คำไทย ๗ ชนิด ช้ันมธั ยมศึกษำปี ที่ ๑ ครูกำนต์พชิ ชำ งำมสมครูผู้สอนกล่มุ สำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย โรงเรียนกฬี ำจงั หวดั ลำปำง
1. กำรสร้ำงคำในภำษำไทย คำที่ใชใ้ นภำษำไทยด้งั เดิม ส่วนมำกจะเป็ นคำพยำงคเ์ ดียว เช่น พน่ี อ้ ง เดือนดำว จอบไถ หมหู มำ กิน นอน ดี ชว่ั สอง สำม เป็ นตน้ เม่ือโลกววิ ฒั นำกำร มีส่ิงแปลกใหมเ่ พิ่มข้ึน ภำษำไทยก็จะตอ้ งพฒั นำท้งั รูปคำและกำรเพิ่มจำนวนคำ เพอื่ ใหม้ ีคำใชใ้ นกำรสื่อสำร ใหเ้ พียงพอ กบั กำรเปล่ียนแปลงของวตั ถสุ ิ่งของและเหตุกำรณ์ต่ำง ๆ ดว้ ยกำรสร้ำงคำ ยมื คำและเปลี่ยนแปลงรูปคำ ซ่ึงจะมีรำยละเอียดดงั น้ีแบบสร้ำงคำ แบบสร้ำงคำ คือ วธิ ีกำรนำอกั ษรมำประสมเป็ นคำเกิดควำมหมำยและเสียงของแตล่ ะ พยำงค์ ใน ๑ คำ จะตอ้ งมีส่วนประกอบ ๓ ส่วน เป็นอยำ่ งนอ้ ย คือ สระ พยญั ชนะและวรรณยกุ ต์ อยำ่ งมำกไม่เกิน ๕ ส่วน คือ สระพยญั ชนะ วรรณยกุ ต์ ตวั สะกด ตวั กำรันต์รูปแบบของคำ คำไทยที่ใชอ้ ยปู่ ัจจบุ นั มีท้งั คำที่เป็ นคำไทยด้งั เดิม คำที่มำจำกภำษำตำ่ งประเทศ คำศพั ท์เฉพำะทำงวชิ ำกำรคำที่ใชเ้ ฉพำะในภำษำพดู คำชนิดตำ่ ง ๆ เหลำ่ น้ีมีชื่อเรียกตำมลกั ษณะและแบบสร้ำงของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมำส คำสนธิ คำพอ้ งรูป คำพอ้ งเสียง คำเหล่ำน้ีมีลกั ษณะพิเศษเฉพำะ ผเู้ รียนจะเขำ้ ใจลกั ษณะแตกตำ่ งของคำเหล่ำน้ีไดจ้ ำกแบบสร้ำงของคำควำมหมำยและแบบสร้ำงของคำชนิดต่ำง ๆคำมูล คำมลู คือ คำ ๆ เดียวท่ีมิไดป้ ระสมกบั คำอื่น อำจมี ๑ พยำงค์ หรือหลำยพยำงคก์ ็ไดแ้ ต่่่เมื่อแยกพยำงคแ์ ลว้ แต่ละพยำงคไ์ มม่ ีควำมหมำย คำภำษำไทยท่ีใชม้ ำแตเ่ ดิมส่วนใหญ่ เป็ นคำมูลท่ีมีพยำงคเ์ ดียวโดด ๆ เช่น พอ่ แม่ กิน เดินตวั อย่ำงแบบสร้ำงของคำมูลคน มี ๑ พยำงค์ คือ คนสิงโต มี ๒ พยำงค์ คือ สิง + โตนำฬิกำ มี ๓ พยำงค์ คือ นำ + ฬิ + กำทะมดั ทะแมง มี ๔ พยำงค์ คือ ทะ + มดั + ทะ + แมงกระเห้ียนกระหือรือ มี ๕ พยำงค์ คือ กระ + เห้ียน + กระ + หือ + รือ
2. จำกตวั อยำ่ งแบบสร้ำงของคำมลู จะเห็นวำ่ เมื่อแยกพยำงคจ์ ำกคำแลว้ แต่ละพยำงคไ์ ม่มี ควำมหมำยในตวั หรืออำจมีควำมหมำยไมค่ รบทุกพยำงค์ คำเหล่ำน้ีจะมีควำมหมำยก็ตอ่ เมื่อ นำทุกพยำงคม์ ำรวมเป็นคำ ลกั ษณะเช่นน้ี ถือวำ่ เป็ นคำเดียวโดด ๆคำประสม คือ คำท่ีสร้ำงข้ึนใหมโ่ ดยนำคำมูลต้งั แต่ ๒ คำข้ึนไปมำประสมกนั เกิดเป็ นคำใหมข่ ้ึนอีกคำหน่ึง ๑. เกิดควำมหมำยใหม่ ๒. ควำมหมำยคงเดิม ๓. ควำมหมำยใหก้ ระชบั ข้ึนตวั อย่ำงแบบสร้ำงคำประสมแม่ยำย เกิดจำกคำมลู ๒ คำ คือ แม่ + ยำยลกู น้ำ เกิดจำกคำมูล ๒ คำ คือ ลูก + น้ำภำพยนตร์จีน เกิดจำกคำมลู ๒ คำ คือ ภำพยนตร์ + จีน3. จำกตวั อยำ่ งแบบสร้ำงคำประสม จะเห็นวำ่ เมื่อแยกคำประสมออกจำกกนั จะไดค้ ำมูลซ่ึง แตล่ ะคำมีควำมหมำยในตวั เอง ชนิดของคำประสม กำรนำคำมลู มำประสมกนั เพอื่ ใหเ้ กิดคำใหมข่ ้ึนเรียกวำ่ “คำประสม” น้นั มีวธิ ีสร้ำงคำ ตำมแบบสร้ำง อยู่ ๕ วธิ ีดว้ ยกนั คือ ๑. คำประสมท่ีเกิดจำกคำมูลที่มีรูป เสียง และควำมหมำยต่ำงกนั เม่ือประสมกนั เกิดเป็น ควำมหมำยใหม่ ไม่ตรงกบั ควำมหมำยเดิม เช่นแม่ หมำยถึง หญิงท่ีใหก้ ำเนิดลกูยำย หมำยถึง แมข่ องแม่แม่ + ยำย ไดค้ ำใหม่ คือ แมย่ ำย หมำยถึง แมข่ องเมีย4. คำประสมชนิดน้ีมีมำกมำย เช่น แมค่ รัว ลกู เรือ พอ่ ตำ มือลิง ลกู น้ำ ลูกนอ้ ง ปำกกำ ๒. คำประสมท่ีเกิดจำกคำมลู ท่ีมีรูป เสียง และควำมหมำยต่ำงกนั เมื่อประสมกนั แลว้ เกิด ควำมหมำยใหม่แต่ ยงั คงรักษำควำมหมำยของคำเดิมแตล่ ะคำได้ เช่น
หมอ หมำยถึง ผรู้ ู้ ผชู้ ำนำญ ผรู้ ักษำโรคดู หมำยถึง ใชส้ ำยตำเพือ่ ใหเ้ ห็นหมอ + ดู ไดค้ ำใหม่ คือ หมอดู หมำยถึง ผทู้ ำนำยโชคชะตำรำศี คำประสมชนิดน้ีเช่น หมอควำม นกั เรียน ชำวนำ ของกิน ช่ำงแท่น ร้อนใจ เป็ นตน้5. ๓. คำประสมที่เกิดจำกคำมลู ท่ีมีรูป เสียง ควำมหมำยเหมือนกนั เม่ือประสมแลว้ เกิด ควำมหมำยต่ำงจำกควำมหมำยเดิมเลก็ นอ้ ย อำจมีควำมหมำยทำงเพิม่ ข้ึนหรือลดลงก็ได้ กำรเขียนคำประสมแบบน้ีจะใชไ้ มย้ มก (ๆ) เติมขำ้ งหลงั เช่นเร็ว หมำยถึง รีบ ด่วนเร็ว ๆ หมำยถึง รีบ ด่วนยง่ิ ข้ึน เป็นควำมหมำยท่ีเพมิ่ ข้ึนดำ หมำยถึง สีดำดำ ๆ หมำยถึง ดำไม่สนิท เป็ นควำมหมำยในทำงลดลง คำประสมชนิดน้ี เช่นชำ้ ๆ ซ้ำ ๆ ดี ๆ นอ้ ย ๆ ไป ๆ มำ ๆ เป็ นตน้6. ๔. คำประสมที่เกิดจำกคำมลู ท่ีมีรูปและเสียงตำ่ งกนั แตม่ คี วำมหมำยเหมือนกนั เม่ือนำ มำประสมกนั แลว้ ควำมหมำยไม่เปล่ียนไปจำกเดิม เช่นยมิ้ หมำยถึง แสดงใหป้ รำกฏวำ่ ชอบใจแยม้ หมำยถึง คล่ี เผยอปำกแสดงควำมพอใจ ยมิ้ + แยม้ ไดค้ ำใหม่ คือ ยมิ้ แย้ม หมำยถึง ยมิ้ อยำ่ งช่ืนบำน คำประสมชนิดน้ีมีมำกมำย เช่น โกรธเคืองรวดเร็ว แจ่มใส เสื่อสำด บำ้ นเรือน วดั วำอำรำม ถนนหนทำง เป็ นตน้7. ๕. คำประสมที่เกิดจำกคำมลู ท่ีมีรูป เสียง และควำมหมำยต่ำงกนั เมื่อนำมำประสมจะตดั พยำงคห์ รือยน่ พยำงคใ์ หส้ ้นั เขำ้ เช่น คำวำ่ ชันษำ มำจำกคำวำ่ ชนม+พรรษำชนม หมำยถึง กำรเกิดพรรษำ หมำยถึง ปีชนม + พรรษำ ไดค้ ำใหม่ คือ ชนั ษำ หมำยถึง อำยุ คำประสมประเภทน้ี ไดแ้ ก่เดียงสำ มำจำก เดียง+ภำษำ
สถำผล มำจำก สถำพร+ผลเปรมปรีด์ิ มำจำก เปรม+ปรีดำ8. คำสมำส คำสมำสเป็ นวธิ ีสร้ำงคำในภำษำบำลีและสนั สกฤต โดยนำคำต้งั แต่ ๒ คำข้ึนไปมำประกอบ กนั คลำ้ ยคำประสม แต่คำที่นำมำประกอบแบบคำสมำสน้นั นำมำประกอบหนำ้ ศพั ท์ กำรแปล คำสมำสจึงแปลจำกขำ้ งหลงั มำขำ้ งหนำ้ เช่นบรม (ยง่ิ ใหญ)่ + ครู = บรมครู (ครูผยู้ งิ่ ใหญ่)สุนทร (ไพเรำะ) + พจน์ (คำพดู ) = สุนทรพจน์ (คำพดู ที่ไพเรำะ)9. กำรนำคำมำสมำสกนั อำจเป็ นคำบำลีสมำสกบั บำลี สนั สกฤตสมำสกบั สนั สกฤต หรือบำลี สมำสกบั สนั สกฤตกไ็ ด้ ในบำงคร้ัง คำประสมที่เกิดจำกคำไทยประสมกบั คำบำลีหรือคำสนั สกฤตบำงคำ มีลกั ษณะ คลำ้ ยคำสมำสเพรำะแปลจำกขำ้ งหลงั มำขำ้ งหนำ้ เช่น รำชวงั แปลวำ่ วงั ของพระรำชำ อำจจดั วำ่ เป็ นคำสมำสได้ ส่วนคำประสมท่ีมีควำมหมำยจำกขำ้ งหนำ้ ไปขำ้ งหลงั และมิไดท้ ำให้ ควำมหมำย ผิดแผกแมค้ ำ น้นั ประสมกบั คำบำลีหรือสนั สกฤตก็ถือวำ่ เป็ นคำประสม เช่น มูลคำ่ ทรัพยส์ ิน เป็ นตน้ กำรเรียงคำตำมแบบสร้ำงของคำสมำส ๑. ถำ้ เป็ นคำท่ีมำจำกบำลีและสนั สกฤต ใหเ้ รียงบทขยำยไวข้ ำ้ งหนำ้ เช่น อุทกภยั หมำยถึง ภยั จำกน้ำ อำยขุ ยั หมำยถึง สิ้นอำยุ ๒. ถำ้ พยำงคท์ ำ้ ยของคำหนำ้ ประวสิ รรชนีย์ ใหต้ ดั วสิ รรชนียอ์ อก เช่น ธุระ สมำสกบั กิจ เป็ น ธุรกิจ พละ สมำสกบั ศึกษำ เป็ น พลศึกษำ ๓. ถำ้ พยำงคท์ ำ้ ยของคำหนำ้ มีตวั กำรันตใ์ หต้ ดั กำรัตนอ์ อกเมื่อเขำ้ สมำส เช่น ทศั น์ สมำสกบั ศึกษำ เป็น ทศั นศึกษำ แพทย์ สมำสกบั สมำคม เป็น แพทยสมำคม ๔. ถำ้ คำซ้ำควำม โดยคำหน่ึงไขควำมอีกคำหน่ึง ไมม่ ีวธิ ีเรียงคำท่ีแน่นอน เช่น นร (คน) สมำสกบั ชน (คน) เป็ น นรชน (คน) วถิ ี (ทำง) สมำสกบั ทำง (ทำง) เป็น วถิ ีทำง (ทำง) คช (ชำ้ ง) สมำสกบั สำร (ชำ้ ง) เป็น คชสำร (ชำ้ ง) กำรอ่ำนคำสมำส
กำรอ่ำนคำสมำสมีหลกั อยวู่ ำ่ ถำ้ พยำงคท์ ำ้ ยของคำลงทำ้ ยดว้ ย สระอะ, อิ, อุ เวลำเขำ้สมำสใหอ้ ่ำนออกเสียง อะ อิ อุ น้นั เพียงคร่ึงเสียง เช่นเกษตร สมำสกบั ศำสตร์ เป็ น เกษตรศำสตร์ อ่ำนวำ่ กะ-เสด-ตระ-สำดอุทก สมำสกบั ภยั เป็ น อทุ กภยั อำ่ นวำ่ อุ-ทก-กะ-ไพประวตั ิ สมำสกบั ศำสตร์ เป็ น ประวตั ิศำสตร์ อ่ำนวำ่ ประ-หวดั -ต-ิ สำดภมู ิ สมำสกบั ภำค เป็ น ภมู ิภำค อ่ำนวำ่ พ-ู มิ-พำกเมรุ สมำสกบั มำศ เป็ น เมรุมำศ อ่ำนวำ่ เม-รุ-มำดเชตุ สมำสกบั พน เป็ น เชตพุ น อ่ำนวำ่ เช-ตุ-พน10. ข้อสังเกต ๑. มีคำไทยบำงคำ ที่คำแรกมำจำกภำษำบำลีสนั สกฤต ส่วนคำหลงั เป็ นคำไทย คำเหล่ำน้ี ไดแ้ ปลควำมหมำยตำม กฎเกณฑข์ องคำสมำส แต่อำ่ นเหมือนกบั วำ่ เป็ นคำสมำส ท้งั น้ี เป็นกำรอ่ำนตำมควำมนิยม เช่นเทพเจำ้ อำ่ นวำ่ เทพ-พะ-เจำ้พลเรือน อำ่ นวำ่ พล-ละ-เรือนกรมวงั อำ่ นวำ่ กรม-มะ-วงัคำเหลำ่ น้ี ผเู้ รียนจะสำมำรถศึกษำพวกกฎเกณฑไ์ ดต้ อ่ เม่ือเรียนช้นั สูงข้ึน11. ๒. โดยปกติกำรอ่ำนคำไทยท่ีมีมำกกวำ่ ๑ พยำงค์ มกั อำ่ นตรงตวั เช่นบำกบน่ั อ่ำนวำ่ บำก-บน่ัลุกลน อำ่ นวำ่ ลุก-ลน12. แตม่ ีคำไทยบำงคำที่เรำอ่ำนออกเสียงตวั สะกดดว้ ย ท้งั ที่เป็ นคำไทยมิใช่คำสมำสซ่ึง ผเู้ รียนจะตอ้ งสงั เกต เช่นตกุ๊ ตำ อ่ำนวำ่ ตกุ๊ -กะ-ตำจกั จน่ั อำ่ นวำ่ จกั -กะ-จนั่จกั๊ จ้ี อำ่ นวำ่ จกั๊ -กะ-จ้ี
ชกั เยอ่ อ่ำนวำ่ ชกั -กะ-เยอ่สปั หงก อำ่ นวำ่ สบั -ปะ-หงก13. คำสนธิ กำรสนธิ คือ กำรเช่ือมเสียงใหก้ ลมกลืนกนั ตำมหลกั ไวยกรณ์บำลีสนั สกฤต เป็ นกำรเช่ือม อกั ษรใหต้ ่อเนื่องกนั เพ่ือตดั อกั ษรใหน้ อ้ ยลง ทำใหค้ ำพดู สละสลวย นำไปใชป้ ระโยชน์ในกำรแต่ง คำประพนั ธ์ คำสนธิ เกิดจำกกำรเช่ือมคำในภำษำบำลีและสนั สกฤตเท่ำน้นั ถำ้ คำท่ีนำมำเช่ือมกนั ไม่ใช่ภำษำบำลีสนั สกฤต ไมถ่ ือวำ่ เป็ นสนธิ เช่น กระยำหำร มำจำกคำ กระยำ + อำหำร ไมใ่ ช่สนธิ เพรำะ กระยำเป็ นคำไทยและถึงแมว้ ำ่ คำท่ี นำมำรวมกนั แต่ไมไ่ ดเ้ ชื่อมกนั เป็นเพียงประสมคำเท่ำน้นั กไ็ มถ่ ือวำ่ สนธิ เช่นทิชำชำติ มำจำก ทีชำ + ชำติทศั นำจร มำจำก ทศั นำ + จรวทิ ยำศำสตร์ มำจำก วทิ ยำ + ศำสตร์14. แบบสร้ำงของคำสนธิท่ีใชใ้ นภำษำบำลีและสนั สกฤต มีอยู่ ๓ ประเภท คือ ๑. สระสนธิ ๒. พยญั ชนะสนธิ ๓. นิคหิตสนธิ สำหรับกำรสนธิในภำษำไทย ส่วนมำกจะใชแ้ บบสร้ำงของสระสนธิ แบบสร้ำงของคำสนธิทใี่ ช้ในภำษำไทย ๑. สระสนธิ กำรสนธิสระทำได้ ๓ วธิ ี คือ ๑.๑ ตดั สระพยำงคท์ ำ้ ย แลว้ ใชส้ ระพยำงคห์ นำ้ ของคำหลงั แทน เช่นมหำ สนธิกบั อรรณพ เป็ น มหรรณพนร สนธิกบั อินทร์ เป็ น นรินทร์ปรมะ สนธิกบั อินทร์ เป็ น ปรมินทร์รัตนะ สนธิกบั อำภรณ์ เป็ น รัตนำภรณ์วชิร สนธิกบั อำวธุ เป็ น วชิรำวธุ
ฤทธิ สนธิกบั อำนุภำพ เป็ น ฤทธำนุภำพมกร สนธิกบั อำคม เป็ น มกรำคม15. ๑.๒ ตดั สระพยำงคท์ ำ้ ยของคำหนำ้ แลว้ ใชส้ ระพยำงคห์ นำ้ ของคำหลงั แตเ่ ปล่ียนรูป อะ เป็ น อำ อิ เป็น เอ อุ เป็ น อู หรือ โอ ตวั อยำ่ งเช่น เปล่ียนรูป อะ เป็ นอำเทศ สนธิกบั อภิบำล เป็ น เทศำภิบำลรำช สนธิกบั อธิรำช เป็ น รำชำธิรำชประชำ สนธิกบั อธิปไตย เป็ น ประชำธิปไตยจุฬำ สนธิกบั อลงกรณ์ เป็ น จุฬำลงกรณ์16. เปล่ียนรูป อิ เป็น เอนร สนธิกบั อิศวร เป็ น นเรศวรปรม สนธิกบั อินทร์ เป็ น ปรเมนทร์คช สนธิกบั อินทร์ เป็ น คเชนทร์17. เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรือ โอรำช สนธิกบั อุปถมั ภ์ เป็ น รำชูปถมั ภ์สำธำรณะ สนธิกบั อุปโภค เป็ น สำธำรณูปโภควเิ ทศ สนธิกบั อบุ ำย เป็ น วเิ ทโศบำยสุข สนธิกบั อุทยั เป็ น สุโขทยันย สนธิกบั อุบำย เป็ น นโยบำย18. ๑.๓ เปล่ียนสระพยำงคท์ ำ้ ยของคำหนำ้ อิ อี เป็น ย อุ อู เป็ น ว แลว้ ใชส้ ระ พยำงคห์ นำ้ ของ คำหลงั แทน เช่น เปลี่ยน อิ อี เป็ น ยมต ่ิ สนธิกบั อธิบำย เป็ น มตั ยำธิบำย
รังสี สนธิกบั โอภำส เป็ น รังสโยภำส, รังสิโยภำสสำมคั คี สนธิกบั อำจำรย์ เป็ น สำมคั ยำจำรย์19. เปล่ียน อุ อู เป็ น วสินธุ สนธิกบั อำนนท์ เป็ น สินธวำนนท์จกั ษุ สนธิกบั อำพำธ เป็ น จกั ษวำพำธธนู สนธิกบั อำคม เป็ น ธนั วำคม20. ๒. พยญั ชนะสนธิ พยญั ชนะสนธิในภำษำไทยมีนอ้ ย คือเม่ือนำคำ ๒ คำมำสนธิกนั ถำ้ หำกวำ่ พยญั ชนะ ตวั สุดทำ้ ย ของคำหนำ้ กบั พยญั ชนะตวั หนำ้ ของคำหลงั เหมอื นกนั ใหต้ ดั พยญั ชนะที่เหมือนกนั ออกเสียตวั หน่ึง เช่นเทพ สนธิกบั พนม เป็ น เทพนมนิวำส สนธิกบั สถำน เป็ น นิวำสถำน21. ๓. นิคหติ สนธิ นิคหิตสนธิในภำษำไทย ใชว้ ธิ ีเดียวกบั วธิ ีสนธิในภำษำบำลีและสนั สกฤต คือ ใหส้ งั เกต พยญั ชนะตวั แรกของคำหลงั วำ่ อยใู่ นวรรคใด แลว้ แปลงนิคหิตเป็นพยญั ชนะตวั สุดทำ้ ยของวรรคน้นั เช่นส สนธิกบั กรำนต เป็ น สงกรำนต์(ก เป็ นพยญั ชนะวรรค กะ พยญั ชนะตวั สุดทำ้ ยของวรรคกะ คอื ง)ส สนธิกบั คม เป็ น สงั คม(ค เป็ นพยญั ชนะวรรค กะ พยญั ชนะตวั สุดทำ้ ยของวรรคกะ คอื ง)ส สนธิกบั ฐำน เป็ น สณั ฐำน(ฐ เป็ นพยญั ชนะวรรค ตะ พยญั ชนะตวั สุดทำ้ ยของวรรคกะ คอื ณ)ส สนธิกบั ปทำน เป็ น สมั ปทำน(ป เป็ นพยญั ชนะวรรค ปะ พยญั ชนะตวั สุดทำ้ ยของวรรคกะ คือ ม)
22. ถำ้ พยญั ชนะตวั แรกของคำหลงั เป็ นเศษวรรค ใหค้ งนิคหิต (_่ ) ตำมรูปเดิม อ่ำนออกเสียง องั หรือ อนั เช่นส สนธิกบั วร เป็ น สงั วรส สนธิกบั หรณ์ เป็ น สงั หรณ์ส สนธิกบั โยค เป็ น สงั โยค23. ถำ้ ส สนธิกบั คำท่ีข้ึนตน้ ดว้ ยสระ จะเปล่ียนนิคหิตเป็ น ม เสมอ เช่นส สนธิกบั อิทธิ เป็ น สมิทธิส สนธิกบั อำคม เป็ น สมำคมส สนธิกบั อำส เป็ น สมำสส สนธิกบั อทุ ยั เป็ น สมทุ ยั24. คำแผลง คำแผลง คือ คำที่สร้ำงข้ึนใชใ้ นภำษำไทยอีกวธิ ีหน่ึง โดยเปลี่ยนแปลงอกั ษรที่ประสมอยใู่ น คำไทยหรือคำที่มำจำกภำษำอ่ืนใหผ้ ิดไปจำกเดิม ดว้ ยวธิ ีตดั เติม หรือเปล่ียนรูป แต่ยงั คงรักษำ ควำมหมำยเดิมหรือเคำ้ ควำมเดิมอยู่ แบบสร้ำงของกำรแผลงคำ กำรแผลงคำทำได้ ๓ วธิ ี คือ ๑. กำรแผลงสระ ๒. กำรแผลงพยญั ชนะ ๓. กำรแผลงวรรณยกุ ต์ ๑. กำรแผลงสระ เป็ นกำรเปล่ียนรูปสระของคำน้นั ๆ ใหเ้ ป็ นสระรูปอื่น ตัวอย่าง คำแผลง คำเดมิ คำแผลงคำเดมิ ชยั สำยดือ สะดือชยะ โอชำ สุริยะ สุรีย์โอชะ วเิ ชียร ดิรัจฉำน เดรัจฉำนวชิระ
พชั ร เพชร พจิ ิตร ไพจิตรคะนึง คำนึง พชี พืชครหะ เครำะห์ กีรติ เกียรติชวนะ เชำวน์ สุคนธ์ สุวคนธ์สรเสริญ สรรเสริญ ยวุ ชน เยำวชนทูรเลข โทรเลข สุภำ สุวภำ25. ๒. กำรแผลงพยญั ชนะ กำรแผลงพยญั ชนะก็เช่นเดียวกบั กำรแผลงสระ คือ ไมม่ ีกฎเกณฑต์ ำยตวั เกิดจำก ควำมเจริญของภำษำ กำรแผลงพยญั ชนะเป็นกำรเปลี่ยนรูปพยญั ชนะตวั หน่ึงใหเ้ ป็นอีกตวั หน่ึง หรือเพ่ิมพยญั ชนะ ลงไปใหเ้ สียงผดิ จำกเดิม หรือมีพยำงคม์ ำกกวำ่ เดิม หรือตดั รูปพยญั ชนะ กำรศึกษำท่ีมำของถอ้ ยคำเหล่ำน้ีจะช่วย ใหเ้ ขำ้ ใจควำมหมำยของคำไดถ้ ูกตอ้ ง ตัวอย่าง คำแผลง คำเดมิ คำแผลงคำเดมิ กำรำบ บวช ผนวชกรำบ กำเนิด ผทม ประทม, บรรเทำเกิด กำจำย เรียบ ระเบียบขจำย กำแหง, คำแหง แสดง สำแดงแขง็ ควณ, คำนวณ, คำนูณ พรั่ง สะพร่ังคูณ จำเนียร รวยรวย ระรวยเจียร จำเพำะ, เฉพำะ เชิญ อญั เชิญเจำะ เฉลียง, เฉวยี ง เพญ็ บำเพญ็เฉียง ชำร่วย ดำล บนั ดำลช่วย ตำรับ อญั ชลี ชลี, ชุลีตรัย
ถก ถลก อุบำสิกำ สีกำ26. ๓. กำรแผลงวรรณยกุ ต์ กำรแผลงวรรณยกุ ต์ กำรแผลงวรรณยกุ ตเ์ ป็ นกำรเปลี่ยนแปลงรูป หรือเปลี่ยนเสียงวรรณยกุ ต์ เพอื่ ใหเ้ สียงหรือ รูปวรรณยกุ ตผ์ ดิ ไปจำกเดิม ตวั อย่างคำเดมิ คำแผลง คำเดมิ คำแผลงเพียง เพ้ยี ง พทุ โธ พทุ โธ่เสนหะ เสน่ห์ บ บ่คำซ้ำ คำซ้ำ คือ กำรสร้ำงคำดว้ ยกำรนำคำท่ีมีเสียง และควำมหมำยเหมือนกนั มำซ้ำกนั เพอ่ื เปลี่ยน แปลงควำมหมำยของคำน้นัใหแ้ ตกต่ำงไปหลำยลกั ษณะ ๑. ควำมหมำยคงเดิม คือ คำที่ซ้ำกนั จะมีควำมหมำยคงเดิม แต่อำจจะใหค้ วำมหมำยอ่อนลง หรือไมแ่ น่ใจจะมคี วำมหมำยเท่ำกบั ควำมหมำยเดิม เช่น ตอนเยน็ ๆ คอ่ ยมำใหมน่ ะ รู้สึกจะอยแู่ ถว ๆ น้ีละ คำวำ่ เยน็ ๆ และ แถว ๆ ดูจะมคี วำมหมำยออ่ นลง ๒. ควำมหมำยเด่นข้นึ เฉพำะเจำะจงข้ึนกวำ่ ควำมหมำยเดิม เช่น สอนเท่ำไหร่ ๆกไ็ ม่จำ พระเอกคนน้ี ลอ้ หลอ่ เป็นตน้ ๓. ควำมหมำยแยกเป็นส่วน ๆ แยกจำนวน เช่น กรุณำแจกเป็ นคน ๆ ไปนะ จ่ำยเป็ นงวด ๆ (ทีละงวด) เป็ นตน้ ๔. ควำมหมำยบอกจำนวนเพ่มิ ข้ึนเป็ น เด็ก ๆ ชอบวง่ิ เธอทำอะไร ๆ ก็ดูดีหมด เป็ นตน้ ๕. ควำมหมำยผดิ ไปจำกเดิม เช่น เรื่องหมู ๆ แบบน้ีสบำยมำก (เรื่องง่ำย) รู้เพียงงู ๆปลำ ๆ เท่ำน้นั (รู้ไมจ่ ริง) เป็นตน้คำซ้อน คำซอ้ น คือ คำประสมชนิดหน่ึงท่ีเกิดจำกกำรนำเอำคำต้งั แตส่ องคำข้ึนไปซ่ึงมีเสียงตำ่ งกนั แตม่ ีควำมหมำยเหมือนกนั หรือคลำ้ ยคลึงกนั หรือเป็ นไปในทำนองเดียวกนั มำซอ้ นคู่ กนั เชน่ เลก็ นอ้ ย ใหญโ่ ต เป็นตน้ ปกติคำท่ีนำมำซอ้ นกนั น้นั นอกจำกจะมีควำมหมำยเหมือนกนั หรือใกลเ้ คียงกนั แลว้ มกั จะมีเสียงใกลเ้ คียงกนั ดว้ ยเพ่อื ใหอ้ อกเสียงง่ำย สะดวกปำก คำที่นำ มำซอ้ นแลว้ ทำใหเ้ กิดควำมหมำยน้นั แบง่ เป็ น ๒ ลกั ษณะ คอื ๑. ซ้อนคำแล้วมคี วำมหมำยคงเดมิ คำซอ้ นลกั ษณะน้ีจะนำคำท่ีมีควำมหมำยเหมือนกนัมำซอ้ นกนั เพื่อขยำยควำมซ่ึงกนั และกนั เช่น ขำ้ ทำส รูปร่ำง วำ่ งเปลำ่ โง่เขลำ เป็ นตน้ ๒. ซ้อนคำแล้วมคี วำมหมำยเปลย่ี นแปลงไปจำกเดมิ
๒.๑ ควำมหมำยเชิงอุปมำ คำซอ้ นลกั ษณะน้ีจะเป็ นคำซอ้ นที่คำเดิมมคี วำมหมำย เป็ นรูปแบบเม่ือนำมำซอ้ นกบัควำมหมำยของคำซอ้ นน้นั จะเปลย่ี นไปเป็ นนำมธรรม เช่น อ่อนหวำน ออ่ นมีควำมหมำยวำ่ ไม่แขง็ เช่น ไมอ้ ่อน หวำนมีควำมหมำยวำ่ รสหวำน เช่นขนมหวำน อ่อนหวำน มีควำมหมำยวำ่ เรียบร้อย น่ำรัก เช่น เธอช่ำงอ่อนหวำนเหลือเกิน หมำยถึง กิริยำอำกำรที่แสดงออกถึงควำมเรียบร้อยน่ำรัก คำอื่น ๆ เช่น ค้ำจุน เดด็ ขำด ยงุ่ ยำก เป็ นตน้ ๒.๒ ควำมหมำยกวำ้ งออก คำซอ้ นบำงคำมีควำมหมำยกวำ้ งออกไมจ่ ำกดั เฉพำะ ควำมหมำยเดิมของคำสองคำท่ีมำซอ้ นกนั เช่น เจบ็ ไข้ หมำยถึง อำกำรเจบ็ ป่ วยของโรคตำ่ ง ๆ และคำวำ่ พ่นี อ้ ง ถว้ ยชำม ทุบตี ฆ่ำฟัน เป็ นตน้ ๒.๓ ควำมหมำยแคบเขำ้ คำซอ้ นบำงคำมีควำมหมำยเด่นอยคู่ ำใดคำหน่ึง ซ่ึงอำจจะเป็ นคำหนำ้ หรือคำหลงั กไ็ ด้ เช่น ควำมหมำยเด่นอยคู่ ำหนำ้ ใจดำ หวั หู ปำกคอ บำ้ บอคอแตก ควำมหมำยเด่นอยคู่ ำหลงั หยบิ ยืม เอร็ดอร่อย น้ำพกั นำ้ แรง วำ่ นอนสอนง่ำย เป็ นตน้ตวั อย่ำงคำซ้อน ๒ คำ เช่น บำ้ นเรือน สวยงำม ขำ้ วของ เงินทอง มืดค่ำ อดทน เกี่ยวขอ้ ง เยบ็ เจี๊ยบ ทรพั ยส์ ิน รูปภำพ ควบคุมป้องกนั ล้ีลบั ซบั ซอ้ น เป็ นตน้ตวั อยำ่ งคำซอ้ นมำกกวำ่ ๒ คำ เช่น ยำกดีมีจน เจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วย ขำ้ วยำกหมำกแพง เวยี นวำ่ ยตำยเกิด ถูกอกถกู ใจ จบั ไมไ่ ดไ้ ล่ไมท่ นั ฉกชิงวง่ิ รำว เป็ นตน้สรุป ๑. แบบสร้ำงของคำ คือ วธิ ีกำรนำอกั ษรมำผสมคำ และมีควำมหมำยที่สมบูรณ์ คำ ชนิดต่ำง ๆ เหลำ่ น้ีมีชื่อเรียกตำมลกั ษณะแบบสร้ำงของคำ เช่น คำมลู คำประสม คำสมำส คำสนธิ แบบสร้ำงของคำมูลและคำประสม คือ วธิ ีกำรสร้ำงคำ ซ่ึงส่วนใหญ่เป็ นลกั ษณะเฉพำะ ของภำษำไทย แบบสร้ำงของคำมูลอำจมีพยำงคเ์ ดียวเป็ นคำโดด หรือมีหลำยพยำงคก์ ไ็ ด้ แตค่ ำมลู น้นั เมื่อแยกพยำงคแ์ ลว้ แต่ละพยำงคไ์ ม่ไดค้ วำมหมำยครบถว้ น ตอ้ งนำพยำงค์ เหลำ่ น้นั มำรวมกนั จึงจะเกิดเป็ นคำและมีควำมหมำย ส่วนคำประสม คือคำที่เกิดจำก กำรนำคำมลูมำประสมกนั เพือ่ สร้ำงคำใหม่ข้นึ มำ ๒. คำสมำสมีลกั ษณะดงั น้ี (๑) ตอ้ งเป็นคำท่ีมำจำกภำษำบำลี สนั สกฤต (๒) พยำงค์ สุดทำ้ ยของคำนำหนำ้ ประวสิ รรชนีย์หรือตวั กำรันตไ์ ม่ได้ (๓) เรียงตน้ ศพั ทไ์ วห้ ลงั ศพั ทป์ ระกอบไวห้ นำ้ เม่ือแปลควำมหมำยใหแ้ ปลจำกหลงั ไปหนำ้ (๔)ส่วนมำกออกเสียงสระ ตรงพยำงคส์ ุดทำ้ ยของคำหนำ้ ซ่ึงจะมีคำยกเวน้ ไมก่ ่ีคำ เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ ๓. แบบสร้ำงของคำสนธิ มีดงั น้ี (๑) ตอ้ งเป็ นคำที่มำจำกบำลี สนั สกฤต (๒) มีกำร เปล่ียนแปลงระหวำ่ งคำท่ีเชื่อม (๓)พยำงคต์ น้ ของคำหลงั ตอ้ งข้ึนตน้ ดว้ ยสระ หรือ ตวั อ ๔. คำแผลงคำที่สร้ำงข้ึนใชใ้ นภำษำไทยวธิ ีหน่ึง โดยเปลี่ยนแปลงอกั ษรท่ีประสม อยใู่ นคำเดิมใหผ้ ดิ ไปจำกเดิม ดว้ ยวธิ ีตดัเติมหรือเปลี่ยนรูป แต่ยงั รักษำควำมหมำยเดิม หรือเคำ้ ควำมเดิมอยู่
แบบสร้ำงคำแผลงมี ๓ วธิ ี คือ (๑) กำรแผลงสระ เช่น คติ แผลงเป็ น คดี และนูน้ แผลงเป็น โนน้ (๒) กำรแผลงพยญั ชนะเช่น กด แผลงเป็ น กำหนด อวย แผลงเป็น อำนวย(๓) กำรแผลงวรรณยกุ ต์ เช่น โน่น แผลงเป็ น โนน้ นี่ แผลงเป็ น น้ี เป็ นตน้ ๕. คำซ้ำ คือ กำรสร้ำงคำดว้ ยกำรนำคำท่ีมีเสียง และควำมหมำยเหมือนกนั มำซ้ำกนั เพ่อื เปล่ียนควำมหมำยของคำน้นั ให้แตกต่ำงไปหลำยลกั ษณะ ๖. คำซอ้ น คือ คำประสมชนิดหน่ึงที่เกิดจำกกำรนำเอำคำต้งั แตส่ องคำข้ึนไป ซ่ึงมีเสียง ต่ำงกนั แตม่ ีควำมหมำยเหมือนกนัหรือคลำ้ ยคลงึ กนั หรือเป็นไปในทำนองเดียวกนั มำซอ้ นคู่กนั
คำในภำษำไทยจำแนกได้ 7 ชนิด คือคำนำม คำสรรพนำม คำกริยำ คำวเิ ศษณ์ คำบุพ บท คำสนั ธำน และคำอุทำน
คำนำม คือคำที่ใชเ้ รียนช่ือคน สตั ว์ สิ่งของ และ สถำนที่ เช่น ครู นกั ปลำ ดินสอโตะ๊ บำ้ น โรงเรียน แบ่ง 5 ชนิด ไดแ้ ก่ 1. สำมำนยนำม ไดแ้ ก่นำมที่เป็นชื่อทวั่ ๆ ไป เช่นหนู ไก่ โตะ๊ บำ้ น คน2. วสิ ำมำนนำม เป็นชื่อเฉพำะ เช่น นำยทอง เจำ้ดำ ชื่อวนั ช่ือเดือน ชื่อจงั หวดั ช่ือประเทศ ช่ือ แม่น้ำ ชื่อเกำะ 3. สุหนำม นำมท่ีเป็นหมู่คณะ เช่น ฝงู โขลงกลอง หรือคำที่มีควำมหมำยไปในทำงจำนวน มำก เช่น รัฐบำล องคก์ ร กรม บริษทั 4. ลกั ษณนำม เป็นคำนำมท่ีบอกลกั ษณะของนำม มกั ใชห้ ลงั คำวเิ ศษที่บอกจำนวนนบั เช่น ภิกษุ 4 รูป นำฬิกำ 4 เรือน
5. อำกำรนำม คือ นำมที่เป็นช่ือกริยำอำกำรในภำษำมกั ใชค้ ำวำ่ “กำร” และ “ควำม” นำหนำ้ เช่น กำรนงั่ กำรกิน ควำมดี ควำมจนคำนำมท่ีอยใู่ นประโยคจะทำหนำ้ ที่ไดท้ ้งั เป็น ประธำนและกริยำของประโยค เช่น ประโยค ประธำน กริยำ กรรม มำ้ วง่ิ มำ้ วง่ิ - นกั เรียนไปโรงเรียน นกั เรียน ไป โรงเรียน แมวจบั หนู แมว จบั หนู ครูทำโทษสมชำย ครู ทำโทษ สมชำย
คำสรรพนำมคำสรรพนำม คือคำที่ใชแ้ ทนคำนำม เช่น ผมฉนั หนู เธอ คุณขำ้ พเจำ้ เขำ ท่ำน มนั เป็นตน้ แบ่งเป็น 6 ชนิดไดแ้ ก่1. บุรุษสรรพนำม คือคำนำมท่ีใชแ้ ทนช่ือ เวลำ พดู กนั บุรุษท่ี 1 ใชแ้ ทนผพู้ ดู เช่นผมฉนั ขำ้ พเจำ้ บุรุษท่ี2 ใชแ้ ทนผฟู้ ัง เช่นคุณ เธอ บุรุษที่ 3 ใชแ้ ทนผกู้ ล่ำวถึง เช่นเขำ มนั 2. ประพนั ธสรรพนำม คือคำสรรพนำมท่ีใช้แทน(เช่ือม)คำนำมท่ีอยขู่ ำ้ งหนำ้ ไดแ้ ก่ คำวำ่ ท่ี ซ่ึง อนั เช่น คนที่ออกกำลงั กำยเสมอร่ำงกำรมกั แขง็ แรง
อเมริกำซ่ึงเป็นเจำ้ ภำพแข่งขนั ชกมวยกำลงั มี ชื่อเสียงทวั่ โลก มีดอนั ที่อยใู่ นครัวคมมำก 3. นิยมสรรพนำม ไดแ้ ก่สรรพนำมที่กำหนดควำมใหร้ ู้แน่นอนไดแ้ ก่ นี่ นน่ั โน่น หรือ น้ี น้นั โนน้ เช่น นี่เป็นเพอื่ นของฉนั นนั่ อะไรน่ะ โน่นของเธอ ของเธออยทู่ ่ีน่ี4. อนิยมสรรพนำม ไดแ้ ก่สรรพนำมที่แทนสิ่งท่ีไม่ทรำบ คือไม่ช้ีเฉพำะลงไปและไม่ไดก้ ล่ำวใน เชิงถำม หรือสงสยั ไดแ้ ก่ ใคร อะไร ไหน ใด เช่น
ใครขยนั กส็ อบไล่ได้ เขำเป็ นคนที่ไม่สนใจอะไร 5. ปฤจฉสรรพนำม ไดแ้ ก่สรรพนำมใชเ้ ป็นคำถำม ไดแ้ ก่คำ อะไร ใคร ที่ไหน แห่งใด ฯลฯ เช่น ใครอยทู่ ี่นน่ั อะไรเสียหำยบำ้ ง ไหนละโรงเรียนของเธอ6. วภิ ำคสรรพนำม หมำยถึงคำสรรพนำมท่ีใช้แทนคำนำมซ่ึงแสดงใหเ้ ห็นวำ่ นำมน้นั จำแนก ออกเป็นหลำยส่วน ไดแ้ ก่ ต่ำงบำ้ ง กนั เช่น นกั เรียนต่ำงกอ็ ำ่ นหนงั สือ เขำตีกนั นกั เรียนบำ้ งเรียนบำ้ งเล่น
คำกริยำคำกริยำ คือ คำแสดงอำกำรของนำม สรรพนำมแสดงกำรกระทำของประโยค เช่น เดิน วงิ่ เรียน อ่ำน นง่ั เล่น เป็นตน้ แบ่งเป็น 4 ชนิด1. สกรรมกริยำ คือคำกริยำที่ตอ้ งมีกรรมรับ เช่น ฉนั กินขำ้ ว เขำเห็นนก2. อกรรกริยำ คือคำกริยำที่ไม่ตอ้ งมี่กรรมมำรับ กไ็ ดค้ วำมสมบูรณ์ เช่น
เขำนง่ั เขำยนื3. วกิ ตรรถกริยำ คือ คำกริยำท่ีไม่มีควำมหมำยในตวั เอง ใชต้ ำมลำพงั แลว้ ไม่ไดค้ วำมตอ้ งมีคำอ่ืนมำประกอบจึงจะไดค้ วำม ไดแ้ ก่ เหมือน เป็น คลำ้ ย เท่ำ คือ เช่น ผมเป็นนกั เรียน คนสองคนน้ีเหมือนกนั ลูกคนน้ีคลำ้ ยพอ่ สม้ 3 ผลใหญ่เท่ำกนั เขำคือครูของฉนั เอง4. กริยำนุเครำะห์ คือคำกริยำมี่ไม่มีควำมหมำย ในตวั เอง ทำหนำ้ ท่ีช่วยกริยำใหม้ ีควำมหมำยชดั เจนข้ึนไดแ้ ก่คำ จง กำลงั จะ ยอ่ ม คง ยงั ถูก
นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เช่น แดงจะไปโรงเรียน เขำถกู ตี รีบไปเถอะ คำวเิ ศษณ์คำวิเศษณ์ คือ คำท่ีใชข้ ยำยคำอื่นใหไ้ ดใ้ จควำม ชดั เจนยงิ่ ข้ึน แบ่งออกเป็น 10 ชนิดคือ
1. ลกั ษณะวเิ ศษณ์ บอกลกั ษณะ เช่น สูง ใหญ่ ดำ อว้ น ผอม แคบ หวำน เคม็ กวำ้ ง2. กำลวเิ ศษณ์ บอกเวลำ เช่น เชำ้ สำย บ่ำย เยน็ ดึก เดี๋ยวน้ี โบรำณ3. สถำนวเิ ศษณ์ บอกสถำนท่ี เช่น ใกล้ ไกล บน ล่ำง4. ประมำณวเิ ศษณ์ บอกจำนวน เช่น หน่ึง สอง นอ้ ย มำก ท้งั หมด ท้งั ปวง บรรดำ 5. นิยมวเิ ศษณ์ บอกควำมแน่นอน เช่น นี่ น้ี โน่น น้นั 6. อนิยมวเิ ศษณ์ บอกควำมไม่แน่นอน เช่น ก่ี อนั ใด ทำไม อะไร ใคร - กี่คนกไ็ ด้ - ใครทำกไ็ ด้
- เป็นอะไรกเ็ ป็นกนั - คนอ่ืนไม่รู้ไม่เห็น 7. ปฤจฉำวเิ ศษณ์ บอกควำมเป็นคำถำม เช่น - แม่จะไปไหน - เธออำยเุ ท่ำไร - แกลง้ เขำทำไม - ไยจึงไม่มำ8. ประติชฌำวเิ ศษณ์ (บอกกำรตอบรับ) มีคำวำ่ คะ ครับ จะ้ จ๋ำ ขำ ฯลฯ9. ประติเศษวเิ ศษณ์ แสดงควำมปฏิเสธ เช่น ไม่ ไม่ใช่ หำมิได้ บ่10. ประพนั ธวเิ ศษณ์ แสดงหนำ้ ท่ีเชื่อมประโยค เช่น ท่ี ซ่ึง อนั - เขำพดู อยำ่ งที่ใคร ๆ ไม่คำดคิด
- เธอเดินไปหยบิ หนงั สือซ่ึงอยบู่ นโต๊ะ - ของมีจำนวนมำกอนั มิอำจนบั ได้ คำบุพบทคำบุพบท คือคำท่ีใชน้ ำหนำ้ คำอ่ืนแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ 1. ไม่เช่ือมกบั บทอ่ืน ไดแ้ ก่ คำทกั ทำย หรือ ร้องเรียน เช่น ดูกร ขำ้ แต่ อนั วำ่ แน่ะ เฮย้ 2. เชื่อมกบั บทอ่ืน ไดแ้ ก่ โดย ของ บน - พวกเรำเดินทำงโดยรถยนต์ - ขนมเหล่ำน้นั เป็นของคุณแม่ - นกเกำะอยบู่ นตน้ ไม้
- เขำเดินไปตำมถนน - ฉนั เขียนหนงั สือดว้ ยปำกกำ - เขำมำถึงต้งั แต่เชำ้ - ในหลวงทรงเป็นประมุขแห่งชำติ - เขำบ่นถึงเธอ - นกั โทษถูกส่งไปยงั เรือนจไ - ครูชนบทอยไู่ กลปื นเท่ียง - นกั เรียนอำ่ นหนงั สืออยภู่ ำยในหอ้ งเรียน - ขำ้ วในนำ ปลำในน้ำ- ประชำชนทุกคนอยใู่ ตก้ ฎหมำยของบำ้ นเมือง กำรใชค้ ำ กบั แก่ แด่ ต่อ กบั ใชก้ บั กำรกระทำท่ีร่วมกนั กระทำ - เขำกบั เธอมำถึงโรงเรียนพร้อมกนั - พอ่ กบั ลูกกำลงั อ่ำนหนงั สือ
แก่ ใชน้ ำหนำ้ ผรู้ ับท่ีมีอำยนุ อ้ ยกวำ่ ผใู้ ห้ หรือ เสมอกนั - คุณครูมอบรำงวลั แก่นกั เรียน - เขำมอบของขวญั ปี ใหม่แก่เพอ่ื นแด่ ใชน้ ำหนำ้ นำมท่ีเป็นผรู้ ับที่มีอำยมุ ำกกวำ่ หรือกบั บุคคลท่ีเคำรพ - นกั เรียนมอบของขวญั แด่อำจำรยใ์ หญ่ - ฉนั ถวำยอำหำรแด่พระสงฆ์ ต่อ ใหใ้ นกำรติดต่อกบั ผรู้ ับต่อหนำ้ - จำเลยใหก้ ำรต่อศำล- ประธำนนกั เรียนเสนอโครงกำรต่ออำจำรย์ ใหญ่ - หำคนหวงั ดีต่อชำติ- ผแู้ ทนรำษฎรแถลงนโยบำยต่อประชำชำน
คำสันธำนคำสันธำน คือคำเช่ือมคำ หรือประโยคเช่ือม ประโยคใหต้ ่อเนื่องกนั มี 2 ลกั ษณะ คือ1. เชื่อมคำกบั คำ เช่น พ่กี บั นอ้ ง เขียนกบั อ่ำน ลูกและหลำน2. เชื่อมประโยคกบั ขอ้ ควำม หรือขอ้ ควำมกบั ประโยค มี 4 ลกั ษณะคือ ก. คลอ้ ยตำมกนั เช่น พอลำ้ งมือเสร็จกไ็ ป รับประทำนอำหำร
ข. ขดั แยง้ กนั เช่น แมเ้ ขำจะขย้นั แต่กเ็ รียนไม่ สำเร็จ ค. เลือกอยำ่ งใดอยำ่ งหน่ึง เช่น เธอจะอำ่ น หนงั สือกรหรือจะเล่นง. เป็นเหตุเป็นผลกนั เช่น เพรำะรถติดเขำจึงมำ สำย
คำอุทำนคำอุทำน คือคำท่ีเปล่งออกมำบอกอำกำร หรือ ควำมรู้สึกของผพู้ ดู แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ1. อทุ ำนบอกอำกำร หรือบอกควำมรู้สึก จะใช้ เคร่ืองหมำย อศั เจรีย์ ( ! ) กำกบั ขำ้ งหลงั เช่น
อุย๊ ! พทุ โธ่ ! วำ๊ ย! โอโ้ ฮ! อนิจจำ!2. อทุ ำนเสริมบท เป็นคำพดู เสริมเพอ่ื ใหเ้ กิดเป็น คำท่ีสละสลวยข้ึน เช่น - รถรำ - กระดูกกระเด้ียว - วดั วำอำรำม - หนงั สือหนงั หำ - อำบน้ำอำบท่ำ - กบั ขำ้ วกบั ปลำ
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: