ค่มู ือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซอ้ น สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
ค่มู ือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซอ้ น สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
คำนำ การขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการขัดกันระหว่าง ผลประโยชนส์ ว่ นบุคคลกบั ผลประโยชนส์ าธารณะ หรอื การขัดแยง้ ผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์ทับซ้อน หรอื การทจุ ริตเชงิ นโยบาย (Conflict of Interests : COI) มีความหมายเดียวกัน คือ การท่ีเจ้าหน้าท่ีของ รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยคานึงถึงประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้องเป็นหลัก ไม่คานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม (ประโยชน์สาธารณะ) ซ่ึงถือเป็นความผิดเชิงจริยธรรมและเป็นความผิดขั้นแรกท่ีจะนาไปสู่การทุจริต สรา้ งความเสียหายใหเ้ กิดขน้ึ กับประเทศชาติ เพื่อเป็นการเสรมิ สร้างคุณธรรมและความโปร่งใสในการดาเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ รัฐบาล จึงกาหนดยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐–๒๕๖๔) กาหนดให้การประเมินคุณธรรมและความโปรง่ ใสเป็นกลยุทธ์สาคัญในการป้องกันการทุจริตเชิงรุก เพ่ือให้ หน่วยงานภาครัฐมีการดาเนินงานอย่างโปร่งใส มีแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการ ทจุ ริตและสามารถยับยั้งการทจุ ริตที่อาจเกดิ ขน้ึ ได้ สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ซ่ึงเป็นหน่วยงานภาครัฐ จึงต้องดาเนินการ เกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซอ้ น ผ่านกจิ กรรมในหลายๆ ดา้ น รวมถึงการจัดทาคู่มือการป้องกันผลประโยชน์ ทับซอ้ นเผยแพร่ความร้แู ก่เจา้ หน้าทใี่ นหน่วยงานดว้ ยอีกทางหน่ึง หวงั เปน็ อย่างยงิ่ วา่ ค่มู ือการป้องกนั ผลประโยชนท์ บั ซ้อนเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ในการเสริมสร้าง ความรู้ ความเข้าใจแกข่ ้าราชการและบคุ ลากรให้เกดิ ความเข้าใจในปัญหาดังกล่าว รวมถึงเป็นข้อมูลให้ผู้มี ส่วนได้เสีย ได้ศึกษาเพ่ือร่วมกันสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมที่สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้และมีส่วนร่วม การสร้างสังคมไทยให้ใสสะอาด เพื่อยกระดับค่าดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปช่ัน (Corruption Perception Index : CPI) ของประเทศไทยให้ดยี ง่ิ ข้ึน หนว่ ยตรวจสอบภายใน สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42 คู่มอื การป้องกันผลประโยชน์ทับซอ้ น สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42
สำรบญั หน้ำ ควำมหมำยผลประโยชนท์ ับซอ้ น 1 แนวคดิ สำคัญของผลประโยชนท์ บั ซ้อน 3 รูปแบบของผลประโยชน์ทับซ้อน 5 กฎหมำยเกี่ยวกับกำรป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน 6 กจิ กรรมท่ีมีควำมเสี่ยง 10 หลกั กำรจดั กำรผลประโยชน์ทับซ้อน 10 บทสรปุ บรรณำนุกรม คมู่ อื การป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 42
1 ผลประโยชนท์ บั ซอ้ น (Conflict Of Interests) ผลประโยชน์ทับซ้อน หรือความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict of interest : COI) เป็นประเด็นปัญหาทางการบริหารภาครัฐในปัจจุบันท่ีเป็นบ่อเกิดของ ปญั หาการทุจรติ ประพฤติ มชิ อบในระดบั ที่รนุ แรงขนึ้ และยงั สะท้อนปัญหาการขาดหลักธรรมาภิบาลและ เป็นอุปสรรคต่อการพฒั นาประเทศ ควำมหมำย : สำนักงำน ก.พ. สถานการณ์หรือการกระทาของบุคคล (ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองข้าราชการ พนักงานบริษัท ผู้บริหาร) มี ผลประโยชน์ส่วนตนเข้ามาเกี่ยวข้อง จนส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจหรือการปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งนั้น การกระทาดังกล่าวอาจเกดิ ขน้ึ โดยร้ตู ัวหรือไม่รู้ตัว ทั้งเจตนาหรือไม่เจตนาหรือบางเรื่องเป็นการปฏิบัติสืบ ต่อกันมาจนไม่เห็นว่าจะเป็นส่ิงผิดแต่อย่างใดพฤติกรรมเหล่าน้ีเป็นการกระทาความผิดทางจริยธรรมของ เจ้าหน้าท่ีของรัฐ ที่ต้องคานึงถึงผลประโยชน์สาธารณะ (ประโยชน์ของส่วนรวม) แต่กลับตัดสินใจปฏิบัติ หน้าท่โี ดยคานึงถึงประโยชนข์ องตนเองหรือพวกพ้อง ควำมหมำยของ (Conflict Of Interests กบั Corruption Corruption) เป็นรูปแบบหน่ึงของ Corruption แต่ระดับหรือขนาด และขอบเขต ตา่ งกัน นาไปสู่ Corruption ท่ีรุนแรงข้ึน เก่ียวกับการใช้อานาจท่ีเป็นทางการ เช่ือมโยงกับกฎหมาย ระเบียบ การปฏิบัติและส่วนที่ไม่เป็นทางการ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ขยายไปถึงเร่ืองครอบครัว ต้องพจิ ารณาความสมั พันธ์ เช่น คสู่ มรส และคนในเครือญาติ โดยท่ัวไปเร่ืองผลประโยชน์ทับซ้อน จึงหมายถึงความทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์สาธารณะท่ีมีผลต่อการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ของรัฐ กล่าวคือเป็นสถานการณ์ที่ เจ้าหน้าท่ีของรัฐมีผลประโยชน์ส่วนตนอยู่และได้ใช้อิทธิพลตามอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอ บเพ่ือให้ เกิดประโยชนส์ ว่ นตวั โดยกอ่ ให้เกดิ ผลเสยี ตอ่ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม มีหลากหลายรูปแบบไม่จากัดว่าจะอยู่ เฉพาะในรูปของตัวเงิน หรือทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์อ่ืน ๆ ที่ไม่ใช่ในรูปตัวเงิน หรือ ทรัพย์สิน ผลประโยชนท์ ับซ้อน มกี ำรใชค้ ำภำษำไทยอยู่ ๓ อยำ่ ง ๑. ความขดั แยง้ กันระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒. ผลประโยชน์ทบั ซ้อน ๓. ผลประโยชน์ขดั กนั คู่มือการป้องกนั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42
2 ควำมหมำยและประเภทของกำรขัดกนั ระหวำ่ งประโยชน์ส่วนบคุ คลกับประโยชนส์ ่วนรวม ความขัดแย้ง (Conflict ) สถานการณ์ที่ขัดกัน ไม่ลงรอยเป็นเหตุการณ์อันเกิดขึ้นเมื่อบุคคลไม่สามารถ ตัดสินใจกระทาอย่างใดอย่างหน่ึง ความขัดแย้งอาจเกิดขึ้นได้จากความไม่ลงรอยกันในเรื่องความคิด แนวทางปฏบิ ตั ิ หรอื ผลประโยชน์ ผลประโยชน์ส่วนตน (Private Interests) เป็นผลตอบแทนที่บุคคลได้รับ โดยเห็นว่ามีคุณค่าท่ีจะ สนองตอบความต้องการของตนเองหรือของกลุ่มที่ตนเองเก่ียวข้อง ผลประโยชน์เป็นสิ่งจูงใจให้คนเรา มพี ฤติกรรมตา่ งๆ เพ่ือสนองความต้องการทั้งหลาย (เพญ็ ศรี วายวานนท์,2527:154) ผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชนส์ าธารณะ (Public Interests ) หมายถึง ส่ิงใดก็ตามทใ่ี หป้ ระโยชน์ สุขแก่บุคคลทั้งหลายในสังคม ผลประโยชน์สาธารณะ ยังหมายรวมถึงหลักประโยชน์ต่อมวลสมาชิก ในสังคม ความขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (Conflict Of Interests) เป็น สถานการณ์ท่ีบุคคลในฐานะพนักงานหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ ใช้ตาแหน่งหรืออานาจหน้าท่ีในการแสวง ประโยชน์แก่ตนเอง กลุ่มหรือพวกพ้อง ซึ่งเป็นการละเมิดทางจริยธรรม และส่งผลกระทบหรือความ เสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ คาอื่นท่ีมีความหมายถึงความขัดแย้งกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนและ ส่วนรวม ไดแ้ ก่ การมีผลประโยชน์ทับซ้อน ความขัดกันระหวา่ งผลประโยชนข์ องผู้ดารงตาแหน่งสาธารณะ และรวมถงึ คอรร์ ปั ชั่นเชงิ นโยบาย คอร์รัปชน่ั สีเทา มูลเหตปุ ัญหำผลประโยชนท์ ับซ้อน ปญั หาผลประโยชน์ทบั ซ้อนเกิดจากการพัฒนาการทางการเมืองไทยเปล่ียนไป จากเดิมท่ีนักการเมืองและ นักธุรกิจเป็นบุคคลคนละกลุ่มกัน กล่าวคือในอดีต นักธุรกิจต้องพ่ึงพิงนักการเมือง เพ่ือให้นักการเมือง ช่วยเหลือสนับสนุนธุรกิจของตน ซึ่งในบางครั้งส่ิงท่ีนักธุรกิจต้องการน้ัน มิได้รับการตอบสนองจาก นักการเมืองทุกคร้ังเสมอไป นักธุรกิจก็ต้องจ่ายเงินจานวนมากแก่นักการเมือง ในปัจจุบันนักธุรกิจจึงใช้ วิธีการเข้ามาเล่นการเมืองเองเพื่อให้ตนเองสามารถเข้ามาเป็นผู้กาหนดนโยบายและออกกฎเกณฑ์ต่างๆ ในสังคมได้ และท่ีสาคญั คือทาให้ขา้ ราชการตา่ งๆ ตอ้ งปฏบิ ัติตามคาส่งั คู่มอื การป้องกนั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
3 แนวคดิ สำคัญของผลประโยชน์ทบั ซ้อน ผลประโยชน์ส่วนตน (private interest) “ผลประโยชน์” คือ ส่ิงใดๆ ที่มีผลต่อบุคคล/กลุ่ม ไม่ว่าใน ทางบวกหรือลบ “ผลประโยชน์ส่วนตน” ไม่ได้ครอบคลุมเพียงผลประโยชน์ด้านการงานหรือธุรกิจของ เจ้าหน้าที่ แต่รวมถึงคนท่ีติดต่อสัมพันธ์ด้วย เช่น เพ่ือน ญาติ คู่แข่ง ศัตรู เมื่อใดเจ้าหน้าท่ีประสงค์จะให้ คนเหล่านไี้ ด้หรอื เสียประโยชน์ เม่ือน้นั กถ็ ือว่ามเี ร่ืองผลประโยชนส์ ว่ นตนมาเกย่ี วขอ้ ง ผลประโยชนส์ ่วนตน มี ๒ ประเภท คือ ทีเ่ กี่ยวกับเงนิ (pecuniary) และทไี่ มเ่ กี่ยวกบั เงิน (non- pecuniary) ๑. ผลประโยชน์ส่วนตนที่เกี่ยวกับเงิน ไม่ได้เกี่ยวกับการได้มาซ่ึงเงินทองเท่านั้น แต่ยังเก่ียวกับ การเพ่ิมพูนประโยชน์หรือปกป้องการสูญเสียของส่ิงที่มีอยู่แล้ว เช่น ที่ดิน หุ้น ตาแหน่งในบริษัทท่ีรับงาน จากหน่วยงาน รวมถึงการได้มาซึ่งผลประโยชน์อ่ืนๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปตัวเงิน เช่น สัมปทาน ส่วนลด ของขวญั หรือของท่แี สดงนา้ ใจไมตรอี นื่ ๆ ๒. ผลประโยชน์ที่ไม่เก่ียวกับเงิน เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ครอบครัว หรือกิจกรรม ทางสังคมวัฒนธรรมอ่ืน ๆ เช่น สถาบันการศึกษา สมาคม ลัทธิ แนวคิด มักอยู่ในรูปความลาเอียง/อคติ/ เลือกทีร่ กั มักท่ชี งั และมีขอ้ สงั เกตว่าแม้แต่ความเชอ่ื /ความคิดเหน็ ส่วนตวั กจ็ ดั อยู่ในประเภทน้ี • ผลประโยชน์สำธำรณะ คือประโยชน์ของชุมชนโดยรวม ไม่ใช่ผลรวมของผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล และไมใ่ ชผ่ ลประโยชนข์ องกล่มุ คน การระบุผลประโยชน์สาธารณะไม่ใช่เร่ืองง่าย แต่ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ ภาครฐั สามารถให้ความสาคญั อันดับต้นแกส่ ิง่ นี้ โดย - ทางานตามหน้าที่อย่างเตม็ ทแ่ี ละมปี ระสทิ ธภิ าพ - ทางานตามหน้าท่ีตามกรอบและมาตรฐานทางจริยธรรม - ระบุผลประโยชน์ทับซอ้ นที่ตนเองมหี รืออาจจะมีและจัดการอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ - ให้ความสาคัญอันดับต้นแก่ผลประโยชน์สาธารณะ มีความคาดหวังว่าเจ้าหน้าท่ีต้องจากัด ขอบเขตท่ีประโยชนส์ ่วนตนจะมามีผลตอ่ ความเปน็ กลางในการทาหน้าที่ - หลีกเล่ยี งการตัดสนิ ใจหรอื การทาหน้าทที่ ี่มผี ลประโยชนท์ บั ซอ้ น - หลกี เล่ยี งการกระทา/กจิ กรรมส่วนตนทีอ่ าจทาให้คนเหน็ วา่ ได้ประโยชน์จากข้อมลู ภายใน - หลีกเลย่ี งการใช้ตาแหนง่ หน้าท่หี รือทรัพยากรของหน่วยงานเพอ่ื ประโยชน์ส่วนตน - ปอ้ งกันข้อครหาวา่ ไดร้ ับผลประโยชน์ทไ่ี มส่ มควรจากการใช้อานาจหน้าท่ี - ไม่ใช้ประโยชนจ์ ากตาแหน่งหรือขอ้ มลู ภายในที่ได้ขณะอยู่ในตาแหนง่ ไปหาตาแหนง่ งานใหม่ • หน้ำท่ีสำธำรณะ (public duty) หน้าท่ีสาธารณะของผู้ที่ทางานให้ภาครัฐคือ การให้ความสาคัญ อันดับต้นแก่ประโยชน์สาธารณะ (public interest) คนเหล่าน้ีไม่จากัดเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐท้ังระดับ ทอ้ งถิ่นและระดับประเทศเทา่ นน้ั แตย่ ังรวมถึงคนอื่นๆ ท่ีทางานใหภ้ าครัฐ เช่น อาสาสมคั ร จติ อาสา • ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interests) องค์กรสากล คือ Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) นิยามว่าเป็นความทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชนท์ ับซอ้ น มี ๓ ประเภท คอื ๑. ผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีเกิดขึ้นจริง (actual) มีความทับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและ สาธารณะเกดิ ขึ้น คมู่ อื การป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน สานักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 42
4 ๒. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เห็น (perceived & apparent) เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนที่คนเห็นว่า มีแต่จริงๆ อาจไม่มีก็ได้ ถ้าจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนประเภทนี้อย่างขาดประสิทธิภาพก็อาจ นามา ซ่ึงผลเสียไม่น้อยกว่าการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีเกิดขึ้นจริง ข้อนี้แสดงว่าเจ้าหน้าท่ีไม่เพียงแต่ จะต้องประพฤติตนอย่างมีจริยธรรมเท่าน้ัน แต่ต้องทาให้คนอ่ืน ๆ รับรู้และเห็นด้วยว่าไม่ได้รับประโยชน์ เช่นน้ันจริง ๓. ผลประโยชน์ทับซ้อนท่ีเป็นไปได้ (potential) ผลประโยชน์ส่วนตนท่ีมีในปัจจุบันอาจจะ ทับซ้อนกับผลประโยชนส์ าธารณะได้ในอนาคต • หน้ำที่ทับซ้อน (conflict of duty) หรือผลประโยชน์เบียดซ้อนกัน (competing interests) มี ๒ ประเภท ๑. ประเภทแรก เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่มีบทบาทหน้าท่ีมากกว่าหนึ่ง เช่น เป็นเจ้าหน้าที่ใน หน่วยงานและเป็นคณะกรรมการด้านระเบียบวินัยประจาหน่วยงานด้วย ปัญหาจะเกิดเมื่อไม่สามารถ แยกแยะบทบาทหน้าที่ท้ังสองออกจากกันได้อาจทาให้ทางานไม่มีประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งเกิดความ ผิดพลาดหรือผิดกฎหมาย ปกติหน่วยงานมักมีกลไกป้องกันปัญหานี้โดยแยกแยะบทบาทหน้าที่ต่างๆ ให้ ชัดเจน แตก่ ็ยังมีปัญหาไดโ้ ดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ในหน่วยงานทีม่ ีกาลังคนน้อยหรือมีเจ้าหน้าท่ีบางคนเท่านั้นที่ สามารถทางานบางอย่างท่ีคนอื่นๆ ทาไม่ได้ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยห่วงปัญหานี้กันเพราะดูเหมือนไม่มีเรื่อง ผลประโยชนส์ ว่ นตนมาเก่ียวข้อง ๒. ประเภทท่ีสอง เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่มีบทบาทหน้าที่มากกว่าหน่ึงบทบาท และการทา บทบาทหนา้ ที่ ในหน่วยงานหนงึ่ นัน้ ทาให้ไดข้ อ้ มลู ภายในบางอย่างท่ีอาจนามาใช้เป็นประโยชน์แก่การทา บทบาทหน้าท่ีให้แก่ อีกหน่วยงานหนึ่งได้ ผลเสียคือ ถ้านาข้อมูลมาใช้ก็อาจเกิดการประพฤติมิชอบหรือ ความลาเอยี ง/อคติตอ่ คนบางกล่มุ ควรถือว่าหน้าท่ีทับซ้อนเป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย เพราะว่า มีหลักการจัดการแบบเดียวกัน นั่นคือ การตัดสินใจทาหน้าท่ีต้องเป็นกลางและกลไกการจัดการ ผลประโยชน์ทับซอ้ นก็สามารถนามาจดั การกับหน้าท่ีทับซ้อนได้ คู่มอื การป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42
5 รปู แบบของผลประโยชน์ทับซอ้ น (Conflict Of Interests ) กำรรับผลประโยชน์ (Accepting Benefits) ไดแ้ ก่ การรบั ของขวัญหรือของกานลั ท่มี ีค่าอนื่ ๆ ซ่ึงส่งผลต่อการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่ การท่ีบริษัทสนับสนุนการเดินทางไปประชุม/ดูงานในต่างประเทศ ของผู้บริหารและอาจ รวมถึงครอบครวั การท่หี นว่ ยงานราชการรับเงินบริจาคสรา้ งสานกั งานจากบริษัทธุรกิจที่ติดตอ่ กับหน่วยงาน เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั รบั ของแถมหรือผลประโยชน์ในการปฏิบัติงานทีเ่ กยี่ วกบั การจัดซ้ือจัดจ้าง การที่บุคคลปฏิบัติหน้าท่ีเอาผลประโยชน์ส่วนตัวไปพัวพันในการตัดสินใจ เพื่อเอ้ือประโยชน์ ตอ่ ตนเอง และเป็นการเสยี ประโยชน์ของทางการ กำรกระทำทอ่ี ย่ใู นข่ำย Conflict of Interests รบั ผลประโยชน์ (Accepting Benefits) คอื การรบั สินบนหรอื รับของขวญั เช่น เป็นเจ้าพนกั งานสรรพากรแลว้ รับเงินจากผูม้ าเสียภาษี หรอื เป็นเจ้าหนา้ ที่จัดซอ้ื แล้วไปรับไม้กอล์ฟจากรา้ นคา้ เป็นตน้ การหาประโยชนใ์ ห้ตนเอง (Self-Dealing) คอื การหาประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว หรือพวกพอ้ งจากตาแหนง่ หน้าที่ เป็นการใชต้ าแหนง่ หน้าที่เพอื่ ตนเอง ใช้อิทธิพล (Influence Peddling) เป็นการเรยี กผลตอบแทนในการใช้อิทธิพลในตาแหน่งหน้าที่เพื่อส่งผล ที่เปน็ คุณแก่ฝ่ายใด ฝา่ ยหน่ึงอย่างไมเ่ ปน็ ธรรม ใช้ทรัพย์สินของนายจ้างเพื่อประโยชน์ส่วนตน (Using employer’s property for private advantage) ไดแ้ ก่ การใชร้ ถราชการ หรือใช้คอมพวิ เตอรข์ อง ราชการทางานส่วนตวั เปน็ ตน้ ใช้ข้อมูลลับของราชการ (Using confidential information) เช่น รู้ว่าราชการจะตัดถนน แล้วรีบชิงไป ซอ้ื ทีด่ ักหนา้ ไวก้ อ่ น รบั งานนอก (Outside employment or moonlighting) ไดแ้ ก่ การเปดิ บรษิ ัท หากนิ ซอ้ นบริษัทท่ีตนเองทางาน เช่น เป็นพนักงานขายแอบเอาสนิ คา้ ตัวเองมาขายแข่ง หรือเช่นนักบญั ชีทร่ี บั งานส่วนตวั จนไม่มีเวลาทางานบัญชีในหน้าทใี่ ห้ราชการ ทางานหลังออกจากตาแหน่ง (Post Employment) เป็นการไปทางานให้ผู้อ่ืน หลังออกจากงานเดิม โดยใช้ความรู้หรืออิทธิพลที่เดิมมาชิงงาน หรือเอาประโยชน์ โดยไม่ชอบธรรม เช่น เอาความรู้ในนโยบาย และแผนของธนาคารชาติไปช่วย ธนาคารเอกชนหลงั เกษียณ ค่มู ือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซอ้ น สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 42
6 กฎหมายเกยี่ วกบั การปอ้ งกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน 5 1. ประมวลกฎหมำยอำญำ ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 และที่แก้ไขเพ่ิมเติมใน พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 และ พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี 26) พ.ศ. 2560 ได้กาหนดความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการ ไว้ใน ภาค 2 ความผดิ ลกั ษณะ 2 ความผิดเก่ียวกับการปกครอง หมวด 2 ต้ังแต่ มาตรา 147 ถงึ 166 อาทิ มาตรา 147 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์น้ัน เป็นของตน หรอื เป็นของผอู้ ื่นโดยทจุ รติ หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อ่ืนเอาทรัพย์นั้นเสีย ต้องระวางโทษจาคุก ต้ังแต่ห้าปีถงึ ยส่ี บิ ปหี รอื จาคกุ ตลอดชวี ิตและปรบั ตง้ั แต่หนงึ่ แสนบาทถึงสแ่ี สนบาท มาตรา 151 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าท่ีซ้ือ ทา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อานาจใน ตาแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาลหรือเจ้าของทรัพย์น้ัน ต้องระวางโทษ จาคกุ ตง้ั แตห่ ้าปถี งึ ยีส่ ิบปีหรือจาคกุ ตลอดชวี ิตและปรบั ต้งั แตห่ น่งึ แสนบาทถึงสีแ่ สนบาท 2. ประมวลจริยธรรมข้ำรำชกำรพลเรือน ประมวลจริยธรรมข้าราชการพลเรือน ปีพ.ศ. 2552 เป็นการดาเนินการตามมาตรา 279 ของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพ่ือเป็นมาตรฐานทางจริยธรรม ให้ข้าราชการท้ังหลาย เกิดสานึกลึกซ้ึงและเที่ยงธรรมในหน้าท่ี ผดุงเกียรติและศักด์ิศรีข้าราชการควรแก่ความไว้วางใจและ เชื่อม่ันของปวงชน และดารงตนมั่นเป็นแบบอย่างที่ดีงาม สมกับความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยูห่ วั ท้ังนี้การฝ่าฝืนจริยธรรมตามหมวด 2 ของประมวลจริยธรรมน้ีเป็นความผิดวินัยตามกฎหมาย ว่าด้วยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย พนักงานราชการ พ.ศ. 2547 หรือระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยลูกจ้างประจาของส่วนราชการ พ.ศ. 2537 แล้วแตก่ รณี คมู่ ือการป้องกันผลประโยชน์ทับซอ้ น สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42
7 หมวด 2 ข้อ 5 ให้ขำ้ รำชกำรตอ้ งแยกเร่ืองส่วนตัวออกจำกตำแหน่งหน้ำท่ีและยึดถือประโยชน์ สว่ นรวมของประเทศชำติเหนอื กวำ่ ประโยชนส์ ว่ นตน โดยอยา่ งน้อยต้องวางตน ดังน้ี (1) ไม่นาความสัมพันธ์ส่วนตัวท่ีตนมีต่อบุคคลอ่ืน ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พรรคพวก เพื่อนฝูง หรือผู้มีบุญคุณส่วนตัว มาประกอบการใช้ดุลยพินิจให้เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลน้ัน หรือปฏิบัติต่อ บุคคลนัน้ ต่างจากบคุ คลอนื่ เพราะความชอบหรือชงั (2) ไม่ใช้เวลาราชการ เงิน ทรัพย์สิน บุคลากร บริการหรือส่ิงอานวยความสะดวกของทาง ราชการไปเพือ่ ประโยชนส์ ่วนตัวของตนเองหรอื ผู้อน่ื เว้นแตไ่ ด้รับอนุญาตโดยชอบดว้ ยกฎหมาย (3) ไม่กระทาการใด หรือดารงตาแหน่ง หรือปฏิบัติการใดในฐานะส่วนตัวซ่ึงก่อให้เกิดความ เคลอื บแคลงหรือสงสยั วา่ จะขดั กับประโยชน์ส่วนรวมท่อี ยใู่ นความรับผิดชอบของหนา้ ท่ี ท้ังน้ี ในกรณมี ีความเคลือบแคลงหรือสงสัย ให้ข้าราชการผู้น้ันยุติการกระทาดังกล่าวไว้ก่อนแล้ว แจ้งให้ผู้บังคับบัญชา หัวหน้าส่วนราชการและคณะกรรมการจริยธรรมพิจารณา เมื่อคณะกรรมการ จริยธรรมวนิ จิ ฉัยเปน็ ประการใด แลว้ จึงปฏิบัติตามน้ัน (4) ในการปฏิบัติหน้าท่ีที่รับผิดชอบในหน่วยงานโดยตรงหรือหน้าท่ีอ่ืนในราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐ ข้าราชการต้องยึดถือประโยชน์ของทางราชการเป็นหลัก ในกรณี ที่มีความขัดแย้งระหว่างประโยชน์ของทางราชการหรือประโยชน์ส่วนรวม กับประโยชน์ส่วนตนหรือ ส่วนกลุ่ม อันจาเป็นต้องวินิจฉัยหรือช้ีขาด ต้องยึดประโยชน์ของทางราชการและประโยชน์ส่วนรวมเป็น สาคญั ค่มู อื การป้องกันผลประโยชน์ทบั ซอ้ น สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42
8 หมวด 2 ข้อ 6 ให้ข้ำรำชกำรต้องละเว้นจำกกำรแสวงหำประโยชน์ท่ีมิชอบโดยอำศัยตำแหน่งหน้ำท่ี และไม่กระทำกำรอันเป็นกำรขัดกันระหว่ำงประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม โดยอย่างน้อย ต้องวางตน ดงั น้ี (1) ไม่เรียก รับ หรือยอมจะรับ หรือยอมให้ผู้อ่ืนเรียก รับ หรือ ยอมจะรับซึ่งของขวัญแทนตน หรือญาติของตน ไม่วา่ กอ่ นหรือหลังดารงตาแหนง่ หรอื ปฏิบตั ิหนา้ ท่ไี มว่ า่ จะเก่ียวข้อง หรือไม่เก่ียวข้องกับ การปฏบิ ัตหิ นา้ ทห่ี รือไมก่ ต็ าม เวน้ แต่เป็นการใหโ้ ดยธรรมจรรยา หรือการให้ตามประเพณหี รอื ให้แก่บุคคล ทั่วไป (2) ไม่ใชต้ าแหน่งหรอื การกระทาการทเ่ี ปน็ คุณหรอื เป็นโทษแกบ่ ุคคลใดเพราะมีอคติ (3) ไม่เสนอ หรืออนุมัติโครงการ การดาเนินการ หรือการทานิติกรรมหรือสัญญา ซึ่งตนเองหรือ บุคคลอ่นื จะได้ประโยชนอ์ ันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายหรือประมวลจริยธรรมนี้ ไมแ่ สวงประโยชน์ ไมร่ ิ (เริ่ม) ทมี่ ชิ อบ ไมจ่ ดั สรรตามอคติ ไมร่ ับของขวญั อคตยิ ชน์ ประโยชน์ 3. พระรำชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญวำ่ ดว้ ยกำรป้องกันและปรำบปรำมกำรทจุ ริต พ.ศ. 2542 และที่แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ในหมวด 9 มกี ารระบุถึง การขัดกันระหว่างประโยชนส์ ว่ นบคุ คลและประโยชน์สว่ นรวม โดยมี มาตราที่เกย่ี วข้องต้งั แต่ มาตราที่ 100 ถึง มาตรา 103 โดยมาตรา 100 หา้ มมิใหเ้ จา้ หนา้ ที่ของรัฐเป็น คสู่ ัญญาหรือมสี ว่ นได้สว่ นเสียในสญั ญาท่ที ากับหนว่ ยงานของรัฐ เป็นหุน้ สว่ นในห้างหนุ้ สว่ นหรือบรษิ ัทท่ี เปน็ ค่สู ัญญากบั หน่วยงานของรัฐ รับสมั ปทานหรือคงถอื ไว้ซ่ึงสัมปทานจากรัฐ หรือเขา้ ไปเปน็ กรรมการ ที่ ปรึกษา พนักงานหรือลกู จ้างในธรุ กิจเอกชน อยา่ งไรกต็ ามในมาตราท่ี 100-102 น้ัน จากัดเจ้าหน้าที่ ของรัฐตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกาศ ซ่ึงปจั จุบนั กาหนดไวเ้ พียงตาแหนง่ 1. นายกรัฐมนตรี 2. รัฐมนตรี 3. ผู้บริหารท้องถิ่น และ 4. รองผูบ้ ริหารทอ้ งถ่นิ รวมถงึ คู่สมรสของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเทา่ นน้ั ดงั นั้นในหวั ขอ้ น้จี ะแสดงเฉพาะมาตรา 103 เร่อื งการรับทรัพย์สิน มาตรา 103 หา้ มมิใหเ้ จา้ หน้าทีข่ องรฐั ผู้ใดรบั ทรพั ยส์ ินหรือประโยชน์อนื่ ใดจากบุคคล นอกเหนือจากทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อนั ควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ขอ้ บังคับที่ออกโดยอาศยั อานาจ ตามบทบัญญัตแิ หง่ กฎหมาย เว้นแตก่ ารรบั ทรัพยส์ ินหรือประโยชนอ์ ่นื ใด โดยธรรมจรรยาตามหลักเกณฑ์ และจานวนท่คี ณะกรรมการ ป.ป.ช. กาหนด บทบญั ญตั ใิ นวรรคหนง่ึ ใหใ้ ช้บังคบั กบั การรบั ทรัพยส์ นิ หรอื ประโยชนอ์ น่ื ใดของผู้ท่ีพน้ จากการเป็น เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐมาแล้วยงั ไม่ถึงสองปีดว้ ยโดยอนโุ ลม ค่มู อื การป้องกันผลประโยชน์ทบั ซอ้ น สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
9 ประกำศคณะกรรมกำร ป.ป.ช. หลักเกณฑ์กำรรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยธรรมจรรยำของ เจ้ำหนำ้ ทขี่ องรฐั พ.ศ. ๒๕๔๓ (มำตรำ ๑๐๓) ข้อ ๕ เจ้าหนา้ ที่ของรฐั จะรบั ทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อนื่ ใดโดยธรรมจรรยาไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี (๑) จากญาติ ซึ่งให้โดยเสน่หาตามจานวนท่ีเหมาะสมตามฐานานุรปู (๒) จากบุคคลอนื่ ราคาหรือมูลคา่ ในการรับจากแต่ละบคุ คล แตล่ ะโอกาสไม่เกนิ สามพนั บาท การรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนที่มีมูลค่าเกินกว่า ๓,๐๐๐ บาท โดยมีความจาเป็นต้องรับเพื่อรักษา ไมตรี มติ รภาพ ตอ้ งแจ้งผบู้ ริหารสงู สดุ ของหน่วยงานโดยทันทที ่ีสามารถกระทาได้ กรณมี ีควำมจำเป็นต้องรับทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อื่นใดทมี่ ีมูลค่ำเกิน 3,000 บำท : ต้องแจ้งรายละเอียดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรับทรัพย์หรือประโยชน์นั้นต่อหัวหน้าส่วนราชการ เพื่อวินจิ ฉัยเหตผุ ลความจาเปน็ ความเหมาะสม กรณีมีคำส่ังไม่ให้รับ : ให้คืนทรัพย์สินฯ แก่ผู้ให้ในทันที หากไม่สามารถคืนได้ ให้ส่งมอบให้หน่วยงาน ทีส่ งั กดั โดยเร็ว มำตรำ 103/1 บรรดาความผิดท่ีบัญญัติไว้ในหมวดนี้ ให้ถือเป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าท่ี หรือความผิดต่อตาแหน่งหน้าท่ีราชการหรือความผิดต่อตาแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมตามประมวล กฎหมายอาญาด้วย บทลงโทษ : หากเจ้าหนา้ ท่ีของรัฐฝ่าฝืนจะต้องได้รบั โทษ คือ จาคกุ ไม่เกนิ 3 ปี หรอื ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรอื ทงั้ จาท้งั ปรับ ประโยชนอ์ ืน่ ใด หมายถึง สิ่งท่มี มี ลู ค่า ไดแ้ ก่ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับบรกิ าร การรับ ฝกึ อบรม หรือสิ่งอ่ืนใดในลักษณะเดียวกัน 4. ระเบียบสำนกั นำยกรฐั มนตรวี ่ำดว้ ยกำรเรีย่ ไรของหน่วยงำนของรฐั พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อ ๒๒ เจ้าหน้าที่ของรัฐท่ีเข้าไปมีส่วนเก่ียวข้องกับการเรี่ยไรของบุคคลหรือนิติบุคคลที่ได้รับ อนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรตามกฎหมายว่าด้วยการเร่ียไรซ่ึงมิใช่หน่วยงานของรัฐจะต้อง ไมก่ ระทาการดังตอ่ ไปนี้ (๑) ใช้หรือแสดงตาแหน่งหน้าท่ีให้ปรากฏในการดาเนินการเร่ียไรไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาด้วย สิ่งพิมพ์ตามกฎหมายว่าด้วยการพมิ พ์ หรือสือ่ อย่างอ่ืนหรอื ดว้ ยวธิ กี ารอน่ื ใด (๒) ใช้ ส่งั ขอร้อง หรือบังคบั ใหผ้ ูใ้ ต้บงั คบั บญั ชา หรือบุคคลใดช่วยทาการเร่ียไรให้หรือกระทาใน ลักษณะให้ผู้น้ันอยู่ในภาวะจายอมไม่สามารถปฏิเสธ หรือหลีกเล่ียงที่จะไม่ช่วยทาการเรี่ยไรไม่ว่าทางตรง หรือทางออ้ ม . คูม่ ือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42
10 กิจกรรมที่มีควำมเสี่ยงต่อกำรเกดิ ผลประโยชน์ทับซ้อนของข้ำรำชกำรประจำ/ลูกจ้ำง 1. การรบั ผลประโยชนห์ รือการเรียกรอ้ งสง่ิ ตอบแทนจากการปฏบิ ัติงานในหนา้ ที่ความรบั ผิดชอบ 2. การรบั งานนอกหรือการทาธุรกจิ ส่วนตวั ทเ่ี บียดบงั เวลาราชการ/งานโดยรวมของหนว่ ยงาน 3. การทางานหลังเกษยี ณให้กับหน่วยงานที่มีผลประโยชนข์ ัดกบั หนว่ ยงานต้นสงั กัดเดมิ 4. การนาทรัพย์สนิ สว่ นราชการไปใชใ้ นกจิ ธุระสว่ นตวั และในหลายกรณีตวั อย่าง เช่น 4.1 การใช้รถยนตร์ าชการไปใช้ในกจิ ธรุ ะส่วนตัว บางคร้ังมกี ารเบกิ คา่ น้ามนั อีกด้วย 4.2 การนาเครอ่ื งไฟฟ้าสว่ นตวั มาใชไ้ ฟฟ้าของราชการเพื่อประโยชน์สว่ นตน 4.3 การใช้สถานที่ราชการ ครุภัณฑ์สานักงานเช่น โต๊ะ เก้าอี้ เคร่ืองเสียง ฯลฯ ไปใช้ใน กจิ การส่วนตัว 4.4 การใชร้ ถสว่ นตัวไปเตมิ นา้ มันในนามรถยนต์ราชการ 5. การนาบคุ ลากรของหน่วยงานไปใชเ้ พื่อการส่วนตัว 6. การรับงานจากภายนอกจนกระทบต่อการปฏบิ ตั ิหน้าท่ปี ระจา 7. การลัดควิ การให้บรกิ ารแกเ่ จา้ หน้าท่ีหรือญาตเิ จา้ หนา้ ท่ใี นหน่วยงาน 8. ดา้ นการ ตรวจสอบ ประเมนิ ราคาและการจัดซอื้ จัดจา้ ง 8.1 การกาหนดมาตรฐาน ( Specification) ในสินค้าท่ีจะจัดซื้อจัดจ้างให้บริษัทของตนหรือ ของพวกพอ้ งได้เปรยี บหรอื ชนะในการประมลู 8.2 การให้ข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างแก่พรรคพวก/ญาติ เพ่ือแสวงหาผลประโยชน์ในการ ประมูลหรือ การจ้างเหมา รวมถงึ การปกปิดขอ้ มลู เช่น การปิดประกาศหรือเผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสาร ล่าชา้ หรอื พ้นกาหนดการยนื่ ใบเสนอราคา เปน็ ต้น 9. การแอบอา้ งชือ่ บคุ คลอ่นื หรือช่ือลกู ค้า ยกั ยอกทรพั ย์สินจานาออกไป 10. เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั กระทาการหรอื รเู้ หน็ ในการปลอมแปลงและหรือใช้เอกสารปลอม เพ่อื ให้ผู้อื่น หลงเชื่อว่าเปน็ เอกสารทแี่ ท้จริง หรือเพือ่ นาเอาเอกสารไปใช้ในกจิ การท่อี าจเกิดความเสยี หายแก่ผู้อ่นื เชน่ - การปลอมแปลงลายมือชื่อผู้อื่นเพ่ือกล่าวร้ายผู้อื่นให้ได้ความเสียหายทั้งด้านการดาเนินชีวิตและ เกียรติยศชอ่ื เสยี ง ฯลฯ : มาตรา 264 แหง่ พ.ร.บ.แก้ไขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 26 พ.ศ.2560 หลกั กำรจดั กำรผลประโยชน์ทบั ซ้อน 1.ปกปอ้ งผลประโยชน์ เจา้ หน้าท่ตี ้องตดั สินใจและให้คาแนะนาภายในกรอบกฎหมายและนโยบายงานในขอบเขตหน้าท่ี พิจารณาความถูกผิดไปอย่างเป็นกลาง ไม่ให้ผลประโยชน์ส่วนตน/ทัศนคติส่วนบุคคลมา แทรกแซง 2. สนับสนุนควำมโปรง่ ใส การเปิดโอกาสให้ตรวจสอบและความพร้อมรับผิด เช่น การเปิดความสัมพันธ์ที่อาจส่งผลต่อ การปฏบิ ตั ิ หนา้ ที่ การโยกย้ายเจ้าหน้าที่จากตาแหน่งท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งนาไปสู่การเกิดผลประโยชน์ ทับซ้อน คมู่ ือการป้องกนั ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น สานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42
11 3. สง่ เสรมิ ควำมรบั ผิดชอบสว่ นบคุ คลและปฏิบตั ิตนเป็นแบบอย่ำง ผู้บริหารต้องสร้างระบบและนโยบายเจ้าหน้าท่ีจะต้องจัดการเรื่องส่วนตนเพื่อหลีกเล่ียง ผลประโยชน์ ทับซอ้ นมากท่ีสุดเท่าทจ่ี ะทาได้ รวมทั้งผู้บรหิ ารต้องเปน็ แบบอยา่ งที่ดีด้วย 4. สรำ้ งวฒั นธรรมองคก์ ร การสรา้ งสภาพแวดล้อมเชิงนโยบายท่มี ปี ระเด็นผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดข้ึน การสร้างวัฒนธรรม แห่งความซ่ือตรงต่อหน้าที่ เช่น การให้ข้อแนะนาและการฝึกอบรมเจ้าหน้าท่ี การมีมาตรฐาน ส่งเสริมความซ่ือตรงต่อหน้าท่ีรวมไว้ในข้อกาไหนดบทลงโทษท่ีทาไให้เจ้าหน้าท่ีถือว่าเป็นความ รับผดิ ชอบของตนเองทีต่ ้องทาตาม กฎระเบยี บและมาตรฐาน แนวทำงกำรปฏิบัตติ นของเจ้ำหน้ำทขี่ องรัฐ หลกั ความโปรง่ ใส หลกั นิตธิ รรม หลักความรบั ผิดชอบ หลักการมสี ว่ นร่วม หลักคุณธรรม หลักความคุ้มค่า หลักธรรมำภิบำล และหลักคณุ ธรรม จรยิ ธรรมในกำรปฏบิ ัตงิ ำน หลกั ธรรมาภิบาล (Good Governance) ประกอบด้วย 6 หลักการ 1. หลักความโปร่งใส : เป็นการสร้างความไว้วางใจซ่งึ กัน และกนั 2. หลกั นติ ิธรรม : เป็นการตรากฎหมาย และกฎขอ้ บงั คับให้ทันสมัยและเป็นธรรม เป็นท่ียอมรับ ของสงั คม 3. หลักความรับผิดชอบ : เป็นการตระหนักในสิทธิหน้าท่ี ความสานึกในความรับผิดชอบต่อ สงั คม 4. หลักความเสมอภาพ : คนทุกคนมีความสามารถอย่างเท่าเทียมกันในการเข้าถึงโอกาสต่างๆ ในสังคม 5. หลกั คุณธรรม : เปน็ การยึดมัน่ ในความถูกต้องดงี าม 6. หลักความคุ้มค่า : เป็นการบริหารจัดการและใช้ทรัพยากร ท่ีมีจากัดเพื่อให้เกิดประโยชน์ สงู สดุ แกส่ ่วนรวม คู่มอื การป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน สานักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 42
12 ธรรมำภิบำล จะมีคำว่ำ integrity ค่ำนิยมของข้ำรำชกำร I am ready I = Integrity มีศกั ดิ์ศรี (ยดึ ม่ันในความถูกตอ้ ง สุจรติ เทย่ี งธรรม) A = Activeness ขยนั ตง้ั ใจทางาน (บริการ/แกไ้ ขปัญหา ปชช) M = Morality มีศีลธรรม คณุ ธรรม จริยธรรม R = Relevance รู้ทันโลก ปรบั ตัวทนั โลก ตรงกับสงั คม E = Efficiency มงุ่ เนน้ ประสิทธภิ าพ (คุณภาพ ดัชนี ประเมนิ ผล) A = Accountability รบั ผิดชอบตอ่ ผลงาน ประชาชน D = Democracy มใี จ/การกระทาเป็น ประชาธิปไตย (มีส่วนร่วม โปร่งใส) Y = Yield มีผลงาน มุ่งเน้นผลงาน เพอื่ ประโยชน์สุข ของประชาชน หากพบเห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีพฤติกรรมท่ีจะนาไปสู่การทุจริตต่อตาแหน่งหน้าท่ีหรือ มีพฤติกรรมท่ีเป็นการขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม สามารถ ดาเนินการแจ้งหน่วยงานตา่ งๆได้ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ชอ่ งทำงกำรรอ้ งเรยี น/กำรรับแจ้งเบำะแส ร้องเรียนด้วยตนเอง โดยสามารถแจ้งข้อร้องเรียนฯ ได้ที่สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มธั ยมศกึ ษา เขต 42 กลุม่ กฏหมายและบังคับคดี ร้องเรียนทางไปรษณีย์ โดยส่งมาท่ี สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 เลขท่ี 105/30 หมู่ 10 ตาบลวัดไทร อาเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ 60000 กลอ่ งรับฟังความคดิ เห็นของสานักงานเขตพน้ื ท่ีการศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 42 ทางโทรศัพท์ หมายเลข 0 5622 0231 (สายกลาง) 0 5622 0231 ต่อ 132 (ผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นที่การศึกษมัธยมศึกษา เขต 42) 0 5622 0231 ต่อ 127 (กลุ่มกฎหมายและบังคับคด)ี เว็บไซด์ของสานกั งาน ที่ http://www.secondary42.obec.go.th/ ช่องทางอนื่ ๆ อาทิ - ศูนย์ดารงธรรม กระทรวงมหาดไทย สายดว่ น 1567 หรือศูนยด์ ารงธรรมจังหวดั นครสวรรค์ โทร - ศนู ย์ปฏิบตั ิการตอ่ ต้านการทุจริตจังหวดั นครสวรรค์ โทร 056-803603 - - ศนู ยด์ ารงธรรมจงั หวดั นครสรรค์ สายดว่ น 1567 - สานกั งาน ป.ป.ช. สายด่วน 1205/0 5688 1492 - 4 2. กระบวนกำรแก้ไขปญั หำ สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดรอบคอบ และแจ้งมาตรการในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ผู้ร้องทราบภายใน 30 วัน กรณีมีมูลว่ากระทาผิดวินัยจะ ดาเนินการทางวินัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กรณีเป็นการกระทาความผิดท่ีอยู่ในอาานาจหน้าท่ีของหน่วยงานอ่ืนก็ให้ส่งเร่ืองใ ห้หน่วยงานท่ีมีอานาจ ดาเนินการต่อไป คมู่ อื การป้องกันผลประโยชน์ทับซอ้ น สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
13 3. มำตรกำรคุ้มครองผรู้ ้องและผู้เปน็ พยำน 3.1 การพิจารณาขอ้ ร้องเรียนให้กาหนดชัน้ ความลบั และคมุ้ ครองผเู้ ก่ียวข้อง ตามระเบียบว่าด้วย การรักษาความลับของทางราชการ พ.ศ. 2544 และการส่งเร่ืองให้หน่วยงานพิจารณาน้ัน ผู้ให้ข้อมูลและ ผู้ร้องอาจจะได้รับความเดือดร้อน เช่น ข้อร้องเรียนกล่าวโทษข้าราชการในเบื้องต้นให้ถือว่าเป็นความลับ ทางราชการ (หากเป็นบัตรสนเท่ห์ ให้พิจารณาเฉพาะรายท่ีระบุหลักฐาน กรณีแวดล้อมปรากฏชัดแจ้ง ตลอดจนช้ีพยานบุคคลแน่นอนเท่านั้น) การแจ้งเบาะแสผู้มีอิทธิพลต้องปกปิดชื่อและที่อยู่ผู้ร้อง หากไม่ ปกปิดชื่อ ท่ีอยู่ของผู้ร้อง จะต้องแจ้งให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องทราบและให้ความคุ้มครองแก่ผู้ร้อง ดังนี้ “ให้ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจสั่งการตามสมควรเพื่อคุ้มครองผู้ร้อง พยาน และบุคคลท่ีให้ข้อมูล ในการ สืบสวน สอบสวน อย่าให้ต้องรับภัยหรือความไม่เป็นธรรม ที่อาจเกิดมาจากการร้องเรียน การเป็นพยาน หรอื การใหข้ ้อมูลนน้ั ” กรณมี กี ารระบุชื่อผู้ถูกกล่าวหา จะต้องคุ้มครองท้ังฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องเน่ืองจาก เร่ืองยังไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและอาจเป็นการกลั่นแกล้งกล่าวหา ให้ได้รับความ เดือดร้อนและเสียหายได้ และกรณีผู้ร้องเรียนระบุในคาร้องขอให้ปกปิดหรือไม่ประสงค์ให้เปิดเผยชื่อผู้ ร้องเรียน หน่วยงานต้องไม่เปิดเผยชื่อผู้ร้องให้หน่วยงานผู้ถูกร้องทราบ เน่ืองจากผู้ร้องอาจจะได้รับความ เดือดร้อนตามเหตแุ ห่งการรอ้ งเรียนนั้นๆ 3.2 เม่ือมีการร้องเรียน ผู้ร้องและพยานจะไม่ถูกดาเนินการใดๆ ท่ีกระทบต่อหน้าท่ีการงานหรือ การดารงชีวติ หากจาเปน็ ต้องมีการดาเนินการใดๆ เช่น การแยกสถานท่ีทางานเพื่อป้องกันมิให้ผู้ร้องและ พยานและผู้ถูกกล่าวหาพบปะกนั เป็นต้น ต้องได้รับความยนิ ยอมจากผู้รอ้ งและพยาน 3.3 ข้อร้องขอของผเู้ สียหาย ผู้ร้อง หรือพยาน เช่น การขอย้ายสถานท่ีทางานหรือวิธีการในการ ปอ้ งกันหรอื แกไ้ ขปัญหา ควรไดร้ บั การพิจารณาจากบคุ คลหรอื หน่วยงานท่ีรบั ผดิ ชอบตามความเหมาะสม 3.4 ใหค้ วามคุ้มครองผ้รู ้องเรียนไมใ่ ห้ถูกกล่ันแกลง้ 4. มำตรกำรคุม้ ครองผูถ้ ูกกล่ำวหำ 4.1 ในระหว่างการพิจารณาข้อร้องเรียนยังไม่ถือว่าผู้ถูกกล่าวหามีความผิด ให้ความเป็นธรรม และ ใหไ้ ด้รับการปฏิบัติเชน่ เดยี วกับบุคลากรอ่นื 4.2 ให้โอกาสผ้ถู ูกกล่าวหาในการช้ีแจงข้อกล่าวหาอย่างเต็มท่ี รวมท้ังสิทธิในการแสดงเอกสาร/ พยานหลักฐาน คมู่ ือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซอ้ น สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 42
บทสรุป ความเชื่อถือไว้วางใจ และจริยธรรมเป็นรากฐานของการบริหารภาครัฐที่ดี เมื่อท่านเป็น ข้าราชการและหรือเจ้าหน้าท่ีภาครัฐไม่ว่าจะสังกัดหน่วยงานใดท่านถูกคาดหวังให้ปฏิบัติหน้าที่และ ตัดสินใจ โดยปราศจากอคติ ท่านถูกคาดหวังไม่ให้แสวงหารางวัลหรือผลประโยชน์ในรูปแบบใดๆ นอกเหนือจากเงินเดือนและผลประโยชน์ท่ีรัฐจัดให้ แม้ว่านโยบายของหน่วย งานหลายแห่งจะอนุญาตให้ รับของขวัญได้ ซ่ึงถือว่าเป็นของท่ีระลึกในโอกาสท่ี เหมาะสม แต่อย่างไรก็ตามควรมีขอบเขตในการรับ เสมอ การฝ่าฝนื ขอบเขตดว้ ยการรบั ของขวัญหรือผลประโยชน์ท่ีไม่เหมาะสม จะนาไปสู่ความเส่ียงต่อการ ทจุ ริต และทาลายช่ือเสยี งของทา่ น รวมทั้งองคก์ รของทา่ นเอง คู่มือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซอ้ น สานักงานเขตพน้ื ที่การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
บรรณำนุกรม สานกั งานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติ, แกท้ จุ รติ คิดฐานสอง. นนทบุรี สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ, คมู่ ือการป้องกันผลประโยชนท์ ับซ้อน. นนทบรุ ี สานกั งานบรหิ ารและพฒั นาองคค์ วามรู้ (2560), คมู่ ือการบริหารจดั การผลประโยชนท์ บั ซอ้ น. กรงุ เทพฯ สานักงานเศรษฐกิจอตุ สาหกรรม (2560), คมู่ ือและมาตรการป้องกันผลประโยชนท์ ับซ้อน. กรุงเทพ ฯ สานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 (2560), คู่มอื การปอ้ งกันผลประยชนท์ บั ซ้อน. นครสวรรค์ คู่มือการป้องกนั ผลประโยชน์ทับซ้อน สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 42
ท่ีปรึกษำ นายบญุ ชอบ โตคา ผู้อานวยการสานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 42 นายยงยุทธ์ ธาราวัชรศาสตร์ รองผู้อานวยการสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42 คณะทำงำน นางวิระดา แกน่ กระโทก ผู้อานวยการกลุ่มนิเทศตดิ ตามและประเมนิ ผล นางเพ็ญจนั ทร์ บัวแก้ว ผู้อานวยการกล่มุ อานวยการ นางอิสรยิ า พันธเุ์ ขตกิจ ผูอ้ านวยการกลุ่มสง่ เสริมการจัดการศึกษา นางนัยนา จนั ทา ผู้อานวยการกลมุ่ นโยบายและแผน นางสาวนงลักษณ์ เทียนสวสั ด์ิ ผ้อู านวยการกลมุ่ บรหิ ารงานการเงินและสินทรัพย์ นางสาวกลุ ธิดา ศรีสิงห์ ปฏิบตั หิ น้าที่ผอู้ านวยการกลุ่มบริหารงานบคุ คล นางสมพศิ ประเสรฐิ สุข ปฏิบตั หิ นา้ ท่ผี อู้ านวยการกลมุ่ พัฒนาบุคลากร นางสาวรงั สิมา ภู่แปลง ปฏบิ ัติหน้าทผ่ี อู้ านวยการกลมุ่ กฎหมายและคดี นายธนพล พงศ์พัฒนศริ ิ ปฏิบัติหนา้ ทผ่ี ู้อานวยการกลุ่มสง่ เสรมิ การศึกษาทางไกล เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สาร นางขนิษฐา บรรเลงกลอง ปฏบิ ตั หิ น้าทผ่ี ู้อานวยการหน่วยตรวจสอบภายใน ผจู้ ัดทำ นางขนิษฐา บรรเลงกลอง ปฏิบัติหน้าทผ่ี ูอ้ านวยการหน่วยตรวจสอบภายใน คู่มือการป้องกันผลประโยชน์ทบั ซ้อน สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษามธั ยมศึกษา เขต 42
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: