคน์ น้ั จะมคี วามโศกมาแตไ่ หน เหมอื นฆตบณั ฑิตดับความโศกของเราในวนั น้ี ฆตบัณฑิตไดร้ ดเราผูเ้ รา่ ร้อนให้สงบระงับ ดบั ความ กระวนกระวายทั้งปวงได้ เหมอื นบุคคลดบั ไฟทีต่ ิดเปรียง ดว้ ยน้�ำฉะน้นั 72 ชาดกคลายโศก

ฆตบัณฑิตได้ถอนลูกศรที่เสียบแทงหทัยของเรา ออกแล้ว ได้บรรเทาความโศกถึงบุตรของเราผู้ถูกความ เศร้าโศกครอบง�ำแลว้ หนอ เราเป็นผู้ถอนลูกศรออกได้แล้วปราศจากความโศก ไม่ขุ่นมัว จะไม่เศร้าโศก จะไม่ร้องไห้ เพราะได้ฟังค�ำ ของเจ้า นะน้อง ในอวสาน มีอภิสัมพุทธคาถา ซ่ึงมีเน้ือความง่าย ดงั นี้วา่ :- ผมู้ ปี ญั ญา มใี จกรณุ า ยอ่ มทำ� ผทู้ เ่ี ศรา้ โศกใหห้ ลดุ พน้ จากความเศร้าโศกได้ เหมือนฆตบัณฑิตท�ำพระเชษฐา ผูเ้ ศรา้ โศกใหห้ ลุดพ้นจากความเศรา้ โศก ฉะน้ัน. เมื่อพระเจ้าวาสุเทพผู้อันฆตบัณฑิตท�ำให้หมด ความโศกแล้วอย่างน้ีครองราชสมบัติอยู่ โดยล่วงไป แห่งกาลยืดยาวนาน พระกุมารโอรสของกษัตริย์พี่น้อง ทง้ั ๑๐ ปรกึ ษากนั วา่ เขากล่าวกันว่า กัณหทีปายนดาบสผู้มีตาดังทิพย์ พวกเราจักทดลองท่านดูก่อน จึงประดับกุมารเด็กผู้ชาย คนหนงึ่ แสดงอาการเหมอื นหญงิ มคี รรภ์ เอาลกู แกว้ มรกต ผูกไวท้ ีท่ ้อง แลว้ น�ำไปหาพระดาบสถามว่า ๖. ฆตปณั ฑิตชาดก 73

“ข้าแตท่ ่านผเู้ จรญิ เด็กหญงิ นจี้ กั คลอดหรือไม่ ?” พระดาบสพิจารณาดูรู้ว่า ‘กาลวิบัติของกษัตริย์ พี่น้อง ๑๐ องค์มาถึงแล้ว อายุสังขารของพวกเราเป็น เชน่ ไรหนอ ? ก็รวู้ า่ จักตายวันนแี้ น่’ จึงกลา่ ววา่ “กมุ ารทงั้ หลาย พวกทา่ นตอ้ งการอะไรดว้ ยเรอ่ื งน้ี ?” ถกู พวกกมุ ารเซา้ ซวี้ ่า “ขอท่านจงบอกแก่พวกกระผมเถิด พระเจา้ ข้า” จงึ กล่าววา่ “ต่อนไี้ ป ๗ วัน กมุ ารกิ าผ้นู ้ีจักคลอดป่มุ ไม้ตะเคยี น ออกมา ด้วยเหตุน้นั ตระกูลของวาสุเทพจักพินาศ” อน่ึง ท่านท้ังหลายจงเอาปุ่มไม้ตะเคียนน้ัน ไปเผา แล้วเอาเถ้าไปทง้ิ ในแมน่ ำ�้ ลำ� ดับนั้น พระกมุ ารเหล่านั้นกลา่ วกะพระดาบสว่า “ดูก่อนชฎิลโกง ธรรมดาผู้ชายออกลูกได้ไม่มีเลย” แล้วท�ำกรรมกรณ์ช่ือ ‘ตันตรัชชุกะ’๓๙ ให้ดาบสส้ินชีวิต ในทีน่ น้ั เอง. กษัตริย์พ่ีน้องท้ังหลาย เรียกพระกุมารมาตรัสถาม ว่า “พวกเจ้าฆา่ พระดาบสเพราะเหตไุ ร ?” ๓๙ ตนตฺ แปลวา่ ซงึ่ หกู รชชฺ กุ แปลวา่ บนเชอื กทง้ั หลาย 74 ชาดกคลายโศก

ครนั้ ไดส้ ดบั เรอื่ งทง้ั หมดแลว้ ทรงหวาดกลวั จงึ รกั ษา เดก็ น้นั ไว้ ครั้นถึงวันที่ ๗ ให้เผาปุ่มตะเคียนท่ีออกจากท้อง เด็กนน้ั แลว้ เอาเถา้ ไปทงิ้ ในแม่นำ้� เถ้านนั้ ถกู นำ�้ พดั ไปติด อยทู่ ี่ปากอา่ วข้างหนง่ึ เกิดเปน็ ตะไคร่น�้ำข้นึ ทีน่ ั้น. อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์เหล่าน้ันชวนกันทรงสมุทร กฬี า เสดจ็ ไปถงึ ปากอา่ วแลว้ ใหป้ ลกู มหามณฑปทรงเสวย ทรงดื่ม ทรงหยอกเย้ากันท่ีมหามณฑปซ่ึงตกแต่งงดงาม ใชพ้ ระหัตถ์และพระบาทถูกต้องกนั แต่เป็นไปด้วยอ�ำนาจ ความเยย้ หยนั จงึ ทะเลาะกนั ยกใหญ่ แตกกนั เปน็ สองพวก ล�ำดับนนั้ กษตั รยิ ์พระองคห์ นง่ึ เม่ือไม่ได้ไมต้ ะบอง อยา่ งอืน่ ก็ถอื ใบตะไครน้ �้ำแตก่ อตะไคร้น้�ำใบหน่งึ ใบตะไครน้ ำ�้ นน้ั พอถกู จบั เขา้ เทา่ นนั้ กก็ ลายเปน็ สาก ไม้ตะเคียน พระองค์ทรงตีมหาชนด้วยสากนั้นแล้ว สิ่งท่ี คนทงั้ หมดจับดว้ ยเขา้ ใจว่าเป็นอย่างอื่น ก็กลายเปน็ สาก ไปหมด เขาจงึ ประหารกันและกนั ถงึ ความพนิ าศสิ้น เม่ือเขาเหล่านนั้ กำ� ลงั พินาศอยู่ กษตั ริย์ ๔ องค์คอื วาสุเทพ พลเทพ อัญชนเทวีภคินี และปุโรหิต พากัน ขน้ึ รถหนไี ป พวกทเ่ี หลอื พากนั พนิ าศหมด กษตั รยิ ์ ๔ องค์ เหล่านั้นขนึ้ รถหนีไปถงึ ดงกาฬมตั ตกิ ะ ๖. ฆตปัณฑติ ชาดก 75

ก็มุฏฐิกะคนปล�้ำน้ันซ่ึงตั้งความปรารถนาไว้ได้เกิด เป็นยกั ษ์อยู่ในดงนั้น รู้วา่ ‘พลเทพมา’ กเ็ นรมติ รบา้ นข้ึน ที่น่ัน แปลงเพศเป็นคนปล�้ำเท่ียวโห่ร้องค�ำรามตบมือ ท้าทายวา่ “ใครต้องการสู้ ?” พลเทพพอเห็นเขาเหลา่ น้ันกก็ ล่าวว่า “ข้าแต่พระเจา้ พี่ หมอ่ มฉันจักสู้กับบรุ ษุ นี้เอง” เมื่อวาสุเทพห้ามอยู่น่ันแหละ ลงจากรถตบมือ เข้าไปหายักษ์นั้น ล�ำดับนั้น ยักษ์จึงจับมือท่ีเหยียดออก แลว้ กินพลเทพเสยี ดุจเหง้าบวั . วาสุเทพรู้ว่าพลเทพสิ้นชีวิต จึงพาภคินีและปุโรหิต เดนิ ทางไปตลอดคืน พอรุง่ สวา่ งกถ็ ึงปัจจันตคามต�ำบลหนง่ึ สงั่ ภคนิ แี ละ ปุโรหิตไปยังบ้านสั่งว่า “จงหุงอาหารแล้วน�ำมา” ตัวเอง เขา้ ไปนอนซอ่ นอย่ทู ีก่ อไม้กอหนง่ึ คร้ังนั้น นายพรานคนหน่ึงช่ือ ‘ชรา’ เห็นกอไม้ ไหวๆ เข้าใจวา่ ‘สกุ รจกั มีท่ีน่ัน’ จงึ พุ่งหอกไปถูกพระบาทวาสุเทพ เม่อื วาสุเทพตรสั วา่ “ใครแทงเรา ?” 76 ชาดกคลายโศก

นายพรานรู้วา่ ตนแทงมนษุ ย์ กต็ กใจกลัว ปรารภจะ หนไี ป พระราชาดำ� รงพระสตไิ ว้เสดจ็ ลกุ ขึน้ ตรสั เรียกวา่ “ดูกอ่ นลุง อย่ากลัวเลยจงมาเถดิ ” ครั้นนายพรานมาแลว้ จึงตรัสถามว่า “ท่านชอื่ อะไร ?” เมอ่ื นายพรานตอบวา่ “ขา้ แต่นาย ขา้ พเจา้ ชอื่ ‘ชรา’ ” ก็ทรงทราบว่า ‘นัยว่าคนรุ่นก่อนพยากรณ์เราไว้ว่า จกั ถกู นายชราแทงตาย วันนเ้ี ราคงตายโดยไมต่ ้องสงสยั ’ แลว้ ตรสั กะนายชราวา่ “ดกู อ่ นลงุ ทา่ นอยา่ กลวั เลย จงมาชว่ ยพนั แผลทเี่ ทา้ ให้เรา” ให้นายพรานชราพันปากแผลแล้ว ก็ส่งนายพราน นั้นไป เวทนามีก�ำลังได้เป็นไปอย่างแรงกล้า พระราชา ไมอ่ าจจะเสวยพระกระยาหารท่ีภคินีและปุโรหิตน�ำมาได้ ล�ำดบั นั้น พระองค์จงึ ตรสั เรยี กชนท้ังสองมาตรัสว่า “เราจกั ตายวนั น้ี กท็ า่ นทงั้ สองเปน็ สขุ มุ าลชาติ ไมอ่ าจ จะทำ� การงานอยา่ งอน่ื เลยี้ งชพี ได้ จงเรียนวิชานีไ้ ว”้ แลว้ ใหศ้ กึ ษาวชิ าอยา่ งหนง่ึ แลว้ สง่ เขากลบั ไป พระองค์ สนิ้ พระชนมอ์ ยู่ ณ ทนี่ น้ั เอง กษตั รยิ พ์ นี่ อ้ งทงั้ หมด นอกจาก อัญชนเทวีแล้วถงึ ความพินาศสนิ้ . ๖. ฆตปณั ฑติ ชาดก 77

พระศาสดา ครนั้ ทรงนำ� พระธรรมเทศนาน้มี าแสดง แล้วตรสั ว่า “ดูก่อนอุบาสก โบราณกบัณฑิตฟังด้วยค�ำของ บัณฑิตแล้ว ก�ำจัดความโศกถึงบุตรของตนออกได้ ทา่ นอยา่ คิดถงึ เขาเลย” ดงั นี้ แลว้ ทรงประกาศสจั ธรรม เวลาจบสจั จะ อบุ าสก ด�ำรงอย่ใู นโสดาปัตตผิ ล ประชมุ ชาดก โรหิเณยยอำ� มาตย์ในครงั้ นั้น ได้มาเปน็ พระอานนท์ ในบัดนี้ วาสุเทพในครั้งนัน้ ได้มาเป็น พระสารบี ตุ ร ในบดั นี้ พวกทเี่ หลอื นอกนี้ในครั้งนน้ั ได้มาเปน็ พุทธบรษิ ัท สว่ นฆตบัณฑติ ในคร้ังน้ัน ไดม้ าเปน็ เราผ้สู ัมมาสมั พุทธะ 78 ชาดกคลายโศก

๗) สคิ าลชาดก๔๐ วา่ ด้วย การทำ� โดยไมพ่ จิ ารณา สถานท่ตี รสั กฏู าคารศาลา ป่ามหาวัน เมอื งเวสาลี ทรงปรารภ บตุ รชา่ งกลั บกคนหนึง่ ซ่ึงอยู่เมืองเวสาลี สาเหตทุ ต่ี รสั ได้ยินว่า บิดาของเขาเป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส ถึงไตรสรณคมน์ สมาทานศีล ๕ กระท�ำกิจทุกอย่าง เป็นตน้ ว่า ปลงพระมัสสุ แตง่ พระเกศา ตงั้ กระดานสะกา แด่พระราชา พระมเหสี พระราชกมุ าร และพระราชกมุ ารี ยงั กาลเวลาใหล้ ว่ งไปดว้ ยการฟงั ธรรมของพระศาสดาเนอื งๆ. วนั หนง่ึ บดิ าไปทำ� งานในราชนเิ วศน์ พาบตุ รของตน ไปดว้ ย. บตุ รน้นั เห็นนางกุมารกิ าแห่งเจ้าลิจฉวอี งค์หนง่ึ ในราชนิเวศน์นั้น ประดับประดาด้วยเคร่ืองอลังการ เปรยี บด้วยนางเทพอัปสร มจี ิตปฏิพทั ธ์ ๔๐ ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก จตกุ กนบิ าตชาดก, ล.๕๗, น.๑๐, มมร. (มชี อื่ เรอื่ งซำ้� อกี ๓ เรอื่ ง วา่ ดว้ ยพราหมณเ์ ชอื่ สนุ ขั , วา่ ดว้ ย แสรง้ ทำ� เปน็ ตาย, วา่ ดว้ ยสนุ ขั เขา้ อยใู่ นทอ้ งชา้ ง) ๗. สิคาลชาดก 79

80 ชาดกคลายโศก

ครัน้ ออกจากราชนิเวศนก์ ับบดิ าแล้ว คิดว่า ‘เมอ่ื เราได้นางกมุ ารกิ านี้ จึงจกั มีชีวิตอยู่ เมื่อไมไ่ ด้ เราจักตายเสียในทน่ี ่แี หละ’ จึงอดอาหารนอนซมเซาอยบู่ นเตยี ง. ล�ำดับนนั้ บดิ าเข้าไปหาบตุ รปลอบโยนว่า “ลกู เอย๋ ลกู อยา่ ทำ� ความพอใจยนิ ดใี นสง่ิ ทไี่ มส่ มควร เลย ลกู เปน็ คนมกี �ำเนิดต�่ำตอ้ ย เป็นลกู ชา่ งกลั บก สว่ นกมุ ารกิ าของเจา้ ลจิ ฉวี เปน็ ธดิ ากษตั รยิ ์ สมบรู ณ์ ด้วยชาติ นางไมส่ มควรแกเ่ จา้ ดอก พอ่ จักนำ� กุมารกิ าอน่ื ท่ีเหมาะสมดว้ ยชาตแิ ลโคตรมาใหล้ ูก.” บุตรมิได้เชื่อถ้อยค�ำของบิดา. ต่อมาญาติและ มิตรสหาย คือ มารดา พ่ีชายน้องสาว น้าอาท้ังหมด ประชุมกันช้ีแจง ก็ไม่อาจให้ยินยอมได้ เขาผอมซูบซีด นอนตายอยู่บนเตียงนน่ั เอง. บดิ าของเขา ครน้ั ทำ� ฌาปนกจิ เสรจ็ แลว้ เมอ่ื ความโศก สร่างลง คดิ ว่า ‘เราจักถวายบงั คมพระศาสดา’ จงึ ถอื ของหอม ดอกไมเ้ ป็นตน้ และเคร่อื งลบู ไลเ้ ปน็ อันมาก ไปป่ามหาวัน บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง เมอื่ พระศาสดาตรัสถามว่า ๗. สิคาลชาดก 81

“อุบาสก เพราะอะไร ? ทา่ นจึงไม่ปรากฏตลอดวัน.” เขาได้กราบทูลความนนั้ ให้ทรงทราบ พระศาสดาตรสั วา่ “อบุ าสก บตุ รของทา่ นเกดิ พอใจยนิ ดใี นสงิ่ อนั ไมส่ มควร แลว้ ถงึ ความพนิ าศ มใิ ชใ่ นบดั นเ้ี ทา่ นน้ั แมเ้ มอื่ กอ่ น บุตร ของท่านกไ็ ด้ถงึ ความพนิ าศมาแลว้ .” เมอื่ เขาทลู อาราธนา จงึ ทรงน�ำเรอ่ื งในอดตี มา. เนื้อหาชาดก กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อพระเจ้าพรหมทัต เสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี พระโพธสิ ัตว์อุบัติในกำ� เนดิ ราชสหี ์ ณ ป่าหิมพานต์ มีน้องชาย ๖ ตัวและน้องสาว ๑ ตัว อาศัยอยู่ในถ�้ำทอง แห่งหน่ึงในป่าหิมพานต์ ในท่ีไม่ไกลจากถ้�ำทองน้ันมีถ้�ำ แกว้ ผลกึ อยถู่ ำ�้ หนงึ่ เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ของสนุ ขั จง้ิ จอกตวั หนง่ึ ต่อมาเม่ือพ่อแม่ของราชสีห์ได้ตายลง ราชสีห์ผู้พ่ี จงึ ใหร้ าชสหี น์ อ้ งสาวอยเู่ ฝา้ ถำ้� สว่ นพวกตนออกหาอาหาร เม่ือได้อาหารแล้วก็จะพากันกินส่วนหนึ่ง น�ำอาหาร อีกส่วนหน่ึงมามอบให้น้องสาวที่ถ�้ำ เป็นลักษณะเช่นน้ี ประจำ� 82 ชาดกคลายโศก

อยู่มาวันหหนึ่ง เมื่อราชสีห์ผู้พ่ีทั้ง ๗ ตัวออกไป หาอาหารแล้ว สุนัขจ้ิงจอกที่อาศัยอยู่ถ้�ำแก้วผลึกได้มาท่ี ถำ�้ ทองพรอ้ มกับพดู เก้ยี วพาราสนี างราชสหี ส์ าวว่า “แม่ราชสีห์นอ้ ย เรามี ๔ เทา้ เจ้ากม็ ี ๔ เท้า เจา้ จง เปน็ ภรรยาของเราเสียเถดิ ” นางราชสีห์สาวได้ฟังค�ำของสุนัขจ้ิงจอกพูดเช่นนั้น ก็คิดน้อยใจว่า ‘เราเป็นสัตว์ตระกูลสูง สุนัขจ้ิงจอกเป็น สัตว์ตระกูลต�่ำ มันพูดไม่ไพเราะเลย เราจะมีชีวิตอยู่ไป ทำ� ไม ? จะกลนั้ ใจตายเสยี ดกี วา่ ’ แต่ก็นึกข้ึนได้ว่า ‘รอให้พวกพี่กลับมาก่อนดีกว่า เลา่ ให้พวกเขาฟังแลว้ ค่อยตาย’ จึงไมพ่ ูดตอบอะไร เม่ือไมไ่ ด้รับค�ำตอบสุนัขจ้งิ จอก ก็เดนิ กลบั ถ�ำ้ ของตนไป ราชสีห์หนุ่มทั้ง ๖ ตัวกลับมาถึงถ้�ำก่อน เมื่อได้ รับฟังค�ำบอกเล่าจากน้องสาวแล้วโกรธมาก ถามถึงท่ีอยู่ ของสุนขั จ้ิงจอก นางราชสหี เ์ พราะไมเ่ คยออกไปจากถำ้� สกั ครงั้ เขา้ ใจ วา่ ‘สนุ ขั จงิ้ จอกอยกู่ ลางแจ้ง’ จงึ บอกไปวา่ “มนั อย่กู ลางแจ้งท่เี ชิงเขาละพ”ี่ ราชสีห์เหล่านั้นด้วยอารมณ์โกรธจึงว่ิงไปหาสุนัข- ๗. สิคาลชาดก 83

จ้ิงจอกด้วยความเร็ว หวังจะขย�้ำให้ตายครั้งเดียว ได้ชน เขา้ กบั ถ�ำ้ ผลกึ นอนตายอยทู่ ี่ น่นั เองทงั้ ๖ ตัว ตกเย็นเมื่อราชสีห์โพธิสัตว์กลับมาถึงถ�้ำทราบ เหตกุ ารณ์นั้นแลว้ พอนอ้ งสาวบอกว่า “สนุ ขั จง้ิ จอกอยกู่ ลางแจง้ ทเ่ี ชงิ เขา” เทา่ นนั้ กค็ ดิ ไดว้ า่ ‘พวกสุนัขจิ้งจอกไม่เคยอาศัยอยู่กลางแจ้ง มันต้อง นอนอยใู่ นถ�ำ้ แก้วผลกึ แนน่ อน’ จึงเดินไปท่ีเชิงเขาเห็นราชสีห์น้องชายทั้ง ๖ ตัว นอนตายอยู่ จึงพูดข้นึ ว่า “พวกนคี้ งจะไมร่ วู้ า่ สนุ ขั จง้ิ จอกนอนอยใู่ นถำ้� แกว้ ผลกึ เพราะไมท่ นั ใชป้ ญั ญาพจิ ารณาตรวจสอบ จงึ วงิ่ ชนถำ�้ ตาย เสียหมด การงานของผู้ไม่พิจารณาแล้วรีบท�ำ ย่อมเป็น อยา่ งนีก้ ันทุกคนแหละ” แลว้ กลา่ วเปน็ คาถาวา่ “การงานเหล่านั้นย่อมเผาบคุ คลผู้มิได้พจิ ารณา แล้วรีบร้อนจะทำ� ใหเ้ สรจ็ เหมือนกบั ของรอ้ น ทบ่ี คุ คลไมพ่ จิ ารณาก่อนแล้ว ใส่เขา้ ไปในปาก” เมอื่ กลา่ วจบกข็ น้ึ ไปทปี่ ากถำ้� แกว้ ผลกึ คำ� รามเสยี งดงั ข้นึ ๓ คร้ัง ทำ� ใหส้ นุ ขั จงิ้ จอกทีน่ อนหวาดกลวั อยู่ในถ�้ำน้นั 84 ชาดกคลายโศก

หวั ใจวายตายไปเอง จงึ ปกคลมุ พวกนอ้ งๆ ไวใ้ นทแ่ี หง่ หนง่ึ แล้วกลบั ไปถำ�้ เลา่ เรอ่ื งราวใหน้ อ้ งสาวฟงั แลว้ พดู ปลอบใจ น้องสาวให้หายความน้อยใจ ได้อาศัยอยู่ท่ีน้ันจนตราบ สิ้นชีวิต พระศาสดา ครั้นทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจธรรม ประชมุ ชาดก ในเวลาจบสัจธรรม อุบาสกต้งั อยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล ประชมุ ชาดก สนุ ขั จิง้ จอกในครั้งนนั้ ไดเ้ ปน็ บตุ รช่างกลั บก ในบดั น้ี. นางราชสีห์ ไดเ้ ป็น กมุ าริกาแห่งเจา้ ลิจฉวี น้องๆ ทง้ั หก ได้เป็น พระเถระรปู ใดรูปหนึ่ง สว่ นราชสีหพ์ ใ่ี หญ่ ได้เป็น เราตถาคต น้ีแล. ๗. สิคาลชาดก 85

86 ชาดกคลายโศก

๘) อสั สกชาดก๔๑ ว่าดว้ ย ไมร่ ูข้ องจรงิ เพราะมสี งิ่ ใหม่ๆ ปิดไว้ สถานทต่ี รสั พระเชตวนั มหาวิหาร ทรงปรารภ การเลา้ โลมของภรรยาเกา่ (ของภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ) สาเหตุที่ตรัส ความย่อมวี ่า ภิกษนุ ้นั พระศาสดาตรัสถามว่า “ดูกอ่ นภิกษุ ได้ยินว่า เธอกระสันจริงหรอื ?” กราบทลู วา่ “จริง พระเจ้าข้า” ตรัสถามว่า “เพราะเหตุไร ? เธอจงึ กระสนั ” กราบทูลว่า “เพราะภรรยาเก่า พระเจ้าข้า.” จงึ ตรสั วา่ “ดูก่อนภกิ ษุ หญิงนัน้ มีความรกั ในเธอ มิใช่ในบัดน้ี เทา่ นน้ั แมเ้ มอื่ กอ่ น เธอกไ็ ดร้ บั ทกุ ขใ์ หญห่ ลวง เพราะอาศยั หญิงนนั้ เหมือนกัน” แล้วทรงน�ำเร่ืองอดีตมาตรสั เล่า ๔๑ ปรมตั ถทปี นี อรรถกถาชาดก ทกุ นบิ าต, ล.๕๗, น.๓๐๔, มมร. ๘. อสั สกชาดก 87

เนอ้ื หาชาดก พระเจา้ อสั สกะครองราชสมบตั อิ ยใู่ นนครปาฏลบี ตุ ร แคว้นกาสี ทรงมีพระชายาที่งดงามดุจเทพธิดามีกิริยา มารยาทดี นามว่า ‘อุพพร’ี ทงั้ ๒ พระองคใ์ ชช้ ีวติ คอู่ ย่าง มีความสุข ปกครองบา้ นเมอื งใหส้ งบร่มเย็นตลอดมา อยู่มาไม่นานพระชายาสิ้นพระชนม์ พระราชาทรง เศรา้ โศกเสยี พระทยั ไมย่ อมวา่ ราชการ เสวยพระกระยาหาร น้อยลงทุกวัน บางวันก็ไม่ยอมเสวย มีอาการเหม่อลอย อยู่ตลอดเวลา วันหนึ่งพระองค์มีรับสั่งให้เชิญพระศพของพระนาง ใส่น้�ำมันหล่อไว้ยกไปต้ังบนเตียงนอนในห้องบรรทม เพราะยงั ทรงทำ� ใจไมไ่ ด้ ในกาลนน้ั พระโพธสิ ตั วเ์ ปน็ ดาบส สำ� เรจ็ อภญิ ญาหา้ และสมาบตั แิ ปด อยใู่ นหมิ วนั ตประเทศ เจรญิ อาโลกกสณิ ๔๒ ตรวจดูชมพูทวีปด้วยทิพยจักษุ รู้ว่า ‘พระราชาเศร้าโศก เสียพระทัย’ จึงอยากจะช่วยเหลือ ก็เหาะลงมาพ�ำนัก อยู่ทอี่ ุทยานหลวง อ�ำมาตย์ได้พบเห็นพระฤาษีก็เกิดความศรัทธา จงึ เขา้ ไปขอรอ้ งใหพ้ ระฤาษชี ว่ ยใหพ้ ระราชาหายเศรา้ โศก เพราะพระองคเ์ ปน็ พระราชาท่ที รงธรรม ๔๒ น.การเจรญิ สมถกรรมฐานโดยตงั้ ใจเพง่ แสงสวา่ งเปน็ อารมณ.์ 88 ชาดกคลายโศก

เมอ่ื พระฤาษีรับปากจะชว่ ยอ�ำมาตย์ จงึ ไปกราบทลู ใหพ้ ระราชามาหาพระฤาษี เพยี งครเู่ ดยี วพระราชากเ็ สดจ็ มาถึงอุทยาน พระราชานมสั การพระฤาษแี ลว้ ตรสั อยากทราบวา่ “พระนางไปเกดิ ท่ใี ด ?” พระฤาษที ลู วา่ “พระนางหลงใหลในความงามของตน จนไมท่ ำ� บุญ ท�ำกุศลใดๆ จึงไปเกดิ ใหม่เป็นหนอนข้ีวัว” พระราชาไม่ทรงเชอื่ พระฤาษีจงึ อธษิ ฐานให้หนอน ๒ ตวั ผดุ มาจากข้วี วั หนอน ๒ ตวั เปน็ ผัวเมยี กนั หนอน ตัวเมยี ชือ่ ‘อพุ พร’ี พระฤาษพี ดู กบั หนอน ‘เจ้าอุพพร’ี “ทา่ นเรยี กขา้ ทำ� ไมหรือเจา้ คะ ?” “ชาตทิ แ่ี ล้วเจา้ เกิดเป็นอะไร ?” “ชาติท่ีแล้วเราเกิดเป็นมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ นามว่า ‘อุพพร’ี เจ้าค่ะ” “และตอนน้ีพระราชายังเป็นท่ีรักของเจ้าเหมือน ชาตทิ ี่แลว้ หรือเปลา่ ?” “ไมเ่ ลยเจ้าค่ะ ชาตนิ ี้ ขา้ รกั แต่หนอนข้วี วั ผัวของข้า ตวั เดียว” ๘. อัสสกชาดก 89

พระราชาทรงสดับเช่นน้ันก็แค้นพระทัย รับส่ังให้ ทหารนำ� ศพของพระนางออกเผา อกี ไมน่ านกท็ รงอภเิ ษก กบั หญิงอ่นื เป็นพระมเหสี ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม. ฝ่ายพระโพธิสัตว์ถวายโอวาทพระราชาให้ทรงหาย โศกแล้ว ก็ไดก้ ลับไปยังป่าหมิ พานต.์ พระศาสดาทรงน�ำพระธรรมเทศนาน้ีมาแล้ว ทรง ประกาศสจั ธรรม ทรงประชุมชาดก. เมอ่ื จบสจั ธรรม ภกิ ษผุ กู้ ระสนั ไดต้ งั้ อยใู่ นโสดาปตั ตผิ ล. ประชมุ ชาดก พระเทวอี พุ พรใี นครั้งนั้น ได้เป็น ภรรยาเก่า (ของภิกษนุ ้นั ) ในครงั้ นี้ พระเจา้ อัสสกะ ไดเ้ ปน็ ภกิ ษกุ ระสัน มาณพ ได้เปน็ สารีบตุ ร สว่ นดาบส คือ เราตถาคต นีแ้ ล. 90 ชาดกคลายโศก

๙) อนนโุ สจิยชาดก๔๓ ว่าด้วย ทุกคนจะต้องตายควรเมตตากัน สถานทีต่ รสั พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ กฎมุ พีคนหนึ่งผู้มภี รรยาตาย สาเหตทุ ่ตี รสั กฎุมพีคนหน่ึง เม่ือภรรยาตายแล้วไม่อาบน้�ำ ไมร่ บั ประทานขา้ ว ไมป่ ระกอบการงาน ถกู ความโศกครอบงำ� ไปป่าช้าเท่ียวปริเทวนาการอยู่อย่างเดียว แต่อุปนิสัย แห่งโสดาปัตติมรรคโพลงอยู่ในภายในของกฎุมพีน้ัน เหมือนประทีปโพลงอยใู่ นหมอ้ ฉะน้นั . ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลก ได้ ทอดพระเนตรเหน็ กฎมุ พีน้นั ทรงพระด�ำรวิ ่า ‘เวน้ เราเสยี ใครๆ อื่นผจู้ ะนำ� ความโศกออก แล้วให้ โสดาปตั ตมิ รรคแกก่ ฎมุ พนี ี้ ยอ่ มไมม่ ี เราจกั เปน็ ทพี่ งึ อาศยั ของกฎมุ พนี น้ั ’ จึงเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ทรงพา ปจั ฉาสมณะไปยงั ประตเู รือนของกฎมุ พนี ้ัน ๔๓ ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก จตกุ กนบิ าตชาดก, ล.๕๘, น.๕๖๙, มมร. ๙. อนนโุ สจิยชาดก 91

92 ชาดกคลายโศก

กฎมุ พไี ดส้ ดบั การเสดจ็ มา ทรงมสี กั การะมกี ารลกุ รบั เป็นต้นอันกฎุมพีกระท�ำแล้ว ประทับน่ังบนอาสนะท่ีเขา ปูลาด แลว้ ตรสั ถามกฎมุ พีผูม้ าน่ังอยู่ ณ สว่ นขา้ งหน่งึ ว่า “อบุ าสก ทา่ นคิดอะไรหรือ ?” เมื่อกฎมุ พีนัน้ กราบทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของ ขา้ พระองค์ตาย ข้าพระองคเ์ ศรา้ โศกถงึ เขาจงึ คดิ อย่.ู ” จึงตรัสว่า “อุบาสก ขึ้นช่ือว่าสิ่งท่ีมีการแตกเป็น ธรรมดา ย่อมแตกไป เมื่อมันแตกไปจึงไม่ควรคิด แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อภรรยาตายแล้วก็ยัง ไม่คดิ ว่า ส่ิงท่มี กี ารแตกเป็นธรรมดาไดแ้ ตกไปแลว้ ” อนั กฎมุ พนี นั้ ทลู อาราธนา จงึ ทรงนำ� เอาเรอื่ งในอดตี มาสาธกดงั ต่อไปนี้. เร่ืองในอดีตจักมีแจ้งใน จุลลโพธิชาดก ในทสก- นบิ าต. สว่ นในที่นี้มีความสังเขปดงั ต่อไปน้ี :- เนื้อหาชาดก ในอดตี กาล เมอื่ พระเจา้ พรหมทตั ครองราชสมบตั อิ ยู่ ในนครพาราณสี พระโพธสิ ัตว์บังเกิดในตระกลู พราหมณ์ ๙. อนนโุ สจิยชาดก 93

เจริญวัยแลว้ เลา่ เรียนศลิ ปะท้งั ปวงในเมอื งตกั กสลิ า แลว้ ได้กลบั ไปยงั สำ� นกั ของบดิ ามารดา. ในชาดกน้ี พระโพธสิ ัตวไ์ ด้เปน็ พรหมจารีแต่ยังเปน็ กุมาร. ลำ� ดับนนั้ บิดามารดาของพระโพธสิ ัตว์นัน้ บอกวา่ “เราจักจดั การแสวงหาภรรยาให้แก่เจา้ .” พระโพธิสตั วก์ ลา่ ววา่ “ลกู ไมม่ คี วามตอ้ งการครองเรือน เมือ่ ทา่ นทงั้ หลาย ลว่ งไปแล้ว ลูกจกั บวช” ถูกบิดามารดานั้นรบเร้าอยู่บ่อยๆ จึงให้ช่างท�ำรูป ทองค�ำรปู หน่ึง แลว้ พูดว่า “ลกู ไดก้ ุมาริกาเหน็ ปานนี้ จึงจกั รบั ครองเรือน.” บดิ ามารดาของพระโพธสิ ตั วน์ นั้ จงึ ใหย้ กรปู ทองคำ� นนั้ ขึ้นบนยานอันมิดชดิ แลว้ สง่ คนทง้ั หลายพรอ้ มทง้ั บริวาร เปน็ อันมากไปโดยส่งั ว่า “พวกท่านจงไป จงเที่ยวไปยังพื้นชมพูทวีป เห็น กมุ าริกาผเู้ ป็นพราหมณซ์ ึง่ งามเหน็ ปานน้ใี นที่ใด ท่านท้ังหลายจงให้รูปทองค�ำน้ีในท่ีน้ัน แล้วน�ำ นางพราหมณกุมารกิ านน้ั มา.” 94 ชาดกคลายโศก

ก็ในกาลนั้น สัตว์ผู้มีบุญคนหน่ึงจุติจากพรหมโลก บังเกิดเป็นกุมาริกาในเรือนพราหมณ์ผู้มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ในนิคมคามแควน้ กาสีนนั่ เอง บดิ ามารดาไดข้ นานนามกมุ ารกิ านนั้ วา่ ‘สมั มลิ ลหา- สนิ .ี ’ กมุ ารกิ านน้ั ในเวลามอี ายุ ๑๖ ปี เปน็ ผมู้ รี ปู งามชวนชม เปรยี บดว้ ยนางเทพอปั สร สมบรู ณท์ ว่ั สารพางคก์ าย. ช่ือว่า ‘ความคิดด้วยอ�ำนาจกิเลส’ ไม่เคยเกิดข้ึน แก่นางเลย นางไดเ้ ป็นสาวพรหมจารินโี ดยแท้จรงิ . ชนทั้งหลายพารูปทองค�ำน้ันเที่ยวไปถึงบ้านน้ัน คนทง้ั หลายในบา้ นนนั้ เหน็ รปู ทองคำ� นนั้ แลว้ พากนั กลา่ ววา่ “เพราะเหตไุ ร? นางสมั มลิ ลหาสนิ ี ธดิ าของพราหมณ์ ชอื่ โน้น จึงมายนื อยู่ท่นี .ี้ ” คนทั้งหลายได้ฟังดังนั้น จึงไปยังตระกูลพราหมณ์ สู่ขอนางสมั มิลลหาสนิ นี ั้น. นางจึงสง่ ขา่ วแก่บดิ ามารดาว่า ‘เม่ือท่านทั้งสองล่วงลับไปแล้ว ดิฉันจักบวช ดิฉัน ไม่ต้องการครองเรือน.’ บิดามารดานน้ั จึงกลา่ วว่า “กุมารกิ า เจา้ จะทำ� อะไรได้” ๙. อนนุโสจยิ ชาดก 95

แล้วรับเอารูปทองค�ำ ส่งนางไปด้วยบริวารเป็น อันมาก. เม่ือพระโพธิสัตว์และนางสัมมิลลหาสินีท้ังสองคน ไม่ปรารถนาเลย บิดามารดากท็ ำ� การมงคลสมรสให้. คนท้ังสองนั้นอยู่ในห้องเดียวกัน แม้จะนอนอยู่บน ท่ีนอนเดียวกัน ก็ไม่ได้แลดูกันและกันด้วยอ�ำนาจกิเลส อยู่ในสถานที่เดียวกัน เหมือนภิกษุ ๒ รูปและเหมือน พรหม ๒ องค์ อยูใ่ นท่ีเดยี วกันฉะนน้ั . จ�ำเนียรกาลล่วงมา บิดามารดาของพระโพธิสัตว์ ไดท้ ำ� กาลกริ ยิ าตายลง พระโพธสิ ตั วน์ น้ั กระทำ� การฌาปนกจิ สรรี ะของบดิ ามารดาแลว้ เรยี กนางสมั มลิ ลหาสนิ มี ากลา่ ววา่ “นางผู้เจริญ เธอจงถอื เอาทรพั ย์น้ี มปี ระมาณเทา่ น้ี คอื ทรพั ย์ ๘๐ โกฏอิ นั เปน็ ของตระกลู พี่ และทรพั ย์ ๘๐ โกฏิ อันเป็นของตระกูลเธอ แล้วปกครองทรัพย์สมบัติน้ีเถิด พีจ่ กั บวช.” นางสมั มลิ ลหาสนิ กี ล่าววา่ “ข้าแต่ลูกเจ้า เม่ือท่านบวชดิฉันก็จักบวช ดิฉัน ไมอ่ าจทอดท้งิ ท่านได.้ ” คนท้ังสองน้ันจึงสละทรัพย์ท้ังหมดในทางทาน ละทิ้งสมบัติเหมือนก้อนเขฬะ เข้าไปยังหิมวันตประเทศ 96 ชาดกคลายโศก

ท้ังสองคน บวชเป็นฤาษี มีรากไม้และผลไม้ในป่าเป็น อาหาร อยู่ในหิมวันตประเทศนั้นช้านาน เพ่ือต้องการ จะเสพรสเค็มและ รสเปรี้ยว จึงลงจากหิมวันตประเทศ ถงึ เมอื งพาราณสีโดยล�ำดบั แล้วอย่ใู นพระราชอุทยาน. เมื่อดาบสและดาบสินีทั้งสองน้ันอยู่ในพระราช- อุทยานน้ัน เมื่อปริพาชิกาผู้สุขุมาลชาติบริโภคภัต อนั เจือปนปราศจากโอชะ ก็เกิดอาพาธลงโลหติ . นางเมอ่ื ไมไ่ ดเ้ ภสชั อนั เปน็ สปั ปายะกไ็ ดอ้ อ่ นกำ� ลงั ลง. ในเวลาภกิ ขาจาร พระโพธิสัตว์ไดพ้ ยงุ นางนำ� ไปยงั ประตู พระนคร แล้วใหน้ อนบนแผน่ กระดาน ณ ศาลาหลงั หนง่ึ สว่ นตนเข้าไปภกิ ขาจาร. นาง เมอ่ื พระโพธสิ ตั วน์ น้ั ยงั ไมก่ ลบั ออกมาเลย กไ็ ด้ ทำ� กาลกริ ยิ าตายไป. มหาชนเหน็ รปู สมบตั ขิ องปรพิ าชกิ า พากนั หอ้ มลอ้ ม ร้องไห้ร่�ำไร. พระโพธิสัตว์เที่ยวภิกขาแล้วกลับมารู้ว่า ‘นางตายแล้ว’ ด�ำริว่า ‘ส่ิงท่ีมีอันจะแตกไปเป็นธรรมดา ย่อมแตกไป สังขารท้ังปวงไม่เท่ียงหนอ มคี ตอิ ย่างนเี้ อง’ แล้วนั่งบนแผ่นกระดานที่นางนอนอยู่นั่นแหละ บรโิ ภคโภชนะอันระคนกนั แลว้ บ้วนปาก. มหาชนท่ียนื หอ้ มลอ้ มถามวา่ ๙. อนนุโสจิยชาดก 97

“ท่านผู้เจรญิ ปริพาชิกานี้เป็นอะไรกบั ทา่ น ?” พระโพธสิ ัตวก์ ล่าววา่ “เมอื่ เวลาเปน็ คฤหสั ถ์ นางเปน็ บาทบรจิ ารกิ าของเรา.” มหาชนกลา่ วว่า “ท่านผู้เจริญ พวกเรายังอดทนไม่ได้ก่อน พากัน รอ้ งไหร้ �่ำไร เพราะเหตไุ ร ? ทา่ นจงึ ไมร่ ้องไห.้ ” พระโพธิสัตวก์ ลา่ ววา่ “นางปริพาชิกานี้ เม่ือยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นอะไรๆ กบั เรา บดั น้ี ไมเ่ ปน็ อะไรๆ กนั เพราะนางเปน็ ผสู้ มคั รสมาน กับปรโลก ไปสูอ่ ำ� นาจของคนอื่นแลว้ เราจะร้องไห้เพราะ อะไร ?” เมอื่ จะแสดงธรรมแกม่ หาชน จงึ ไดก้ ลา่ วคาถาเหลา่ นี้ วา่ :- นางสมั มลิ ลหาสนิ ผี เู้ จรญิ ไดไ้ ปอยใู่ นระหวา่ ง พวกสตั ว์ ท่ีตายไปแล้วเป็นจ�ำนวนมาก เมื่อนางไปอยู่กับพวกสัตว์ เหล่านน้ั จกั ช่อื วา่ ‘เป็นอะไรกับเรา’ เพราะฉะน้นั เราจงึ มไิ ด้เศร้าโศกถึงนางสมั มิลลหาสนิ ีผเู้ ปน็ ทร่ี ักน้ี. ถา้ บคุ คลจะเศร้าโศก ถงึ สิง่ ทไี่ ม่มีแก่สัตว์ผู้เศร้าโศก นั้น พงึ เศร้าโศกถึงตนซึ่งตกอยู่ในอำ� นาจของมจั จุราชอยู่ ทุกเวลา. 98 ชาดกคลายโศก

อายุสงั ขารใชว่ า่ จะติดตามเฉพาะสัตว์ผูย้ นื นง่ั นอน หรือเดินอยู่เท่าน้ันก็หาไม่ แม้ในเวลาชั่วลืมตาหลับตา วยั กเ็ สือ่ มไปแล้ว. ในตนซึ่งเป็นทางอันตรายนั้นหนอ ต้องมีความ พลัดพรากจากกัน โดยไม่ต้องสงสัย หมู่สัตว์ที่ยังอยู่ควร เอ็นดกู ัน สว่ นท่ีตายไปแล้วไมค่ วรเศรา้ โศกถึง. พระมหาสัตว์ เม่ือแสดงอาการไม่เที่ยงด้วยคาถา ๔ คาถาอย่างน้ี แสดงธรรมแล้ว. มหาชนพากันกระท�ำฌาปนกิจสรีระของนางปริพา- ชิกาแลว้ . พระโพธสิ ัตวเ์ ข้าไปยังหมิ วันตประเทศ ท�ำฌาน และอภญิ ญาใหบ้ งั เกดิ ไดม้ พี รหมโลกเปน็ ทไี่ ปในเบอื้ งหนา้ . พระศาสดา ครั้นทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบ สจั จะ กฎมุ พีไดด้ �ำรงอย่ใู นโสดาปัตติผล. ประชุมชาดก. นางสัมมลิ ลหาสินใี นครั้งน้นั ไดเ้ ป็น ราหุลมารดา ส่วนดาบสในครง้ั นน้ั ได้เปน็ เราตถาคต ฉะนี้แล. ๙. อนนโุ สจิยชาดก 99

100 ชาดกคลายโศก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook