Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ธรรมะคลายโศก

ธรรมะคลายโศก

Published by Sarapee District Public Library, 2020-11-06 09:28:35

Description: ธรรมะคลายโศก
โดย สิริปุณฺโณ

Keywords: ธรรมะ

Search

Read the Text Version

พระเจ้ามุณฑะตรัสชมว่า “ท่านผู้เจริญ โสกสัลล- หรณธรรมปริยายดีนัก โสกสัลลหรณธรรมปริยายดีนัก ท่านผู้เจริญ เพราะได้ฟังธรรมปริยายน้ี ข้าพเจ้าจึงละ ลูกศร คือ ความโศกได้” ครั้งนั้นพระเจ้ามุณฑะได้ตรัสส่ังโสการักขะมหา- อ�ำมาตย์ว่า “ท่านจงถวายพระเพลิงพระศพ พระนาง ภทั ทาราชเทวี แลว้ จงึ ทำ� เปน็ สถปู ไว้ ตง้ั แตว่ นั นไี้ ป เราจกั อาบนำ�้ แต่งตัว บริโภคอาหาร และประกอบการงาน ฯ” นารทสูตร 101 www.kalyanamitra.org

102 www.kalyanamitra.org

๙. ฐานสตู ร๑๖ ว่าด้วยฐานะ ๕ ประการ ท่ีใครๆ ไม่พงึ ได้ ข้าพเจา้ ไดส้ ดับมาอย่างนี้ :- ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการน้ี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่พึงได้ ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ ฐานะว่า ขอสิ่งท่ีมคี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา [ของเรา] อยา่ แก่ ๑ ขอสิ่งที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา [ของเรา] อย่า เจบ็ ไข้ ๑ ขอสง่ิ ทมี่ คี วามตายเปน็ ธรรมดา [ของเรา] อยา่ ตาย ๑ ขอสง่ิ ท่ีมคี วามสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดา [ของเรา] อยา่ ส้ิน ไป ๑ ขอสิ่งท่ีมีความฉิบหายเป็นธรรมดา [ของเรา] อย่า ฉบิ หาย ๑ อันสมณะพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก ไม่พึงได้ ๑๖ อัง.ปญจฺ , ล.๓๖, น.๑๐๖, มมร. ฐานสูตร 103 www.kalyanamitra.org

ดกู รภกิ ษุทัง้ หลาย ส่ิงท่ีมีความแก่เป็นธรรมดาของปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อมแก่ไป เม่ือสิ่งท่ีมีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว เขาย่อมไม่เห็นดังน้ีว่า ‘ไมใ่ ชส่ งิ่ ทมี่ คี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา ของเราผู้เดียวเท่านั้น แก่ไป โดยที่แท้ สิ่งท่ีมีความแก่ เป็นธรรมดาของสัตว์ท้ังปวงที่มีการมา การไป การจุติ การอปุ บตั ิ ย่อมแกไ่ ปทัง้ ส้ิน’ ส่วนเราเอง ก็เม่ือสิ่งท่ีมีความแก่เป็นธรรมดาแก่ ไปแล้ว พึงเศร้าโศก ล�ำบาก ร�่ำไร ทุบอก คร�่ำครวญ หลงงมงาย แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน แม้กาย ก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก แม้พวกอมติ รกพ็ งึ ดใี จ แม้พวกมิตรพงึ เสียใจ ดงั น้ี เมื่อส่ิงท่ีมีความแก่เป็นธรรมดาแก่ไปแล้ว เขาย่อม เศร้าโศก ล�ำบาก ร�่ำไร ทุบอก คร่�ำครวญ หลงงมงาย น้ีเรียกว่าปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ถูกลูกศร คือ ความโศกที่มี พษิ แทงเข้าแล้ว ยอ่ มทำ� ตนใหเ้ ดอื ดรอ้ น ดูกรภกิ ษุทั้งหลาย อกี ประการหน่ึง สง่ิ ทมี่ คี วามเจบ็ ไขเ้ ปน็ ธรรมดา ของปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ยอ่ มเจบ็ ไข.้ .. 104 www.kalyanamitra.org

สงิ่ ทมี่ คี วามตายเปน็ ธรรมดา ของปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ย่อมตายไป... สง่ิ ทม่ี คี วามสนิ้ ไปเปน็ ธรรมดา ของปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ย่อมส้นิ ไป... สง่ิ ทมี่ คี วามฉบิ หายเปน็ ธรรมดาของปถุ ชุ นผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ย่อมฉิบหายไป เมอ่ื สงิ่ ทม่ี คี วามฉบิ หายเปน็ ธรรมดา ฉบิ หายไปแลว้ เขายอ่ มไมพ่ จิ ารณาเหน็ ดงั นว้ี า่ ‘ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทม่ี คี วามฉบิ หาย เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่าน้ัน ฉิบหายไป โดยท่ีแท้ ส่ิงท่ีมีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ทั้งปวง ท่ีมี การมา การไป การจตุ ิ การอุปบัติ ยอ่ มฉบิ หายไปทัง้ สน้ิ ’ สว่ นเราเอง กเ็ มอื่ สงิ่ ทมี่ คี วามฉบิ หายไปเปน็ ธรรมดา ฉบิ หายไปแลว้ พงึ เศรา้ โศก ลำ� บาก รำ่� ไร ทบุ อก ครำ่� ครวญ หลงงมงาย แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน แม้กาย ก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก แมพ้ วกอมติ รก็พึงดีใจ แม้พวกมติ รพึงเสยี ใจ ดังนี้ เม่ือสิ่งท่ีมีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว เขาย่อมเศร้าโศก ล�ำบาก ร�่ำไร ทุบอก คร่�ำครวญ ฐานสูตร 105 www.kalyanamitra.org

หลงงมงาย น้ีเรียกว่า ‘ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ’ ถูกลูกศรคือ ความโศกท่มี ีพิษแทงเข้าแลว้ ยอ่ มทำ� ตนใหเ้ ดอื ดรอ้ น ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย ส่วนว่าส่ิงที่มีความแก่เป็นธรรมดา ของอริยสาวก ผู้ได้สดับ ย่อมแก่ไป เมื่อสิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาแก่ ไปแล้ว อริยสาวกน้ันย่อมพิจารณาเห็นดังน้ีว่า ‘ไม่ใช่ สิ่งที่มีความแก่เป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้นแก่ไป โดยท่ีแท้ ส่ิงที่มีความแก่เป็นธรรมดา ของสัตว์ท้ังปวง ที่มีการมา การไป การจุติ การอุปบัติ ย่อมแก่ไป ทั้งสนิ้ ’ ส่วนเราเอง ก็เม่ือส่ิงที่มีความแก่เป็นธรรมดา แก่ไปแล้ว พึงเศรา้ โศก ล�ำบาก ร�่ำไร ทุบอก คร่�ำครวญ หลงงมงาย แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน แม้กาย ก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอม แม้การงานก็พึงหยุดชะงัก แม้พวกอมติ รกพ็ ึงดใี จ แมพ้ วกมิตรก็พึงเสยี ใจ ดงั นี้ เมอ่ื สง่ิ ทมี่ คี วามแกเ่ ปน็ ธรรมดา แกไ่ ปแลว้ อรยิ สาวก นน้ั ยอ่ มไมเ่ ศรา้ โศก ไมล่ ำ� บาก ไมร่ ำ่� ไร ไมท่ บุ อก ครำ�่ ครวญ ไม่หลงงมงาย นี้เรยี กวา่ ‘อริยสาวกผู้ได้สดบั ’ ถอนลูกศร 106 www.kalyanamitra.org

คอื ความโศกทมี่ พี ษิ เปน็ เครอ่ื งเสยี บแทงปถุ ชุ น ผไู้ มไ่ ดส้ ดบั ทำ� ตนให้เดอื ดรอ้ น อริยสาวกผูไ้ มม่ ีความโศก ปราศจากลูกศร ย่อมดบั ทกุ ข์ร้อนไดด้ ว้ ยตนเอง ดกู รภกิ ษุทัง้ หลาย อีกประการหนึง่ ส่ิงที่มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดาของอริยสาวกผู้ได้ สดับย่อมเจบ็ ไข้... สง่ิ ทม่ี คี วามตายเปน็ ธรรมดา ของอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ย่อมตายไป... สง่ิ ทม่ี คี วามสน้ิ ไปเปน็ ธรรมดาของอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ยอ่ มสิน้ ไป... สงิ่ ทม่ี คี วามฉบิ หายเปน็ ธรรมดาของอรยิ สาวกผไู้ ดส้ ดบั ยอ่ มฉบิ หายไป เมื่อส่ิงที่มีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว อริยสาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นว่า ‘ไม่ใช่ส่ิงที่มีความ ฉิบหายไปเป็นธรรมดาของเราผู้เดียวเท่านั้น ฉิบหายไป โดยท่ีแท้ส่ิงที่มีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาของสัตว์ ทงั้ ปวง ทม่ี กี ารมา การไป การจตุ ิ การอปุ บตั ิ ยอ่ มฉบิ หาย ไปทัง้ สน้ิ ’ ฐานสูตร 107 www.kalyanamitra.org

สว่ นเราเอง กเ็ มอื่ สงิ่ ทม่ี คี วามฉบิ หายไปเปน็ ธรรมดา ฉบิ หายไปแลว้ พงึ เศรา้ โศก ลำ� บาก รำ่� ไร ทบุ อก ครำ่� ครวญ หลงงมงาย แม้อาหารเราก็ไม่อยากรับประทาน แม้กาย ก็พึงเศร้าหมอง ซูบผอมแม้การงานก็พึงหยุดชะงัก แมพ้ วกอมติ รก็พงึ ดใี จ แม้พวกมิตรกพ็ ึงเสียใจ ดังนี้ เมื่อสิ่งท่ีมีความฉิบหายเป็นธรรมดาฉิบหายไปแล้ว อรยิ สาวกนนั้ ยอ่ มไมเ่ ศรา้ โศก ไมล่ ำ� บาก ไมร่ ำ่� ไร ไมท่ บุ อก คร่�ำครวญ ไม่หลงงมงาย นเ้ี รยี กว่า ‘อรยิ สาวกผ้ไู ดส้ ดบั ’ ถอนลกู ศร คือ ความโศกที่มีพิษ อนั เปน็ เครอ่ื งเสยี บแทง ปุถุชนผ้ไู ม่ไดส้ ดับ ท�ำตนใหเ้ ดอื ดรอ้ น อริยสาวกผู้ไม่มีความโศกปราศจากลูกศร ย่อมดับ ความทกุ ข์ร้อนได้ดว้ ยตนเอง ดกู รภิกษุทงั้ หลาย ฐานะ ๕ ประการน้แี ล อนั สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลกไมพ่ งึ ได้ ฯ ประโยชน์แม้เล็กน้อยในโลกน้ี อันใครๆ ย่อมไม่ได้ เพราะการเศร้าโศก เพราะการคร่�ำครวญ พวกอมิตร ทราบวา่ เขาเศรา้ โศก เปน็ ทกุ ข์ ยอ่ มดใี จ กค็ ราวใด บณั ฑติ ผพู้ ิจารณารู้เนอ้ื ความ ไม่หวั่นไหวในอันตรายทั้งหมด 108 www.kalyanamitra.org

คราวน้ัน พวกอมิตรเห็นหน้าอันไม่ผิดปรกติของ บัณฑิตน้ัน ยิ้มแย้มตามเคย ย่อมเป็นทุกข์ บัณฑิตพึงได้ ประโยชนใ์ นทใี่ ดๆ ด้วยประการใดๆ เพราะการสรรเสริญ เพราะความรู้ เพราะกล่าว ค�ำสุภาษิต เพราะการบ�ำเพ็ญทาน หรือเพราะประเพณี ของตนกพ็ งึ บากบั่นในทนี่ ้ันๆ ดว้ ยประการนนั้ ๆ ถา้ พึงทราบว่าความต้องการอยา่ งนี้อนั เราหรอื ผูอ้ ื่น ไมพ่ งึ ไดไ้ ซร้ กไ็ มค่ วรเศรา้ โศก ควรตงั้ ใจทำ� งานโดยเดด็ ขาด ว่า ‘บัดนเ้ี ราท�ำอะไรอย’ู่ ดังน้ี ฯ ฐานสูตร 109 www.kalyanamitra.org

110 www.kalyanamitra.org

๑๐. ปยิ ชาตกิ าสูตร๑๗ ว่าด้วยสิ่งเปน็ ทร่ี ัก  บุตรนอ้ ยของคฤหบดีตาย  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :- สมัยหน่งึ พระผู้มพี ระภาคประทับอยู่ ณ พระวหิ าร เชตวนั อารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตพระนครสาวตั ถ.ี กโ็ ดยสมยั นนั้ แล บตุ รนอ้ ยคนเดยี วของคฤหบดผี หู้ นงึ่ ซง่ึ เปน็ ที่รกั ทชี่ อบใจไดก้ ระทำ� กาละลง. เพราะการกระทำ� กาละของบุตรน้อยคนเดียวนั้น การงานย่อมไม่แจ่มแจ้ง อาหารย่อมไม่ปรากฏ. คฤหบดนี น้ั ไดไ้ ปยงั ปา่ ชา้ แลว้ ๆ เลา่ ๆ ครำ่� ครวญถงึ บุตรว่า “บตุ รน้อยคนเดียวอย่ไู หน ? บุตรนอ้ ยคนเดยี วอยู่ ไหน ?.” ครง้ั นน้ั แล คฤหบดนี นั้ ไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ถงึ ทปี่ ระทบั ถวายบงั คมแลว้ จงึ นงั่ ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหนง่ึ . ๑๗ ม.ม., ล.๒๑, น.๑๗๐, มมร. 111 ปิยชาติกาสูตร www.kalyanamitra.org

 คฤหบดเี ข้าเฝา้ พระพุทธเจา้  พระผมู้ พี ระภาคไดต้ รสั กะคฤหบดผี นู้ ง่ั ณ ทค่ี วรสว่ น ขา้ งหน่งึ แล้วว่า “ดูกรคฤหบดี อินทรีย์ไม่เป็นของท่านผู้ตั้งอยู่ในจิต ของตน ท่านมอี ินทรยี เ์ ป็นอยา่ งอนื่ ไป.” คฤหบดนี น้ั กราบทลู วา่ “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ทำ� ไมขา้ พระองคจ์ ะไมม่ อี นิ ทรยี ์ เปน็ อยา่ งอนื่ เลา่ เพราะวา่ บตุ รนอ้ ยคนเดยี วของขา้ พระองค์ ซึ่งเป็นท่ีรักเป็นท่ีชอบใจได้ท�ำกาละเสียแล้ว เพราะการ ทำ� กาละของบตุ รนอ้ ยคนเดยี วนน้ั การงานยอ่ มไมแ่ จม่ แจง้ อาหารย่อมไม่ปรากฏ ข้าพระองคไ์ ปยังปา่ ช้าแล้วๆ เล่าๆ ได้คร�่ำครวญถึงบุตรนั้นว่า ‘บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน ? บตุ รน้อยคนเดยี วอยู่ไหน.?’ ” พ. “ดกู รคฤหบดี ขอ้ นเ้ี ปน็ อยา่ งนน้ั ดกู รคฤหบดี ขอ้ นี้ เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ อุปายาส ยอ่ มเกดิ แต่ของท่รี ัก เปน็ มาแตข่ องท่รี ัก.” ค. “ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ขอ้ ทวี่ า่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนัสและอปุ ายาส ยอ่ มเกิดแตข่ องทร่ี ัก เปน็ มาแต่ของ ท่ีรักน้ัน จกั เป็นอย่างนั้นได้อยา่ งไร ? 112 www.kalyanamitra.org

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความจริง ความยินดีและ ความโสมนสั ยอ่ มเกิดแตข่ องที่รัก เปน็ มาแตข่ องทรี่ ัก.” ครง้ั นน้ั แล คฤหบดนี นั้ ไมย่ นิ ดี ไมค่ ดั คา้ นพระภาษติ ของพระผู้มีพระภาค ลุกจากทน่ี ง่ั แล้วหลีกไป. กส็ มัยนนั้ แล นักเลงสะกาเปน็ อันมาก เล่นสะกากนั อย่ใู นท่ไี มไ่ กลพระผมู้ พี ระภาค. ครั้งนนั้ คฤหบดีนั้น เข้าไปหานกั เลงสะกาเหล่าน้นั แล้ว ไดก้ ลา่ วกะนกั เลงสะกาเหล่านัน้ วา่ “ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอโอกาส ขา้ พเจา้ ไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระสมณโคดมถงึ ทป่ี ระทบั ไดถ้ วาย บังคมพระสมณโคดมแล้วนงั่ ณ ท่คี วรสว่ นขา้ งหน่งึ ดูกรท่านผ้เู จรญิ ทง้ั หลาย พระสมณโคดมได้ตรสั กะ ข้าพเจ้าผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ‘ดูกรคฤหบดี อินทรีย์ ไม่เป็นของท่านผู้ตั้งอยู่ในจิตของตน ท่านมีอินทรีย์เป็น อยา่ งอ่ืนไป’ ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เม่ือพระสมณโคดมตรัส อยา่ งน้ีแลว้ ข้าพเจ้าได้กราบทลู พระสมณโคดมว่า ‘ข้าแต่ พระองคผ์ เู้ จรญิ ทำ� ไมขา้ พระองคจ์ ะไมม่ อี นิ ทรยี เ์ ปน็ อยา่ งอน่ื เลา่ เพราะวา่ บตุ รนอ้ ยคนเดยี วของขา้ พระองค์ ซงึ่ เปน็ ทรี่ กั ปิยชาติกาสูตร 113 www.kalyanamitra.org

เป็นท่ีชอบใจได้กระท�ำกาละเสียแล้ว เพราะการท�ำกาละ ของบตุ รนอ้ ยคนเดยี วนน้ั การงานยอ่ มไมแ่ จม่ แจง้ อาหาร ยอ่ มไมป่ รากฏ ขา้ พระองคไ์ ปยงั ปา่ ชา้ แลว้ ๆ เลา่ ๆ ครำ่� ครวญ ถงึ บุตรวา่ ‘บตุ รนอ้ ยคนเดยี วอยไู่ หน ? บุตรน้อยคนเดยี ว อยูไ่ หน ?’ เมอื่ ขา้ พเจา้ ทลู อยา่ งนแี้ ลว้ พระสมณโคดมไดต้ รสั วา่ ‘ดูกร คฤหบดี ข้อนเี้ ปน็ อยา่ งนน้ั ดกู รคฤหบดี ขอ้ น้ี เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและ อปุ ยาสย่อมเกิดแตข่ องท่ีรัก เป็นท่มี าของที่รกั ’ เม่ือพระสมณโคดมตรัสอย่างน้ีแล้ว ข้าพเจ้าได้ กราบทูลวา่ ‘ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ จริญ ขอ้ ท่วี า่ โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส ยอ่ มเกดิ มาแตข่ องทร่ี กั เปน็ มา แตข่ องทีร่ ักนน้ั จกั เป็นอยา่ งนั้นได้อย่างไร ? ขา้ แตพ่ ระองคผ์ เู้ จรญิ ความจรงิ ความยนิ ดแี ละความ โสมนัสย่อมเกดิ แต่ของทร่ี กั เปน็ มาแต่ของท่ีรัก’ ดูกรท่านผู้เจริญท้ังหลาย คร้ังน้ันข้าพเจ้ามิได้ยินดี มิได้คัดค้านพระภาษิตของพระสมณโคดม ลุกจากท่ีน่ัง แล้วหลีกไป.” นักเลงสะกาเหลา่ น้ันไดก้ ลา่ ววา่ 114 www.kalyanamitra.org

“ดูกรคฤหบดี ขอ้ นเี้ ป็นอยา่ งนน้ั ดกู รคฤหบดี ข้อน้ี เปน็ อยา่ งนน้ั เพราะวา่ ความยนิ ดแี ละความโสมนสั ยอ่ มเกดิ แตข่ องทรี่ กั เป็นมาแต่ของทร่ี ัก.” ครง้ั นนั้ แล คฤหบดนี นั้ คดิ วา่ ความเหน็ ของเราสมกนั กบั นกั เลงสะกาท้งั หลาย ดังน้ี แลว้ หลีกไป.  ทุกขย์ ่อมเกิดแต่ของที่รัก  ครั้งนั้นแล เรื่องที่พูดกันนี้ ได้แพร่เข้าไปถึง ในพระราชวังโดยล�ำดับ. คร้ังน้ันแลพระเจ้าปเสนทิโกศล ไดต้ รสั เรียกพระนางมลั ลกิ าเทวีมาแลว้ ตรัสวา่ “ดูกรมัลลิกา ค�ำว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอปุ ายาส ย่อมเกิดแต่ของทีร่ ัก เป็นมาแต่ของท่ีรกั นี้ พระสมณโคดมของเธอตรสั หรอื ?” พระนางมลั ลกิ าเทวกี ราบทลู วา่ “ข้าแต่พระมหาราช ถ้าค�ำนั้นพระผู้มีพระภาคตรัส จริงค�ำน้นั กเ็ ปน็ อย่างนน้ั เพคะ” ป. “ก็พระนางมัลลิกานี้ อนุโมทนาตามพระด�ำรัสที่ สมณโคดมตรัสเท่านั้นว่า ‘ข้าแต่พระมหาราช ถ้าค�ำน้ัน พระผมู้ พี ระภาคตรสั จรงิ ค�ำนัน้ กเ็ ปน็ อย่างนัน้ เพคะ’ ปิยชาติกาสูตร 115 www.kalyanamitra.org

ดกู รมลั ลกิ า เธออนโุ มทนาตามพระดำ� รสั ทพ่ี ระสมณ- โคดมตรัสเทา่ น้นั วา่ ‘ขา้ แต่พระมหาราช ถ้าค�ำน้ันพระผมู้ ี พระภาคตรสั จรงิ คำ� น้ันก็เป็นอย่างนน้ั .’ เปรยี บเหมอื นศษิ ยอ์ นโุ มทนาตามคำ� ทอี่ าจารยก์ ลา่ ว ว่า ‘ข้อน้ีเป็นอย่างน้ัน ท่านอาจารย์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ท่านอาจารย์ ฉะนั้น’ ดกู รมลั ลิกา เธอจงหลบหน้าไปเสยี เธอจงพนิ าศ.” คร้ังน้ันแล พระนางมัลลิกาเทวีตรัสเรียกพราหมณ์ ชอื่ ’นาฬชิ ังฆะ’มาตรัสว่า “มานแี่ นะ่ ทา่ นพราหมณ์ ขอทา่ นจงเขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ ี พระภาคถงึ ทป่ี ระทบั แลว้ ถวายบงั คมพระบาททงั้ สองของ พระองคด์ ว้ ยเศยี รเกลา้ แลว้ ทลู ถามถงึ ความมพี ระอาพาธ นอ้ ย มพี ระโรคเบาบาง ทรงกระปร้ีกระเปรา่ มีพระกำ� ลัง ทรงพระส�ำราญตามคำ� ของฉนั วา่ ‘ขา้ แตพ่ ระองค์ผูเ้ จรญิ พระนางมลั ลกิ าเทวขี อถวาย บงั คมพระบาททงั้ สองของพระผมู้ พี ระภาคดว้ ยเศยี รเกลา้ ทลู ถามถงึ ความมพี ระอาพาธนอ้ ย มพี ระโรคเบาบาง ทรงกระปรก้ี ระเปรา่ มพี ระกำ� ลงั ทรงพระสำ� ราญ’ และทา่ น จงทลู ถามอยา่ งนีว้ า่ 116 www.kalyanamitra.org

‘ขา้ แตพ่ ระองค์ผู้เจริญ พระวาจาวา่ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกดิ แตข่ องทีร่ กั เปน็ มา แต่ของทีร่ ัก ดังนี้ พระผมู้ ีพระภาคตรสั จรงิ หรือ ?’ พระผมู้ พี ระภาคทรงพยากรณแ์ กท่ า่ นอยา่ งไร ทา่ นพงึ เรียนพระด�ำรสั น้ันใหด้ ี แล้วมาบอกแกฉ่ ัน อันพระตถาคต ทั้งหลายยอ่ มตรัสไม่ผดิ พลาด.” นาฬิชังฆพราหมณ์รับพระเสาวณีย์พระนางมัลลิกา แลว้ ไดเ้ ขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาคถงึ ทปี่ ระทบั ไดป้ ราศรยั กับพระผู้มีพระภาค คร้ันผ่านการปราศรัยพอให้ระลึก ถึงกันไปแลว้ จงึ น่ัง ณ ทค่ี วรสว่ นขา้ งหน่งึ . คร้ันแล้วได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระโคดม พระนาง มัลลิกาเทวีขอถวายบังคม พระบาทท้ังสองของท่าน พระโคดมด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงความมีพระอาพาธ น้อย มพี ระโรคเบาบาง ทรงกระปรี้กระเปร่า มพี ระกำ� ลัง ทรงพระส�ำราญ และรบั สั่งทูลถามอย่างน้ีว่า ‘ข้าแต่พระองค์ผเู้ จรญิ พระวาจาน้วี ่า โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนัส และอุปายาส ยอ่ มเกดิ แตข่ องทีร่ กั เปน็ มา แต่ของท่รี ัก ดงั น้ี พระผ้มู ีพระภาคตรัสจริงหรือ ?’ ” พระผมู้ พี ระภาคตรัสตอบวา่ ปิยชาติกาสูตร 117 www.kalyanamitra.org

“ดูกรพราหมณ์ ข้อน้ีเป็นอย่างน้ัน ดูกรพราหมณ์ ข้อนีเ้ ป็นอยา่ งน้ัน เพราะวา่ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั และอปุ ายาส ย่อมเกิดแต่ของทรี่ กั เปน็ มาแต่ของทร่ี กั . ดูกร พราหมณ์ ขอ้ วา่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของท่ีรัก อย่างไร ? ทา่ นพงึ ทราบโดยปรยิ ายแมน้ .ี้ ดกู รพราหมณ์ เรอื่ งเคยมมี าแลว้ ในพระนครสาวตั ถี นแี้ ล มารดาของหญงิ คนหนง่ึ ไดท้ ำ� กาละ. เพราะการทำ� กาละ ของมารดานน้ั หญงิ คนนน้ั เปน็ บา้ มจี ติ ฟงุ้ ซา่ น เขา้ ไปตาม ถนนทุกถนน ตามตรอกทกุ ตรอก แลว้ ได้ถามอย่างนีว้ า่ ‘ทา่ นทั้งหลายได้พบมารดาของฉันบ้างไหม ? ท่านทง้ั หลายไดพ้ บมารดาของฉันบ้างไหม. ?’ ดกู รพราหมณ์ ขอ้ วา่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนสั และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของท่ีรัก เป็นมาแต่ของที่รัก อย่างไร ? ท่านพงึ ทราบโดยปริยายแม้น้ี ดกู รพราหมณ์ เรอื่ งเคยมมี าแลว้ ในพระนครสาวตั ถี น้ีแล บิดาของหญิงคนหน่ึงได้ท�ำกาละ ...พ่ีน้องชาย พีน่ ้องหญิง บตุ ร ธิดา บดิ าของหญงิ คนหนึง่ ได้ทำ� กาละ. เพราะการท�ำกาละของบิดาเป็นตน้ นั้น 118 www.kalyanamitra.org

หญิงคนน้ันเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนน ทุกถนน ตามตรอกทกุ ตรอกแล้วไดถ้ ามอยา่ งน้ีวา่ ‘ท่านท้ังหลายได้พบบิดาเป็นต้นของฉันบ้างไหม ? ทา่ นท้ังหลายไดพ้ บบดิ าเป็นตน้ ของฉนั บา้ งไหม ?’ ดกู รพราหมณ์ ข้อวา่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอุปายาสย่อมเกิดแต่ของท่ีรัก เป็นมาแต่ของท่ีรัก อย่างไร ? ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นแ้ี ล. ดกู รพราหมณ์ เรอ่ื งเคยมมี าแลว้ ในพระนครสาวตั ถี น้ีแล มารดาของชายคนหนึง่ ไดท้ �ำกาละลง. เพราะการทำ� กาละของมารดานนั้ ชายคนนน้ั เปน็ บา้ มจี ติ ฟงุ้ ซา่ น เขา้ ไป ตามถนนทกุ ถนน ตามตรอกทกุ ตรอก แลว้ ไดถ้ ามอยา่ งนี้ ว่า ‘ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม ? ทา่ นท้งั หลายไดพ้ บมารดาของข้าพเจา้ บ้างไหม ?’ ดูกรพราหมณ์ ขอ้ วา่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของท่ีรัก เป็นมาแต่ของท่ีรัก อยา่ งไร ? ท่านพงึ ทราบโดยปรยิ ายแม้น้.ี ดกู รพราหมณ์ เรอื่ งเคยมมี าแลว้ ในพระนครสาวตั ถี นี้แล บิดาของชายคนหนึ่งได้ท�ำกาละ ...พ่ีน้องชาย พ่ีน้องหญิง บุตร ธิดา บิดาของชายคนหนึ่งท�ำกาละ. เพราะการท�ำกาละของบดิ าเป็นตน้ น้นั ปิยชาติกาสูตร 119 www.kalyanamitra.org

ชายคนน้ันเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนน ทุกถนนตามตรอกทุกตรอก แลว้ ไดถ้ ามอย่างนวี้ า่ ‘ทา่ นทงั้ หลายไดพ้ บบดิ าเปน็ ตน้ ของขา้ พเจา้ บา้ งไหม? ทา่ นทง้ั หลายไดพ้ บบดิ าเปน็ ตน้ ของขา้ พเจา้ บา้ งไหม ?’ ดูกรพราหมณ์ ข้อวา่ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของท่ีรัก อย่างไร ? ทา่ นพึงทราบโดยปรยิ ายแมน้ .้ี ดกู รพราหมณ์ เรอื่ งเคยมมี าแลว้ ในพระนครสาวตั ถี นี้แล หญิงคนหนึ่งได้ไปยังสกุลของญาติ. พวกญาติของ หญงิ นน้ั ใครจ่ ะพรากสามขี องหญงิ นน้ั แลว้ ยกหญงิ นนั้ ให้ แก่ชายอ่ืน แตห่ ญิงนน้ั ไมป่ รารถนาชายคนนนั้ . ครงั้ นั้นแล หญงิ นนั้ ไดบ้ อกกะสามวี า่ “ขา้ แตล่ กู เจ้า พวกญาตขิ องดฉิ นั ใครจ่ ะพรากทา่ นเสยี แลว้ ยกดฉิ นั ใหแ้ ก ่ ชายอนื่ แต่ดิฉนั ไม่ปรารถนาชายคนน้นั .” ครง้ั นนั้ แล บรุ ษุ ผเู้ ปน็ สามไี ดต้ ดั หญงิ ผเู้ ปน็ ภรรยานน้ั ออกเปน็ สองทอ่ น แลว้ จงึ ผา่ ตนดว้ ยความรกั วา่ ‘เราทงั้ สอง จักตายไปดว้ ยกัน.’ ” ดูกรพราหมณ์ ข้อว่า โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนัส และอปุ ายาส ยอ่ มเกดิ แตข่ องทรี่ กั อยา่ งไร ? ทา่ นพงึ โปรด ทราบโดยปรยิ ายแมน้ .้ี 120 www.kalyanamitra.org

ล�ำดับนั้นแล นาฬิชังฆพราหมณ์ช่ืนชม อนุโมทนา พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแลว้ ลกุ จากทนี่ งั่ ไดเ้ ข้าไป เฝา้ พระนางมลั ลกิ าเทวยี งั ทป่ี ระทบั คร้ันแล้ว ได้กราบทูลถึงการที่ได้เจรจาปราศรัยกับ พระผ้มู พี ระภาคทงั้ หมดแก่พระนางมัลลิกาเทว.ี ล�ำดับน้ันแล พระนางมัลลิกาเทวีได้เข้าไปเฝ้า พระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลถามพระเจ้า ปเสนทโิ กศลว่า “ข้าแต่มหาราชา ทูลกระหม่อมทรงเข้าพระทัย ความข้อน้ันเป็นไฉน ? พระกุมารีพระนามว่า ‘วชิรี’ เปน็ ทีร่ กั ของทูลกระหมอ่ มหรือ ?” พระเจา้ ปเสนทิโกศลตรัสตอบวา่ “อย่างนัน้ มัลลกิ า วชริ ีกุมารเี ปน็ ที่รักของฉัน.” ม. “ข้าแต่พระมหาราชา ทูลกระหม่อมจะทรงเข้า พระทยั ความขอ้ นน้ั เปน็ ไฉน? เพราะพระวชริ กี มุ ารแี ปรปรวน เปน็ อยา่ งอน่ื ไป โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส จะพึงเกิดขน้ึ แก่ทูลกระหมอ่ มหรือหาไม่ เพคะ ?” ป. “ดูกรมัลลิกา เพราะวชิรีกุมารีแปรปรวนเป็น อยา่ งอนื่ ไป แมช้ วี ติ ของฉนั กพ็ งึ เปน็ อยา่ งอนื่ ไป ทำ� ไม โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส จกั ไมเ่ กดิ แกฉ่ นั เลา่ ?.” ปิยชาติกาสูตร 121 www.kalyanamitra.org

ม. “ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ขอ้ นีแ้ ล ที่พระผมู้ ีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็นเป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรง มุ่งหมายเอา ตรัสไวว้ ่า ‘โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนสั และ อปุ ายาสย่อมเกิดแตข่ องทรี่ กั เปน็ มาแตข่ องที่รกั ’ เพคะ. ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความขอ้ นน้ั เปน็ ไฉน ? พระนางวาสภขตั ตยิ าเปน็ ทร่ี กั ของ ทูลกระหมอ่ มหรือ เพคะ ?” ป. “อยา่ งนนั้ มลั ลกิ า พระนางวาสภขตั ตยิ าเปน็ ทรี่ กั ของฉนั .” “ข้าแต่พระมหาราช เพราะพระนางวาสภขัตติยา แปรปรวนเปน็ อยา่ งอนื่ ไป โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และ อปุ ายาส พงึ เกดิ ขนึ้ แกท่ ลู กระหมอ่ มหรอื หาไม่ เพคะ?” ป. “ดูกรมลั ลกิ า เพราะวาสภขัตติยาแปรปรวนเปน็ อย่างอื่นไป แม้ชีวิตของฉันก็พึงเป็นอย่างอ่ืนไป ท�ำไม โสกะ ปริเทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส จกั ไม่เกดิ แก่ ฉันเลา่ .?” ม. “ขา้ แต่พระมหาราชา ขอ้ นแี้ ล ทพ่ี ระผู้มพี ระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมงุ่ หมายเอา ตรสั ไวว้ า่ ‘โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และ อปุ ายาสยอ่ มเกิดแต่ของทีร่ กั เป็นมาแตข่ องท่รี ัก’ เพคะ. 122 www.kalyanamitra.org

ขา้ แตม่ หาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความ ข้อน้ันเป็นไฉน ? ท่านวิฑูฑภเสนาบดีเป็นที่รักของทูล กระหม่อมหรอื เพคะ ?” ป. “อยา่ งนนั้ มลั ลกิ า วฑิ ฑู ภเสนาบดเี ปน็ ทรี่ กั ของฉนั .” ม. “ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความขอ้ นน้ั เปน็ ไฉน? เพราะทา่ นวฑิ ฑู ภเสนาบดแี ปรปรวน เปน็ อยา่ งอนื่ ไป โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส จะพึงเกิดแกท่ ลู กระหม่อมหรือหาไม่ เพคะ ?” “ดูกรมัลลิกา เพราะวิฑูฑภเสนาบดีแปรปรวนเป็น อย่างอ่ืนไป แม้ชีวิตของฉันก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ท�ำไม โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จักไม่เกิด แตฉ่ ันเล่า ?” ม. “ขา้ แต่พระมหาราชา ข้อนแ้ี ล ท่ีพระผมู้ ีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมงุ่ หมายเอา ตรสั ไวว้ า่ ‘โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และ อุปายาสยอ่ มเกดิ แต่ของทร่ี ัก เปน็ มาแตข่ องที่รกั ’ เพคะ. ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความขอ้ นนั้ เปน็ ไฉน ? หมอ่ มฉนั เปน็ ทร่ี กั ของทลู กระหมอ่ ม หรอื เพคะ ?” ป. “อย่างน้นั มลั ลกิ า เธอเปน็ ทีร่ ักของฉนั .” ปิยชาติกาสูตร 123 www.kalyanamitra.org

ม. “ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความข้อนั้นเป็นไฉน ? เพราะหม่อมฉันแปรปรวนเป็น อย่างอ่ืนไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จะพึงเกดิ แกท่ ลู กระหม่อมหรอื หาไม่ เพคะ ?” ป. “ดกู รมลั ลกิ า เพราะเธอแปรปรวนเปน็ อยา่ งอน่ื ไป แม้ชีวิตของฉนั กพ็ ึงเปน็ อยา่ งอืน่ ไป ท�ำไม โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จักไม่เกดิ แกฉ่ นั เลา่ ?” ม. “ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ขอ้ นี้แล ท่ีพระผมู้ ีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมงุ่ หมายเอา ตรสั ไวว้ า่ ‘โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และ อุปายาสยอ่ มเกดิ แตข่ องท่ีรกั เปน็ มาแต่ของท่รี ัก’ เพคะ ? ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความขอ้ นนั้ เปน็ ไฉน ? แควน้ กาสแี ละแควน้ โกศล เปน็ ทร่ี กั ของทลู กระหม่อมหรอื เพคะ ?” ป. “อยา่ งนน้ั มลั ลกิ า แควน้ กาสแี ละแควน้ โกศลเปน็ ทร่ี กั ของฉนั เพราะอานภุ าพแหง่ แควน้ กาสแี ละแควน้ โกศล เราจงึ ไดใ้ ชส้ อยแกน่ จนั ทนอ์ นั เกดิ แตแ่ ควน้ กาสี ไดท้ ดั ทรง ดอกไม้ของหอมและเครอื่ งลบู ไล.้ ” ม. “ขา้ แตพ่ ระมหาราชา ทลู กระหมอ่ มจะทรงเขา้ พระทยั ความข้อนั้นเป็นไฉน ? เพราะแคว้นกาสีและแคว้นโกศล 124 www.kalyanamitra.org

แปรปรวนเป็นอย่างอ่ืนไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดแกท่ ูลกระหม่อมหรอื หาไม่ เพคะ” ป. “ดูกรมัลลิกา เพราะแคว้นกาสีและแคว้นโกศล แปรปรวนเปน็ อยา่ งอนื่ แมช้ วี ติ ของฉนั กพ็ งึ เปน็ อยา่ งอน่ื ไป ทำ� ไม โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และอปุ ายาส จกั ไมเ่ กดิ แก่ฉนั เล่า. ข้าแต่พระมหาราชา ข้อนี้แล ท่ีพระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมงุ่ หมายเอา ตรสั ไวว้ า่ ‘โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั และ อุปายาสยอ่ มเกิดแต่ของทรี่ กั เป็นมาแต่ของทรี่ ัก’ เพคะ.” ป. “ดูกรมัลลิกา น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา เท่าที่ พระผมู้ พี ระภาคพระองค์นน้ั คงจะทรงเห็นชดั แทงตลอด ด้วยพระปญั ญา มาน้เี ถดิ มัลลิกา ช่วยลา้ งมือใหท้ เี ถิด.” ครั้งน้ันแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกขึ้นจาก อาสน์ ทรงพระภษู าเฉวยี งพระองั สาข้างหนง่ึ ทรงประนม อญั ชลีไปทางทีพ่ ระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ แล้วทรงเปล่ง พระอทุ านว่า “ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา- สมั พุทธเจ้าพระองค์น้ัน” ดงั นี้ ๓ ครงั้ ฉะนแี้ ล. ปิยชาติกาสูตร 125 www.kalyanamitra.org

126 www.kalyanamitra.org

๑๑. อภยสตู ร๑๘ ว่าดว้ ยบุคคลผกู้ ลวั ตายและผไู้ ม่กลวั ความตาย คร้ังน้ันแล ชานุสโสณิพราหมณ์เข้าไปเฝ้า พระผมู้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ไดส้ นทนาปราศรยั พอเปน็ ที่ บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผมู้ ีพระภาคดังน้วี า่ “ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระพุทธเจ้ามีวาทะ๑๙ อย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างน้ีว่า สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ช่ือวา่ ไมก่ ลัว ไมถ่ ึงความสะดงุ้ ตอ่ ความตายย่อมไมม่ ”ี พระผู้มพี ระภาคตรสั ว่า “พราหมณ์ บคุ คลผมู้ ีความ ตายเปน็ ธรรมดากลวั ถงึ ความสะดงุ้ ตอ่ ความตายมอี ยู่ และ บคุ คลผู้มคี วามตายเปน็ ธรรมดา ไม่กลวั ไม่ถึงความสะด้งุ ตอ่ ความตายกม็ ีอยู่ ๑๘ อัง.จต.ุ , ๓๕, น.๔๔๔, มมร. ๑๙ วาทะ ในที่นี้หมายถึงลัทธิ คือ คติความเช่ือ หรือความคิดเห็น (อง.ฺ ตกิ .อ. ๒/๖๖/๒๐๒) อภยสูตร 127 www.kalyanamitra.org

บุคคลผู้มคี วามตายเป็นธรรมดากลวั ถึงความสะดงุ้ ต่อความตาย เป็นอย่างไร คอื บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความ ก�ำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจากความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจากความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความอยากในกามท้ังหลาย โรคหนัก บางอยา่ งกระทบเขาเขา้ เมอื่ เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ จงึ มคี วามคดิ อย่างน้ีว่า ‘กามอันเป็นที่รัก จักละเราไปหนอ และเรา ก็จกั ละกามอันเปน็ ทีร่ ักไป’ เขาย่อมเศร้าโศก ล�ำบากใจ ร่�ำไรทุบอกคร�่ำครวญ ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือ บุคคลผู้มีความตายเป็น ธรรมดากลัว ถึงความสะดุ้งตอ่ ความตาย ยงั มอี ีก บคุ คลบางคนในโลกนเี้ ป็นผยู้ ังไมป่ ราศจาก ความก�ำหนัด ไม่ปราศจากความพอใจ ไม่ปราศจาก ความรัก ไม่ปราศจากความกระหาย ไม่ปราศจาก ความเร่าร้อน ไม่ปราศจากความอยากในกามทั้งหลาย โรคหนักบางอย่างกระทบเขาเขา้ 128 www.kalyanamitra.org

เมอ่ื เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ จงึ มคี วามคดิ อยา่ งน้วี า่ ‘กายอันเป็นทรี่ กั จักละเราไปหนอ และเราก็จกั ละกายอันเป็นทรี่ กั ไป’ เขาย่อมเศร้าโศก ล�ำบากใจ ร�่ำไรทุบอกคร�่ำครวญ ถึงความเลอะเลือน น้ีแลคือบุคคลผู้มีความตายเป็น ธรรมดากลวั ถงึ ความสะดงุ้ ตอ่ ความตาย ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ยังไม่ได้ท�ำ ความดีไว้ ยังไม่ได้สร้างกุศลไว้ ไม่ได้ท�ำท่ีป้องกันส่ิง น่ากลัว ท�ำแต่ความช่ัว ท�ำแต่กรรมหยาบช้า และท�ำแต่ กรรม เศรา้ หมอง โรคหนักบางอยา่ งกระทบเขาเข้า เมอ่ื เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ จงึ มคี วามคดิ อยา่ งนวี้ า่ ‘เรายงั ไมไ่ ดท้ ำ� ความดไี วห้ นอ ยงั ไมไ่ ดท้ ำ� กศุ ลไว้ ไมไ่ ดท้ ำ� ทป่ี อ้ งกนั สงิ่ นา่ กลวั ไว้ ทำ� แตค่ วามชวั่ ทำ� แตก่ รรม หยาบช้า ท�ำแต่กรรมเศร้าหมอง เราตายแล้วจะไปสู่คติ ของผไู้ มไ่ ดท้ ำ� ความดไี ว้ ไมไ่ ดท้ ำ� กศุ ลไว้ ไมไ่ ดท้ ำ� ทปี่ อ้ งกนั สง่ิ นา่ กลวั ทำ� แตค่ วามชว่ั ทำ� แตก่ รรมหยาบชา้ ทำ� แตก่ รรม เศรา้ หมองน้นั ’ เขาย่อมเศร้าโศก ลำ� บากใจ ร�ำ่ ไร ทบุ อกครำ�่ ครวญ ถึงความเลอะเลือน น้ีแลคือบุคคลผู้มีความตายเป็น ธรรมดากลวั ถงึ ความสะด้งุ ตอ่ ความตาย อภยสูตร 129 www.kalyanamitra.org

ยังมอี ีก บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี ปน็ ผ้มู ีความสงสัย๒๐ เคลือบแคลงใจ ไมถ่ ึงความตกลงใจในสทั ธรรม โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขาเข้า เมอื่ เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ จงึ มคี วามคดิ อย่างนี้ว่า ‘เรามีความสงสัยเคลือบแคลงใจ ไม่ถึงความ ตกลง ใจในสทั ธรรมหนอ’ เขาย่อมเศร้าโศก ลำ� บากใจ ร่�ำไร ทบุ อกครำ�่ ครวญ ถึงความเลอะเลือน น้ีแลคือบุคคลผู้มีความตายเป็น ธรรมดากลวั ถงึ ความสะดุ้งต่อความตาย พราหมณ์ บุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดา ๔ จ�ำพวกนีแ้ ลกลวั ถึงความสะดุ้งตอ่ ความตาย บคุ คลผู้มคี วามตายเป็นธรรมดาไม่กลัว ไมถ่ ึงความ สะด้งุ ต่อความตายเปน็ อย่างไร คอื บคุ คลบางคนในโลกนเี้ ปน็ ผปู้ ราศจากความกำ� หนดั ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจาก ๒๐ หมายถึงสงสัยในฐานะ ๘ ประการ คือ พทุ ธคุณ ธรรมคณุ และ สงั ฆคุณ สกิ ขา เบ้อื งตน้ เบ้อื งปลายทั้งเบื้องต้นและเบือ้ งปลาย และปฏจิ จสมปุ บาท (องฺ.จตุกกฺ .อ. ๒/๑๘๔/๔๐๔) 130 www.kalyanamitra.org

ความกระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากความ อยากในกามทั้งหลาย โรคหนักบางอย่างกระทบ เขาเขา้ เม่ือเขาถูกโรคหนักบางอย่างกระทบเข้าก็ไม่มี ความคิดอย่างนี้ว่า ‘กามอันเป็นที่รักจักละเราไปหนอ และเราก็จกั ละกามอนั เป็นท่รี ักไป’ เขายอ่ มไมเ่ ศร้าโศก ไม่ลำ� บากใจ ไมร่ ำ่� ไร ไมท่ บุ อก คร�่ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน นี้แลคือบุคคลผู้มี ความตายเปน็ ธรรมดาไมก่ ลวั ไมถ่ งึ ความสะดงุ้ ตอ่ ความตาย ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ปราศจาก ความก�ำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจากความเรา่ รอ้ น ปราศจาก ความอยากในกามท้ังหลาย โรคหนักบางอย่างกระทบ เขาเขา้ เมอ่ื เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ กไ็ มม่ คี วาม คิดอย่างน้ีว่า “กายอันเป็นท่ีรักจักละเราไปหนอ และเรา กจ็ กั ละกายอนั เปน็ ทีร่ กั ไป” เขายอ่ มไมเ่ ศรา้ โศก ไม่ลำ� บากใจ ไมร่ ำ่� ไร ไม่ทุบอก คร่�ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน” นี้แลคือบุคคลผู้มี อภยสูตร 131 www.kalyanamitra.org

ความตายเป็นธรรมดาไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อ ความตาย ยังมีอีก บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่ได้ท�ำ ความช่ัวไว้ ไม่ได้ท�ำกรรมหยาบช้าไว้ ไม่ได้ท�ำกรรม เศรา้ หมองไว้ ท�ำแต่ความดี ท�ำแต่กุศล และทำ� ทป่ี ้องกัน สิ่งน่ากลัว โรคหนักบางอยา่ งกระทบเขาเขา้ เมอ่ื เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ จงึ มคี วามคดิ อย่างนี้ว่า ‘เราไม่ได้ท�ำความช่ัวหนอ ไม่ได้ท�ำกรรม หยาบช้า ไม่ไดท้ ำ� กรรมเศรา้ หมอง ทำ� แตค่ วามดี ท�ำแต่ กุศล และทำ� ที่ป้องกนั สิ่งน่ากลัวไว้ เราตายแล้วจะไปส่คู ติ ของผู้ไม่ได้ทำ� ความชั่วไว้ ไม่ได้ทำ� กรรมหยาบชา้ ทำ� แต่ ความดี ทำ� แต่กศุ ล และท�ำท่ีปอ้ งกันส่งิ น่ากลวั ไว้น้นั ’ เขายอ่ มไม่เศรา้ โศก ไม่ลำ� บากใจ ไม่รำ่� ไร ไม่ทุบอก คร�่ำครวญ ไม่ถึงความเลอะเลือน น้ีแลคือบุคคลผู้มี ความตายเปน็ ธรรมดาไมก่ ลวั ไมถ่ งึ ความสะดงุ้ ตอ่ ความตาย ยงั มอี กี บคุ คลบางคนในโลกนเ้ี ปน็ ผไู้ มม่ คี วามสงสยั เคลือบแคลงใจ ถึงความตกลงใจในสัทธรรม โรคหนัก บางอย่างกระทบเขาเข้า 132 www.kalyanamitra.org

เมอื่ เขาถกู โรคหนกั บางอยา่ งกระทบเขา้ จงึ มคี วามคดิ อยา่ งนีว้ า่ ‘เราไมม่ ีความสงสัย ไมเ่ คลอื บแคลงใจถึงความ ตกลงใจในสัทธรรม’ เขาย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ล�ำบากใจ ไม่ร่�ำไร ไมท่ บุ อกคร่�ำครวญ ไม่ถงึ ความเลอะเลือน น้แี ล คือบุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดาไม่กลัว ไม่ถึงความ สะดุง้ ตอ่ ความตาย พราหมณ์ บุคคลผู้มีความตายเป็นธรรมดา ๔ จ�ำพวกน้แี ลไมก่ ลวั ไม่ถึงความสะดงุ้ ตอ่ ความตาย” ชานุสโสณิพราหมณ์ได้กราบทูลว่า “ข้าแต่ท่าน พระโคดม พระภาษิตของท่านพระโคดมชัดเจนไพเราะ ยิ่งนกั ฯลฯ๒๑ ขอทา่ นพระโคดมจงทรงจ�ำขา้ พระองคไ์ วว้ า่ เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะ ต้ังแต่วันน้ีเป็นต้นไป จนตลอด ชวี ติ ” ๒๑ ดูข้อความเต็มใน โปตลยิ สูตร 133 อภยสูตร www.kalyanamitra.org

134 www.kalyanamitra.org

๑๒. อาพาธสตู ร๒๒ วา่ ดว้ ยทรงแสดงสญั ญา ๑๐ ประการ แก่พระคริ มิ านนทผ์ อู้ าพาธ (ฉบบั มจร.ใชช้ ื่อว่า คริ ิมานนั ทสูตร วา่ ดว้ ย การหายอาพาธของพระคริ ิมานนท)์ สมัยหน่งึ พระผูม้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระวิหาร เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกลพ้ ระนคร สาวัตถี กส็ มยั น้ันแล ทา่ นพระคริ มิ านนท์อาพาธ ไดร้ บั ทกุ ข์ เปน็ ไขห้ นัก ครง้ั นนั้ แล ทา่ นพระอานนทเ์ ขา้ ไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ถงึ ทปี่ ระทบั ถวายบงั คมพระผมู้ พี ระภาคแลว้ นง่ั ณ ทค่ี วร ส่วนขา้ งหน่งึ ครนั้ แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มพี ระภาควา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์เป็นไขห้ นัก ๒๒ อัง.ทสก., ล.๓๘, น.๑๙๐, มมร. 135 www.kalyanamitra.org

ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผมู้ พี ระภาคไดโ้ ปรด อนุเคราะห์เสด็จเย่ียมท่าน พระคิริมานนท์ยังท่ีอยู่เถิด พระเจา้ ขา้ ฯ” พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึง เข้าไปหาแล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่คิริมานันท- ภิกษุไซร้ ข้อท่ีอาพาธของคริ มิ านนั ทภิกษจุ ะพึงสงบระงับ โดยพลนั เพราะได้ฟงั สัญญา ๑๐ ประการนัน้ เป็นฐานะท่ี จะมีได้ สญั ญา ๑๐ ประการเปน็ ไฉน คอื อนจิ จสัญญา ๑ อนตั ตสญั ญา ๑ อสภุ สญั ญา ๑ อาทนี วสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสญั ญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสอุ นิจจสัญญา ๑ อานาปานัสสติ ๑ ฯ ดูกรอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยน้ีอยู่ในป่าก็ดี อยู่ท่ี โคนไมก้ ด็ ี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ยอ่ มพจิ ารณาเห็นดงั น้ี ว่า ‘รูปไม่เท่ียง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขาร ทั้งหลายไม่เท่ียง วิญญาณไม่เท่ียง’ ย่อมพิจารณาเห็น โดยความเปน็ ของไมเ่ ท่ยี งในอปุ าทานขนั ธ์ ๕ เหลา่ น้ีดว้ ย ประการอยา่ งนี้ ดูกรอานนท์ นเี้ รียกวา่ อนจิ จสัญญา ฯ 136 www.kalyanamitra.org

ดูกรอานนท์ กอ็ นตั ตสญั ญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้อยู่ในป่าก็ดี อยู่ท่ี โคนไม้กด็ ี อย่ใู นเรอื นวา่ งเปล่ากด็ ี ย่อมพจิ ารณาเห็นดังน้ี วา่ ‘ จกั ษุเป็นอนตั ตา รูปเปน็ อนัตตา หเู ปน็ อนตั ตา เสียง เป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ล้ินเป็น อนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็น อนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา’ ย่อม พิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่าน้ี ด้วยประการ อยา่ งนี’้ ดูกรอานนท์ นีเ้ รยี กว่า อนตั ตสญั ญา ฯ ดูกรอานนท์ ก็อสภุ สญั ญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา เห็นกายน้ีน่ันแล เบื้องบนแต่พ้ืนเท้าขึ้นไป เบื้องต�่ำแต่ ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของ ไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่า ‘ในกายน้ี มีผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เนอื้ เอ็น กระดกู เยือ่ ในกระดูก ม้าม เนอื้ หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มันข้น น�้ำตา เปลวมนั นำ�้ ลาย นำ้� มกู ไขขอ้ มตู ร’ ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ โดย ความเปน็ ของไม่งามในกายนี้ ด้วยประการดงั นี้ ดูกรอานนท์น้ีเรยี กว่า อสภุ สญั ญา ฯ อาพาธสูตร 137 www.kalyanamitra.org

ดกู รอานนท์ กอ็ าทีนวสัญญาเป็นไฉน ดกู รอานนท์ ภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ อยใู่ นป่ากด็ ี อยทู่ ่ี โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปลา่ ก็ดี ยอ่ มพจิ ารณาเห็นดงั นี้ วา่ ‘กายนม้ี ที กุ ขม์ าก มโี ทษมาก เพราะฉะนน้ั อาพาธตา่ งๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคท่ีใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้องโรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเร้ือน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหดิ เปื่อย โรคหดิ ดา้ น โรคคดุ ทะราด หูด โรคละออง บวม โรคอาเจียนโลหติ โรคดเี ดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพพุ อง โรครดิ สีดวง อาพาธมดี เี ปน็ สมฏุ ฐาน อาพาธมเี สมหะเปน็ สมฏุ ฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไขส้ ันนบิ าต อาพาธอันเกิดแต่ฤดแู ปรปรวน อาพาธอนั เกดิ แตก่ ารบรหิ ารไมส่ มำ่� เสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพยี รเกนิ กำ� ลงั อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความรอ้ น ความหวิ ความระหาย ปวดอจุ จาระ ปวดปสั สาวะ’ ยอ่ มพจิ ารณาเหน็ โดยความเปน็ โทษในกายน้ี ดว้ ยประการ ดังน้ี ดกู รอานนท์ นีเ้ รยี กวา่ อาทนี วสัญญา ฯ 138 www.kalyanamitra.org

ดูกรอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน ดกู รอานนท์ ภกิ ษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี ยอ่ มไมย่ นิ ดี ยอ่ มละ ยอ่ มบรรเทา ยอ่ มทำ� ใหห้ มดสน้ิ ไป ยอ่ มทำ� ใหถ้ งึ ความไมม่ ี ซง่ึ กามวติ กอนั เกดิ ขนึ้ แลว้ ยอ่ มไมย่ นิ ดี ยอ่ มละ ยอ่ มบรรเทา ยอ่ มทำ� ใหห้ มดสน้ิ ไป ยอ่ มทำ� ใหถ้ งึ ความไมม่ ี ซง่ึ พยาบาท วิตกอันเกิดข้ึนแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมท�ำให้หมดส้ินไป ย่อมท�ำให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสา วิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ยอ่ มทำ� ใหห้ มดสน้ิ ไป ยอ่ มทำ� ใหถ้ งึ ความไมม่ ี ซง่ึ อกศุ ลธรรม ทั้งหลายอนั ชว่ั ช้า อนั เกดิ ข้นึ แลว้ เกิดขนึ้ แล้ว ดกู รอานนท์ นีเ้ รยี กว่าปหานสญั ญา ฯ ดูกรอานนท์ ก็วิราคสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยูใ่ นป่ากด็ ี อย่ทู ่ี โคนไมก้ ด็ ี อย่ใู นเรือนว่างเปลา่ กด็ ี ย่อมพจิ ารณาเหน็ ดงั นี้ ว่า ‘ธรรมชาติน่ันสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรม เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นท่ีสละคืนอุปธิท้ังปวง ธรรมเป็นที่ส้ินไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ส�ำรอกกิเลส ธรรมชาติเปน็ ทีด่ ับกิเลสและกองทกุ ข’์ ดูกรอานนท์ น้ีเรียกว่าวริ าคสัญญา ฯ อาพาธสูตร 139 www.kalyanamitra.org

ดกู รอานนท์ นโิ รธสัญญาเป็นไฉน ดกู รอานนท์ ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ี อยู่ในปา่ กด็ ี อยทู่ ่ี โคนไม้ก็ดี อย่ใู นเรือนว่างเปล่าก็ดี ยอ่ มพิจารณาเห็นดังน้ี ว่า ‘ธรรมชาติน่ันสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือ ธรรม เป็นท่ีระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิท้ังปวง ธรรมเป็นท่ีส้ินไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ ธรรมชาติเปน็ ที่ดับกเิ ลสและกองทกุ ข์’ ดกู รอานนท์ นเ้ี รียกว่านโิ รธสญั ญา ฯ ดกู รอานนท์ สัพพโลเกอนภริ ตสัญญาเปน็ ไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยน้ี ละอุบาย๒๓ และ อปุ าทานในโลก อันเป็นเหตตุ ง้ั มน่ั ถอื ม่นั และเปน็ อนสุ ัย แห่งจติ ย่อมงดเว้น ไม่ถอื ม่นั ’ ดูกรอานนท์ นเ้ี รียกว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ฯ ดูกรอานนท์ สพั พสงั ขาเรสุอนจิ จสัญญาเปน็ ไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมอึดอัด ย่อม ระอา ย่อมเกลียดชงั แต่สงั ขารทั้งปวง ดกู รอานนทน์ เ้ี รียกว่าสัพพสังขาเรสุอนจิ จสัญญา ฯ ๒๓ อบุ าย คือ ตัณหาและทิฐิ อุปาทาน คือ อุปาทาน ๔ 140 www.kalyanamitra.org

ดูกรอานนท์ อานาปานสั สติเป็นไฉน ดกู รอานนท์ ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ อย่ใู นปา่ ก็ดี อย่ทู ่ี โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี น่ังคู้บัลลังก์ ต้ังกาย ให้ตรง ด�ำรงสตไิ วเ้ ฉพาะหนา้ เธอเป็นผูม้ ีสตหิ ายใจออก เปน็ ผมู้ สี ติ หายใจเขา้ เมอ่ื หายใจออกยาวกร็ ชู้ ดั วา่ หายใจ ออกยาว หรอื เมื่อหายใจเข้ายาวกร็ ้ชู ัดว่า หายใจเขา้ ยาว เมอ่ื หายใจออกสนั้ กร็ ชู้ ดั วา่ หายใจออกสนั้ หรอื เมอ่ื หายใจ เข้าสน้ั กร็ ชู้ ดั ว่า หายใจเขา้ ส้ัน ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้ก�ำหนดรู้กายท้ังปวง (ลม หายใจ) หายใจออก ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผกู้ ำ� หนดรกู้ ายทงั้ ปวงหายใจเขา้ ย่อมศึกษาว่า จักระงับกายสังขาร (ลมหายใจ) หายใจออก ย่อมศกึ ษาว่า จักระงับกายสังขาร หายใจเขา้ ยอ่ มศึกษาว่า จกั ก�ำหนดรู้ปีติหายใจออก ยอ่ มศึกษาว่า จกั ก�ำหนดรูป้ ตี ิหายใจเขา้ ย่อมศึกษาว่า จักก�ำหนดรู้จิตตสังขาร (เวทนา) หายใจออก ย่อมศึกษาว่า จกั ก�ำหนดรู้จิตตสังขารหายใจเขา้ ย่อมศกึ ษาว่า จกั ระงบั จิตตสังขารหายใจออก อาพาธสูตร 141 www.kalyanamitra.org

ยอ่ มศกึ ษาว่า จกั ระงับจิตตสงั ขารหายใจเข้า ย่อมศกึ ษาว่า จกั ก�ำหนดร้จู ิตหายใจออก ย่อมศกึ ษาว่า จกั ก�ำหนดรจู้ ิตหายใจเข้า ยอ่ มศึกษาว่า จกั ยังจติ ให้บันเทงิ หายใจออก ยอ่ มศึกษาว่า จกั ยงั จิตใหบ้ นั เทงิ หายใจเขา้ ย่อมศกึ ษาวา่ จกั ตั้งจิตให้มั่นหายใจออก ยอ่ มศึกษาวา่ จักตง้ั จติ ให้มน่ั หายใจเข้า ย่อมศกึ ษาว่า จักเปลอ้ื งจติ หายใจออก ยอ่ มศกึ ษาวา่ จักเปลอื้ งจิตหายใจเขา้ ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็น ของไมเ่ ทยี่ งหายใจออก ย่อมศึกษาว่า จักเป็นผู้พิจารณาเห็นโดยความเป็น ของไม่เทย่ี งหายใจเข้า ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผพู้ จิ ารณาเหน็ โดยความคลาย กำ� หนดั หายใจออก ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผพู้ จิ ารณาเหน็ โดยความคลาย กำ� หนัดหายใจเข้า ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผพู้ จิ ารณาเหน็ โดยความดบั สนทิ หายใจออก ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผพู้ จิ ารณาเหน็ โดยความดบั สนทิ หายใจเขา้ 142 www.kalyanamitra.org

ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผพู้ จิ ารณาเหน็ โดยความสลดั คนื หายใจออก ยอ่ มศกึ ษาวา่ จกั เปน็ ผพู้ จิ ารณาเหน็ โดยความสลดั คนื หายใจเข้า ดกู รอานนท์ นเ้ี รียกวา่ ‘อานาปานัสสติ ฯ’ ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหาแล้ว กล่าวสัญญา ๑๐ ประการน้ีแก่คิริมานนทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของ คิริมานนทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟัง สญั ญา ๑๐ ประการน้ีเปน็ ฐานะที่จะมีได้ ฯ ล�ำดับน้ันแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ในส�ำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้เข้าไปหา ท่านพระคิรมิ านนท์ยังทีอ่ ยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่ท่านพระ- คริ ิมานนท์ ครัง้ นัน้ แล อาพาธนน้ั ของท่านพระคริ ิมานนท์ สงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ ทา่ นพระคริ ิมานนท์หายจากอาพาธน้ัน กแ็ ลอาพาธนั้นเปน็ โรคอนั ท่านพระคริ ิมานนทล์ ะได้ แล้วด้วยประการน้นั แล ฯ อาพาธสูตร 143 www.kalyanamitra.org

144 www.kalyanamitra.org

๑๓. ปฐมคลิ านสูตร๒๔ พระมหากัสสปหายอาพาธดว้ ยโพชฌงค์ ๗ สมยั หนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระวหิ าร เวฬวุ นั กลนั ทกนวิ าปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปอาพาธไม่สบาย เปน็ ไข้หนัก อยูท่ ี่ปปิ ผลิคหู า. ครง้ั นนั้ พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ออกจากทเ่ี รน้ ในเวลา เย็น เขา้ ไปหาทา่ นพระมหากัสสปถึงทอี่ ยู่ แล้วประทับนงั่ บนอาสนะทีป่ ลู าดไว้ ครัน้ แล้วได้ตรสั ถามท่านพระมหากัสสปวา่ “ดูกรกัสสป เธอพออดทนได้หรือ ? พอยังอัตภาพ ใหเ้ ป็นไปไดห้ รือ ? ทุกขเวทนาคลายลง ไม่ก�ำเรบิ ขนึ้ แล หรือ ความทุเลา ย่อมปรากฏ ความก�ำเริบขึ้นไม่ปรากฏ แลหรอื ?” ทา่ นพระมหากัสสปกราบทลู ว่า “ขา้ แตพ่ ระองค์ผ้เู จริญ ๒๔ สํ.ม., ล.๓๐, น.๒๒๒, มมร. ปฐมคิลานสูตร 145 www.kalyanamitra.org

ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกเวทนาของพระองค์ก�ำเริบหนัก ยังไม่คลายไป ความ กำ� เรบิ ขนึ้ ยอ่ มปรากฏ ความทุเลาไมป่ รากฏ.” พ. “ดกู รกสั สป โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นี้ เรากลา่ วไวช้ อบ แลว้ อันบุคคลเจรญิ แล้ว กระท�ำให้มากแลว้ ย่อมเป็นไป เพ่ือความร้ยู ง่ิ เพ่อื ความตรัสรู้ เพอ่ื นิพพาน โพชฌงค์ ๗ เปน็ ไฉน ? ดูกรกัสสป สติสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้วกระท�ำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ความรู้ยงิ่ เพอื่ ความตรัสรู้ เพื่อนพิ พาน ฯลฯ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ เรากลา่ วไวช้ อบแลว้ อนั บคุ คล เจริญแล้ว กระท�ำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพ่ือความรู้ยิ่ง เพ่อื ความตรัสรู้ เพือ่ นิพพาน ดกู รกัสสป โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นี้แล เรากลา่ วไวช้ อบ แล้ว อนั บุคคลเจริญแล้ว กระท�ำใหม้ ากแล้ว ย่อมเปน็ ไป เพอื่ ความรยู้ ิง่ เพ่อื ความตรสั รู้ เพ่อื นพิ พาน. ท่านพระมหากัสสปกราบทลู ว่า “ขา้ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาค โพชฌงคด์ นี กั ขา้ แตพ่ ระสคุ ต โพชฌงค์ดีนัก” 146 www.kalyanamitra.org

พระผมู้ พี ระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตน้ีแล้ว ทา่ นพระมหากสั สปปลม้ื ใจ ชนื่ ชมภาษติ ของพระผมู้ -ี พระภาค ทา่ นพระมหากสั สปหายจากอาพาธนนั้ แลว้ และ อาพาธนนั้ อันท่านพระมหากสั สปละได้แล้ว ด้วยประการ ฉะนี้แล. ปฐมคิลานสูตร 147 www.kalyanamitra.org

148 www.kalyanamitra.org

๑๔. ทตุ ิยคลิ านสูตร๒๕ พระมหาโมคคลั ลานะหายอาพาธดว้ ยโพชฌงค์ ๗ สมยั หนงึ่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระวหิ าร เวฬวุ ัน กลนั ทกนิวาปสถานใกลพ้ ระนครราชคฤห์ กส็ มยั นนั้ ทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะอาพาธ ไมส่ บาย เปน็ ไขห้ นกั อยู่ ณ ภูเขาคชิ ฌกฏู . ครง้ั นน้ั พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ออกจากทเ่ี รน้ ในเวลา เย็น เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ แล้ว ประทับนั่งบนอาสนะท่ีปลู าดไว้ คร้นั แลว้ ได้ตรสั ถามทา่ นพระมหาโมคคลั ลานะวา่ “ดูกรโมคคัลลานะ เธอพออดพอทนได้หรือ พอยัง อัตภาพให้เป็นไปได้แล ? หรือทุกขเวทนาคลายลง ไมก่ ำ� เรบิ ขนึ้ แลหรอื ความทเุ ลายอ่ มปรากฏ ความกำ� เรบิ ขน้ึ ไมป่ รากฏแลหรือ ?” ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ๒๕ สํ.ม., ล.๓๐, น.๒๒๒, มมร. 149 ทุติยคิลานสูตร www.kalyanamitra.org

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์ ย่อมก�ำเริบหนัก ยังไม่คลายลง ความก�ำเริบย่อมปรากฏ ความทุเลาไม่ปรากฏ.” พระผู้มีพระภาค. ดูกรโมคคัลลานะ โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นี้ เรากล่าวไวช้ อบแลว้ อันบุคคลเจรญิ แลว้ กระทำ� ให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ย่ิง เพ่ือความตรัสรู้ เพอ่ื นพิ พาน โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน ? ดูกรโมคคัลลานะ สตสิ ัมโพชฌงค์ เรากลา่ วไวช้ อบ แล้ว อันบุคคลเจริญแลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ ย่อมเปน็ ไป เพอ่ื ความรูย้ ง่ิ เพอ่ื ความตรัสรู้ เพอ่ื นพิ พาน ฯลฯ อเุ บกขาสมั โพชฌงค์ เรากลา่ วไวช้ อบแลว้ อนั บคุ คล เจรญิ แลว้ กระท�ำใหม้ ากแลว้ ย่อมเปน็ ไป เพื่อความรูย้ ง่ิ เพ่ือความตรสั รู้ เพอ่ื นพิ พาน ดูกรโมคคลั ลานะ โพชฌงค์ ๗ เหลา่ นีแ้ ล เรากล่าว ไว้ชอบแล้ว อันบคุ คลเจรญิ แล้ว กระท�ำให้มากแลว้ ย่อม เป็นไปเพ่อื ความรยู้ ง่ิ เพ่ือความตรัสรู้เพอ่ื นิพพาน.” ท่านพระโมคคัลลานะกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มี- พระภาค โพชฌงคด์ นี กั ข้าแต่พระสุคต โพชฌงคด์ ีนกั ” 150 www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook