Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore India

India

Published by ploy.kamonpak, 2021-08-22 02:20:13

Description: India

Search

Read the Text Version

indUS civilization อ า ร ย ธ ร ร ม อิ น เ ดี ย ลุ่ ม แ ม่ นํ า สิ น ธุ วชิ า อารยธรรมโลก น.ส.กมลภัค ธรรมรักษ์เจริญ ม.6/1 เลขที 35

อินเดยี เปนต้นสายธารทางวฒั นธรรมของชาติตะวนั ออก หลายชาติ เปนแหล่งอารยธรรมทีเก่าแก่แหง่ หนงึ ของโลก บางทีเรยี กวา่ “แหล่ง อารยธรรมล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ” ( Indus Civilization ) อาจแบง่ ยุคสมยั ทาง ประวตั ิศาสตรข์ องอินเดยี ไดด้ งั นี สมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์ สมยั ประวตั ิศาสตร์ ปจจยั ทางภมู ศิ าสตรแ์ ละการตังถินฐาน แมน่ าํ สนิ ธุ มาจากเทือกเขาทิเบต เปนแหล่งกําเนดิ อายธรรม อินเดยี โบราณ ทรพั ยากรธรรมชาติ เชน่ แร่ โลหะ ทองคํา สาํ รดิ ตอนเหนอื ของอินเดยี ; เทือกเขาหมิ าลัย

สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ ยุคโลหะของอินเดียเรมิ เมือผู้คนรูจ้ ักใช้ทองแดงและสาํ รดิ เมือ ประมาณ2,500 ป ก่อนครสิ ต์ศักราช และรูจ้ ักใช้เหล็กในเวลาต่อ มา พบหลักฐานเปนซากเมืองโบราณ 2 แห่ง ในบรเิ วณทีราบลุ่ม แม่นาํ สินธุ คือ เมืองโมเฮนโจดาโร ทางตอนใต้ของประเทศปากีสถาน เมืองฮารบั ปา แคว้นปญจาบประเทศปากีสถานในปจจุบัน

มีการรพบซากเมืองโมเฮนโจดาโร และ ฮารปั ปา อายุ 1500-2500 ปก่อน ค.ศ. พบรูปปน มนุษย์และสัตว์ ทีทําด้วยดินเผา พบเครืองมือ เครอื งใช้ ทําจากเขาสัตว์ หิน สํารดิ

สมัย ประวัติศาสตร์ อินเดียเข้า สู่ “สมัยประวัติศาสตร”์ เมือ มีการประดิษฐ์ตัว อักษร ขึน ใช้ ประมาณ 700 ป ก่อนครสิ ต์ศักราช โดยชนเผ่า อินโด – อารยัน ( Indo – Aryan ) ซึง ตังถินฐานในบรเิ วณลุ่ม แมนาํ คงคา สมัยประวัติศาสตรข์ องอินเดียแบ่งได้ 3 ยุค ประวัติศาสตรส์ มัยโบราณ เริมตังแต่การถือกําเนิดตัวอักษร อินเดียโบราณ ทีเรยี กวา่ “บรามิลิป” ( Brahmi lipi ) เมือ ประมาณ 700 ป ก่อนครสิ ต์ศักราช และสินสุดในราวครสิ ต์ ศตวรรษที 6 ซึง ตรงกับสมยั ราชวงศ์คปุตะ( Gupta ) เปน ยุคสมัยทีศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพระพุทธศาสนาได้ถือ กําเนิดขึน แล้ว ประวัติศาสตรส์ มัยกลาง เริมตังแต่เมือราชวงศ์คุปตะสินสุด ลง ประมาณครสิ ต์ศตวรรษที 6 จนถึงต้นครสิ ต์ ศตวรรษที 16 เมือ กษัตรยิ ์มุสลิมสถาปนาราชวงศ์โมกลุ ( Mughul ) และ เข้าปกครองอินเดีย ประวัติศาสตรส์ มัยใหม่ เริมตังแต่ต้นราชวงศ์โมกลุ ในราว ครสิ ต์ศตวรรษที 16 จนถึงการได้รบั เอกราชจากอังกฤษ ใน ค.ศ. 1947

ยุคสมัยอินเดีย สมัยมหากาพย์ชาวอารยัน สรา้ งอาณาจักรพรอ้ มกับเกิดศาสนาพราหมณ์ มหากาพย์ มหาภารตยุทธ รามายณะ สมัย จักรวรรดิ จักรวรรดิมคธ ; ตะวันออกของน.คงคา กําเนิดพระพุทธศาสนา จักรวรรดิเมารยิ ะ ; ตอนเหนือ กษัตรยิ ์ทีสําคัญพระเจ้าอโศกมหาราช สมัยการรุกรานจากภายนอก;ชาวต่างชาติ เช่น เปอรเ์ ซีย กรกี กุษาณะ เข้ามารุกราน จักรวรรดิคปุตะ ( ยุคทอง ) ; ฟนฟูมคธ สนับสนุนศิลปะวิทยา วทิ ยาศาสตร์ จัดตัง มหาวทิยาลัย นาลันทา สมัยมุสลิม สมัยสุลต่านแห่งเดลฮี สมัยโมกุล สมัยอาณานิคม เอเชียใต้ในปจจุบัน รามายณะ มหาภารตะ

สมัยโมกุล กษัตรยิ ์ทียิงใหญ่ “พระเจ้า อักบารม์ หาราช” ให้เสรภี าพในการ นับถือศาสนา ต่อมา “พระเจ้า ชาร์ เจฮัน“ ทรงเปน มุสลิม เครง่ ครดั จึง ยกเลิก การให้เสรใีนการนับถือศาสนา และ “พระเจ้า ออรงั เซบ” ยังคงดําเนินนโยบายต่อมา สมัยโมกุล สินสุดลงเมืออังกฤษเข้ายึดอินเดีย ค.ศ. 1858

Muslim Era สมัยมุสลิม มุสลิมเข้าปกครองอินเดีย ภาคตะวันตก และ ภาคเหนือ เปน ยุค ทีพวกมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย มีสุลต่านเปนผู้ ปกครอง โดยมีศูนย์กลางการปกครอง อยู่ทีเมือง เดลฮี (Delhi) สมัยสุลต่านแห่ง เดลฮี มุสลิมทีเข้ารุกรานอินเดียคือมุสลิมเชือสายเติรก์ จากเอเชีย เอเชีย กลาง เข้าปกครองอินเดียภาคเหนือตังแต่เมืองเดลฮี ทีเปนเมืองหลวง เมือเข้ามาปกครองอินเดียมีการบังคับให้ ชาวอินเดียนับถือศาสนาอิสลาม ราษฎรทีไม่นับถืออิสลาม ราษฎรทีไม่นับถืออิสลามจะถูกเก็บภาษี “จิซยา” ในอัตราสูง หากนับถืออิสลามจะได้รบั การยกเว้น การกระทําของเติรก์ ส่งผลให้ สังคมอินเดีย เกิดความแตกแยกระหว่างพวกฮินดู และมุสลิม จนถึง ปจุบัน

การรุกรานของชาติตะวันตก ENGLAND VS FRANCE ราชวงศ์โมกุลหลัง พระเจ้า ออรงั เซบ เสือมอํานาจลงอย่าง รวดเรว็ ประเทศราชและเขตปกครองต่างๆ ของโมกุล ทยอย แยกตัวเปน อิสระจน เมือถึง กลางศตวรรษที 18 เขต ปกครอง ของ กษัตรยิ ์ โมกุลหดเหลือเพียงบรเิ วณรอบนครเดลฮีเท่านัน ชาวตะวันตกโดยเฉพาะอังกฤษกับฝรงั เศสจึงฉวยโอกาส ขยายอํา นาจและยึดครองพืนทีในอินเดีย อังกฤษได้จัดตังบรษิ ัทอินเดีย ตะวันตกเพือนทําการค้าขาย ตังแต่ป ค.ศ.1600 อังกฤษได้ก่อตัง สถานีการค้าทีอินเดียครงั แรก ป 1611 ต่อมาได้ตังทีมัน 3 แห่งขึน ตามชายฝง ของอินเดีย คือ มัดราส (ค.ศ.1639) บอมเบย์ (ค.ศ. 1668) และกลลัลกัตตา (ค.ศ.1698) แล้วใบ้ทีมันทังสามแห่งนีขยาย การค้า และอิทธิพล ทางการเมืองในอินเดีย ส่วนฝรงั เศสได้ตังบรษิ ัทอินเดีย ตะวันออกเมือป 1664และตัง สถานีการค้า ทีอินเดีย ครงั แรกแรกในป 1668 ต่อมาก็ได้สรา้ ง พอนดิเซอรร์ ี ขึนเปนศูนย์กลางการค้า การปกครองของตนใน อินเดียเมือป 1674แม่ แม้ฝรงั เศสจะเข้ามาอินเดียหลังชาติยุโร ปอืนๆ แต่ แต่กลับกลายเปนประเทศตะวันตกทีทรงอิทธิพลมาก ทีสุดในอินเดียในช่วงครสิ ตวรรษ 18 จนอังกฤษรษิ ยา

อังกฤษกับฝรงั เศสแข่งขันกันล่า อาณานิคมในศตวรรษที 18 อินเดียเปนสมรภูมิแข่งขันทีสําคัญแห่งหนึงของสองประเทศนี ฝรงั เศสเรมิ รบั สมัครชาวอินเดียจัดตังเปนกอง ทหารรบั จ้าง แล้วใช้ก องทหารนีแทรกแซง กิจการภายในของรฐั ต่างๆ ในภาค ใต้ ตังแต่ป ค.ศ.1742 อังกฤษได้จัดตังกองทหาร รบั จ้างตาม อย่าง ฝรงั เศสและเข้าขัดขวางการขยายอํานาจของฝรงั เศส ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนีได้นําไปสูสงครามคารเ์ นติก สามครงั ในป 1746-1748, 1749-1754 และ 1756- 1763 ผลของสงครามปรากฏว่า ฝรงั เศสเปนฝายพ่ายแพ้ ฝรงั เศสจึง ยอมยุติบทบาทของตน ปล่อยให้ อังกฤษเปนฝายขยายอํานาจแต่ เพียงผู้เดียวใน อินเดีย การทีอังกฤษสามารถเอาชนะอินเดีย ทีมี พืนทีกว้าง ใหญ่ไพศาลและ มีประชากรมากกว่า ตนถึง สิบเท่าได้ นัน เปนเพราะอินเดียขณะนั นแตกเปนรฐั เล๋กรฐั น้อย ต่างๆ ยังม มีเรอื งขัดแย้งกัน และ เกิดสงครามติดพันกันตลอดเวลา อังกฤษ จึง สามารถเลือกเปาโจมตีได้ตามใจชอบ บางครงั ยัง ดึงรฐั อืน เปนพันธมิตรมาโจมตีอีกรฐั หนึง อังกฤษยังนิยมใช้วิธีซือบุคคล สําคัญของรฐั ทีตน โจมตีเปนไส้ศึก รฐั จํานวนมากประสบความ พ่ายแพ้ต่ออังกฤษเพราะการทรยศของคนในรฐั นันเอง ดังนั น จึงเท่ากับอังกฤษใช้คนของอินเดียและ เงินของอินเดียมา ยึดครองอินเดีย โดยใช้กําลัง คนจากอังกฤษน้อยมาก และแทบไม่ ต้องใช้เงิน งบประมาณโดยตรงจากอังกฤษ

เกิดการเรยี กรอ้ งเอกราช นํา โดย มหาตมะ คานธี ใช้หลัก “สัตยาเคราะห์ และอวิหิงสา” จนอังกฤษใจอ่อน สัญญาว่าจะ มอบเอกราชให้ แต่ต้องช่วยรบ สงครามโลกก่อน อินเดียได้รบั เอกราชอย่างเปน ทางการในป ค.ศ. 1947 นายกคนแรกของอินเดีย คือ “ยาวะหะราล เนห์รู”

วัฒนธรรม อินเดีย อินเดียเปนสังคมทีมีความหลาก หลายในเชือชาติ ภาษา ศาสนา และ วัฒนธรรม โดยมีศาสนา วรรณะ และ ภาษา เปนปจจัย หลัก กําหนดรูปแบบ สังคมและ การเมือง อินเดียมีระบบวรรณะตังแต่สมัย โบราณวรรณะทีสาํ คัญ มี 4 วรรณะ คือ 1) วรรณะ พราหมณ์ นักบวชปจจุบันอาจตีความ ไปถึงนักวิชาการ นัก วิทยาศาสตร์ และนักการ เมือง 2) วรรณะ กษัตรยิ ์ นักรบ ซึงอาจรวมไปถึง ข้าราชการ 3) วรรณะ แพศย์ พ่อค้า นักธุรกิจ 4) วรรณะ ศูทร ผู้ใช้แรงงาน ชาวนา กรรมกร และคนยากจน

ปรชั ญาและ ลัทธิศาสนา คําว่า “ปรชั ญาอินเดีย ” หมายถึง ปรชั ญาทุกสํานักหรอื ทุกระบบที่ เกิดขึนในอินเดีย หรอื ทีคิดสรา้ งสรรค์ขึน ไว้โดยศาสดา และนัก คิด ทีเคยมีชีวิตอยู่หรอื กําลังมีชีวิตอยู่ในอิเดีย เพราะฉะนัน ปรชั ญาอินเดีย จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะแต่ปรชั ญาฮินดู แต่รวม ถึง ปรชั ญาอืนทีไม่ใช่ประชญาฮินดูด้วย เช่น พุทธปรชั ญา ปรชั ญ เชน God Of India มีการนับถือพระเจ้าและคัมภีรพ์ ระเวทเกิดขึน พวกอารยัน แต่เดิม ก็นับถือธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ท้องฟา ลม และ ไฟ ต่อมาแผ่นจารกึ โบกาซคุย หรอื จารกึ เทเรยีซึง ขุดพบที ดิน แดนแคปปาโดเซีย ในตรุกี จารกึ นีได้ออกนามเทพเจ้าเปน พยาน ถึง 4 องค์ นันคือ พระอินทร์ (lndra) เทพเจ้า แห่ง พลังมิทระ (Mitra) พระวรุณ (Varuna) และ นาสัตย์ (Nasatya) คือ พระนา สัตย์ อัศวิน (Asvins) นับเปนชือเทพเจ้าทีเก่าแก่ทีสุดทีถูกเอ่ยนาม

3 เทพ INDIA พระวิษณุ;รกั ษา พระพรหม;สรา้ ง พระศิวะ;ทําลาย

ศิลปกรรมทีสาํ คัญ สถูปสาญจี จิตกรรมฝาผนังถําอชันตะ ทัชมาฮาล ประติมากรรมทีสาํ คัญ พระพุทธรูปรุน่ แรกแบบคันธาระ ได้รบั อิทธิพลมาจากกรกี

TAJMAHAL หลังจาก มุมตัช มาฮาล สินพระชนม์ได้เพียง 6 เดือน โครงการ ก่อ สรา้ ง “ทัชมาฮาล” ได้เรมิ ต้นขึนสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ จา ฮาน ทรงสังให้สรา้ งทัชมาฮาลขึนรมิ ฝงแม่นาํ ยมุนา ในเมทองอัก รา โดยใช้ หินอ่อนสีขาว หมายถึง ความรกั อันบรสิ ุทธิและศิลา แลง บอกถึง ความรกั มันคงทีพระองค์มีให้กับพระนาง รวมถึง ประดับ ลวดลายด้วยพลอย หิน และ โมรา

การปกครองใน ปจจุบัน 26 มกราคม ค.ศ. 1950 อินเดียได้ประกาศใช้รฐั ธรรมนูญฉบับแรก และเปนฉบับเดียวทีใช้มาจนถึงปจจุบัน ภายหลังจากทีได้รบั อิสรภาพจากอังกฤษ รฐั ธรรมนูญของอินเดียได้ประกาศให้ ประเทศอินเดียเปนสาธารณรฐั สังคมนิยมประชาธิปไตย มีการปกครองระบบรฐั สภา แยกอํานาจอธิปไตยเปน 3 ฝาย คือ ฝายนิติบัญญัติ ฝายบรหิ าร และฝายตุลาการ

ฝายนิติบัญญัติ ฝายนิติบัญญัติ อํานาจอยู่ทีรฐั สภา ซึงประกอบด้วย 1. โลกสภา คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึงเปนตัวแทนทีได้รบั เลือกตัง มาจากประชาชนอินเดียทัวประเทศ ในอัตราส่วน 1.5 ล้านคนต่อผู้ แทน 1 คน 2. ราชสภา คือ วุฒสิ ภาหรอื สภาสูง ซึงประกอบด้วยสมาชิกทีมา จากตัวแทนรฐั และดินแดนสหภาพต่าง ๆ จาํ นวน 250 คน และ ตัวแทนอาชีพอิสระพิเศษอีก 12 คน ซึงเสนอชือและแต่งตังโดย ประธานาธิบดี 1 ใน 3 ของสมาชิกราชสภาจะครบวาระลงในทุก ๆ 2ป นอกจากรฐั สภาทีเปนผู้ใช้อํานาจฝายนิติบัญญัติแทนประชาชน อินเดียแล้ว ยังมีสภานิติบัญญัติแห่งรฐั ในรฐั ต่าง ๆ ซึงมีอํานาจ ฝายนิติบัญญัติแทนประชาชนในรฐั นัน สภานิติบัญญัติแห่งรฐั ใน บางรฐั เช่น อันธรประเทศ ทมิฬนาฑู อุตรประเทศ มีรูปแบบของ สภานิติบัญญัติคล้าย ๆ กับส่วนกลาง คือ มีสภาผู้แทนราษฎรและ วุฒสิ ภา ในบางรฐั มีสภานิติบัญญัติเปนแบบสภาเดียว ทีเลือกตัง จากประชาชน รฐั สภามีอํานาจหน้าทีในการออกกฎหมาย พิจารณาอนุมัติ พ.ร.บ. งบประมาณแผ่นดิน ทีเสนอโดยรฐั บาล และมีอํานาจตรวจสอบ ปลดประธานาธิบดีได้ก่อนครบวาระ พ.ร.บ.งบประมาณแผ่นดิน เปนอํานาจของโลกสภาเท่านันในการ อนุมัติ การแก้ไขรฐั ธรรมนูญครงั ล่าสุด ได้ขยายวาระของสมาชิกโลกสภา และสภาแห่งรฐั จาก 5 ป เปน 6 ป

ฝายบรหิ าร ฝายบรหิ าร อํานาจในการบรหิ ารอยู่ในมือของรฐั บาล ซึงอํานาจใน ฝายบรหิ ารถูกแบ่งออกเปน 2 ส่วน คือ ส่วนกลาง ได้แก่ กิจการ ด้านกลาโหม ต่างประเทศ การคลัง คมนาคม และส่วนรฐั ได้แก่ กิจการด้านการเกษตร การศึกษา การสาธารณสุข เปนต้น รฐั บาล กลางมีนายกรฐั มนตรเี ปนหัวหน้า เปนผู้ใช้อํานาจในการบรหิ าร กิจการส่วนกลาง นายกรฐั มนตรแี ละคณะรฐั มนตรมี าจากโลกสภา โดยสมาชิกส่วน ข้างมากจะเปนผู้เลือกสมาชิกผู้หนึงขึนมา แล้วเสนอให้ ประธานาธิบดีแต่งตังเปนนายกรฐั มนตรี ส่วนคณะรฐั มนตรอี าจจะ เปนบุคคลภายนอกก็ได้ แต่ต้องได้รบั เลือกให้เปนสมาชิกโลกสภา ใน 6 เดือน หลังจากทีได้รบั การแต่งตังเปนรฐั มนตรี มิฉะนัน ความเปนรฐั มนตรจี ะต้องสินสุดลง รฐั บาลแห่งรฐั มีมุขมนตรเี ปนหัวหน้า เปนผู้ใช้อํานาจในการบรหิ าร กิจการส่วนรฐั มุขมนตรแี ละคณะมนตรมี าจากรฐั สภาแห่งรฐั โดย สมาชิกส่วนข้างมากของรฐั สภาแห่งรฐั เปนผู้เลือกและจัดตังคณะ มนตรี คล้าย ๆ กับการจัดตังรฐั บาลกลาง โดยมีประธานาธิบดี เปนผู้ลงนามแต่งตังตามข้อเสนอของสภา

ฝายบรหิ าร ฝายตุลาการ มีประธานศาลฎีกาเปนผู้รบั ผิดชอบสูงสุด อํานาจ ฝายตุลาการเปนอํานาจรวม ไม่แยกเปนส่วนกลางและส่วนรฐั แต่ ถูกกระจายออกไปเปนศาลชันต้น ศาลอุธรณ์ และศาลสูง ประธานาธิบดี ประธานาธิบดี คือ บุคคลทีมีสถานภาพเปนประมุขของชาติ เปนผู้ ใช้อํานาจทัง 3 ฝาย คือ ฝายบรหิ าร ใช้อํานาจผ่านรฐั บาลกลาง และรฐั บาลแห่งรฐั ฝายนิติบัญญัติ ใช้อํานาจผ่านรฐั สภาและสภา แห่งรฐั ฝายตุลาการ ใช้อํานาจผ่านศาลสถิตยุติธรรม โดย โครงสรา้ งอํานาจเช่นนี ประธานาธิบดีจึงมีอํานาจเหนือผู้นาํ ทัง 3 ฝาย และมีอํานาจปลดผู้นาํ ทัง 3 ฝายได้ โดยการประกาศยุบโลก สภาและสภาแห่งรฐั และปลดประธานศาลฎีกาก่อนครบวาระได้ แต่ในทางปฏิบัติจรงิ แล้ว ผู้มีอํานาจจรงิ ๆ คือ นายกรฐั มนตรี เพราะคนทีไปดาํ รงตําแหน่งประธานาธิบดี คือ บุคคลทีถูกเลือก โดยนายกรฐั มนตรี เพราะนายกรฐั มนตรคี ือ ผู้นาํ พรรคการเมืองที มีเสียงข้างมากในโลกสภา ทีมีกลไกควบคุมรฐั สภาและสภาแห่งรฐั ได้อยู่แล้วในภาคปฏิบัติทีเปนเช่นนีเพราะประธานาธิบดีถูกเลือก โดยสมาชิกรฐั สภาและสภาแห่งรฐั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook