Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e0b89ee0b89722003

e0b89ee0b89722003

Published by laddawan.kk30, 2020-06-09 23:36:11

Description: e0b89ee0b89722003

Search

Read the Text Version

หนงั สือเรียนสาระความรูพ้ ืน้ ฐาน ภาษาไทย รายวิชาเลือก พท 22003 บันทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สาํ หรบั คนไทยในต่างประเทศ   ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั กลุ่มเปา้ หมายพิเศษ สาํ นักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สาํ นกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ เอกสารทางวิชาการลาํ ดบั ที่ 46/2554

คํานาํ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ได้ดําเนินการ จัดทําหนังสือเรียนสาระความรู้พื้นฐาน (ภาษาไทย) รายวิชาเลือก บันทึกไว้ได้ประโยชน์ รหัส พท 22003 ขึ้น เพ่ือใช้ในการเรียนการสอน ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สําหรับคนไทยในต่างประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญาและศักยภาพ สามารถดํารงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข โดยผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเอง และปฏิบัติกิจกรรมเพื่อทดสอบความรู้ ความเข้าใจในสาระเนื้อหาน้ี รวมทั้งหาความรู้จาก แหล่งเรียนรู้หรอื สื่ออ่ืน ๆ เพิ่มเตมิ ได้ ในการดําเนินการจัดทําหนังสือเรียนเล่มนี้ ได้รับความร่วมมือท่ีดีจากผู้ทรงคุณวุฒิและ ผู้เก่ียวข้องที่ร่วมค้นคว้าและเรียบเรียงเนื้อหาสาระจากสื่อต่าง ๆ เพ่ือให้ได้สื่อท่ีสอดคล้องกับหลักสูตร และเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนที่อยู่นอกระบบอย่างแท้จริง ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษขอขอบคุณคณะที่ปรึกษา คณะเรียบเรียง ตลอดจนผู้จัดทําทุกท่านท่ีให้ ความร่วมมอื ด้วยดไี ว้ ณ โอกาสน้ี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมายพิเศษ หวังว่าหนังสือ เล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนและการจัดการเรียนการสอน หากมีข้อเสนอแนะประการใดจะขอน้อม รบั ไว้ดว้ ยความขอบคณุ ย่งิ ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั กลุม่ เป้าหมายพิเศษ 2554

สารบัญ หนา้ คาํ นาํ 1 สารบญั 2 คาํ แนะนาํ การใช้หนงั สอื เรยี น โครงสร้างรายวชิ า 4 แบบประเมินก่อนเรียน 5 8 บทท่ี 1 ความหมาย ประเภท และประโยชนข์ องการเขยี นบนั ทึก 9 เรอื่ งที่ 1 ความหมายของการเขียนบันทกึ เรอ่ื งที่ 2 ประโยชนข์ องการเขยี นบันทกึ 14 เร่ืองท่ี 3 ประเภทของการเขยี นบนั ทกึ 15 บทที่ 2 หลักการเขยี นบันทกึ 23 เรอ่ื งท่ี 1 รปู แบบหลกั การเขยี นบันทึก 24 บทที่ 3 ภาษาที่ใชใ้ นการเขยี นบนั ทกึ 32 เร่ืองที่ 1 การใช้ภาษาในการเขียนบนั ทึก 34 34 แบบประเมนิ หลงั เรยี น 38 เฉลยแบบประเมินกอ่ นและหลังเรียน 39 เฉลยกิจกรรมท้ายบท บรรณานุกรม คณะผจู้ ัดทาํ

คําแนะนําการใชห้ นงั สือเรียน หนังสือเรียนสาระความรู้พื้นฐาน (ภาษาไทย) รายวิชาเลือก บันทึกไว้ได้ประโยชน์ รหัส พท 22003 (1 หน่วยกิต) ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สําหรับคนไทยในต่างประเทศ ประกอบดว้ ยสาระสาํ คัญ ดงั น้ี ส่วนท่ี 1 คําชี้แจงก่อนเรียนรู้รายวิชา ส่วนที่ 2 เน้อื หาสาระและกิจกรรมทา้ ยบท ส่วนที่ 3 แนวตอบกิจกรรมทา้ ยบท และหรือแบบทดสอบย่อยทา้ ยบท สว่ นท่ี 1 คําชี้แจงก่อนเรียนรรู้ ายวิชา ผู้เรียนต้องศึกษารายละเอียดในคํานําและคําแนะนําการใช้หนังสือเรียน เพ่ือสร้างความ เข้าใจและเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชา ซ่ึงการเรียนรู้เน้ือหาและการปฏิบัติกิจกรรม ทา้ ยบท ควรปฏบิ ตั ดิ งั น้ี 1. หารือครูประจํากลุ่ม / ครูผู้สอน เพ่ือร่วมกันวางแผนการเรียน (ใช้เวลาเรียน 40 ชว่ั โมง) 2. ศึกษาเน้ือหาจากหนังสือเรียน หากมีข้อสงสัยเรื่องใดสามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ จากสือ่ ตา่ ง ๆ หรอื หารือครูประจํากลมุ่ / ครูผู้สอน เพ่ือขอคาํ อธบิ ายเพม่ิ เติม 3. ทาํ กิจกรรมทา้ ยบทเรยี นตามทกี่ าํ หนด 4. เขา้ สอบวัดผลการเรียนรู้ปลายภาคเรียน 5. สร้างความเขา้ ใจเกีย่ วกับการประเมนิ ผลรายวิชา ซึ่งมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยแบ่งสัดสว่ นคะแนนเป็นระหว่างภาคเรียน 60 คะแนน และปลายภาคเรยี น 40 คะแนน ดังนี้ 5.1 คะแนนระหวา่ งภาคเรยี น 60 คะแนน แบง่ สว่ นคะแนนตามกิจกรรม ได้แก่ 1) ทาํ กิจกรรมท้ายบทเรยี น 20 คะแนน โดยทาํ กจิ กรรมท้ายบทให้ ครบถว้ น 2) ทําบันทกึ การเรยี นรู้ 20 คะแนน โดยสรุปย่อเนือ้ หาหรือวิเคราะห์เน้ือหาจาก การศึกษาหนังสือแบบเรยี นรายวชิ านี้ เพ่ือแสดงให้เห็นกระบวนการเรยี นรู้ ประโยชน์ และการนําความรู้ ไปใช้ โดยทําตามที่ครกู ําหนด และจัดทาํ เป็นรปู แบบเอกสารความรู้ ดงั น้ี - ปก (รายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียน: ช่ือ-นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับ การศึกษา ศกร.กศน. ของผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยกลุ่มเป้าหมาย พิเศษ) - ส่วนบันทึกการเรียนรู้ (เนื้อหาประกอบด้วย : หัวข้อ/เร่ืองที่ศึกษา และ จดุ ประสงค์ท่ีศกึ ษา และข้ันตอนการศึกษาโดยระบุวา่ มวี ิธรี วบรวมข้อมลู อย่างไร นําขอ้ มูลมาใชอ้ ยา่ งไร)

- สว่ นสรุปเนอื้ หา (สรุปสาระความรู้สาํ คญั ตามเน้ือหาทไ่ี ด้บนั ทกึ การเรยี นรู)้ - ประโยชน์ที่เกิดกับตัวผู้เรียน (บอกความรู้ท่ีรับและนํามาพัฒนาตนเอง/ การนาํ ไปประยกุ ต์ใช้ในรายวชิ าอืน่ ๆ หรอื ในชวี ติ ประจาํ วนั ) 3) ทํารายงานหรือโครงงาน 20 คะแนน โดยจัดทําเนื้อหาเป็นรายงาน หรอื โครงงานตามท่ีครกู ําหนดรปู แบบเอกสารรายงาน หรือโครงงาน ดงั นี้ 3.1) การทาํ รายงานหรือโครงงานตามทค่ี รูมอบหมายใหด้ าํ เนนิ การ ตามรปู แบบกระบวนการทาํ รายงาน หรือโครงงาน ตามรปู แบบเอกสาร ดงั นี้ - ปก (เร่ืองท่ีรายงาน รายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียน : ช่ือ-นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับการศึกษา ศกร.กศน. ของผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอธั ยาศัยกลมุ่ เปา้ หมายพิเศษ) - คํานาํ - สารบัญ - ส่วนเนอ้ื หา (หวั ขอ้ หลกั หวั ข้อย่อย) - สว่ นเอกสารอา้ งองิ 3.2) การทําโครงงานตามที่ครูมอบหมาย และดําเนินการตาม กระบวนการทาํ รายงาน โดยจดั ทําตามรูปแบบเอกสารดงั นี้ - ปก (ช่ือโครงงาน รายละเอียดเก่ียวกับตัวผู้เรียน : ชื่อ-นามสกุล รหัสประจําตัว ระดับการศึกษา ศกร.กศน. ขอผู้เรียน และศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศัยกลุ่มเปา้ หมายพิเศษ) - หลกั การและเหตผุ ล - วัตถุประสงค์ - เปา้ หมาย - ขอบเขตของการศึกษา - วิธดี าํ เนินงานและรายละเอียดของแผน - ระยะเวลาดําเนนิ งาน - งบประมาณ - ผลทค่ี าดวา่ จะได้รบั 5.2 คะแนนปลายภาคเรียน 40 คะแนน ผู้เรียนต้องเข้าสอบวัดความรู้ปลายภาค เรยี นโดยใชเ้ คร่ืองมอื (ขอ้ สอบแบบปรนัย หรอื อัตนยั ) ของศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษา ตามอัธยาศัยกลมุ่ เปา้ หมายพเิ ศษ

ส่วนท่ี 2 เน้อื หาสาระและกจิ กรรมทา้ ยบท ผู้เรียนต้องวางแผนการเรียน ให้สอดคล้องกับระยะเวลาของรายวิชา และต้องศึกษาเน้ือหา สาระตามที่กําหนดในรายวิชาให้ละเอียดครบถ้วน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรียนรู้ของรายวิชา ซง่ึ ในรายวิชานไี้ ด้แบง่ เนอ้ื หาออกเปน็ 4 บท ดงั น้ี บทที่ 1 เรือ่ งความหมาย ประเภท และประโยชนก์ ารบนั ทกึ บทที่ 2 เร่อื งรูปแบบหลกั การเขยี นบนั ทกึ บทที่ 3 เรอื่ งภาษาที่ใช้ในการบนั ทกึ บทที่ 4 เรื่องการเขยี นบันทึกแต่ละประเภท ส่วนกิจกรรมท้ายบทเรียน เม่ือผู้เรียนได้ศึกษาเน้ือหาแต่ละบท/ตอนแล้ว ต้องทํากิจกรรม ท้ายบทเรียนหรือแบบฝึกหัด ตามที่กําหนดให้ครบถ้วน เพ่ือสะสมเป็นคะแนนระหว่างภาคเรียน (20 คะแนน) ส่วนที่ 3 แนวตอบกจิ กรรมท้ายบทเรยี นหรอื แบบฝึกหัด และหรอื เฉลยแบบทดสอบย่อย (ถ้ามี) แนวตอบกิจกรรมท้ายบทเรียนหรือแบบฝึกหัด และหรือเฉลยแบบทดสอบย่อย จัดทําแยกไว้ เปน็ บทเรยี งลําดับ

พท22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น โครงสร้างรายวิชา พท 22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ สาระความรู้พนื้ ฐาน (ภาษาไทย) ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ จาํ นวน 1 หนว่ ยกติ (40 ชั่วโมง) สาระสาํ คญั มีความรู้ ความเข้าใจความหมาย ประโยชน์ของการบันทกึ และทกั ษะพ้ืนฐานเกย่ี วกบั ภาษา และการสือ่ สาร ศกึ ษาและฝกึ ทกั ษะเกีย่ วกบั การใช้ภาษาใหเ้ หมาะสมกบั บคุ คล ประเภทของการบันทึก ไดแ้ ก่ บนั ทกึ เหตุการณ์ บนั ทึกย่อเรือ่ ง บนั ทึกรายงาน บนั ทึกความเห็น บนั ทกึ ติดต่อส่ังการ และ รูปแบบหลักการเขียนบนั ทกึ ของแต่ละประเภท ผลการเรยี นรทู้ ค่ี าดหวงั 1. สามารถบอกความหมายและประโยชน์ของการบันทึกได้ 3. สามารถบอกประเภทของการบันทึกได้ 2. สามารถนําทกั ษะพนื้ ฐานเก่ียวกับภาษาและการสื่อสารมาใช้ในชีวิตประจําวันได้ 4. สามารถอธบิ ายรปู แบบหลกั การเขียนบนั ทกึ ได้ 5. สามารถเขยี นภาษาท่ีใช้ในการบันทกึ ได้ 6. สามารถเขียนบันทึกแตล่ ะประเภทได้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา บทท่ี 1 ความหมาย ประเภท และประโยชน์การบันทกึ เร่อื งท่ี 1 ความหมายของการเขยี นบันทกึ เร่ืองที่ 2 ประโยชน์ของการเขยี นบันทกึ เรอ่ื งท่ี 3 ประเภทของการเขียนบนั ทึก บทที่ 2 หลกั การเขยี นบันทึก เรื่องที่ 1 รูปแบบหลกั การเขียนบนั ทกึ บทท่ี 3 ภาษาท่ใี ชใ้ นการเขยี นบนั ทกึ เรอ่ื งท่ี 1 การใช้ภาษาในการเขียนบันทึก 1

พท 22003 บนั ทกึ ไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น แบบทดสอบก่อนเรยี น คําชแี้ จง เลือกคาํ ตอบท่ถี ูกต้องท่สี ุดแลว้ ทาํ เครอ่ื งหมาย X 1. การนําข้อมูลมาเรียบเรียงด้วยสํานวนภาษาของตนเองเปน็ การบันทึกแบบใด ก. บันทึกแบบถอดความ ข. บนั ทึกแบบคดั ลอกขอ้ ความ ค. บนั ทกึ แบบย่อความ ง. บันทกึ แบบเสริมความ 2. ขอ้ ใดไม่ใช่หลักการเขียนบนั ทึก ก. เขียนตามลาํ ดับเหตุการณ์ ข. ใช้ภาษาเรียบงา่ ย ค. เขยี นดว้ ยภาษาของตนเอง ง. เขียนตามจนิ ตนาการ 3. การบันทกึ ทีค่ ัดลอกขอ้ ความมาและใส่ไว้ในเครือ่ งหมายอญั ประกาศ คอื การบันทึกแบบใด ก. บันทึกแบบคัดลอกขอ้ ความ ข. บันทกึ แบบถอดความ ค. บันทึกแบบย่อความ ง. บันทกึ แบบเสริมความ 4. การจดเฉพาะประเดน็ สําคญั ของเรื่องคือการจดบันทกึ ประเภทใด ก. บันทึกตดิ ตอ่ ส่งั การ ข. บนั ทกึ ยอ่ เร่ือง ค. บนั ทึกความเหน็ ง. บนั ทึกรายงาน 5. การบนั ทกึ ความรู้ เตือนความจาํ บรรยายความรสู้ กึ ตรงกับขอ้ ใด ก. การเขียนบันทึกเหตกุ ารณ์ ข. การเขยี นย่อความ ค. การเขียนบทความ ง. การจดบันทึกการอภิปราย 2

พท22003 บนั ทกึ ไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 6. “บันทึกเหตกุ ารณป์ ระจําวนั ” ตรงกบั ขอ้ ใด ก. การเขยี นบรรยายความรูส้ ึก ข. การเขียนบนั ทึกความรู้ ค. การเขยี นบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ ง. การเขียนเร่อื งราวสว่ นตัวเพือ่ เตือนความจํา 7. ขอ้ มลู ท่มี คี วามสาํ คญั มากหรอื เป็นคาํ คม คําสุภาษติ ควรจดบนั ทึกแบบใด ก. บนั ทึกแบบถอดความ ข. บนั ทึกแบบเสรมิ ความ ค. บนั ทกึ แบบคัดลอกข้อความ ง. บันทึกแบบยอ่ ความ 8. ภาษาแบง่ ออกเป็นก่ีระดับอะไรบา้ ง ก. 3 ระดบั คอื ภาษาก่งึ ทางราชการ ภาษาระดับสนทนา ภาษาระดับกันเอง ข. 2 ระดบั คอื ภาษาพูดหรือภาษาไม่เปน็ ทางการ และภาษาเขียนหรือภาษาระดับทางการ ค. 2 ระดับ คือภาษาระดับพิธีการ ภาษาระดบั มาตรฐานวชิ าการ ง. 3 ระดับ คือ ภาษาทางการ ภาษากงึ่ ทางการ ภาษาปาก 9. การเขียนรายงานเชงิ วชิ าการควรใชภ้ าษาระดับใด ก. ภาษาทางการ ข. ภาษากึง่ ทางการ ค. ภาษาพิธีการ ง. ภาษาปาก 10. ภาษาท่เี นน้ พธิ รี ตี องใชใ้ นพิธกี ารต่าง ๆ เป็นภาษาทีใ่ ชใ้ นการส่อื สารขอ้ ใด ก. ภาษาปาก ข. ภาษาระดบั ทางการ ค. ภาษาระดับก่งึ ทางการ ง. ภาษาระดับสนทนา 3

พท 22003 บันทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ บทที่ 1 ความหมาย ประเภท และประโยชน์ของการเขียนบันทึก สาระสําคญั การจดบนั ทกึ คือการเขยี นข้อความ เพื่อการเรยี บเรียงความคิด เปน็ การเก็บรกั ษาความร้หู รอื ถา่ ยทอดความรู้อยา่ งยง่ั ยนื และเปน็ ระบบ สามารถต่อยอดความรไู้ ดใ้ นช่วงเวลายาวนานมปี ระโยชน์มาก ในการศกึ ษาทกุ ระดับ และการทาํ งานทกุ อาชีพ ผลการเรยี นรูท้ ีค่ าดหวงั 1. ผู้เรียนสามารถอธบิ ายความหมายของการเขียนบนั ทกึ ได้ 2. ผเู้ รยี นสามารถบอกวตั ถุประสงค์ของการเขยี นบันทึกได้ 3. ผ้เู รียนสามารถบอกประโยชน์ของการเขยี นบันทึกแตล่ ะประเภทได้ ขอบขา่ ยเนอ้ื หา เร่อื งที่ 1 ความหมายของการเขียนบันทึก เรื่องที่ 2 ประโยชนข์ องการเขียนบันทกึ เรอ่ื งที่ 3 ประเภทของการเขียนบันทึก 4

พท22003 บันทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น เรอ่ื งที่ 1 ความหมายของการเขียนบนั ทกึ การจดบันทึก การจดบันทึก คือการเขียนข้อความ เพ่ือช่วยในการจํา เป็นเคร่ืองมือในการรวบรวมความรู้ ท่ีอ่าน ประมวลความคิดหลังจากการอ่าน และเพื่อได้กรอบความคิดในเน้ือหาสาระสําหรับการอ่าน ต่อไป การจดบันทึกมีประโยชน์มาก ในการศึกษาทุกระดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาด้วยตนเอง ตามระบบการสอน ทางไกล เพราะผู้เรียนต้องค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองจากการอ่าน นักศึกษาที่ เร่ิมต้นเรียนเป็นปีแรก ๆ มักประสบปัญหาในเร่ือง การจดบันทึก เพราะขาดประสบ การณ์ ที่สําคัญคือ ไม่รู้เทคนิคในการจดบันทึกโดยธรรมชาติแล้วมันเป็นการยากท่ีเราจะเข้าใจ จดจําจุดสําคัญและ รายละเอียดปลีกย่อยท่ีเราอ่านหรือฟังได้หมด เราอาจจะลืมหัวข้อใหญ่ ๆ ผลก็คือ ต้องอ่านใหม่อีกครั้ง หรือสองคร้ัง เพื่อให้จําจุดสําคัญได้ซ่ึงเป็นการเสียเวลา จึงควรจะส่ิงที่มาช่วยจําว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง การจดบนั ทึกเป็นการชว่ ยจาํ และทําให้เขา้ ใจยิ่งขนึ้ นักศึกษาบางคนจดบันทึกไม่ได้เพราะพยายามจดอย่างละเอียด จนเกินความจําเป็น ไม่มีการสรุปประเด็น ไม่มีการเรียบเรียงความคิด ก็เกิดความท้อแท้ที่จะจด และหยุดจด ซึ่งเป็น การแก้ปัญหาทผ่ี ดิ การจดบันทึก นับว่าเป็นทักษะในการเรียนที่สําคัญและจําเป็นมากสําหรับการเรียนด้วย ตนเองเพราะในแต่ละภาคการศึกษา นักศึกษาอาจลงทะเบียนเรียนหลายวิชา ซึ่งมีเนื้อหาสาระ หลากหลายเปน็ จํานวนมาก หากไม่มีเทคนคิ หรือเครื่องมือชว่ ยในการจาํ ทีด่ จี ะทาํ ใหเ้ กดิ ความสบั สนและ เม่ือต้องมกี ารทบทวนก่อนสอบบันทึกย่อที่ทาํ ไวจ้ ะเปน็ ประโยชนอ์ ยา่ งย่งิ แนวทางการจดบนั ทกึ ดร.วรี พงษ์ พลนกิ รกิจ ได้ให้แนวทางในการบนั ทกึ ยอ่ หรือการจดบนั ทึกไว้ ดงั น้ี 1) บนั ทึกสาระสําคญั ไดแ้ ก่ การบันทึกคาํ หรอื ประเดน็ สําคญั ทัง้ ชอื่ เรือ่ ง หวั ขอ้ หลัก และหวั ข้อรอง รวมทั้งความหมายของคาํ สําคัญ ฯลฯ โดยการตอบคําถามตามสูตร 5 W 1 H อาทิ ประเด็นสาํ คัญเกย่ี วกบั อะไร อาจารย์บรรยายถงึ ส่ิงน้นั อย่างไร และทาํ ไม จงึ เปน็ เชน่ นั้น ฯลฯ 2) บันทึกช่ือหนังสือหรือตํารา และหัวข้อ รวมทั้งชื่อผู้แต่ง หรือช่ือหัวข้อ และช่ือ อาจารย์ผู้บรรยาย การบันทึกจากการอ่านน้ัน การบันทึกดังกล่าวจะช่วยในการค้นคว้าเมื่อต้องการ รายละเอยี ด รวมทั้งการอา้ งองิ ได้ทันที 3) จดั หมวดหมูข่ องสาระสําคัญ โดยแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ หรือหมวดหมู่ตามแต่เน้ือหา ทั้งนี้ เพ่ือค้นคว้าหรือทบทวนได้สะดวก และจดจําได้ง่ายข้ึน การจัดหมวดหมู่ของสาระสําคัญทําได้ หลายวิธี เช่น จดั หมวดหมู่ตามหัวขอ้ จดั หมวดหมคู่ วามเหมอื นหรือความแตกต่าง ฯลฯ 5

พท 22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 4) เรียงลําดับเร่ือง ให้อ่านและเข้าใจง่าย และที่สําคัญคือ เชื่อมโยงประเด็นให้เห็น ความสัมพันธ์ทั้งหมด และถูกตอ้ งตามความหมาย การเรียงลําดับเรื่องทําได้หลายวิธี อาทิ เรียงลําดับ ตามลําดับเวลา (อดีต-ปัจจุบัน) เรียงลําดับตามตําแหน่งพื้นท่ี (เหนือ-ใต้-ออก-ตก) เรียงลําดับตาม สาเหตุไปสู่ผล (ท่เี กดิ ขน้ึ ) ฯลฯ 5) ใช้ถ้อยคําท่ีกระชับ แต่ชัดเจน เข้าใจง่าย และครอบคลุมเน้ือหามากที่สุด โดยอาจ ใช้เทคนิคการบันทึกโดยใช้คาํ สมั ผัส ซง่ึ การใชค้ าํ ทมี่ ีเสียงสัมผสั คล้องจองจะช่วยให้จาํ ได้ดี วิธีการและเคร่ืองมอื ชว่ ยในการบนั ทกึ 1. การจดบนั ทึก การจดบันทึกสามารถดําเนินการได้หลายวิธี สําหรับผู้เรียนด้วยตนเองอาจดําเนินการ บันทึกได้ต้ังแต่ช่วงการอ่านเอกสารการสอน เช่นการใช้ ดินสอหรือปากกาขีดเส้นใต้หรือใช้ปากกาสี ขีดบนขอ้ ความสําคัญไว้ หรืออาจทาํ เคร่อื งหมาย * > < = / หรือ ? เปน็ ตน้ หลังจากน้ันก็นํามาจัดทําเป็น บันทึกย่อ ซ่ึงสรุปสาระสําคัญจากการอ่าน หรือการฟัง การบรรยายจากอาจารย์สอนเสริม หรือจากการฟังหรือชมรายการวิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุ โทรทศั น์ ทาํ ให้ไดเ้ น้อื หาส้นั กะทดั รัดมใี จความ สาํ คัญครบถว้ น อ่านง่าย 2. การบนั ทึกยอ่ ในกระดาษย่อความ การบนั ทึกยอ่ ในกระดาษย่อความ ได้แก่การบันทึกสาระสําคัญและรายละเอียดพร้อมสรุป ในกระดาษยอ่ ความท่แี บ่งพน้ื ทีเ่ ปน็ 3 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนท่ี 1 สาระสาํ คัญ สาระสําคัญ ได้แก่ คําสําคัญ ประเด็นสําคัญหรือประโยคสําคัญท่ีมีคุณลักษณะ สาํ คญั คือ เป็นประโยคหรอื คาํ ทมี่ คี วามหมายครอบคลุมย่อหน้าใดย่อหน้าหนง่ึ มากทส่ี ดุ อาจเป็นเน้ือหา ในส่วนทีผ่ เู้ ขยี นเนน้ ย้ํามากท่ีสุด และอาจเปน็ คําหรอื ขอ้ ความทอี่ ธบิ ายรายละเอียด อธิบายสนบั สนุนหรือ ความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยท่ัวไปมักปรากฏเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ หรือตัวอักษรหนาเข้ม หรือ ตัวอักษรเอยี ง ฯลฯ ส่วนที่ 2 รายละเอยี ด รายละเอียด คือส่วนข้อความที่เป็นเน้ือหาสาระท่ีขาดไม่ได้ หรือเม่ือไม่มีแล้ว อาจทําใหไ้ มเ่ ข้าใจ หรือเข้าใจผดิ ได้ สว่ นท่ี 3 ส่วนสรปุ ส่วนสรุปเป็นการสรุปความหรือย่อความเป็นการนําเอาเร่ืองราวต่าง ๆ มาเขียน ใหม่ ด้วยสํานวนภาษาของผู้เขียนเองเมื่อเขียนแล้วเน้ือความเดิมจะสั้นลง แต่ยังมีใจความสําคัญ ครบถ้วน การยอ่ นไ้ี ม่มขี อบเขตวา่ ย่อลงไปเทา่ ใด จงึ จะเหมาะสม เพราะบางเรื่องมีใจความมากก็จะย่อได้ 1 ใน 2 บางครั้งมีใจความสําคัญน้อยอาจเหลือ 1 ใน 4 หรือมากกว่านั้น แต่ที่สําคัญควรครอบคลุม ใจความหรอื เนือ้ หาสาระสาํ คญั เดมิ 6

พท22003 บนั ทึกไว้ได้ประโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น 3. บนั ทึกเป็นแผนภมู แิ บบเช่ือมโยงความสัมพนั ธ์ แผนภูมิ หมายถึง แผนท่ี เสน้ หรอื ตารางท่ที าํ ข้นึ เพื่อแสดงเรือ่ งใดเรอื่ งหนึ่ง การบันทึกแบบแผนภูมิเช่ือมโยงความสัมพันธ์ช่วยให้นักศึกษาสามารถรวบรวมเน้ือหาสาระท่ีนักศึกษา ต้องการได้อยา่ งตอ่ เนือ่ ง เป็นระบบ ดงู ่าย จาํ งา่ ย 4. บนั ทกึ แบบแผนภูมคิ วามคดิ การเขียนแผนภูมิความคิด Mind maps หรือแผนภูมิช่วยจํา เป็นการบันทึกและ เรียบเรียงความเข้าใจในสาระท่ีได้จากเน้ือเร่ืองที่อ่านซ่ึงอาจจะอยู่ในรูปของแผนภูมิ หรือแผนภาพท่ีทํา ขึ้นได้ง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ โดยมิได้เน้นรูปแบบมากนัก เนื่องจากต้องการให้อิสระแก่ผู้จัดทําแผนภูมิ ในการสรปุ ตามความเขา้ ใจด้วยรปู แบบของตนเอง Mind maps เป็นเครื่องมือช่วยจําท่ี โทนี ปูซานคิดค้นมาให้เหมาะสมกับการทํางานของ สมองเพราะมีการแตกขอ้ มูลจากจุดศนู ยก์ ลางคล้ายเซลลส์ มองจริง ๆ มีการใช้ภาพ ใช้สีสัน ซ่ึงว่ากันตาม หลกั การทํางานของสมอง วิธีการเขียนแผนภูมชิ ่วยจํา การเขียนแผนภูมิช่วยจํา มีเทคนิคในการเขียนคําอธิบายควรสั้น ใช้เครื่องหมาย รูปภาพ ตัวเลข สัญลักษณ์ต่าง ๆ มาประกอบ เพ่ือให้การเขียนแผนภูมิ เป็นไปโดยง่ายและรวดเร็ว โดยมีแนวทางแบบง่าย ๆ ดังนี้ ™ เรม่ิ ตน้ เขียนแผนภมู ิ ดว้ ยการเขียนหวั เรอื่ ง หัวขอ้ สาํ คัญหรอื ประเด็นสําคัญ ท่สี ดุ ดว้ ยรปู แบบใด ๆ กไ็ ด้ทีค่ ุณชอบไว้ตรงกลางกระดาษ ™ ค่อย ๆ แตกแขนงความคิด ความเข้าใจออกไปเป็นข้อย่อย ๆ โดย แตกแขนงออกจากศนู ยก์ ลาง ™ ใช้เส้นแสดงความเช่ือมโยงระหว่างเรื่อง หรือข้อย่อยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกัน หรือต่อเนื่องกันโดยความยาวแต่ละเส้นไม่ต้องเท่ากัน ข้ึนอยู่กับความยาวของคําบรรยายท่ีเขียนไว้ บนเสน้ นนั้ ๆ ™ เขียนคาํ บรรยายส้นั ๆ ไว้บนเส้นดงั กลา่ ว ใช้ความหนาของเส้นและขนาดของตัวหนังสือที่ต่างกันขึ้นอยู่กับระดับ ความสาํ คญั ของเรื่อง (เรือ่ งทส่ี ําคัญกว่าให้ใช้เส้นหนา ตัวอกั ษรโต) ™ ใช้หมายเลขช่วยในการเรยี งลําดบั ความสําคญั และความต่อเนอื่ งของสาระ ™ แผนภูมิความคิดทีใ่ ช้ในการสรปุ เรอื่ งทมี่ หี ัวข้อยอ่ ยจาํ นวนมาก ๆ อาจแบง่ กลุ่มนาํ มาเขยี น เป็นกล่มุ ละ 1 หนา้ โดยมีข้อแนะนาํ วา่ แตล่ ะหนา้ ควรมใี จความจบในแต่ละเร่อื ง หรอื แตล่ ะหัวข้อ (ไมว่ า่ เป็นหัวข้อใหญ่หรือขอ้ ยอ่ ยก็ตาม) ™ ควรแบ่งกระดาษเป็น 80/20 คือ 80 จดสิ่งที่อ่านหรือได้ฟังมา อีก 20 จดตามความคิดของเรา 7

พท 22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ สรุป ผู้เรียนควรมีทักษะท่ีดีท้ังทักษะทางด้านการอ่าน การฟัง โดยสามารถเช่ือมโยงเน้ือหากับ ภาพในใจ (ในสมอง) ที่มีอยู่ อันจะทําให้ผู้เรียนเข้าใจในเนื้อหา และสามารถบันทึกแนวคิดหลัก ออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ได้ หากผู้เรียนยังไม่เข้าใจเน้ือหาในคร้ังแรกที่เรียน (หรือต้องการศึกษา รายละเอียดของรายวิชานั้น) ผู้เรียนอาจอ่านหนังสือ ตํารา หรือเอกสารประกอบการเรียนการสอน รอบท่ี 2 (ในบางรายวิชาจะบันทึกเทปวีดิทัศน์ นักศึกษาสามารถนํามาดู/ฟังอีกครั้งได้) หรือสอบถาม จากอาจารย์ ผ้สู อน ซ่ึงจะทําให้ผู้เรยี นเข้าใจ และสามารถบันทึกไดถ้ ูกต้องตามความหมาย ดังน้ันนักศึกษา จะเห็นได้ว่าการบันทึกย่อ เป็นเรื่องง่ายที่จะทํา และยังช่วยการ ลดปัญหาการอ่านหนงั สอื ไมท่ ัน อา่ นแลว้ จําไม่ได้ได้เปน็ อย่างดอี กี ด้วย เรอ่ื งที่ 2 ประโยชน์ของการเขียนบนั ทึก การเขียนบนั ทกึ มีประโยชนด์ ังต่อไปนี้ 1. เพ่ือช่วยเพ่ิมการจดจาํ เก็บรกั ษาข้อมูลใหม้ ีความคงทนชัดเจนและสะดวกในการนาํ กลบั มาได้ สามารถอา้ งอิงหรือนาํ ไปใช้ประโยชนไ์ ดใ้ นเหตกุ ารณ์อืน่ ๆ ลดโอกาสความคลาดเคล่ือนของขอ้ มูลจาก การถา่ ยทอดขอ้ มลู หลาย ๆ ครง้ั 2. เพอ่ื ใชต้ ดิ ต่อสอื่ สารท้ังในกรณเี ปน็ ทางการและไม่เปน็ ทางการ 3. เพื่อเกบ็ ไว้เปน็ หลกั ฐานหรือเพ่ืออ้างอิงในอนาคต เช่น บนั ทึกรบั แจง้ ความประจําสถานี ตํารวจ เป็นตน้ 4. เพื่อเกบ็ รกั ษาความรหู้ รอื ถา่ ยทอดความร้อู ยา่ งย่ังยนื และเปน็ ระบบ สามารถตอ่ ยอดความรู้ ได้ในชว่ งเวลายาวนาน เชน่ การเขียนศิลาจารึก เป็นต้น 5. เพ่ือรวบรวมความรู้ใหเ้ ปน็ หมวดหมู่สําหรบั นาํ ไปคน้ ควา้ ถ่ายทอดหรือนําไปพัฒนา ต่อไป เช่น สถติ นิ ํา้ ฝน สถติ กิ ารกีฬา สถติ ิราคาสินค้าเกษตร เปน็ ตน้ 6. เพือ่ ความเพลิดเพลิน คลายเครยี ด หรืออาจเปน็ งานอดเิ รกของบางคน 7. เพือ่ ประโยชน์อ่นื ๆ เช่น เขยี นบันทึกเพอื่ พิมพข์ ายสร้างรายได้ เขียนข่าวเพื่อเปน็ อาชพี 8

พท22003 บันทกึ ไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เรื่องที่ 3 ประเภทของการเขยี นบันทกึ การจดบันทึกแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. บันทกึ ส่วนตัว 2. บนั ทึกข้อความกึง่ ทางการ 3. บนั ทึกขอ้ ความที่เปน็ ทางการ 1. บันทึกสว่ นตัว คือ การจดบันทึกเหตกุ ารณ์หรอื เรื่องราวที่เกดิ ขึน้ ในชีวติ ประจําวนั ถ้าผ้เู ขียนบันทกึ ทกุ วนั เรยี กว่า บันทกึ ประจําวัน บนั ทกึ สว่ นตัวแบ่งเป็นประเภทยอ่ ย ๆ ดงั น้ี 1.1 บันทึกเหตุการณ์ประจาํ วนั ควรมขี อ้ มลู เหตกุ ารณ์ที่สําคญั ประจาํ วนั 1.2 บนั ทึกความรู้จากการอา่ น การดู ควรมีรายละเอยี ดดังนี้ - หัวข้อเร่อื ง ผแู้ ต่ง ช่ือหนงั สอื และรายละเอยี ดของหนังสอื และข้อความที่จะบนั ทกึ 1.3 บันทึกจากการฟงั ควรมีรายละเอียดดงั น้ี - เรือ่ ง (รบั ฟงั จากสถานใี ด) ฟังเมอื่ วันท่.ี .... เดือน......................... พ.ศ. .............. และ ระหว่างเวลาใด ความว่า .................................. 1.4 บันทกึ เหตุการณ์สําคัญ ควรมีรายละเอียดดงั น้ี วนั ที.่ ....... เดือน......................... พ.ศ. ..................... สถานที่ ………………………………… 2. บันทึกข้อความก่ึงทางการ เช่น การจดบันทึกข้อความจากการรับโทรศัพท์ ควรมรี ายละเอยี ด วัน เวลาทีบ่ นั ทกึ ข้อความจากผู้ใด และถงึ ใคร มขี อ้ ความว่าอย่างไร และใครเปน็ ผบู้ นั ทึก ตวั อย่างบนั ทกึ การรับโทรศพั ท์ 20 มนี าคม 2554 ถึง คุณสายใจ จาก คณุ สายสมร คุณสายสมรขอเขา้ พบพรุ่งนี้ เวลา 10.00 น. เพือ่ หารอื เรอ่ื งการวางแผนนาํ เสนองานจัดแสดงสินคา้ ท่เี มืองทองธานี สายสุดา ผรู้ ับโทรศัพท์ เวลา 09.45 น. 9

พท 22003 บันทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 3. บันทกึ ทเี่ ปน็ ทางการ อาจเปน็ บันทกึ ของหน่วยงานต่าง ๆ หรอื บนั ทกึ ของทางราชการ • บันทึก คอื ขอ้ ความซงึ่ ผใู้ ตบ้ งั คับบญั ชาเสนอต่อผูบ้ ังคับบัญชา หรือผบู้ ังคับบัญชาส่ังการ แก่ผู้ใต้บังคบั บญั ชา หรอื ข้อความท่เี จา้ หนา้ ที่หรอื หน่วยงานระดับตา่ํ กว่าสว่ นราชการระดับกรม ติดต่อกันในการปฏบิ ตั ิราชการ • บนั ทึกเปน็ หนงั สือราชการชนดิ ท่ี 6 ตามระเบียบสํานักนายกรฐั มนตรวี ่าดว้ ยงานสารบรรณ (หนงั สอื ที่เจ้าหน้าท่ีทําขน้ึ หรอื รับไว้เปน็ เอกสารของทางราชการ ไดแ้ ก่ หนังสือรบั รองรายงาน การประชุม บันทึก และหนงั สืออ่นื ) • บนั ทกึ มี 3 ประเภท คือ • บันทึกเสนอผบู้ ังคบั บญั ชา • บนั ทึกสัง่ การของผู้บังคบั บญั ชา • บันทกึ ตดิ ตอ่ ราชการระหวา่ งเจ้าหน้าท่ี หรอื ระหว่างหนว่ ยงานทีต่ า่ํ กว่ากรม วัตถปุ ระสงคข์ องบันทกึ เพอ่ื อาํ นวยความสะดวกในการติดตอ่ ประสานงาน และสงั่ งานภายใน ของสว่ นราชการ ลักษณะของบนั ทกึ ที่ดี • เสนอข้อมลู ทีจ่ าํ เป็นโดยถูกต้องครบถ้วนและงา่ ยแกก่ ารศึกษาเรื่อง • เสนอแนวทางพจิ ารณาท่ีมหี ลักเกณฑ์และเหตุผล • เสนอแนวทางวินจิ ฉยั หรือตดั สนิ ใจท่เี ปน็ ไปได้ และบรรลุจุดประสงคโ์ ดยมีผลกระทบและ ความเสี่ยงนอ้ ยท่ีสดุ ลกั ษณะของบนั ทกึ เสนอผ้บู งั คับบญั ชา • บนั ทกึ ย่อเรือ่ ง คือ ขอ้ ความซง่ึ ผู้ใต้บังคบั บัญชาเขยี นเสนอต่อผบู้ ังคบั บัญชา โดยสรปุ สาระสําคัญยอ่ จากตน้ เร่อื งท่ีมีมา โดยไม่มคี วามเห็นของผู้ทําบนั ทึก • บนั ทึกรายงาน คือ ข้อความซงึ่ ผู้ใตบ้ งั คบั บัญชาเขียนเสนอต่อผบู้ ังคับบัญชา เพ่อื รายงาน เรอ่ื งท่ีได้ปฏิบัติมา หรือประสบพบเหน็ มา หรอื ศกึ ษาสํารวจ สืบสวน สอบสวนไดค้ วามมา เสนอให้ผู้บังคบั บญั ชาทราบหรือพจิ ารณาสั่งการ • บนั ทกึ ขออนญุ าต ขออนุมตั ิ คือ ขอ้ ความซ่งึ ผใู้ ตบ้ ังคบั บัญชาเขียนเสนอต่อผ้บู ังคับบญั ชา เพอ่ื ขออนญุ าตหรือขออนุมตั ทิ าํ การอย่างใดอย่างหนึง่ หรือขอเงนิ หรือขอวัสดุส่ิงของใด ๆ • บนั ทึกความเหน็ คือ ขอ้ ความซง่ึ ผใู้ ต้บงั คบั บัญชาเขยี นเสนอต่อผ้บู ังคบั บญั ชา โดยแสดง ความเหน็ เสนอแนะแนวทางพิจารณาวนิ จิ ฉยั หรือดาํ เนินการในเรื่องทเ่ี สนอน้ัน เพ่ือ ผบู้ งั คบั บญั ชาจะไดพ้ ิจารณาส่ังการต่อไป 10

พท22003 บนั ทกึ ไว้ได้ประโยชน์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น รูปแบบและองค์ประกอบของบันทึกเสนอผู้บังคับบญั ชา • แบบบันทึกตอ่ เน่ือง คอื การเขียนบนั ทกึ ลงในแผ่นหนังสอื หรือแผ่นบนั ทึกเรอื่ งเดิมท่ีมมี า นนั้ เอง โดยเขียนตอ่ ท้ายหนงั สอื หรือบันทกึ เรื่องเดิมทมี่ มี าน้นั รปู แบบ ประกอบดว้ ย ข้อความเนอ้ื เร่อื ง ลงช่ือ ตาํ แหน่ง วัน เดอื น ปี (ไม่มีชอื่ เร่ือง ไมม่ คี าํ ลงทา้ ย) • แบบร่ายยาว โดยทว่ั ไปจะเขยี นลงในกระดาษบนั ทกึ ซงึ่ อาจเป็นกระดาษบนั ทึกขอ้ ความ ท่ใี ชเ้ ขยี นหนงั สอื ภายใน หรอื กระดาษบันทึกที่แต่ละกรมจดั พิมพข์ ้ึนใชเ้ ฉพาะกรมก็ได้ รูปแบบ ประกอบดว้ ย คาํ ขึ้นตน้ ขอ้ ความเน้อื เรื่อง ลงชอื่ ตําแหน่ง วัน เดือน ปี • แบบลําดบั ตวั เลข โดยท่วั ไปจะเขียนลงในกระดาษบันทกึ ซ่งึ อาจเปน็ กระดาษบันทกึ ขอ้ ความ ที่ใชเ้ ขียนหนงั สอื ภายใน หรอื กระดาษบันทกึ ท่แี ต่ละกรมจดั พมิ พ์ข้ึนใช้เฉพาะกรมก็ได้ รปู แบบ ประกอบดว้ ย คาํ ขึ้นต้น ข้อความเน้ือเรื่อง (เขยี นเป็นขอ้ ๆ โดยใส่ตัวเลขตามลําดับ เหตกุ ารณ)์ ลงชื่อ ตาํ แหน่ง วัน เดือน ปี • แบบลําดบั กระบวนการ โดยทั่วไปจะเขียนลงในกระดาษบนั ทึก ซง่ึ อาจเปน็ กระดาษบนั ทึก ขอ้ ความ ทใ่ี ชเ้ ขียนหนังสือภายใน หรอื กระดาษบันทึกที่แต่ละกรมจดั พมิ พ์ขึ้นใชเ้ ฉพาะกรม กไ็ ด้ รปู แบบ ประกอบด้วย คาํ ขน้ึ ต้น ขอ้ ความเน้ือเรือ่ ง (เขียนเปน็ หวั ขอ้ ตามกระบวนการ นิยมใช้ 2 แบบ คอื แบบคาํ ขอ และแบบปัญหา) ลงชอ่ื ตาํ แหนง่ วนั เดือน ปี • แบบสําเร็จรปู จะเขียนลงในกระดาษบันทึก ซึ่งแตล่ ะกรมออกแบบจดั พิมพ์ขน้ึ ใช้เฉพาะ กรมน้นั หลกั การและเทคนคิ การเขียนบันทกึ เสนอ • บนั ทึกยอ่ เรอ่ื ง หลกั การและเทคนคิ • สรุปสาระสาํ คญั ของเรือ่ งใหส้ มบูรณแ์ ละชดั เจน โดยอ่านให้เขา้ ใจ จบั ใจความสําคญั ใหไ้ ด้ สรปุ ความท้งั เร่ือง • ยอ่ เรอ่ื งใหส้ น้ั โดยย่อให้ไดว้ ่า เรื่องอะไร ใคร ทาํ อะไร ทาํ ต่อใคร ทาํ เมื่อใด ทาํ ท่ีไหน ทําอยา่ งไร ทาํ ทาํ ไม • เสนอเรื่องใหเ้ ข้าใจงา่ ย โดยลําดบั ความให้ดี เนน้ ส่วนสาํ คญั ของเรื่อง อ้างอิง ใหด้ รู ายละเอียดประกอบ • บันทึกรายงาน หลักการและเทคนิค • เสนอสาระสาํ คัญของเรอ่ื งให้สมบรู ณ์และชัดเจน โดยให้มสี าระสําคญั ครบถว้ น ใหเ้ นอื้ ความกระจ่างชัดไมค่ ลมุ เครอื • เขยี นใหก้ ะทดั รดั โดยเขยี นเนอื้ ความเทา่ ที่จาํ เป็นต้องรายงาน เขยี นข้อความใหก้ ระชับ ไมเ่ ย่นิ เยอ้ ยกรายละเอียดไปไวใ้ นเอกสารแนบ 11

พท 22003 บนั ทึกไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น • เสนอเรอ่ื งใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย โดยใชแ้ บบบนั ทกึ แบบลาํ ดบั ตวั เลข เขียนลาํ ดบั เรือ่ งเป็นข้อ ๆ • เสนอแนวทางส่งั การ โดยระบใุ หช้ ดั เจนว่า เพ่ือทราบ เพื่อพิจารณาสง่ั การ • บนั ทึกขออนญุ าต ขออนมุ ตั ิ หลักการและเทคนิค • เขียนให้กะทัดรดั โดยเขียนเนอ้ื ความเทา่ ทจ่ี าํ เปน็ ตอ้ งรายงาน เขยี นข้อความให้กระชับ ไมเ่ ยน่ิ เย้อ ยกรายละเอยี ดไปไวใ้ นเอกสารแนบ • เสนอเรอื่ งใหเ้ ข้าใจงา่ ย โดยใช้แบบบันทึกแบบลําดบั กระบวนการ เขียนคําขอและ คาํ ช้ีแจงเปน็ ขอ้ ๆ • ชแ้ี จงความสาํ คญั และความจาํ เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งดําเนินการ โดยชแ้ี จงความสาํ คญั และ ความจาํ เปน็ ของเรอื่ งท่ีขอนั้น • คาดหมายผลทีจ่ ะไดร้ ับจากการดําเนินการ โดยช้ีแจงใหเ้ หน็ ผลดกี ับผลเสยี เปรยี บเทยี บผลดีกบั ผลเสีย แนวทางปอ้ งกันและแกไ้ ขปญั หา อปุ สรรค และความเสียหาย ท่จี ะเกิดขน้ึ (ถา้ มี) • ระบุคาํ ขอใหช้ ดั เจน โดยระบุให้ชัดเจนว่า ขออนญุ าตหรอื ขออนุมัตอิ ะไรบา้ ง กีป่ ระการ จํานวนเทา่ ใด ควรแยกเป็นขอ้ ๆ • บันทกึ ความเห็น หลกั การและเทคนคิ • เขยี นให้งา่ ย โดยใชแ้ บบใหเ้ หมาะ ย่อใหส้ น้ั สาระสาํ คญั ใหเ้ ด่น ความเหน็ ให้ดี • เขยี นใหส้ มบรู ณ์ โดยเนอื้ หาให้สมบรู ณ์ ขอ้ มลู ให้ครบครนั สรา้ งสรรคแ์ นวความคิด ลิขิตใหจ้ ับใจ • เขียนให้มีเหตผุ ล โดยดาํ เนินเร่ืองให้ถกู ผกู ประเดน็ ใหจ้ ําเพาะ วเิ คราะห์ให้จบั ใจ วินิจฉยั ใหเ้ ฉียบขาด เทคนคิ การทําบันทึกความเห็น • ศกึ ษาเรือ่ ง ให้เข้าใจแจม่ แจง้ ใหท้ ราบสาระสาํ คญั และไดข้ อ้ มลู พอ • จบั ประเด็นของเรือ่ ง ใหไ้ ด้ประเด็นปญั หาที่จะต้องพจิ ารณา • วิเคราะหเ์ รื่อง ใหไ้ ด้แนวทางพิจารณาโดยมีหลักเกณฑแ์ ละเหตุผล • วินิจฉยั เรอ่ื ง ใหไ้ ดข้ อ้ ยุติ การเขียนข้อความในบนั ทกึ ความเหน็ • การเขยี นเรื่อง เขียนได้ 2 วิธี คอื เขยี นเป็นใจความสาํ คญั ของเนอื้ หา หรอื เขยี นเปน็ ชอ่ื ของเร่ือง • การเขยี นคาํ ขอ เขยี นเฉพาะประเดน็ หรือจดุ สําคัญที่ตอ้ งการใหผ้ ู้บงั คับบัญชาพิจารณา • การเขียนคาํ ชแี้ จง เขยี นเหตุผลในการขออนญุ าตหรือขออนมุ ตั ิเร่ืองน้ัน 12

พท22003 บันทึกไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น • การเขยี นปญั หา เขียนได้ 2 วิธี คอื เขยี นเปน็ คาํ ถาม หรอื เขยี นเปน็ จุดประสงค์ • การเขยี นขอ้ เทจ็ จรงิ เขียนความเปน็ มาของเร่อื งนน้ั ขอ้ เทจ็ จริงทเี่ ก่ียวขอ้ งกับเรอ่ื งนั้น ซ่ึงปรากฏชัดอยู่แล้ว ตัวอย่างเรอ่ื งท่พี อจะเทียบเคยี งกบั เรอ่ื งน้ันได้ ขอ้ มลู อ่ืน ๆ ทส่ี าํ คญั และเก่ียวกับเร่อื งนั้น • การเขียนข้อพจิ ารณา เขยี นวเิ คราะห์เร่อื งโดยอาศัยข้อมูลใน “ขอ้ เท็จจรงิ ” เป็นพื้นฐาน นํามาปรับกับหลักเกณฑ์และเหตผุ ล เพื่อแสดงว่ามที างเปน็ ไปได้อย่างไรบา้ งในการแก้ปัญหา หรือดําเนินการเร่ืองน้นั • การเขยี นข้อเสนอ เขยี นคาํ ตอบในการแกป้ ญั หาหรือตดั สนิ ใจในเรอ่ื งนน้ั ซงึ่ เขียนสัน้ ๆ วา่ ผูท้ ําบันทกึ มีความเหน็ อยา่ งไร กจิ กรรมทา้ ยบทท่ี 1 1. การจดบนั ทึก หมายถึงอะไร ............................................................................................................... ............................................................................................................... ............................................................................................................... 2. การเขยี นบันทึก มีประโยชนใ์ นชีวิตประจาํ วันอย่างไร ............................................................................................................... ............................................................................................................... ............................................................................................................... 3. บันทึกที่เปน็ ทางการ มกี ป่ี ระเภท อะไรบา้ ง ............................................................................................................... ............................................................................................................... ............................................................................................................... 13

พท 22003 บันทกึ ไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น บทที่ 2 หลักการเขียนบันทึก สาระสําคญั การเขียนบันทึก เป็นทักษะในการเรียนและการทําท่ีสําคัญและจําเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ในแต่ละกิจกรรมไม่ว่าในส่วนของการเรียน หรือการทํางาน มีเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีเข้ามาให้สมองเราจดจํา แต่สมองคนเราไม่สามารถจดจําเรื่องราวต่าง ๆ ได้หมด และอาจจดจําได้เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น จึงต้องมีเคร่ืองมือช่วยในการจํา ซึ่งน่ันก็คือการเขียนบันทึก การเขียนบันทึกท่ีดีจะทําให้สามารถ สบื ค้นขอ้ มูลตา่ ง ๆ ได้ ท่ีผา่ มนมาแล้ว หลักการเขียนบันทึกท่ีจําเป็น ได้แก่ การบันทึกเหตุการณ์, บันทึก ยอ่ เร่อื ง บนั ทึกรายงาน บันทึกความเห็น และบนั ทึกส่งั การ ซง่ึ สามารถเรยี นรู้และนําไปใช้ประโยชนไ์ ด้ ผลการเรยี นรทู้ ่คี าดหวงั ผ้เู รยี นสามารถอธิบายรูปแบบหลักการเขยี นบันทกึ แตล่ ะประเภทได้ ขอบขา่ ยเนอื้ หา เรอ่ื งท่ี 1 รปู แบบหลกั การเขยี นบนั ทกึ 14

พท22003 บนั ทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น เร่ืองที่ 1 รปู แบบหลกั การเขยี นบันทกึ การเขียนบนั ทกึ โดยทว่ั ไป อาจจาํ แนกได้ดงั นี้ 1. การเขียนบนั ทึกเหตุการณ์ การเขียนบันทึกเหตุการณ์ มี 2 ประเภท คอื 1. การเขยี นบนั ทึกเหตุการณ์ โดยการเขียนเรื่องราวท่ไี ดพ้ บเห็นเร่อื งใดเรอ่ื งหน่ึง เพื่อเปน็ การบันทกึ ความรู้ เตอื นความจาํ บรรยายความร้สู กึ หรอื แสดงข้อคิดเหน็ 2. การเขยี นบนั ทกึ เหตุการณป์ ระจําวนั เป็นการเขียนเรอื่ งราวส่วนตัว หรือเหตุการณ์ ท่ีเกิดขน้ึ หรอื ทพ่ี บเห็นจากการเดินทางในแต่ละวนั เพื่อเตือนความจํา แสดงความร้สู ึก และข้อคดิ เห็น ส่งิ ท่ีต้องมใี นการบนั ทึกเหตกุ ารณ์ คอื 1. วัน เดอื น ปี ทบี่ ันทกึ 2. แหลง่ ท่ีมาของเรือ่ งราวท่ไี ด้พบเห็นมา 3. บันทึกเรอ่ื ง โดยสรปุ ยอ่ สาระสาํ คัญด้วยสาํ นวนภาษาของตน ซงึ่ อาจจะแสดง ข้อคิดเห็น และสรุปไว้ด้วย ตวั อย่าง การเขยี นบันทกึ เหตุการณ์ 1 ตลุ าคม 2549 กระทรวงการคลงั ได้ข้อยุตใิ นมาตรการลดหย่อนภาษีเพือ่ ช่วยเหลอื สังคม และพัฒนา ศกั ยภาพในการเเขง่ ขนั ใหแ้ กผ่ ปู้ ระกอบการไทย รมว. คลงั สั่งใหก้ รมสรรพากรหกั ค่าลดหยอ่ นสําหรับการเล้ียงดบู พุ การี โดยคนทเี่ ล้ยี งดพู อ่ เเม่ ของตัวเอง สามารถนําคา่ ใชจ้ ่ายท่ีเกดิ ข้นึ มาหกั เปน็ คา่ ลดหย่อนไดค้ นละ 30,000.- บาท โดยบพุ การี ท่เี ลี้ยงดนู ้ันไมจ่ าํ เปน็ ตอ้ งมชี ่ืออยใู่ นทะเบียนบ้าน 15

พท 22003 บนั ทกึ ไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ตวั อยา่ งบนั ทึกประจําวนั 13 เมษายน 2554 ถนนขา้ วสาร กรงุ เทพมหานคร วันน้ีเปน็ วันสงกรานต์ ตอนเช้าคึกคักด้วยการทําบุญตกั บาตร มชี าวบ้านรา้ นคา้ ออกมาทาํ บญุ ตักบาตรกันมากมาย ชาวตา่ งชาติบางคนก็ออกมานง่ั รบั ประทานอาหารเช้า บางคนกน็ ่งั อ่าน หนงั สอื พิมพ์ ยงั คงใช้ชีวติ ตามปกติ ตอนบ่าย กล่มุ คนเริม่ ทยอยกนั มาเลน่ สงกรานตท์ บี่ ริเวณนก้ี ันมากขึ้น ชาวตา่ งชาติเองก็ออกมา เลน่ สงกรานตก์ ันอยา่ งสนกุ สนาน สงกรานตป์ นี ีค้ ณะกรรมการจดั งานเขม้ งวดในเรอ่ื งการแตง่ กาย และ วิธีการเลน่ สงกรานตใ์ หค้ งเอกลักษณ์ของความเป็นไทย แตง่ กายให้สภุ าพพองาม กลมุ่ คนทม่ี าเลน่ สงกรานต์ให้ความรว่ มมือกันดี แต่ก็มีบ้างท่ียังคงอยใู่ นวยั คกึ คะนอง มีการเปดิ เพลงเต้นด้วยลลี าท่ยี วั่ ยวน ไมส่ ุภาพ สงกรานตป์ ีนส้ี นกุ สนานและคึกคักกวา่ ปีทีแ่ ล้วมาก อาจเป็นเพราะสถานการณบ์ ้านเมอื ง สงบสุข 2. บนั ทึกหนงั สือราชการภายใน เป็นการเขียนบันทกึ ในหนังสอื บันทึกขอ้ ความ ตามระเบยี บสาํ นักนายกรัฐมนตรวี ่าดว้ ย งานสารบรรณ พ.ศ. 2526 ซง่ึ เปน็ การตดิ ต่อภายในหน่วยงานเดียวกัน หรอื ระหวา่ งหน่วยงานภายใน กรมหรอื กระทรวงเดียวกัน เรอื่ งที่ตดิ ต่อกนั นน้ั เป็นเรือ่ งกิจธรุ ะอย่างใดอย่างหน่ึงและมคี วามเปน็ ทางการ นอ้ ยกว่าหนงั สือภายนอก 16

พท22003 บนั ทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ตวั อย่างบนั ทกึ ข้อความ บันทกึ ขอ้ ความ สว่ นราชการ งานการศกึ ษาพน้ื ฐานศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยเขตตล่งิ ชัน ที่ พเิ ศษ /2554 วันท่ี 29 มนี าคม พ.ศ. 2554 เรือ่ ง ขออนุมัติโครงการพรอ้ มขออนญุ าตจัดกิจกรรมสง่ เสรมิ การอ่านโครงการ อา่ นดี อ่านได้ อา่ นเป็น เรียน ผูอ้ าํ นวยการ ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั เขตตล่ิงชนั ด้วย วันที่ 2 เมษายน ของทกุ ปี เปน็ วันรักการอ่านแห่งชาติ ประกอบกับนโยบายของ สาํ นักงานสง่ เสริมการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย กาํ หนดให้ กศน. แขวง : แหลง่ เรียนรรู้ าคาถกู จดั กจิ กรรม ส่งเสรมิ การอ่าน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมนี ิสัยใฝร่ ู้ ใฝ่เรียน เป็นบคุ คลแหง่ การเรยี นรู้ และสามารถนาํ ความรู้ไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ แก่ตนเองและชุมชน กศน.แขวงบางพรม จึงมีความประสงคขออนุญาตจัดกิจกรรมสงเสริมการอาน โครงการ อานดี อานได อานเปน ในวันท่ี 2 เมษายน 2554 ณ ศูนยการเรียนชุมชนวัดเทพพล กศน.แขวงบางพรม / เขตตลง่ิ ชนั โดยไมข อเบิกงบประมาณ รายละเอียดกิจกรรมตามโครงการดงั แนบ จงึ เรียนมาเพ่อื โปรดพิจารณาหากเหน็ ชอบ ขอไดโ้ ปรด 1. อนุมตั ิโครงการ อา่ นดี อ่านได้ อา่ นเปน็ ดงั แนบ 2. อนุญาตใหจ้ ัดกิจกรรมสง่ เสริมการอ่าน โครงการ อ่านดี อา่ นได้ อา่ นเป็น ในวนั ที่ 2 เมษายน 2554 โดยไม่ขอเบกิ งบประมาณ 3. ลงนามในคาํ สง่ั แตง่ ตั้งคณะดาํ เนินงาน ดงั แนบ (นางสาวอญั ชษิ ฐา สุขกาย) ครู กศน.แขวงบางพรม 17

พท 22003 บันทกึ ไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 3. บนั ทกึ รายงานการประชมุ เปน็ การจดบันทึกขอ้ มูลทีไ่ ด้จากการประชุม ซึ่งส่วนใหญ่เลขานุการจะมหี นา้ ท่ใี นการจดบนั ทกึ รายงานการประชมุ ตามระเบยี บวาระของการประชมุ น้ัน ๆ พร้อมทง้ั มติของทป่ี ระชุมเพ่อื เสนอเปน็ รายงานการประชมุ ตอ่ ไป ตัวอยา่ งบันทกึ รายงานการประชมุ ระเบยี บวาระการประชมุ ……………………………………… ครั้งท่ี……../…………. วันที…่ ……..เดอื น……………….พ.ศ. ………. ณ ……………………………………… ผ้มู าประชุม ฯลฯ 1. …………………………………………. ฯลฯ 2. …………………………………………. ฯลฯ 3. …………………………………………. 4. …………………………………………. ผูไ้ ม่มาประชมุ (ถา้ มี) 1. …………………………………………. 2. …………………………………………. 3. …………………………………………. 4. …………………………………………. ผ้เู ข้ารว่ มประชุม (ถา้ ม)ี 1. …………………………………………. 2. …………………………………………. 3. …………………………………………. 4. …………………………………………. 18

พท22003 บันทึกไว้ได้ประโยชน์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น เรม่ิ ประชุมเวลา ……………………………….. น. ประธาน ขอเปดิ การประชุม (บันทกึ รายละเอยี ดการกลา่ วเปิดการประชมุ ของประธานในที่ประชุมใครพดู หรือ ซักถามอะไรใหบ้ ันทกึ ไวว้ ่าได้พูดอะไรบา้ ง กอ่ นประธานจะดําเนินการประชมุ ไปตามวาระ) ระเบยี บวาระท่ี 1 เร่อื งทีป่ ระธานแจ้งให้ท่ีประชมุ ทราบ (ถ้าไม่มี ก็บันทกึ ว่า “ไม่ม”ี ถา้ มใี หบ้ นั ทกึ เปน็ เรื่องลาํ ดับที่ 1, 2, 3 ตามลาํ ดบั เมอื่ แจง้ ส้นิ เร่อื งหนง่ึ ๆ ใหบ้ นั ทกึ วา่ มติ ทป่ี ระชุมรบั ทราบ ไวท้ กุ เรอื่ ง และไม่ใช่เรอื่ งในวาระการประชมุ ครั้งน้)ี ระเบยี บวาระท่ี 2 เรอ่ื งรับรองรายงานการประชมุ คร้งั ท่ี ……../…………….. ประชมุ เมื่อวันท่…ี ……เดอื น………………………พ.ศ…………… (ถ้ามรี ายงานการประชมุ คร้ังทผี่ า่ นมา ให้ทป่ี ระชุมอา่ นทบทวนรายละเอียดการประชุม และขอมติ ที่ประชุมเพอ่ื รบั รองหรอื สมาชิกจะให้แกไ้ ขก็ใหบ้ ันทกึ ไว้ถา้ ไมม่ ีรายงานการประชุม กใ็ หบ้ นั ทึกว่า “ไมม่ ”ี ทป่ี ระชมุ มีมตริ ับรองรายงานการประชมุ ครั้งท่ี ……../……………. ระเบยี บวาระที่ 3 เรื่องเสนอเพื่อทราบ (เป็นเรือ่ งท่ปี ระธานเหน็ วา่ เก่ียวกับประโยชน์ของโรงเรยี นของครู หรือ กฎ ระเบยี บ ทีค่ วรเสนอใหท้ กุ คนทราบ เป็นต้น ใหบ้ นั ทกึ เปน็ เร่อื ง ๆ เมือ่ จบเรอื่ ง กใ็ ห้บนั ทกึ เป็น มตทิ ่ีประชุม รบั ทราบ) ระเบยี บวาระท่ี 4 เรื่องเสนอเพือ่ พจิ ารณา (เป็นเร่ืองท่ีประชมุ เสนอหรือประธานเสนอขึ้นมาเพ่ือขอความคดิ เหน็ และขออนมุ ัติ จากทป่ี ระชมุ ใครเสนอเร่อื งอะไรใหบ้ ันทึกชอ่ื ผู้เสนอ และผูแ้ สดงความคิดเห็น พร้อมรายละเอียดความ คดิ เหน็ เปน็ ราย ๆ ไป เมือ่ เสรจ็ การแสดงความคดิ เห็น มกี ารลงคะแนนขอมติ กบ็ ันทกึ ทป่ี ระชมุ วา่ มมี ติ อย่างไรไว้ทุกเร่ือง) ระเบยี บวาระท่ี 5 เร่อื งอืน่ ๆ (ถา้ ม)ี (ถา้ มีผ้เู สนอใหบ้ นั ทกึ เชน่ เดียวกนั กับ วาระที่ 4 ใครเสนออะไรมีมติทป่ี ระชุมว่าอยา่ งไร) เลิกประชุมเวลา……………………. น. ลงช่อื …………………….…………………………….ผู้จดรายงานการประชมุ (………………….…………………………….) ตําแหนง่ ……………………………………………. ลงชอื่ …………………………………….………..ผตู้ รวจรายงานการประชมุ (…………………...………………………..) ตาํ แหน่ง………………………………………. 19

พท 22003 บันทกึ ไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ 4. บนั ทกึ ติดตอ่ สั่งการ เปน็ การเขยี นบันทึกขอ้ ความท่ีผบู้ ังคบั บัญชาหรือหัวหน้างานสัง่ การให้ผู้ใตบ้ งั คับบัญชา ปฏิบัติภารกิจตามข้อความทีป่ รากฏในบันทึก จงึ เปน็ การเขียนบนั ทึกเพ่อื สัง่ การและชว่ ยเตือนความทรง จําให้ปฏิบัติตามคาํ สั่งต่อไป 5. บันทึกยอ่ เรอื่ ง เป็นการเรียบเรยี งข้อความโดยเก็บแต่ประเดน็ สําคัญ ๆ แต่ให้เข้าใจในเนือ้ เร่อื ง ครบถว้ น ที่จะส่ังงานโดยไมผ่ ดิ พลาด หนงั สือฉบบั ใดมขี ้อความสาํ คญั ไมม่ ากนกั หรือไมอ่ าจย่อให้สัน้ ได้อีก ก็เสนอให้พิจารณาได้เลย แต่ควรขีดเส้นใต้เฉพาะข้อความสําคัญ ๆ น้ันไว้ด้วย ก่อนบันทึกย่อเร่ืองผู้ บันทึกต้องอ่านเร่ืองราวให้ละเอียดเสียก่อน แล้วจับประเด็นสําคัญของเรื่อง เขียนเป็นข้อความส้ัน ๆ อาจไม่จาํ เป็นตอ้ งเรียงลําดับข้อความตามหนังสอื แต่ควรเรยี บเรียงข้อความใหม่เพ่อื ให้เขา้ ใจง่ายขึ้น 6. บันทึกรายงาน เปน็ การเขียนข้อความรายงานเรอ่ื งท่ีตนปฏิบตั หิ รอื ประสบพบเห็นหรือสาํ รวจ สืบสวนได้ เสนอต่อผู้บังคับบัญชาควรเขียนให้ส้ัน พิจารณาเฉพาะข้อความที่จําเป็นต้องรายงาน แต่ถ้าเป็นการรายงานเรื่องท่ีได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติต้องรายงานทุกข้อท่ีผู้บังคับบัญชาต้องการทราบ หรอื สนใจ 7. บันทึกความเหน็ เป็นการเขียนข้อความแสดงความร้สู ึกนกึ คิดของตนเกยี่ วกับเร่อื งทเี่ สนอ เพื่อชว่ ย ประกอบการพิจารณาส่ังการของผู้บังคับบัญชา อาจบันทึกต่อท้ายเรื่องใดเร่ืองหนึ่งหรือบันทึกต่อท้าย ย่อเรือ่ ง ถา้ เป็นเร่ืองท่ีสั่งการได้หลายทาง อาจเขียนบันทึกความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าสั่งการทางใดจะเกิดผล หรือมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และถ้ามีการอ้างกฎหมายและระเบียบใด ก็ควรจัดนําเสนอประกอบ เรอื่ งนั้น ๆ ด้วย เช่น “เพอื่ โปรดทราบ” “เพือ่ โปรดทราบและแจ้งให้...................ทราบดว้ ย” “เพื่อโปรดทราบและลงนามใน.................ดังแนบ” “เพื่อโปรดพจิ ารณาอนมุ ัติ” 20

พท22003 บันทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น “เพื่อโปรดพิจารณาอนญุ าต” “เพอ่ื โปรดพจิ ารณาลงนาม” “เพื่อโปรดพิจารณาอนุมตั ิและสงั่ แต่งตงั้ คณะกรรมการ..............” “เพ่อื โปรดพิจารณาสง่ั การ” “เพอ่ื โปรดสั่งการให้ถอื ปฏบิ ัตติ ่อไป” “เพ่ือโปรดพิจารณา 1. อนญุ าต 2. ลงนามในหนังสอื ถึงอําเภอ” ข้อควรระวัง อย่าใช้ข้อความ “เพ่ือโปรดพิจารณา” โดยไม่เสนอแนะใด ๆ ต่อท้ายหรืออย่าใช้ ข้อความว่า “เพื่อโปรดพิจารณาดําเนินการต่อไป” เพราะจะเป็นการส่ังให้ผู้บังคับบัญชาปฏิบัติเอง เปน็ การไม่สมควร และเสยี มารยาทในการบันทึกเสนออยา่ งย่ิง 8. บันทกึ ช่วยความจํา เปน็ การจดบนั ทกึ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ทมี่ ีผฝู้ ากขอ้ ความท่ีตอ้ งการติดต่อกบั ผูอ้ ื่น และผู้น้ัน ไม่อยู่ ผ้รู ับขอ้ ความจะมีหนา้ ท่ชี ว่ ยจดบันทกึ ข้อความทฝ่ี ากเพอื่ ให้ผู้รับต่อไป การบันทกึ ช่วยความจาํ ไดแ้ ก่ การบันทึกข้อความส่งั ฝากทางโทรศพั ท์ 21

พท 22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น กจิ กรรมทา้ ยบทท่ี 2 1. การเขียนบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ หมายถึงอะไร ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 2. การเขยี นบันทึกเหตกุ ารณ์ ต้องมีรายละเอียดอะไรบ้าง ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 3. การเขยี นบันทึกรายงาน แตกต่างจาก การเขยี นบนั ทกึ ความเห็น อยา่ งไร ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 4. การเขียนบนั ทึกยอ่ เร่อื ง มีวัตถปุ ระสงคอ์ ย่างไร ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 5. การเขียนบันทกึ ตดิ ต่อสัง่ การ มีประโยชนอ์ ย่างไร ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 22

พท22003 บนั ทึกไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น บทที่ 3 ภาษาท่ใี ช้ในการเขยี นบนั ทึก สาระสําคญั การเขียนบันทึก เป็นทักษะในการเรียนและการทําท่ีสําคัญและจําเป็นอย่างย่ิง เพราะใน แตล่ ะกิจกรรมไม่ว่าในสว่ นของการเรียน หรอื การทํางาน มีเร่ืองราวต่าง ๆ ที่เข้ามาให้สมองเราจดจํา แต่ สมองคนเราไม่สามารถจดจําเร่อื งราวตา่ ง ๆ ได้หมด และอาจจดจาํ ไดเ้ พยี งระยะเวลาหนึ่งเท่าน้ัน ดังน้ัน จึงต้องมีเคร่ืองมือช่วยในการจํา ซึ่งน่ันก็คือการเขียนบันทึก การเขียนบันทึกที่ดีจะทําให้สามารถสืบค้น ข้อมูลต่าง ๆ ได้ ที่ผ่ามนมาแล้ว หลักการเขียนบันทึกที่จําเป็นได้แก่ การบันทึกเหตุการณ์ , บันทึกย่อ เร่อื ง บนั ทึกรายงาน บันทกึ ความเหน็ และบันทกึ สง่ั การ ซึง่ สามารถเรียนรแู้ ละนาํ ไปใช้ประโยชนไ์ ด้ ผลการเรียนรู้ท่คี าดหวงั ผู้เรยี นสามารถใช้ภาษาในการเขียนบนั ทึกได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสมกับบคุ คลและประเภทของ การบันทกึ ขอบขา่ ยเนอื้ หา เรอื่ งท่ี 1 การใชภ้ าษาในการเขียนบนั ทึก 23

พท 22003 บันทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เร่อื งที่ 1 ภาษาที่ใชใ้ นการเขียนบนั ทึก ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์ในแต่ละสังคมกําหนดขึ้น เพื่อทําความเข้าใจตกลงกันระหว่างสมาชิก ในกลุ่ม ฉะนั้น การใช้ภาษาจึงต้องใช้ได้ตรงตามกําหนดของสังคม ไม่ว่าเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน หากสิ่งใดผิดแปลกไปจากข้อตกลงการส่ือสารก็จะหยุดชะงักล่าช้าลง ผิดแผกไปจากเจตนาหรือ ไม่สามารถสอื่ สารได้ การใชภ้ าษาพดู และภาษาเขยี น 1. ภาษาพูด ภาษาพูด บางทเี รียกวา่ ภาษาปาก หรอื ภาษาเฉพาะกลุ่ม เชน่ ภาษากลมุ่ วัยรนุ่ ภาษา กลมุ่ มอเตอร์ไซค์รบั จ้าง ภาษาพูดไมเ่ คร่งครัดในหลักภาษาบางครั้งฟังแล้วไม่สุภาพ มักใชพ้ ูดระหวา่ ง ผ้สู นทิ สนม หรอื ผูไ้ ดร้ ับการศึกษาตาํ่ ในภาษาเขียนบันเทงิ คดีหรือเร่ืองส้ัน ผแู้ ตง่ นาํ ภาษาปากไปใช้ เปน็ ภาษาพูดของตัวละครเพ่ือความเหมาะสมกับฐานะตัวละคร 2. ภาษาเขยี น ภาษาเขียน มีลกั ษณะเคร่งครดั ในหลกั ภาษา มีท้งั ระดับเคร่งครัดมาก เรียกวา่ ภาษา แบบแผน เช่น การเขยี นภาษาเปน็ ทางการ ระดับเคร่งครดั ไมม่ ากนัก เรยี กวา่ ภาษากงึ่ แบบแผน หรอื ภาษาไมเ่ ปน็ ทางการ ภาษาเขยี นแบบแสดงข้อเท็จจรงิ เชน่ การเขยี นบทความ สารคดี เป็นต้น และ ภาษาเขยี นแบบประชาสมั พันธ์ เชน่ การเขียนคําโฆษณา หรือคาํ ขวัญ เปน็ ต้น ตวั อย่าง เปรยี บเทียบภาษาพูดและภาษาเขยี น 1) ภาษาพูดเป็นภาษาเฉพาะกลุม่ หรือเฉพาะวัย มกี ารเปล่ยี นแปลงคําพดู อยเู่ สมอ เชน่ ภาษาพดู ภาษาเขยี น เจ๋ง เย่ียมมาก แหว้ ผดิ หวัง เซ็ง เบื่อหนา่ ย เดยี้ ง พลาดและเจ็บ 2) ภาษาพดู มกั เป็นภาษาไทยแท้ คอื เปน็ ภาษาชาวบ้าน เขา้ ใจงา่ ย แตภ่ าษาเขียนมกั ใชภ้ าษา บาลีและภาษาสนั สกฤต เป็นภาษาแบบแผน หรอื กึง่ แบบแผน เชน่ 24

พท22003 บนั ทกึ ไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น ภาษาพดู ภาษาเขยี น ในหลวง พระมหากษตั ริย์ ผัว เมีย ดาราหนงั สามี ภรรยา คอ่ ยยงั ชัว่ ดาราภาพยนตร์ อาการดขี ้นึ 3) ภาษาพดู มักเปลย่ี นแปลงเสียงสระและเสียงพยัญชนะ รวมทั้งนิยมตดั คาํ ให้สน้ั ลง แตภ่ าษา เขียนคงเคร่งครดั ตามรปู คาํ เดิม เชน่ ภาษาพดู ภาษาเขยี น ใชป่ ะ่ ใชห่ รอื เปล่า มหาลยั มหาวทิ ยาลัย เพ่ พี่ 4) ภาษาพดู ยืมคําภาษาตา่ งประเทศ เชน่ ภาษาอังกฤษ และมักตดั คาํ ให้สั้นลง รวมทง้ั ภาษาจีน เป็นตน้ ภาเขียนใชค้ าํ แปลภาษาไทยหรอื ทับศพั ท์ เช่น ภาษาพดู ภาษาเขยี น ภาษาพูด ภาษาเขยี น เว่อร์ (over) เกินควร เกนิ กาํ หนด แอบ๊ (abnomal) บว๊ ย (ภาษาจีน) สดุ ทา้ ย ผิดปกติ สดุ ท้าย การแบ่งระดบั ภาษา ลักษณะสําคญั ประการหนึง่ ของภาษาไทย คือมีการแบง่ ระดับของภาษา ซ่งึ ภาษาอ่นื ๆ เช่น ภาษาอังกฤษก็มีระดบั ภาษาเชน่ กันแต่ลกั ษณะดงั กล่าวมใิ ช่เรื่องสําคัญเป็นพเิ ศษเหมือนภาษาไทย เมือ่ กลา่ วโดยสว่ นรวม ระดับภาษาเป็นธรรมชาติอยา่ งหนึ่งของภาษาทีพ่ ัฒนาแล้ว และเม่อื กล่าวเฉพาะ ภาษาไทย ระดบั ภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยคาํ และการเรียบเรยี งถ้อยคาํ ทใ่ี ช้ตามโอกาส กาลเทศะ และความสัมพันธ์ระหวา่ งบคุ คลทีเ่ ป็นผู้ส่งสารและผรู้ ับสาร คนในสังคมแบ่งออกเปน็ หลาย กลุ่ม หลายชนชนั้ ตามสถานภาพ อาชีพ ถิ่นทอ่ี ย่อู าศยั ฯลฯ ภาษาจงึ มลี ักษณะผดิ แผกหลายระดบั ไปตามกลุ่มคนท่ใี ชภ้ าษาดว้ ย เช่น การกําหนดถ้อยคาํ ทใ่ี ชแ้ ก่ พระสงฆใ์ หแ้ ตกตา่ งจากคนทั่วไป หรือการคดิ ถอ้ ยคาํ ขนึ้ ใหม่เพ่อื ใชใ้ นวงการอาชพี ต่างๆ การสนทนา 25

พท 22003 บนั ทกึ ไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ ระหว่างผทู้ ่คี ้นุ เคยกนั ย่อมแตกตา่ งจากการสนทนาระหว่างผู้ท่ีเพ่ิงเคยพบกันเปน็ ครง้ั แรก หรอื การพูดใน ทปี่ ระชมุ ชนยอ่ มตอ้ งระมัดระวงั คาํ พดู มากกว่าการพูดคยุ กันในกลุม่ เพอ่ื น แม้กระทัง่ งานเขยี นทม่ี รี ูปแบบ เฉพาะ อยา่ งงานวิชาการก็ต้องใชถ้ อ้ ยคําทีแ่ ตกต่างจากการเขียนในรูปแบบอ่นื เชน่ ขา่ ว เรื่องส้ัน หรอื บทกวี เป็นตน้ ระดบั ภาษาแบ่งได้ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. ระดบั ภาษาแบบแผน ลักษณะเดน่ ของระดบั ภาษาแบบแผน คือ ความเคร่งครัดดา้ นความสมบูรณ์ ของประโยค และความถกู ต้องด้านไวยากรณ์อันไดแ้ ก่ ระเบียบการใชค้ าํ ระเบียบโครงสร้างประโยค เปน็ ต้น ระดับภาษาแบบแผนจะใช้ในการสอื่ สารอย่างเป็นทางการทกุ ชนดิ เชน่ ใช้ในเอกสารของทาง ราชการ ตาํ รา งานเขียนวชิ าการ และคํากลา่ วเพ่อื ใชอ้ ่านในพิธีการ 2. ระดบั ภาษากงึ่ แบบแผน ลกั ษณะเดน่ ของระดับภาษากึ่งแบบแผน คือ ความลดหยอ่ นในความ เคร่งครดั ด้านความสมบรู ณข์ องประโยค และความถกู ต้องดา้ นไวยากรณ์ ใชใ้ นการส่อื สารทง้ั การพดู และ การเขยี นโดยจะสื่อบรรยากาศทีท่ าํ ใหผ้ ้รู ับสง่ สารมีสัมพนั ธภาพใกล้ชดิ กันมากกว่าระดับภาษาแบบแผน เชน่ การพูดอภิปราย หรอื บรรยาย การเขยี นเชิงสนทนา ระดับภาษาน้ีอาจแทรกวธิ ีการตา่ งๆ เพ่ือสรา้ ง รสและสสี ันภาษา 3. ระดับภาษาไมเ่ ป็นแบบแผน ลักษณะเดน่ ของระดับภาษาไม่เป็นแบบแผน คือ ไมเ่ ครง่ ครัดด้านความ สมบรู ณข์ องประโยค และความถกู ตอ้ งด้านไวยากรณโ์ ดยสิ้นเชิง ใชส้ ่อื สารในชีวิตประจําวันกับบคุ คล ใกลช้ ิด บางทีเรียกภาษาปาก มกั ประกอบด้วยคาํ สมัยนิยม (Slang) คําตัด คําภาษาต่างประเทศ คาํ ภาษาถิ่น คําตํา่ ฯลฯ ข้อควรคาํ นงึ ในการใช้ภาษาไทย การศกึ ษาภาษาไทย นอกจากจะศึกษาลักษณะสาํ คัญของภาษาแลว้ ยงั ต้องศกึ ษาเรอื่ ง การใช้ภาษาทถ่ี ูกต้อง เหมาะสมหากผใู้ ช้ภาษามีความรู้เรื่องการใช้ภาษาไม่ดีพอ อาจทําให้การ ติดต่อสอ่ื สารเกดิ ความผดิ พลาดสอื่ สารไดไ้ ม่ตรงความตอ้ งการ หรอื สือ่ ความได้แต่ไม่เหมาะสมทาํ ใหข้ าด ประสทิ ธิภาพในการส่ือสาร ความผิดพลาดหรอื ความไมเ่ หมาะสมท่เี กิดข้นึ ดงั กล่าวลว้ นมีสาเหตุมาจาก การใช้ภาษาท่ีบกพรอ่ งหรือไม่คาํ นึงถึงการใชภ้ าษาไทยอย่างถูกต้อง ภาษาเป็นระบบสญั ลักษณซ์ ่งึ เกดิ จากการทคี่ นในสังคมช่วยกนั กําหนดข้นึ ดังน้นั การใชภ้ าษา ของมนษุ ยจ์ งึ ตอ้ งอยู่ภายในระบบ อันประกอบด้วยระเบยี บและกฎเกณฑท์ ่สี งั คมยอมรับรว่ มกัน หากใชผ้ ิดไปจากกฎเกณฑ์ทีย่ อมรับกนั แล้ว อาจก่อให้เกิดความสบั สนในการสือ่ ความหมายได้ 26

พท22003 บนั ทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น ข้อควรคาํ นงึ ในการใชภ้ าษาไทย มีดังนี้ 1. การใชภ้ าษาผดิ 2. การใช้ภาษาไม่เหมาะสม 3. การใชภ้ าษาไม่ชดั เจน 4. การใช้ภาษาไมส่ ละสลวย 1. การใชภ้ าษาผิด การใช้ภาษาผิด หมายถงึ การใช้ภาษาผิดหลักไวยากรณ์ หรอื ผดิ ความหมาย อาจเกดิ จาก การใชค้ ําผิดความหมาย ใชค้ าํ ผดิ หลกั ไวยากรณ์ ใช้กลมุ่ คาํ และสํานวนผดิ เรียงคาํ หรอื กลมุ่ คาํ ผดิ ลาํ ดับ และประโยคไม่สมบรู ณ์ ดงั นี้ 1.1 ใช้คําผิดความหมาย คอื การนาํ คาํ ท่ีมคี วามหมายอย่างหนง่ึ ไปใช้โดยต้องการให้มี ความหมายอกี อยา่ งหน่งึ ซึ่งแตกต่างไปจากความหมายไปจากความหมายทีย่ อมรับกันอยู่เดิม เช่น - น้าํ ท่วมเปน็ เวลาหลายเดือน บดั น้ีแผน่ ดนิ แห้งแลง้ ลงแลว้ (แหง้ ) - คลองทไ่ี ม่จําเป็นถูกทบั ถมไปจนหมด (ถม) - วชิ ยั เป็นคนเงียบ ๆ ไมค่ อ่ ยสูสีกับใคร (สุงสงิ ) 1.2 ใชค้ าํ ผิดหลกั ไวยากรณ์ คอื การใชค้ ําบพุ บท สนั ธาน หรอื ลกั ษณะนามผิด เชน่ - เราแนะนําการป้องกันโรคให้กับเดก็ (แก่) - ในหมบู่ า้ นของผมมถี นนสายใหม่ ๆ ตดั ผา่ นหลายทาง (สาย) - พระภิกษุของวัดนี้ ทกุ ท่านล้วนแต่มคี วามสงบทางจิตแล้ว 1.3 ใชก้ ลมุ่ คาํ และสาํ นวนผิด ได้แก่ การใชก้ ลุม่ คําและสํานวนผิดไปจากไวยากรณ์ เชน่ - เขาถกู ตาํ รวจจบั ได้คาหลงั คาเขา (คาหนังคาเขา) - ขอใหค้ ูบ่ า่ วสาวอยู่ร่วมกันยดื ยาว จนถอื ไมเ้ ท้ายอดทองกระบองยอดเงิน (ไม้เทา้ ยอดทอง กระบองยอดเพชร) - คนทาํ ผดิ มกั จะแสดงอาการกินปนู รอ้ นท้อง ให้จับได้ ( กินปูนรอ้ นทอ้ ง) 1.4 หรอื กลมุ่ คําผดิ ลําคบั คือ การเรยี งคาํ ไม่ถูกตอ้ งตามหลกั ไวยากรณ์ เช่น - เขาไมท่ ราบสงิ่ ถกู ต้องวา่ อย่างไร (เขาไม่ทราบว่าสิง่ ทถี่ ูกตอ้ งเป็นอยา่ งไร) - วันนอ้ี าจารยบ์ รรยายให้ฟงั วชิ าตา่ ง ๆ (วนั นอ้ี าจารยบ์ รรยายวิชาต่างๆใหฟ้ ัง) - การสร้างสรรค์สังคมนน้ั ต้องคนในสงั คมร่วมมือกนั (การสร้างสรรคส์ งั คมนน้ั คนในสงั คมต้องร่วมมอื กัน) 1.5 ประโยคไมส่ มบรู ณ์ คือ ประโยคทขี่ าดสว่ นสําคัญของประโยคหรอื ขาดคําบางคําไปทาํ ให้ความหมายของประโยคไม่ครบถว้ น เชน่ - ผู้ชายทค่ี ดิ ว่า ตนมอี ํานาจเหนือผู้หญิง (มกั จติ ใจหยาบกระด้าง) - ผ้มู ีปญั ญาผ่านอปุ สรรคไดโ้ ดยง่าย (ยอ่ ม) 27

พท 22003 บนั ทึกไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น - ผูห้ ญงิ ทค่ี ดิ วา่ การแต่งงานเหมือนกับการมดั ตวั เอง (สว่ นใหญเ่ ป็นผ้หู ญิงทที่ ่มุ เท ใหก้ ารทํางาน) 2. การใชภ้ าษาไมเ่ หมาะสม การใชภ้ าษาไมเ่ หมาะสม หมายถึง การใชถ้ ้อยคําไม่เหมาะสมกับ กาลเทศะและบุคคลและการใช้ภาษาผดิ ระดบั อาจเกดิ การใช้ภาษาพดู ในภาษาเขยี น ใชค้ าํ ไม่เหมาะสม กับความรสู้ ึก ใช้คําต่างระดบั และใช้ภาษาต่างประเทศปะปนในภาษาไทย ดงั นี้ 2.1 ใช้ภาษาพูดในภาษาเขียน คอื การใช้ภาษาระดับภาษาปากหรอื ภาษาพูดปะปนกับ ภาษาเขียน - นักธรุ กจิ เหล่าน้ี ทํายงั ไงถึงได้ร่ํารวยยังงี้ (อย่างไร, อย่างน้ี) - เขาไดร้ ับคัดเลือกเป็นพนกั งานดีเดน่ โดยไม่รูเ้ นื้อรตู้ วั (ไมท่ ราบลว่ งหนา้ ) - ปจั จุบันนีจ้ ังหวัดโคราช เป็นเมอื งที่เจรญิ มากทสี่ ุดในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ (นครราชสีมา, จงั หวัด) 2.2 ใช้คําทไี่ ม่เหมาะแก่ความร้สู กึ คือ การเลือกใชค้ าํ ทีส่ อื่ ความหมายไมต่ รงกับความรู้สึก ของผู้พดู เช่น - เขาดีใจทตี่ ้องออกไปรบั รางวัล (เขาดใี จทไี่ ด้ออกไปรบั รางวัล) - สุพรรณรสู้ กึ ใจหายท่ตี อ้ งสูญเสียเพ่อื นไปเสียที (สุพรรณร้สู ึกใจกายทีต่ ้องสูญเสีย เพือ่ นไป) 2.3 ใชค้ าํ ตา่ งระดบั คอื การนาํ คําท่ีอยู่ในระดบั ภาษาต่างกนั มาใชใ้ นประโยคเดยี วกัน เช่น - หลวงตาท่ชี าวบา้ นเคารพนบั ถอื ได้เสียชีวติ ลงแล้วอ อยา่ งสงบ (มรณภาพ) - รถเมล์จอดรบั ผู้โดยสารตรงป้ายจอดรถประจําทาง (รถประจําทาง) - หลอ่ นเปน็ หญงิ ทม่ี คี วามองอาจกลา้ หาญไม่แพ้บุรษุ (หญงิ -ชาย, สตร,ี บรุ ุษ) 2.4 ใช้ภาษาตา่ งประเทศปะปนในภาษาไทย คือ การนาํ คําภาษาอังกฤษแบบ\"ทับศพั ท\"์ มาใชป้ ะปนในภาษาไทยซ่ึงจะใช้ในภาษาพดู เทา่ นนั้ ไมค่ วรนํามาใช้ในภาษาเขียนหรือภาษาทางการและ ก่งึ ทางการ เช่น - มบี ริการสง่ แฟก็ ซ์แก่ลกู ค้าฟรี (โทรสาร, โดยไมค่ ิดเงนิ ) - คะแนนสอบมิดเทอมท่ีผา่ นมาไมน่ าพอใจ (กลางภาค) - ไฟลท์ท่ี 71 จะมาถงึ เวลาประมาณ 17.30 น. (เท่ยี วบนิ ) 3. การใชภ้ าษาไม่ชดั เจน การใชภ้ าษาไมช่ ัดเจน หมายถึง การใช้ภาษาท่ีไม่สามารถสอื่ ความหมายทีผ่ ใู้ ชต้ อ้ งการได้ การใช้ภาษาไมช่ ัดเจน อาจเกิดจากการใชค้ าํ ที่มคี วามหมายกว้างเกนิ ไป การใช้คําทมี่ คี วามหมาย ไมเ่ ฉพาะเจาะจง การใชค้ าํ ที่มคี วามหมายขดั แย้ง หรอื การใช้ประโยคทที่ าํ ให้ เข้าใจไดห้ ลายความหมาย ดังน้ี 28

พท22003 บันทกึ ไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 3.1 ใชค้ าํ ทมี่ ีความหมายกวา้ งเกินไป - เขาถกู ทาํ ทัณฑ์บนเพราะทาํ ความผิด (ก่อการทะเลาะววิ าท) - ใคร ๆ ก็อยากได้คนดีมาเปน็ คู่ครอง (คนท่ีมีความรับผดิ ชอบตอ่ ครอบครัว) 3.2 ใช้คําท่ีมคี วามหมายขัดแยง้ กนั - นาน ๆ ครง้ั เขาจะไปหาครูเสมอ ๆ (นาน ๆ คร้งั เขาจงึ ไปหาคร)ู , (เขาจะไปหาครู เสมอ) - นกั ศึกษาส่วนมากมาสายทกุ คน (นักศึกษาส่วนมากมาสาย), (นกั ศกึ ษามาสายทกุ คน) 3.3 ใช้ประโยคกาํ กวม เช่น - มกี ารแสดงต้นไมช้ นดิ ตา่ ง ๆ ทมี่ ชี ่อื ในวรรณคดี (มีชื่อเสยี ง, มีชื่อปรากฏ) - เขาสนทิ กับนอ้ งสาวคุณวิมลที่เป็นอาจารย์ (เขาสนทิ กบั อาจารย์ซ่ึงเป็นนอ้ งสาวคุณวิมล), (เขาสนิทกบั น้องสาวอาจารย์วมิ ล) - ต้นเถยี งกบั หนุม่ อยรู่ าวสองชั่วโมง ในท่ีสุดเขาโกรธข้นึ มา กก็ ระโดดเตะอย่างแรง จนเขาหกล้มหน้าคะมํา (ตน้ เถียงกับหนมุ่ อยู่ราวสองชั่วโมง ในทส่ี ดุ ตน้ โกรธข้นึ มา ก็กระโดดเตะหนุ่มอยา่ งแรงจนหนมุ่ หกล้มหวั คะมํา) 4. การใชภ้ าษาไมส่ ละสลวย การใชภ้ าษาไมส่ ละสลวย หมายถงึ การใชภ้ าษาทสี่ ามารถ สือ่ สารกันไดแ้ ตเ่ ปน็ ภาษาทไี่ มร่ าบร่นื การใชภ้ าษาไม่สละสลวย อาจเกดิ จากการใชค้ าํ ฟ่มุ เฟอื ย การใช้คํา ไมค่ งทก่ี ารไมล่ าํ ดับความเหมาะสมและการใชส้ ํานวนภาษาต่างประเทศ ดังน้ี 4.1 ใช้คําฟมุ่ เฟือย เชน่ - ชายหาดวันนี้คลาคลาํ่ เตม็ ไปด้วยผู้คน (ชายหาดวันนค้ี ลาคลาํ่ ไปดว้ ยผูค้ น) (ชายหาดวนั นเ้ี ตม็ ไปด้วยผูค้ น) - คนท่ียากจนขัดสนเงนิ ทองย่อมต้องทาํ งานหนกั (คนยากจนย่อมตอ้ งทาํ งานหนัก) (คนท่ีขัดสนเงนิ ทองย่อมตอ้ งทาํ งานหนกั ) - นายกรฐั มนตรไี ทยตอ้ งเปดิ เผยออกมาอยา่ งไมป่ ิดบงั ว่า การไปเยือนญ่ปี ุ่นในคร้งั นีย้ ัง ไม่แน่นอน(นายกรัฐมนตรีไทยต้องเปิดเผยว่า กรไปเยอื นญี่ป่นุ ใน ครั้งน้ียังไม่แนน่ อน) (นายกรฐั มนตรไี ทยต้องไม่ปิดบังว่า การไปเยือนญี่ปุน่ ในคร้งั นี้ยังไมแ่ นน่ อน) 4.2 ใชค้ ําไม่คงท่ี เชน่ - นกั เรยี นบางคนมผี ปู้ กครองมารับ บ้างก็ต้องกลบั เอง (นักเรียนบางคนมผี ู้ปกครอง มารับ บางคนตอ้ งกลับเอง), (นกั เรยี นบางคนมีผู้ปกครองมารับ บ้างต้องกลับเอง) - หมอออกตรวจคนไขต้ ามเตยี งต่าง ๆ พบว่าคนป่วยมอี าการดขี ึน้ (หมอออกตรวจ คนไขต้ ามเตยี งต่าง ๆ พบว่าคนไข้มอี าการดขี ้นึ ), (หมอออกตรวจคนป่วยตามเตยี ง ตา่ ง ๆ พบวา่ คนป่วยมีอาการดขี นึ้ 29

พท 22003 บนั ทกึ ไว้ได้ประโยชน์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ 4.3 ลาํ ดับความไม่เหมาะสม เชน่ - ทกั ษะการใช้ภาษาทั้ง 4 ประเภท ได้แก่ การอ่าน การเขียน การพดู การฟงั (ทักษะการใชภ้ าษาท้ัง 4 ประเภท ไดแ้ ก่ การฟงั การพดู การอา่ น การเขียน - ครอบครวั เขาเป็นครองครวั ที่อบอ่นุ อยู่พร้อมหนา้ กันท้งั พอ่ แม่ พี่ น้อง) (ครอบครวั เขาเป็นครอบครัวทีอ่ บอนุ่ อยูพ่ ร้อมหนา้ กันทั้ง พอ่ แม่ พี่ นอ้ ง) - คณุ สดุ าเปน็ อาจารย์อยูโ่ รงพยาบาลจฬุ าฯ คณะแพทย์ศาสตร์ (คณุ สดุ าเป็นอาจารยอ์ ยู่คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาฯ) 4.4 ใชส้ ํานวนภาษาต่างประเทศ เช่น - มันเป็นความจาํ เป็นท่ีขา้ พเจา้ ตอ้ งจากไป (ข้าพเจา้ จําเป็นตอ้ งจากไป) - 80 กว่าชีวติ ตอ้ งไร้ทอ่ี ยอู่ าศัย เพราะประสบอุทกภัย (ชาวบ้านกวา่ 80 คน ตอ้ งไร้ที่อยอู่ าศัย เพราะประสบอุทกภยั ) - วนั นี้เขามาในชุดสีฟา้ เขม้ (วนั นเี้ ขาใส่ชุดสีฟา้ เขม้ ) สงิ่ ทค่ี วรคาํ นึงในการเขียนบนั ทึก 1. บนั ทกึ แตส่ ่งิ ทเี่ ป็นความจรงิ ไม่บิดเบอื นความจริง 2. เขยี นดว้ ยสาํ นวนภาษาของตนเองเปน็ ภาษาง่ายๆ มรี ะเบียบ 3. บันทึกตามลาํ ดับเหตุการณ์ 4. บนั ทึกเฉพาะสาระสาํ คัญวา่ ใคร ทําอะไร กับใคร ทีไ่ หน เม่อื ไร อย่างไร ทาํ ไม 30

พท22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น กิจกรรมท้ายบทท่ี 3 1. ภาษาทีใ่ ช้ในการเขยี นบันทึกมอี ะไรบา้ ง พร้อมอธบิ ายรายละเอยี ด ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 2. ภาษามกี รี่ ะดบั อะไรบา้ ง พร้อมอธิบายรายละเอียด ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 3. การใช้ภาษาแตล่ ะระดับ ควรคํานงึ เรือ่ งใดบ้าง ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 4. การเขียนบนั ทกึ ควรคํานึงเร่อื งใดบา้ ง ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ ................................................................................................................................ 31

พท 22003 บนั ทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แบบทดสอบหลังเรียน คําชี้แจง เลอื กคําตอบทีถ่ กู ตอ้ งทสี่ ดุ แลว้ ทาํ เครือ่ งหมาย X 1. การนําขอ้ มูลมาเรยี บเรียงด้วยสาํ นวนภาษาของตนเองเป็นการบนั ทกึ แบบใด ก. บันทกึ แบบถอดความ ข. บนั ทกึ แบบคดั ลอกข้อความ ค. บนั ทกึ แบบยอ่ ความ ง. บันทกึ แบบเสรมิ ความ 2. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลกั การเขยี นบันทกึ ก. เขยี นตามลาํ ดับเหตกุ ารณ์ ข. ใชภ้ าษาเรยี บง่าย ค. เขยี นดว้ ยภาษาของตนเอง ง. เขยี นตามจินตนาการ 3. การบันทึกทคี่ ดั ลอกข้อความมาและใส่ไวใ้ นเคร่อื งหมายอัญประกาศ คอื การบันทกึ แบบใด ก. บนั ทกึ แบบคดั ลอกขอ้ ความ ข. บันทกึ แบบถอดความ ค. บนั ทกึ แบบย่อความ ง. บันทกึ แบบเสรมิ ความ 4. การจดเฉพาะประเดน็ สาํ คัญของเร่อื งคอื การจดบันทกึ ประเภทใด ก. บนั ทึกตดิ ต่อส่งั การ ข. บันทกึ ยอ่ เรื่อง ค. บนั ทึกความเห็น ง. บนั ทึกรายงาน 5. การบนั ทึกความรู้ เตอื นความจาํ บรรยายความรู้สกึ ตรงกบั ขอ้ ใด ก. การเขียนบันทึกเหตุการณ์ ข. การเขยี นยอ่ ความ ค. การเขยี นบทความ ง. การจดบนั ทกึ การอภิปราย 32

พท22003 บันทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 6. “บนั ทึกเหตกุ ารณ์ประจาํ วัน” ตรงกบั ขอ้ ใด ก. การเขยี นบรรยายความรู้สึก ข. การเขยี นบนั ทกึ ความรู้ ค. การเขียนบันทึกเหตุการณ์ ง. การเขยี นเรอ่ื งราวสว่ นตัวเพื่อเตือนความจาํ 7. ขอ้ มลู ทมี่ คี วามสาํ คญั มากหรือเป็นคําคม คาํ สุภาษิต ควรจดบนั ทึกแบบใด ก. บันทกึ แบบถอดความ ข. บันทกึ แบบเสริมความ ค. บนั ทกึ แบบคดั ลอกข้อความ ง. บันทกึ แบบย่อความ 8. ภาษาแบง่ ออกเป็นกี่ระดับอะไรบ้าง ก. 3 ระดับ คอื ภาษากงึ่ ทางราชการ ภาษาระดบั สนทนา ภาษาระดับกันเอง ข. 2 ระดับ คือ ภาษาพูดหรือภาษาไม่เป็นทางการ และภาษาเขยี นหรอื ภาษาระดับทางการ ค. 2 ระดับ คือภาษาระดับพิธกี าร ภาษาระดับมาตรฐานวชิ าการ ง. 3 ระดบั คอื ภาษาทางการ ภาษาก่งึ ทางการ ภาษาปาก 9. การเขยี นรายงานเชงิ วชิ าการควรใชภ้ าษาระดับใด ก. ภาษาทางการ ข. ภาษากึง่ ทางการ ค. ภาษาพิธีการ ง. ภาษาปาก 10. ภาษาท่ีเนน้ พธิ ีรีตองใชใ้ นพิธกี ารต่าง ๆ เปน็ ภาษาทใี่ ช้ในการสอื่ สารข้อใด ก. ภาษาปาก ข. ภาษาระดับทางการ ค. ภาษาระดับกงึ่ ทางการ ง. ภาษาระดับสนทนา 33

พท 22003 บนั ทกึ ไว้ได้ประโยชน์ ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ เฉลยแบบทดสอบกอ่ น - หลงั เรียน 1. ก 2. ง 3. ค 4. ข 5. ก 6. ง 7. ค 8. ง 9. ก 10. ข เฉลยกิจกรรมทา้ ยบท บทท่ี 1 ขอ้ 1 การจดบนั ทกึ หมายถึงอะไร การจดบนั ทกึ หมายถงึ การเขียนข้อความ เพอ่ื การเรยี บเรยี งความคิด เพื่อเตอื นความ เข้าใจ เพื่อกอ่ ให้เกดิ ความสนใจในเรือ่ งทไ่ี ด้ฟังหรือไดอ้ า่ นไปแลว้ เพ่ือเตือนความจําโดยธรรมชาติ และเป็นการยากท่ีเราจะเข้าใจ จดจําจุดสําคัญและรายละเอียดปลีกย่อยท่ีเราอ่านหรือฟังได้หมด เราอาจจะลืมหัวข้อใหญ่ ๆ ผลก็คือ ต้องอ่านใหม่อีกครั้งหรือสองครั้ง เพื่อให้จําจุดสําคัญได้ซึ่งเป็นการ เสียเวลา จึงควรหาส่ิงท่ีมาช่วยจําว่าเราอ่านอะไรไปบ้าง การจดบันทึกเป็นการช่วยจําและทําให้เข้าใจ ย่งิ ขึ้น ขอ้ 2 การเขยี นบนั ทกึ มีประโยชน์ในชวี ติ ประจาํ วนั อย่างไร การเขียนบันทึกมปี ระโยชน์ดังตอ่ ไปนี้ 1. เพอื่ ช่วยเพิ่มการจดจาํ เกบ็ รักษาข้อมูลให้มีความคงทนชัดเจนและสะดวก ในการนาํ กลบั มาได้สามารถอ้างองิ หรอื นําไปใชป้ ระโยชน์ได้ในเหตุการณ์อืน่ ๆ ลดโอกาสความ คลาดเคลือ่ นของขอ้ มูลจากการถ่ายทอดข้อมลู หลาย ๆ ครง้ั 2. เพือ่ ใช้ติดต่อส่อื สารทงั้ ในกรณีเปน็ ทางการและไม่เป็นทางการ 3. เพื่อเก็บไว้เปน็ หลกั ฐานหรือเพอ่ื อ้างอิงในอนาคต เช่น บันทกึ รบั แจง้ ความ ประจาํ สถานตี ํารวจ เป็นต้น 4. เพอ่ื เกบ็ รกั ษาความร้หู รอื ถ่ายทอดความรูอ้ ย่างยง่ั ยนื และเปน็ ระบบ สามารถต่อยอดความรู้ได้ในชว่ งเวลายาวนาน เช่น การเขยี นศิลาจารึก เปน็ ต้น 34

พท22003 บันทกึ ไว้ได้ประโยชน์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 5. เพ่ือรวบรวมความรใู้ หเ้ ปน็ หมวดหม่สู ําหรบั นําไปค้นควา้ ถ่ายทอดหรือ นําไปพฒั นาต่อไป เช่น สถติ นิ ํา้ ฝน สถติ ิการกฬี า สถิตริ าคาสนิ คา้ เกษตร เปน็ ตน้ 6. เพ่อื ความเพลดิ เพลิน คลายเครยี ด หรอื อาจเปน็ งานอดิเรกของบางคน 7. เพื่อประโยชน์อืน่ ๆ เช่น เขียนบนั ทึกเพ่ือพมิ พ์ขายสร้างรายได้ เขยี นขา่ ว เพ่ือเปนอาชีพ ขอ้ 3 บนั ทกึ ทเ่ี ปน็ ทางการ มกี ่ีประเภท อะไรบ้าง บันทกึ ทเี่ ปน็ ทางการ มี 3 ประเภท คอื 1. บนั ทกึ เสนอผ้บู งั คับบัญชา 2. บนั ทึกสง่ั การของผู้บงั คับบัญชา 3. บนั ทกึ ติดตอ่ ราชการระหว่างเจา้ หน้าที่ หรือระหว่างหนว่ ยงานท่ตี ํ่ากว่ากรม บทที่ 2 ข้อ 1 การเขียนบันทกึ เหตกุ ารณ์ มกี ปี่ ระเภท อะไรบา้ งใหอ้ ธิบาย การเขยี นบนั ทึกเหตกุ ารณ์ มี 2 ประเภท คอื 1. การเขยี นบนั ทกึ เหตุการณ์ โดยการเขยี นเรื่องราวท่ไี ด้พบเหน็ เร่ืองใด เรอ่ื งหนึง่ เพ่ือเป็นการบนั ทึกความรู้ เตอื นความจํา บรรยายความรู้สึก หรอื แสดงขอ้ คิดเห็น 2. การเขยี นบนั ทึกเหตุการณ์ประจําวนั เป็นการเขยี นเร่ืองราวสว่ นตัว หรือ เหตกุ ารณท์ ่เี กิดขนึ้ หรือทพี่ บเหน็ จากการเดินทางในแต่ละวนั เพ่ือเตอื นความจาํ แสดงความรู้สกึ และ ขอ้ คดิ เห็น ข้อ 2 การเขียนบันทกึ เหตุการณ์ ต้องมรี ายละเอียดอะไรบ้าง การเขียนบนั ทกึ เหตุการณ์ ต้องมรี ายละเอียด ดังน้ี 1. วัน เดือน ปี ทบ่ี ันทกึ 2. แหลง่ ทม่ี าของเรื่องราวที่ไดพ้ บเหน็ มา 3. บนั ทกึ เรื่อง โดยสรุปยอ่ สาระสําคญั ดว้ ยสาํ นวนภาษาของตน ซง่ึ อาจจะ แสดงขอ้ คิดเหน็ และสรปุ ไวด้ ้วย ขอ้ 3 การเขียนบนั ทึกรายงาน แตกต่างจาก การเขยี นบนั ทึกความเห็น อยา่ งไร การเขียนบันทกึ รายงาน แตกต่างจาก การเขียนบนั ทกึ ความเหน็ คือ 35

พท 22003 บันทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น บนั ทกึ รายงาน เปน็ การเขยี นข้อความรายงานเร่ืองท่ีตนปฏบิ ัติหรอื ประสบพบเหน็ หรอื สํารวจ สืบสวนได้ เสนอต่อผู้บังคับบัญชา และเป็นการเขียนแบบสั้น ๆ พิจารณาเฉพาะข้อความท่ีจําเป็นต้อง รายงาน บันทึกความเห็น เปน็ การเขยี นขอ้ ความแสดงความรสู้ ึกนึกคดิ ของตนเกีย่ วกับเรื่องทีเ่ สนอ เพ่ือช่วยประกอบการพิจารณาสั่งการของผู้บังคับบัญชา อาจบันทึกต่อท้ายเรื่องใดเร่ืองหน่ึงหรือบันทึก ต่อท้าย ย่อเรื่อง ถ้าเป็นเร่ืองที่ส่ังการได้หลายทาง อาจเขียนบันทึกความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าส่ังการทางใด จะเกิดผลหรือมีข้อดีข้อเสียอย่างไร และถ้ามีการอ้างกฎหมายและระเบียบใด ก็ควรจัดนําเสนอประกอบ เรื่องน้ัน ๆ ด้วย ขอ้ 4 การเขียนยอ่ เรอื่ ง มวี ตั ถปุ ระสงค์อย่างไร การเขยี นย่อเรอ่ื งมีวตั ถปุ ระสงค์ เพอ่ื มใิ หผ้ มู้ หี น้าทพ่ี ิจารณาต้องอ่านรายละเอยี ดของเรื่อง ท้งั หมดท่ีมีความยาว เพราะจะทาํ ใหเ้ สยี เวลาการย่อเรื่อง จึงช่วยใหต้ ดิ ตามเรื่องได้รวดเร็วและ ประหยัดเวลาไดม้ ากข้นึ ข้อ 5 การเขียนบนั ทึกตดิ ต่อส่งั การ มปี ระโยชน์อย่างไร การเขียนบันทกึ ตดิ ต่อสั่งการ มีประโยชน์ คอื เปน็ การเขยี นบันทกึ เพื่อสง่ั การและชว่ ย เตอื นความทรงจาํ ใหป้ ฏิบัติตามคําสัง่ บทที่ 3 ขอ้ 1 ภาษาทใ่ี ชใ้ นการเขียนบันทกึ มอี ะไรบา้ ง พรอ้ มอธบิ ายรายละเอยี ด ภาษาทใ่ี ชใ้ นการเขียนบนั ทกึ มี ภาษาพดู และภาษาเขียน ภาษาพูด บางทีเรียกวา่ ภาษาปาก หรือ ภาษาเฉพาะกลมุ่ เช่น ภาษากลุ่ม วยั รุ่น ภาษากลมุ่ มอเตอรไ์ ซค์รับจ้าง ภาษาพูดไม่เครง่ ครดั ในหลักภาษาบางครงั้ ฟงั แล้วไมส่ ุภาพ มกั ใช้ พูดระหวา่ งผ้สู นิทสนม หรอื ผไู้ ด้รับการศึกษาต่ํา ในภาษาเขียนบันเทงิ คดหี รอื เร่อื งสน้ั ผแู้ ต่งนําภาษาปาก ไปใชเ้ ป็นภาษาพูดของตัวละครเพื่อความเหมาะสมกับฐานะตัวละคร ภาษาเขยี น มลี ักษณะเคร่งครัดในหลกั ภาษา มที ั้งระดับเครง่ ครัดมาก เรียกว่า ภาษาแบบแผน เชน่ การเขียนภาษาเป็นทางการ ระดบั เครง่ ครดั ไม่มากนัก เรียกวา่ ภาษากึง่ แบบแผน หรอื ภาษาไม่เปน็ ทางการ ภาษาเขียนแบบแสดงขอ้ เทจ็ จริง เช่น การเขียนบทความ สารคดี เป็นตน้ และภาษาเขียนแบบประชาสมั พันธ์ เชน่ การเขียนคาํ โฆษณา หรอื คําขวญั เปน็ ต้น 36

พท22003 บันทกึ ไวไ้ ดป้ ระโยชน์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต้น ขอ้ 2 ภาษามกี ี่ระดับ อะไรบา้ ง พร้อมอธบิ ายรายละเอยี ด ภาษามี 3 ระดบั คือ 1. ระดบั ภาษาแบบแผน ลักษณะเดน่ ของระดบั ภาษาแบบแผน คือ ความ เคร่งครดั ดา้ นความสมบรู ณข์ องประโยค และความถกู ตอ้ งดา้ นไวยากรณ์อนั ไดแ้ ก่ ระเบยี บการใช้คาํ ระเบียบโครงสรา้ งประโยค เป็นต้น ระดับภาษาแบบแผนจะใชใ้ นการสื่อสารอยา่ งเป็นทางการทุกชนดิ เชน่ ใชใ้ นเอกสารของทางราชการ ตาํ รา งานเขยี นวิชาการ และคํากล่าวเพ่ือใชอ้ ่านในพิธกี าร 2. ระดบั ภาษากง่ึ แบบแผน ลกั ษณะเดน่ ของระดับภาษาก่ึงแบบแผน คอื ความลดหยอ่ นในความเคร่งครดั ด้านความสมบรู ณ์ของประโยค และความถกู ตอ้ งด้านไวยากรณ์ ใชใ้ น การสอ่ื สารทงั้ การพูดและการเขยี นโดยจะสือ่ บรรยากาศที่ทาํ ให้ผรู้ บั สง่ สารมสี ัมพันธภาพใกลช้ ดิ กัน มากกว่าระดบั ภาษาแบบแผน เชน่ การพูดอภปิ ราย หรือบรรยาย การเขยี นเชิงสนทนา ระดบั ภาษาน้ี อาจแทรกวิธีการตา่ ง ๆ เพอ่ื สรา้ งรสและสสี นั ภาษา 3. ระดับภาษาไม่เป็นแบบแผน ลกั ษณะเด่นของระดับภาษาไม่เป็นแบบแผน คอื ไมเ่ คร่งครดั ด้านความสมบูรณข์ องประโยค และความถูกต้องดา้ นไวยากรณโ์ ดยสนิ้ เชงิ ใชส้ ่ือสาร ในชีวติ ประจําวันกับบุคคลใกล้ชดิ บางทเี รียกภาษาปาก มกั ประกอบดว้ ยคาํ สมัยนยิ ม (Slang) คาํ ตดั คาํ ภาษาต่างประเทศ คําภาษาถ่ิน คาํ ต่าํ ฯลฯ ขอ้ 3 การใชภ้ าษาแต่ละระดบั ควรคาํ นงึ เรอื่ งใดบา้ ง ข้อควรคํานึงในการใช้ภาษาแต่ละระดับ คือ เรื่องการใช้ภาษาท่ีถูกต้อง เหมาะสม หากผู้ใช้ภาษามีความรู้เร่ืองการใช้ภาษาไม่ดีพอ อาจทําให้การติดต่อสื่อสารเกิดความผิดพลาด ส่ือสารได้ไม่ตรงความต้องการ หรือส่ือความได้แต่ไม่เหมาะสมทําให้ขาดประสิทธิภาพในการสื่อสาร ความผิดพลาดหรือความไม่เหมาะสมท่ีเกิดข้ึนดังกล่าวล้วนมีสาเหตุมาจากการใช้ภาษาที่บกพร่อง หรือไมค่ ํานึงถึงการใช้ภาษาไทยอยา่ งถกู ตอ้ ง ภาษาเป็นระบบสัญลักษณ์ซึ่งเกิดจากการท่ีคนในสังคมช่วยกันกําหนดข้ึน ดังน้ัน การใช้ภาษาของมนุษย์จึงต้องอยู่ภายในระบบ อันประกอบด้วยระเบียบและกฎเกณฑ์ท่ีสังคมยอมรับ ร่วมกนั หากใช้ผดิ ไปจากกฎเกณฑท์ ี่ยอมรบั กันแล้ว อาจกอ่ ให้เกิดความสบั สนในการสื่อความหมายได้ ข้อ 4 การเขยี นบันทกึ ควรคาํ นงึ เรือ่ งใดบา้ ง การเขยี นบนั ทกึ ควรคาํ นงึ ถึงเรอื่ งตอ่ ไปน้ี 1. บันทกึ แตส่ ง่ิ ท่เี ปน็ ความจรงิ ไม่บดิ เบือนความจรงิ 2. เขยี นดว้ ยสํานวนภาษาของตนเองเป็นภาษางา่ ยๆ มรี ะเบียบ 3. บันทึกตามลําดับเหตุการณ์ 4. บนั ทึกเฉพาะสาระสําคัญวา่ ใคร ทาํ อะไร กบั ใคร ทไี่ หน เมื่อไร อยา่ งไร ทําไม 37

พท 22003 บันทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น บรรณานุกรม วนษิ า เรซ อัจฉริยะสรา้ งได้ กรุงเทพ ไทยยเู นีย่ นกราฟฟิกส์ (2550) ดร.วีรพงษ์ พลนกิ รกิจ เรยี นอย่างยิ้มในมทส. พิมพค์ รง้ั ท่ี 7 นครราชสมี า โรงพิมพเ์ ลิศศลิ ป1์ 994 (2551) ลุงไอนส์ ไตน์ ถอดรหสั อ่านเรว็ พิมพค์ ร้ังที5่ กรุงเทพ สาํ นักพมิ พบ์ ิสกิต (2552) Gunya Thirapote http://gold.rajabhat.edu/learn/1500103/Unit6-Academic- Skills.html, 38

พท22003 บนั ทกึ ไว้ได้ประโยชน์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น คณะผ้จู ดั ทํา ทป่ี รกึ ษา 1. นายอภชิ าต จีระวฒุ ิ เลขาธกิ าร กศน. 2. นายชยั ยศ อมิ่ สุวรรณ รองเลขาธกิ าร กศน. 3. นายวัชรนิ ทร์ จาํ ปี รองเลขาธกิ าร กศน. 4. นางวัทนี จนั ทร์โอกลุ ผ้เู ช่ียวชาญเฉพาะดา้ นการพฒั นาส่อื การเรยี นการสอน 5. นางมารสิ า โกเศยะโยธนิ ผู้อํานวยการศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศัยกลมุ่ เป้าหมายพเิ ศษ คณะทํางาน 1. นางศริ ิกาญจน์ ธนวัฒนเ์ ดชากุล ครู (คศ.3) ศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศัยกล่มุ เป้าหมายพิเศษ 2. นางสาวฐิตาพร จนิ ตะเกษกรณ์ ครูชาํ นาญการพเิ ศษ ศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั กลุ่มเป้าหมายพเิ ศษ 3. นายสพุ จน์ เช่ยี วชลวชิ ญ์ ครู (คศ.4) ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศัยเขตประเวศ 4. นายบญุ ชนะ ลอ้ มสิรอิ ุดม ครู (คศ.1) ศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศัยเขตหนองแขม 5. นางสาวอญั ชษิ ฐา สขุ กาย พนกั งานราชการ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศัยเขตตลง่ิ ชัน ผยู้ กรา่ ง และเรียบเรียง ครูชํานาญการพเิ ศษ ศนู ยก์ ารศกึ ษานอก นางสาวฐติ าพร จนิ ตะเกษกรณ์ ระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั กลมุ่ เป้าหมายพิเศษ ผบู้ รรณาธิการ ครั้งที่ 1 (วันที่ 8 - 11 มีนาคม 2554) 1. นางศริ ิกาญจน์ ธนวฒั น์เดชากุล ครู (คศ.3) ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศัยกลุม่ เป้าหมายพเิ ศษ 2. นางสาวฐติ าพร จินตะเกษกรณ์ ครชู าํ นาญการพเิ ศษ ศูนยก์ ารศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั กลุ่มเปา้ หมายพิเศษ 3. นายสพุ จน์ เชี่ยวชลวิชญ์ ครู (คศ.4) ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั เขตประเวศ 4. นายบญุ ชนะ ล้อมสริ อิ ดุ ม ครู (คศ.1) ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศัยเขตหนองแขม 5. นางสาวอัญชษิ ฐา สุขกาย พนกั งานราชการ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศัยเขตตลิง่ ชัน 39

พท 22003 บนั ทึกไว้ไดป้ ระโยชน์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น ผูพ้ มิ พต์ ้นฉบับ ครชู ํานาญการพเิ ศษ ศนู ย์การศึกษานอก 1. นางสาวฐติ าพร จินตะเกษกรณ์ ระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั กลมุ่ เป้าหมายพิเศษ 2. นางสาวอัญชษิ ฐา สุขกาย พนักงานราชการ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและ การศกึ ษาตามอธั ยาศยั เขตตลิง่ ชัน 40

พท22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 41

พท 22003 บันทกึ ไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หมายเหตุ - สรุปจากหนงั สอื เรอ่ื ง การทําบนั ทึกเสนอ การจดรายงานการประชุม การเขยี น คํากล่าวในพธิ ี ของประวีณ ณ นคร สาํ นักงาน ก.พ. (มีจําหนา่ ยทศ่ี นู ย์หนังสือจฬุ าฯ / ธรรมศาสตร์ / เกษตรฯ ในกรงุ เทพฯ และต่างจงั หวัด และทีส่ วสั ดกิ ารสํานักงาน ก.พ. โทร.๐-๒๒๘๑-๙๔๕๔, ๐-๒๒๘๑-๓๓๓๓ ตอ่ ๒๑๓๔) - สรปุ โดย พลตรี เอนก แสงสุก ผทู้ รงคณุ วุฒกิ องบัญชาการทหารสูงสดุ www.oknation.net/blog/anegsangsoog/ www.anegsangsoog.com 42

พท22003 บนั ทึกไวไ้ ด้ประโยชน์ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น 43


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook