Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้ กศน.ตำบลดอนเจดีย์

ใบความรู้ กศน.ตำบลดอนเจดีย์

Published by donchedeenfe, 2019-12-26 01:27:29

Description: 6. ใบความรู้

Search

Read the Text Version

ใบความรูท้ ี่ 1 เรื่อง อา่ นเขยี นไม่คล่อง/ไมใ่ ฝร่ ใู้ ฝ่เรยี น/ออกกลางคัน บทความ คืออะไร บทความเป็นงานเขียนประเภทหนง่ึ ทม่ี ุ่งให้ผ้อู ่านได้รบั ทราบขอ้ มูลทีเ่ ปน็ สาระความรู้ ประสบการณ์ ขอ้ เท็จจรงิ ทเี่ กิดขนึ้ และความคดิ ของผูเ้ ขียนทม่ี ีตอ่ เร่ืองใดเรอื่ งหนึ่งทาให้ผู้อ่านได้ขยาย แนวความคิด อันจะเปน็ ทางเสริมสรา้ งใหม้ ที ัศนะต่าง ๆ ท่ีกว้างไกลและมีความคิดเหน็ ท่ีทนั สมยั ดว้ ยโครงสรา้ ง ของบทความ ประกอบดว้ ย 3 สว่ น คือ ความนา เน้ือหาสาระ และเน้ือความลงทา้ ยหรอื สรปุ หลักการอา่ นงานเขยี นประเภทบทความ อ่านผา่ น ๆ ใหร้ วู้ า่ เรื่องน้ันว่าด้วยเรอื่ งอะไร จดุ ใดเปน็ จุดสาคญั ของเรอ่ื ง อ่านเพ่ือพิจารณาข้อความสาคัญเปน็ รายย่อหนา้ โดยอาจสงั เกตได้จากคาหรือประโยค ทีก่ ลา่ วซ้า กนั หรือสอดคล้องกันซ่ึงปรากฏอย่ใู นแตล่ ะย่อหนา้ ถาม - ตอบ คาถามส้ัน ๆ เกยี่ วกบั ใจความสาคัญของเรื่องในแต่ละยอ่ หน้าเชื่อมโยงกับความคดิ สาคญั ของแตล่ ะย่อหน้าเขา้ ด้วยกนั กจ็ ะสามารถจบั ใจความสาคัญของเรอ่ื งได้ทั้งหมด วิเคราะหค์ วามน่าเชือ่ ถือของขอ้ มลู วา่ ถูกตอ้ งเพยี งใด รวมท้งั วิเคราะหเ์ จตนาและจุดประสงคใ์ นการเขียน บทความ ของผ้เู ขียนดว้ ย

ใบความรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง ย้ายถิน่ ฐาน/ภาษาถิ่นแตกตา่ งกนั /ฐานะการดารงชวี ติ / ความเหล่อื มลาทางสงั คม ปญั หาขนั พืนฐานทางเศรษฐกิจ ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจเกิดจากการท่ีทรัพยากรมีจานวนจากัด ไม่เพียงพอที่จะตอบสนองความ ตอ้ งการของทกุ คนในสังคมได้ ดังน้ันทุกสงั คมจงึ ต้องประสบปัญหาอย่างเดยี วกนั คือ 1. ปัญหาว่าจะผลิตอะไร (What ) คือ ปัญหาในการตัดสินใจว่าควรจะผลิตสินค้าอะไรเป็นจานวน เทา่ ไร 2. ปัญหาว่าจะผลิตอย่างไร (How) เป็นการพิจารณาว่าจะผลิตสินค้าและบริการด้วยเทคนิคการผลิต แบบไหน และใช้ปจั จยั การผลติ อะไร แต่ละชนิดใช้สดั ส่วนเทา่ ไร 3. ปัญหาว่าจะผลิตเพื่อใคร (For whom) เป็นการพิจารณาว่าสินค้าและบริการท่ีผลิตได้จะจัดสรร ให้แก่บุคคลใดในสังคมวธิ ีอย่างไร สรปุ แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติของประเทศไทย 1. แผนพฒั นาเศรษฐกจิ แห่งชาติ ฉบบั ที่ 1 (พ.ศ. 2504-2509) เนน้ การพัฒนาดา้ นเศรษฐกิจขั้นพน้ื ฐาน เชน่ สรา้ งถนน น้าประปา ไฟฟา้ การชลประทาน และการขยายการศึกษาออกไปยังชนบท 2. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2510-2514) เน้นการพัฒนาต่อจากแผน ฯ ฉบับท่ี 1 แต่ประสบปญั หา คอื ดลุ การชาระเงนิ ขาดดลุ เปน็ ครั้งแรก 3. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2515-2519) มีการเริ่มวางแผนครอบครัว เป็นครั้งแรก ช่วงหลังแผนประสบความล้มเหลว เพราะตรงกับช่วงปัญหา 14 ตุลาคม 2516 และสงคราม เวียดนามกับปัญหาการประท้วงและนัดหยดุ งานท่วั ประเทศ 4. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2520-2524) เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยลดความเหล่อื มลา้ ทางเศรษฐกจิ แตป่ ระสบปญั หาราคา น้ามันแพง เงินเฟ้อ และเงนิ ฝดื 5. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 5 (พ.ศ. 2525-2529) เน้นการแก้ไขปัญหา ความยากจน ในชนบท ดุลการชาระเงนิ เกินดุลเป็นคร้ังแรก ดุลการค้าขาดดุลน้อยลงและเงินทุนสารองเพ่ิมข้ึน เน้นความร่วมมือระหวา่ งรัฐบาลและเอกชน (กรอ.) 6. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 6 (พ.ศ. 2530- 2534) เน้นการพัฒนาประเทศ โดยการนาวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีมาใช้ ลดอัตราการเพิ่มของประชากรให้เหลือ 1.3 % ในด้านเศรษฐกิจ เกิดการขยายตัว เกินเป้าหมายในด้านการส่งออก การลงทุน และการท่องเท่ียว รวมถึงสังคมชนบทเปล่ียน ไปสสู่ งั คมเมอื งมากขนึ้ 7. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2535- 2539) เป็นคร้ังแรกท่ีกล่าวถึง เรื่องการศึกษาในแผน ฯ ขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี มีการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มีการ

แก้ปญั หาสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติลดอัตราการเพ่มิ ประชากรเหลือ 1.2% ชว่ งทา้ ยแผน ฯ เศรษฐกิจ ตกตา่ สง่ ผลกระทบด้านการเงินการคลังของประเทศอยา่ งมาก 8. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2540-2544) เน้นการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ และคุณภาพชีวิต ส่ิงแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติจดุ เด่นของแผน 8 คอื ต้องสอดคล้องกับเง่ือนไข ของการลงทุนทางการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แต่จะมีปัญหาในเรื่องประสบภาวะเศรษฐกิจตกต่า ค่าเงินบาทลดลง และธนาคารประสบปญั หา (หนีท้ ไี่ ม่ก่อใหเ้ กิดรายได)้ (NPL) 9. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 9 (พ.ศ. 2545-2549) มีจุดเน้นในเรื่องการพัฒนา คนต่อเน่ืองจากแผนฯ 8 เพื่อดาเนินการให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ยึดหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงเป็น ขั้นพื้นฐาน การพัฒนาในทุกด้าน รวมถึงแนวทางการดาเนินวิถีชีวิตของคนไทย โดยคานึงถึงการพัฒนา เศรษฐกิจอยา่ งพอเพยี งและสงั คมไทยให้อยู่ดี มีสขุ 10. แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับท่ี 10 (พ.ศ.2550-2554) เน้นการพัฒนาให้อยู่ร่วมกัน อย่างร่มเย็นเป็นสุข ภายใต้แนวทางการปฏิบัติตนตามเศรษฐกิจพอเพียง โดยการพัฒนาให้คนมีคุณภาพพร้อม คุณธรรม เพ่ิมศักยภาพชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ส่งเสริมให้เศรษฐกิจมีคุณภาพ เสถียรภาพ และเปน็ ธรรม ดารงความหลากหลายทางชีวภาพและสรา้ งความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาตแิ ละคณุ ภาพ ส่ิงแวดล้อม และ พัฒนาระบบบริหารจัดการประเทศให้เกิดธรรมาภิบาลภายใต้รบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมุข 11. แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) เน้นการพัฒนาประเทศ ภายใต้ วิสัยทัศ \"ประเทศมีความม่ันคงเป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง\" เป็นแผนพัฒนาฯ ที่สืบเน่ืองมาจากแผนพัฒนาฉบับที่ 8-10 นั่นคือ ยังคงยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนา และบริหารประเทศ ซึ่งควบคู่ไปกับการพัฒนาที่ยึดคนเป็นศูนย์กลาง สร้างความเป็นธรรม และเกิด ความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจ สังคม และภูมิคุ้มกันจากวิกฤตการณ์ เพื่อให้ ทรัพยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดลอ้ มอุดมสมบูรณ์อยา่ งยั่งยนื 12. แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 – 2564) ยึดหลัก “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”สาหรับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติของประเทศในระยะ 5 ปี จะยึดหลัก “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ต่อเน่ืองจากแผนพัฒนาฯ ฉบับก่อนหน้า เพ่ือให้การพัฒนาในทุกมิติมีการบูรณาการบนทางสายกลาง มคี วามพอประมาณ มีเหตผุ ล รวมถึงมีระบบภูมคิ ุ้มกันทดี่ ี สอดคล้องกับภมู ิสงั คม การพฒั นาทุกดา้ น มีดุลยภาพ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศน์ มีความสอดรับ เกื้อกูล และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยการพัฒนา ในมิติหนึ่งต้องไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อมิติอ่ืนๆ รวมทั้งต้องมุ่งเน้นให้ “คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” สรา้ งความมัน่ คงของชาติ พัฒนาคนทุกวยั ให้เปน็ คนดี คนเก่ง มีศกั ยภาพ และความคดิ สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นหัวใจ สาคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการเพ่ือสร้างความเข้มแข็ง มีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสานึกรับผิดชอบต่อส่วนรวมนาไปสู่การสร้างสังคมที่พึงปรารถนา รวมถึงมีจิตอนุรักษ์ รักษา ฟนื้ ฟู และใชป้ ระโยชนจ์ ากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ มอยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม

ใบความรู้ที่ 3 เร่อื ง ติดสังคม/ตดิ ยาเสพติด/ติดเพอ่ื น/ติดแฟน พฤติกรรมของผ้ตู ดิ ส่งิ เสพติด 1. ไมส่ นใจสง่ิ แวดล้อม ชอบแยกตัวเอง 2. แตง่ กายไม่เรยี บรอ้ ย สกปรก 3. สหี น้าแสดงความวติ ก ซมึ เศรา้ ไม่กลา้ ทจี่ ะสู้หนา้ คน 4. เมือ่ ขาดยา มอี าการกระวนกระวาย หายใจลึก กล้ามเนอื้ กระตุก ทุรนทุราย คล้มุ คล่ัง การปอ้ งกันการเสพยาเสพติด 1. เลือกคบเพื่อนที่ดี หลกี เลยี่ งการคบเพ่ือนท่ตี ิดส่ิงเสพตดิ 2. ไม่ทดลอง ส่ิงเสพตดิ ทุกชนิด 3. เลน่ กีฬา ออกกาลังกาย หากิจกรรมนันทนาการเลน่ เมื่อมีเวลาวา่ ง 4. สถาบนั การศึกษาควรให้การอบรมเกีย่ วกับโทษของยาเสพติด 5. ควรมีความอบอุ่นแกค่ รอบครัว ดูแลสมาชิกในครอบครวั อย่างใกลช้ ดิ โทษของยาเสพติด โทษเนอื่ งจากการเสพสง่ิ เสพติดแบง่ ออกได้ ดงั นี้ 1. โทษต่อร่างกาย ส่ิงเสพติดทาลายทั้งร่างกายและจิตใจ เช่น ทาให้สมองถูกทาลาย ความจาเส่ือม ดวงตาพร่าม่ัว น้าหนักลด ร่างกายซูบผอม ตาแห้ง เหม่อลอย ริมฝีปากเขียวคล้า เครียด เปน็ ต้น 2. โทษต่อผู้ใกล้ชิด ทาลายความหวังของพ่อแม่และทุกคนในครอบครัว ทาให้วงศ์ตระกูล เสอ่ื มเสยี 3. โทษต่อสังคม เกิดปัญหาทางด้านอาชญากรรม สูญเสียแรงงาน ส้ินเปลืองค่าใช้จ่าย ในการปราบปรามและการบาบดั รกั ษา 4. โทษตอ่ ประเทศไทย ทาลายเศรษฐกิจของชาติ

ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ชุมชนขาดความร่วมมือ/ขาดการเชื่อมโยงกับองคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่น ภาคีเครือข่าย หมายถึง กลุ่มบุคคล องค์กรท่ีมีเป้าหมายร่วมกัน มารวมตัวกันด้วยความสมัครใจ เพ่อื ทากิจกรรมใหบ้ รรลุเป้าหมายการพฒั นาระบบภาคเี ครือขา่ ย กศน. กับ การทางานรว่ มกับเครอื ข่าย คาจัดกัดความของ “ภาคีเครือข่าย” ตาม พรบ.ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัย พ.ศ. 2551 “ภาคีเครือข่าย” หมายความว่า บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และองค์กรอื่น รวมท้ัง สถานศึกษาอ่ืน ที่มิได้สงั กัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยท่มี ีส่วนรว่ ม หรือ มีวัตถปุ ระสงค์ในการดาเนนิ งานการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ภาคีเครือข่ายของหน่วยงาน กศน. เป็นเครือข่ายทางสังคมที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล องค์กร ที่เกี่ยวข้องกันในทุกระดับ มีเป้าหมายในการทางานร่วมกันคือการส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาคุณภาพ ชีวิตให้กับประชาชน ซ่ึงในปัจจุบันสังคมไทยมีการเปล่ียนแปลงไปมาก มีการเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การส่ือสาร การคมนาคม ประชาชนมีวิถีชีวิตท่ีเป็นเปลี่ยนแปลงไป ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน ไมส่ ามารถพ่ึงพาตนเองได้ มหี นีส้ นิ ขาดโอกาส พลาดโอกาสทางการศกึ ษา ขาดทกั ษะชีวติ ในการคดิ วิเคราะห์ สถานการณต์ า่ ง ๆ อย่างมเี หตผุ ล การแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนจึงมีความซับซ้อน ยาก ตอ่ การแกไ้ ขหรอื พัฒนาโดยหน่วยงานใดหนว่ ยงานหนึ่ง ในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับประชาชน จึงต้องอาศัยความร่วมมือ จากหลายฝ่ายร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการทางาน กศน. ทั้งนี้ เพ่ือต้องการให้เกิดการผลักดันกระบวนการ เรียนรู้ร่วมกันทางสังคม ปัจจุบันหน่วยงานและสถานศึกษา กศน. จะต้องมีการประสานความร่วมมือกัน จัดการเรียนรู้กับภาคีเครือข่าย มาอย่างต่อเน่ือง การสร้างภาคีเครือข่ายในทุกระดับของหน่วยงาน และสถานศึกษา กศน. สะท้อนถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือในกระบวนการจัดการศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศัยรว่ มกัน การร่วมคดิ รว่ มวางแผน รว่ มปฏิบตั ิ รว่ มประเมินผล ซึง่ ใน แต่ ละหน่วยงานและสถานศึกษา กศน. มีเทคนิควิธีหลากหลายในการสร้างภาคีเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์กับ เครือข่าย และเครือข่ายให้ความร่วมมือในการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ให้กับประชาชน รวมท้ังการพัฒนา ศักยภาพการทางานร่วมกับภาคีเครือข่าย ซึ่งแต่ละวิธีหรือเทคนิคจะส่งผลให้เกิดผลสาเร็จในการสร้าง ภาคีเครือข่ายในระดบั ท่แี ตกตา่ งกันด้วย โดย อุไรรตั น์ ใน แลกเปล่ียนเรียนรู้งาน กศน.https://www.gotoknow.org/posts/510925

