คํานํ า หนั งสือเรยี นรูว้ ชิ าภาษาไทย ชนั มธั ยมศึกษาปท๑ี เลม่ นี จดั ทาํ ขนึ เพือให้ ผศู้ ึกษาไดเ้ รยี นรูก้ ารสรา้ งคําโดยใชค้ ํามลู คําประสม และคําสนธิ ภายใน หนั งสือจะประกอบไปดว้ ย เนื อหา ความหมาย ซงึ จะทาํ ให้ผศู้ ึกษาเกดิ ไดร้ บั ความรู้ ผจู้ ดั ทาํ หวงั วา่ ทางผศู้ ึกษาจะไดค้ วามรูใ้ นหนั งสือการเรยี นรูว้ ชิ า ภาษาไทยชนั มธั ยมศึกษาปท๑ี ไมม่ ากกน็ ้ อย หากมขี อ้ ผดิ พลาดประการใด ทางผจู้ ดั ทาํ ขออภยั มา ณ ทนี ี ดว้ ย
สารบญั 4 5 การสรา้ งคําในภาษาไทย 6 -แบบสรา้ งคํา 7 -รูปแบบของคํา 8 ความหมายและแบบสรา้ งของคําชนิ ดตา่ ง ๆ 9 -คํามลู 12 -คําประสม 13 -คําสนธิ อา้ งองิ
การสรา้ งคําในภาษาไทย การสรา้ งคําในภาษาไทย คําทใี ชใ้ นภาษาไทยดงั เดมิ ส่วนมากจะเปนคําพยางค์เดยี ว เชน่ พีน้ อง เดอื น ดาว จอบไถ หมหู มา กนิ นอน ดี ชวั สอง สาม เปนตน้ เมอื โลกววิ ฒั นาการ มี สิงแปลกใหมเ่ พิมขนึ ภาษาไทยกจ็ ะตอ้ งพัฒนาทงั รูปคําและการเพิมจํานวน คํา เพือให้มคี ําใชใ้ นการสือสารให้เพียงพอ กบั การเปลยี นแปลงของวตั ถุ สิงของและเหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ ดว้ ยการสรา้ งคํา ยมื คําและเปลยี นแปลงรูปคําซงึ จะมรี ายละเอยี ดดงั นี แบบสรา้ งคํา แบบสรา้ งคํา คือ วธิ กี ารนํ าอกั ษรมาประสมเปนคําเกดิ ความหมายและเสียง ของแตล่ ะ พยางค์ ใน ๑ คํา จะตอ้ งมสี ่วนประกอบ ๓ ส่วน เปนอยา่ งน้ อย คือ สระ พยญั ชนะและวรรณยกุ ต์ อยา่ งมากไมเ่ กนิ ๕ ส่วน คือ สระ พยญั ชนะ วรรณยกุ ต์ ตวั สะกด ตวั การนั ต์ รู ปแบบของคํา คําไทยทใี ชอ้ ยปู่ จจบุ นั มที งั คําทเี ปนคําไทยดงั เดมิ คําทมี าจากภาษาตา่ ง ประเทศ คําศัพทเ์ ฉพาะทางวชิ าการคําทใี ชเ้ ฉพาะในภาษาพดู คําชนิ ดตา่ ง ๆ เหลา่ นี มชี อื เรยี กตามลกั ษณะ และแบบสรา้ งของคํา เชน่ คํามลู คําประสม คํา สมาส คําสนธิ คําพ้องรูป คําพ้องเสียง คําเหลา่ นี มลี กั ษณะพิเศษเฉพาะ ผู้ เรยี นจะเขา้ ใจลกั ษณะแตกตา่ งของคําเหลา่ นี ไดจ้ ากแบบสรา้ งของคํา
แบบสรา้ งคํา แบบสรา้ งคํา แบบสรา้ งคํา คือ วธิ กี ารนํ าอกั ษรมาประสมเปนคําเกดิ ความหมายและเสียง ของแตล่ ะ พยางค์ ใน ๑ คํา จะตอ้ งมสี ่วนประกอบ ๓ ส่วน เปนอยา่ งน้ อย คือ สระ พยญั ชนะและวรรณยกุ ต์ อยา่ งมากไมเ่ กนิ ๕ ส่วน คือ สระ พยญั ชนะ วรรณยกุ ต์ ตวั สะกด ตวั การนั ต์
รูปแบบของคํา รู ปแบบของคํา คําไทยทใี ชอ้ ยปู่ จจบุ นั มที งั คําทเี ปนคําไทยดงั เดมิ คําทมี าจากภาษาตา่ ง ประเทศ คําศัพทเ์ ฉพาะทางวชิ าการคําทใี ชเ้ ฉพาะในภาษาพดู คําชนิ ดตา่ ง ๆ เหลา่ นี มชี อื เรยี กตามลกั ษณะ และแบบสรา้ งของคํา เชน่ คํามลู คําประสม คํา สมาส คําสนธิ คําพ้องรูป คําพ้องเสียง คําเหลา่ นี มลี กั ษณะพิเศษเฉพาะ ผู้ เรยี นจะเขา้ ใจลกั ษณะแตกตา่ งของคําเหลา่ นี ไดจ้ ากแบบสรา้ งของคํา
ความหมายและแบบสรา้ ง ของคําชนิ ดตา่ ง ๆ
คํามลู คํามลู คือ คํา ๆ เดยี วทมี ไิ ดป้ ระสมกบั คําอนื อาจมี ๑ พยางค์ หรอื หลายพยางค์กไ็ ด้ แตเ่ มอื แยกพยางค์แลว้ แตล่ ะพยางค์ไมม่ คี วามหมาย คําภาษาไทยทใี ชม้ าแตเ่ ดมิ ส่วนใหญ่ เปนคํามลู ทมี พี ยางค์เดยี วโดด ๆ เชน่ พ่อ แม่ กนิ เดนิ ตวั อยา่ งแบบสรา้ งของคํามลู คนมี ๑ พยางค์ คือ คน สิงโตมี ๒ พยางค์ คือ สิง + โต นา ิกามี ๓ พยางค์ คือ นา + ิ + กา ทะมดั ทะแมงมี ๔ พยางค์ คือ ทะ + มดั + ทะ + แมง กระเหียนกระหือรอื มี ๕ พยางค์ คือ กระ + เหียน + กระ + หือ + รอื จากตวั อยา่ งแบบสรา้ งของคํามลู จะเห็นวา่ เมอื แยกพยางค์จากคํา แลว้ แตล่ ะพยางค์ไมม่ คี วามหมายในตวั หรอื อาจมคี วามหมายไมค่ รบทกุ พยางค์ คําเหลา่ นี จะมคี วามหมายกต็ อ่ เมอื นํ าทกุ พยางค์มารวมเปนคํา ลกั ษณะเชน่ นี ถอื วา่ เปนคําเดยี วโดด ๆ
คําประสม คําประสม คือ คําทสี รา้ งขนึ ใหมโ่ ดยนํ าคํามลู ตงั แต่ ๒ คําขนึ ไปมา ประสมกนั เกดิ เปนคําใหมข่ นึ อกี คําหนึ ง ๑. เกดิ ความหมายใหม่ ๒. ความหมายคงเดมิ ๓. ให้ความหมายกระชบั ขนึ ตวั อยา่ งแบบสรา้ งคําประสม แมย่ ายเกดิ จากคํามลู ๒ คํา คือ แม่ + ยาย ลกู นาเกดิ จากคํามลู ๒ คํา คือ ลกู + นา ภาพยนตรจ์ นี เกดิ จากคํามลู ๒ คํา คือ ภาพยนตร์ + จนี จากตวั อยา่ งแบบสรา้ งคําประสม จะเห็นวา่ เมอื แยกคําประสมออก จากกนั จะไดค้ ํามลู ซงึ แตล่ ะคํามคี วามหมายในตวั เอง ชนิ ดของคําประสม การนํ าคํามลู มาประสมกนั เพือให้เกดิ คําใหมข่ นึ เรยี กวา่ “คําประสม” นั น มวี ธิ ี สรา้ งคําตามแบบสรา้ ง อยู่ ๕ วธิ ดี ว้ ยกนั คือ ๑.คําประสมทเี กดิ จากคํามลู ทมี รี ูป เสียง และความหมายตา่ งกนั เมอื ประสม กนั เกดิ เปนความหมายใหม่ ไมต่ รงกบั ความหมายเดมิ เชน่ แมห่ มายถงึ หญงิ ทใี ห้กําเนิ ดลกู ยายหมายถงึ แมข่ องแม่ แม่ + ยาย ไดค้ ําใหม่ คือ แมย่ ายหมายถงึ แมข่ องเมยี คําประสมชนิ ดนี มี มากมาย เชน่ แมค่ รวั ลกู เรอื พ่อตา มอื ลงิ ลกู นา ลกู น้ อง ปากกา
๒.คําประสมทเี กดิ จากคํามลู ทมี รี ูป เสียง และความหมายตา่ งกนั เมอื ประสม กนั แลว้ เกดิ ความหมายใหมแ่ ตย่ งั คงรกั ษาความหมายของคําเดมิ แตล่ ะคําได้ เชน่ หมอหมายถงึ ผรู้ ู้ ผชู้ าํ นาญ ผรู้ กั ษาโรค ดหู มายถงึ ใชส้ ายตาเพือให้เห็น หมอ + ดู ไดค้ ําใหม่ คือ หมอดหู มายถงึ ผทู้ าํ นายโชคชะตาราศี คําประสมชนิ ด นี เชน่ หมอความ นั กเรยี น ชาวนา ของกนิ ชา่ งแทน่ รอ้ นใจ เปนตน้ ๓.คําประสมทเี กดิ จากคํามลู ทมี รี ูป เสียง ความหมายเหมอื นกนั เมอื ประสม แลว้ เกดิ ความหมายตา่ งจากความหมายเดมิ เลก็ น้ อย อาจมคี วามหมายทาง เพิมขนึ หรอื ลดลงกไ็ ด้ การเขยี นคําประสมแบบนี จะใช้ ไมย้ มก (ๆ) เตมิ ขา้ ง หลงั เชน่ เรว็ หมายถงึ รบี ดว่ น เรว็ ๆหมายถงึ รบี ดว่ นยงิ ขนึ เปนความหมายทเี พิมขนึ ดํา หมายถงึ สีดํา ดํา ๆ หมายถงึ ดําไมส่ นิ ท เปนความหมายในทางลดลง คําประสมชนิ ดนี เชน่ ชา้ ๆ ซา ๆ ดี ๆ น้ อย ๆ ไป ๆ มา ๆ เปนตน้ ๔.คําประสมทเี กดิ จากคํามลู ทมี รี ูปและเสียงตา่ งกนั แตม่ คี วามหมายเหมอื น กนั เมอื นํ ามาประสมกนั แลว้ ความหมายไมเ่ ปลยี นไปจากเดมิ เชน่ ยมิ หมายถงึ แสดงให้ปรากฏวา่ ชอบใจ แยม้ หมายถงึ คลี เผยอปากแสดงความพอใจ ยมิ + แยม้ ไดค้ ําใหม่ คือ ยมิ แยม้ หมายถงึ ยมิ อยา่ งชนื บาน คําประสมชนิ ดนี มี มากมาย เชน่ โกรธเคือง รวดเรว็ แจม่ ใส เสือสาด บา้ นเรอื น วดั วาอาราม ถนนหนทาง เปนตน้
๕.คําประสมทเี กดิ จากคํามลู ทมี รี ูป เสียง และความหมายตา่ งกนั เมอื นํ ามา ประสมจะตดั พยางค์หรอื ยน่ พยางค์ให้สันเขา้ เชน่ คําวา่ ชนั ษา มาจากคําวา่ ชนม+พรรษา ชนม หมายถงึ การเกดิ พรรษา หมาย ถงึ ป ชนม + พรรษา ไดค้ ําใหม่ คือ ชนั ษา หมายถงึ อายุ คําประสมประเภทนี ไดแ้ ก่ เดยี งสา มาจาก เดยี ง+ภาษา สถาผล มาจาก สถาพร+ผล เปรมปรดี ิ มาจาก เปรม+ปรดี า
คําสนธิ การสนธิ คือ การเชอื มเสียงให้กลมกลนื กนั ตามหลกั ไวยกรณ์ บาลสี ันสกฤต เปนการเชอื ม อกั ษรให้ตอ่ เนื องกนั เพือตดั อกั ษรให้น้ อยลง ทาํ ให้คําพดู สละสลวย นํ าไปใชป้ ระโยชน์ ในการแตง่ คําประพันธ์ คําสนธิ เกดิ จากการเชอื มคําในภาษาบาลแี ละสันสกฤตเทา่ นั น ถา้ คําทนี ํ ามา เชอื มกนั ไมใ่ ชภ่ าษาบาลสี ันสกฤต ไมถ่ อื วา่ เปนสนธิ เชน่ กระยาหาร มาจากคํา กระยา + อาหาร ไมใ่ ชส่ นธิ เพราะ กระยาเปนคําไทย และถงึ แมว้ า่ คําทนี ํ ามารวมกนั แตไ่ มไ่ ดเ้ ชอื มกนั เปนเพียงประสมคําเทา่ นั น ก็ ไมถ่ อื วา่ สนธิ เชน่ ทชิ าชาตมิ าจากทชี า + ชาติ ทศั นาจรมาจากทศั นา + จร วทิ ยาศาสตรม์ าจากวทิ ยา + ศาสตรแ์ บบสรา้ งของคําสนธทิ ใี ชใ้ นภาษาบาลี และสันสกฤต มอี ยู่ ๓ ประเภท คือ ๑. สระสนธิ ๒. พยญั ชนะสนธิ ๓. นิ คหิตสนธิ
อา้ งองิ https://sites.google.com/site/thaiinnovationm13/home/radab-chan- m-1
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: