ประวตั ศิ าสตร์ชาตไิ ทย นางสาวพรพิมล สนาคนิ ติ ร
สารบญั ประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย 1 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยชว่ งตน้ 4 ยุคกอ่ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละรฐั โบราณในประเทศไทย 6 รฐั โบราณ 14 อาณาจกั รของคนไท 23 กรุงธนบรุ แี ละกรุงรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ 38 กรุงเทพมหานคร 40 ประชาธปิ ไตยลุ่ม ๆ ดอน ๆ 58 ยคุ ประชาธปิ ไตยครงึ่ ใบ 61
คานา การศกึ ษาเรยี นรูก้ ล่มุ สาระการเรยี นรูป้ ระวตั ศิ าสตร ์ ชาตไิ ทย มจี ดุ มุ่งหมายเพอื่ ใหม้ คี วามเขา้ ใจในเรอื่ งราวประวั ตศิ าสตร ์ จงึ ทามาเพอื่ เป็ นสอื่ ประกอบการเรยี นรูเบอื้ งตน้ หากผดิ พลาดประการใดขออภยั มาในทนี่ ี่ดว้ ย
1 ประวตั ศิ าสตรช์ าตไิ ทย เชอื่ วา่ มมี นุษยอ์ ยอู่ าศยั อยถู่ าวรในอาณาเขตประเทศไทยปัจจบุ นั มาแลว้ ประมาณ 40,000 ปี เดมิ ชาวมอญ เขมรและมลายูปกครองพนื้ ทดี่ งั กล่าว โดยมอี าณาจกั รใหญ่ เชน่ ฟูนาน ทวารวดี หรภิ ุญชยั จกั รวรรดเิ ขมร และตามพรลงิ ก ์ ส่วนบรรพบรุ ษุ ไทยสยามปัจจบุ นั ซงึ่ จดั อย่ใู นกลุ่มชาวไท- ไตเป็ นกลุ่มทอี่ าศยั อย่ใู นแถบเดยี นเบยี นฟูในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 5 ถงึ 8 และเรมิ่ เขา้ มาอยู่อาศยั ในอาณาเขตประเทศไทยปัจจบุ นั ในครสิ ต ์ ศตวรรษที่ 11
รฐั ของชาวไทเกดิ ขนึ้ จานวนมากในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13 ประมาณปี 1780 พ่อขนุ บางกลางหาวรวบรวมกาลงั กบฏตอ่ เขมร และตง้ั อาณาจกั รสุโขทยั เหนือขนึ้ ไป พญามงั รายทรงตง้ั อาณาจกั รลา้ นนาในปี 1839 มศี นู ยก์ ลางอยทู่ เี่ ชยี งใหม่ ทรงรวบรวมแวน่ แควน้ ขนึ้ ในแถบลมุ่ แม่น้าปิ ง ส่วนบรเิ วณลมุ่ แมน่ ้าเจา้ พระยาตอนล่างมกี ารตงั้ สหพนั ธรฐั ในบรเิ วณเพชรบรุ ี สพุ รรณบรุ ี ลพบรุ แี ละอยุธยาในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 นักประวตั ศิ าสตรก์ ระแสหลกั มกั เลอื กนับสุโขทยั เป็ นราชธานีแหง่ แรกของคนไทย อาณาจกั รอยธุ ยากอ่ ตง้ั ขนึ้ เมอื่ ปี 1893 ต่อมาเป็ นใหญ่แทนจกั รวรรดเิ ขมร และแทรกแซงอาณาจกั รสุโขทยั อยา่ งตอ่ เนื่องจนสดุ ทา้ ยถกู รวมเ ขา้ เป็ นสว่ นหนึ่งของอยุธยา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงจดั การปกครองโดยแบง่ พลเรอื น กบั ทหารและจตุสดมภซ์ งึ่ บางสว่ นใชส้ บื มาจนถงึ รชั สมยั พระบาท สมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั และทรงรเิ รมิ่ ระบบเจา้ ขนุ มูลนาย ทาใหป้ ระชากรสว่ นใหญ่เป็ นไพรใ่ ชแ้ รงงานปี ละ 6 เดอื น กรงุ ศรอี ยุธยาเรมิ่ ตดิ ต่อกบั ชาตติ ะวนั ตกเมอื่ พ.ศ. 2054 หลงั จากน้ันในปี 2112 กรุงศรอี ยธุ ยาตกเป็ นประเทศราชของราชวงศต์ องอแู หง่ พม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอสิ รภาพในอกี 15 ปี ใหห้ ลงั กรงุ ศรอี ยธุ ยายงั ตดิ ต่อกบั ชาตติ ะวนั ตก
จนรงุ่ เรอื งถงึ ขดี สดุ ในรชั กาลสมเด็จพระนารายณม์ หาราช ความขดั แยง้ ภายในตดิ ๆ กนั หลายรชั กาลในราชวงศบ์ า้ นพลูหลวง และการสงครามกบั ราชวงศค์ องบอง (อลองพญา) จนส่งผลใหเ้ สยี 2 กรุงครง้ั ทสี่ องเมอื่ ปี 2310 หลงั จากน้ันบา้ นเมอื งแตกออกเป็ นชมุ นุมตา่ ง ๆ เจา้ ตากทรงรวบรวมแผน่ ดนิ และขยายอาณาเขต หลงั เกดิ ความขดั แยง้ ชว่ งปลายรชั กาล พระองคแ์ ละพระราชโอรสทง้ั หลายทรงถกู สาเรจ็ โทษโดยพระบาท สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ าจฬุ าโลก ปฐมกษตั รยิ แ์ หง่ ราชวงศจ์ กั รี ผสู ้ ถาปนากรุงรตั นโกสนิ ทรข์ นึ้ ในปี 2325 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้ าจฬุ าโลกทรงสถาปนาอานาจปก ครองเหนือประเทศลาวและกมั พูชาปัจจบุ นั และยุตสิ งครามกบั พม่ า ต่อมากรุงรตั นโกสนิ ทรถ์ กู ครอบงาดว้ ยปัญหาความพยายามแผ่อิ ทธพิ ลของชาตติ ะวนั ตกโดยมกี ารบรรลุสนธสิ ญั ญาตา่ ง ๆ เชน่ สนธสิ ญั ญาเบอรน์ ี สนธสิ ญั ญาเบาวร์ งิ ตามดว้ ยสนธสิ ญั ญาไม่เป็ นธรรมอกี หลายฉบบั เป็ นการเรมิ่ ตน้ การทาใหป้ ระเทศทนั สมยั และกลายเป็ นตะวนั ตก พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเรมิ่ การรวมศูนยอ์ า นาจแทนใหเ้ จา้ ทอ้ งถนิ่ ปกครองแบบเดมิ เลกิ ทาสและไพร่ และจดั ระเบยี บการปกครองแบบกระทรวง
มกี ารยอมแลกดนิ แดนหลายครง้ั เพอื่ แลกกบั การแกไ้ ขสนธสิ ญั ญ าตา่ ง ๆ ในสงครามโลกครง้ั ทหี่ นึ่ง ประเทศสยามถอื ฝ่ ายสมั พนั ธมติ ร ภาวะเศรษฐกจิ ฝืดเคอื งและการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกจิ ของรฐั บาล ทไี่ ม่เป็ นผล มสี ว่ นใหเ้ กดิ การปฏวิ ตั ใิ นปี 2475 อนั นามาซงึ่ การปกครองระบอบราชาธปิ ไตยภายใตร้ ฐั ธรรมนูญแ ละทาใหค้ ณะราษฎรมบี ทบาททางการเมอื ง ระหวา่ งสงครามโลกครงั้ ทสี่ อง ประเทศไทยถกู ญปี่ ่ ุนบุกครองและลงนามเป็ นพนั ธมติ รทางทหารกั บญปี่ ่ นุ หลงั สงครามยตุ ใิ นปี 2488 ประเทศไทยสามารถบอกเลกิ สถานะสงครามกบั ฝ่ ายสมั พนั ธมติ ร ไดท้ าใหไ้ มต่ กอยใู่ นสภาพผแู ้ พส้ งคราม ระหวา่ งสงครามเย็น ประเทศไทยเขา้ รว่ มเป็ นพนั ธมติ รกบั สหรฐั เต็มตวั และรฐั ประหารโดยมจี อมพล สฤษดิ ์ ธนะรชั ต ์ เป็ นหวั หนา้ ในปี 2500 ทาใหค้ ณะราษฎรหมดอานาจและมกี ารรอื้ ฟื้นพระราชอานาจ สงครามเวยี ดนามเรง่ ใหเ้ กดิ การพฒั นาและความเหลอื่ มลา้ ในประ เทศ ทาใหเ้ กดิ การสานึกทางการเมอื งของชนชน้ั กลาง 3 \"เหตุการณ์ 14 ตุลา\" ปี 2516 นามาซงึ่ \"ยุคประชาธปิ ไตยเบง่ บาน\" ชว่ งสนั้ ๆ ซงึ่ สนิ้ สดุ ลงดว้ ยรฐั ประหารในปี 2519 การกอ่ การกาเรบิ คอมมวิ นิสตย์ ตุ ใิ นปี 2523
ขณะเดยี วกนั ระบอบการปกครองของไทยสลบั กนั ระหวา่ งเผด็จก ารทหารและประชาธปิ ไตยระบบรฐั สภาอยู่เรอื่ ย ๆ เศรษฐกจิ ของไทยเตบิ โตอย่างรวดเรว็ ปี 2540 เกดิ วกิ ฤตเศรษฐกจิ ทคี่ า่ เงนิ บาทออ่ นตวั ลงเฉียบพลนั ในพทุ ธทศวรรษ 2540 เป็ นตน้ มา ประเทศไทยตกอยู่ในวกิ ฤตการณก์ ารเมอื งระหวา่ งฝ่ ายสนับสนุน และต่อตา้ นทกั ษณิ ชนิ วตั รเป็ นหลกั โดยมรี ฐั ประหารล่าสดุ การแบ่งยคุ สมยั การจดั แบ่งยคุ ทางประวตั ศิ าสตรข์ องไทยน้นั สมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงแสดงพระทศั นะไวใ้ นพระนิพนธเ์ รอื่ ง \"ตานานหนังสอื พระราชพงศาวดาร\" ในพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาเมอื่ พ.ศ. 2457 ถงึ การแบง่ ยุคสมยั ทางประวตั ศิ าสตรข์ องไทยไวว้ า่ \"เรอื่ งพระราชพงศาวดารสยาม ควรจดั แบ่งเป็ น 3 ยคุ คอื เมอื่ กรงุ สโุ ขทยั เป็ นราชธานียุค 1 เมอื่ กรุงศรอี ยุธยาเป็ นราชธานียุค 1 เมอื่ กรงุ รตั นโกสนิ ทรเ์ป็ นราชธานียุค 1\"[1] ซงึ่ การลาดบั สมยั ทางประวตั ศิ าสตรแ์ บบเสน้ ตรง (Linear) โดยวางโครงเรอื่ งผูกกบั กาเนิดและการลม่ สลายของรฐั กลา่ วคอื ใชร้ ฐั หรอื ราชธานีเป็ นศูนยก์ ลางเชน่ นี้ ยงั คงมอี ทิ ธพิ ลอยู่มากต่อการเขา้ ใจประวตั ศิ าสตรไ์ ทยในปัจจบุ นั นักวชิ าการใหเ้ หตุผลในการเลอื กเอาอาณาจกั รสโุ ขทยั เป็ นจดุ เริ่ มตน้ ของประวตั ศิ าสตรไ์ ทยไว ้ 2 เหตผุ ล ไดแ้ ก่ 1)
วชิ าประวตั ศิ าสตรม์ กั ยดึ การเรมิ่ มภี าษาเขยี นเป็ นจดุ เรมิ่ ตน้ ของป ระวตั ศิ าสตร ์ เมอื่ ประกอบกบั การประดษิ ฐอ์ กั ษรไทยในรชั กาลพ่อขนุ รามคาแห งมหาราช จงึ เหมาะสมเป็ นจดุ เรมิ่ ตน้ ของประวตั ศิ าสตรไ์ ทย และ 2) สะดวกในการนับเวลาและเหตุการณท์ ตี่ อ่ เนื่องกนั เพราะนักประวตั ศิ าสตรม์ หี ลกั ฐานความสบื เนื่องกนั 4 ตงั้ แตส่ มยั สุโขทยั มาจนถงึ สมยั รตั นโกสนิ ทรจ์ นถงึ ปัจจบุ นั ทวา่ เหตุผลทง้ั สองประการก็ยงั ไม่เป็ นทยี่ อมรบั กนั อยา่ งเป็ นเอกฉันทน์ ั ก[2] ในปัจจบุ นั มขี อ้ เสนอใหม่ ๆ เกยี่ วกบั โครงเรอื่ งประวตั ศิ าสตรไ์ ทยขนึ้ มาบา้ ง ทสี่ าคญั คอื ศ. นิธิ เอยี วศรวี งศไ์ ดเ้ สนอถงึ หวั ขอ้ สาคญั ทคี่ วรเป็ นแกนกลางของประวั ตศิ าสตรแ์ ห่งชาตไิ ทยไว ้ 8 หวั ขอ้ [a]ในปี 2557 ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยชว่ งตน้ ความรเู ้ กยี่ วกบั ประวตั ศิ าสตรไ์ ทยชว่ งตน้ เรมิ่ ตน้ ทแี่ หล่งโบราณคดบี า้ นเชยี ง แมอ้ ายทุ แี่ น่นอนนั้นยงั เป็ นทถี่ กเถยี งกนั ทวา่ คนส่วนใหญ่เชอื่ วา่ น่าอยูก่ อ่ น 3600 ปี กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ผอู ้ าศยั ไดพ้ ฒั นาเครอื่ งมอื สมั ฤทธิ ์
รวมไปถงึ ปลูกขา้ วซงึ่ เป็ นตวั กระตนุ ้ สาหรบั โครงสรา้ งทางสงั คมแ ละการเมอื ง ตอ่ มาอารยธรรมมลายู มอญ และเขมร ไดแ้ ผข่ ยายเขา้ มาในภมู ภิ าคกอ่ นการครอบครองของคนไทย โดยอารยธรรมทมี่ คี วามโดดเด่นไดแ้ ก่ อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ในทางใต ้ อาณาจกั รทวารวดใี นภาคกลางของประเทศไทย และจกั รวรรดขิ แมรท์ ตี่ งั้ อยู่ ณ เมอื งพระนคร ชาวไทยเป็ นสว่ นหนึ่งของกลมุ่ ชาตพิ นั ธขุ ์ นาดใหญท่ มี่ ชี อื่ วา่ กลุม่ ชาตพิ นั ธไุ ์ ท-กะได โดยเป็ นกลมุ่ ทปี่ ระกอบดว้ ย ชาวลาว ชาวไทใหญจ่ ากภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศพม่า ชาวจว้ งจากกวา่ ง ซใี นประเทศจนี รวมไปถงึ ชาวโทแ้ ละชาวนุงจากภาคเหนือของประเทศเวยี ดนาม การอพยพจากตอนใตข้ องประเทศจนี มายงั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียง ใตเ้ กดิ ขนึ้ ในชว่ งสหสั วรรษแรกของครสิ ตศ์ กั ราช โดยมคี วามเป็ นไปไดว้ า่ ผ่านทางตอนเหนือของประเทศลาว 5 ในครสิ ตส์ หสั วรรษที่ 1 ชาวไท-กะไดไดอ้ าศยั อยู่เป็ นกลมุ่ เล็ก ๆ ทเี่ รยี กวา่ เมอื ง โดยไดอ้ ทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมโดยรอบทมี่ กี ารพฒั นา เชน่ วฒั นธรรมเขมรจากทางตะวนั ออก และวฒั นธรรมฮนิ ดูของอนิ เดยี จากทางตะวนั ตก ชาวไท-
กะไดสว่ นใหญ่หนั ไปยดึ ถอื รปู แบบหนึ่งในศาสนาฮนิ ดู และยงั คงปรากฏรอ่ งรอยใหเ้ ห็นอยู่ในศาสนปฏบิ ตั ขิ องชาวไทยใน ปัจจบุ นั ระหวา่ ง ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 6 ถงึ 9 พุทธศาสนาถกู นาเขา้ มาสดู่ นิ แดนของชาวไท อาจจะผา่ นทางประเทศพม่า และกลายเป็ นศาสนาหลกั นิกายเถรวาทซงึ่ นับถอื ในประเทศไทยถกู เผยแผ่โดยคณะสงฆจ์ า กประเทศศรลี งั กา ในศตวรรษที่ 13 พงศาวดารเหนือ คอื บนั ทกึ ประวตั ศิ าสตรใ์ นชว่ งเวลานี้ โดยแมไ้ มท่ ราบแน่ชดั วา่ เรมิ่ บนั ทกึ เมอื่ ไหร่ เนือ้ หาคาดการณว์ า่ อยูใ่ นชว่ ง ค.ศ. 500 จนถงึ ตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11 ฉบบั ล่าสุดน้ันอย่ใู นชว่ งตน้ รตั นโกสนิ ทร ์
6 ยคุ ก่อนประวตั ศิ าสตรแ์ ละรฐั โบราณในประเทศไทย หลกั ฐานยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร ์ เครอื่ งป้ันดนิ เผาวฒั นธรรมบา้ นเชยี ง 1200-800 ปี กอ่ น ค.ศ. นักโบราณคดชี าวฮอลนั ดา ดร. เอช. อาร.์ แวน ฮงิ เกอเรน ไดข้ ดุ คน้ พบเครอื่ งมอื หนิ เทาะซงึ่ ทาขนึ้ โดยมนุษยย์ คุ กอ่ นประวตั ิ ศาสตร ์บรเิ วณใกลส้ ถานีบา้ นเกา่ จงั หวดั กาญจนบรุ ี โดยมขี อ้ สนั นิษฐานวา่ มนุษยเ์ หล่านีอ้ าจเป็ น มนุษยช์ วาและมนุษยป์ ักกงิ่ [4] ซงึ่ อยู่อาศยั เมอื่ ประมาณ 5 แสนปี มาแลว้ อนั เป็ นหลกั ฐานในยุคหนิ เกา่
7 ยุคหนิ เกา่ ยุคหนิ เกา่ (องั กฤษ: Paleolithic) เป็ น ชว่ งเวลากอ่ นประวตั ศิ าสตรข์ องมนุษย ์ มจี ดุ เดน่ อยูท่ กี่ ารพฒั นาเครอื่ งมอื หนิ ยคุ แรกเรมิ่ และครอบคลมุ ประมาณ 95% ของเทคโนโลยกี อ่ นประวตั ศิ าสตรข์ องมนุษย[์ 1] เรมิ่ ตง้ั แตก่ ารใชเ้ ครอื่ งมอื หนิ ครง้ั แรก คาดวา่ โดย Homo habilis เมอื่ 2.6 ลา้ นปี กอ่ น จนถงึ ปลายสมยั ไพลสโตซนี ประมาณ 10,000 ปี กอ่ นปัจจบุ นั ยุคตอ่ มาหลงั ยคุ หนิ เกา่ คอื ยุคหนิ กลาง (Mesolithic) สงั คมมนุษยย์ คุ หนิ เกา่ คนในยุคหนิ เกา่ ดารงชพี ดว้ ยการล่าสตั ว ์ และเสาะแสวงหาพชื ผกั ผลไมก้ นิ เป็ นอาหารมกี ารพงึ่ พาอาศยั ธรร มชาติ และสภาวะแวดลอ้ มอย่างเต็มที่ กล่าวคอื เมอื่ ฝงู สตั วท์ ลี่ ่าเป็ นอาหารหมดลงก็ตอ้ งอพยพยา้ ยถนิ่ ตดิ ตามฝูง สตั วไ์ ปเรอื่ ย ๆ การทมี่ นุษยจ์ าเป็ นตอ้ งแสวงหาถนิ่ ทอี่ ยใู่ หม่เพราะตอ้ งล่าสตั วด์ งั ก ล่าว อาจทาใหค้ นตอ้ งปรบั พฤตกิ รรมการบรโิ ภคไปในตวั ดว้ ย
เนื่องจากชวี ติ ส่วนใหญ่ของคนในยุคหนิ เกา่ ตอ้ งอยู่ กบั การแสวงหาอาหารและการป้ องกนั ตวั จากสตั วร์ า้ ยและภยั ธรร มชาตริ วมถงึ การต่อสูใ้ นหมูพ่ วกเดยี วกนั เพอื่ การอยู่รอด จงึ ทาใหต้ อ้ งพฒั นาเกยี่ วกบั เครอื่ งมอื ลา่ สตั ว ์ โดยการพฒั นาอาวธุ ทที่ าดว้ ยหนิ สาหรบั ตดั ขดู หรอื สบั เชน่ หอก มดี และเข็ม เป็ นตน้ ระบบความสมั พนั ธท์ างสงั คมพบวา่ คนในยุคหนิ เกา่ เรมิ่ อยูก่ นั เป็ นครอบครวั แลว้ แตย่ งั ไม่มกี ารอย่รู ว่ มกนั เป็ นชมุ ชนอย่างแทจ้ รงิ เพราะวถิ ชี วี ติ แบบเรร่ อ่ นไม่เออื้ อานวยใหม้ กี ารตงั้ หลกั แหล่งถาวร ขณะเดยี วกนั องคก์ รทางการเมอื งการปกครองกย็ งั ไม่เกดิ ขนึ้ สงั คมจงึ มสี ภาพเป็ นอนาธปิ ัตยคอื ไม่มผี เู ้ ป็ นใหญ่แน่นอน ผทู ้ มี่ อี านาจมกั เป็ นผทู ้ มี่ คี วามแขง็ แรงเหนือผูอ้ นื่ 8 นอกจากนีย้ งั พบวา่ คนในยุคนีเ้ รมิ่ รจู ้ กั แสดงความรสู ้ กึ ออกมาในรูปของศลิ ปะบา้ งแล ้ ว ศลิ ปะทสี่ าคญั ไดแ้ ก่ รูปเขยี นกระทงิ เรยี งกนั เป็ นขบวน
ขดุ คน้ พบภายในถา้ อลั ตะมริ ะ ทางตอนใตข้ องสเปนและ ภาพสตั วส์ ่วนใหญ่เป็ นภาพสตั วท์ คี่ นสมยั น้ันล่าเป็ นอาหาร มวี วั กระทงิ มา้ ป่ า กวางแดง และกวางเรนเดยี ร ์ เป็ นตน้ พบทถี่ า้ สาบโก ในประเทศฝรง่ั เศส ส่วนประเทศไทย พบทถี่ า้ ตาดว้ ง จงั หวดั กาญจนบุรี ภพู ระบาท จงั หวดั อดุ รธานี และถา้ ผหี วั โต จงั หวดั กระบี่ เป็ นตน้ สงั คมของมนุษยย์ คุ หนิ เกา่ ตอนกลาง และยคุ หนิ เกา่ ตอนปลาย มรี ะยะเวลาทสี่ น้ั ปรากฏอารยธรรมเกดิ ขนึ้ ในทวปี ยโุ รป แอฟรกิ าและเอเชยี สภาพชวี ติ ความเป็ นอยขู่ องคนยคุ หนิ เกา่ ตอนกลางส่วนมากคลา้ ยกบั ยคุ หนิ เกา่ ตอนตน้ แตก่ พ็ บวา่ คนยคุ กนิ เกา่ ตอนกลางบางแหง่ มพี ฒั นาการมากขนึ้ มกี ารพบหลกั ฐานแสดงวา่ คนยคุ หนิ เกา่ ในชว่ งปลายมคี วามสามารถในการจบั สตั วน์ า้ ไดด้ แี ละมกี ารคมนาคมทางนา้ เกดิ ขนึ้ แลว้ เทคโนโลยขี อง 9
ยุคกนิ เกา่ ตอนปลายจะมขี นาดเล็กกวา่ ยุคหนิ เกา่ ตอนตน้ และประ โยชนใ์ ชส้ อยดขี นึ้ กวา่ เดมิ คนยคุ หนิ เกา่ ตอนกลางจะมวี ฒั นธรรมแบง่ ออกเป็ น 2 กลมุ่ คอื กลมุ่ หนึ่งอาศยั อยูบ่ นภเู ขา ตามถา้ หรอื เพงิ ผา ส่วนอกี กลุ่มหนึ่งอาศยั อยู่บนพนื้ ราบ รมิ นา้ หรอื ชายทะเล ววิ ฒั นาการของมนุษย ์ ววิ ฒั นาการของมนุษย ์ (องั กฤษ: Human evolution) เป็ นกระบวนการววิ ฒั นาการทนี่ าไปสกู่ ารปรากฏขนึ้ ของ \"มนุษยป์ ัจจบุ นั \" (องั กฤษ: modern human มนี ามตามอนุกรมวธิ านวา่ Homo sapiens หรอื Homo sapiens sapiens) ซงึ่ แมว้ า่ จรงิ ๆ แลว้ จะเรมิ่ ตน้ ตง้ั แต่บรรพบรุ ษุ แรกของสงิ่ มชี วี ติ ทงั้ หมด แตบ่ ทความนีค้ รอบคลมุ เพยี งแค่ประวตั วิ วิ ฒั นาการของสตั วอ์ นั ดั บวานร (primate) โดยเฉพาะของสกลุ โฮโม (Homo) และการปรากฏขนึ้ ของมนุษยส์ ปี ชสี ์ Homo sapiens ทจี่ ดั เป็ นสตั วว์ งศล์ งิ ใหญเ่ ทา่ นั้น การศกึ ษาเกยี่ วกบั ววิ ฒั นาการมนุษยน์ ั้นตอ้ งอาศยั ความรทู ้ างวทิ ยาศาสตรห์ ลายสาขา รวมทงั้ มานุษยวทิ ยาเชงิ กายภาพ (หรอื มานุษยวทิ ยาเชงิ ชวี ภาพ), วานรวทิ ยา, โบราณคด,ี บรรพชวี นิ วทิ ยา, พฤตกิ รรมวทิ ยา, ภาษาศาสตร,์ จติ วทิ ยาเชงิ ววิ ฒั นาการ คพั ภวทิ ยา และพนั ธศุ าสตรก์ ระบวนการววิ ฒั นาการเป็ นความเปลยี่ นแปลงข องลกั ษณะสบื สายพนั ธุ ์ (trait) ของกลมุ่ สงิ่ มชี วี ติ ผ่านหลายชว่ั ยุคชวี ติ
เป็ นกระบวนการทที่ าใหเ้ กดิ ความหลายหลากกบั สงิ่ มชี วี ติ ในทุกร ะดบั ชน้ั รวมทง้ั ระดบั สปี ชสี ์ ระดบั สงิ่ มชี วี ติ แต่ละชวี ติ และแมก้ ระทง่ั โครงสรา้ งระดบั โมเลกลุ เชน่ ดเี อ็นเอและโปรตนี [2] สงิ่ มชี วี ติ ทง้ั หมดในโลกสบื สายมาจากบรรพบุรษุ เดยี วกนั ทมี่ ชี วี ติ ประมาณ 3.8 พนั ลา้ นปี กอ่ น การเกดิ สปี ชสี ใ์ หม่ ๆ และการแยกสายพนั ธอุ ์ อกจากกนั ของสงิ่ มชี วี ติ สามารถอนุมานไดจ้ ากลกั ษณะสบื สายพนั ธทุ ์ างสณั ฐานและทางเ คมชี วี ภาพ หรอื โดยลาดบั ดเี อ็นเอทมี่ รี ว่ มกนั [3] คอื ลกั ษณะสบื สายพนั ธแุ ์ ละลาดบั ดเี อน็ เอทมี่ กี าเนิดเดยี วกนั จะมคี วามคลา้ ยคลงึ กนั 10 ระหวา่ งสปี ชสี ท์ มี่ บี รรพบรุ ษุ รว่ มกนั เรว็ ๆ นีม้ ากกวา่ ระหวา่ งสปี ชสี ท์ มี่ บี รรพบรุ ษุ รว่ มกนั มานานแลว้ ดงั นัน้ ความคลา้ ยคลงึ กนั และความแตกตา่ งกนั จงึ สามารถใชส้ รา้ งแบบของตน้ ไมส้ ายพนั ธสุ ์ งิ่ มชี วี ติ ทแี่ สดงความสมั พนั ธเ์ ชงิ ญาติ โดยใชส้ งิ่ มชี วี ติ ทยี่ งั มอี ยู่หรอื ใชซ้ ากดกึ ดาบรรพเ์ ป็ นหลกั ฐานขอ้ มูล รปู แบบความหลากหลายของสงิ่ มชี วี ติ ในโลกเปลยี่ นแปลงไปเพร าะการเกดิ ขนึ้ ของสปี ชสี ใ์ หม่ ๆ และการสูญพนั ธไุ ์ ปของสงิ่ มชี วี ติ ทมี่ อี ยู่ งานวจิ ยั ตา่ ง ๆ ทางพนั ธศุ าสตรแ์ สดงวา่ สตั วอ์ นั ดบั วานรรวมทงั้ มนุษยแ์ ยกออกจากสตั วเ์ ลยี้ งลูกดว้ ยนมป ระเภทอนื่ ๆ เมอื่ ประมาณ 85 ลา้ นปี กอ่ น โดยมซี ากดกึ ดาบรรพป์ รากฏเป็ นครงั้ แรกสุดเมอื่ ประมาณ 55
ลา้ นปี กอ่ น[5] สว่ นลงิ วงศช์ ะนี (Hylobatidae) แยกสายพนั ธอุ ์ อกจากสายพนั ธวุ ์ งศล์ งิ ใหญ่ (Hominidae) รวมทง้ั มนุษย ์ ซงึ่ เป็ นวงศห์ นึ่ง ๆ ของสตั วอ์ นั ดบั วานรนั้น เมอื่ 17 ลา้ นปี กอ่ น[A] แลว้ ลงิ วงศ ์ Ponginae (ลงิ อรุ งั อตุ งั ) ก็แยกออกจากสายพนั ธเุ ์ มอื่ ประมาณ 14 ลา้ นปี กอ่ น[7] จากน้ัน การเดนิ ดว้ ยสองเทา้ (bipedalism) ซงึ่ เป็ นการปรบั ตวั พนื้ ฐานทสี่ ดุ ของสตั วเ์ ผา่ Hominini[B] ซงึ่ เป็ นสายพนั ธขุ ์ องมนุษยท์ ลี่ งิ ชมิ แปนซไี ดแ้ ยกออกไปแลว้ กเ็ รมิ่ ปรากฏในสตั วส์ องเทา้ แรกสุดในสกลุ Sahelanthropus[8] (7 ลา้ นปี กอ่ น) หรอื Orrorin[9] (6.1 ลา้ นปี กอ่ น) โดยมสี กลุ Ardipithecus ซงึ่ เป็ นสตั วส์ องเทา้ ทมี่ หี ลกั ฐานชดั เจนกวา่ ตามมาทหี ลงั [10] (5.8 ลา้ นปี กอ่ น) สว่ นลงิ กอรลิ ลาและลงิ ชมิ แปนซแี ยกออกจากสายพนั ธใุ ์ นชว่ งเวล าใกล ้ ๆ กนั คอื ลงิ กอรลิ ลาเมอื่ 6 ถงึ 10 ลา้ นปี กอ่ น[11] และลงิ ชมิ แปนซเี มอื่ 4 ถงึ 8 ลา้ นปี กอ่ น[11] โดยอาจจะมี Sahelanthropus เป็ นบรรพบรุ ษุ สดุ ทา้ ยรว่ มกนั ระหวา่ งชมิ แปนซแี ละมนุษย[์ 8] สตั วส์ องเทา้ ยคุ เรมิ่ ตน้ เหล่านีใ้ นทสี่ ดุ กว็ วิ ฒั นาการมาเป็ นเผา่ hominini เผ่าย่อย Australopithecina (องั กฤษ: australopithecine ปกตริ วมสกลุ Australopithecus, Paranthropus, และในบางที่ Ardipithecus) ที่ 4.2 ลา้ นปี กอ่ น และหลงั จากนั้นจงึ เป็ นเผา่ ยอ่ ย Hominina ซงึ่ รวมเอามนุษยส์ กลุ โฮโม เท่านัน้ [12]
11 มนุษยส์ กลุ โฮโมทมี่ หี ลกั ฐานยนื ยนั พวกแรกทสี่ ดุ เป็ นสปี ชสี ์ Homo habilis ซงึ่ เกดิ ขนึ้ ประมาณ 2.3 ลา้ นปี กอ่ น[13][C] โดยเชอื่ กนั วา่ สบื สายพนั ธมุ ์ าจาก homonin ในสกลุ Australopithecus[14] เป็ นสปี ชสี แ์ รก ๆ ทมี่ หี ลกั ฐานชดั เจนวา่ ใชเ้ ครอื่ งมอื หนิ [D][16] และการปรบั ตวั ของสายพนั ธมุ ์ นุษยอ์ กี อยา่ งหนึ่งคอื การขยายขนาดของสมอง[E] (encephalization) ก็ไดเ้ รมิ่ ขนึ้ ทมี่ นุษยย์ คุ ตน้ นี้ ซงึ่ มขี นาดสมองทปี่ ระมาณ 610 ซม3 คอื มขี นาดใหญ่กวา่ ของลงิ ชมิ แปนซเี ล็กนอ้ ย[13] (ระหวา่ ง 300-500 ซม3[17]) มนี ักวทิ ยาศาสตรท์ เี่ สนอวา่ นีอ้ ย่ใู นชว่ งเวลาทยี่ นี มนุษยป์ ระเภท SRGAP2 มจี านวนเป็ นสองเทา่ เทยี บกบั สตั วเ์ ลยี้ งลกู ดว้ ยนมอนื่ ๆ ซงึ่ ทาใหเ้ กดิ การพฒั นาของสมองกลบี หนา้ ไดร้ วดเรว็ กวา่ ในสตั ว ์ อนื่ ๆ ต่อมา มนุษยส์ ปี ชสี ก์ ็เกดิ ขนึ้ ในชว่ งประมาณ 1.9 ลา้ นปี กอ่ น ทมี่ ปี รมิ าตรกะโหลกศรี ษะเพมิ่ ขนึ้ เป็ นสองเท่าของลงิ ชมิ แปนซคี อื 850 ซม3[26] การขยายขนาดของสมองเชน่ นีเ้ ทยี บเท่ากบั มเี ซลลป์ ระสาทเพมิ่ ขนึ้ 125,000 เซลลท์ ุกชว่ั ยคุ คน สปี ชสี น์ ีเ้ ชอื่ วา่ เป็ นพวกแรก ๆ ทสี่ ามารถควบคมุ ไฟ[27] และใชเ้ ครอื่ งมอื หนิ ทมี่ เี ทคโนโลยที ซี่ บั ซอ้ นยงิ่ ขนึ้ [16] เป็ นมนุษยส์ กลุ Homo
พวกแรกทอี่ พยพออกไปตง้ั ถนิ่ ฐานทว่ั ทวปี แอฟรกิ า ทวปี เอเชยี และทวปี ยโุ รป อาจเรมิ่ ตงั้ แต่ 1.8 ลา้ นปี กอ่ น[28] ดงั นั้น การววิ ฒั นาการของสายพนั ธมุ ์ นุษยก์ อ่ นหนา้ นีล้ ว้ นเป็ นไปในแอ ฟรกิ าเท่าน้นั ส่วนกลมุ่ มนุษยโ์ บราณทเี่ รยี กในภาษาองั กฤษวา่ Archaic humans ก็เกดิ ววิ ฒั นาการขนึ้ ตอ่ มาประมาณ 600,000 ปี กอ่ น สบื สายพนั ธมุ ์ าจากเป็ นกลุ่มมนุษยท์ อี่ าจเป็ นบรรพบุรษุ ของมนุษ ยป์ ัจจบุ นั โดยเฉพาะคอื มนุษยโ์ บราณ Hหลงั จากนั้น มนุษยส์ ปี ชสี ์ Homo sapiens ทมี่ กี ายวภิ าคปัจจบุ นั (anatomically modern human) ก็เกดิ ขนึ้ โดยมวี วิ ฒั นาการ 12 มาจากมนุษยโ์ บราณในยคุ หนิ กลาง (แอฟรกิ า) คอื ประมาณ 300,000 ปี กอ่ น ตามทฤษฎี \"กาเนิดมนุษยป์ ัจจบุ นั เรว็ ๆ นีจ้ ากแอฟรกิ า\" มนุษยป์ ัจจบุ นั ไดว้ วิ ฒั นาการในทวปี แอฟรกิ าแลว้ จงึ อพยพออกจ ากทวปี ประมาณ 50,000-100,000 ปี กอ่ น (ตา่ งหากจากมนุษยใ์ นยคุ กอ่ น ๆ) ไปตงั้ ถนิ่ ฐานแทนทกี่ ล่มุ มนุษยส์ ปี ชสี ์ และในทตี่ า่ ง ๆ ทเี่ ป็ นเชอื้ สายของมนุษยท์ อี่ พยพออกมาจากทวปี แอฟรกิ าในยุค กอ่ น โดยอาจไดผ้ สมพนั ธกุ ์ บั มนุษยโ์ บราณกอ่ น ๆ เหล่าน้ัน
หลกั ฐานโดยดเี อ็นเอในปี ค.ศ. 2010 บอกเป็ นนัยวา่ มลี าดบั ดเี อ็นเอหลายสว่ นทมี่ ตี น้ กาเนิดจากมนุษยโ์ บราณ Homo neanderthalensis (องั กฤษ: Neanderthal) ในดเี อน็ เอของมนุษยป์ ัจจบุ นั ทกุ เผา่ พนั ธทุ ์ ไี่ ม่ใชค่ นแอฟรกิ า และวา่ Neanderthal และมนุษยโ์ บราณสกลุ อนื่ ๆ เชน่ ทรี่ จู ้ กั กนั วา่ Denisova hominin (องั กฤษ: Denisovan) รวม ๆ กนั แลว้ อาจจะใหจ้ โี นมเป็ นสว่ น 1-10% ของจโี นมมนุษยป์ ัจจบุ นั ซงึ่ บอกเป็ นนัยถงึ การผสมพนั ธกุ ์ นั [H] ระหวา่ งมนุษยโ์ บราณเหลา่ นีก้ บั มนุษยป์ ัจจบุ นั อยา่ งไรก็ดี การผสมพนั ธมุ ์ รี ะดบั คอ่ นขา้ งทจี่ ะต่า และยงั เป็ นไปไดว้ า่ กรรมพนั ธขุ ์ อง Neanderthal หรอื ของมนุษยโ์ บราณอนื่ ๆ ทพี่ บในมนุษยป์ ัจจบุ นั อาจจะอธบิ ายไดโ้ ดยลกั ษณะสบื สายพนั ธุ ์ (trait) ทสี่ บื มาจากบรรพบรุ ุษรว่ มกนั เมอื่ 500,000-800,000 มาแลว้ ไม่ใชเ่ พงิ่ เกดิ ขนึ้ เพราะผสมพนั ธกุ ์ นั เรว็ ๆ นี[้ สว่ นการเปลยี่ นมามพี ฤตกิ รรมปัจจบุ นั (ดเู พมิ่ ทหี่ วั ขอ้ การเปลยี่ นมามพี ฤตกิ รรมปัจจบุ นั ) พรอ้ มกบั พฒั นาการของวฒั นธรรมสญั ลกั ษณ์ (symbolic culture)[I] ภาษา และเทคโนโลยหี นิ แบบเฉพาะงานเรมิ่ ขนึ้ ทปี่ ระมาณ 50,000 ปี กอ่ นตามขอ้ มูลทางมานุษยวทิ ยา[39] แมว้ า่ จะมนี ักวทิ ยาศาสตรบ์ างส่วนทเี่ สนอวา่ ความจรงิ เป็ นการพฒั นาทางพฤตกิ รรมอยา่ งค่อย ๆ เป็ นค่อย ๆ ไปในชว่ งระยะเวลาทยี่ าวนานยงิ่ กวา่ น้ันทอี่ าจนานถงึ 300,000 ปี และเรมิ่ มหี ลกั ฐานแลว้ วา่ พฤตกิ รรมปัจจบุ นั นั้น ความจรงิ มปี รากฏแลว้ กอ่ นหนา้ นั้น
13 ในปัจจบุ นั นี้ ววิ ฒั นาการของมนุษยป์ จั จบุ นั กย็ งั เป็ นไปอยู่ แต่ทปี่ รากฏเรว็ ๆ นีด้ ูเหมอื นจะจากดั อยใู่ นเรอื่ งภมู ติ า้ นทานตอ่ โรคตดิ ตอ่ โดยมากแ ตเ่ พราะไรเ้ หตกุ ดดนั ทางการคดั เลอื กโดยธรรมชาติ หรอื เพราะเหตอุ นื่ ๆ ววิ ฒั นาการของมนุษยเ์ รว็ ๆ นี้ โดยมากก็จะเป็ นการเปลยี่ นความถยี่ นี อยา่ งไม่เจาะจง (genetic drift) นอกจากนั้นแลว้ ยงั ปรากฏอกี ดว้ ยว่า ทงั้ มนุษยท์ ง้ั วงศล์ งิ ใหญ่แอฟรกิ นั (รวมกอรลิ ลาและชมิ แปนซ)ี ปรากฏการววิ ฒั นาการทชี่ า้ ลงจากลงิ สายพนั ธอุ ์ นื่ ๆ ซงึ่ อาจเกดิ ขนึ้ เพราะแต่ละชว่ั อายมุ คี วามยาวนานยงิ่ ขนึ้ ภูมศิ าสตรด์ กึ ดาบรรพแ์ ละสภาพภมู อิ ากาศ สภาพภูมอิ ากาศของชว่ งเวลายคุ หนิ ยาวนานถงึ สองยคุ ทางธรณี วทิ ยาทรี่ ูจ้ กั กนั คอื สมยั ไพลโอซนี (Pliocene) และ สมยั ไพลทซนี (Pleistocene) ทง้ั สองยคุ นีไ้ ดป้ ระสบการเปลยี่ นแปลงทางภมู ศิ าสตรแ์ ละภมู อิ ากา ศทสี่ าคญั ทมี่ ผี ลต่อสงั คมมนุษย ์ ในชว่ งระหวา่ งยคุ Pliocene ทวปี ยงั คงเลอื่ นตวั อาจจะเป็ นระยะไกลเทา่ ทเี่ ป็ นไปไดค้ อื 250 กโิ ลเมตรจากตาแหน่งทตี่ งั้ เดมิ ของพวกเขาไปอยูใ่ นตาแหน่งเพยี ง 70 กโิ ลเมตรจากตาแหน่งทตี่ ง้ั ปัจจบุ นั ของพวกเขา ทวปี อเมรกิ าใตก้ ลายเป็ นทเี่ ชอื่ มโยงไปยงั ทวปี อเมรกิ าเหนือผ่าน คอคอดปานามาเดวดิ วยั อาจ (David Wyatt) เขยี นวา่ มมี นุษยอ์ ยู่อาศยั ในบรเิ วณเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตป้ ัจจบุ นั ตงั้ แต่
40,000 ปี มาแลว้ โดยเรมิ่ จากการเกบ็ ของป่ าล่าสตั ว[์ 5]:5 จนเรมิ่ มกี ารกสกิ รรมเมอื่ 10,000–20,000 ปี กอ่ น พบวา่ กลมุ่ ชาตพิ นั ธดุ ์ งั กลา่ วอยูก่ นั กระจดั กระจายตงั้ แต่ทรี่ าบจนี ตอนกลางลงไปถงึ คาบสมุทรอนิ โดนีเซยี มเี ทคโนโลยกี ารปลกู ขา้ วและประดษิ ฐเ์ รอื มกี ราบกนั โคลงทาใหแ้ ลน่ ไปไดถ้ งึ ญปี่ ่ นุ และแอฟรกิ าตะวนั ออก มกี ารหลอ่ ขวานสารดิ อายุ 5,000 ปี เหล็กหล่ออายุ 3,000 ปี รวมทง้ั เครอื่ งปั้นดนิ เผา ทงั้ นี้ เชอื่ วา่ แหลง่ โบราณคดใี นบา้ นเชยี งและทรี่ าบสูงโคราชเป็ นหลกั ฐ านการปลกู ขา้ วและหล่อสารดิ ทอี่ าจมอี ายเุ กา่ แกท่ สี่ ดุ ในทวปี เอเชี ย 14 รฐั โบราณ อาณาจกั รฟูนานเป็ นอาณาจกั รแรกสดุ และทรงอานาจทสี่ ดุ ในเอเ ชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ้ เจรญิ ขนึ้ เมอื่ ศตวรรษที่ 2 กอ่ นครสิ ตกาล โดยมอี าณาเขตครอบคลมุ ภาคกลางของประเทศไทยและทง้ั ประเ ทศกมั พูชาปัจจบุ นั โดยมเี ศรษฐกจิ ขนึ้ อยู่กบั การคา้ ทางทะเลและเกษตรกรรม มกี ารตดิ ตอ่ การคา้ อยา่ งใกลช้ ดิ กบั อนิ เดยี และเป็ นฐานสาหรบั นัก เผยแผศ่ าสนาฮนิ ดู อาณาจกั รฟูนันเป็ นรฐั ทรี่ งุ่ เรอื งอยู่ระหวา่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 1 – 6 ทตี่ ง้ั ของรฐั อย่บู รเิ วณลมุ่ แม่น้าโขงตอนล่าง ปัจจบุ นั เป็ นทตี่ งั้ ประเทศกมั พูชา เวยี ดนามตอนใต ้ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของไทย
บางตอนของลมุ่ แม่นา้ เจา้ พระยา และภาคใตข้ องไทย ลงมาถงึ แหลมมลายู ฟูนันรวมตวั กนั เป็ นรฐั แรกของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ้ เป็ นรฐั ชลประทานภายในแผน่ ดนิ ทปี่ ระชาชนดารงชพี ดว้ ยการเก ษตร โดยใชน้ า้ จากระบบชลประทานทพี่ ฒั นาเป็ นอยา่ งดี นอกจากน้ัน ฟูนันยงั มเี มอื งท่าสาหรบั จอดเรอื และคา้ ขายตา่ งประเทศ ฟูนัน จงึ มรี ายไดจ้ ากการคา้ ขาย การเดนิ เรอื อกี ดว้ ย เรอื่ งราวของรฐั ฟนู ัน จากบนั ทกึ ของชาวจนี ทเี่ ดนิ ทางมาแถบนี้ ไดเ้ ขยี นเลา่ ถงึ ความม่งั คง่ั ความเป็ นอยใู่ นชมุ ชนทมี่ รี ะเบยี บ มคี ณุ ธรรม มกี ารปกครองระบอบกษตั รยิ ์ มเี มอื งต่าง ๆ มาขนึ้ ดว้ ยหลายเมอื ง มวี ฒั นธรรมของตนเอง มกี ารตดิ ต่อกบั ชาวตา่ งประเทศ ทงั้ ในทวปี เอเชยี ดว้ ยกนั และโลกตะวนั ตก ชนชน้ั สงู เป็ นพวกทพี่ ูดภาษากลุ่มภาษามาลาโย-โพลเี นเซยี ชาวจนี วา่ พวกชนชน้ั พนื้ เมอื งของฟูนนั หนา้ ตาหนา้ เกลยี ด ตวั เล็ก ผมหยกิ สนั นิษฐานวา่ น่าจะเป็ นพวกเนกรโิ ตและเมลานีเซยี น 15 ฟูนันมปี ระวตั คิ วามเป็ นมา เรมิ่ จากการรวมตวั กนั ของผคู ้ น เป็ นชมุ ชนเล็กขนาดหมู่บา้ น จากหมู่บา้ นพฒั นาขนึ้ มาเป็ นรฐั
วธิ กี ารพฒั นาจากสงั คมเผา่ เป็ นสงั คมรฐั มปี ัจจยั และขนั้ ตอนหลา ยประการ แผนทอี่ นิ โดจนี ใน ค.ศ. 900 แสดงจกั รวรรดเิ ขมร (สแี ดง) ทคี่ รอบคลมุ ดนิ แดนสว่ นใหญข่ องประเทศไทยปัจจบุ นั ; สเี ขยี วแกค่ อื หรภิ ญุ ไชย และสเี ขยี วออ่ นคอื อาณาจกั รศรวี ชิ ยั 16
ต่อมา ชาวมอญอาศยั ชว่ งทฟี่ ูนานเสอื่ มลงตงั้ อาณาจกั รของตนในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 6 อาณาจกั รทวารวดตี ง้ั อยูใ่ นพนื้ ทตี่ อนกลางและตะวนั ออกเฉียงเห นือของประเทศไทยปัจจบุ นั แตร่ ายละเอยี ดตา่ ง ๆ ยงั ไมค่ อ่ ยทราบกนั ดนี ัก[5]:30 โดยตงั้ ขนึ้ เพอื่ การคา้ ขายทางบกระหวา่ งอา่ วเมาะตะมะและอา่ วไท ยผ่านด่านเจดยี ส์ ามองค ์ แต่มกี ารแผข่ ยายทางทศิ ตะวนั ออกไปถงึ กมั พูชา ทางเหนือไปถงึ เชยี งใหม่และทางเหนือของประเทศลาว พอทราบวา่ มกี ลุ่มเมอื งหนึ่งอยแู่ ถบนครปฐมและสุพรรณบรุ ี กลมุ่ หนึ่งตง้ั อยทู่ ลี่ พบุรี และอกี กลุ่มหนึ่งแถบทรี่ าบสงู โคราช[5]:32–3 ซงึ่ คนไทในสมยั นน้ั กอ็ าศยั อยู่ตามชายขอบของทวารวด[ี 5]:35 ประมาณตน้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 9 ชาวมอญตงั้ อาณาจกั รหรภิ ญุ ไชยทลี่ าพูน ซงึ่ ตอ่ มาเป็ นศูนยก์ ลางทางศาสนาพุทธและวฒั นธรรม สว่ นชาวเขมรตง้ั อาณาจกั รใหญม่ ศี นู ยก์ ลางอยู่ทอี่ งั กอรใ์ นครสิ ต ์ ศตวรรษทใี่ นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 8 รฐั มอญรบั ศาสนาพุทธผา่ นผเู ้ ผยแผศ่ าสนาจากเกาะลงั กา และเผยแผต่ ่อใหจ้ กั วรรดเิ ขมร แมม้ อญครอบงาทางวฒั นธรรมในภมู ภิ าค แตม่ กั ตกเป็ นเมอื งขนึ้ ของพม่าและเขมรอยเู่ นือง ๆ ผลทาใหใ้ นครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 9 จกั รวรรดเิ ขมรครอบงาลุ่มแมน่ า้ เจา้ พระยาปัจจบุ นั ทงั้ หมด
จกั รวรรดเิ ขมรมกี ารกอ่ สรา้ งสงิ่ กอ่ สรา้ งขนาดใหญ่จานวนมากเพื่ อเฉลมิ พระเกยี รตพิ ระมหากษตั รยิ ์ แต่การหมกมุ่นกบั การกอ่ สรา้ งมากเกนิ ไปทาใหเ้ ศรษฐกจิ ของรฐั เ สอื่ มลง อาณาจกั รตามพรลงิ กเ์ ป็ นรฐั มลายทู คี่ วบคมุ การคา้ ผ่านชอ่ งแคบ มะละกาทที่ รงอานาจทสี่ ดุ เจรญิ ขนึ้ ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 10 ตามพรลงิ กร์ วมเขา้ กบั อาณาจกั รศรวี ชิ ยั ซงึ่ เป็ น 17 สมาพนั ธรฐั ทางทะเลทมี่ อี ยรู่ ะหวา่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 7 ถงึ 13 ตามพรลงิ กร์ บั ศาสนาพทุ ธ แตอ่ าณาจกั รมลายทู อี่ ยู่ใตล้ งไปรบั ศาสนาอสิ ลาม ทาใหเ้ กดิ พรมแดนศาสนาระหวา่ งเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ผ่นดิ นใหญ่กบั คาบสมุทรมลายู อาณาจกั รตามพรลงิ ค ์ (สนั สกฤต: ตามพฺ ฺรลงิ ฺค; ताम्ब्रलिङ्ग) ซงึ่ ตอ่ มาไดก้ ลายเป็ น อาณาจกั รนครศรธี รรมราช นน้ั เป็ นอาณาจกั รโบราณทมี่ มี าตงั้ แต่กอ่ นสมยั พุทธศตวรรษที่ 7 [1] ตงั้ อยู่บรเิ วณคาบสมุทรมลายู
มศี นู ยก์ ลางอยู่ทอี่ าเภอเมอื งนครศรธี รรมราชในปัจจบุ นั [2] จากการพบเมอื งโบราณและวตั ถโุ บราน บรเิ วณบา้ นพระเวยี ง ต.ในเมอื ง อ.เมอื ง จ.นครศรธี รรมราช และศลิ าจารกึ จากเมอื งไชยา ซงึ่ ปัจจบุ นั ตงั้ อย่ใู นจงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี[3] มอี าณาเขตทางทศิ เหนือถงึ บรเิ วณจงั หวดั ชมุ พรในปัจจบุ นั ทศิ ใตค้ ลอบคลมุ ถงึ บางสว่ นบรเิ วณตอนบนของประเทศมาเลเซยี และดา้ นทศิ ตะวนั ออก ตะวนั ตกจรดทะเลทง้ั สองฝ่ัง โดยฝ่ังทะเลอนั ดามนั ถงึ บรเิ วณทเี่ รยี กวา่ ทะเลนอก ซงึ่ เป็ นบรเิ วณจงั หวดั กระบใี่ นปัจจบุ นั ชว่ งยคุ รงุ่ เรอื งระหวา่ งพุทธศตวรรษที่ 13 จนถงึ ตน้ ศตวรรษที่ 14 อาณาจกั รตามพรลงิ ค ์ ครอบครองดนิ แดนส่วนใหญบ่ นคาบสมุทรมลายแู ละกลายเป็ นห นึ่งในรฐั เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตท้ โี่ ดดเดน่ ในเวลานั้น[4] โดยชอื่ ตามพรลงิ ค ์ น้ัน ไดม้ าจากคาวา่ \"ตามพ\" เป็ นภาษาบาลี แปลวา่ ทองแดง สว่ น \"ลงิ ค\"์ เป็ นเครอื่ งหมายหรอื สญั ลกั ษณบ์ อกเพศ เขยี นเป็ นอกั ษรภาษาองั กฤษวา่ Tambalinga หรอื Tanmaling หรอื Tamballinggam จนี เรยี ก ตนั เหมยหลงิ หรอื โพ-ลงิ หรอื โฮลงิ (แปลวา่ หวั แดง) บางทเี รยี กวา่ เชยี ะโทว้ (แปลวา่ ดนิ แดง) อาณาจกั รตามพรลงิ ค ์ มกี ษตั รยิ ส์ าคญั คอื พระเจา้ ศรธี รรมาโศกราช และ พระเจา้ จนั ทรภาณุอาณาจกั รตามพรลงิ คน์ ีเ้ ป็ นเสน้ ทางการเผยแ พรพ่ ระพุทธศาสนาแบบลงั กาวงศ ์ ไปยงั อาณาจกั รสโุ ขทยั และดนิ แดนทว่ั แหลมมลายู
เนื่องจากอาณาจกั รตามพรลงิ คก์ บั ศรลี งั กามคี วามสมั พนั ธแ์ บบบ ้ านพเี่ มอื งนอ้ งมาแต่สมยั โบราณ 18 การเขา้ มาตงั้ ถนิ่ ฐานของคนไท แนวคดิ เกยี่ วกบั ถนิ่ กาเนิดของชนชาตไิ ท ประกอบดว้ ยแนวคดิ ทงั้ หลายซงึ่ อธบิ ายถงึ ถนิ่ กาเนิดของชนชาติ ไททอี่ าศยั อยใู่ นประเทศไทยปัจจบุ นั โดยมอี ยหู่ ลากหลายแนวคดิ เชน่ แถบตอนใตข้ องจนี เป็ นแนวคดิ ซงึ่ เสนอวา่ เดมิ คนไทยเคยอาศยั อย่บู นเกาะไหหลา เขตปกครองตนเองกวา่ งซี มณฑลกยุ ้ โจว และมณฑลยนู นาน ซงึ่ เป็ นบรเิ วณทมี่ คี าพอ้ งกบั ภาษาไทยจานวนมาก[1] นักภาษาศาสตรจ์ งึ เสนอวา่ เดมิ ชาวไทยเคยอยู่อาศยั ในแถบตะวนั ออกเฉียงใตข้ องจนี จากน้ันอพยพไปยงั ยนู นาน กอ่ นทจี่ ะอพยพลงมายงั คาบสมุทรอนิ โดจนี [1] แตก่ ารศกึ ษาในระยะต่อมา แนวคดิ ดงั กล่าวจงึ เปลยี่ นเป็ นวา่ ชนชาตไิ ทยเคยอาศยั อย่แู ถบเข ตปกครองตนเองกวา่ งซี หรอื เวยี ดนามแถวเดยี นเบยี นฟู
นักประวตั ศิ าสตรท์ เี่ ห็นดว้ ย เชน่ ศาสตราจารยเ์ จมส ์ อาร.์ เอ. เชมเบอรล์ นิ , ศาสตราจารยห์ ลฟี ้ ง-กา้ ย, ศาสตราจารย ์ ดร.ประเสรฐิ ณ นคร และ ดร.มารว์ นิ บราวน์ ต่อมา รายงาน The Archaeological Excavation in Thailand (การขดุ คน้ โบราณคดใี นประเทศไทย) ของ ดร.เบยี ซอเรสเสน นักโบราณคดชี าวเดนมารก์ ไดเ้ สนอวา่ ชนชาตไิ ทยถอื กาเนิดบรเิ วณตอนใตข้ องจนี อพยพขนึ้ เหนือ แลว้ อพยพกลบั ลงมาอกี [4] จากหลกั ฐานซงึ่ ปรากฏวา่ มคี นไทยหมู่หนึ่งเคยพูดภาษาไทยมาน านถงึ 3,777 ปี มาแลว้ [5] พสิ ฐิ เจรญิ วงศ ์ ไดส้ นับสนุนแนวคดิ ดงั กลา่ ว และนับวา่ ภาคอสี านของไทยเป็ นจดุ เรมิ่ ตน้ ของวฒั นธรรมยคุ โลห ะในเอเชยี จติ ร บวั บุศย ์ ไดเ้ สนอวา่ วฒั นธรรมไทยเรมิ่ ขนึ้ ทบี่ า้ นเชยี ง และคนไทยเคยอพยพขนึ้ ไปทางเหนือแลว้ ยอ้ นกลบั ลงมาอกี 19 อย่างไรก็ตาม งานเขยี นของ ศาสตราจารยช์ นิ อยดู่ ี ระบุวา่ วฒั นธรรมบา้ นเชยี งไม่สามารถระบไุ ดว้ า่ มนุษยบ์ า้ นเชยี งเป็ นคนไ ทย เพราะในอดตี เคยมกี ารอพยพขนึ้ เหนือและลงใตอ้ ยูห่ ลายครงั้ กวี อมรสริ ธิ าดา เคยไปทอ่ งเทยี่ วเสยี มราฐ ระหวา่ งทเี่ ดนิ ชมนครวดั อยนู่ ั้น มชี ายชาวเวยี ดนามกาลงั วจิ ารณร์ ปู สลกั บนผนังเป็ นขอ้ ความวา่ \"ไกไ่ กก่ าลงั ตกี นั \" แต่พดู ค่อนขา้ งเรว็
ซงึ่ ในรปู แกะสลกั นั้นมกี ารแสดงวฒั นธรรมการละเล่นพนื้ บา้ นของ ชาวเขมร ซงึ่ การชนไกเ่ ป็ นทนี่ ิยมในสมยั นัน้ น่ันจงึ อาจสนับสนุนทฤษฎที วี่ า่ ชนชาตไิ ทยอาจเคยอาศยั บรเิ วณ ตอนเหนือของเวยี ดนามมากอ่ น เนื่องจากภาษาพูดบางสว่ นคลา้ ยคลงึ ภาษาไทยมาก ดนิ แดนประเทศไทยปัจจบุ นั สจุ ติ ต ์ วงษเ์ ทศ ไดเ้ สนอในบทความ \"คนไทยไม่ไดม้ าจากไหน\" วา่ คนไทยไดอ้ าศยั อยใู่ นดนิ แดนประเทศไทยปัจจบุ นั มาเป็ นเวลาชา้ นานแลว้ โดยเกดิ จากการรวมตวั กนั ของแควน้ ต่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั จนเป็ นประเทศเดยี วกนั เนื่องจากวฒั นธรรมพนื้ ฐานทคี่ ลา้ ยคลงึ กนั และการทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมอนิ เดยี เหมอื นกนั โดยถอื วา่ คนทพี่ ูดภาษาทคี่ ลา้ ยคลงี กนั เป็ นบรรพบุรษุ ทางวฒั นธ รรมอนั กอ่ ใหเ้ กดิ พฒั นาการมาเป็ นคนไทยในปัจจบุ นั [6] อยา่ งไรกต็ าม ประชาชนเหลา่ นีไ้ มค่ อ่ ยมคี วามรูส้ กึ ในเรอื่ งเชอื้ ชาติ แต่เนน้ ไปทางแวน่ แควน้ มากกวา่ [7] แถบตอนกลางของจนี เป็ นแนวคดิ ซงึ่ เรมิ่ มาจาก ดร.วลิ เลยี ม คลฟิ ตนั ดอดด ์ ในหนังสอื เรอื่ ง The Thai Race: Elder Brother of the Chinese (ชนชาตไิ ทย: พชี่ ายของชนชาตจิ นี ) โดยเสนอวา่ ชนชาตไิ ทเคยอยู่แถบลุ่มแม่นา้ หวงเหอ ตอ่ มา ชนชาตไิ ทถกู ชนชาตจิ นี มาปะทะจงึ ตอ้ งถอยรน่ ไปในหลายทศิ ทา
ง ซงึ่ สว่ นมากไดถ้ อยไปยงั แม่นา้ แยงซแี ละมณฑลยนู นานและตงั้ อา ณาจกั ร 20 น่านเจา้ แนวคดิ นีม้ นี ักประวตั ศิ าสตรเ์ห็นดว้ ยจานวนหนึ่ง เชน่ วอลฟรมั เอเบอรฮ์ ารด์ ในหนังสอื A History of China (ประวตั ศิ าสตรจ์ นี ) และศาสตราจารยข์ จร สุขพานิช ในบทความ \"ถนิ่ กาเนิดในประวตั ศิ าสตรข์ องชาตไิ ทย\"[9] ส่วนนักประวตั ศิ าสตรท์ ไี่ ม่เห็นดว้ ย เชน่ ศาสตราจารยว์ ลิ เลยี ม เจ. เก็ดนีย,์ ดร.เฟรเดอรกิ โมต, ชาลส ์ โรนีย ์ แบกคสั , [9] และวนิ ัย พงศศ์ รเี พยี ร แบกคสั ใหเ้ หตุผลวา่ คาในภาษาไทยไมม่ ใี นคาภาษาน่านเจา้ , คาในภาษาน่านเจา้ สว่ นใหญ่เชอื่ มโยงกบั กล่มุ ภาษาทเิ บต- พม่ามากทสี่ ดุ ซงึ่ ไม่ค่อยเกยี่ วขอ้ งกบั ภาษาไทยเท่าใดนัก และรากฐานและพนื้ ฐานระหวา่ งวฒั นธรรมอา้ ยลาวกบั วฒั นธรรม น่านเจา้ มคี วามแตกตา่ งกนั วนิ ัย พงศร์ เี พยี รไดอ้ า้ งงานเขยี นของศาสตราจารยย์ อรช์ เซเดส ์ ซงึ่ กล่าววา่ ชนชาตไิ ทยปรากฏในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตใ้ นชว่ ง พุทธศตวรรษที่ 16[1] แถบเทอื กเขาอลั ไต แนวคดิ ดงั กลา่ วมาจากงานเขยี นเรอื่ ง \"หลกั ไทย\" ของขนุ วจิ ติ รมาตรา กล่าวว่าเดมิ ชนชาตไิ ทยเคยอาศยั อยู่แถบเทอื กเขาอลั ไตเมอื่ ประ
มาณ 6000 ปี ทแี่ ลว้ ต่อมา ไดอ้ พยพลงมายงั แม่น้าหวงเหอ เรยี กวา่ \"อาณาจกั รไทยมุง\" หรอื \"อาณาจกั รไทยเมอื ง\"[11] และไดอ้ พยพลงมาอกี จนถงึ ลมุ่ แม่นา้ แยงซี แตต่ อ่ มาไดเ้ สยี เมอื งใหก้ บั จนี จงึ ตอ้ งอพยพลงมาทางใตต้ ่อไป[11] แนวคดิ ดงั กลา่ วไม่ค่อยไดร้ บั การยอมรบั จากนักประวตั ศิ าสตร ์ โดยไดม้ ผี แู ้ สดงเหตผุ ลโตแ้ ยง้ หลายคน อยา่ งเชน่ ศาสตราจารยว์ ลิ ห ์ เครดเนอรเ์ห็นวา่ ถนิ่ กาเนิดของชนชาตไิ ทควรอยใู่ นแถบแม่น้า และมภี มู อิ ากาศกงึ่ รอ้ นชนื้ ทางตอนใตข้ องจนี ดร.พอล เค เบเนดกิ ต ์ เห็นวา่ คนไทยไม่ไดม้ เี ชอื้ สายมาจากประเทศจนี เพราะรากศพั ทท์ แี่ ตกต่างกนั ศาสตราจารยอ์ าจารยข์ จร สขุ พานิช เห็นวา่ ระยะทางจากเทอื กเขาอลั ไตถงึ 21 ประเทศไทยอยู่ห่างกนั มาก และคนไทยไม่สามารถรอดชวี ติ ไดจ้ ากการเดนิ ทางผ่านทะเลทรา ยโกบขี นุ วจิ ติ รมาตรา ยอมรบั วา่ เป็ นเพยี งเรอื่ งแตง่ ทแี่ ต่งเขา้ ประกวดในงานประกวด โดยไม่ไดต้ งั้ ใจใหเ้ ป็ นตาราประวตั ศิ าสตร ์เนือ้ หาในหนังสอื ระบุ \"เดมิ ชนชาตไิ ทยเคยอาศยั อยูแ่ ถบเทอื กเขาอลั ไตเมอื่ ประมาณ 6000 ปี ทแี่ ลว้ ต่อมา ไดอ้ พยพลงมายงั แมน่ า้ หวงเหอ เรยี กวา่ อาณาจกั รไทยมุง หรอื อาณาจกั รไทยเมอื ง และไดอ้ พยพลงมาอกี จนถงึ ลุ่มแม่นา้ แยงซี
แต่ตอ่ มาไดเ้ สยี เมอื งใหก้ บั จนี จงึ ตอ้ งอพยพลงมาทางใตต้ ่อไป\"[12] แบบเรยี นของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารตามหลกั สูตรใน พ.ศ. 2521 ไดร้ ะบใุ หย้ กเลกิ แนวคดิ นีจ้ ากแบบเรยี นเรอื่ งคนไทยอพยพจากเทื อกเขาอลั ไต[12] นิตยสารศลิ ปวฒั นธรรม ฉบบั มนี าคม 2523 ตพี มิ พถ์ อ้ ยคาของ ขนุ วจิ ติ รฯ ถงึ ประเด็นอนั น่าเคลอื บแคลงนี้ ซงึ่ ทา่ นอา้ งวา่ ไมไ่ ดค้ ดิ ขนึ้ เอง แตไ่ ดม้ าจากหมอวลิ เลยี ม คลฟิ ตนั ดอดด ์ ผเู ้ ขยี น The Thai Race-The Elder Brother of Chinese \"ผมเขยี นตามของหมอดอดด ์ เขาวา่ งน้ั นะ ไม่ใชผ่ มมาเมค้ ขนึ้ เองเมอื่ ไหร่ ผมกไ็ ม่รู ้ (หวั เราะ) ผมไม่รหู ้ รอก วา่ จรงิ หรอื ไม่จรงิ \"[12] แถบหมู่เกาะ จากการศกึ ษาความหนาแน่นของหมู่เลอื ดพเิ ศษซงึ่ มกั พบในคนไ ทย มคี วามหนาแน่นมาทางตอนใตแ้ ลว้ คอ่ ยลดลงเมอื่ ขนึ้ มาทางเหนือ ในปี พ.ศ. 2506 นายแพทยส์ มศกั ดิ ์ สุวรรณสมบรู ณ์ จงึ เสนอวา่ ชนชาตไิ ทยอาจอพยพขนึ้ ไปทางเหนือ พลตรี ดาเนิน เลขะกลุ แสดงความเห็นวา่ ผลการตรวจอาจไม่สามารถสรุปได ้ เนื่องจากผูท้ ตี่ รวจอาจมใิ ชค่ นไทยทง้ั หมด
ศาสตราจารยข์ จร สุขพานิช แสดงความเห็นวา่ ดนิ แดนแถบหมู่เกาะมคี วามอดุ มสมบูรณม์ ากกวา่ ดนิ แดนประเทศ ไทย จงึ แทบจะเป็ นไปไมไ่ ดท้ จี่ ะมกี ารอพยพไปอยู่ทอี่ นื่ [14] 22 เดวดิ วยั อาจเขยี นวา่ บรรพชนของคนไท- ไตทอี่ าศยั อยู่ในอนิ เดยี ตะวนั ออกเฉียงเหนือ พม่า ยูนนานใต ้ ไทยและลาวปัจจบุ นั คอื กลุ่มไท- ไตทอี่ ยแู่ ถบเดยี นเบยี นฟูในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 5 ถงึ 8[5]:9 โดยเชอื่ วา่ เป็ นกล่มุ ไท- ไตทเี่ ดมิ อาศยั อยู่ในบรเิ วณลมุ่ แม่นา้ แดงทอี่ ยู่ทางตะวนั ออกเฉียงใ ตส้ ุดของจนี และถกู จนี และเวยี ดนามแผ่แรงกดดนั ทางทหารและการปกครองเ ขา้ มาจนประชากรกลมุ่ หนึ่งเคลอื่ นลงมาทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงใต[้ 5]:9–10 พบวา่ อาณาจกั รน่านเจา้ ทอี่ ยทู่ างเหนือของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียง ใตแ้ ผ่นดนิ ใหญ่ ไม่ใชอ่ าณาจกั รของคนไท-ไต แต่มคี วามสาคญั ตอ่ ประวตั ศิ าสตรก์ ลมุ่ ไท- ไตในแงท่ ชี่ ว่ ยกน้ั อทิ ธพิ ลของจนี จากทศิ เหนือ และรบั ศาสนาพุทธและวฒั นธรรมอนิ เดยี ทางทศิ ตะวนั ตก[5]:20– 1 และชว่ ยสง่ เสรมิ การขยายตวั ของกลุ่มไท- ไต[6]:9มกี ารกลา่ วถงึ ชาวไทยสยามครงั้ แรกในนครวดั ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 12 โดยเรยี กวา่ \"เสยี ม\" หรอื คนผวิ น้าตาล[6]:3 พบวา่ คนไท-ไตในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11–12 อาศยั อย่แู ถบลุ่มแม่นา้ เจา้ พระยาและตอนกลางของแม่นา้ โขงในล
าว[5]:40 ลพบุรซี งึ่ เป็ นเมอื งมอญถกู ผนวกเขา้ เป็ นสว่ นหนึ่งของจกั รวรรดเิ ขมรในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11[5]:41 ลพบุรเี ป็ นศนู ยก์ ลางของเสยี ม (สยา) หรอื เป็ นเมอื งทรี่ บั ผดิ ชอบการบรหิ ารจดั การชาวเสยี ม ในชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 11–12 ชาวไท-ไตตง้ั รฐั ใหม่ ๆ ทางเหนือของเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตแ้ ผน่ ดนิ ใหญ่ มคี ากลา้ วอา้ งวา่ ชาวไท- ไตปลน้ สะดมและจบั เชลยของเจา้ นายไท-ไตหลายพระองค ์ ผูป้ กครองทพี่ ่ายต่อชาวไท- ไตต่างเกรงกลวั ยอมส่งเครอื่ งราชบรรณาการและใหเ้ ชอื้ พระวงศอ์ ภเิ ษกสมรสดว้ ย ย่างเขา้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13 ชาวไท-ไตตา่ ง ๆ ยงั อยู่กนั เป็ นแวน่ แควน้ ไม่มกี ารรวมอานาจเขา้ สู่ศนู ยก์ ลาง ในชว่ งนีเ้ มอื งของชาวไท-ไตมขี นาดพอ ๆ กนั ไมม่ เี มอื งใดใหญก่ วา่ เมอื งอนื่ และตง้ั อยู่รอบจกั รวรรดเิ ขมรและอาณาจกั รพุกาม ไปจนถงึ ตอนเหนือของลาว เมอื่ จกั รวรรดเิ ขมรและอาณาจกั รพุกามเสอื่ มอานาจเมอื่ ตน้ ครสิ ต ์ ศตวรรษที่ 13 ทาใหเ้ กดิ รฐั ใหม่ขนึ้ เป็ นจานวนมากในเวลาไล่เลยี่ กนั อาณาจกั รของชาวไทกนิ อาณาบรเิ วณตงั้ แต่ทศิ ตะวนั ออกเฉียงเ หนือของประเทศอนิ เดยี ปัจจบุ นั จนถงึ 23 ทศิ เหนือของลาว และลงไปถงึ คาบสมุทรมลายู[5]:38–9 ระหวา่ งครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13
มปี ระชากรชาวไทอาศยั อยู่มน่ั คงในอดตี ดนิ แดนแกนกลางของอ าณาจกั รทวารวดแี ละอาณาจกั รลพบุรี จนถงึ ดนิ แดนนครศรธี รรมราช แต่ไม่มบี นั ทกึ รายละเอยี ดการเขา้ มาของชาวไท อาณาจกั รของคนไท เมอื่ สนิ้ ครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 13 คนไท- ไตเรมิ่ ยา้ ยจากหุบเขามาอย่ทู ลี่ มุ่ ทาใหเ้ กดิ รฐั เล็ก ๆจานวนมากทแี่ ยง่ ชงิ อาณาเขตกนั และเรมิ่ เขา้ มาแทนทสี่ องจกั รวรรดใิ หญ่ คอื พุกามและพระนคร[5]:53 นครรฐั ของไทคอ่ ย ๆ เป็ นอสิ ระจากจกั รวรรดเิ ขมรทเี่ สอื่ มอานาจลง กล่าวกนั วา่ พ่อขนุ ศรอี นิ ทราทติ ย ์ (ครองราชย ์ 1792–1822) ทรงสถาปนาราชอาณาจกั รสุโขทยั เมอื่ ปี 1781 นักประวตั ศิ าสตรท์ ราบลาดบั เหตกุ ารณใ์ นชว่ งแรกของอาณาจกั รนอ้ ยมาก แตพ่ อทราบวา่ ในรชั กาลพ่อขนุ ศรอี นิ ทราทติ ยม์ เี หตใุ หก้ รงุ สุโขทั ยรบกบั เมอื งฉอด ซงึ่ ขนุ รามทรงประกอบวรี กรรมชนชา้ งชนะขา้ ศกึ [5]:74
พ่อขนุ รามคาแหง (ครองราชย ์ 1822–1841) ทรงเป็ นผนู ้ าชาวไททมี่ คี วามโดดเด่นและทะเยอทะยาน ทรงขยายอาณาเขตโดยใชก้ ารทหารและการทูตผสมกนั ทง้ั นี้ อาณาเขตอนั กวา้ งขวางของกรงุ สโุ ขทยั นั้นไมไ่ ดเ้ กดิ จากการเดนิ ทพั ไปหกั ตเี อาเมอื งตา่ ง ๆ แต่เป็ นเขตอทิ ธพิ ลทมี่ ผี นู ้ าเขา้ สวามภิ กั ดิ ์ และเขตอทิ ธพิ ลของสโุ ขทยั ทางใตก้ ็เกดิ จากนครศรธี รรมราชทเี่ ข ้ าสวามภิ กั ดดิ ์ ว้ ย[5]:78–79 พญาลไิ ท (ครองราชย ์ 1841– 1889/90) ทรงสบื ราชสมบตั ติ ่อมา แต่หลายเมอื งเอาใจ 24 ออกหา่ งทนั ที การทสี่ พุ รรณบรุ แี ยกตวั ออกทาใหก้ น้ั ระหวา่ งกรุงสุโขทยั กบั ดนิ แ ดนสวามภิ กั ดทิ ์ อี่ ยูใ่ ตล้ งไป และนาไปสชู่ ดุ เหตุการณท์ นี่ าไปสู่ความเจรญิ ของกรุงศรอี ยุธยา พญามงั ราย (ครองราชย ์ 1802–1860) ทรงสบื ราชสมบตั เิ ป็ นเจา้ ผคู ้ รองหริ ญั นครเงนิ ยางเชยี งลาว (เชยี งแสน) ทรงพชิ ติ ดนิ แดนเพอื่ นบา้ นแลว้ ขยายอานาจลงทศิ ใต ้ โดยตงั้ เมอื งเชยี งรายขนึ้ ในปี 1805 รวมทงั้ เขา้ ยดึ ครองเชยี งของและฝาง ในเวลาต่อมา พระองคเ์ ขา้ เป็ นพนั ธมติ รกบั พญางาเมอื ง (ครองราชย ์ 1801– 1841) แหง่ แควน้ พะเยาและพ่อขนุ รามคาแหงแห่งสุโขทยั ดว้ ยเหตผุ ลดา้ นความทะเยอทะยานในการขยายอานาจและรว่ มกั นรบั มอื ภยั คุกคามจากมองโกลทางเหนือ ทง้ั นี้ ทงั้ สามพระองคท์ รงเห็นแกอ่ ตั ลกั ษณร์ ว่ มไท-ไต[5]:61–62
พญามงั รายทรงพชิ ติ หรภิ ุญไชยไดใ้ นปี 1824 นับเป็ นเจา้ ผูค้ รองดนิ แดนทางเหนือไดท้ งั้ หมด ระหวา่ งปี 1835 ถงึ 1854 มองโกลกบั เชยี งรุง่ รบกนั จนสุดทา้ ยทง้ั สองสงบศกึ โดยเชยี งรงุ่ และเชยี งใหม่ส่งบรรณาการใ หแ้ กร่ าชสานักจนี อาณาจกั รสุโขทยั อาณาจกั รสุโขทยั (สกุ โขทยั ตามจารกึ )[1] เป็ นรฐั ในอดตี รฐั หนึ่ง ตงั้ อยูบ่ นทรี่ าบลมุ่ แม่นา้ ยม สถาปนาขนึ้ ราวพุทธศตวรรษที่ 18 ในฐานะสถานีการคา้ ของรฐั ละโว ้ หลงั จากน้ันราวปี 1800 พ่อขนุ บางกลางหาวและพ่อขนุ ผาเมอื งไดร้ ว่ มกนั กระทาการยดึ อานาจจาก 25 ขอมสบาดโขลญลาพงเป็ นผลสาเรจ็ และไดส้ ถาปนาเอกราชใหร้ ฐั สโุ ขทยั เป็ นอาณาจกั รสุโขทยั และมคี วามเจรญิ รุง่ เรอื งตามลาดบั และเพมิ่ ถงึ ขดี สุดในสมยั พ่อขุ
นรามคาแหงมหาราช กอ่ นจะค่อย ๆ ตกตา่ และประสบปัญหาทง้ั จากปัญหาภายนอกและภายใน จนต่อมาถกู รวมเป็ นส่วนหนึ่งของอาณาจกั รอยุธยาไปในทสี่ ดุ การแทรกแซงจากอยุธยาหลงั จากพ่อขนุ รามคาแหงแลว้ เมอื งตา่ งๆเรมิ่ ออ่ นแอลงเมอื ง ส่งผลใหใ้ นรชั กาลพญาเลอไท และรชั กาลพญาไสลอื ไท ตอ้ งสง่ กองทพั ไปปราบหลายครงั้ แตม่ กั ไม่เป็ นผลสาเรจ็ และการปรากฏตวั ขนึ้ ของอาณาจกั รอยุธยาทางตอนใตซ้ งึ่ กระทบ กระเทอื นเสถยี รภาพของสุโขทยั จนในทา้ ยทสี่ ดุ กถ็ กู แทรกแทรงจ ากอยุธยา จนมฐี านะเป็ นหวั เมอื งของอยุธยาไปในทสี่ ดุ โดยมพี ระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) เป็ นผปู ้ กครองสุโขทยั ในฐานะรฐั อสิ ระพระองคส์ ดุ ทา้ ย โดยขณะนั้น ดว้ ยการแทรกแซงของอยุธยา รฐั สุโขทยั จงึ ถกู แบ่งออกเป็ น 4 สว่ น คอื เมอื งสรวงสองแคว (พษิ ณุโลก) อนั เป็ นเมอื งเอก มพี ระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) เป็ นผปู ้ กครอง เมอื งสุโขทยั เมอื งรอง มี พระยาราม เป็ นผปู ้ กครองเมอื ง เมอื งเชลยี ง (ศรสี ชั นาลยั ) มี พระยาเชลยี ง เป็ นผปู ้ กครองเมอื ง เมอื งชากงั ราว (กาแพงเพชร) มี พระยาแสนสอยดาว เป็ นผปู ้ กครองเมอื ง หลงั สนิ้ รชั กาลพระมหาธรรมราชาที่ 4 (บรมปาล) พระยายทุ ธษิ เฐยี รซงึ่ เดมิ ทอี ยศู่ รสี ชั นาลยั ไดเ้ ขา้ มาครองเมอื งสองแคว (พษิ ณุโลก)
และเมอื่ แรกทสี่ มเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เสด็จขนึ้ ผา่ นพภิ พ เป็ นพระมหากษตั รยิ ก์ รุงศรอี ยุธยา ปรากฏวา่ ขณะนั้นพระยายุทธษิ เฐยี รเกดิ นอ้ ยเนือ้ ต่าใจทไี่ ดเ้ พยี ง ตาแหน่ งพระยาสองแคว เนื่องดว้ ยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเคยดารไิ วส้ มยั ทรงพระเ ยาวว์ า่ หากไดข้ นึ้ เป็ นพระมหากษตั รยิ ์ จะชบุ เลยี้ ง 26 พระยายทุ ธษิ ฐริ ะใหไ้ ดเ้ ป็ นพระรว่ งเจา้ สุโขทยั พ.ศ. 2011 พระยายทุ ธษิ ฐริ ะจงึ เอาใจออกหา่ งจากสมเด็จพระบรมไตรโลกนา ถ ไปขนึ้ กบั พระเจา้ ตโิ ลกราช กษตั รยิ ล์ า้ นนาในขณะนน้ั เหตกุ ารณน์ ีส้ ่งผลใหเ้ กดิ การเฉลมิ พระนามกษตั รยิ ล์ า้ นนาจากพ ระยาเป็ นพระเจา้ เพอื่ ใหเ้ สมอศกั ดดิ ์ ว้ ยกรงุ ศรอี ยุธยา พระนามพระยาตโิ ลกราช จงึ ไดร้ บั การเฉลมิ เป็ นพระเจา้ ตโิ ลกราช หลงั จากทพี่ ระยายทุ ธษิ ฐริ ะ นาสุโขทยั ออกจากอยุธยาไปขนึ้ กบั ลา้ นนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจงึ เสด็จจากกรงุ ศรอี ยุธยา กลบั มาพานัก ณ เมอื งสรลวงสองแคว พรอ้ มทง้ั สรา้ งกาแพงและคา่ ยคู ประตู หอรบ แลว้ จงึ สถาปนาขนึ้ เป็ นเมอื ง พระพษิ ณุโลกสองแคว เป็ นราชธานีฝ่ ายเหนือของอาณาจกั รแทนสุโขทยั ในเวลาเจ็ดปี ใหห้ ลงั สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจงึ ทรงตเี อาสุโขทยั คนื ได ้ แตเ่ หตกุ ารณท์ างเมอื งเหนือยงั ไม่เขา้ สู่ภาวะทนี่ ่าไวว้ างใจ
จงึ ทรงตดั สนิ พระทยั พานักยงั นครพระพษิ ณุโลกสองแควตอ่ จนสิ้ นรชั กาล สว่ นทางอยธุ ยาน้ัน ทรงไดส้ ถาปนาสมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ 3 พระราชโอรส เป็ นพระมหาอปุ ราช ดูแลอยธุ ยาและหวั เมอื งฝ่ ายใต ้ ดว้ ยความทเี่ ป็ นคนละประเทศมากอ่ น และมสี งครามอยู่ดว้ ยกนั ชาวบา้ นระหวา่ งสุโขทยั และอยธุ ยา จงึ มไิ ดป้ รองดองเป็ นนา้ หนึ่งใจเดยี วกนั จงึ ตอ้ งแยกปกครอง โดยพระมหากษตั รยิ อ์ ยธุ ยา จะทรงสถาปนาพระราชโอรส หรอื พระอนุชา หรอื พระญาติ อนั มเี ชอื้ สายสโุ ขทยั ปกครองพษิ ณุโลกในฐานะราชธานีฝ่ ายเหนือ และควบคมุ หวั เมอื งเหนือทง้ั หมด อาณาจกั รลา้ นนา อาณาจกั รลา้ นนา (คาเมอื ง: LN-Lanna.png) คอื ราชอาณาจกั รของชาวยวนในอดตี ตง้ั อยบู่ รเิ วณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ตลอดจนสบิ สองปันนา เชน่ เมอื งเชยี งรงุ่ (จงิ่ หง) มณฑลยนู นาน ภาคตะวนั ออกของพม่า ฝ่ังตะวนั ออกของแม่นา้ สาละวนิ ซงึ่ มเี มอื ง 27 เชยี งตงุ เป็ นเมอื งเอก ฝ่ังตะวนั ตกแม่นาสาละวนิ มเี มอื งนายเป็ นเมอื งเอก และ 8 จงั หวดั ไดแ้ ก่ จงั หวดั เชยี งใหม่ ลาพูน ลาปาง เชยี งราย พะเยา แพร่ น่าน และแม่ฮ่องสอน[3] โดยมเี มอื งเชยี งใหม่ เป็ นราชธานี มภี าษา ตวั หนังสอื วฒั นธรรม
และประเพณีเป็ นของตนเอง ต่อมาถกู ปกครองในฐานะรฐั บรรณาการหรอื รฐั ส่วยของอาณาจั กรตองอู อาณาจกั รอยธุ ยา อาณาจกั รลา้ นชา้ ง และอาณาจกั รองั วะ จนสนิ้ ฐานะอาณาจกั ร กลายเป็ นเมอื งส่วนหนึ่งของอาณาจกั รองั วะในราชวงศน์ ยองยาน ไปในทสี่ ดุ ความรงุ่ เรอื งและเสอื่ มของอาณาจกั รลา้ นนา และลา้ นนาในฐานะประเทศราช ดูเพมิ่ เตมิ ท:ี่ ประวตั ศิ าสตรเ์ชยี งใหม่ (พ.ศ. 2101–2317) ในครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14 และ 15 อาณาจกั รลา้ นนามคี วามขดั แยง้ กบั ดนิ แดนเพอื่ นบา้ นหลายแหง่ และอยใู่ นภาวะสงครามภายในบ่อยครงั้ [5]:112–3
ลา้ นนาใชร้ ะบบส่งผูแ้ ทนส่วนกลางไปควบคุมเขตกงึ่ เอกเทศหลา ยรอ้ ยเขต ซงึ่ เจา้ ลา้ นนาประสบความสาเรจ็ มาก 28 นอ้ ยไม่เทา่ กนั ในการสรา้ งเอกภาพในอาณาจกั ร[5]:114 พญากอื นา (ครองราชย ์ 1910–28) ทรงตง้ั ศาสนาพทุ ธนิกายลงั กาวงศแ์ ละตง้ั วดั สวนดอก ซงึ่ จะเป็ นพลงั ชนี้ าทางปัญญาและวฒั นธรรมในอาณาจกั ร รวมทง้ั พฒั นาความสานึกเรอื่ งอตั ลกั ษณข์ องชาวไทยวน[5]:115 –6 ในรชั กาลพญาแสนเมอื งมา (ครองราชย ์ 1928–44) และพญาสามฝ่ังแกน (ครองราชย ์ 1944–53) เกดิ การแกง่ แย่งบลั ลงั กก์ นั และมกี ารชกั ศกึ ภายนอก คอื สุโขทยั และกรงุ ศรอี ยธุ ยา[5]:116–7 ในปี 1947–8 ลา้ นนาสามารถตา้ นทานกองทพั ขนาดใหญ่จากยูนนานไดส้ าเรจ็ [5]:117 พระเจา้ ตโิ ลกราช (ครองราชย ์ 1985–2030) ทรงไดร้ บั ยกย่องวา่ เป็ นพระมหากษตั รยิ ล์ า้ นนาทยี่ งิ่ ใหญท่ สี่ ดุ ทรงใชเ้ วลาทศวรรษแรกปราบปรามผชู ้ งิ บลั ลงั กท์ งั้ หลาย[5]:117 –8 ในปี 1992 พระองคย์ งั ทรงครองอานาจเหนือนครน่านหลงั เอาใจออกห่างโดย รว่ มมอื กบั แพรแ่ ละหลวงพระบาง[5]:118 ระหวา่ งปี 1985 ถงึ 2029 ทรงผลดั กนั เป็ นฝ่ ายบกุ และตงั้ รบั ในสงครามกบั กรงุ ศรอี ยุธยาโด ยตา่ งฝ่ ายต่างไม่อาจเอาชนะอกี ฝ่ ายได[้ 5]:118–21 หลงั รชั กาลพญาเกศเชษฐราช (ครองราชย ์ 2069–81 และ 2086–8)
อาณาจกั รลา้ นนาเขา้ สู่ยคุ เสอื่ มเพราะการสบื ราชสมบตั ทิ ไี่ มร่ าบรื่ นและขนุ นางมอี านาจเหนือพระมหากษตั รยิ [์ 5]:125–6 หลงั จากน้ันมกี ารแทรกแซงทางการเมอื งจากทง้ั กรงุ ศรอี ยธุ ยาแล ะลา้ นชา้ ง ขนุ นางบางสว่ นยกใหส้ มเด็จพระไชยเชษฐาธริ าชซงึ่ เป็ นพระมหา กษตั รยิ ล์ า้ นชา้ งขนึ้ ครองราชยช์ ว่ งสนั้ ๆ ราชวงศม์ งั รายสนิ้ สดุ ลงเมอื่ เชยี งใหมต่ กเป็ นของพม่าในปี 2101 พม่าเป็ นผแู ้ ต่งตงั้ เจา้ ผูค้ รองลา้ นนาในฐานะประเทศราช และมกี ารเกณฑท์ หารและเสบยี งเพอื่ ทาสงครามกบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา [5]:187 หลงั พม่าขาดเอกภาพหลงั พระเจา้ นนั ทบเุ รงเสด็จสวรรคตในปี 2142 เจา้ เชยี งใหม่ถกู ตดั ขาดจากความชว่ ยเหลอื ในศกึ กบั ลา้ นชา้ ง จงึ ทรงยอมอยภู่ ายใตอ้ านาจของกรงุ ศรอี ยธุ ยาในชว่ งสน้ั ๆ[5]:188 พระเจา้ อะเนาะเพะลนู ทรงส่งทพั ไปยดึ หวั เมอื งเหนืออกี ครง้ั ในปี 2156 แตป่ ลอ่ ยใหล้ า้ นนาแตกออกเป็ นเมอื งเล็กนอ้ ย[5]:188–9 หลงั เจา้ พลศกึ ศรสี องเมอื ง (ครองราชย ์ 2158–74) ประกาศอสิ รภาพตอ่ พม่าไม่สาเรจ็ พม่าเรมิ่ เปลยี่ นมาตงั้ เจา้ เมอื งเชยี งใหม่ขนึ้ ปกครอง 29 โดยตรง[5]:189 ในปี 2204 สมเด็จพระนารายณย์ กทพั มาตเี ชยี งใหม่และลาปางได ้ แตไ่ ม่สามารถยดึ ครองเมอื งไวไ้ ด[้ 5]:190 หลงั จากน้ัน
พม่าสง่ เจา้ มาปกครองเป็ นอปุ ราชเหมอื นกอ่ น บา้ นเมอื งยากจนและประชากรนอ้ ยลงเพราะถกู ขดู รดี ภาษแี ละเก ณฑค์ นไปมาก และตกเป็ นเหยอื่ ของดนิ แดนใกลเ้ คยี ง[5]:190–1 ระหวา่ งปี 2270 ถงึ 2306 แมว้ า่ พม่าจะยงั ควบคมุ ดนิ แดนสว่ นใหญ่ของลา้ นนาไวไ้ ด ้ แต่กลมุ่ ผนู ้ าในเมอื งเชยี งใหม่แข็งเมอื งต่อพม่า อาณาจกั อยธุ ยา อาณาจกั รอยุธยา เป็ นอาณาจกั รของชนชาตไิ ทยในล่มุ แม่นา้ เจา้ พระยาในชว่ ง พ.ศ. 1893 ถงึ พ.ศ. 2310 มกี รงุ ศรอี ยธุ ยาเป็ นศนู ยก์ ลางอานาจหรอื ราชธานี ทงั้ ยงั มคี วามสมั พนั ธท์ างการคา้ กบั หลายชาติ จนถอื ไดว้ า่ เป็ นศนู ยก์ ลางการคา้ ในระดบั นานาชาต[ิ 2] เชน่ จนี เวยี ดนาม อนิ เดยี ญปี่ ่ นุ เปอรเ์ซยี รวมทงั้ ชาตติ ะวนั ตก เชน่ โปรตุเกส สเปน เนเธอรแ์ ลนด ์ (ฮอลนั ดา) องั กฤษ และฝรง่ั เศส ซงึ่ ในชว่ งเวลาหนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถงึ รฐั ชานของพม่า อาณาจกั รลา้ นนา มณฑลยนู นาน อาณาจกั รลา้ นชา้ ง อาณาจกั รขอม และคาบสมทุ รมลายใู นปัจจบุ นั [3]
30 ประมาณกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 14 อาณาจกั รอยธุ ยาเป็ นอาณาจกั รของคนไทขนาดใหญ่ เชน่ เดยี วกบั ลา้ นนาและสุโขทยั ท่ามกลางแวน่ แควน้ จานวนมากในภาคกลางของประเทศไทยปัจ จบุ นั นับเป็ นครงั้ แรกทกี่ ษตั รยิ ไ์ ทมคี วามทะเยอทะยานกอ่ ตง้ั มากกวา่ ชุ มชนเมอื งเล็ก ๆ[5]:89 ศนู ยก์ ลางของอาณาจกั รอยุธยาเป็ นแควน้ ลพบุรใี นจกั รวรรดเิ ขม รเดมิ แควน้ ลพบุรรี อดพน้ จากการพชิ ติ ดนิ แดนของสุโขทยั โดยยงั รกั ษาอทิ ธพิ ลเหนือทรี่ าบลุ่มแม่นา้ เจา้ พระยาฝ่ังตะวนั ออก[ 5]:92–3 ในชว่ งเวลานั้นแควน้ สพุ รรณบรุ คี วบคุมฝ่ังตะวนั ตกของแม่น้าเจา้ พระยาตงั้ แตช่ ยั นาททางเหนือจนถงึ ชมุ พรทางใต ้ พระเจา้ อทู่ อง (ครองราชย ์ 1893–1912) ทรงกอ่ ตงั้ อาณาจกั รอยธุ ยาในปี 1893 พระองคท์ รงยกทพั ไปตนี ครธม
เมอื งหลวงของจกั รวรรดเิ ขมร จนสามารถปกครองเมอื งไดช้ ว่ งสนั้ ๆ[5]:102 สมเด็จพระบรมราชาธริ าชที่ 1 (ครองราชย ์ 1913– 31) ทรงหนั ไปสนพระทยั กบั หวั เมอื งเหนือ และทาสงครามกบั สโุ ขทยั ตลอดรชั กาล จนบงั คบั ใหส้ โุ ขทยั ยอมรบั อานาจเหนือของอยุธยาได[้ 5]:102 มวี กิ ฤตการสบื ราชสมบตั อิ ยเู่ นือง ๆ ระหวา่ งราชวงศส์ พุ รรณบรุ แี ละลพบรุ อี ยหู่ ลายชว่ั คน จนราชวงศส์ ุพรรณบรุ ชี นะในปี 1952[8]:15 ในรชั กาลสมเด็จพระอนิ ทราชา (ครองราชย ์ 1952–67) กรุงศรอี ยุธยาเขา้ ไปแทรกแซงการเมอื งภายในสุโขทยั เรมิ่ จากลดฐานะเจา้ ผคู ้ รองเป็ นเจา้ สวามภิ กั ดิ ์ เขา้ ไปตดั สนิ ปัญหาการสบื ราชสมบตั ิ จนผนวกรวมเขา้ เป็ นสว่ นหนึ่งของกรุงศรอี ยุธยาในปี 1987[5]:104 ในรชั กาลสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ 2 (ครองราชย ์ 1967–91) นครธมถกู กองทพั อยุธยาตแี ตก จนปกครองนครธมในฐานะหวั เมอื งประเทศราชชว่ งสนั้ ๆ กอ่ นถกู ปล่อยใหท้ งิ้ รา้ ง[5]:105–6 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (ครองราชย ์ 1991–2031) ทรงรบั ชว่ งการสงครามกบั ลา้ นนาตอ่ พระองคย์ งั ทรงสรา้ งระบบควบคมุ กาลงั คนทาใหก้ รงุ ศรอี ยุธยาไดเ้ ปรยี บเหนือดนิ แดนเพอื่ นบา้ น โดยมรี ะบบการควบคุมไพรป่ ี ละหกเดอื นใหส้ งั กดั ขนุ นางทอ้ งถนิ่ [ 5]:107 ระบบราชการเรมิ่ ใชต้ ามรูปแบบของจกั รวรรดเิ ขมร คอื สรา้ งความหา่ งเหนิ ระหวา่ งกษตั รยิ ก์ บั ราษฎร และควบคมุ ขนุ นางดว้ ยเอกสารลายลกั ษณอ์ กั ษรแทนการสวามภิ ั กด[ิ ์ 5]:108–9 พระองคย์ งั
31 ทรงออกกฎหมายจดั ลาดบั ชนั้ และแบ่งแยกหนา้ ทใี่ นสงั คมทซี่ บั ซ ้ อน ทรงตง้ั จตุสดมภแ์ ละเพมิ่ ตาแหน่งกลาโหมและมหาดไทย ประมาณปี 2000–2010 ราชอาณาจกั รอยุธยาควบคุมคาบสมทุ รมลายแู ละฝ่ังทะเลเบงกอ ล คอื ทวายและตะนาวศรี ทาใหส้ ามารถควบคมุ การคา้ นานาชาติ ทาใหเ้ รอื สนิ คา้ ไม่ตอ้ งออ้ มแหลมมะละกา[5]:129–30 การยดึ ครองมะละกาของโปรตเุ กสในปี 2054 ทาใหอ้ ยุธยาเรมิ่ การตดิ ต่อกบั ชาตติ ะวนั ตก โปรตุเกสสง่ ทตู เขา้ มาเจรญิ สมั พนั ธไมตรกี บั ทง้ั จดั หาปื นและอาวุ ธให[้ 5]:132 ในชว่ งนีเ้ องกรงุ ศรอี ยธุ ยาเรมิ่ พฒั นาวฒั นธรรมของตนเองโดยมรี ู ปแบบการแสดงออกทางภาษา วรรณคดแี ละพธิ กี รรม และมภี มู หิ ลงั จากมอญ เขมรและไท-ไตผสมกนั ซงึ่ นับเป็ นเอกลกั ษณน์ ิยามความเป็ น \"สยาม\" ตา่ งจากไทยวนลา้ นนาและลาวลา้ นชา้ ง[5]:134 ครนั้ พระเจา้ ตะเบ็งชะเวตี้ (ครองราชย ์ 2074–93) แหง่ ตองอพู ชิ ติ อาณาจกั รมอญโบราณทหี่ งสาวดแี ละตเี มอื งเชยี ง กรานซงึ่ เป็ นประเทศราชของกรุงศรอี ยุธยา สมเด็จพระไชยราชาธริ าช (ครองราชย ์ 2077–90) ทรงยกทพั ไปชงิ เมอื งคนื สมเด็จพระไชยราชาธริ าชยงั ทรงกงั วลกั บลา้ นนาดว้ ยจงึ ยกทพั ไปตเี มอื งเชยี งใหม่สองครง้ั แตไ่ ม่สามารถยึ ดเมอื งหลวงได[้ 5]:137–8 หลงั สนิ้ รชั กาลเกดิ การชงิ ราชสมบตั กิ นั
ทา้ วศรสี ดุ าจนั ทรย์ กขนุ วรวงศาธริ าชชรู ้ กั ของพระนางใหเ้ ป็ นพระ มหากษตั รยิ ์ แต่ทรงราชยไ์ ดห้ กสปั ดาห ์ กถ็ กู บรรดาขนุ นางสมคบกนั ลอบปลงพระชนมแ์ ละยกสมเด็จพระ มหาจกั รพรรดิ (ครองราชย ์ 2091–2108 และ 2110–1) ใหส้ บื ราชสมบตั ิ พระเจา้ ตะเบ็งชะเวตที้ รงยกกองทพั เรอื นแสนมาลอ้ มกรงุ ศรอี ยุธย าในปี 2092 แต่ไม่สาเรจ็ [5]:139 พระเจา้ บุเรงนอง (ครองราชย ์ 2094–2124) ทรงยกทพั มาตอี าณาจกั รอยุธยาอกี ครง้ั หลงั สามารถควบคมุ อาณาจกั รลา้ นนาทง้ั หมดไวไ้ ด[้ 5]:141–3 ครงั้ นีพ้ ระมหาธรรมราชาเป็ นผสู ้ นับสนุนพม่า และสดุ ทา้ ยสมเด็จพระมหาจกั รพรรดติ อ้ งยอมตามขอ้ เรยี กรอ้ งข องพม่าและส่งพระราเมศวร พระราชโอรส เป็ นองคป์ ระกนั [5]:142 สมเด็จพระมหาจกั รพรรดพิ ยายามอภเิ ษกสมรสทางการเมอื งกบั ล ้ านชา้ ง แต่พระมหาธรรมราชาส่งขา่ วใหพ้ ม่าชงิ ตวั เจา้ หญงิ อภเิ ษก สมเด็จ 32 พระมหาจกั รพรรดสิ ง่ กองทพั ไปตพี ษิ ณุโลกเพอื่ ตอบโต ้ แต่ถกู อบุ ายทาใหถ้ อนทพั กลบั ไป ในปี 2111–2 พระเจา้ บเุ รงนองสง่ กองทพั ขนาดใหญม่ าตกี รงุ ศรอี ยธุ ยาอกี กรุงศรอี ยุธยารบั ศกึ ไดห้ นึ่งปี แต่สุดทา้ ยเสยี กรงุ ใหแ้ กพ่ ม่าในวนั ที่ 8 สงิ หาคม 2112[5]:145–7พม่าใหส้ มเด็จพระมหาธรรมราชา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111