ใบความรู้ท่ี 5 เร่ือง ขาดความรับผิดชอบ/วนิ ัย/ไมต่ รงต่อเวลา ความรับผิดชอบ หมายถึง การยอมรบั ผลทีเ่ กิดจากการกระทาใด ๆ ทง้ั ที่ตนเองกระทาหรือผู้อืน่ กระทา ไมว่ า่ เดก็ หรือผู้ใหญต่ ้องมีความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม ผมู้ ีความรับผิดชอบจะเกดิ ผลดี ต่อตนเอง ทาให้ตนเองมคี วามสุข สังคมก็มีความสงบสขุ ด้วย ผู้ใดขาดความรับผิดชอบ ผลเสียก็จะทาให้เรา เสยี ใจ ฉะน้นั จึงควรฝึกนสิ ยั ให้เปน็ ผูม้ คี วามรับผดิ ชอบ ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง ความรับผิดชอบต่อตนเอง หมายถึง พฤติกรรมการรจู้ ักระมดั ระวังรกั ษาสขุ ภาพอนามัยของตนเอง ให้สมบูรณ์ ปลอดภยั จากอันตรายอยู่เสมอ รู้จักประพฤติปฏบิ ัติใหเ้ หมาะสม ละเว้นความชั่ว รู้จักประมาณ ในการใช้จ่ายและมคี วามประหยัด สามารถจดั หาเคร่ืองอุปโภคบริโภคสาหรบั ตนเองได้อยา่ งเหมาะสม กับวยั สานกึ ในบทบาทและหนา้ ทข่ี องตน หมน่ั ใฝ่หาความรู้และฝึกฝนตนเองใหม้ ีประสบการณ์จนประสบความสาเร็จ ในการดารงชีวติ ยอมรบั ผลการกระทาของตนเองท้ังท่เี ปน็ ผลดแี ละผลเสีย ไมป่ ัดความรับผดิ ชอบในการกระทา ของตนเองให้แก่คนอ่ืน ไตร่ตรองให้รอบคอบวา่ ส่ิงท่ีทาลงไปนน้ั จะเกิดผลเสยี หายข้นึ หรือไม่ ปฏิบตั ิแต่ส่ิงท่ี ทาให้เกิดผลดี และพร้อมทจี่ ะปรับปรุงแก้ไขเพ่ือใหไ้ ด้ผลดียิ่งขนึ้ การมีความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง หมายถงึ การรับร้บู ทบาทของตนเองท่ีเปน็ ส่วนหนึ่งของสงั คม จะต้อง ดารงตนให้อยู่ในฐานะท่ีสามารถช่วยตนเองได้ รู้ว่าอะไรผดิ อะไรถูก ยอมรบั ผลการกระทาของตน ทั้งท่ีเปน็ ผลดี และผลเสีย บทบาทหน้าทแ่ี ละความรบั ผิดชอบของบุคคลในครอบครัวและสงั คม หน้าท่ีของครอบครวั ครอบครัวเป็นสถาบันทางสังคมท่ีเล็กท่ีสุด แต่สาคัญท่ีสุด เน่ืองจากเป็นสถาบันแรกที่สามารถ หลอ่ หลอมและพฒั นาบุคคลต่าง ๆ ในครอบครัวให้เป็นบุคคลอันพงึ ประสงคข์ องสังคม ซ่งึ มีหนา้ ทค่ี ือ หน้าท่ีสร้างสรรค์สมาชิก ครอบครัวมีหน้าที่สร้างสมาชิกใหม่ขึ้นทดแทนสมาชิกเดิมที่จากไป เพื่อสืบ วงศ์ตระกูลต่อไป แตก่ ต็ ้องต้งั อยบู่ นความสมดลุ กบั สังคมถา้ มากเกนิ ไปกจ็ ะทาให้เกิดปญั หาสังคมตามมา หน้าท่ีอบรมสั่งสอนระเบียบของสังคม ครอบครัวเป็นสถาบันแรกท่ีมีหน้าที่และบทบาทในการอบรม สั่งสอนท่ีสาคัญท่ีสุด โดยมุ่งเน้นให้รู้จักค่านิยมพื้นฐานทางวัฒนธรรม การพัฒนาบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และการปรับตัวเขา้ กบั สงั คม หน้าที่ให้ความรักและความอบอุ่น ครอบครัวเป็นแหล่งสาคัญในการให้ความรัก ความอบอุ่น และกาลงั ใจแกส่ มาชิกเพอ่ื ใหส้ ามารถต่อสแู้ ละมีกาลงั ใจในการดาเนินชีวิตในสงั คมได้ หน้าท่ีกาหนดสถานภาพ เมื่ออยู่ในครอบครัว สมาชิกทุกคนจะมีสถานภาพท่ีถูกกาหนดขึ้นโดยกาเนิด เช่น เพศ เชือ้ ชาติ ศาสนา สัญชาติ และสถานะในครอบครวั รวมถึงในวงสงั คม หน้าท่ปี กป้องคุม้ ครองหรือเล้ียงดูผู้เยาว์ ครอบครัวจะทาหน้าท่ีดูแลปกปอ้ งและพัฒนาสมาชิกที่เกิดข้ึน ใหม่ ทั้งในดา้ นร่างกาย จิตใจ และใหก้ ารศึกษา

หน้าที่ทางเศรษฐกิจ สมาชิกในครอบครัวทุกคนถือเป็นหน่วยการผลิตที่สาคัญ ทุกคนจะต้องทางาน และแบ่งผลผลิตซ่ึงกันและกัน เช่น พ่อแม่จะทามาหากินเพ่ือเลี้ยงลูกในวัยเด็ก แต่พอในวัยหนุ่มสาวลูกก็จะ ทามาหากินเพ่ือเลี้ยงดพู ่อแม่ หน้าที่ทางการศกึ ษา ครอบครัวเป็นแหล่งการศกึ ษาแห่งแรกของสมาชิก แต่เม่ือถึงวัยตอ้ งรับการศึกษา ในโรงเรียน ครอบครัวก็มีหน้าที่ต้องส่งสมาชิกเข้าเล่าเรียนศึกษา โดยต้องให้การสนับสนุนในเร่ืองการศึกษา เพือ่ ให้มคี วามรูเ้ พื่อทสี่ ามารถจะประกอบอาชีพได้ในอนาคต หน้าที่ทางศาสนา ครอบครัวต้องมีหน้าที่ในการปลูกฝังให้เล่ือมใสในศาสนาประจาชาติ และส่งเสริม ใหป้ ฏิบตั ิตนตามคาส่งั สอนของศาสนา เพือ่ ให้เปน็ คนดีของสังคม หนา้ ทขี่ องสามีและภรรยา ในสภาพสังคมปัจจุบัน สังคมและเศรษฐกิจได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ผู้ชายและผู้หญิงจึงล้วนมี บทบาทท่ีเปล่ียนแปลงไป จากเดิมทผี่ ูช้ ายเปน็ ผู้นาครอบครัว ก็เรมิ่ มกี ารปรับเปลย่ี นใหผ้ ู้หญิงมีบทบาททดั เทยี ม กนั ดังน้ันสามแี ละภรรยาในยคุ ปัจจบุ นั จึงควรมีหน้าท่ี ๆ สอดคลอ้ งกับสถานการณค์ ือ ให้การยกย่องซ่ึงกันและกัน ให้เกียรติกันตามฐานะอย่างเหมาะสม ดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน ไม่ดูหมิ่นเหยยี ดหยามทัง้ วาจาและทา่ ทาง ไม่วา่ ตอ่ หน้าหรอื ลบั หลงั ใหค้ าแนะนาในการปรบั ปรงุ ตนเอง และรว่ มกันแก้ไขข้อบกพรอ่ งซ่งึ กนั และกนั ไม่ประพฤตินอกใจซึ่งกันและกัน ควรมีความซื่อสัตย์และคุณความดีของกันและกัน เพ่ือรักษา ครอบครวั ใหม้ ีความสขุ และดาเนนิ ชวี ิตได้อย่างราบร่ืน ช่วยกันในธุรกิจงานบ้าน ช่วยดูแลทรัพย์สมบัติและกิจการงานบ้าน ควรรับผิดชอบภารกิจท่ีต้องใช้ แรงงาน รวมถงึ การชว่ ยดแู ลบุตร ให้กาลังใจโดยของขวัญหรือของรางวัล ให้ความสาคัญกับโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด วันครบรอบ แต่งงานหรอื เทศกาลต่าง ๆ มีของฝากเมอื่ เดินทางไปสถานทอ่ี นื่ ๆ ร่วมกันจัดการงานบ้านเรือนให้เรียบร้อย แบ่งภารกิจการงานบ้านให้สมาชิกทุกคนในครอบครัวมีงาน เทา่ เทยี มกนั รวมถึงสรา้ งบรรยากาศในครอบครวั ใหน้ า่ อยู่ เอาใจใส่สงเคราะห์คนใกล้ชิด เอาใจใส่สารทุกข์สุกดิบของคนในครอบครัว รวมถึงญาติพ่ีน้อง ทัง้ ของฝา่ ยตนเองและฝ่ายภรรยาให้สมา่ เสมอเท่าเทียมกัน ช่วยกันรักษาสมบัติไว้ให้ดี รู้จักการใช้สอยเงินทองอย่างประหยัด ไม่ควรใช้จ่ายให้เกินฐานะ ไม่สรา้ งภาระหนส้ี ินโดยไม่จาเป็น และหลกี เลี่ยงอบายมขุ ตา่ ง ๆ ไม่เกียจคร้านในกิจการทั้งปวง ควรมีความขยันขันแข็งในการทางานท้ังภายนอกและภายในบ้าน เพื่อความเจรญิ ก้าวหนา้ ในหน้าท่ีการงาน เพอ่ื ใหฐ้ านะครอบครัวมีความม่ันคงมากยงิ่ ขึ้น หนา้ ทีข่ องบดิ ามารดาตอ่ บุตร คู่สามีภรรยาที่มีความพร้อมและตัดสินใจมีลูกแล้ว จะต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่ ท่ีเกิดขึ้นตามมา โดยมบี ทบาทใหม่ในการเป็นพ่อและแม่ ซง่ึ เป็นหน้าท่ี ๆสาคัญและมีความรับผิดชอบสูงอันได้แก่

การให้ความเจรญิ เตบิ โตทางด้านร่างกายและจิตใจ พอ่ แมม่ ีหนา้ ท่ีตอ้ งให้ความเอาใส่ลกู ทั้งดา้ นร่างกาย และจิตใจ ในด้านร่างกายเป็นความจาเป็นในอันดบั แรกของชีวิต ในขณะที่ลูกยงั ช่วยตวั เองไม่ได้ พ่อแม่มีหน้าท่ี ต้องดูแลหาอาหาร เครื่องนุ่งห่มและดแู ลยามเจบ็ ไข้ได้ป่วย ในด้านจิตใจก็ได้แก่การให้ความร้สู ึกมัน่ คงปลอดภัย แก่ลูก สร้างความรู้สึกให้ลูกรู้สึกถึงการเจริญเติบโตด้วยความเป็นมิตร มีสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน เกดิ ความสมั พนั ธ์ทเ่ี หนียวแนน่ เกดิ ความภมู ิใจกบั สถานภาพของตนเองในครอบครวั การอบรมสั่งสอน พ่อแม่มีหน้าท่ีต้องปลูกฝังให้ลูกสามารถควบคุมตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับ สภาพสังคมและส่ิงแวดล้อม ด้านการเข้าสังคม มารยาทสังคม การอยู่ร่วมกับผู้อื่นเพื่อให้สามารถดาเนินชีวิต ในสังคม การเอาใจใส่ พ่อแม่ต้องคอยเอาใจใส่ดูแลลูก เพ่ือสังเกตและควบคุมพฤติกรรมของลูกให้ดาเนินไปได้ อย่างถูกครรลองคลองธรรมและเป็นท่ยี อมรบั ของสงั คม อนั ได้แก่ ด้านสขุ ภาพจติ เพราะเด็กบางคนอาจมีความผิดปกติด้านสภาพจิตใจ ด้านความผิดปกติทางเพศซึ่งต้องได้รับการแก้ไขบาบัด เพื่อแก้ปัญหา ด้านการใช้ยาเสพติดเด็กสมัยใหม่จะเข้าถงึ ได้ค่อนข้างง่ายจึงต้องใช้การสังเกตเพื่อป้องกันปัญหา ด้านการใช้เวลาว่างพ่อแม่ควรต้องแนะนาให้เด็กได้ใช้เวลาว่างตามความถนัดตามความสนใจ ให้คาแนะนา และสง่ เสริมการใชเ้ วลาวา่ งให้เกดิ ประโยชน์ หน้าท่ีความรบั ผิดชอบของบุตรต่อบดิ ามารดา ในช่วงแรกของชีวติ บดิ ามารดามีหนา้ ทีต่ ้องดูแลบตุ ร แตใ่ นช่วงท้ายของชีวิตแลว้ บุตรก็มีหน้าที่ต้องดูแล บิดามารดาเป็นการตอบแทน โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสังคมไทยให้ความสาคัญกับเรื่องน้ีมาก ดังนั้น บุตรจึงมี หน้าที่ทค่ี วรปฏบิ ัตติ อ่ บดิ ามารดาคือ ความกตัญญู บุตรควรต้องดูแลเอาใจใส่บิดามารดาให้เหมือนกับที่บิดามารดาดูแลเอาใจใส่ตน ดูแลให้ดาเนนิ ชีวิตอย่างมีความสุข หาอุปกรณ์อานวยความสะดวกในการดาเนนิ ชวี ติ ดแู ลยามเจ็บไขไ้ ด้ปว่ ย ช่วยเหลือกิจการงานหน้าที่ครอบครัวตามโอกาส บุตรควรต้องช่วยเหลือดูแลภารกิจในบ้านทั้งกิจการ ของครอบครวั งานอ่ืน ๆ ท่นี อกเหนอื เพื่อให้พอ่ แมไ่ ด้มีโอกาสผักผ่อนและเป็นการแบง่ เบาภาระ ดารงวงศ์ตระกูลของพ่อแม่ให้เจริญ สังคมไทยให้ความสาคัญกับการสืบทอดวงศ์ตระกูลและชื่อเสียง ของวงศต์ ระกลู ดงั นัน้ บตุ รควรต้องรักษาชอื่ เสียงและประพฤตติ นให้เหมาะสมตามขนบธรรมเนียมประเพณี เม่ือพ่อแม่ล่วงลับไปแล้วทาบุญอุทิศให้ สังคมไทยให้ความสาคัญเรื่องการราลึกถึงบุญคุณบิดามารดา การทาบุญอุทิศให้ก็ถือเป็นการนึกถึงและตอบแทนบุณคุณอีกทางหน่ึง และเป็นการแสดงถึงความเคารพ อยเู่ สมอ หนา้ ที่ความรับผิดชอบต่อเครือญาติ โครงสร้างสังคมไทยเรา ถือเป็นระบบสังคมเครือญาติ ซ่ึงมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทาให้เกิด ความเหนียวแน่นและความสัมพันธ์ในเชิงสังคม เช่นความสัมพันธ์ในฐานะ ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติมักจะเกิดขึ้นจากความเกี่ยวพันทางสายเลือดและความเก่ียวพันจากการสมรส ซึ่งความเกย่ี วพันดังกลา่ วทาให้เกิดเครอื ญาติและทาให้มหี นา้ ท่ที ่ีต้องดูแลรับผดิ ชอบกนั คอื

หน้าท่ีทางการเงิน ครอบครัวท่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจดีอาจถูกเป็นท่ีพึ่งหวังของครอบครัวท่ีฐานะ ทางเศรษฐกิจท่ีท่ีไม่ดี การให้การช่วยเหลือกันเป็นบางโอกาสทางด้านการเงินจึงเป็นภารใหม่ท่ีเกิดข้ึน ซึ่งก็ควร ใหก้ ารช่วยเหลอื การตามสมควรโดยไม่ก่อให้เกิดความเดือดรอ้ นต่อครอบครวั ตนเอง หน้าท่ีปรับตัวให้เข้ากับแบบแผนครอบครัวเดิม ครอบครัวแต่ละครอบครัวย่อมมีแบบแผนการดาเนิน ชวี ิตทแ่ี ตกตา่ งกัน การที่คนต่างครอบครัวกันมาอยรู่ ่วมกันย่อมมคี วามแตกตา่ งกันในการปฏบิ ัติตัวในด้านตา่ ง ๆ ท้ังวัฒนธรรม ศาสนา ฐานะทางสังคมเศรษฐกิจ เพื่อหลีกเหลี่ยงปัญหาการอยู่ร่วมกัน จึงต้องมีการปรับตัว ใหเ้ ขา้ กับการเปลีย่ นแปลงท่เี กิดขนึ้ หน้าที่การปรับตัวให้เข้ากับญาติ ด้วยความแตกต่างของพื้นฐานครอบครัวทาให้คนเราที่อยู่ร่วมกัน ต้องปรับตัวเข้าหากัน โดยเฉพาะคู่สมรสใหม่ จาเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากันได้กับญาติของท้ัง 2 ฝ่ายจึงจะทาให้ ชีวิตสมรสดาเนินไปได้อย่างราบร่ืน ซึ่งเป็นส่ิงที่อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควรเน่ืองญาติพี่น้องจะมี จานวนมากและมีลกั ษณะนสิ ยั ใจคอทีแ่ ตกต่างกันออกไป การสรา้ งวินัยในตนเอง วนิ ยั น้ันเก่ียวขอ้ งกบั ความสัมพันธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ บั มนุษย์ และความสมั พันธ์ระหว่างมนุษย์ กบั ธรรมชาติ สงั คมมนุษย์จาเป็นตอ้ งมวี ินัยเพื่อทาใหเ้ กิดระบบระเบียบ ซึ่งเป็นปัจจยั สาคัญในการสร้าง ความ สงบสุข และความเจรญิ ก้าวหน้าแกช่ วี ิตและสงั คม วินัยนั้นก่อนอืน่ ต้องเริ่มจากตนเองกอ่ นเป็นอนั ดบั แรก “คนท่ีมีวินัยต่อตนเองคือ เมอื่ จติ สานกึ ของคุณ บอกให้ทาอะไรบางอย่างแล้ว คุณไม่โตเ้ ถียงมนั ” วินัยในตนเอง หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมอารมณ์และพฤติกรรม โดยเกิดจาก ความร้สู ึกมองเห็นคุณค่าในการปฏิบัติด้วยตนเอง มิได้เกิดจากอิทธิพลภายนอก เชน่ ระเบียบ คาสั่ง การบังคับ ถงึ แม้จะมอี ุปสรรคกย็ งั ไม่เปลย่ี นพฤติกรรมนน้ั คณุ ลักษณะของผู้ท่ีมีวนิ ยั ในตนเอง 1. มคี วามซอื่ สัตย์สุจริต ไมห่ ลอกลวงตนเองและผู้อน่ื 2. มีความรับผดิ ชอบ ความตั้งใจทจ่ี ะทางานและติดตามผลงานทไี่ ด้กระทาแล้ว 3. เคารพในสทิ ธิของผู้อน่ื 4. มรี ะเบียบและปฏิบตั ิตามกฎเกณฑ์ของสงั คม 5. มีลกั ษณะมุง่ อนาคต 6. มคี วามเปน็ ผู้นา สามารถนา ชกั จูง แก้ปัญหา และดาเนินกจิ กรรมของกลุ่มไปสเู่ ป้าหมายทีก่ าหนด และรับผิดชอบต่อกลุ่มได้ 7. มีความตรงต่อเวลา รู้จกั กาลเทศะ 8. มีความเช่อื มั่นในตนเอง เช่อื อานาจภายในตนเอง 9. มีความอดทนขยันหม่นั เพยี ร มีจิตใจเข้มแขง็ ไมย่ อมแพ้อุปสรรคทีเ่ กดิ ขึน้

10. รจู้ ักเสียสละและมีความเหน็ อกเหน็ ใจผู้อนื่ 11. ยอมรบั การกระทาของตน การฝกึ หัด มีวิธกี ารดังน้ี 1. มีกฎเกณฑใ์ นชีวติ ประจาวัน เชน่ การทาอะไรเป็นเวลา และสมา่ เสมอ มใิ ห้ขาดเป็นต้น 2. ต้องหลีกเล่ียงการคบอยา่ งใกลช้ ดิ กบั ผ้ทู ข่ี าดระเบียบวินัย เพราะอาจจูงใจให้เกดิ การกระทาอะไร นอกกฎเกณฑ์และระเบียบที่ดีได้ 3. การทากิจการงานใดไม่ว่าเล็กน้อยหรือใหญ่ ควรฝึกให้เป็นระเบียบ ไม่ยุ่งเหยิงสับสน ควรตระหนัก 27 ข้อปฏบิ ัติเพ่อื หยุดนสิ ยั ชอบผัดวนั ประกันพร่งุ 4. เสมอวา่ มีระเบียบเป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญของจิตใจ 27 ขอ้ ปฏบิ ัติ เพื่อหยดุ นิสยั ชอบ ผัดวนั ประกันพรงุ่ 1) จุดทย่ี ากท่ีสดุ คือการเร่ิมต้น 2) ให้จดบันทึกระยะเวลาทต่ี ้องใชไ้ ปในการทางานแต่ละช้ิน 3) การฝึกทจี่ ะแบง่ งานออกเป็นสว่ นยอ่ ย ๆ 4) ฝกึ ใหร้ สู้ กึ เสมอวา่ ข้นั ตอนต่าง ๆ ท่คี ณุ กาหนดไว้ “ต้องเป็นไปตามแผน” 5) จาไวว้ า่ แมเ้ วลาเพยี งแค่ 5 นาที ก็อาจจะทางานอะไรบางอยา่ งได้เสร็จสน้ิ 6) หากคุณรู้สึกว่า ไม่ค่อยจะมีเวลาเลย ให้ลองต่ืนเช้าสักคร่ึงช่ัวโมงหรือหน่ึงช่ัวโมง หากว่า ต้องการต่ืนมาว่ิงออกกาลงั กายและหากทาได้ คุณจะพบว่าจริง ๆ แลว้ คุณยังมีเวลาเหลืออีกพอสมควร เลยทเี ดียว 7) หัดจดั สถานทีท่ างานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จะทาใหค้ ณุ ประหยดั เวลาไดม้ ากและทางาน ได้เรว็ ข้นึ 8) พยายามเอาสิง่ ไม่จาเป็นออกไปให้พ้นจากบรเิ วณทีจ่ ะทางาน 9) ในบางคร้ัง เราไม่มีความจาเป็นท่ีจะต้องเริ่มทางานจากส่วนแรกเสมอไปหาก พบว่าสิ่งน้ัน ค่อนข้างยาก เราอาจจะข้ามไปทาสว่ นทง่ี ่ายกวา่ กอ่ นก็ได้ 10) แต่ในทางกลับกัน คนอีกกลุ่มหนึ่งกลับชอบที่จะทางานส่วนที่ยากท่ีสุดเสียก่อน เพราะรู้สกึ ว่า หากทาส่วนท่ยี ากไปเสร็จสิ้นแล้ว สว่ นทเ่ี หลืออยู่ก็คงไมใ่ ช่ปญั หาอกี ต่อไป 11) ฝึกที่จะกาหนดเส้นตายใหก้ ับตวั เอง ในการทางานแต่ละช้นิ 12) หัดบอกคนอื่นเก่ียวกับเส้นตายนั้น ๆ ท่ีคุณได้กาหนดข้ึน ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นได้ อีกทางหน่งึ เพราะหากคุณทาไม่เสรจ็ ตามที่บอกไวก้ จ็ ะทาให้ไม่กล้าสหู้ นา้ คนท่ีคุณเคยบอกไวน้ ั่นเอง 13) พยายามบอกกับตัวเองวา่ “หากทางานไม่เสร็จภายใน 5 โมงเยน็ กจ็ ะต้องยกเลกิ แผนการ ท้งั หมดสาหรับคืนน้ี” วธิ ีค่อนข้างได้ผลดีกับคนส่วนใหญ่ 14) สาหรับทุก ๆ เส้นตายทีก่ าหนดไว้ หากคุณทาได้ตามนัน้ ก็อย่าลืมทจ่ี ะให้รางวลั กบั ตวั เอง 15) พยายามทางานทันทีทมี่ าถึงมือคุณ ย่ิงทาได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่งานใด ๆ จะเสร็จล่าช้า ก็แทบจะไม่มีอกี

16) ลองถามตัวเองว่า “ยังมีวิธีอื่นที่ง่ายกว่าหรือเปล่า?” บางครั้งคุณอาจจะทาให้งานใด ๆ ยากกว่าที่มันเป็นจริง เช่น การจัดงานเลี้ยง คุณอาจจะเลือกที่จะทาของหวานท่ียุ่งยากแทน ที่จะเลือกใชผ้ ลไม้ที่ลดขน้ั ตอนไปได้อีกมาก 17) ถามตัวเองว่า “ส่ิงที่แย่ท่ีสุดท่ีจะเกิดขึ้นหากเราลงมือทาอะไรไปสักอย่างคืออะไร?” เช่น การที่คุณเลือกท่ีจะใช้เวลาในวันเสาร์ทั้งวันหมดไปกับการทางานให้เสร็จ แต่ก็ดีกว่าการท่ีต้องมา น่ังกงั วลมากกวา่ วา่ จะทาเสรจ็ หรอื ไม่ ในวันอาทิตย์เพยี งวันเดยี ว 18) ไม่ต้องทาอะไรเลย! น่ังลง แล้วเอางานมากองไว้ตรงหน้าสัก 15 นาที ทาสมาธิแล้ว จึงลงมอื ทางาน 19) เชื่อความรู้สึกของคุณ เมื่อใดก็ตามท่ีมีความรู้สึกว่าถูกกระตุ้นให้รีบใช้พลังงานตรงน้ี ในการทางานให้สาเร็จ คนบางส่วนมักจะหัวเราะเยาะคนที่ใช้ความโกรธเป็นแรงกระตุ้นให้ทางาน หากแตค่ วามจริงเราจะรู้สึกดีขึ้น หากไดร้ ะเบิดพลงั งานส่วนเกินออกไป 20) หาเหตุผลทเ่ี หมาะสมทีจ่ ะมาเปน็ ตัวกระตนุ้ ตัวคุณเอง 21) มองโลกในแง่ดี ตัวอย่างเช่น หากพ่อคุณโทรฯ มาบอกว่าท่านจะมาหาคุณช้ากว่าที่นัดไว้ ราวคร่งึ ช่ัวโมง ใหใ้ ชเ้ วลาช่วงทีร่ อนน้ั ทางานอะไรกไ็ ด้ทเี่ หมาะสม 22) ให้คิดเสมอว่าอาจจะเกิดปัญหาใด ๆ ได้เสมอ เช่น หากคุณไปเที่ยวและในขากลับลูกคุณ เกิดป่วยขึ้นมา ก็อาจจะทาให้คุณต้องล่าช้าไปบ้าง ทางท่ีดีคุณจึงควรเริ่มทาอะไรก็ตามเสียก่อนเวลา ท่กี าหนดไวเ้ ล็กน้อย 23) หากคุณเปน็ บคุ คลจาพวกท่ีมักรูส้ ึกกังวลเม่ือทางานใกลจ้ ะเสรจ็ ให้คิดว่าคุณทาดที ี่สุดแล้ว ไม่มีใครท่ีทาทกุ อยา่ งไดส้ มบูรณแ์ บบ 24) หากได้สัญญาไว้กับใครว่าจะให้คาตอบในเร่ืองใด ๆ แล้วคุณยังไม่ได้ทาการตัดสินใจ ใหโ้ ทรฯ หรอื ส่งขา่ วไปแจ้งให้บุคคลนัน้ ๆ ทราบว่า “คุณยังไมไ่ ด้ตดั สินใจ” ซ่งึ จะทาใหไ้ มร่ ้สู กึ ว่า ผดิ คาพดู 25) นึกไว้ว่าคุณไม่ใช่บุคคลเดียวที่ทางานได้ดี ดังนั้นให้รู้จักแบ่งงานให้คนอื่น หรือจ้างให้ใคร มาทางานส่วนที่ต้องการแทนที่จะทาเองท้ังหมด หรืออาจทาการต่อรองกับเพ่ือน เช่น หากเธอมาช่วย จดั การแฟม้ เอกสารให้ คุณก็จะชว่ ยติดต้งั คอมพิวเตอร์ให้ 26) ใช้เวลาสาหรับการพักผ่อนเพ่ือการพักผ่อนเสมอ คนท่ีชอบผัดวันประกันพรุ่งมักจะใช้ เวลาท่คี วรจะพกั ผ่อนไปทางาน ดว้ ยความกงั วลวา่ พรงุ่ น้จี ะมเี วลาพอทจ่ี ะมาทางานหรอื เปลา่ 27) บางคร้ังการผัดผ่อนก็มีเหตุผลในตัวมันเอง เช่น การที่คุณยังไม่ส่งโบวชัวร์ที่ท่องเท่ียว ไปใหเ้ พ่ือนตามทีไ่ ด้สญั ญาไว้ ก็อาจเปน็ เพราะคณุ ยงั ไม่พร้อมที่จะเดินทางไปไหนในชว่ งน้ี การมีวินัยในตนเองถือว่าเป็นส่ิงสาคัญท่ีช่วยในการพัฒนาตนเองและเมื่อเราปฏิบัติบ่อย ๆ อาจทา ให้เกิดเป็นนิสัยท่ีมีระเบียบวินัยและเป็นสิ่งสาคัญในการดารงชีวิตที่จะนาไปสู่ความประสบความสาเร็จ ในอนาคต

การตรงตอ่ เวลา ขอ้ คิด /คาคม “จงเป็นคนตรงต่อเวลา และเรียกร้องให้คนอื่นตรงต่อเวลาดว้ ย” สานวน “เวลาเปน็ เงนิ เปน็ ทอง” “เวลาและวารี มริ อรีต่อผ้ใู ด” ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา การพัฒนาตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลานั้นเราสามารถทาไดโ้ ดยการท่ีเรารู้จักแบง่ เวลาให้เหมาะสมกับ กิจกรรมต่าง ๆ เป็นการจัดระเบียบให้กับชีวติ สาหรับในการทางานหรือการเรียนก็คือการพยายามทางานหรือ ส่งงานใหเ้ สรจ็ ก่อนเวลาเพอ่ื มีเวลาตรวจทานและสง่ งานให้ตรงตามกาหนด รวมถงึ หากนัดหมายกบั ผู้ใดควรที่จะ เผื่อเวลาในการเดินทางเพ่ือไปให้ถึงจุดหมายก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพ่ือจะได้ไม่ต้องเร่งรีบรวมถึงมีเวลาเตรียม ความพร้อมใหก้ ับตนเอง การท่ีเราเป็นคนตรงต่อเวลาน้ัน จะช่วยให้เราเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน มีความ กระตอื รอื ร้น รักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ ช่วยให้เราไม่เฉื่อยชา ทันสมยั มีชีวิตชวี า เปน็ คนมีวินัย สามารถจัดการกับ งานหรือส่ิงท่ีผ่านเข้ามาได้อย่างเป็นระเบียบ จึงทาให้เป็นคนท่ีประสบความสาเร็จ มีความก้าวหน้าในชีวิต รวมถงึ เป็นคนนา่ เชื่อถือ และผอู้ นื่ ใหค้ วามไว้วางใจแกเ่ รา สิ่งเหล่าน้ีเป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งของการตรงต่อเวลา ที่สาคัญเหนืออ่ืนใดคือจะช่วยให้เราสามารถ จดั การกับชวี ิตของเราไดอ้ ยา่ งราบรน่ื และมีความสุข ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา 1. ทาให้เรามีนิสยั ขยันขันแข็ง เอาการเอางานอยา่ งจรงิ จงั 2. ฝึกใหเ้ ราเป็นคนกระตอื รือร้นในการทางาน มีชวี ิตชีวา 3. ทาใหเ้ รามคี วามซ่ือตรงตอ่ ตวั เอง รักษาเกียรติยศของตนเอง 4. ทาใหเ้ ราทางานได้สะดวก รวดเร็ว เรยี บร้อยและมผี ลดี 5. หนา้ ทกี่ ารงานประสบความสาเร็จ ชวี ิตกา้ วหนา้ 6. สามารถกาหนดกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีเราจะกระทาได้ในแต่ละวันทาให้ชีวิตมีระเบียบ และมีวินัย กบั ตนเอง 7. เปน็ ที่เช่ือถือ และไวใ้ จของคนอน่ื ทาไมต้องตรง ตอ่ เวลา การตรงตอ่ เวลาไมใ่ ช่เรื่องทที่ าไดง้ า่ ยเสมอไป อปุ สรรคบางอยา่ งทท่ี าให้ยากก็คอื การเดินทางไกล, การจราจรติดขัด, และตารางเวลาที่เต็มแน่น ถึงกระน้ัน การตรงต่อเวลาเป็นเร่ืองสาคัญ ตัวอย่างเช่น ในที่ทางาน มักถือกันว่าคนท่ีตรงเวลาไว้วางใจได้และขยัน ตรงกันข้าม คนที่มาสายอาจก่อผลเสียต่องานผู้อ่ืน รวมท้ังคุณภาพของสนิ คา้ และบรกิ าร ความเฉื่อยช้าอาจทาให้นักเรียนเขา้ เรยี นไม่ทันและขัดขวางความกา้ วหน้า ในการเรยี น การไปสายกวา่ ทนี่ ัดหมายไว้กับแพทยห์ รือหมอฟนั อาจสง่ ผลต่อการรักษาได้

อย่างไรก็ตาม ในบางท้องถิ่นถือว่าการตรงต่อเวลาไม่ใช่เรื่องสาคัญ. ในท้องถิ่นท่ีเป็นอย่างนี้ อาจเป็น เรื่องงา่ ยทเ่ี ราจะมาสายจนเป็นนสิ ัย ถา้ เป็นอยา่ งนั้น นับว่าสาคญั ทเ่ี ราจะพฒั นาความปรารถนาทจี่ ะตรงตอ่ เวลา การเขา้ ใจความสาคญั ของการตรงตอ่ เวลาจะช่วยกระตุ้นให้เราพยายามเป็นคนตรงต่อเวลา โทษของการไม่ตรงตอ่ เวลา 1. เป็นคนเกียจคร้าน ชอบหาสาเหตหุ ลกี เล่ยี งงาน 2. เปน็ คนผลัดวันประกันพรุ่ง 3. กจิ กรรมหรอื การงาน และชวี ิต ไม่เป็นระเบยี บ 4. กลายเป็นคนไมซ่ ือ่ ตรงตอ่ ตนเอง 5. ทาใหผ้ ดิ นดั กิจกรรมหรอื งานเกิดความเสยี หาย 6. ไม่เป็นทเี่ ชอ่ื ถือของคนอ่ืน

ใบความรทู้ ่ี 6 เร่อื ง ความสาคัญของการศกึ ษาไทย การศึกษาเป็นพ้ืนฐานที่สาคัญที่สุด ในการพัฒนาสังคมให้คนซงึ่ เป็นสมาชกิ ของสังคม เป็นคนมคี ุณภาพ คุณธรรม กล่าวคือ การศึกษาช่วยสร้างจิตสานึกในการเป็นมนุษย์ มีจิตวิญญาณของผู้มีอารยธรรมทางปัญญา และความงดงามทางจิตใจ การศึกษาสร้างให้คนมีความรู้ในการดารงชีวิต การประกอบอาชีพ มีความอดทน ในการต่อสู้กบั อปุ สรรคของชีวิต การศึกษาเป็นสง่ิ จาเป็นสาหรับคนทุกวัย การศึกษามีความสาคญั หลายประการดงั นี 1. การศึกษาชว่ ยขัดเกลาให้คนเปน็ มนษุ ย์ ดงั คากล่าวของทา่ นพทุ ธทาสภกิ ขุวา่ “ เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง เหมือนยูงมีดีที่แววขน ถ้าใจต่าเป็นได้แต่คน ย่อมเสียทีท่ีตนได้เกิดมา ” 2. การศกึ ษาชว่ ยอบรมพลเมอื ง ใหเ้ ปน็ ผทู้ ่มี คี ุณภาพชวี ิต สามารถช่วยให้ตนเองดาเนนิ ชวี ิตอยู่ได้อย่าง มีความสขุ อยา่ งมปี ัญญา 3. การศึกษาช่วยค้าจุนให้ชาติสามารถความดารงอยู่ได้ เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการหนึ่งในการ ปลูกฝงั ความรกั และหวงแหนในส่งิ ทแ่ี สดงความเปน็ ชาติไดแ้ ก่ ศลิ ปวฒั นธรรม ทรัพยากรธรรมชาติ 4. การศึกษาช่วยสร้างพลเมืองให้มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ ในการเลี้ยงตนเอง และครอบครัว 5.การศึกษาช่วยให้รู้เท่าทันการเปล่ียนแปลงของโลกและสามารถปกป้องตนเองและประเทศชาติให้ ดารงสถานะภาพอยู่ไดใ้ นสงั คมโลกอย่างมเี สถียรภาพ ทมี่ า : https://sites.google.com/site/mungreiynpheiyrfiru/khwam-sakhay-khxng-kar-suksa สาเหตุทท่ี าใหก้ ารศึกษาไทยไม่พัฒนา ดังต่อไปนี 1. นักเรียน ซ่ึงนักเรียนแต่ละคนน้ันจะมีพฤติกรรมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นความสามารถในการเรียนรู้ หรือทักษะตา่ ง ๆ ก็จะไมเ่ หมือนกนั ซึง่ ปญั หาที่พบบอ่ ยมีดังน้ี 1.1 ปัญหาด้านการอ่าน อ่านหนังสือไม่ออก อ่านออกเสียงไม่ชัด อ่านจับใจความไม่ได้ อ่านสลับ ตัวอักษร ไมเ่ ข้าใจความหมายของศพั ท์ เปน็ ตน้ 1.2 ปัญหาด้านการเขียน เขียนไม่ถูกต้อง ขาดทักษะในเรื่องของการใช้ไวยากรณ์ เรียงประโยค ไม่มี ทักษะในการเรียงลาดับความจา เปน็ ตน้ 2. คุณครู ผู้ซึ่งมีหน้าท่ีในการอบรมสั่งสอน ให้เด็ก ๆ น่ันมีความรู้ เช่นเดียวกันว่าครู แต่คนย่อมต่างกัน มีวิธี การสอนที่แตกต่างกันไป ผลสมั ฤทธิ์ในการเรียนของครูต่อนักเรียนแต่ละคนก็ย่อมต่างกนั ไปด้วย สาหรับปัญหา ทพ่ี บบ่อยคอื 2.1 ครูไม่ใส่ใจในเรื่องของความสนใจของนักเรียน ว่าในขณะท่ีสอนน้ัน นักเรียนสนใจมาก แค่ไหน เพราะบางครั้งถึงแม้ครูสอนไป แต่นักเรียนไม่สนใจ ก็ไม่ถือว่าจะเกิดประโยชน์อะไร ดังน้ันคุณครูควร สงั เกตตวั นกั เรียนด้วยว่า นกั เรียนนั้นมีความพร้อมในการเรียนมากแค่ไหน

2.2 ความห่างเหิน ระหว่างศิษย์กับครู คุณครูบางท่านวางตัวห่างเหินกับนักเรียนมาก ทาให้ นักเรยี นกลวั หรอื ไมก่ ล้าท่ีจะเขา้ ไปปรกึ ษาหรือสอบถามหากเกิดความสงสยั ในบทเรยี น 2.3 อบรมนักเรียนให้อยู่ในระเบียบและคุณธรรม ครูบางคนไม่เคยแม้แต่จะปฏิบัติตัว ให้เป็นตวั อยา่ งท่ีดีแกเ่ ดก็ เลย เชน่ เม่อื เห็นนักเรียนลอกขอ้ สอบ ครูกลบั มองวา่ เป็นเรื่องธรรมชาติ นโยบายทางการศกึ ษา ปัจจุบันมีการบังคับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานขึ้น โดยบังคับให้เด็กไทยได้มีการศึกษาข้ันต่า 15 ปี หรือเทียบเท่าม.3 จากท่ีเราได้ทราบกันอยู่บ่อย ๆ ว่าตอนน้ีทางการให้ความสนใจในเรื่องของการศึกษา ของเด็กไทยมาก จึงมีการปฏิรูปการศึกษาอยู่บ่อย ๆ เพื่อท่ีจะให้เด็กไทยมีความสามารถในการศึกษาเทียบเท่า กบั เด็ก ๆ ในต่างประเทศ ซึ่งท่านท้ังหลายจะทราบหรือไม่ว่า การที่ท่านปฏิรูปการศึกษาบ่อย ๆ ทาให้นักเรียน สบั สนในเน้ือหาการเรยี น ยง่ิ ปัญหาทางดา้ นการเมืองในตอนนี้ มีผลกระทบต่อการศกึ ษาอยา่ งมาก เช่น ในขณะ ท่ีมีการประท้วง เร่ืองความขัดแย้งทางการเมือง บางคร้ังหลาย ๆ โรงเรียนก็ต้องหยุดเรียน ผลมาจาก ความขัดแย้ง ส่งผลให้ต้องเลื่อนสอบต่าง ๆ นานา นอกเหนือจากน้ันจะสังเกตเห็นว่าโรงเรียนบางแห่งสอบติด แพทย์กันยกห้อง บางโรงเรียนไม่มีเดก็ เรียนตอ่ ในระดับอุดมศึกษาเลย หรอื อาจจะไม่สามารถสอบติดที่ไหนเลย หรือสอบติดแต่น้อย น่ันก็เป็นเพราะว่ามาตรฐานของแต่ละโรงเรียนที่มีความแตกต่างกัน ท้ังเคร่ืองมือ สอื่ การเรียนการสอน บุคลากรทีม่ คี วามสามารถตรงกนั เป็นต้น ดังน้ันเราจะเห็นได้ว่าในทุก ๆ ส่วนย่อมมีผลต่อการศึกษาทั้งส้ิน ไม่ว่าจะเป็นตัวนักเรียนเอง คุณครู มาตรฐาน โรงเรียน หรือนโยบายการศึกษาของประเทศ ทุกอย่างล้วนมีผล ดังน้ันตอนนี้สิ่งท่ีทาได้ง่ายๆ คือการเร่ิมจาก ตัวเราเอง ทาหน้าท่ีของตัวเองให้ดีที่สุด แบ่งเวลาให้เป็น หมั่นทบทวนบทเรียนบ่อย ๆ มีความขยัน ความพยายาม ความอดทน ไม่ต้องไปแข่งกับใคร เพียงแค่แข่งกับตัวเอง ทาให้ดีท่ีสุด เท่าน้ีก็เป็นพอ นอกจาก เก่งแล้ว การเป็นคนดีก็สาคัญไม่แพ้กัน เพราะถึงแม้ว่าประเทศจะเต็มไปดว้ ยคนเกง่ แต่หากคนเกง่ เหล่าน้ันไมใ่ ช่ คนดี ความเกง่ เหล่านกี้ ็ไม่ถอื วา่ เปน็ ประโยชนอ์ ะไรต่อตวั เองหรอื ว่าประเทศชาติ ที่มา https://aitenso.org/เหตผุ ลท่กี ารศึกษาไทยยังไม่พฒั นา

ใบความรทู้ ่ี 7 เรอ่ื ง นักศึกษาขาดความเอือเฟ้ือเผื่อแผ่และขาดการมีจติ สาธารณะ ความเจริญทางด้านวัตถุปัจจุบัน ทาให้สังคมมีค่านิยม ให้ความสาคัญและแสวงหาเงินทองอานาจ มากกว่า ให้ความสาคัญด้านจิตใจ สังคมจึงกลับเสื่อมโทรมลง ปัญหามากมาย การปลูกฝังจิตใจให้บุคคล มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคมจึงควรเกิดขึ้นในสังคม ด้วยเหตุนี้จึงมีการกล่าวถึงคาว่า \"จิตสาธารณะ\" มากขน้ึ เพ่ือประโยชน์ที่จะเปน็ แนวคดิ ตอ่ ตนเอง อันจะสร้างประโยชน์ ก่อใหเ้ กดิ การพฒั นาแกส่ งั คม จติ สาธารณะ การปลูกฝังจิตใจให้บุคคลมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม เป็นการสร้างคุณธรรมจริยธรรม ซ่งึ เป็นเร่ืองท่ีเกิดจากภายใน \"จิตสาธารณะ\" เป็นส่ิงหนึ่งท่ีมีความสาคัญในการปลูกจิตสานึกให้คนรจู้ ักเสียสละ ร่วมแรงร่วมใจ มคี วามรว่ มมือในการทาประโยชนเ์ พื่อสว่ นรวม ชว่ ยลดปัญหารทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสงั คม ช่วยกนั พฒั นา คุณภาพชวี ิต เพือ่ เป็นหลักการในการดาเนนิ ชีวิต ชว่ ยแก้ปญั หาและสรา้ งสรรคใ์ ห้เกดิ ประโยชนส์ ขุ แกส่ ังคม ความหมายของจติ สาธารณะ จิตสารธารณะ (Public mind) หมายถึง จิตสานึกเพ่ือส่วนรวม เพราะคาว่า “สาธารณะ” คือ ส่ิงที่มิได้เป็นของผู้หน่ึงผู้ใด จิตสาธารณะจึงเป็นความรู้สึกถึงการเป็นเจ้าของในสิ่งทีเป็นสาธารณะ ในสิทธิและ หน้าที่ ที่จะดูแลและบารุงรักษาร่วมกัน เช่น การช่วยกันดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม โดยการไม่ท้ิง ขยะลงใน แหล่งน้า การดูแลรักษาสาธารณะสมบัติ เช่นโทรศัพท์สาธารณะ หลอดไฟที่ให้แสงสว่างตามถนนหนทาง แม้แตก่ ารประหยดั นา้ ประปา หรือไฟฟ้า ที่เป็นของสว่ นรวม โดยให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าตลอดจนช่วยดแู ลรักษา ให้ความช่วยเหลือผู้ทุกข์ได้ยาก หรือผทู้ ี่ร้องขอความช่วยเหลือเท่าทจี่ ะทาได้ ตลอดจนร่วมมือกระทาเพ่ือใหเ้ กิด ปญั หาหรอื ช่วยกันแก้ปญั หาแตต่ ้องไมข่ ัดต่อกฎหมาย เพือ่ รักษาประโยชนส์ ว่ นร่วม จิตสาธารณะเพ่อื สว่ นรวม จิตสานึกเพ่ือสวนรวมน้ันสามารถกระทาได้ โดยมีแนวทางเป็น 2 ลักษณะ ดงั น้ี 1. โดยการกระทาตนเอง ตอ้ งมีความรบั ผดิ ชอบต่อตนเอง เพอ่ื ไม่ใหเ้ กดิ ผลกระทบและเกิดความ เสยี หายต่อสว่ นรวม 2. มีบทบาทต่อสังคมในการรักษาประโยชนข์ องสว่ นรวม เพอื่ แกป้ ญั หา สรา้ งสรรคส์ งั คม ซ่งึ ถือวา่ เปน็ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม

ความสาคัญของจติ สาธารณะ จติ สาธารณะเปน็ ความรับผิดชอบทีเ่ กดิ จากภายใน คือ ความรู้สกึ นึกคดิ จิตใตส้ านึกตลอดจนคุณธรรม จรยิ ธรรม ซงึ่ อยู่ในจิตใจ และส่งผลมาสกู่ ารกระทาภายนอก ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขนึ้ จะเห็นวา่ เกิดจากการขาดจติ สานึกของคนส่วนรวมในสงั คมเป็นสาคญั เช่น 1. ปญั หายาเสพติด ซ่งึ เกิดจากความเหน็ แก่ตวั ของผู้ขาย ไม่นึกถงึ ปญั หาท่ีเกดิ ข้ึนต่อไปกับสังคม ผ้ขู าดจิตสานกึ ค้ายาเสพตดิ ถูกตารวจจบั ดาเนินคดี 2. ปัญหามลพษิ ตา่ ง ๆ ท่เี กิดจากความไม่รบั ผิดชอบ ขาดจิตสานึกเช่น - การปล่อยน้าเสยี ออกจากโรงงาน โดยไม่ผา่ นการบาบดั - การจอดรถยนตโ์ ดยไม่ดับเครื่องยนต์ ทาใหเ้ กดิ ควันพษิ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ - ทรัพยากรปา่ ไม้ถกู ทาลาย - ปญั หาเด็กถูกทอดท้ิง - การใชท้ างเทา้ สาธารณะเพ่ือประโยชน์สว่ นตวั โดยไม่คานึงถึงส่วนรวม - การท้งิ ขยะลงแมน่ ้าลาคลอง - การฉดี สารเร่งเน้ือแดงในสตั ว์เล้ยี ง โดยเฉพาะสุกร ซึง่ มีผลตอ่ โรคภยั ไข้เจบ็ ในมนุษย์ เชน่ โรคมะเรง็ เป็นต้น จิตสาธารณะจงึ เปน็ สิ่งสาคัญในสงั คม เยาวชนต้องให้ความสาคัญและตระหนักในสิ่งนี้

ความรบั ผิดชอบต่อตนเอง จิตสานึกในความรบั ผิดชอบต่อตนเอง นบั ว่าเป็นพืน้ ฐานตอ่ ความรบั ผดิ ชอบ ตอ่ สังคม ตวั อยา่ งความ รบั ผดิ ชอบ ต่อตนเองดังน้ี 1. ตั้งใจศึกษาเล่าเรยี นหาความรู้ 2. รจู้ ักการออกกาลังกายเพอ่ื สุขภาพให้แข็งแรงสมบรูณ์ 3. มคี วามประหยัดรู้จักความพอดี 4. ประพฤติตัวให้เหมาะสม ละเว้นการกระทาท่ีก่อใหเ้ กิดความเส่ือมเสีย 5. ทางานทีร่ บั มอบหมายให้สาเรจ็ 6. มคี วามรับผดิ ชอบ ตรงเวลา สามารถพึง่ พาตนเองได้ ความรบั ผิดชอบตอ่ สังคม เปน็ การช่วยเหลอื สังคม ไมท่ าใหผ้ อู้ ่นื หรอื สังคมเดือดร้อนได้รับความ เสียหายเชน่ 1. มีความรบั ผิดชอบตอ่ ครอบครวั เช่น เชอ่ื ฟงั พอ่ แม่ ชว่ ยเหลืองานบ้าน ไม่ทาใหพ้ ่อแม่เสียใจ 2. มีความรับผิดชอบต่อโรงเรียน ครูอาจารย์ เช่น ตั้งใจเล่าเรียน เชื่อฟังคาส่ังสอนของครูอาจารย์ ปฏิบัตติ ามกฎระเบียบวินัยของโรงเรียน ช่วยรักษาทรพั ย์สมบัตขิ องโรงเรยี น 3. มีความรบั ผิดชอบตอ่ บุคคลอ่ืน เช่น ใหค้ วามช่วยเหลือให้คาแนะนาไม่เอาเปรียบเคารพสิทธิ 4. มีความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง เช่น ปฏิบัติตามกฎระเบียบของสังคม ปฏิบัติตามกฎหมาย รักษาสมบตั ขิ องส่วนรวม ใหค้ วามร่วมมอื ต่อสังคมในฐานะพลเมอื งดี ให้ความช่วยเหลือ แนวทางการสร้างจติ สาธารณะ การสร้างจิตสาธารณะ เป็นความรับผิดชอบในตนเอง แม้ว่าจะได้รับการอบรมสั่งสอนถ้าใจตนเอง ไม่ยอมรับ จิตสาธารณะก็ไม่เกิด ฉะนั้นคาว่า \"ตนเป็นที่พ่ึงแห่งตน\" จึงมีความสาคัญส่วนหนึ่งในการสร้าง จิตสาธารณะถ้าตนเองไมเ่ หน็ ความสาคญั แลว้ คงไม่มีใครบังคับได้

นอกจากใจของตนเองแล้ว แนวทางที่สาคัญในการจิตสาธารณะยังมีอีกหลายประการถ้าปฏิบัติได้ จะเปน็ ประโยชนต์ ่อตนเองและสงั คม ดงั นี้ 1. สร้างวนิ ยั ในตนเอง ตระหนกั ถงึ การมีส่วนรว่ มในระบบประชาธิปไตย รถู้ งึ ขอบเขตของสิทธิ เสรภี าพ หนา้ ท่ี ความรับผดิ ชอบ ต่อตนเองและสังคม 2. ใหค้ วามสาคัญต่อส่ิงแวดล้อม ตระหนกั เสมอวา่ ตนเอง คือส่วนหนึง่ ของสังคมต้องมีความรบั ผิดชอบ ในการรักษาสงิ่ แวดล้อม ซึง่ เป็นเร่ืองของส่วนรวม ทัง้ ต่อประเทศชาติ และโลกใบนี้ 3. ตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม ให้ถือว่าเป็นปัญหาของตนเอง เช่นกัน อย่างหลีกเล่ียง ไม่ได้ ต้องช่วยกันแก้ไข เช่น ช่วยกันดาเนินการให้โรงงานอุตสาหกรรมสร้างบ่อพักน้าท้ิงก่อน ปลอ่ ยลงสูแ่ หลง่ น้าสาธารณะ 4. ยึดหลักธรรมในการดาเนินชีวิต เพราะหลักธรรมหรือคาส่ังสอนในทุกศาสนาที่นับถือ สอนให้คน ทาความดที ัง้ สิ้น ถ้าปฏิบัตไิ ด้จะทาใหต้ นเองมคี วามสขุ ตัวอย่างหลักธรรมทางศาสนาท่ีเกยี่ วข้องกับตนเอง พระพุทธศาสนา หลักคาสอนในการช่วยเหลือ หรอื พ่ึงพาตนเอง ท่ีพทุ ธศาสนิกชนได้ยินจากพุทธสุภาษติ อยู่เสมอ คือ อตั ตาหิ อตั ตโน นาโถ หรือตนเปน็ ที่พ่งึ แหง่ ตน ครสิ ตศ์ าสนา หลกั คาสอนในศาสนาคริสต์ คอื ต้องรู้จักช่วยเหลอื ตนเองก่อน แลว้ พระเจ้าจะชว่ ยท่าน ศาสนาอิสลาม หลักคาสอนจะคล้ายกับครสิ ต์ศาสนา กค็ ือ ให้ร้จู กั ชว่ ยตนเอง และร้จู ักเปลีย่ นแปลงตนเองไปในทางทด่ี ี เสยี กอ่ นแล้วพระเจา้ จะช่วยท่าน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook