บาลีเสริม ๑๑ หลักสมั พนั ธไ์ ทย บรรยาย โดย พระมหาธานนิ ทร์ อาทติ วโร น.ธ.เอก, ป.ธ. ๘. พธ.บ. (อังกฤษ), พธ.ม. (บาลี), พธ.ด. (พระพทุ ธศาสนา)
บทที่ ๑ ชอื่ สมั พันธ์ คณุ นาม แปลวา่ ผู้ ตวั อัน เรียกวา่ วเิ สสนะ
นามนามและสัพพนาม ปฐมาวิภัตติ ใช้ในอรรถ ๖ อยา่ ง •๑.เ ป็นประธานในประโยคกตั ตุวาจก เรียกว่า สยกตั ตา •๒. เป็น ปธ. ใน ปย. เหตุกัตตวุ าจก เรียกว่า เหตกุ ตั ตา •๓. เป็น ปธ. ใน ปย. กมั ม. หรอื เหตกุ มั ม. ,, วตุ ตกมั มะ •๔. เป็น ปธ. ใน ปย. กริ ิยาปธานนยั (ตฺวา ปัจจัยคมุ พากย์ เรยี กว่า ปกตกิ ัตตา •๕. เป็น ปธ. ใน ปย. ที่ไมม่ กี ริ ิยาคุมพากย์ เรียกว่า ลงิ คัตถะ •๖. เป็น ปธ. ใน ปย. เปรยี บเทยี บ (ควบด้วย วยิ , อิว, ยถา ศพั ท์) เรียกวา่ อุปมาลิงคตั ถะ
ทตุ ยิ าวภิ ัตตใิ ช้ในอรรถ ๖ อยา่ ง เข้ากบั กิริยา • ๑. แปลว่า ซงึ่ เรียกว่า อวุตตกัมมะ • ๒. แปลว่า สู่ เรียกว่า สมั ปาปณุ ิยกัมมะ • ๓.แปลวา่ ยงั ,, การิตกัมมะ • ๔. แปลวา่ สนิ้ , ตลอด อจั จันต สงั โยคะ • ๕. แปลว่า กะ ,, อกถิตกัมมะ • ๖. แปลไมอ่ อกสำาเนียงอายตนบิ าต กิริยาวิเสสนะ
ตตยิ าวิภตั ตใิ ชใ้ นอรรถ ๖ อย่าง • ๑. แปลวา่ ด้วย เรยี กว่า กรณะ • ๒. แปลว่า โดย, ตาม, ทาง, ข้าง ตตยิ าวเิ สสนะ • ๓.แปลว่า อัน เรยี กว่า อนภหิ ิตกตั ตา • ๔. แปลวา่ เพราะ ,, เหตุ • ๕. แปลวา่ มี (เข้ากับนาม), • ด้วยทง้ั (เขา้ กับกิรยิ า) อิตถัมภูตะ • ๖. แปลว่า ด้วย (เข้ากับ สห หรือ สทฺธึ สหัตถตตยิ า
จตตุ ถวี ิภัตตใิ ช้ในอรรถอย่างเดยี ว เข้ากบั นามบา้ ง กิริยาบา้ ง • แปลว่า แก่, เพ่ือ, ตอ่ , แด่ เรียกว่า สมั ปาทานะ
ปัญจมีวิภัตติ ใช้ในอรรถ ๒ อยา่ ง เขา้ กบั นามบ้าง กิริยาบ้าง • ๑. แปลว่า แต่, จาก, กว่า เรียกว่า อปาทา นะ เหตุ, เพราะ เรียกว่า เหตุ • ๒. แปลว่า
ฉฏั ฐีวภิ ตั ตใิ ช้ในอรรถ ๖ อย่าง เขา้ กบั นาม • ๑. แปลวา่ แห่ง, ของ เนอ่ื งด้วยเปน็ เจา้ ของ เรียก วา่ สามสี ัมพันธะ • ๒. แปลว่า แห่ง, ของ เข้ากับภาวศัพท์ และศพั ท์ ทแ่ี ปลว่า ความ, การ, อัน ,, ภาวาทสิ มั พันธะ • ๓. แปลว่า แห่ง เนอื่ งในหมู่ ,, สมหุ สมั พันธะ • ๔. แปลว่า แห่ง... หนา (ประโยคถอน) • เรียกว่า นทิ ธารณะ (มี นทิ ธารณียะ มารับ)
ฉฏั ฐีวิภตั ตใิ ช้ในอรรถ ๖ อย่าง เขา้ กบั นาม (ตอ่ ) • ๕ แปลว่า เม่ือ เปน็ ประธานในประโยคแทรก เรียกว่า อนาทร • ๖. แปลว่า ซ่ึง เข้ากับนามกิตก์ (ณวุ ตุ ยุ) เรียก ว่า ฉัฏฐีกัมมะ
สตั ตมีวภิ ัตติใช้ในอรรถ ๑๒ อย่าง เข้ากบั นามบ้าง กริ ิยาบา้ ง • ๑. แปลว่า ใน เปน็ ท่ีกำาบงั , เป็นท่ีปกปดิ เรียก ว่า ปฏิจฉนั นาธาระ • ๒. แปลว่า ใน เปน็ ท่ีซึมซาบ เรียกว่า • พฺยาปกิ าธาระ • ๓. แปลวา่ ใน เปน็ ท่ีอยู่อาศัย เรียกว่า • วิสยาธาระ • ๔. แปลวา่ ใน เข้ากับกริ ิยา ไม่ลงในอรรถไหน เรียกว่า อาธาระ
• ๕. แปลวา่ ใน เข้ากับนาม ไมล่ งในอรรถไหน เรยี กว่า ภินนาธาระ • ๖. แปลว่า ใน, ณ เกี่ยวกับกาลเวลา เรียกว่า กาลสัตตมี • ๗. แปลว่า ใกล้, ณ เปน็ ท่ีใกล้เคยี ง เรียกวา่ สมปี าธาระ • ๘. แปลว่า ในเพราะ เรียกว่า • นิมิตตสตั ตมี
• ๙. แปลวา่ คร้ันเมอ่ื เปน็ ประธานในประโยค แทรก เรียกว่า ลกั ขณะ • ๑๐. แปลวา่ เหนอื , บน ท่ี เปน็ ที่รองรับไว้ • เรียกว่า อุปสิเลสิกาธาระ • ๑๑. แปลว่า ใน...หนา (ประโยคถอน) • เรียกว่า นทิ ธารณะ • ๑๒. แปลว่า อันว่า (อ.) ลงในอรรถปฐมาวิภัตติ เป็นประธาน เรียกว่า สัตตมีปจัจัตตสยกัตตา
อาลปนะ อาลปนะ สัมพันธ์แล้วปล่อย แปลวา่ แนะ, ดกู อ่ น, ขา้ แต่, ขา้ แด่ เรียกว่า อาลปนะ หมายเหตุ. ถ้าอาลปนนาม มาคูก่ บั อาลปนนิบาต ให้สัมพันธอ์ าลปน นิบาต เป็น วิเสสนะของ อาลปนนาม เช่น อาวโุ ส โมคฺคลฺลาน ดกู อ่ นโมคคัลลานะ ผูม้ อี ายุ สัมพันธ์ อาวุโส วิเสสนะ ของ โมคคฺ ลฺ ลาน ๆ อาลปนะ
วเิ สสนะ เข้ากบั นามนามบ้าง สัพพนามบ้าง • ๑. คุณนาม เรยี กว่า วิเสสนะ • ๒. วิเสสนสัพพนาม ,, วเิ สสนะ • ๓. นามกติ ก์ทเี่ ป็นคุณนาม วเิ สสนะ • ๔. อนฺต และ มาน ปจั จัย อยูห่ นา้ ตวั ประธาน หรือ ประกอบด้วยวิภัตตอิ นื่ จากปฐมาวภิ ตั ติ จะอยู่หนา้ หรือหลังตวั ประธานกต็ าม เรยี กวา่ • วเิ สสนะ • ๕. ต อนยี และ ตพฺพ ปจั จยั ท่ีไม่ได้เป็นกริ ยิ าคุม พากย์ หรอื วกิ ตกิ ัตตา เรยี กวา่ วเิ สสนะ
วเิ สสนะ (ตอ่ ) • ๖. ตูนาทิปจั จยั แปลไม่ออกสาำ เนยี งปจั จัย หลงั นาม เรียกวา่ วิเสสนะ • ๗. สมาสคณุ นามและตัทธิตคุณนาม เรียกว่า • วิเสสนะ
ประธานพิเศษไม่แจกวภิ ัตตนิ าม • ๑. ตถา อ. เหมือนอยา่ งนน้ั เรียกว่า ลงิ คตั ถะ • ๒. เอวำ อ. อยา่ งนั้น ,, สจั จวาจกลงิ คัต ถะ • ๓. อลำ อ. อย่าเลย ,, ปฏิเสธลงิ คตั ถะ • ๔. อลำ อ. พอละ ,, ลงิ คัตถะ • ๕. อชชฺ อ. วันน้ี ,, สตั ตมปี ัจจัตตสยกัตตา • ๖. อิทานิ อ. กาลนี้ ,, สัตตมปี จั จัตตสยกัตตา • ๗. ตทา อ. กาลนนั้ ,, สัตตมีปจั จัตตสยกัตตา
ประธานพิเศษไม่แจกวภิ ัตตนิ าม • ๘.สาธุ อ. ดีละ เรียกว่า ลิงคัตถะ • ๙. ตำุ ปัจจัย ใชเ้ ปน็ ประธาน ตมุ ัตถกัตตา
กิรยิ าคมุ พากย์ • กิรยิ าคุมพากย์ ได้แก่ กิริยาดังต่อไปน้ี • ๑. กิริยาอาขยาต เรียกว่า อาขฺยาตบท – กตั ตุวาจก เชน่ ปจติ ,, อาขยาตบท กตั ตุวาจก – กมั มวาจก เชน่ ปจิยเต ,, อาขยาตบท กัมม วาจก – ภาววาจก เช่น ภยู เต ,, อาขยาตบท ภาว วาจก – เหตุกัตตุวาจก เช่น ปาเจติ ,, – อาขยาตบท เหตุกัตตุวาจก
กริ ยิ าคุมพากย์ • ๒. นามกิตก์ ได้แก่ ณฺย ปจั จัย ใช้คมุ พากย์ เชน่ คารยฺหา เรียกว่า กิตบท กมมฺ วาจก • ๓. กิริยากติ ก์ ได้แก่ ต อนยี ตพฺพ ปจั จัยใช้คมุ พากย์ เรียกว่า กิตบท – กตั ตุวาจก เชน่ ปวฏิ โฺ ฐ เรียกว่า กิตบท กตั ตวุ าจก – กมั มวาจก เชน่ อธิคโต ,, กติ บท กมั ม วาจก – ภาววาจก เช่น ภวิตพพฺ ํ ,, กิตบท ภาว วาจก – เหตกุ ัตตุวาจก เช่น ตารยนฺโต ,,
กริ ยิ าคุมพากย์ – เหตุกมั มวาจก เชน่ ปตฏิ ฐฺ าปิโต เรยี กว่า – กิตบท เหตุกัมมวาจก ๔ . ตฺวา ปัจจัย คมุ พากย์ เรียกว่า กริ ิยาปธานนยั ๕.สกฺกา และ อลํ ใชค้ ุมพากย์ เรยี กว่า กริ ิยาบท ภาววาจก บ้าง กริ ิยาบท กัมมวาจก บ้าง ๖. อนตฺ และ มาน ปัจจยั ประกอบดว้ ยฉฏั ฐวี ิภตั ตเิ ป็น กริ ิยาของประโยคอนาทร เรยี กว่า อนาทรกริ ิยา ๗.อนฺต และ มาน ปัจจัย ประกอบดว้ ยสตั ตมวี ิภตั ติเปน็ กริ ิยาของประโยคลักขณะ เรียกวา่ ลักขณกิริยา
กิรยิ าคมุ พากย์ • หมายเหตุ. ณยฺ ต อนยี ตพฺพ ปจั จัย และ สักกา ใชค้ มุ พากยไ์ ด้เมื่อตัวประธานเปน็ ประถมบุรุษ เท่านั้ ัน ถ้าตัวประธานเปน็ มธั ยมบรุ ุษหรืออตุ ตมบุรษุ ให้แปล ณฺย ต อนีย ตพฺพ ปัจจัย หรือ สกฺกา เปน็ วิกติกัตตา ในกิริยาอาขยาต
กิรยิ าในระหว่าง • กิริยาในระหวา่ ง ได้แก่ กิริยาดังต่อไปนี้ • ๑. อนตฺ และ มาน ปจั จัย ประกอบด้วยปฐมา วิภัตติ อยู่หลังตวั ประธาน เรียกว่า • อัพภันตรกิริยา • ๒. ตูน ตฺวา ตฺวาน ปจั จัย ท่ีเรียกว่า ตูนาทิปั จจัย แปลว่า แลว้ แปลหลงั ลําดับกิริยา เรียก ว่า ปุพพกาลกิรยิ า • แปลว่า แลว้ แปลหลังกิริยาคมุ พากย์ เรียกว่า อปรกาลกิรยิ า
กิริยาในระหว่าง • แปลว่า เพราะ แปลหลังกิริยาคมุ พากย์ เรียก ว่า เหตุ • แปลไมอ่ อกสาํ เนยี งปจั จัย ตามลําดับกิริยา เรียกว่า สมานกาลกิริยา • แปลไมอ่ อกสําเนยี งปจั จัย หลังกิรยิ า เรียกว่า กิริยาวิเสสนะ • แปลว่า ครั้น...แล้ว เรียกว่า • ปริโยสานกาลกิริยา
Search
Read the Text Version
- 1 - 23
Pages: