ระบบฐานขอ้ มูลสวนสนกุ โอเชีย่ นปาร์ค Database System Ocean Theme Park นายนวรัตน์ อยสู่ วัสด์ิ นายพงศกร สุนทรกจิ นายภาคิน แมน้ จริง โครงงานนเี้ ป็นส่วนหนึ่งของการเรยี นตามหลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพ สาขาวิชาคอมพวิ เตอรธ์ รุ กจิ วทิ ยาลัยเทคโนโลยีอรรถวทิ ยพ์ ณิชยการ ปีการศึกษา 2565
บทคัดยอ่ หัวขอ้ โครงการ ระบบฐานข้อมูลสวนสนกุ โอเช่ียนปาร์ค Database System Ocean Theme Park ผูจ้ ดั ทำโครงการ นายพงศกร สนุ ทรกจิ รหัสนักศกึ ษา 42363 นายนวรัตน์ อยู่สวสั ด์ิ รหัสนักศึกษา 42369 อาจารยท์ ีป่ รกึ ษาหลกั นายภาคิน แมน้ จริง รหสั นักศกึ ษา 42440 อาจารย์ท่ปี รกึ ษาร่วม อาจารยส์ มาภรณ์ เยน็ ดี สาขาวชิ า อาจารยส์ มุ ลฑา สุขสวัสดิ์ สถาบัน เทคโนโลยธี ุรกจิ ดิจทิ ลั วิทยาลยั เทคโนโลยอี รรถวิทย์พณชิ ยการ ปีการศกึ ษา 2565 บทคัดย่อ คณะผู้จัดทําได้คิดทำโครงการนี้นั้นเพื่อสร้างระบบเรื่อง ระบบการจัดการฐานข้อมูลสวนสนกุ โอเชี่ยนปาร์ค วัตถุประสงค์ของโครงการนี้เพื่อให้การซื้อตั๋วสวนสนุกได้สะดวกและรวดเร็ว เพื่อ ทดสอบระบบได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มข้อมูล หรือจะแก้ไขข้อมูลก็ทำได้ง่าย ๆ และยังสามารถ ตรวจสอบขอ้ มูลสมาชกิ ได้ โครงการสวนสนุกโอเชี่ยนปาร์คเป็นการประยุกต์สื่ออินเทอร์เน็ตมาใช้ในการ ดำเนินธุรกิจ ท่ี นิยมกนั มาก ณ ปัจจุบัน คอมพิวเตอรไ์ ดม้ ีการขยายเพมิ่ อยา่ งรวดเรว็ พร้อมกบั พฒั นา ด้านอินเทอรเ์ น็ต และเว็บ ทำให้หน่วยงานและบุคคลต่าง ๆ ได้ใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์มากขึ้นใน ปัจจุบันพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ได้ครอบคลุมธุรกรรมหลายประเภท เช่น การเก็บข้อมูลลูกค้า ข้อมูลพนักงาน การซื้อ ตั๋ว การเก็บข้อมูลลูกค้าผ่าน อินเทอร์เน็ตทำให้สะดวกสบายต่อพนักงานไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถ ตรวจสอบได้ สามารถเพิ่มหรือดขู อ้ มูล ของลูกคา้ ได้ เพ่อื อํานวยความสะดวกในการเดินทางที่สวนสนุก ทำให้การบนั ทกึ ข้อมลู เปน็ เรือ่ งทงี่ า่ ย และสามารถจาํ กัดขอบเขตให้ตรงตามความตอ้ งการมากยิ่งขึน้ ประโยชน์ของการจัดการสวนสนุกโครงการนี้เป็นประโยชน์ให้กับ ลูกค้า ที่ต้องการความ สะดวกสบายและปลอดภยั ดงั้ น้ันเราจงึ สรา้ งระบบนขี้ ้ึนมา เพ่อื ให้ลูกคา้ ไดท้ ดลองใช้ ข
กติ ตกิ รรมประกาศ โครงการระบบจัดการฐานข้อมูลสวนสนุกโอเชี่ยนปาร์ค ฉบับนี้ได้ จัดทำ ขึ้นมาด้วยความ ต้ังใจและความพยายามเป็นอย่างมากโดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกท่านที่เกี่ยวข้องกับ โครงการฉบับนไี้ ม่ว่าจะเปน็ ท่านอาจารย์ทกุ ท่านรวมถงึ เพอ่ื น ๆ และผทู้ ีม่ ีสว่ น รว่ มในโครงการฉบับน้ี ขอขอบพระคุณอาจารย์สมาภรณ์ เย็นดี ที่ปรึกษาโครงการ และ อาจารย์สุมลฑา สุขสวัสด์ิ ที่ปรึกษาร่วมโครงการที่ได้ให้การสนับสนุนให้ความช่วยเหลือรวมทั้งคำปรึกษา และคำแนะนำ ตลอด การทำโครงการ รวมท้ังท่านอาจารย์สาขาวิชาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัลทุกท่านที่คอย ตักเตือนส่วนท่ี ผิดพลาดของโครงการนี้ ขอขอบคุณวิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการที่ได้ เอ้ือเฟื้อตำราจาก ห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับโครงการพร้อมทั้งขอบพระคุณท่านคณะกรรมการในการ สอบโครงการที่ให้คำ ติชมในการสอบวิชาโครงการเพื่อท่ีคณะผูจ้ ัดทำได้นำไปปรับปรุง แก้ไขในส่วนที่บกพร่องให้ดีข้ึนเพื่อท่ี โครงการในครั้งนจ้ี ะไดอ้ อกมาสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณพ่อแม่ บุคคลภายในครอบครัวทุกท่านที่คอยให้กำลังใจและให้โอกาสใน การศึกษาที่วิทยาลัยเทคโนโลยีอรรถวิทย์พณิชยการ รวมท้ังเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยช่วยให้คำปรึกษา ร่วมทุกขร์ ว่ มสุขและอุปสรรคตา่ ง ๆ ไปดว้ ยกนั จนทำให้การดำเนนิ การวชิ าโครงการนี้ได้ลุล่วงและผ่าน ไปดว้ ยดี นวรตั น์ อยูส่ วสั ดิ์ พงศกร สุนทรกจิ ภาคนิ แมน้ จรงิ ค
คำนำ การจัดทำโครงงานน้ีเป็นส่วนหนึ่งของวิชาโครงงาน 1 (30204-8502) และ โครงงาน 2 (30204-8503) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ โดยคณะผู้จัดทำได้ จัดทำโครงงานเรื่อง ระบบการจัดการฐานข้อมูล สวนสนุกโอเชี่ยนปาร์ค โดยมีการสร้างระบบ ฐานข้อมูลเพือ่ นำเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการซอื้ ตวั๋ สวนสนุกโอเชีย่ นปาร์ค โครงงานที่ทางคณะผู้จัดทำได้จัดทำน้ัน ประกอบไปด้วยวัตถุประสงค์ของโครงการ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการพัฒนา การซื้อตั๋วเพื่อเข้าสวนสนุกซึ่งมีกระบวนการในการทำงานที่ เป็นระบบมากยิ่งขึ้น สามารถแบ่งส่วนการทำงานออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ คือ การทำงานในส่วนของ ผู้ดูแลระบบ และ การทำงานในส่วนของผู้ใช้งานทั่วไป ถูกเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น และสะดวกต่อผู้ใช้มา ย่ิงขึน้ เทคโนโลยสี มยั ใหมท่ ำใหล้ ดความซำ้ ซ้อนของข้อมูล เพ่มิ ความเรว็ และงา่ ยตอ่ การทำงาน ในการ จัดทำโครงการนเ้ี กย่ี วกับการเก็บข้อมลู ขอลลกู ค้า ระบบฐานข้อมลู ประเภทฐานข้อมูล เหมาะสำหรับผู้ ที่มีความสนใจเกี่ยวกับการซื้อตั๋วเข้าที่เป็นระเบียบ ไม่ต้องกังวลกับข้อมูลที่จะ สูญหาย หรือ เสียหาย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ท่ีสนใจระบบมีความสะดวกรวดเร็ว มีความถูกต้องมายิ่งขึ้นและยังช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทำงานรวมถึงสามารถลดการใช้ทรัพยากรได้อีกด้วย ทั้งนี้คณะผู้จัดทำ จึงจัดทำ ระบบการจดั การฐานขอ้ มลู เพอ่ื ใหค้ วามสะดวกสบายแกผ่ ู้ที่สนใจในการซอื้ ตั๋วเขา้ สวนสนุก หากโครงการน้ีมีข้อผิดพลาดประการใด ทางคณะผู้จัดทำ ขออภัยไว้ ณ ที่น้ี และจะ ดำเนนิ การพฒั นาผลงานทางดา้ นคอมพิวเตอรใ์ ห้พฒั นาใหด้ ขี นึ้ ไป คณะผู้จัดทำ 28 กมุ ภาพันธ์ 2565 ง
สารบัญ หน้า ก หนา้ อนุมัติ ข บทคัดยอ่ ค กติ ตกิ รรมประกาศ ง คำนำ จ สารบญั ช สารบญั รูป ฌ สารบญั ตาราง บทที่ 1 บทนำ 1 2 1.1 ภมู ิหลังและความเปน็ มา 2 1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 2 1.3 ขอบเขตการศกึ ษา 3 1.4 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รับ 4 1.5 แผนการดำเนินงาน 5 1.6 เครื่องมือท่ีใชพ้ ัฒนาโปรแกรม 1.7 งบประมาณการดำเนินงาน 6 บทท่ี 2 ระบบงานและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 7 2.1 ระบบงานในปจั จบุ ัน 7 2.2 ปัญหาระบบงานในปจั จบุ นั 40 2.3 ทฤษฎีทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 2.4 ระบบงานท่ีเกี่ยวขอ้ ง 41 บทท่ี 3 การออกแบบระบบงานดว้ ยคอมพวิ เตอร์ 41 3.1 การออกแบบแผนภาพความสัมพนั ธข์ องขอ้ มูล (E-R Diagram) 44 3.2 พจนานุกรมข้อมูล (Data Dictionary) 47 3.3 การออกแบบแผนภาพแนวความคิด (Story Board Design) 47 3.4 การออกแบบสง่ิ นำเข้า (Input Design) 3.5 การออกแบบสง่ิ นำออก (Output Design) 48 บทท่ี 4 การพฒั นาระบบการจัดการฐานขอ้ มลู สวนสนุกโอเชยี่ นปาร์ค 48 4.1 เครอ่ื งมือและอปุ กรณ์ทใ่ี ช้ 49 4.2 โปรแกรมทใ่ี ชใ้ นการพฒั นา 4.3 การตดิ ตั้งโปรแกรมและระบบ จ
สารบัญ (ต่อ) หน้า 52 4.4 วิธีการนำไปใช้งาน บทที่ 5 สรุปผลการทำโครงการ 56 56 5.1 สรุปผลโครงการ 57 5.2 ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนนิ งาน 59 5.3 สรุปเวลาการทำงานจริง (Gantt Chart) 60 5.4 สรปุ ค่าใชจ้ ่ายในการดำเนินการจรงิ 61 บรรณานุกรม 62 ภาคผนวก 63 - ใบขอเสนออนุมัติโครงการระบบคอมพวิ เตอร์ (ATC.01) 64 - ใบขอเสนออาจารย์ทปี่ รึกษาร่วมโครงการ (ATC.02) 66 - ใบขอสอบโครงการระบบคอมพิวเตอร์ธุรกจิ (ATC.03) 68 - ใบรายงานความคืบหนา้ โครงการระบบคอมพิวเตอรธ์ รุ กิจ (ATC.04) 78 - ใบบนั ทกึ การเขา้ พบทปี่ รึกษาโครงการ (ATC.05) 79 - ใบขออนุญาตอาจารยท์ ป่ี รึกษาร่วมจัดทำ เอกสารบทท่ี 4-5 (ATC.06) 83 - ใบรบั รองการนำไปใช้ประโยชน์ได้จรงิ (ATC.07) ประวตั ิผจู้ ัดทำโครงการ ฉ
สารบัญรปู หน้า 9 รปู ที่ 2.1 โครงสรา้ งของขอ้ มูล 16 รูปท่ี 2.2 ฐานขอ้ มูลแบบลำดบั ชน้ั 16 รูปท่ี 2.3 ฐานขอ้ มูลแบบเครอื ข่าย 17 รูปท่ี 2.4 ฐานข้อมูลแบบเชงิ สมั พนั ธ์ 18 รปู ที่ 2.5 แสดงแอททรบิ ิวต์ รีเลชัน่ และทูเพลิ 20 รูปท่ี 2.6 ตวั อยา่ งข้อมูลเลขที่ใบกำกับการเช่าหอ้ งพกั 21 รูปที่ 2.7 ตวั อย่างความสัมพนั ธ์แบบหนงึ่ ต่อหนง่ึ 21 รปู ที่ 2.8 ตวั อย่างความสัมพันธ์แบบหนึง่ ต่อกลุม่ 21 รปู ที่ 2.9 ตวั อย่างความสัมพนั ธแ์ บบกลมุ่ ต่อกลมุ่ 25 รปู ท่ี 2.10 รูปแบบฐานข้อมลู แบบลำดับขนั้ 26 รปู ท่ี 2.11 รูปแบบฐานขอ้ มลู แบบเครอื ข่าย 32 รปู ที่ 2.12 รูปแสดงการทำงานของระบบ Process 33 รูปที่ 2.13 แสดงแหลง่ จดั เก็บขอ้ มูล Data Store 33 รูปท่ี 2.14 แสดงเสน้ ตรงท่มี หี ัวลกู ศรตรงปลายเพ่ือบอกทิศทางการไหลข้อมูล 33 รูปท่ี 2.15 รปู แสดงทิศทางการสง่ เง่ือนไขเพ่อื กระตุ้นกระบวนการให้มกี ารทำงานเกิดขึ้น 34 รูปที่ 2.16 แสดงชอ่ื ของ External Agent 35 รปู ที่ 2.17 รปู แสดง Context Diagram 36 รปู ที่ 2.18 โปรแกรม Microsoft access 2010 41 รูปท่ี 3.1 ER Diagram ระบบฐานข้อมูลสวนสนกุ โอเชี่ยนปาร์ค 44 รูปท่ี 3.3 หนา้ เขา้ สู่ระบบ 44 รูปที่ 3.4 หน้าเมนู 45 รปู ท่ี 3.5 ขอ้ มูลลูกคา้ 45 รปู ที่ 3.6 ขอ้ มูลเคร่ืองเล่นและต๋วั 46 รปู ที่ 3.7 ขอ้ มูลใบเสรจ็ 46 รปู ที่ 3.8 ขอ้ มลู พนกั งาน 49 รปู ท่ี 4.1 หนา้ จอโหลดโปรแกรมระบบฐานขอ้ มลู สวนสนุกท่ี Google Drive 49 รปู ที่ 4.2 หน้าจอแสดงเม่ือคลิกขวาแลว้ กดดาวน์โหลด 50 รปู ที่ 4.3 ไฟล์Zip ระบบฐานข้อมลู สวนสนุกโอเชีย่ นปาร์ค 50 รูปที่ 4.4 หนา้ จอแสดงการแตกไฟล์ ช
สารบญั รปู (ตอ่ ) หน้า 51 รูปที่ 4.5 หน้าจอแสดงเมือ่ แตกไฟลเ์ สรจ็ แลว้ 51 รูปท่ี 4.6 หนา้ จอแสดงขอ้ มูลในโฟลเดอร์ 52 รูปที่ 4.7 หนา้ จอแสดงเม่อื เข้าส่โู ปรแกรมระบบการจดั การฐานขอ้ มลู สวนสนกุ แลว้ 52 รูปท่ี 4.8 หนา้ จอเขา้ ส่รู ะบบ 53 รูปท่ี 4.9 หน้าจอเมนู 53 รูปท่ี 4.10 หนา้ จอขอ้ มลู ลูกค้า 54 รปู ท่ี 4.11 หนา้ จอข้อมลู เครอื่ งเลน่ 54 รูปท่ี 4.12 หน้าจอใบเสร็จ 55 รปู ท่ี 4.13 หน้าจอราคารวม Subform ซ
สารบัญตาราง หน้า 3 ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน (Gantt Chart) 5 ตารางท่ี 1.2 งบประมาณการดำเนินงาน 19 ตารางท่ี 2.1 ตารางการเปรียบเทียบคำศพั ท์ที่เรยี กใชก้ ับฐานขอ้ มลู เชิงสัมพนั ธ์ 27 ตารางท่ี 2.2 ตารางแสดงประวตั ิพนักงาน 27 ตารางท่ี 2.3 ตารางแผนก 28 ตารางท่ี 2.4 ตารางขอ้ มูลโครงการ 28 ตารางที่ 2.5 ตารางใหม่ แสดงการสร้างตารางรหสั พนักงานวา่ อยูแ่ ผนกไหน 30 ตารางที่ 2.6 สัญลักษณ์แสดงแผนภาพ E-R Diagram 31 ตารางท่ี 2.7 ตารางแสดงสัญลักษณ์ทใี่ ชใ้ นแผนภาพกระแสขอ้ มลู 42 ตารางท่ี 3.1 ตารางข้อมลู ลูกค้า 42 ตารางท่ี 3.2 ตารางสินค้า 43 ตารางท่ี 3.3 ตารางการขาย 43 ตารางท่ี 3.4 ตารางใบเสรจ็ 43 ตารางที่ 3.5 ตารางพนกั งาน 56 ตารางที่ 5.1 แสดงขนาดของโปรแกรม 57 ตารางท่ี 5.2 สรุปเวลาการดำเนนิ งานจริง 59 ตารางที่ 5.3 สรปุ ค่าใช้จา่ ยในการดำเนินงานจรงิ ฌ
บทที่ 1 บทนำ 1.1 ภมู ิหลงั และความเป็นมา โปรแกรมฐานข้อมูลที่อำนวยความสะดวกในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลท่ีมีความสัมพันธ์กัน หลายๆข้อมูลซ่ึงสามารถลบ เพ่ิม และแก้ไขข้อมูลได้อย่างง่ายดาย ช่วยลดความยุ่งยากที่เกิดข้ึน ของ เอกสาร เพราะมีข้อมูลมาเท่าไหร่ก็ย่ิงมีเอกสารมากข้ึนเร่ือย ๆ จึงนำโปรแกรมฐานข้อมูลเข้ามา ช่วย จัดเก็บข้อมูลให้อยู่ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ทั้งนี้ยังสามารถสร้างแบบฟอร์ม Application ใน การคำนวณหาผลลัพธ์ต่าง ๆ จากสมการคณิตศาสตร์ สามารถสร้างรายงานในแต่ละเดือและช่วย คำนวณหรือรายงานออกมาได้อกี ด้วย และลดระยะเวลาในการทำงานในแต่ละข้ันตอนรวมถึงการวาง แผนการดำเนินการให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในปัจจุบันน้ีด้วยเทคโนโลยีท่ีทันสมัยทำให้มี โปรแกรม ฐานข้อมูลให้เราได้เลือกใช้มากมายแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมกับงาน สถานท่ีอุปกรณ์ และ บคุ คล การจัดทำโครงการนี้เปน็ โครงการเกี่ยวกับระบบฐานขอ้ มลู ทมี่ ีชอื่ เรียกว่า ระบบจัดการ สวนสนกุ โอเชีย่ นปาร์คมีระบบในการจดั การตรวจสอบจำนวนเคร่ืองเล่นภายในสวนสนุกโอเชี่ยนปาร์ค มีการจำหน่ายต๋ัวท่ีจำหน่ายไปแล้วจำนวณเท่าไหร่ และยอดคงเหลือเท่าไหร่ ซ่ึงระบบการจัดการ ฐานข้อมูลสวนสนุกโอเช่ียนปาร์คจะช่วยทำรายงานของสวนสนุกโดยท่ีคีย์ข้อมูลลงไปในระบบเพ่ือทำ การค้นหาและตรวจสอบโดยไม่ต้อง หาเอกสารหรือสมุดบันทึกแล้วไล่ดูข้อความจำนวนมากที่เรา บนั ทึกไวห้ ากมี ขอ้ มูลที่คีย์ลงไปสามารถจะตรวจสอบการเพม่ิ -ลดชนิดและจำนวนของตั๋วได้โดยการใส่ รหัสสามารถป้องกันข้อมูลได้โดยระบบ Login ซ่ึงจะมีเพียงพนักงานของทางสวนสนุกเท่าน้ัน ที่จะ สามารถเข้าใช้งาน ปรับปรุง เพ่ิม-ลด แก้ไข ข้อมูลของต๋ัวได้เพ่ือรักษาความปลอดภัย จากท่ีกล่าวมา คณะผู้จัดทำจึงพัฒนาระบบการจัดการฐานข้อมูลเก่ยี วกับการจัดการต๋ัวภายในสวนสนุกโอเชีย่ นปาร์ค เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับธุรกิจการค้าและสร้างความสะดวกในการตรวจสอบ สินค้าภายในสวนสนุก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูลที่เราจัดทำข้ึนมากยิ่งขึ้น ท้ังนี้คณะ ผู้จัดทำได้ คำนงึ ถึงความสามารถในการตอบสนองความตอ้ งการของผ้ใู ช้ เพื่อให้มคี วามสมบูรณ์มากย่งิ ขน้ึ จากท่ีกล่าวมา คณะผู้จัดทำระบบฐานข้อมูลเร่ืองสวนสนุกโอเช่ียนปาร์ค ได้นำเสนอใน รูปแบบของระบบฐานข้อมูลเพ่ือสร้างความเข้าใจของทางสวนสนุกและสามารถเรียนรู้เรื่องราวของ สวนสนุกโอเช่ียนปาร์ค ว่ามีข้ันตอนอย่างไรในการท่ีจะนำไปพัฒนาเป็นฐานข้อมูลมูลอื่น ๆ ได้ เพื่อ ตอบสนองความต้องการและความสะดวกสบายของผู้ใช้ระบบฐานข้อมูลที่เราจัดทำข้ึน ท้ังน้ีคณะ ผ้จู ัดทำไดค้ ำนงึ ถงึ ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผูใ้ ช้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
1.2 วัตถุประสงค์โครงการ 1. เพอื่ ใหผ้ ใู้ ช้สามารถเข้ามาเลอื กซ้ือตว๋ั สวนสนกุ ได้สะดวกยิ่งข้นึ 2. เพื่อพฒั นาระบบฐานขอ้ มูลที่มคี วามถกู ตอ้ งแม่นยำในการตรวจสอบข้อมลู 3. เพ่ือสร้างฐานขอ้ มลู เรื่อง ระบบฐานขอ้ มูลสวนสนกุ 4. เพอ่ื พัฒนาต่อยอดระบบฐานขอ้ มูลในการทำงาน 1.3 ขอบเขตการศึกษา ส่วนของสมาชกิ ผู้ใชง้ าน 1. สมัครสมาชิก 2. ดูรายละเอียดการใช้บรกิ าร 3. แกไ้ ขข้อมูลสว่ นตัว 4. การออกแบบหน้าฟอรม์ การทำงาน สว่ นผู้ดูแลระบบ administrator 1. เพมิ่ /ลบ/แกไ้ ข 2. เรียกดขู อ้ มลู 3. ดสู รุปรายงาน 4. รายละเอียดของสมาชิก 1.4 ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ ับ 1. ไดค้ วามสะดวกรวดเร็วในการส่งั ซ้ือตัว๋ สวนสนกุ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ 2. ไดพ้ ฒั นาระบบฐานข้อมลู ทีถ่ ูกต้องและแม่นยำในการตรวจสอบขอ้ มลู 3. ไดฐ้ านข้อมูลเร่อื ง ระบบฐานขอ้ มลู สวนสนุก 4. ไดค้ วามรูแ้ ละวธิ ีการดำเนนิ การทำระบบฐานข้อมูลของสวนสนุก 2
1.5 แผนการดำเนินงาน (Gantt Chart) รายการ มิถนุ ายน 65 กรกฎาคม 65 สงิ หาคม 65 กนั ยายน 65 ระยะเวลา ภาคเรยี นที่ 1 1234123412341234 เสนอหวั ข้อ ATC.01 5-10 มิ.ย. 65 ประกาศผลรอบที่ 1 13 มิ.ย. 65 เสนอหัวขอ้ รอบท่ี 2 14-16 ม.ิ ย 65 ประกาศผล รอบที่ 2 17 มิ.ย. 65 เสนออาจารยท์ ี่ปรึกษา 13 -30 ร่วม ATC.02 มถิ ุนายน 65 ส่งเอกสารบทท่ี 1 สมบูรณ์ 14- มิ.ย. 65 ถึง 8 ก.ค. 65 สง่ เอกสารบทที่ 2 9-31 ก.ค. 65 สมบูรณ์ ส่งเอกสาร บทท่ี 3 1-31 ส.ค. 65 สมบรู ณ์ 5-23 ก.ย. 65 สอบนำเสนอโครงงาน ATC.03 ครัง้ ที่ 1 26-30 ก.ย. 65 ส่งเอกสารโครงงาน ปก ,บทที่ 1-3 ตลุ าคม 65 รายละเอยี ดในการเข้าพบที่ปรึกษาร่วม บรรณานกุ รม 1234 ATC 01-05 โครงรา่ งช้ินงาน ออกแบบโลโก้ ชือ่ แบรนด์ 3-9 ต.ค. 65 ติดตามความคืบหน้าโปรแกรม อาจารย์ทปี่ รึกษารว่ ม การลงเนือ้ หา จัดวางรปู ภาพ สีที่ใช้ 10-16 ต.ค. 65 ส่งความคบื หนา้ โปรแกรม 20 % การเช่อื มโยง การตั้งช่ือ 17-23 ต.ค. 65 สง่ ความคืบหน้าโปรแกรม 40 % ระบบเร่มิ ใช้งานได้ 24-31 ต.ค. 65 ส่งความคบื หนา้ โปรแกรม 60 % ส่งความคืบหนา้ โปรแกรม 80 % ตารางท่ี 1.1 แผนการดำเนินงาน 3
รายการ พฤศจกิ ายน 65 ธนั วาคม 65 มกราคม 66 กุมภาพนั ธ์ 66 ระยะเวลา ภาคเรียนที่ 2 1234 1234 1234 1234 1-7 พ.ย. 65 สง่ ความคืบหนา้ โปรแกรม 100 % 26 พ.ย. 65 สอบนำเสนอโครงงาน ระดบั ปวส.2 - ปวช.3 1-16 ธ.ค. 65 ATC.03 ครง้ั ท่ี 2 1-30 ม.ค. 66 ส่ง ATC.06 20 ธ.ค. - 23 ม.ค. 66 สง่ ATC.07 31 มกราคม ส่งเอกสาร บทท่ี 4 2566 สมบูรณ์ 1-7 ก.พ.66 ส่งเอกสาร บทที่ 5 สมบูรณ์ 8-14 ก.พ.66 บทคัดย่อ กิตตกิ รรมประกาศ คำนำ 15-19 ก.พ.66 สารบญั สารบญั รูป สารบญั ตาราง ประวตั ผิ ้จู ัดทำ หน้าอนุมัติ ภาคผนวก ATC.04-05 20-27 ก.พ.66 ส่งเลม่ โครงงาน 28 ก.พ.66 สง่ ไฟล์เอกสาร Word PDF โปรแกรม ไฟลรวม PDF ไม่เกิน 10 มนี าคม 2566 ตารางที่ 1.1 แผนการดำเนินงาน (ต่อ) 1.6 เครื่องมือท่ีใช้พัฒนาโปรแกรม 1. โปรแกรม Microsoft Access 2010 ใชใ้ นการสรา้ งฐานข้อมลู 2. โปรแกรม Microsoft Word 2019 ใช้ในการจัดทำเอกสาร 4
1.7 งบประมาณการดำเนินงาน จำนวน ราคา (บาท) ลำดบั รายการ 2 รีม 240 1 ตลบั 450 1 กระดาษ A4 1 เลม่ 200 2 ตลับหมึกพมิ พ์ 300 3 คา่ เขา้ เลม่ รวมเปน็ เงิน 1190 4 อืน่ ๆ ตารางท่ี 1.2 งบประมาณการดำเนนิ งาน 5
บทที่ 2 ระบบการจัดฐานขอ้ มลู สวนสนกุ โอเชยี่ นปาร์ค และทฤษฎที ่เี ก่ียวขอ้ ง 2.1 ระบบงานในปจั จบุ นั ฐานข้อมูล คือ ชุดของสารสนเทศที่มีโครงสร้างสม่ำเสมอ ชุดของสารสนเทศใด ๆ ก็ อาจ เรียกว่าเปน็ ฐานขอ้ มลู ไดถ้ ึงกระน้ัน คำว่าฐานข้อมูลน้มี ักใชอ้ ้างถึงขอ้ มลู ท่ปี ระมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ และถูกใช้ส่วนใหญ่เฉพาะในวิชาการคอมพิวเตอร์ บางครั้งคำนี้ก็ถูกใช้เพื่ออ้างถึงข้อมูลที่ยังมิได้ ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์เช่นกันในแง่ของการวางแผนให้ข้อมูลดังกล่าวสามารถประมวลผลด้วย คอมพิวเตอร์ได้ ฐานข้อมูลในลักษณะที่คล้ายกับฐานข้อมูลสมัยใหม่ถูกพัฒนาเป็นครั้งแรกในทศวรรษ 1960 ซึ่งผูบ้ ุกเบิกในสาขานีค้ อื ชาลส์ บากแมน แบบจำลองข้อมูลสำคัญสองแบบเกดิ ขึ้นในช่วงเวลาน้ี ซึ่งเริ่มต้นด้วยแบบจำลองข่ายงาน (พัฒนาโดย CODASYL) และตามด้วยแบบจำลองเชิงลำดับชั้น (นำไปปฏิบัติใน IMS) แบบจำลองทั้งสองแบบนี้ ในภายหลังถูกแทนที่ด้วย แบบจำลองเชิงสัมพันธ์ ซ่ึง อยู่ร่วมสมัยกับแบบจำลองอีกสองแบบ แบบจำลองแบบแรกเรียกกันว่า แบบจำลองแบนราบ ซึ่ง ออกแบบสำหรับงานที่มีขนาดเล็กมาก ๆ แบบจำลองร่วมสมัยกับแบบจำลองเชิงสัมพันธ์อีกแบบ คือ ฐานขอ้ มลู เชิงวตั ถุ หรือ โอโอดีบี3 (OODB) ในปัจจุบันการจัดเก็บเอกสารที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเอกสารที่ถูกจัดเก็บอยู่ใน รูปแบบของฐานช้อมลู ใส่เข้าแฟ้มแล้วนำเก็บเข้าชั้นแฟ้มเอกสารจะมีความลำบากในการจัดเก็บ ดูแล รักษา ซ่ึงการเอาเทคโนโลยี database สมัยใหม่มาใช้ในการบรหิ ารจัดการเอกสารทางบริษัทโอเช่ียน ปาร์ค เป็นบริษัทที่เกี่ยวกับบริหารสวนสนุกต้องมีแบบฟอร์มเอกสารมากมายในการทำงาน จะลำบาก มากหากยังมกี ารจัดเก็บแบบฟอร์มเอกสารในรูปแบบฐานขอ้ มูล การนำระบบงาน มาจัดการหมวดหมู่ ของเอกสารทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้งาน ทำให้บริษัทโอเชี่ยนปาร์ค เป็นบริษัทที่ทันสมัยที่นำระบบ database เข้ามาจัดการเอกสาร เป็นการแก้ไขหาที่ถูกจุด และยังคงเก็บเอกสารอยู่ในสภาพที่ดี ทั้งน้ี ยังเป็นการลดปริมาณการใช้ทรัพยากร ลดเวลา ลดพื้นที่และสถานที่ในการจัดเก็บ ให้กับผู้ที่สามารถ ทำการจัดการเอกสารทีมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าการจัดเก็บเอกสารในรูปแบบของกระดาษทั้งในด้าน ปริมาณการใช้ทรัพยากรและการสำรองข้อมูลป้องกันข้อมูลเอกสารจะสูญหายหรือเสียหายน้อยลง เน่อื งจากเก็บจัดเก็บข้อมลู เปน็ ฟอร์มเอกสารเป็นตน้ ดงั นนั้ ในโครงงานนี้จงึ ไดม้ ีแนวความคิดทจ่ี ะนําระบบจดั การระบบฐานข้อมลู มาใช้จดั การงาน เอกสาร เพื่อช่วยในการพัฒนากระบวนการททำงานจากเดิมที่จะต้องเขียนด้วยลายมือ และจัดเก็บอยู่ ในรูปแบบกระดาษ ไปเป็นกทำงานในการทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ จัดเก็บเปน็ ข้อมลู ไฟต์
2.2 ปัญหาระบบงานในปัจจุบัน 1. การบนั ทกึ ข้อมูลทำไดล้ า่ ช้าเพราะมีข้อมลู เป็นจำนวนมาก 2. การตรวจสอบการแกไ้ ขอาจทำไดย้ ากหากมขี อ้ มลู จำนวนมาก 3. การแก้ไขและคน้ ข้อมลู ทำไดช้ า้ และอาจเสยี เวลาในการทำงาน 4. การทำงานจะเกบ็ ข้อมลู เปน็ แบบเอกสาร ทำใหเ้ กดิ ความลา่ ช้าในการบรกิ าร 5. อาจเกิดความผิดพลาดในตัว๋ ไม่พอขายต่อลูกค้า ทำใหผ้ ดิ พลาดในการบรกิ าร 2.3 ทฤษฎที ่ีเก่ียวขอ้ ง หลักการของระบบฐานขอ้ มลู หลกั การของระบบฐานข้อมูลประกอบไปดว้ ย ระบบสารสนเทศ แนวคิดพื้นฐานของระบบสารสนเทศนั้น เป็นการพัฒนาในด้านเทคโนโลยี การประยุกต์ใช้ งาน การจัดการระบบสารสนเทศ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ในเรื่องของฮาร์ดแวร์ (Hardware) และซอฟต์แวร์ (Software) ทั้งด้านระบบ ข้อมูล โปรแกรมประยุกต์ และอื่น ๆ โดย ระบบคือกลุ่มขององค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน ถูกกำหนดให้ทำงานร่วมกัน เพี่อให้บรรลุ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ร่วมกัน โดยมีข้อมูลนำเข้า (Input) ป้อนผ่านเข้ากระบวนการเพื่อนำไป ประมวลผล (Processing) และสรา้ งผลลพั ธ์ (Output) ในรปู แบบตามทีต่ อ้ งการ ซึ่งระบบที่กล่าวถึงนี้เรียกว่า “ระบบสารสนเทศ” (Information System) ถือเป็นระบบของ การประมวลผลข้อมูล เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่เป็นสารสนเทศตามกระบวนการทำงานของระบบ คอมพิวเตอร์ที่เรียกกันว่า “วงจรไอพีโอ” ถ้ามองภาพระบบสารสนเทศในลักษณะที่ประกอบด้วย ฐานข้อมูลทีใ่ ช้จัดเก็บขอ้ มูล และโปรแกรมทีใ่ ช้ในการประมวลผลข้อมลู คือ ทง้ั รวบรวม บันทึก จัดเก็บ ดำเนนิ การ และค้นคืนข้อมลู จากรูปแบบของสารสนเทศนั้น ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งข้อมูลนั้นได้มีการจัดเก็บใน รปู แบบต่าง ๆ ต้งั แตใ่ นอดตี ทไี่ ดม้ ีการพัฒนาจดั เก็บเป็นแฟ้มขอ้ มลู ในส่ือข้อมูลต่าง ๆ มาจนในปัจจุบัน มีการจัดโครงสรา้ งข้อมูลให้เป็นแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพนั ธ์ท่ีกำลังเป็นท่ีนยิ มใช้งานกนั ในหน่วยงานที่มี การใช้งานระบบสารสนเทศด้านคอมพิวเตอร์ เพราะการจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูลจากปริมาณ ข้อมูลที่มีจำนวนมาก จะทำให้มีแฟ้มข้อมูลมีจำนวนมากด้วย ทำให้เกิดข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันข้อมูลท่ี ซ้ำซ้อนนี้จะก่อให้เกิดปัญหามากมาย จึงเป็นที่มาของการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลเป็นแบบ ฐานข้อมลู ขอ้ มลู ข้อมูล (Data) ในระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บนั้น ภายในเครื่องจะจัดเก็บแบบเลขฐานสอง เรียกเลขฐานสองแต่ละตัวว่า บิต (Bit) (Binary System) เช่น 0 หรือ 1 สถานะของเลขฐานสองจะมี 7
ค่าเป็น 0 กับ 1 เท่านั้น ส่วนที่ใช้เป็นข้อมูลด้วยการรวมกลุ่มเลขฐานสอง 8 ตัว (01010101) เรียกแต่ ละกลุ่มนว้ี ่า ไบต์ (Byte) โดยแตล่ ะไบตจ์ ะใชแ้ ทนตัวเลข ตวั อกั ษร และสญั ลกั ษณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีชนิดของ ขอ้ มลู แบ่งไดด้ ังต่อไปน้ี 1. ชนิดตัวเลข (Numerical Data or Number Data) เป็นข้อมูลเชิงจำนวนที่ประกอบด้วย ตวั เลขตา่ ง ๆ ท่นี ำไปใชใ้ นการคำนวณได้ 2. ชนิดตัวอักษร (Alphabetic Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยตัวอักษรต่าง ๆ มารวมกัน ไมม่ ีตัวเลข หรือสญั ลักษณ์อนื่ ใด หรอื ขอ้ มลู เปน็ ตัวเลข 0-9 ทน่ี ำไปใชใ้ นการคำนวณไม่ได้ 3. ชนิดข้อความ (Text of Character Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยอักขระต่าง ๆ มา รวมกัน นำไปใช้ในการคำนวณไม่ได้ ไมม่ รี ปู แบบทีแ่ นน่ อน 4. ชนิดที่เป็นรูปแบบหรือข้อมูลรหัส (Formatted Data or Code Data) เป็นข้อมูลท่ี ประกอบด้วยอักขระต่าง ๆ มารวมกัน มีรูปแบบแน่นอน อาจเป็นแบบรหัสที่ต้องมีการแปลงให้เป็น ข้อความเพื่อให้มีความหมายที่ชัดเจน เช่น รหัสสินค้า LCD17AA001 คือ สินค้าที่เป็นจอภาพแบบ แอลซีดี ย่ีห้อ AA ขนาด 17 นิ้ว เปน็ ต้น 5. ชนิดรูปภาพหรือภาพลักษณ์ (Images Data) เป็นข้อมูลประเภทรูปภาพ เช่น ภาพถ่าย ภาพท่ีเกดิ จากการสแกนภาพ ภาพท่เี กดิ จากการถ่ายดว้ ยกลอ้ งดิจทิ ัล เปน็ ต้น 6. ชนิดภาพเคลื่อนไหว (Moving Data) เป็นข้อมูลที่ประกอบด้วยภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพท่ี แตกต่างกันเล็กน้อย แล้วนำมาแสดงต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วจนกลายเป้นภาพเคลื่อนไหว (การแสดง ภาพเคล่อื นไหวควรใช้ความเรว็ ไม่ต่ำกวา่ 30 ภาพต่อวินาท)ี 7. ชนิดเสียง (Audio/Sound Data) เป็นข้อมูลที่เป็นเสียงพูด มีการใช้อุปกรณ์ช่วยในการ จัดเก็บ เช่น ไมโครโฟน เปน็ เครอ่ื งรับเสียงแลว้ แปลงข้อมลู เสยี งนน้ั เกบ็ ไว้ โครงสรา้ งแฟ้มขอ้ มลู โครงสร้างแฟ้มข้อมูล (Structure of Data File) ของระบบคอมพิวเตอร์นั้น ประกอบด้วย หนว่ ยขอ้ มลู ท่เี ลก็ ทส่ี ดุ ไปยงั หนว่ ยท่ีใหญท่ ่ีสดุ โดยจดั โครงสรา้ งพื้นฐานตามลำดับดังน้ี 1. บติ (Bit) คือ เลขฐานสอง ใช้แทนคา่ หน่วยท่ีเล็กทสี่ ดุ ของข้อมลู ในคอมพวิ เตอร์ โดยแต่ละ บติ มคี า่ เป็น 0 หรอื 1 เพยี ง 2 คา่ เท่านัน้ 2. ไบต์ (Byte) คือ เลขฐานสองจำนวน 8 บิตเรียงต่อกันเป็น 1 ไบต์ สามารถสร้างรหัสแทน ข้อมลู โดยแทนตวั อักษร ตัวเลข หรอื ตวั อกั ขระรวมกันไดถ้ งึ 256 ตัว ระบบคอมพวิ เตอร์ในปจั จุบันได้ มีการใช้รหัสที่เรียกว่า “ยูนิโค้ด” (Unicode) ซึ่งจะใช้แทนอักขระไดเ้ ป็นจำนวนมากกว่ารหัสแบบเดมิ การที่ต้องใช้รหัสแบบน้ีเนื่องจากปัจจุบันมีการใช้งานกราฟิกหรือแอนิเมชันต่าง ๆ มากมายจึงทำให้ รหสั แบบเดมิ มีไม่เพยี งพอในการแทนตวั อักขระท่เี ปน็ กราฟิกหรอื สัญลกั ษณ์พเิ ศษตา่ ง ๆ 3. เขตข้อมูล (Field) คือ การนำตัวอักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป มารวมกันเพื่อให้มีความหมาย เชน่ EMP_F_Name คือ เขตข้อมลู ท่ใี ช้เก็บชื่อพนักงาน 8
4. ระเบยี น (Record) การนำเขตขอ้ มูลหลาย ๆ เขตข้อมลู ทส่ี ัมพันธก์ นั มารวมกัน 5. แฟ้มขอ้ มูล (File) คือ ข้อมูลที่เปน็ ระเบียนประเภทเดยี วกันหลาย ๆ ระเบียนรวมกัน เช่น แฟม้ ข้อมูลพนักงาน ประกอบด้วยระเบยี นของพนกั งานทง้ั องคก์ ร รูปที่ 2.1 โครงสร้างของขอ้ มูล การจดั โครงสร้างแฟม้ ข้อมลู ข้อมูลต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นระเบียนจะถูกจัดเก็บอยู่ในแฟ้มข้อมูล มีการกำหนดวิธีการที่ ระเบียนของแฟ้มข้อมูลเหล่านั้นถูกจัดเก็บ ซึ่งจะอยู่บนอุปกรณ์ที่เป็นสื่อในการเก็บข้อมูล เพื่อให้การ จัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลมีความสะดวกรวดเร็วและถูกต้อง ดังนั้น การจัดโครงสร้างของ แฟ้มข้อมูลที่เป็นพืน้ ฐานสามารถแบง่ ได้เปน็ 3 ลักษณะดังน้ี 1. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ (Sequential File Organizations) เป็นการจัด แฟ้มข้อมูลในรูปแบบที่ระเบียนภายในแฟ้มข้อมูลจะเรียงตามลำดับที่ข้อมูลถูกบันทึก โดยอาจถูก บันทึกด้วยการเรียงตามลำดับของคีย์ฟิลด์ (Key Field) หรือไม่เรียงตามลำดับของคีย์ฟิลด์ก็ได้ข้อมูล จะถูกบันทึกลงในสื่อบันทึกข้อมูลข้อมูลจะถูกบันทึกในต่ำแหน่งที่อยู่ติด ๆ กันหรือห่างกันก็ได้การนำ ขอ้ มูลมาใชข้ องโครงสร้างแฟ้มขอ้ มูลแบบนจ้ี ะต้องทำการอ่านขอ้ มูลทลี ะระเบยี นเรื่อย ๆ ไปตามลำดับ จนถึงระเบียนที่เป็นข้อมูลที่ต้องการ จึงจะใช้ข้อมูลในระเบียนนั้นได้ โดยจะเข้าถึงข้อมูล โดยตรงไม่ได้ สำหรับโครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ ประกอบไปด้วยระเบียนที่จัดเรียงตาม ลำดับอย่าง ตอ่ เนอ่ื ง เม่ือสร้างแฟม้ ข้อมลู จะบันทึกระเบยี นเรียงตามลำดับ การบนั ทกึ ระเบียนจะ ถูกเขียนต่อเน่ือง ไปตามลำดับจากระเบียนที่ 1 ถึงระเบียนที่ N และการอ่านระเบียนภายในแฟ้มข้อมูล จะต้องใช้ วิธีการอ่านแบบต่อเนื่องตามลำดับ คือ อ่านตั้งแต่ต้นแฟ้มข้อมูลไปยังท้ายแฟ้มข้อมูล โดย จะต้องเริ่ม 9
อ่านตั้งแต่ระเบียนที่ 1, 2, 3,.. ไปเรื่อย ๆ จนถึงระเบียนที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้อง การอ่าน ระเบียนที่ 8 ก็ต้องอ่านระเบียนตามลำดับตั้งแต่ระเบียนที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ก่อนแล้ว จึงจะอ่าน ระเบยี นท่ี 8 ไต้ 2. โครงสรา้ งแฟ้มข้อมูลแบบลำดับตามดัชนี (Index File Organizations) เป็นวิธีการ เก็บข้อมูลโดย แต่ละระเบียนในแฟ้มข้อมูลจะมีค่าของคีย์ฟิลด์ที่ใช้เป็นตัวระบุระเบียนนั้น ค่าคีย์ฟิลด์ ของแต่ละ ระเบียนจะต้องไม่ซ้ำกับค่าคีย์ฟิลด์ในระบบอื่น ๆ ในแฟ้มข้อมูลเดียวกัน เพราะการ จัดโครงสร้าง แฟ้มข้อมูลแบบนี้จะใช้คีย์ฟิลด์เป็นตัวเข้าถึงข้อมูล การเข้าถึงข้อมูลหรือการอ่านระเบียน ใด ๆ จะ เข้าถงึ ไดอ้ ยา่ งสุ่ม การจัดโครงสร้างแฟ้มขอ้ มูลต้องบันทึกลงสื่ออุปกรณ์ที่เขา้ ถงึ ข้อมูลได้ โดยตรง เช่น จานแม่เหล็ก การ สร้างแฟ้มข้อมูลประเภทนี้ไม่ว่าจะสร้างครั้งแรกหรือสร้างใหม่ ข้อมูล แต่ละระเบียนต้องมีเขตข้อมูล หนึ่งใช้เป็นคีย์ฟิลด์ของข้อมูลระเบียนนั้น นอกจากจะเข้าถึงระเบียน ใด ๆ ได้เร็วขึ้นแล้ว ยังสามารถ เพิ่มระเบียนเข้าในส่วนใด ๆ ของแฟ้มข้อมูลได้ ในแต่ละแฟ้มข้อมูล ที่ถูกบันทึกลงส่ือข้อมลู จะมตี าราง ดชั นีทำให้เขา้ ถึงระเบียนใด ๆ ได้รวดเร็วข้นึ 3. โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (Relative File or Hashed File Organizations) เป็นโครงสร้างทีส่ ามารถเข้าถงึ ข้อมูลหรืออ่านระเบียนใด ๆ ได้โดยตรง วิธีนี้เป็นการจัดเรยี ง ข้อมูลเขา้ ไปในแฟ้มข้อมูลที่อาศัยเขตข้อมูลเป็นตัวกำหนดตำแหน่งของระเบียนนั้น โดยค่าคีย์ฟิลด์ของข้อมูลใน แต่ละระเบียนของแฟ้มข้อมูลจะมีความสัมพัทธ์กับตำแหน่งที่ระเบียนนั้นถู กจัดเก็บไว้ ใน หน่วยความจาํ คา่ ความสมั พัทธ์นี้เป็นการกำหนดตำแหน่ง (Mapping Function) ซ่งึ เป็นฟังก์ชัน ท่ีใช้ ในการเปลี่ยนแปลงคีย์ฟิลด์ของระเบียนนั้นให้เป็นตำแหน่งในหน่วยความจำ การจัดเก็บข้อมูล ลง แฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (Relative File) จะถูกจัดเก็บอยู่บนสื่อท่ีสามารถเข้าถึงได้โดยตรง เช่น แผ่น จานแม่เหล็ก ซึ่งการกำหนดตำแหน่งนี้จะทำการคำนวณปรับเปลี่ยนค่าคีย์ฟิลด์ของระเบียนให้ เป็น ตำแหน่งในหน่วยความจำ แฟ้มข้อมูลหลักนี้ประกอบด้วยระเบียนที่จัดเรียงตามตำแหน่งใน หน่วยความจาํ ซงึ่ จะเรียงจากระเบียนท่ี 1 จนถงึ N แต่จะไมเ่ รยี งลำดับตามคา่ ของคยี ฟ์ ิลด์ ระบบแฟ้มขอ้ มลู ระบบการจัดเกบ็ ข้อมูล (Data File System) ทีใ่ ชใ้ นงานคอมพิวเตอรน์ น้ั มวี ิวฒั นาการมา ตั้งแต่ยุคต้น ๆ ที่จัดเก็บคล้ายกับการจัดเก็บแฟ้มเอกสารต่าง ๆ ด้วยมือที่ดำเนินการอยู่ในสำนักงาน ทั่ว ๆ ไป แต่ในการจัดเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์จะได้ปริมาณที่มากกว่าในเนื้อท่ีเท่า ๆ กัน โดยที่จะ จัดเก็บเป็นระบบ สืบค้นข้อมูลเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และเรียกได้ตามที่ต้องการทันที หรือใช้ เวลาน้อยกว่า อย่างไรก็ตามการจัดเก็บข้อมูลแบบนี้ยังเกิดปัญหากับข้อมูลเมื่อแฟ้มข้อมูลมีจำนวน มาก ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของข้อมูล ทั้งของโปรแกรมและข้อมูลเชื่อมโยงต่อกัน เมื่อต้องการ เพิ่ม หรือแก้ไขโครงสร้างข้อมูลจึงต้องทำการแก้ไขปรับปรุงโปรแกรมใหม่ โดยใช้ผู้ชำนาญการเรื่อง โปรแกรมทำการแก้ไข ซ่ึงเป็นการยงุ่ ยากและเกดิ ปัญหาบ่อยครัง้ เมื่อมนุษย์เริม่ รู้จกั การใช้คอมพิวเตอร์ เพ่อื การประมวลผล จึงเร่มิ มีการพฒั นาภาษาโปรแกรม สำหรบั ใชใ้ นการประมวลผลข้อมลู เช่น ภาษา 10
ฟอร์แทรน (Fortran), โคบอล (Cobol), พแี อลวัน (PL/1), เบสกิ (Basic), ปาสคาล (Pascal), ภาษาซี (C) เป็นต้น มีการพัฒนาแนวความคิดของ การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้มข้อมูลประเภทต่าง ๆ แต่ แฟ้มข้อมูลมีขอ้ จำกัดในการใชง้ านหลายประการ เนื่องมาจากเหตผุ ลดงั น้ี 1. การประมวลผลกับระบบแฟ้มข้อมูลยุ่งยาก การดำเนินงานกับแฟ้มข้อมูลของระบบ คอมพิวเตอร์นั้น จำเป็นจะต้องเขียนคำสั่งต่าง ๆ ที่ถูกกำหนดในภาษาคอมพิวเตอร์ในโปรแกรม เพื่อ สร้างแฟ้มข้อมูล ส่วนโปรแกรมต้องพัฒนาขึ้นให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของภาษา เช่น หากภาษา คอมพิวเตอร์ที่ใช้นั้นกำหนดว่าจะต้องระบุชื่อแฟ้มข้อมูลในโปรแกรม ก็ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การใช้แฟ้มข้อมูลแบบนี้มีลักษณะจำกัดอย่างหนึ่งคือจะต้องระบุรายละเอียดของแฟ้ม วิธีการจัดแฟ้ม ข้อมูล และรายละเอียดของระเบียนที่อยู่ในแฟ้มเอาไว้ในโปรแกรมอย่างครบถ้วน หากผิดพลาดหรือ กาํ หนดไม่ครบก็จะทำให้โปรแกรมหางานผิดพลาดได้ 2. แฟ้มข้อมูลไม่มีความเป็นอิสระของข้อมูล ระบบแฟ้มข้อมูล ถ้ามีการแก้ไขโครงสร้าง ข้อมูลจะกระทบถึงโปรแกรมด้วย เนื่องจากในการเรียกใช้ข้อมูลที่เก็บอยู่ในระบบแฟ้มข้อมูลนั้น จะต้องใช้โปรแกรมที่เขียนขึ้นเพื่อเรียกใช้ข้อมูลในแฟ้มข้อมูลนั้น โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์ที่จะต้อง เขียนโปรแกรมเพอื่ อ่านขอ้ มูลจากแฟ้มข้อมูล และพิมพ์รายงานท่แี สดงเฉพาะขอ้ มูลทต่ี รงตาม เง่ือนไข ที่กำหนด กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล ทำให้ต้องมีการแก้ไขโปรแกรม ตามโครงสร้างของข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะแบบนี้เรียกว่า “ข้อมูลและโปรแกรมไม่เป็นอิสระ ต่อกัน\" 3. แฟ้มข้อมูลมีความซ้ำซ้อนมาก คือ ถ้าเก็บข้อมูลซ้ำซ้อนกันหลายแห่ง เมื่อมีการปรับปรุง ข้อมูลไม่ครบจะทำให้ข้อมูลเกิดความขดั แยง้ กัน และยงั เปลอื งเนือ้ ท่ีในการจดั เก็บข้อมลู ดว้ ย เนื่องจาก ขอ้ มลู ชดุ เดียวกนั จัดเก็บซำ้ กันหลายแหง่ น่ันเอง 4. แฟ้มข้อมูลมีความถูกต้องของข้อมูลน้อย เนื่องจากแฟ้มข้อมูลไม่สามารถตรวจสอบ กฎ ข้อบังคับความถูกต้องของข้อมูลได้ ถ้าต้องการควบคุมข้อมูล ผู้พัฒนาโปรแกรมต้องเขียน โปรแกรม เพอื่ ควบคมุ กฎระเบียบต่าง ๆ เองทง้ั หมด ถ้าเขียนโปรแกรมครอบคลมุ กฎระเบียบใด ไม่ครบหรือขาด หายไปบางกฎ อาจทำใหข้ ้อมลู ผิดพลาดได้ 5. แฟ้มข้อมูลมีความปลอดภัยน้อย แฟ้มข้อมูลไม่มีระบบการรักษาความปลอดภัยในการ ควบคุมเกี่ยวกับการเข้าใช้ข้อมูล ทุกคนจึงสามารถเรียกดูและเปลี่ยนแปลงข้อมูลได้ ก่อให้เกิดความ เสียหายต่อข้อมูลได้ และข้อมูลบางส่วนอาจเป็นข้อมูลที่ไม่อาจเปิดเผยได้หรือเป็นข้อมูลเฉพาะของ ผ้บู รหิ าร 6. ไม่มีการควบคุมจากศูนย์กลาง ระบบแฟ้มข้อมูลจะไม่มีการควบคุมการใช้ข้อมูลจาก ศูนย์กลาง เนื่องจากข้อมูลที่หน่วยงานย่อยใช้สามารถใช้ข้อมูลได้อย่างเสรีโดยไม่มีศูนย์กลางในการ ควบคุม ทำให้ไม่ทราบว่าหน่วยงานใดใช้ข้อมูลระดับใดบ้าง ใครเป็นผู้นำข้อมูลเข้า และมีสิทธิแก้ไข ขอ้ มูลหรือเรยี กใช้ขอ้ มลู หรือไม่ 11
ระบบแฟ้มข้อมูลเมื่อมีการใช้งานจนเกิดปัญหาต่าง ๆ ดังกล่าว จึงทำให้เกิดแนวคิดใน การ จัดการข้อมูลรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ระบบฐานข้อมูล” เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นและทำให้มี ประสิทธภิ าพดีกว่าเดมิ ซง่ึ มีวธิ ีและรปู แบบของการจดั เกบ็ และการใช้งานทแี่ ตกตา่ งจากกัน ลกั ษณะของฐานขอ้ มลู ลักษณะของฐานข้อมูล (Database) หมายถึง แฟ้มข้อมูลหลาย ๆ แฟ้มที่เก็บรวบรวมไว้ ด้วยกันทั้งในสถานที่เดียวกันหรือต่างสถานที่ แต่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน โดยมีการกำหนด รูปแบบของระเบียนที่ต้องการไว้ยังจุดศูนย์กลางเพียงที่เดียว เพื่อจะได้ควบคุมการแสดงผล การเก็บ รกั ษา และการดูแลแก้ไขให้เป็นรปู แบบเดียวกนั และจะตอ้ งกำหนดสิทธขิ องผใู้ ช้ท่ีจะสามารถดึงข้อมูล ออกมาเท่าทจ่ี ำเปน็ ในแต่ละหน่วยงานนน้ั ๆ เพื่อป้องกันข้อมลู รว่ั ไหลไปยงั ภายนอกองคก์ ร ตัวอย่างเช่น แฟ้มข้อมูลของนักศึกษาในวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จัดเก็บข้อมูลไว้แต่ละหน่วยงาน เช่น ฝ่ายธุรการจะจัดเก็บแฟ้มประวัติของนักศึกษา ฝ่ายทะเบียนและวัดจะจัดเก็บแฟ้มข้อมูลของ รายวิชาที่นักศึกษาได้ลงทะเบียนไว้ อาจารย์ประจำวิชาจะดึงข้อมูลจากฝ่ายทะเบียนที่นักศึกษาได้ ลงทะเบียนไวม้ ากรอกผลการเรียนในแตล่ ะรายวชิ า เมอ่ื ไดส้ อบวัดผลการเรียนเป็นท่ีเรียบร้อยแล้วฝ่าย ปกครองจะบันทึกพฤติกรรมของนักศึกษาที่กระทำผิดกฎระเบียบของวิทยาลัยโดยหักคะแนนความ ประพฤติ ซึ่งจะเห็นได้ว่าแต่ละฝ่ายจะทำงานในแต่ละด้านต่างกันแต่ใช้ฐานข้อมูลเดียวกัน โดยจะต้อง มีการจำกัดสิทธ์ิของผู้เช่าใช้งานในแต่ละด้านให้สามารถดู/แก้ไข/เพ่ิมเติมในสว่ นของฝ่ายนั้น ๆ โดยไม่ ทับซอ้ นกนั จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่าข้อมูลมีความสันพันธ์กันและเรียกใช้งานได้อย่างมี ประสิทธิภาพแต่กว่าจะมาเป็นฐานข้อมูลที่ดีได้นั้นจะต้องเกิดจากการร่วมกันพัฒนาทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และซอฟตแ์ วรท์ ด่ี ี และมรี ะบบการจัดการฐานขอ้ มลู ทด่ี หี รือเรยี กวา่ “DBMS” อีกด้วย ระบบฐานข้อมูล (Database System) ฐานข้อมูล (Database) หมายถึงกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กัน มาเก็บ รวบรวม เข้าไว้ ด้วยกันอย่างมีระบบและข้อมูลที่ประกอบกัน เป็นฐานข้อ มูลนั้น ต้องตรงตาม วัตถุประสงค์ การใช้ งานขององค์กรด้วยเช่นกัน เช่น ในสำนักงานก็รวบรวมข้อมูล ตั้งแต่หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ ที่มา ติดต่อจนถึงการเก็บเอกสารทุกอย่างของสำนักงาน ซึ่งข้อมูลส่วนนี้จะมีส่วนที่ สัมพันธ์กันและ เป็นที่ ต้องการนำออกมาใช้ประโยชน์ต่อไปภายหลังข้อมูลนั้นอาจจะเก่ียวกับบุคคล สิ่งของสถานที่ หรือ เหตุการณใ์ ด ๆ ก็ได้ที่สนใจศึกษา หรืออาจได้มาจากการสังเกต การนับหรือการวัดก็เป็นได้ รวมทั้งขอ้ มูลทเ่ี ป็นตวั เลขข้อความ และรปู ภาพตา่ ง ๆ กส็ ามารถนำมาจดั เกบ็ เป็นฐานข้อมูลได้ และท่ีสำคัญ ข้อ มูลทกุ อย่างตอ้ งมคี วามสัมพันธก์ นั เพราะตอ้ งการนามาใชป้ ระโยชนต์ อ่ ไปในอนาคต ระบบการจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) หมายถึง โปรแกรมหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาให้สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมจัดการข้อมูลที่ แต่ละหน่วยงานจัดเก็บลงในแฟ้มข้อมูล โดยให้มีความเกี่ยวข้องกันกับการใช้ฐานข้อมูล ซึ่งจะทำให้ 12
ผู้ใช้ได้รับความสะดวกในการนำข้อมูลมาใบ้ได้โดยง่าย และเกิดผลสัมฤทธิ์ตามจุดประสงค์ของแต่ละ หนว่ ยงาน ซ่งึ การเขา้ ถงึ ขอ้ มูลอาจจะมกี ารกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ตามท่ผี ู้ใช้ตอ้ งการ อาจไมจ่ ำเป็นต้อง รู้เรื่องโครงสร้างของฐานข้อมูลเลยก็ได้ ดังนั้น ระบบการจัดการฐานข้อมูลจึงเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่ ชว่ ยอำนายความสะดวกให้กบั ผ้ใู ช้ทสี่ ามารถส่ือสารกบั โปรแกรมต่าง ๆ ได้ ระบบการจดั การฐานขอ้ มูล ทีด่ จี ะต้องประกอบไปด้วย 1. การกำหนดหน้าทขี่ องฟงั ก์ชนั ตา่ ง ๆ ในการจัดการกบั ข้อมลู ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย 2. ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม DBMS จะต้องเป็นภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นกลางที่นัก โปรแกรมทุกเช้ือชาติสามารถเข้าใจได้ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภาษา SQL 3. สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือบำรุงรักษาได้โดยง่าย และต้องไม่ยึดติดกับนักเขียน โปรแกรมคนใดคนหน่ึง 4. ต้องมีการกำหนดสิทธิ์ของผู้ใช้ในแต่ละคนได้ เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ์และทำให้เกิด ความปลอดภัยของข้อมูลทอี่ าจจะมีผูน้ ำไปใช้ในทางท่ีไม่เหมาะสม 5. สามารถรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล โดยการสำรองข้อมูล (Backup) ได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง เช่น ไฟฟ้าดับ ข้อมูลเกิดการเสียหาย ฮาร์ดดสิ ก์เสยี เปน็ ต้น 6. สามารถเรยี กคืนข้อมูล (Recover) ในกรณที ่ขี ้อมูลเกิดความเสยี หายได้ 7. ต้องจัดการบริหารและเรียกแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ จากหน่วยความจำสำรองมาไว้ยัง หน่วยความจำหลักและนำเสนอตามความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งจะเป็นตัวประสานงานระหว่างผู้ใช้กับ แฟ้มขอ้ มูล 8. จัดการบริหารฐานข้อมูลและควบคุมให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน เมื่อมีผู้ใช้หลาย ๆ คน เขา้ มาใช้ฐานขอ้ มลู พร้อม ๆ กนั องค์ประกอบของระบบฐานข้อมูล ระบบฐานข้อมูลจะสมบูรณไ์ ด้นน้ั ตอ้ งประกอบดว้ ยองค์ประกอบหลกั 4 ประการดงั นี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ทางด้านคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ระดับเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ มินิคอมพิวเตอร์ หรือไมโครคอมพิวเตอร์ ใช้ในการประมวลผล ข้อมูลของฐานข้อมูล หน่วยจัดเก็บข้อมูล หน่วยนำเข้าข้อมูล หน่วยแสดงผล รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสาร โทรคมนาคมทใ่ี ช้เชือ่ มโยงคอมพิวเตอรด์ ว้ ย 2. ซอฟต์แวร์ (Software) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ประยุกต์และซอฟต์แวร์ ด้านฐานข้อมูล โดยซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงเพื่อใช้ทำงานด้านใด ด้านหนึ่ง เช่น โปรแกรมระบบเงินเดือน โปรแกรมระบบบัญชีลูกหนี้ เป็นต้น ส่วนซอฟต์แวร์ด้าน ฐานข้อมูลจะเป็นระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ทำหน้าที่ในการจัดการฐานข้อมูลให้กับผู้ใช้และ ผเู้ ขียนโปรแกรม 13
3. ข้อมูล (Data) เป็นองค์ประกอบที่เกี่ยวกับข้อมูลที่จัดเก็บในฐานข้อมูล ซึ่งข้อมูลจะมี คณุ สมบัติด้านความถูกต้อง ทันสมัย ซ้ำซอ้ นนอ้ ย และสามารถใช้รว่ มกนั ได้ 4. บุคลากร (Peopleware) เปน็ องค์ประกอบที่เกี่ยวกับบุคลากรซง่ึ เก่ยี วขอ้ งกบั ฐานขอ้ มลู บุคลากรทเ่ี กีย่ วข้องกบั ระบบฐานขอ้ มูล บุคลากรท่เี กยี่ วข้องกบั ระบบฐานขอ้ มูล สามารถแบ่งประเภทตามลกั ษณะหน้าท่ีได้ดงั นี้ 1. ผู้ใช้ทั่วไป (Naïve User) คือ บุคคลที่ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป โดยมีพื้นฐานด้านการใช้ คอมพิวเตอร์มาบ้าง ไม่จำเป็นต้องรู้จักรายละเอียดโครงสร้างของฐานข้อมูลหรือภาษาทาง คอมพิวเตอรแ์ ตส่ ามารถเรียกใชข้ ้อมลู ได้โดยผา่ นทางโปรแกรมสำเรจ็ รูป 2. ผู้ใช้ฐานข้อมูล (Sophisticated User) คือ บุคคลที่สามารถดึงข้อมูลขึ้นมาใช้โดยผ่าน ภาษาที่เกี่ยวข้องกับการเรียกใช้ข้อมูล (Query Language) มีความรู้พื้นฐานในการเรียกและแสดงผล ข้อมูลในรูปแบบที่ต้องการได้อย่างหลากหลาย ซึ่งไม่จำเปก็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ภาษาระดับสงู 3. นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Designer) คือ บุคคลที่ทำ หน้าทีอ่ อกแบบระบบฐานขอ้ มูลใหต้ รงกบั การใชง้ านของผ้ใู ช้ โดยสามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 กลุม่ ดงั นี้ 3.1 นักออกแบบในระดับแนวคิด (Logical Database Designer)คือ บุคคลที่ทำ หน้าที่ออกแบบระบบโดยประยุกต์กับงานในปัจจุบันที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเขียนข้อกำหนดของการใช้ ฐานข้อมูลในรูปแบบของเอนทิตี้ (Entity), แอททริบิวต์ (Attribute) และการเชื่อมความสัมพันธ์ (Relationship) กับงานและข้อกำหนดของธุรกิจนั้น ๆ เช่น นักศึกษา 1 คน จะต้องสังกัดอยู่เพียง คณะเดียว ถ้านักศึกษาได้ไปลงทะเบียนกับอีกคณะหนึ่งก็จะทำให้เกิดข้อผิดพลาดของการลงทะเบียน ในคณะที่ 2 ดังนั้น การออกแบบจึงต้องออกแบบให้มีกฎเกณฑ์ที่เหมือนกัน และในทางกลับกันคณะ หนึ่งคณะสามารถมนี ักศึกษาได้มากกว่า 1 คน ซึ่งแต่ละคณะก็จะมนี ักศึกษาไดใ้ นจำนวนทีเ่ ท่ากันหรอื แตกต่างกันออกไปข้นึ อยูก่ ับความชอบของนกั ศกึ ษา 3.2 นักออกแบบระบบในระดับปฏิบัติ (Physical Database Designer) คือ บคุ คล ที่ทำหน้าที่ในการนำเอาโครงสร้างและข้อกำหนดต่าง ๆ ของนักออกแบบในระดับแนวคิดไปทำการ ออกแบบตัวโปรแกรมเพื่อให้ใช้งานได้กับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) และเป็นคนที่จะคัดสรร อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล การป้องกันและรักษาข้อมูลเมื่อเกิดเหตุต่าง ๆ การแสดงผลข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ รวมถึงข้อกำหนดของตัวโปรแกรมกับ ความสามารถพนื้ ฐานของผู้ใชอ้ ีกดว้ ย 4. เขียนโปรแกรม (Application Programmer) คือ บุคคลที่เขียนโปรแกรมประยุกต์จาก ข้อกำหนดต่าง ๆ ที่รับมาจากนักวิเคราะห์และออกแบบระบบ โดยจะเขียนโปรแกรมประยุกต์ด้วย ชุดคำสั่งที่สามารถจัดการกับระบบจัดการฐานข้อมูล (DBMS) ให้ปฏิบัติการในฐานข้อมูลได้ เช่น การ 14
เรียกดูข้อมูล (View หรือ Retrieving), การเพิ่ม (Adding), การปรับปรุง (Updating), การลบข้อมูล (Deleting) เป็นต้น 5. ผู้บรหิ ารฐานข้อมูล (Database Administrator : DBA) คือ กลุ่มบุคคลที่ทำหน้าท่ีในการ ออกแบบ จัดการ และบริหารฐานข้อมูลที่อยู่ภายในคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีพื้นฐานในการบริหารข้อมูลมา ก่อน กล่าวคือ ผู้บริหารข้อมูลจะทำหน้าที่คอยดูแลและรับผิดชอบข้อมูลต่าง ๆ ที่ตัวเองทำอยู่ ซึ่งทำ หน้าทก่ี นั เปน็ ทีม โดยมีหนา้ ที่ดังนี้ 5.1 กำหนดโครงสร้างหรือรูปแบบของฐานข้อมูล ได้แก่ โครงสร้างของอุปกรณ์เก็บ ข้อมูลและวิธีการเข้าถึงข้อมูล โดยทำการวิเคราะห์ว่าข้อมูลใดจะอยู่ในระบบฐานข้อมูล จัดเก็บข้อมูล ด้วยวิธีใด และใช้เทคนิคใดเรียกใช้ข้อมูล กำหนดโครงสร้างของอุปกรณ์เก็บข้อมูลและวิธีการเข้าถึง ขอ้ มูล 5.2 กำหนดสิทธก์ิ ารเขา้ ถงึ ข้อมูลของผู้ใช้ โดยการประสานงานกบั ผู้ใช้ ให้คำปรึกษา ให้ความชว่ ยเหลอื แก่ผูใ้ ช้ และตรวจความตอ้ งการของผใู้ ช้ 5.3 กำหนดกฎเกณฑ์ความปลอดภัยและบูรณาการภาพของข้อมูล กล่าวคือ แฟ้มข้อมูลที่แต่ละฝ่ายได้สร้างขึ้นมาจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันหรือซ้ำซ้อนกัน ตัวอย่างเช่นบาง หน่วยงานอาจจะพิมพ์ชื่อกับนามสกุลลงในช่องเดียวกัน อีกหน่วยงานอาจจะพิมพ์แยกกันคนละช่อง หรือบางหน่วยงานอาจจะมีคำนำหน้าร่วมกับชื่อด้วย เป็นต้น ฉะนั้นการบูรณาการภาพ คือ การ ผสมผสานแฟ้มข้อมลู ของแต่ละหนว่ ยงานให้สามารถใชง้ านรว่ มกันได้โดยไมข่ ัดแยง้ หรือซำ้ ซอ้ นกันและ ยังจำกดั ของเขตการเข้าถึงของแตล่ ะหน่วยงานใหส้ ามารถใช้งานได้อยา่ งปลอดภัย 5.4 กำหนดขั้นตอนการสำรองข้อมูลและการฟ้ืนสภาพข้อมลู กำหนดแผนการสร้าง ระบบข้อมูลสำรองและการฟื้นสภาพ ในกรณีที่อาจเกิดความเสียหายกับฐานข้อมูลด้วยสาเหตุจาก ความผดิ พลาดของบุคคล ฮาร์ดแวร์ ดสิ กท์ ี่เกบ็ ข้อมูล หรอื การเกิดไฟฟ้าดบั กะทนั หนั ชนิดของฐานข้อมูล ฐานข้อมูลที่ใชก้ นั อยมู่ โี ครงสร้าง 3 แบบ ดงั นี้ 1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (Hierarchical Database) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีระเบียนที่อยู่ แถวบนเรยี กว่า “ระเบยี นพอ่ แม่” (Parent Record) และระเบยี นแถวถดั ลงมาเรียกวา่ “ระเบียนลูก” (Child Record) โดยระเบียนพ่อแม่สามารถมีระเบียนลูกได้มากกว่า 1 ระเบียนแต่ระเบียนลูกจะมี ระเบียนพ่อแม่ได้เพียง 1 ระเบียนเท่านั้น ซึ่งโครงสร้างแบบนี้คล้ายโครงสร้างแบบต้นไม้หัวคว่ำลง ดังนั้น บางครั้งอาจเรียกโครงสร้างฐานข้อมูลแบบนี้ได้ว่า “โครงสร้างแบบต้นไม้” (Tree Structure) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ 2 แบบ คือความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งและแบบ หนึ่งตอ่ กล่มุ เทา่ นัน้ 15
รปู ท่ี 2.2 ฐานขอ้ มูลแบบลำดบั ช้นั 2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (Network Database) ฐานข้อมูลแบบนี้เป็นการปรับปรุงเพิ่มเติมจาก ระบบฐานข้อมุลแบบลำดับชั้น แต่จะต่างกันที่โหนดลูกจะสามารถมีโหนดพ่อแม่ได้มากกว่า 1 โหนด และโหนดพอ่ แมก่ ส็ ามารถมโี หนดลูกได้มากกวา่ 1 โหนดเชน่ เดียวกนั รปู ที่ 2.3 ฐานขอ้ มูลแบบเครอื ขา่ ย 3. ฐานข้อมูลแบบเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีระเบียนเก็บ อยู่ในรูปแบบตาราง (Table) ซึ่งภายใต้ตารางจะแบ่งเป็นแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) โดย แถวสามารถมีได้หลายแถว แต่ละแถวเรียกว่า “ระเบียน” ส่วนคอลัมน์ก็มีได้หลายคอลัมน์แต่ละ คอลัมน์เรียกว่า “เขตข้อมูล” ซึ่งในรูปแบบของระบบฐานข้อมูลนี้อาจเรียกตารางเป็นอีกแบบหนึ่งว่า “รีเลชัน” (Relation) ส่วนแถวเรียกว่า “ทูเพิล (Tuple) และคอลัมน์เรียกว่า “แอทริบิวต์” 16
(Attribute) ฐานข้อมูลแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ 3 แบบ ได้แก่ ความสัมพันธ์แบบหนึง่ ตอ่ หนึง่ แบบหน่ึงต่อกลุ่ม และแบบกลมุ่ ตอ่ กลมุ่ รปู ท่ี 2.4 ฐานขอ้ มูลแบบเชงิ สมั พันธ์ ความสำคัญของฐานข้อมูล การเก็บข้อมูลในรูปของแฟ้มข้อมูลเป็นรูปแบบเดิมที่ใช้กัน แต่ด้วยเทคโนโลยีของระบบการ จัดเก็บข้อมูลที่มีการพัฒนาตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีด้าน คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ทำให้มีการเปลี่ยนวิธีจัดเก็บข้อมูลจากระบบแฟ้มข้อมูลให้เป็น รูปแบบที่เรียกว่า “ระบบฐานข้อมูล” ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลในระบบฐานข้อมูลมีส่วนที่สำคัญกว่าการ จัดเก็บข้อมูลในรปู ของแฟ้มขอ้ มลู ประโยชนข์ องระบบฐานขอ้ มลู 1. ลดความซำ้ ซอ้ น 2. รักษาความถูกตอ้ งของข้อมูล 3. ป้องกันและรกั ษาความปลอดภัยของขอ้ มูล 4. สามารถใช้ขอ้ มูลร่วมกันได้ 5. มคี วามเปน็ อิสระของข้อมูล 6. สามารถขยายงานไดง้ า่ ย 7. ขอ้ มูลบรู ณะกลับสู่สภาพปกติไดเ้ ร็วและมีมาตรฐา 17
ขอ้ เสียของระบบฐานข้อมูล แตท่ ัง้ นร้ี ะบบฐานขอ้ มูลยังอาจส่งผลเสยี ไดเ้ ช่นกนั ดงั นี้ 1. มีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากระบบฐานข้อมูลมีราคาค่อนข้างแพง ทั้งในส่วนของซอฟต์แวร์ และฮาร์ดแวร์ท่ตี ้องใช้เครื่องทีม่ ีความสามารถในการประมวลผลค่อนขา้ งสงู และมปี ระสทิ ธภิ าพดี 2. ระบบมีความซับซ้อน การใช้ระบบฐานข้อมลู ซึ่งมีความซบั ซ้อน ต้องใช้ผู้มีความเช่ียวชาญ ในการสรา้ ง ดูแล และบำรุงรกั ษา การออกแบบระบบฐานขอ้ มูลเชงิ สัมพนั ธ์ คำศัพท์ทีใ่ ช้ในระบบฐานขอ้ มูลเชงิ สมั พันธ์ รีเลชั่น (Relation) หรือจะเข้าใจกันดีในชื่อ ตางราง (Table) ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลในรูป ของ 2 มิติ ที่ประกอบไปด้วยแถว (Row) และคอลัมน์ (Column) โดยแถวของรีเลชั่น (Relation) คือ 1 รายการข้อมูล หรือ 1 ระเบียน (Record) ในระบบแฟ้มข้อมูล ส่วนคอลัมน์ คือ คุณลักษณะที่ บ่งบอกถึงข้อมูลในแต่ละแถวหรือฟิลด์ (เขตข้อมูล) ในระบบแฟ้มข้อมูล สำหรับความหมายในรีเลช่ัน (Relation) จะเรยี กว่า ทูเพิล (Tuple) และ แอททรบิ วิ ต์ (Attribute) ทเู พิล รูปที่ 2.5 แสดงแอททริบวิ ต์ รีเลชั่น และทเู พิล คาดินัลลิตี้ (Cardinality) หมายถึง จำนวนทูเพิล (Tuple) หรือระเบียน (Record) ทั้งหมด ของตาราง (Table) ขอ้ มลู น้ัน ๆ ดีกรี(Degree) หมายถึงจำนวนแอททริบิวต์(Attribute)หรือฟิลด์ทั้งหมดของตาราง (Table) ข้อมูลนั้น ๆ Relationships (ความสัมพันธ์) หมายถึง การรวบรวมตาราง (Table) ต่าง ๆ ที่มี ความสัมพนั ธ์ระหว่างกันเขา้ ไวด้ ว้ ยกัน โดยมโี ครงสรา้ งขอ้ มลู เชน่ แอททรบิ วิ ต์ (Attribute) และทเู พลิ (Tuple) คล้าย ๆ กัน ซึ่งจะมีคีย์ (Key) เป็นตัวกำหนดให้ตาราง (Table) ใดเป็นคีย์หลัก (Primary 18
Key) และตาราง (Table) ใดเป็นคีย์นอก (Foreign Key) โดยมีคุณสมบัติของการเชื่อมความสัมพันธ์ (Relationships) ดงั นี้ 1. แตล่ ะแอททริบวิ ต(์ Attribute)ของตารางจะบรรจุข้อมลู ได้เพยี ง1 ค่าเท่าน้ัน 2. ชื่อของแอททริบิวต์(Attribute)ในตารางจะต้องตั้งชื่อที่แตกต่างกันจะซ้ำกันไม่ได้ซึ่งส่วน ใหญแ่ ลว้ จะตัง้ ชอ่ื ทีส่ ่ือความหมายเดยี วกบั กล่มุ ของข้อมูลในคอลัมนน์ น้ั ๆ 3. การกำหนดชนิดของแอททริบิวต์(Attribute)จะเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่อยู่ในคอลัมน์นั้น ๆ และมขี อบเขตทจี่ ำกดั โดยกลุ่มของขอ้ มูล 4. ข้อมูลในแต่ละทูเพิล (Tuple) ของตารางจะต้องแตกต่างกัน จะไม่มีทูเพิล (Tuple) ใดท่ี ซ้ำกัน 5. การเรียงลำดับข้อมูลของทั้งแอททริบิวต์ (Attribute) และทูเพิล (Tuple) ไม่มีผลสำคัญ กบั ตาราง 6. รีเลชั่น (Relation) หรือตารางทุกตารางจะต้องมีชื่อกำกับและซ้ำกันไม่ได้ ซึ่งโดยส่วน ใหญแ่ ล้วกจ็ ะต้ังชือ่ ท่สี ่อื ความหมายเดยี วกบั กลุม่ ของข้อมลู คำศพั ท์ในฐานข้อมูล คำศพั ทท์ เ่ี รียกใชใ้ นโปรแกรม คำศพั ท์ทเ่ี รยี กใชใ้ นโปรแกรม ทเู พลิ (Tuple) Access Excel แอททริบวิ ต์(Attribute) รเี ลช่ัน(Relation) ระเบียน(Record) แถว(Row) คาดนิ ัลลิตเ้ี (Cardinality) เขตขอ้ มูล(Field) คอลมั น์(Column) ดกี รี(Degree) ตาราง(Table) แผ่นงาน(sheet) โดเมน(Domain) จำนวนระเบียนทั้งหมดของ จำนวนแถวทัง้ หมดของแผน่ งาน ตาราง จำนวนเขตข้อมูลทั้งหมดของ จำนวนคอลัมน์ทั้งหมดของแผ่น ตาราง งาน ชนิดของข้อมลู (Data Type) ชนดิ ของรูปแบบ (Format Type) ตารางท่ี 2.1 ตารางการเปรียบเทยี บคำศัพทท์ ่ีเรยี กใช้กับฐานขอ้ มลู เชิงสมั พนั ธ์ คำศัพทท์ ่ใี ช้ในฐานข้อมลู เชิงสัมพันธ์ ในการออกแบบฐานข้อมูลเขิงสัพมพันธ์ (Relational Database) จะนำข้อมูลในตาราง (Table) ของแต่ละตาราง โดยที่ตารางจะมีลักษณะเป็น 2 มิติ ซึ่งประกอบไปด้วยทูเพิล (Table) และ แอททริบวิ ต์ (Attribute) โดยที่ข้อมูลของแต่ละตารางจะแตกต่างกันออกไป แต่จะมีเพยี งแอททริบวิ ต์ 19
ใดแอททริบิวต์หนึ่งของตารางหนึ่ง ต้องเหมือนกับแอททริบวิต์หนึ่งของอีกรารางหนึง่ เพื่อเป็นจุดที่จะ ทำการเชื่อมโยงให้ข้อมูลเกิดความสัมพันธ์กัน ซึ่งการจะเชื่อมโยงได้จะต้องอยู่ภายใต้การกำหนดของ คีย(์ Key) ดงั นี้ 1. คีย์หลัก (Primary Key : PK) หมายถึงข้อมูลที่จำกำหนดให้แอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์ หนง่ึ มคี ณุ สมบตั ใิ หเ้ ปน็ คีย์หลัก โดยมวี ธิ ีการกำหนดอยู่ 4 ประการคือ 1.1 ค่าท่ีกำหนดในแอททรบิ วิ ตน์ ้ันจะต้องมคี า่ ทีไ่ ม่ซำ้ กัน 1.2 ทุกตารางทีม่ ีการเชื่อความสัมพันธ์กันจะตอ้ งมีคยี ์หลัก 1.3 ในแต่ละตารางจะต้องมีแอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่งที่มีข้องมูลน้อยที่สุดใน ทเู พิลนนั้ ๆ เปน็ คยี ์หลกั ซง่ึ ไม่สามารถทจ่ี ะปรบั เปลย่ี นให้แอททริบิวตอ์ ื่น ๆ เปน็ คยี ์หลัก 1.4 ไดค้ ่าทกี่ ำหนดในแอททริบิวตน์ นั้ จะตอ้ งไม่มีคา่ ว่าง (Not Null) 2. คีย์คู่แข่ง (Condidate Key : CK) หมายถึง ข้อมูลในแอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่งที่มี ลกั ษณะและคณุ สมบตั เิ ดียวกบั คยี ห์ ลกั ซึ่งสามารถทดแทนกันได้ 3. คีย์นอก (Foreign Key : FK) หมายถึง แอททริบิวต์ของจารางหนึ่งที่จะต้องไปอ้างอิงกับ แอททริบิวต์คียห์ ลกั ของอีกตารางหน่งึ โดยทัง้ 2 ตารางจะตอ้ งเชอื่ มความสัมพนั ธก์ นั ซึ่งมคี ุณสมบัติดังน้ี 3.1 ค่าที่กำหนดจะต้องมีค่าที่เหมือนกับแอททริบิวต์คีย์หลักของตารางที่เชื่อม ความสัมพันธ์กัน 3.2 สามารถมีคา่ ทซี่ ้ำกันได้ 3.3 สามารถมคี ่าเป็นวา่ งได้ (Null) 4. คยี ร์ วมหรือคยี ผ์ สม (Composite Key : CK) หมายถงึ การรวมเอาหลายแอททริบิวต์ของ แต่ละตารางมาสร้างเป็นคีย์ใหม่ เนื่องจากไม่สามารถใช้เพียงแอททริบิวต์เดียวมาสร้างเป็นข้อมูลใหม่ ได้ ซึ่งคีย์รวมนี้มีคุณสมบัติเดียวกับคีย์หลัก คือจะต้องไม่มีข้อมูลที่ซ้ำกันและไม่มีค่าว่าง (Not Null) เชน่ ใบกำกบั การเชา่ ห้องกักของผเู้ ช่าซ่งึ จะตอ้ งมอี ย่างนอ้ ย 2 แอททรบิ ิวต์ท่ีจะนำมาสร้างเปน็ คีย์ คือ เลขที่ใบกำกับกับรหัสผู้เช่า เพราะว่าใบกำกับการเช่าห้องพัก 1ใบ จะออกให้กับผู้เช่าห้องพัก 1 คน หรือ 1 คร้งั เท่านั้น จนกว่าผเู้ ชา่ นนั้ จะยา้ ยออกไปและจะไม่สามารถออกซ้ำได้ เลขท่ีใบกำกบั รหัสผเู้ ช่า 1 1182 2 2556 3 3883 4 4222 รูปที่ 2.6 ตวั อย่างข้อมูลเลขท่ใี บกำกบั การเช่าหอ้ งพัก 20
ชนดิ ของความสมั พันธ์ระหวา่ งแอททริบวิ ต์ ในการเชื่อมความสัมพันธ์ของเขตข้อมูลแต่ละตารางจะมีข้อมูลของแอททริบิวต์ในตารางหนึ่ง มีความสัมพันธ์กับข้อมูลในแอททริบิวต์ของอีกตารางหนึ่งจึงต้องคำนึงถึงว่ามีความสัมพันธ์กันแบบใด โดยจะอธิบายถงึ ชนิดของความสัมพนั ธ์กบั แอททรบิ ิวต์ได้ 3 ประการ ดังน้ี 1. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง (One-to-one Relationships)(1:1) เป็นความสัมพันธ์ที่ เข้าใจง่าย ๆ คือ ในแอททริบวิ ต์หนึง่ ของตารางจะมีความสัมพันธ์กับอกี แอททริบิวต์หนึ่งในตารางหน่ึง เท่านั้น จะไม่สามารถมีมากกว่า 1 ได้ ตัวอย่างเช่น ใบกำกับการเช่าห้องพักมีเพียงใบเดียว และ ผู้เช่า ห้องจะมใี บกำกบั การเช่าหอ้ งพักได้เพยี งใบเดียวเช่นกัน หรอื เขียนเปน็ รูปสญั ลักษณ์ดงั น้ี ใบกำกับการเชา่ หอ้ งพัก 1 : 1 ผู้เช่าห้อง รูปที่ 2.7 ตัวอยา่ งความสัมพันธ์แบบหนึ่งตอ่ หนงึ่ 2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อกลุ่ม (One-to-Many Relationships) (1:M) หรือ (1:N) เป็น ความสัมพันธท์ พ่ี บเห็นบอ่ ย ๆ ในฐานข้อมลู ทั่วไป ซึ่งมีความสมั พนั ธข์ องแอททรบิ วิ ต์หนงึ่ ในตาราง กับ ความสัมพันธ์ของแอททริบิวต์ตั้งแต่ 2 แอททริบิวต์ขึ้นไปในอีกตารางหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้เช่าห้อง 1 คน สามารถเช่าพักได้หลายห้อง แต่ใบกำกับการเช่าห้องพัก 1 ใบบจะมีเพียงผู้เช่าห้อง คนเดียว เท่าน้ันที่ทางอพารท์ เมน้ ท์ออกให้ ผูเ้ ชา่ หอ้ ง 1 : N ใบกำกบั การเชา่ ห้องพกั รูปที่ 2.8 ตัวอย่างความสมั พันธ์แบบหนง่ึ ต่อกล่มุ 3. ความสัมพันธ์แบบกลุ่มต่อกลุ่ม (Many-to-Many Relationships) (M : N) หรือ (N : M) เป็น ความสัมพันธ์ที่หลายแอททริบิวต์ในตารางหนึ่งมีความสัมพันธ์กับหลายแอททริวบิวต์อีกตารางหนึ่ง ตัวอยา่ งเช่น ผู้เช่าห้อง 1 คน สามารถเชา่ หอ้ งพกั ไดห้ ลายห้อง และห้องพัก 1 หอ้ ง ผู้เชา่ ห้องสามารถ นำครอบครวั หรือเพอ่ื นมาอย่รู ว่ มกนั ได้ ผู้เชา่ ห้อง M:N ห้องเช่า รปู ท่ี 2.9 ตวั อย่างความสมั พันธ์แบบกลุ่มต่อกลมุ่ 21
ขั้นตอนการออกแบบฐานขอ้ มลู ในการออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่จะทำให้สามารถถออกแบบและพัฒนา โปรแกรมขึ้นใช้งานได้อย่างเหมาะสมและถูกวิธี เพื่อในอนาคตภายหน้าเมื่อมีปัญหาในการนำไปใช้จะ สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นในหัวข้อนี้จะอธิบายวิธีการและขั้นตอนในการ ออกแบบฐานขอ้ มลู ไวด้ ังน้ี 1. การวิเคราะห์ถึงปัญหาของระบบงานเดิม โดยพิจารณาถึงจุดอ่อน จุดบกพร่อง และ อุปสรรคต่าง ๆ ที่จะทำให้รบบงานเดิมล้าช้า ซ้ำซ้อน และไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น ในระบบงานเดิมของอพาร์ทเม้นท์เป็นแบบจัดเก็บข้อมูลโดยการบันทึกข้อมูลเช่าห้องพักด้วยมือ ลงในสมุดบันทึก ซึ่งการจัดเก็บลักษณะนี้ทางเจ้าของอพาร์ทเม้นท์จะไม่ทราบเลยว่าผู้เช่าห้องพักเข้า มาเช่าเมื่อไร วางเงินประกันไว้เท่าไร เข้ามาอยู่กี่คน จนกว่าผู้เช่าจะคืนห้อง ถึงจะหยิบสมุดบันทึก ขึ้นมาดเู ปน็ ตน้ 2. พิจารณาความต้องการขั้นพื้นฐานและความเป็นไปได้ เมื่อได้ทราบถึงปัญหาของการ ทำงานในระบบเดิมแล้ว ขั้นต่อมาคือการพิจารณาถึงความต้องการว่าสมควรนำมาใช้ในองค์กรหรือไม่ โดยดจู ากปัจจยั ดา้ นต่าง ๆ ดังนี้ 2.1 ด้านเทคโนโลยี พิจารณาถึงเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีในองค์กรว่าเหมาะสมและ เพียงพอกับปริมาณการใช้หรือไม่ รวมถึงขีดความสามารถและประสทิ ธภิ าพของเทคโนโลยีนั้น ๆ และ ตอ้ งจัดซื้อจัดหาอุปกรณต์ า่ ง ๆ จำนวนมากเท่าไรเพอื่ มาสนบั สนุนตอ่ ระบบงานท่ีจะปรับปรงุ ใหม่ 2.2 ด้านการเงนิ พิจารณาถึงความคุ้มคา่ กับคา่ ใช้จ่ายท่ีจ่ายออกไปกับประสทิ ธิภาพ ของงานที่จะได้มาท้ังค่าใช้จ่ายในดา้ น ฮารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ และบุคลากราทจี่ ะต้องจัดอบรมหรือส่งไป ศึกษาดูงานให้กลบั มาพัฒนาได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2.3 ด้านความต้องการของผู้ใช้พิจารณาถึงความต้องการของผู้ใช้ระบบปฏิบัติการ และผู้บริหารว่ามีความต้องการใช้งานมากเพียงไร โดยมุ้งเน้นถึงการแก้ปัญหาและผลที่ได้สามารถ นำไปใช้ไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ รวดเร็ว และตรงตามความต้องการหรอื ไม่ 3. การออกแบบฐานข้อมูล เมื่อได้ทราบถึงผลกระทบต่าง ๆ แล้ว และวิเคราะห์ถึงผลดี มากกว่าผลเสีย ขั้นต่อไปคือ การออกแบบฐานข้อมูลให้ตรงกับความต้องการขององค์กรให้มากที่สุด โดยการออกแบบฐานข้อมูลจะแบง่ ออกเป็น 3 ระดับดว้ ยกนั คือ 3.1 การกำหนดค่าแอททริบิวต์ให้กับระบบฐานข้อมูลที่จะทำการสร้าง เช่น แอททริบิวต์ ของผู้เช่าห้อง,แอททริบิวต์ของใบกำกับการเช่าห้องพัก แอททริบิวต์ของจำนวนห้องพักทั้งหมดของอ พารท์ เม้นท์ เปน็ ตน้ 3.2 กำหนดคยี ห์ ลกั ของแอททริบิวตใ์ นตารางทีส่ ร้างทกุ ตาราง 3.3 กำหนดความสัมพนั ธ์ของแอททริบวิ ตต์ ่าง ๆ ใหส้ อดคลอ้ งกับการใชง้ าน 3.4 ตรวจสอบหรือแก้ไขในแอททริบิวต์แต่ละตัวถ้ามีข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันหลังจาก เช่อื มความสัมพนั ธแ์ ล้ว 22
4. การพัฒนาโปรแกรมให้ตรงกับความต้องการและการติดตั้ง โดยการพิจารณาถึงหน้าที่ การใช้งาน และความเกี่ยวข้องกันระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ รวมถึงผลที่ออกมาจากทาง เครื่องพิมพ์หรือในรูปของรายงานต่าง ๆ ต้องให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ให้มากที่สุด และทาง ด้านความปลอดภัยของระบบ ข้อจำกัดของผู้ใช้ การกำหนดาสิทธิของผู้ใช้ การสำรองข้อมูลก็ถือเป็น ส่งิ สำคัญท่ีผู้พัฒนาจะต้องคำนงึ ถึง โดยมีขนั้ ตอนของการพฒั นาดดงั นี้ 4.1 พัฒนาโปรแกรมใหต้ รงกับความต้องการและทอี่ อกแบบไว้ 4.2 เมื่อพัฒนาเสร็จแล้วต้องทำการทดสอบระบบโดยรวมทั้งหมด พร้อมทั้งจด บันทกึ วา่ มขี อ้ ผดิ พลาของโปรแกรมที่ใดและทำการแก้ไข 4.3 ติดตั้งระบบฐานข้อมูลยังเครื่องที่ใช้งานจริงและตรวจสอบถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ วา่ ไดผ้ ลของระบบตรงตามความตอ้ งการหรอื ไม่ 4.4 จัดฝึกอบรมบุคคลากรที่เกี่ยวข้องภายในองค์กรให้สามารถใช้งานในระบบ ฐานขอ้ มลู ใหต้ รงตาความตอ้ งการของแต่ละฝา่ ย 4.5 จัดทำเอกสารประกอบการใช้งานของโปรแกรมทุกขั้นตอน พร้อมทั้งอธิบาย รายละเอยี ดการใชก้ บั ผู้ที่เกยี่ วข้อง 4.6 จัดตารางการบำรุงรักษาทั้งเรื่องของฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และรบบฐานข้อมูล ให้เหมาสมกับความต้องการของผู้ใช้และองค์กรเมื่อมีการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ ตามกาลเวลาหรือ เมอื่ มีปัญหาตา่ ง ๆ ในอนาคต หลกั การออกแบบฐานข้อมลู พ้นื ฐานการออกแบบฐานขอ้ มลู ฐานข้อมูลที่ได้รับการออกแบบอย่างถูกต้องจะทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็น ข้อมูลล่าสุด เนื่องจากการออกแบบที่ถูกต้องเป็นสิ่งจำเป็นที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำงานกับ ฐานข้อมูล ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการการออกแบบที่ดี เพื่อใน ท้ายทีส่ ุด จะไดฐ้ านข้อมลู ที่ตรงตามความตอ้ งการของคุณ และสามารถแก้ไขไดโ้ ดยง่าย การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อใช้งานฐานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ออกแบบต้องสามารถ จำแนกกลุ่มข้อมูลหรือเอนทิตี้ได้อย่างชัดเจนและครบถ้วน โดยกำหนดคุณลักษณะหรือแอตทริบิวต์ ของแต่ละเอนทิตี้ไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งจะต้องสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกลมุ่ ขอ้ มูลได้ จะมขี ั้นตอนดงั นี้ ข้ันท่ี 1 เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู รายละเอียดทัง้ หมด การเก็บรวบรวมขอ้ มลู และรายละเอียดต่าง ๆ ของงาน รวมทง้ั ความต้องการของผูใ้ ช้ เชน่ 1. มขี ้อมูลใดบา้ งทีเ่ ปน็ เร่ืองเดยี วกนั ใหจ้ ดั กลุ่มข้อมลู นน้ั เปน็ เอนทติ ้ี 2. ชนิดของข้อมลู แบบใด (ตวั อักษร ตัวเลข หรืออน่ื ๆ) มีเงือ่ นไขหรอื ข้อกำหนดอยา่ งไร 23
3. มีข้อมูลอะไรบ้างที่จะต้องนำมาค้นหาหรือประมวลผล ผลที่ได้ต้องสง่ออกระบบ ภายนอกหรอื ไม่ 4. มใี ครบ้างทีเ่ ป็นผใู้ ช้ฐานข้อมูลนี้ ความถ่ใี นการใชม้ มี ากเทา่ ไหร่ มีความสำคัญอย่างไร 5. ลกั ษณะของรายงาน ประกอบด้วยรายงานใดบา้ ง ระยะเวลาในการออกรายงาน 6. ข้อมลู อ่นื ๆ ทีส่ ามารถรวบรวมได้ โดยพยายามเก็บรายละเอียดใหม้ ากทสี่ ุด ขน้ั ท่ี 2 กำหนดโครงสร้างของ Table จากกลมุ่ ข้อมลู หรือเอนทิตที้ ี่รวบรวมได้จากเอกสารต่าง ๆ ในขัน้ ท่ี 1 จะนำมากำหนดแอตทริ บิวต์ของข้อมูล เพื่อจะได้ทราบว่าในเอนทิตี้นั้นจะนำข้อมูลอะไรมาใช้บ้าง หลังจากนั้นให้นำแอตทริ บิวต์มากำหนดโครงสร้างเบื้องต้นของ Table โดยแปลงแอตทริบิวต์เป็นฟิลด์ พร้อมกำหนดชนิดและ ขนาดของข้อมูลในแต่ละขนาดข้อมูลในแต่ละฟิลด์ รวมทั้งเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้กำหนดลักษณะ ของข้อมูล ขนั้ ท่ี 3 กำหนดคีย์ ข้นั ตอนน้จี ะพิจารณาว่าฟลิ ดใ์ ดบา้ งใน Table นนั้ ท่ีมีคณุ สมบตั ิเหมาะสมจะใชเ้ ป็นคีย์ ถ้าไม่มี ฟลิ ด์ใดเลยทีเ่ หมาะสม กจ็ ะตอ้ งกำหนดฟิลดใ์ หม่เพ่ือใช้เปน็ คยี โ์ ดยเฉพาะ ขั้นที่ 4 การทำ Normalization ถ้า Table ที่ได้จากขั้นที่ 2 ยังมีความซ้ำซ้อนกันของข้อมูล หรือข้อมูลบางฟิลด์ไม่เกี่ยวข้อง โดยตรงกบั เน้ือหาใน Table นน้ั จะต้องนำมาปรับปรุงแก้ไขใหม้ ีโครงสร้างหรอื รูปแบบทีเ่ หมาะสมก่อน นำไปประมวลผล ถ้านำโครงสร้างไปใช้เลยโดยไม่ทำ Normalization ก่อนอาจเกิดปัญหาได เช่น ปญั หาส้ินเปลืองเนื้อที่จดั เกบ็ ข้อมลู ทซ่ี ำ้ ซอ้ นกนั ปัญหาความผิดปกติ (Anomaly) ของขอ้ มลู เมื่อมีการ แกไ้ ขเพ่ิม หรือลบเรคอร์ด รวมทง้ั ปัญหาในการกำหนดความสมั พันธ์ในข้นั ท่ี 5 จะทำได้ยาก ขั้นท่ี 5 กำหนดความสัมพันธ์ นำ Table ทั้งหมดที่ได้หลังจากทำ Normalization มาสร้างความสัมพันธ์โดยใช้คีย์กำหนด ในขั้นที่ 3 หรือคีย์ที่เกิดขึ้นใหม่จากการทำ Normalization เป็นตัวเชื่อม ซึ่งอาจเป็นแบบ One – to – One , One – to – Many หรือ Many – to – Many ขึ้นกับลักษณะของข้อมูลการกำหนด ความสัมพันธ์ระหว่าง Table นี้มีความสำคัญมาก ผู้ออกแบบจะต้องมีการวิเคราะห์ให้ได้ว่าข้อมูลใน Table ต่าง ๆ นั้นมีความสัมพันธ์กันในลักษณะใดเพื่อให้ข้อมูลนั้นออกมาได้ถูกต้องความสัมพันธ์ ระหว่างตาราง เขตข้อมูลร่วมที่ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเดียวกัน แม้ว่าจะมีการใช้ลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อย ก็ตาม เขตข้อมูลร่วมจะต้องมีประเภทข้อมูลเดียวกัน แต่ถ้าเขตข้อมูลคีย์หลักเป็นเขตข้อ มูล AutoNumber แล้ว เขตข้อมลู Foreign Key ยังสามารถเป็นเขตขอ้ มลู ตวั เลขได้ เปน็ ตน้ การออกแบบฐานขอ้ มลู ท่ีดี 24
ในกระบวนการออกแบบฐานข้อมูลนั้นจะมีหลักการบางอย่างเป็นแนวทางในการดำเนินการ หลักการแรกคือข้อมูลซ้ำ (หรือที่เรียกว่าข้อมูลซ้ำซ้อน) ไม่ใช่สิ่งที่ดี เนื่องจากเปลืองพื้นที่และอาจทำ ให้มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นรวมถึงเกิดความไม่สอดคล้องกัน หลักการที่สองคือความถูกต้องและความ สมบูรณ์ของข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าฐานข้อมูลของคุณมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง รายงานต่าง ๆ ที่ดึงข้อมู ล จากฐานข้อมูลจะมีข้อมูลที่ไม่ถูกต้องตามไปด้วย ส่งผลให้การตัดสินใจต่างๆ ที่ได้กระทำโดยยึดตาม รายงานเหล่านน้ั จะไมถ่ ูกต้องดว้ ยเชน่ กนั การออกแบบฐานขอ้ มูลทดี่ ี คอื 1. แบ่งข้อมลู ของคุณลงในตารางต่าง ๆ ตามหัวเร่อื งเพือ่ ลดความซ้ำซอ้ นกนั ของข้อมูล 2. ใสข่ ้อมูลทีจ่ ำเปน็ ลงใน Access เพ่ือรวมข้อมลู ในตารางต่าง ๆ เข้าด้วยกันตามต้องการ 3. ชว่ ยสนับสนุนและรบั ประกนั ความถูกต้องและความสมบูรณ์ของขอ้ มลู 4. ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการในการประมวลผลข้อมูลและการรายงาน การออกแบบฐานขอ้ มลู การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสำคัญต่อการจัดการระบบ ฐานขอ้ มูล (DBMS) ท้งั นีเ้ นอื่ งจากขอ้ มลู ทอ่ี ยู่ภายในฐานข้อมลู จะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของข้อมูล โครงสรา้ งของข้อมูลการเข้าถึงขอ้ มูลและกระบวนการทโ่ี ปรแกรมประยกุ ต์จะเรยี กใชฐ้ านขอ้ มูล ดงั น้ัน เราจึงสามารถแบ่งวิธกี ารสร้างฐานขอ้ มูลได้ 3 ประเภท 1. รูปแบบของฐานข้อมูลแบบลำดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จำกัด ในปี 1980 ได้รับ ความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่ โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้ โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to - Many) ดังรูป แสดงโครงสรา้ งลำดบั ขนั้ ของผสู้ อนทกั ษะผ้สู อน หลกั สตู รท่สี อน รปู ที่ 2.10 รปู แบบฐานขอ้ มลู แบบลำดับข้ัน 25
แสดงส่วนประกอบของระบบจัดการฐานข้อมูล (Elements of a database management systems) ข้อดีและข้อเสยี ของระบบการจดั การฐานข้อมูลระบบการจดั การฐานขอ้ มลู จะมที ้ังข้อดีและ ข้อเสียในการที่องค์การจะนำระบบนี้มาใช้กับหน่วยงาของตนโดยเฉพาะหน่วยงานที่เคยใช้ คอมพิวเตอร์แล้วแต่ได้จัดแฟ้มแบบดั้งเดิม (Convention File) การที่จะแปลงระบบเดิมให้เป็นระบบ ใหม่จะทำได้ยากและไม่สมบูรณ์ ไม่คุ้มกับการลงทุน ทั้งนี้เนื่องจากค่าใช้จ่าในการพัฒนาฐานข้อมู ล จะต้องประกอบดว้ ย วิธีการจัดแบบลำดับขั้นเป็นการจัดกลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและกำหนดให้เป็น เซ็กเมนต์ (Segment) โดยมีการแยกประเภทของเซ็กเมนต์ว่าเป็นเซ็กเมนต์ราก (Root segment) หรือ เซ็กเมนต์ที่เป็นตวั พึ่ง(Dependent segment) แสดงถึงฐานข้อมูลของฝ่ายที่มีการเปิดอบรมของ บริษทั หน่ึงซึง่ จดั อยู่ในรูปแบบลำดบั ขนั้ เซ็กเมนตท์ ีเ่ ปน็ ราก คอื ชอ่ื ฝา่ ย (Department name) โดยมี เซ็กเมนต์ที่เป็นตัวพึ่ง 2 เซ็กเมนต์คือ เซ็กเม็นผู้สอน(Instructor) และหลักสูตร (Course) สำหรับ เซ็กเมนต์ผ้สู อนกจ็ ะมตี ัวพึ่งอกี 1 เซ็กเมนต์ คือ เซก็ เมนตค์ วามชำนาญ(Skill) ส่วนเซ็กเมนต์หลักสูตรก็ จะมีตัวพึ่งเป็นเซ็กเมนต์เปิดสอนโดยและเข้าเซ็กเมนต์สุดท้ายก็คือเซ็กเมนต์ผู้เรียนซึ่งเป็นตัวพึ่งของ เซก็ เมนตเ์ ปิดสอนโดย 2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data Model) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมี ความคล้ายคลึงกับฐาน ข้อมูลแบบลำดับชั้น ต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อ หลายตอ่ หนึ่ง (Many-to-one) หรือ หลายต่อหลาย (Many-to-many) กลา่ วคอื ลกู (Child) อาจมพี อ่ แม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สำหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายให้ลองพิจารณาการจัดการข้อมูล ของห้องสมุด ซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ที่อยู่ ประเภทหนังสือ และปีที่ พมิ พ์ ดงั นัน้ การจดั ข้อมูลแบบเก่าจะทำใหข้ ้อมูลซำ้ ซ้อนกนั มาก ดังรปู รปู ที่ 2.11 รปู แบบฐานขอ้ มลู แบบเครือขา่ ย เรื่องต่างกม็ ีรายการแยกต่างหาก ดังนั้นบรรดาผู้แต่งที่แต่งหนงั สือมากกวา่ หนึง่ เล่มจะปรากฏ มากว่าหนึ่งครั้งในไฟล์นอกจากนั้นสำนักพิมพ์แต่ละแห่งพิมพ์หนังสือหลายเล่มดังนั้นชื่อของ สำนักพิมพ์ ที่อยู่ก็จะปรากฏซ้ำ ๆ กันในไฟล์ข้อมูลรวม ดังนั้นผู้วางระบบฐานข้อมูลจึงแนะนำให้สร้าง ฐานขอ้ มลู ลกั ษณะเครือขา่ ย เพื่อลดความซ้ำซ้อน โดยการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรายการเข้าด้วยกัน จะเห็นว่า ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลายรายการ (Record) ระหว่างรายการชื่อสำนักพิมพ์และชื่อเรื่อง ซึ่ง แสดงโดยมีรูปลูกศรซ้อนกัน 2 หัวเราเรียกรวมชื่อสำนักพิมพ์และชื่อเรื่องซึ่งมีความสัมพันธ์กันว่าเซต และเรียกว่าสกีมา (Schema) ดังนั้นชื่อผู้แต่งแต่ละคนจะปรากฏเพียงหนึ่งครั้งและเชื่อมโยงกับช่ือ 26
หนังสือที่เป็นผู้แต่ง ขณะที่ชื่อสำนักพิมพ์ก็เชื่อมโยงกับหนังสือที่ตนเป็นผู้พิมพ์ เมื่อต้องการเข้าถึง รายการจะสามารถเข้าถึงผ่านทางชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง หรือชื่อสำนักพิมพ์ ก็ได้ โดยอาศัยเส้นทาง เชื่อมต่อระหว่าง รายการ ทำให้ข้อมูลทุกรายการสามารถติดต่อถึงกันได้อย่างถูกต้อง รายการหรือเร คอร์ดสมาชิก (Member) เช่น เรียก เรคอร์ดของผู้แต่งก่อนก็เป็นเรคอร์ดนำและหาตัวเชื่อมเพื่อไป คน้ หารายชื่อหนงั สือที่แตง่ ซึ่งเป็นเรคอร์ดสมาชิกก็จะปรากฏข้ึน 3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model) เป็นลักษณะการออกแบบ ฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว (Row) ของ ตารางจะแทนเรคอร์ด (Record) ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ (Column) ซึ่งเป็นขอบเขตของ ข้อมูล (Field) โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมี การวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตาราง ประวัตพิ นกั งาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติ รหัส ชอ่ื วนั เขา้ ทำงาน เงินเดอื น ตำแหน่ง แผนก 001 นายแดง 1/1/32 30000 ผู้จัดการ วศิ วกรรม 002 นายเขียว 30/6/34 20000 หัวหนา้ ชา่ ง วิศวกรรม 003 นายดำ 16/4/36 18000 สมุหบ์ ญั ชี บญั ชี 004 น.ส.น้ำฝน 1/5/39 9000 จดั ซอื้ บญั ชี 005 น.ส.ทราย 16/6/40 7000 ธุรการ ธุรการ ตารางท่ี 2.2 ตารางแสดงประวตั ิพนกั งาน รหสั แผนก ช่ือแผนก 10 บญั ชี 20 30 วิศวกรรม ธรุ การ ตารางที่ 2.3 ตารางแผนก รหัสโครงการ ชื่อโครงการ วันเรม่ิ วันสิน้ สดุ งบประมาณ 01 ทางด่วนชนั้ ที่ 3 1/1/38 31/12/41 500000000 27
02 สร้างเขือ่ นเก็บน้ำ 1/5/39 30/4/40 20000000 03 สรา้ งสนามฟตุ บอล 30/6/39 30/10/40 10000000 ตารางท่ี 2.4 ตารางข้อมลู โครงการ ในกรณีที่ผู้ใช้ต้องการเรียกข้อมูลจากตารางทั้ง 3 มาใช้ก็สามารถทำได้โดยการสร้างตารางใหม่ ดังแสดงการสรา้ งตารางรหัสพนักงานว่าอยแู่ ผนกไหน ทำงานโครงการอะไรและระยะเวลาในการทำ รหัสพนกั งาน รหสั แผนก รหัสโครงการ ระยะเวลา(วัน) 001 20 03 30 004 10 03 60 002 20 02 180 ตารางที่ 2.5 ตารางใหม่ แสดงการสรา้ งตารางรหัสพนกั งานวา่ อย่แู ผนกไหน ข้อดีและข้อเสียของโครงสร้างแบบสัมพันธ์ คือ สามารถสร้างตารางข้นมาใหม่โดยอาศัย หลักการทางคณิตศาสตร์และค้นหาว่าข้อมูลในฐานข้อมูลมีข้อมูลร่วมกับตารางที่สร้างขึ้นมาใหม่ หรือไม่ ถ้ามีก็ให้ประมวลผลโดยการอ่านเพิ่มเติมปรับปรุงหรือยกเลิกรายการ ข้อเสีย คือ การศึกษา วิธีการเขียนโปรแกรมและใช้ฐานข้อมูลจะต้องอิงหลักทฤษฎีทางคณิตสาศตร์จึงทำให้การศึกษา เพิ่มเติมของผู้ใช้ ยากแก่การเข้าใจ แต่ในปัจจุบันมีโปรแกรมการสร้างฐานข้อมูลหลายโปรแกรมที่ พยายามทำให้การเรียนรู้และการใช้ง่ายขึ้น เช่น โปรแกรมการสร้างฐานข้อมูลโดยใช้ภาษา SQL (Structured Query Language) เป็นตน้ ระดบั ของฐานขอ้ มูล 1. การออกแบบฐานขอ้ มูลในระดบั แนวคดิ (Conceptual Database Design) การออกแบบ ฐานข้อมูลในระดับนี้ เป็นการกำหนดโครงร่าง (Schema) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายโครงสร้าง หลักๆ ของข้อมูลภายในระบบฐานข้อมูล โดยไม่คำนึงว่าฐานข้อมูลที่จะนำ มาใช้มีโครงสร้างข้อมูล แบบไหนการออกแบบในระดับแนวคิดจะสามารถ20แนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล อธิบายได้วา่ ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นประกอบด้วยข้อมูล (Entities) ใดบ้าง ทั้งที่เป็นรูปธรรม เช่น ชื่อคน ชื่อสถานที่ ชื่อสิ่งของ และที่เป็นนามธรรม เช่น ความชำนาญ การกระทำต่างๆ เป็นต้นโดยมีการจัดเก็บ รายละเอียด ข้อมูล (Attributes)ที่แสดงลักษณะและคุณสมบัติของข้อมูลนั้นๆ และมี ความสัมพันธ์ (Relations) ระหว่างข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร ดังนั้น ผลของ การออกแบบในระดับนี้จึงเป็นรูป แบบจำลองของข้อมลู ทีจ่ ะประกอบด้วย โครงสรา้ งที่อยู่ในแนวคดิ ทยี่ งั ไม่สามารถนำไปใชง้ านได้จริง 28
2. การออกแบบฐานข้อมูลในเชิงตรรกะ (Logical Database Design) การออกแบบ ฐานข้อมูลในระดับนี้ เป็นระดับที่ต่อเนื่องมาจาก การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด โดยอาศัย โครงสร้างที่ได้จาก ระดับแนวคิดมาตรวจสอบความถูกต้องของโครงร่างที่ออกแบบขึ้นกับ ส่วน ประมวลผลต่างๆ ที่ออกแบบไว้และปรับปรุงให้เป็นไปตามโครงสร้างข้อมูลของฐานข้อมูลที่จะนำไปใช้ งานว่าเป็นโครงสร้างแบบลำดับชั้น (Hierarchical) แบบเครือข่าย (Network) แบบเชิงสัมพันธ์ (Relational) หรือแบบเชงิ วัตถุ (Object Oriented) ตวั อยา่ งเช่น ข้อมูลที่ 1 กำหนดให้เป็นข้อมูล (Entity) ของข้าราชการสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวง มหาดไทยมีรายละเอียดของข้อมูล (Attributes) ประกอบด้วย รหัสประจำตัวข้าราชการ ชื่อ ขา้ ราชการ ทีอ่ ย่ขู า้ ราชการ ข้อมูลที่ 2 ข้อมูลของหน่วยงานในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทยประกอบด้วย รหัสหน่วยงาน ชื่อหน่วยงาน ซึ่งข้อมูลทั้งสอง มีความสัมพันธ์ (Relationship) ระหว่างข้อมูล ข้าราชการและข้อมูลหน่วยงาน ในลักษณะว่า ข้าราชการแต่ละคนปฏิบัติงานอยู่ในสังกัดหน่วยงานใด หรือแนวทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล 21 กองคลังมีจำนวนข้าราชการในสังกัดเท่าไหร่ ชื่อ -สกุล ใดบา้ ง และ ขา้ ราชการเหลา่ นั้นดำรงตำแหน่งใด เปน็ ต้น ขน้ั ตอนการออกแบบฐานขอ้ มูลในเชิงตรรกะ นี้จะเน้นความสำคัญ ในส่วนของการจัดกลุ่มข้อมูลโดยไม่เกิดความซ้ำซ้อน ด้วยวิธีการทำให้ เป็น รูปแบบที่เป็นบรรทัดฐาน (Normalization) เพื่อการปรับการออกแบบ ฐานข้อมูลให้เหมาะสม กลา่ วคอื ดำเนนิ การใหข้ อ้ มลู อยใู่ นรูปที่เป็นหนว่ ย เล็กท่สี ดุ ทีไ่ มส่ ามารถแตกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ไดอ้ ีก ตัวอย่างเช่น ข้อมูล ข้าราชการประกอบด้วย - รหัสประจำตัวข้าราชการ ไม่สามารถกำหนดเป็นหน่วย ย่อย ได้อกี แล้ว - ชื่อข้าราชการ กำหนดเปน็ หน่วยยอ่ ย คือ คำนำหน้าชอื่ ตัว ชือ่ สกุล - ท่ีอยู่ข้าราชการ กำหนดเป็นหนว่ ยย่อย คอื บา้ นเลขท่ี หมู่บา้ น ถนน ตำบล อำเภอจงั หวดั รหัสไปรษณีย์ เปน็ ต้น ข้อมูลท่ี 3. การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ (Physical Database Design) เป็น ขั้นตอน สุดท้ายของการออกแบบฐานข้อมูล โดยจะกำหนด ข้อมูลที่จะจัดเก็บลงฐานข้อมูลจริงมีการ กำหนดวิธี ในการเข้าถึงข้อมูล (Access Method) ประเภทของข้อมูล (Data Type) โครงสร้างข้อมูล (Data Structure) การจัดระเบียนแฟ้ม (File Organization) เป็นต้น ซึ่งผลจาก การออกแบบ ฐานข้อมูลใน ระดับกายภาพนี้จะสามารถนำไปใช้ในการสร้าง ฐานข้อมูลจริง ทั้งนี้ก่อนที่จะออกแบบ ฐานข้อมูลใน ระดับนี้ผู้ออกแบบ จะต้องเลือกว่าจะใช้โปรแกรมหรือซอฟแวร์ใดเพื่อช่วยจัดการข้อมูล หรือ22แนว ทางการพัฒนาระบบฐานข้อมูล รายการต่างๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูล ทั้งการจัดเก็บ การเรียกใช้และการ ปรับปรุงข้อมูล ซึ่งโปรแกรมฐานข้อมูลจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้ อย่างรวดเร็ว โปรแกรมฐานข้อมูลที่นิยมใช้มีอยู่ด้วยกันหลายตัว โดยแต่ละโปรแกรม จะมี ความสามารถตา่ งกัน บางโปรแกรม ใช้ง่าย ราคาไม่แพง แตจ่ ะจำกดั ขอบเขตการใช้งาน เชน่ Access, dBase, FoxPro, Clipper, FoxBase เป็นต้น บางโปรแกรมมีความสามารถในการทำงานมากกว่า แตใ่ ชง้ านยากกว่า และตอ้ ง เสยี ค่าใชจ้ ่ายเป็นจำนวนมากเพ่ือให้ มสี ทิ ธ์ใิ นการใชง้ านตามกฎหมาย เช่น Oracle, SAP, DB2 เปน็ ตน้ อยา่ งไรก็ตาม โปรแกรมจดั การระบบฐานข้อมลู บางโปรแกรมได้อนุญาต 29
ให้ใช้งานได้โดยไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่าย ในการใช้งาน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าซอฟต์แวร์รหัสเปิด (Opensource Software) เช่น Base (OpenOffice.org), MySqL เป็นต้น เมื่อมีผลิตภัณฑ์ให้ เลือกใชง้ าน มากมายเชน่ นผี้ พู้ ัฒนา ระบบจงึ ต้องมีการพิจารณาผลติ ภัณฑต์ ่างๆดังน้ี - คุณลกั ษณะและ เครอ่ื งมอื ของระบบจัดการ ฐานขอ้ มูลซึ่งผลติ ภัณฑ์ บางตวั จะรวมเอาเคร่ืองมือต่างๆ ที่ให้ความสะดวก ในการพัฒนาโปรแกรม ประยุกต์ เช่น การออกแบบหน้าจอ การสร้างรายงาน การสร้างโปรแกรม ประยุกต์พจนานุกรมข้อมูล และอื่นๆ ค่าใช้จ่าย เช่น ค่าลิขสิทธิ์การซ่อมบำรุง การฝึกอบรม ค่าใช้จ่าย ในการเปลยี่ นไปใช้ ผลิตภัณฑ์ใหมก่ รณที มี่ ีฐานขอ้ มูลเดมิ อยูแ่ ล้ว การออกแบบฐานขอ้ มลู ด้วย E-R Diagram เปน็ เพยี งวธิ ีหนึ่งที่ช่วยในการออกแบบฐานขอ้ มลู และวธิ ีน้ีได้รับความนยิ มอย่างมาก นำเสนอ โดย Peter ซ่ึงวิธีการนีอ้ ยใู่ นระดับ Conceptual level และมีหลักการคลา้ ยกบั Relational model เพียงแต่ E-R model แสดงในรูปแบบกราฟิก บางระบบจะใช้ E-R model ได้เหมาะสมกวา่ แต่บาง ระบบจะใช้ Relational model ไดเ้ หมาะสมกวา่ เป็นตน้ ซึง่ แลว้ แต่การพจิ ารณาของผ้อู อกแบบวา่ จะ เลือกใช้แบบใด (Relational model) ไดเ้ หมาะสมกวา่ เปน็ ต้น ซ่ึงแล้วแต่การพิจารณาของผอู้ อกแบบ วา่ จะเลอื กใช้แบบใด (Relational model คอื ตารางข้อมูลท่มี คี วามสัมพันธ์กัน) สัญลักษณ์ทใี่ ช้แสดงแผนภาพ E-R Diagram (Symbols in E-R Diagram) สัญลักษณ์ ความหมาย Entity Attribute Attribute Key Attribute Relationship set Connection ตารางที่ 2.6 สญั ลักษณ์แสดงแผนภาพ E-R Diagram ความหมายแบบผังงาน ผงั งาน (Flowchart) คือ แผนภาพลำดบั ข้ันตอนการทำงาน เป็นเครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการวางแผน ข้ันแรกมาหลายปี โดยใช้สัญลกั ษณต์ า่ ง ๆ ในการเขยี นผังงาน เพอ่ื ช่วยลำดับแนวความคดิ ในการเขียน 30
โปรแกรม เปน็ วิธที ่ีนยิ มใชเ้ พราะทำใหเ้ หน็ ภาพในการทำงานของโปรแกรมงา่ ยกวา่ ใช้ข้อความ หากมี ข้อผิดพลาด สามารถดูจากผงั งานจะทำใหก้ ารแกไ้ ขหรือปรบั ปรุงโปรแกรมทำไดง้ ่าย ผังงานแบ่งได้ 2 ประเภท 1. ผังงานระบบ (System Flowchart) คือ ผังงานท่ีแสดงข้นั ตอนแสดงขนั้ ตอนการทำงานใน ระบบอยา่ งกว่าง ๆ แตไ่ มเ่ จาะลงในระบบงานย่อย 2. ผังงานโปรแกรม (Program Flowchart) คือ ผังงานที่แสดงถึงขั้นตอนในการทำงาน โปรแกรม ต้ังแตร่ ับขอ้ มูล คำนวณ จนถึงแสดงผลลพั ธ์ การเขยี นแผนภาพกระแสขอ้ มูล Data Flow Diagram : DFD (Context Diagram) เป็นแบบจำลองขั้นตอนการทำงานของระบบ เพื่ออธิบายขั้นตอนการทำงานของระบบที่ได้ จากการศึกษาในขน้ั ตอนก่อนหน้านี้ แผนภาพจะแสดงทิศทางการไหลของข้อมูลและอธิบายความสัมพันธ์ในการดำเนินงานของ ระบบซ่งึ จะทำให้ทราบวา่ 1. ข้อมลู มาจากไหน 2. ขอ้ มลู ไปทไ่ี หน 3. เกิดกิจกรรมใดกับข้อมลู บา้ ง ในแตล่ ะขน้ั ตอนของระบบ 4. จดั เกบ็ ข้อมูลทีไ่ หนหรือสง่ ข้อมลู ไปให้ท่ใี ด ช่อื สญั ลกั ษณ์ DeMarco & Yourdon symbols Gane & Sarson symbols การประมวลผล (Process) แหลง่ เกบ็ ข้อมลู (Data Store) กระแสข้อมูล (Data Flow) ส่ิงท่ีอยู่ภายนอก (External Entity) ตารางที่ 2.7 ตารางแสดงสญั ลกั ษณท์ ใ่ี ช้ในแผนภาพกระแสขอ้ มลู หลกั การใชส้ ญั ลักษณฝ์ นแผนภาพกระแสขอ้ มลู สัญลกั ษณ์ประกอบด้วย 31
1. Process – กระบวนการทำงานของระบบ 2. Data Store – แหลง่ จัดเกบ็ ข้อมลู 3. Data Flow - เสน้ ทางการไหลของขอ้ มลู 4. External Entity – ตวั แทนทเี่ กย่ี วข้องกับขอ้ มูล Process – กระบวนการทำงานของระบบ Process คือ กระบวนการทำงานของระบบ หรือขน้ั ตอนการดำเนินงาน เปน็ งานท่ี ดำเนนิ การเพอื่ ตอบสนองข้อมลู ที่รับเขา้ หรอื ต่อเง่อื นไขท่ีเกิดขน้ึ อาจดำเนนิ การทำงานจากบคุ คล หน่วยงาน หุ่นยนต์ เครอื่ งจักรหรอื เครื่องคอมพิวเตอร์ Input Output ขั้นตอนการทำงาน รปู ที่ 2.12 รปู แสดงการทำงานของระบบ Process สญั ลักษณท์ ่ใี ชแ้ สดงแทน Process 1. หมายเลขของ Process 2. ชื่อของ Process กฎของ Process 1. ต้องไม่มีข้อมูลรบั เขา้ เพยี งอย่างเดียว 2. ต้องไมม่ ขี อ้ มลู ออกเพยี งอย่างเดียว 3. ข้อมลู รับเขา้ ตอ้ งเพียงพอในการสร้างข้อมูลสง่ ออก 4. การต้ังชอื่ Process ต้องใชค้ ำกรยิ า Data Store – แหลง่ จัดเก็บข้อมลู 1. เป็นแหลง่ จดั เกบ็ หรอื บนั ทกึ ขอ้ มลู 2. เทียบเท่าไดก้ ับไฟลห์ รือแฟม้ ในฐานขอ้ มลู 3. สญั ลกั ษณข์ อง Data Store ประกอบด้วย 3.1 สว่ นแสดงรหสั ของ Data Store 3.2 ส่วนแสดงชอื่ Data Store หรือชอื่ ไฟล์ รหัส ช่ือ Data Store 32
รูปที่ 2.13 แสดงแหลง่ จัดเกบ็ ข้อมูล Data Store กฎของ Data Store 1. ข้อมลู จาก Data Store หนึ่งจะว่ิงสู่ Data Store หน่ึงโดยตรงไม่ได้ 2. การตง้ั ชื่อ Data Store ตอ้ งเป็นคำนาม Data Flow – เสน้ ทางการไหลของขอ้ มลู 1. ใชแ้ ทนการสอ่ื สารระหวา่ งข้ันตอนการทำงานต่าง ๆ 2. แสดงถึงข้อมูลนำเขา้ และสง่ ออก 3. สญั ลกั ษณข์ อง Data Flow 3.1 ใช้เสน้ ตรงทีม่ หี ัวลูกศรตรงปลายเพื่อบอกทิศทางการไหลของขอ้ มูล รูปท่ี 2.14 แสดงเสน้ ตรงที่มีหัวลกู ศรตรงปลายเพอื่ บอกทิศทางการไหลข้อมูล 4. ชนิดของ data flow 4.1 Composite Data Flow ใช้แสดงการไหลของขอ้ มลู 4.2 Control Flow ใช้แสดงทิศทางการส่งเงื่อนไขเพื่อกระตุ้นกระบวนการให้มีการ ทำงานเกดิ ข้ึน รูปท่ี 2.15 รปู แสดงทิศทางการสง่ เง่ือนไขเ้ พ่อื กระตุ้นกระบวนการให้มีการทำงานเกดิ ขึ้น 4.3 Diverging Data Flow เส้นทางการไหลของข้อมูล 1 เส้นมีข้อมูลบางส่วนหรือ ทั้งหมดเดนิ ทางไปยงั ปลายทางที่ต่างกนั 4.4 Converging Data Flow เส้นทางการไหลของข้อมูงจากหลายแหล่งมารวมเป็น ขอ้ มลู ชดุ เดยี วกันไปยงั ทีเ่ ดยี วกัน 4.5 Data Attribute ส่วนประกอบย่อยของชุดข้อมูลที่ปรากฏบนแหล่งข้อมูลเป็น เอกสารและรายงานต่าง ๆ กฎของ Data Flow 1. ชอ่ื ของ Data Flow ควรเปน็ ช่ือของขอ้ มูลที่สง่ ไปโดยไมต่ ้องอธิบายว่าสง่ อยา่ งไร 2. Data Flow ต้องมจี ุดเริ่มตน้ และสิน้ สุดที่ Process 3. Data Flow จะเดนิ ทางจาก External Agent กับ External Agent ไมไ่ ด้ 4. Data Flow จะเดินทางจาก External Agent ไป Date Store ไม่ได้ 33
5. Data Flow จะเดนิ ทางจาก Data Store ไป External Agent ไม่ได้ 6. Data Flow จะเดินทางจาก Data Store กบั Data Store ไม่ได้ 7. การตัง้ ชอ่ื Data Flow จะตอ้ งใช้คำนาม External Entity - ตัวแทนข้อมูล External Entity หรือ External Agent หม่นถึงบุคคลหรือหน่วยงานในองค์กร องค์กรอ่ืน หรือระบบงานอืน่ ท่อี ย่ภู ายนอกขอบเขตของระบบงานแตม่ ีความสมั พนั ธ์กบั ระบบ 1. มกี ารสง่ ขอ้ มลู เข้าระบบเพื่อดำเนนิ งาน 2. รบั ข้อมูลท่ีผ่านการดำเนนิ งานจากระบบ 3. สัญลักษณ์ของ External Agent 3.1 ใชร้ ปู สเ่ี หลี่ยม ภายในแสดงช่ือของ External Agent ช่อื External Agent รูปที่ 2.16 แสดงชอื่ ของ External Agent กฎของ External Agent 1. ข้อมูลจาก External Agent จะวิ่งไปยัง External Agent หนึ่งโดยตรงไม่ได้ ต้องผ่าน Process กอ่ น 2. การตงั้ ชอ่ื External Agent ต้องใช้คำนาม วธิ กี ารสร้างแผนภาพกระแสข้อมูล แผนภาพ DFD ประกอบด้วยแผนภาพ 3 ระดับ คอื 1. สร้างแผนภาพบริบท (Context Diagram / Level-0 Diagram) 2. สร้างแผนภาพระดบั 1 (Parent Diagram / Level-1 Diagram) 3. แบ่งยอ่ ยแผนภาพ (Child Diagram / Decomposition of DFD) หลังจากสร้างแผนภาพเสร็จทั้ง 3 ระดับแล้วต้องทำการตรวจสอบความสมดุลของแผนภาพ เรยี กว่า Balancing DFD แผนภาพบรบิ ท (Context Diagram / Level-0 Diagram) Context Diagram คือ แผนภาพกระแสขอ้ มลู ระดบั บนสุด แสดงภาพการทำงานของระบบท่ี มีความสัมพันธก์ บั ภายนอกระบบ แสดงถงึ ขอบเขตของระบบทศี่ ึกษาและพฒั นา 34
มแี นวทางในการกำหนดขอบเขตดังนี้ 1. แบ่งแยกสง่ิ ท่อี ยู่ภายในและภายนอกระบบ 2. ศึกษาระบบโดยสอบถามถึงเหตุการณ์หรือกิจกรรมการดำเนินงานประจำวันว่ามีการ ติดต่อ จัดการหรือดำเนินการอย่างไร และระบบมีการตอบสนองอย่างไร มี input คืออะไร จากใคร และ output คืออะไร สง่ ถงึ ใคร 3. ต้องการรปู แบบรายงาน การสอบถามแบบข้อมลู ใด 4. จำแนกแหลง่ ขอ้ มลู ภายนอกระบบ ข้อมูลจากไฟลห์ รอื ฐานขอ้ มลู ทรี่ ะบบต้องการใช้ การวาด Context Diagram 1. ประกอบด้วย Process ที่ใช้แทนการทำงานของระบบท้งั หมดเพยี ง 1 Process เท่าน้ัน 2. แสดงหมายเลข Process เปน็ หมายเลข 0 3. แสดงรายละเอยี ดของ External Entity รอง ๆ Process 4. มี Data Flow แสดงทศิ ทางการตดิ ตอ่ ระหวา่ งระบบกบั ส่ิงท่ีอยูภ่ ายนอกระบบ รปู ท่ี 2.17 รปู แสดง Context Diagram รปู ท่ี 2.18 โปรแกรม Microsoft access 2010 Microsoft Access 2010 เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่นิยมใช้กันอ่างแพร่หลายเนื่องจาก Access เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่มีความสามารถในหลาย ๆ ด้านใช้งานง่ายซึ่งผู้ใช้สามารถเริ่มทำได้ ตั้งแต่การ ออกแบบฐานข้อมูลจัดเก็บข้อมูลเขียนโปรแกรมควบคุมตลอดจนการทำรายงานแสดงผล 35
ของข้อมูล Access เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่ใช้ง่ายโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจในการเขียน โปรแกรมก็ สามารถใช้งานได้ไม่จำเป็นต้องศึกษารายละเอียดในการเขียนโปรแกรมให้ยุ่งยากและ สำหรับ นักพัฒนาโปรแกรมมืออาชีพนั้น Access ยังตอบสนองความต้องการในระดับที่สูงขึ้นไปอีก เช่น การ เชอ่ื มต่อระบบฐานขอ้ มูลกับฐานขอ้ มลู อ่ืนๆเชน่ SQL SERVER , ORACLE หรอื แม้แต่การนํา ข้อมูล ออกสู่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต Microsoft Access 2010 จะจัดระเบียบข้อมูลลงในตาราง ซึ่งเป็น รายการของแถวและคอลัมน์ที่มีลักษณะคล้ายกับกระดาษบันทึกของนักบัญชีหรือแผ่นงาน Microsoft Excel ความสามารถของ Microsoft Access 1. สามารถสร้างระบบฐานข้อมูลใช้งานต่าง ๆ ได้โดยง่าย เช่น โปรแกรมบัญชีรายรับ รายจ่าย โปรแกรมควบคุมสินค้า โปรแกรมฐานข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น ซึ่งสามารถทำได้โดยง่ายเพราะ Access มีเครื่องมือต่างๆให้ใช้ในการสร้างโปรแกรมได้โดยง่ายและรวดเร็ว โปรแกรมที่สร้างข้ึน สามารถตอบสนองผู้ใช้ได้ตามต้องการ เช่น การสอบถามยอดสินค้า การเพิ่มสินค้าการลบสินค้าการ แกไ้ ขขอ้ มลู สินคา้ เป็นต้น 2. สามารถสร้างรายงานเพ่อื แสดงขอ้ มูลท่ตี อ้ งการตามทผ่ี ้ใู ช้งานต้องการ 3. สามารถสร้างระบบฐานข้อมูลเพื่อนําไปใช้ร่วมกับฐานข้อมูลอื่นๆได้โดยง่ายเช่น SQL SERVER ORACLE ได้ 4. สามารถนําเสนอข้อมูลออกสู่ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต สามารถทำได้โดยง่ายและ อีกหลายอย่างในระบบฐานขอ้ มูลท่ีผใู้ ชง้ านตอ้ งกา ขอ้ มูลและฐานข้อมลู ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ทั่วไป เช่น ราคาสินค้า คะแนน ของนกั เรียนแตล่ ะคน ซ่งึ ปกติถอื วา่ เปน็ ขอ้ มูลดิบ (Raw Data) ทย่ี ังไมไ่ ดผ้ า่ นการประมวลผล ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้วเรียกว่า สารสนเทศ (Information) เช่น เมื่อนำคะแนนของ นกั เรยี นทง้ั หมดมาประมวลผลก็จะไดค้ ะแนนสงู สดุ และคะแนนตำ่ สดุ ของนกั เรียนทัง้ หมด ข้อมูลที่นํามาจัดเก็บในฐานข้อมูลอาจอยู่ในรูปของตัวเลข ตัวอักษรข้อความ รูปภาพ ตัวเลข หรอื เสยี ง ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง แหล่งเก็บรวบรวมข้อมูลกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือ จุดประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง มีโครงการและการจัดการอย่างเป็นระบบข้อมูลที่บันทึกเก็บไว้สามารถ ปรบั ปรงุ แก้ไข สบื คน้ และนำมาใช้ในการจดั การสารสนเทศไดอ้ ย่างรวดเร็วและมปี ระสิทธภิ าพ ฐานข้อมูลในที่น้ี หมายถึง ฐานข้อมูลทีใ่ ชร้ ะบบคอมพิวเตอร์ ส่วนอุปกรณ์ที่เกบ็ ข้อมูลคือจาน แมเ่ หล็กหรือฮารด์ ดสิ ก์ ตวั อยา่ งฐานข้อมูลท่ใี ชก้ ันทัว่ ไป ได้แก่ ฐานข้อมลู บคุ ลากร ฐานข้อมลู นกั ศึกษา ฐานข้อมูลสนิ คา้ ฐานขอ้ มูลโรงพยาบาล ฯลฯ ปกติฐานข้อมูลจะถูกจัดเก็บไว้ที่ส่วนกลางของหน่วยงานหรือองค์กร เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถ เรียกใช้ข้อมลู ร่วมกนั ไดโ้ ดยอาจใชข้ อ้ มูลได้บางส่วนหรือทงั้ หมดขึ้นอยูก่ บั การกำหนดสทิ ธิในการใชง้ าน 36
ฐานข้อมูลอาจเก็บข้อมูลไว้ในแฟ้มเดียวกันหรือแยกเก็บหลายๆแฟ้ม ที่มีความสัมพันธ์กัน โดยแตล่ ะแฟม้ เรียกว่า ตาราง (Table) ระบบฐานขอ้ มลู (Database System) ระบบที่รวบรวมข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกันเข้าไว้ด้วยกันอย่างมีระบบมีความสัมพันธ์ระหว่าง ข้อมูลต่างๆที่ชัดเจน ในระบบฐานข้อมูลจะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลหลายแฟ้มที่มีข้อมูลเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถใช้งานและดูแลรักษาป้องกัน ข้อมูลเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีซอฟต์แวร์ที่เปรียบเสมือนสื่อกลางระหว่างผู้ใช้และ โปรแกรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการใช้ฐานข้อมูล เรียกว่า ระบบจัดการฐานข้อมูล หรือ DBMS (Data Base Management System) มีหน้าที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายสะดวกและมีประสิทธิภาพการ เข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้อาจเป็นการสร้างฐานข้อมูล การแก้ไขฐานข้อมูลหรือการตั้งคําถามเพื่อให้ได้ ขอ้ มูลมา โดยผใู้ ช้ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งรบั รปู เกยี่ วกบั รายละเอยี ดภายในโครงสร้างของฐานข้อมลู ประโยชน์ของระบบฐานข้อมลู 1. ข้อมูลในระบบฐานข้อมูลสามารถใช้ร่วมกันได้ (The Data Can Be Shared) เช่น โปรแกรมระบบเงินเดือน สามารถเรียกใช้ข้อมูลรหัสพนักงานจากฐานข้อมูลเดียวกับโปรแกรมระบบ การขายเปน็ ตน้ 2. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยให้มีความซ้ำซ้อนน้อยลง (Redundancy Can Be Reduced) ท่ีลดความซำ้ ซ้อนได้ เพราะเก็บแบบรวม (Integrated) 3. ระบบฐานข้อมูลช่วยหลีกเลี่ยงหรือลดความไม่คงที่ของข้อมูล (Inconsistency Can Be Avoided To Some Extent) 4. ระบบฐานข้อมูลสนับสนุนการทำธุรกรรม (Transaction Support Can Be Provided) ธุรกรรม คือ ข้นั ตอนการทำงานหลายกิจกรรมย่อยมารวมกัน 5. ระบบฐานข้อมูลสามารถช่วยรักษาความคงสภาพหรือความถูกต้องของข้อมูลได้ (Integrity Can Be Maintained) โดยผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นผู้กำหนดข้อบังคับความคงสภาพ (DBA Implement Integrity Constraints Or Business Rules.) ตามที่ผู้บริหารข้อมูล (DA) มอบหมาย เพื่อ ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงข้อมูลในฐานข้อมูลโดยไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ ตาม 6. สามารถบังคับใช้มาตรการรักษาความปลอดภัย (Security Can Be Enforced) กล่าวคอื ผ้บู รหิ ารฐานข้อมูลสามารถกำหนดขอ้ บังคบั เรื่องความปลอดภัย (Security Constraints) 7. ความต้องการที่เกิดข้อโต้แย้งระหว่างฝ่าย สามารถประนีประนอมได้ (Conflicting Requirements Can Be Balanced.) 8. สามารถบังคบั ให้เกิดมาตรฐานได้ (Standards Can Be Enforced) 37
9. ระบบฐานข้อมูลให้เกิดความเป็นอิสระของข้อมูล (Data Independence) เป็น ประโยชน์ ข้อสำคัญทสี่ ดุ เพราะทำใหข้ ้อมลู ไม่ข้ึนอย่กู บั การแทนคา่ ข้อมลู เชงิ กายภาพ (Physical Data Independence) ขอ้ ดขี องระบบฐานข้อมลู การจดั เกบ็ ข้อมูลเป็นฐานข้อมูลไดเ้ ปรียบกว่าการจดั เก็บข้อมลู แบบแฟม้ ข้อมูล ดังน้ี 1. หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลแบบแฟ้มข้อมูล โดยข้อมูลเรื่อง เดยี วกนั อาจมีอยู่หลายแฟ้มข้อมูล ซ่งึ ก่อให้เกดิ ความขัดแยง้ ของขอ้ มลู ได้ (Inconsistency) 2. สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ฐานข้อมูลเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน เมื่อผู้ใช้ ต้องการขอ้ มูลจากฐานข้อมูล ซ่งึ เปน็ ขอ้ มูลทีม่ าจากแฟม้ ข้อมลู ท่ีแตกต่างกันจะทำได้งา่ ย 3. สามารถลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในลักษณะแฟ้มข้อมูลอาจทำให้ ข้อมูลประเภทเดียวกันถูกเก็บไว้หลายๆแห่งทำให้เกิดความซ้ำซ้อน (Reclundancy)การนําข้อมูลมา รวมเกบ็ ไวใ้ นฐานข้อมูลจะช่วยลดปญั หาความซำ้ ซ้อนได้ 4. รักษาความถูกต้องฐานข้อมูลบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดขึ้น เช่น การป้อนข้อมูลผิดซึ่ง ระบบการจัดการฐานขอ้ มูลสามารถระบุกฎเกณฑเ์ พ่อื ควบคุมความผดิ พลาดทอ่ี าจเกิดขึ้นได้ 5. สามารถกำหนดความเป็นมาตรฐานเดียวกันได้เพราะในระบบฐานข้อมูลจะมีกลุ่ม บคุ คล ที่คอยบริหารฐานขอ้ มลู กำหนดมาตรฐานต่าง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลในลักษณะเดียวกัน 6. สามารถกำหนดระบบความปลอดภัยของข้อมูลได้ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถ กาํ หนดการเรียกใชข้ อ้ มลู ของผใู้ ช้แตล่ ะคน ให้เกดิ ความแตกตา่ งกันตามหนา้ ท่คี วามรบั ผดิ ชอบได้ง่าย 7. ความเป็นอิสระของข้อมูลและโปรแกรม โปรแกรมที่ใช้ในแต่ละแฟ้มข้อมูลจะมี ความสัมพันธ์กับแฟ้มข้อมูลโดยตรง ถ้าหากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างข้อมูลก็ทำการแก้ไข โปรแกรมนน้ั ๆ 8. ลดความซ้ำซ้อนของงานดูแลเอกสาร ซึ่งเป็นงานประจำที่ทำให้ผู้ดูแลรู้สึกเบื่อหน่าย และ ขาดแรงจูงใจ แต่เราสามารถใช้คอมพิวเตอร์ในการปฏิบัติงานนี้แทนมนุษย์ได้โดยผ่านโปรแกรม สำหรับการจดั การฐานขอ้ มูล 9. ข้อมูลที่จัดเก็บมีความทันสมัย เมื่อข้อมูลในระบบฐานข้อมูลได้รับการดูแลปรับปรุง อย่างต่อเนื่องทำให้ข้อมลู ทีจ่ ดั เก็บเป็นข้อมูลที่มีความทันสมัย ตรงกับเหตุการณ์ในปัจจุบันและตรงกับ ความต้องการอยูเ่ สมอ 10. ลดความซ้ำซอ้ นในการจดั เกบ็ ข้อมูล เนื่องจากการจัดทำฐานข้อมูลจะมกี ารรวบรวม ข้อมูลประเภทต่างๆ เข้ามาจัดเก็บไว้ในระบบ และเก็บข้อมูลเพียงชุดเดียวซึ่งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะ สามารถเรียกใชข้ อ้ มลู ที่ตอ้ งการได้เป็นการประหยัดเน้อื ทใี่ นการจัดเกบ็ และทำให้เกิดความรวดเร็ว ใน การค้นหาและจัดเกบ็ ข้อมูลด้วย 11. หลกี เล่ียงความขัดแย้งของข้อมลู ไดเ้ มื่อข้อมลู ถูกจัดเก็บในระบบฐานขอ้ มูล จะทำให้ ข้อมูลลดความซ้ำซ้อนลง คือ มีข้อมูลแต่ละประเภทเพียงหนึ่งชุดในระบบ ทำให้ข้อมูลที่เก็บได้ไม่ 38
ขัดแย้งกันเอง ในกรณีที่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันเพื่อสาเหตุบางประการ เช่น เพื่อความ รวดเร็วในการประมวลผลข้อมูลระบบจัดการฐานข้อมูลจะเป็นผู้ดูแลข้อมูลที่ซ้ ำกันให้มีความถูกต้อง ตรงกนั 12. ใช้ข้อมูลร่วมกันได้เนื่องจากระบบการจัดการฐานข้อมูลสามารถจัดให้ผู้ใช้แต่ละคน เข้า ใช้ข้อมูลในแฟ้มที่มีข้อมูลเดียวกันได้ในเวลาเดียวกันเช่น ฝ่ายบุคคลและฝ่ายการเงินสามารถที่จะ ใช้ ข้อมลู จากแฟ้มประวตั ิพนักงานในระบบฐานข้อมูลได้พร้อมกนั 13. ควบคุมมาตรฐานของข้อมูลได้เมื่อข้อมูลต่างๆ ในหน่วยงานถูกรวบรวมเข้ามา ผู้บริหาร ระบบฐานข้อมูลสามารถที่จะวางมาตรฐานในการรับข้อมูล แสดงผลข้อมูล ตลอดจนการ จัดเก็บข้อมูล ได้ เช่น การกำหนดรูปแบบของตัวเลขให้มีทศนิยม 2 ตำแหน่งสำหรับค่าที่เป็นตัวเงิน การกำหนด รูปแบบของการรับและแสดงผลสำหรับข้อมูลที่เป็นวันที่ นอกจากนี้การที่ข้อมูลมี มาตรฐานเดียวกนั ทำใหส้ ามารถแลกเปลีย่ นข้อมลู ระหวา่ งระบบได้อยา่ งสะดวก 14. จัดทำระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลได้ผู้บริหารระบบฐานข้อมูลสามารถ กำหนดรหัสผ่านเข้าใช้งานข้อมูลของผู้ใช้แต่ละราย โดยระบบการจัดการฐานข้อมูลจะทำการ ตรวจสอบสิทธิ์ในการทำงานกับข้อมูลทุกครั้ง เช่น การตรวจสอบสิทธิ์ในการเรียกดูข้อมูล การลบ ขอ้ มูลการปรบั ปรุงข้อมูลและการเพ่มิ ข้อมูลในแต่ละแฟ้มขอ้ มูล 15. ควบคุมความถูกต้องของข้อมูลได้ ปัญหาเรื่องความขัดแย้งกันของข้อมูลที่มีความ ซับซ้อนเป็นปัญหาหนึ่งในเรื่องความถูกต้องของข้อมูล ซึ่งเมื่อได้มีการกําจัดความซับซ้อนของข้อมูล ออก ปัญหาเรื่องความถกู ต้องของข้อมูลท่อี าจเกดิ ขนึ้ ได้ 6.ขอ้ เสียของระบบฐานข้อมลู การเกบ็ ข้อมลู รวมเปน็ ฐานข้อมูลมขี ้อเสยี ดังนี้ 1. มีต้นทุนสูง ระบบฐานข้อมูลก่อให้เกิดต้นทุนสูง เช่น ซอฟท์แวร์ที่ใช้ในการจัดการ ระบบ ฐานข้อมูล บุคลากร ต้นทุนในการปฏิบตั ิงาน และฮาร์ดแวร์ เปน็ ต้น 2. มคี วามซบั ซ้อน การเรมิ่ ใช้ระบบฐานขอ้ มลู อาจก่อใหเ้ กิดความซับซ้อนได้ เช่น การ จดั เกบ็ ข้อมลู การออกแบบฐานข้อมลู การเขียนโปรแกรม เปน็ ต้น 3. การเสี่ยงต่อการหยดุ ชะงักของระบบ เนือ่ งจากขอ้ มูลถูกจดั เกบ็ ไวใ้ นลกั ษณะเปน็ ศนู ย์ รวม (Centralized Database System) ความล้มเหลวของการทำงานบางสว่ นในระบบอาจทำให้ ระบบ ฐานข้อมลู ทัง้ ระบบหยดุ ชะงักได้ 4. เสียค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากราคาของโปรแกรมที่ใช้ในระบบการจัดการฐานข้อมูลจะมี ราคาค่อนข้างแพงรวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง คือ ต้องมีความเร็วสูงมีขนาด หน่วยความจําและหน่วยเก็บข้อมูลสํารองที่มีความจุมากทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการจัดทำระบบ การจัดการฐานข้อมูล 39
5. เกิดการสูญเสียข้อมูลได้เนื่องจากข้อมูลต่างๆภายในฐานข้อมูลจะถูกจัดเก็บอยู่ในที่ เดียวกัน ดังนั้นถ้าที่เก็บข้อมูลเกิดมีปัญหาอาจทำให้ต้องสูญเสียข้อมูลทั้งหมดในฐานข้อมูลได้ ดังนั้น การจัดทำฐานขอ้ มูลที่ดจี งึ ตอ้ งมกี ารสำรองขอ้ มูลไว้เสมอ 2.4 ระบบงานทเ่ี ก่ียวข้อง นายจอมพล ประทีปรัมย์ นายศุภกิจ จงดิษฐ์ และนายกิตติภูมิ แสงพรม (2564)โดยคณะ ผู้จัดทำได้จัดทำโครงการระบบการจัดการฐานข้อมูลร้านเจ๊เล็กข้าวต้มป้อมปีกโดยมีการสร้างระบบ เพือ่ นำเสนอผลงานแกผ่ ทู้ ่สี นใจในการจดั ทำระบบฐานขอ้ มลู นางสาวฉัตรชนก ปานเนาว์ นางสาวอรอุษา พรมรัตน์ และนางสาวสธิมา ถมวารี (2564) โดยคณะผู้จัดทำได้จัดทำโครงการระบบฐานข้อมูลการยืม-คืนอุปกรณ์กีฬา โดยมีการสร้างระบบ ฐานขอ้ มูลเพือ่ นำเสนอผลงานแก่ผ้ทู สี่ นใจในการหาข้อมลู เกย่ี วกบั การยืม-คนื อุปกรณก์ ฬี า นายจิรสิน จันทร์เหมือน และนายพขร เกียรติอภิเดช (2564) โดยคณะผู้จัดทำได้จัดทำ โครงการระบบฐานข้อมูลร้านกาแฟ โดยมีการสร้างระบบเพื่อนำเสนอผลงานแก่ผู้ที่สนใจในการจัดทำ ระบบฐานข้อมูลการจัดทำโครงการนี้เกี่ยวกับระบบฐานข้อมูลร้านกาแฟ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความ สนใจเกี่ยวกับระบบสต็อกสินค้า ส่วนประกอบต่าง ๆ ภายในระบบ ทั้งนี้คณะผู้จัดทำจึงจัดทำระบบ ฐานข้อมูลน้เี พื่อสามารถใช้คอมพวิ เตอรไ์ ดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพสูงสุด 40
Search