Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Equine PrincMedDxTx

Equine PrincMedDxTx

Published by ajuly13cmu, 2017-11-01 23:17:57

Description: Equine PrincMedDxTx เอกสารประกอบการสอนนักศึกษาสัตวแพทย์ชั้นปีที่ 4

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอน หลกั การตรวจวนิ ิจฉยั เทคนคิ การตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคในมา้ กระบวนวชิ า 651426 หลกั อายุรศาสตร์และเทคนิคการวินิจฉัยโรคทางสตั วแพทย์ (Principle and Diagnostic Techniques of Veterinary Medicine) ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ ิพร เพยี รสขุ มณี ภาควิชาคลินิกสตั ว์เล้ยี งและสตั ว์ปา่ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่วัตถปุ ระสงค:์ เพ่อื ให้นักศกึ ษามคี วามรู้เกย่ี วกับหลกั การตรวจวนิ ิจฉยั เทคนิคที่ใชใ้ นการตรวจวนิ จิ ฉยั โรคมา้ และเทคนคิ ในการรกั ษาโรคมา้ รวมไปถงึ สามารถประมวลความรู้ท่ีไดจ้ ากการเรยี นการสอนมาใชก้ ับกรณสี ตั ว์ปว่ ยได้กิจกรรมการเรยี นการสอน:1. การบรรยาย 3 ชั่วโมง2. การสาธติ เทคนคิ สาหรบั การตรวจวินจิ ฉัยและการรกั ษาโรคในมา้ ผา่ นทางวดิ ทิ ัศน์และการปฏิบตั ิกับสัตวจ์ ริง 1 ช่วั โมง3. การแบง่ กล่มุ ย่อยเพ่อื ปฏิบัตลิ งมือทาจรงิ ในเทคนิคพ้นื ฐาน 1.5 ช่ัวโมงการวดั ผล: 1. สอบขอ้ เขยี น 2. ใบงานจากการปฏบิ ัติหลักการตรวจวนิ ิจฉัย เทคนคิ การตรวจวนิ ิจฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพยี รสขุ มณี Page 1

Section 1 หลักการตรวจโรคในมา้ กระบวนการตรวจร่างกายม้าเปน็ วิธีการให้ไดม้ าซงึ่ ขอ้ มูลทบ่ี ่งบอกถงึ การทางานของรา่ งกายม้าในขณะที่ตรวจ เพื่อประกอบกบั ข้อมลู ดา้ น Signalment และประวัตอิ าการปว่ ยของม้าทีซ่ ักถามไดจ้ ากเจา้ ของ มาประมวลให้ไดล้ าดบั ความสาคัญของสาเหตุตา่ งๆที่อาจกอ่ โรคไดแ้ ละนาไปส่กู ารรักษาทถ่ี กู ต้อง การตรวจรา่ งกายทไ่ี มค่ รอบคลุมอาจทาใหก้ ารวนิ ิจฉยั ผดิ พลาดและประเด็นปญั หาสาคญั ถกู ละเลยไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ข ยกตวั อย่างเชน่ กรณีของมา้ อาการขาหลังออ่ นแรง ผนวกกบั ประวัตกิ ารบาดเจบ็ จากการถูกเตะและลม้ อาจทาให้สัตวแพทยพ์ ่งุ เปา้ ไปท่ีการวนิ ิจฉยั และรักษาอาการบาดเจบ็ ทางโครงร่าง แต่หากสตั วแพทย์ละเลยการตรวจรา่ งกายในระบบอื่นๆ อาจทาใหไ้ ม่พบวา่ มา้ มีการของโรคตดิ เชอ้ื โปรโตซวั ท่สี ง่ ผลให้เกิดอาการขาหลงัอ่อนแรงได้เชน่ เดยี วกัน ซึ่งจะเปน็ อันตรายถึงชวี ิตของม้าไดม้ ากกวา่ อาการบาดเจบ็ เสียอีก อยา่ งไรกต็ าม เปน็ ท่ีเข้าใจได้หากจะบอกวา่ การตรวจรา่ งกายมา้ ทงั้ หมดครบถ้วนทุกส่วนในทกุ กรณนี ้นั ไม่ใช่สิง่ ที่จะปฏบิ ัตไิ ด้ในสภาพความเปน็ จรงิ โดยเฉพาะในกรณที ีม่ ีสตั วป์ ว่ ยรอรบั การตรวจรักษาอยมู่ าก แตก่ ารตรวจร่างกายม้าเบอื้ งต้นทกุตัวร่วมกับประวัตทิ ไี่ ด้รบั อยา่ งถกู ตอ้ งครบถ้วนและความช่างสงั เกตของสตั วแพทยก์ ไ็ มใ่ ชส่ ิง่ ท่เี กนิ ความสามารถ โดยท่ัวไปการตรวจร่างกายเบอื้ งต้น สาหรบั สตั วแพทยท์ มี่ คี วามชานาญแลว้ จะเสยี เวลาเพยี งไมเ่ กิน 5 นาที แตผ่ ลทจี่ ะไดร้ ับนั้นคุ้มคา่ กว่ามาก และการไลเ่ รียงการตรวจให้เปน็ ไปตามลาดับ เช่น จากสว่ นหวั ไปสว่ นท้าย และจากด้านบนลงดา้ นลา่ ง ยงิ่ จะช่วยใหล้ ดขอ้ ผดิ พลาดลง มบี อ่ ยคร้ังทีพ่ บวา่ สตั วแพทยม์ กั จะยุตกิ ารตรวจรา่ งกายมา้ เมอ่ื พบความผิดปกติทส่ี อดคล้องกับประวตั ิทไ่ี ด้รับจากเจา้ ของซงึ่ จะเพมิ่ โอกาสของความผดิ พลาดโดยไมจ่ าเป็นข้อมลู สัตว์ปว่ ย (Signalment) ข้อมลู สตั วป์ ่วยเบอ้ื งตน้ เช่น เพศ พันธ์ุ อายุ การใชง้ าน มปี ระโยชน์ในการชว่ ยจัดลาดบั ความน่าจะเปน็ ของโรคหรอืความผิดปกตทิ ี่เกิดขึน้ กับมา้ โรคบางอยา่ งมคี วามเสยี่ งที่จะเกดิ ในม้าเดก็ มากกว่ามา้ โตเตม็ ว้ย หรือการใชง้ านของม้ากส็ ง่ ผลต่อความผิดปกติทางโครงสรา้ งท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามอวัยวะทถี่ ูกใชง้ านหนัก เปน็ ตน้Tip: นักศกึ ษาควรลองสบื คน้ ว่ามีโรคหรือความผดิ ปกตใิ ดในม้าทม่ี คี วามสัมพันธก์ บั Signalment บ้างการซักประวตั ิ (History taking) กอ่ นการตรวจวินิจฉยั ควรแนใ่ จวา่ มกี ารซกั ประวัตทิ คี่ รบถ้วนและได้ข้อมูลที่ถกู ต้องแลว้ การซกั ประวตั อิ าศยั ความชานาญและประสบการณ์ และมคี วามเป็นศิลป์มากกวา่ วทิ ย์ การซักประวัตจิ ะนามาส่กู าร differential diagnosis ท่ถี กู ทางหรอื บางคร้งั มีศกั ยภาพถึงขั้น tentative diagnosis ได้ คาถามในการซักประวตั คิ วรเป็นคาถามปลายเปิด หลีกเลยี่ งคาถามนาการซักประวตั ปิ ระกอบไปด้วยสองสว่ นหลักๆท่มี คี วามสาคญั เทา่ เทยี มคอื ประวตั ยิ อ้ นหลัง และประวตั ปิ จั จบุ ัน ซง่ึ สตั วแพทย์จาเป็นต้องฝึกฝนเพือ่ ใหไ้ ด้ข้อมลู ทถ่ี กู ต้องการสังเกตจากระยะไกล (General Overview; Far Inspection) การตรวจร่างกายมา้ จะต้องเร่มิ ตน้ จากการสังเกตภาพโดยรวมของตวั ม้าในระยะไกล (ภาพท่ี 1) เพ่อื ใหไ้ ดข้ ้อมลูครอบคลมุ ทงั้ ตวั มา้ ในเบ้ืองตน้ จะดีท่สี ุดหากมา้ อยใู่ นสภาพทไ่ี มถ่ กู รบกวนและอยู่ในสถานท่ีทีค่ นุ้ เคย ผู้ตรวจควรยืนในระยะที่หา่ งจากม้าสกั 2-3 เมตร และเดนิ สารวจให้ทั่วท้ังดา้ นหน้า ดา้ นซา้ ย ดา้ นขวา และดา้ นหลงั นอกเหนอื ไปจากการดคู วามผดิ ปกตทิ างโครงสรา้ งของร่างกายแลว้ สงิ่ สาคัญอกี ประการคอื สงั เกตว่ามา้ มอี าการท่ีเข้าข่ายของโรคตดิ เชอื้ หรือมีความเจบ็ ปวดหรอื ไม่ นอกจากนยี้ งั ต้องสงั เกตพฤติกรรมการแสดงออกวา่ ยังตื่นตวั ดี กงั วล หงดุ หงิด ซึม หรอื ไมร่ ู้สกึ ตวั เมือ่ บนั ทกึความผิดปกติท่ีพบทัง้ หมดไดแ้ ล้ว กส็ ามารถเรมิ่ กระบวนการตรวจร่างกายเบื้องตน้ ได้หลักการตรวจวินจิ ฉยั เทคนคิ การตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสุขมณี Page 2

ภาพท่ี 1 การสงั เกตพฤตกิ รรมและลักษณะของม้าจากระยะไกล (ทม่ี า: ศิริพร เพียรสุขมณี สงวนลิขสทิ ธ์)ิการตรวจบรเิ วณหัวและคอ (Examination of the Head and Neck) ในเอกสารน้ีจะเสนอการไล่เรียงการตรวจไปตามลาดบั ตัง้ แต่ปลายจมกู (nostrils) และรมิ ฝีปาก (muzzle) ไปจนถงึลาคอ เพือ่ ให้นักศกึ ษาไมห่ ลงลมื การตรวจในบรเิ วณใดบรเิ วณหนงึ่ เมื่อชานาญแล้วนกั ศึกษาอาจสร้างสรรคล์ าดบั การตรวจตามความถนดั ของตนเองเพยี งพงึ ระลึกไว้วา่ จะต้องทาการตรวจเพอื่ ใหไ้ ดข้ อ้ มูลอย่างครบถ้วน 1. บริเวณปลายจมูก (nostrils) สงั เกตสงิ่ คดั หลัง่ (nasal discharge) ความไมส่ มมาตร กลน่ิ ของลมหายใจ และปรมิ าณ ลมที่เคลื่อนผา่ นรูจมูกว่าเท่ากนั หรอื ไม่ กล่ินของลมหายใจที่เหม็นผดิ ปกตอิ าจบง่ ชถี้ ึงการติดเช้ือในบริเวณโพรงจมกู ไซนัส Guttural pouch หรือแมแ้ ตม่ าจากระบบทางเดนิ หายใจส่วนปลายการตรวจปริมาณลมหายใจ แนะนาใหใ้ ช้ ดา้ นหลังของมือองั บริเวณปลายจมกู เนอื่ งจากมคี วามไวสมั ผสั มากกว่าการใชอ้ ุ้งมอื 2. ฟัน (teeth) ในทน่ี ห่ี มายรวมถึง ฟนั ตัด (incisors) ฟันกรามนอ้ ย (premolars) ฟนั กราม (molars) ในม้าเพศผู้จะมี ฟนั เขี้ยว (canine) ดว้ ย สงั เกตการณจ์ ดั เรียงตวั ของฟนั ฟนั ทเี่ รยี งไมเ่ ป็นระเบยี บหรอื มีปัญหาในการสบฟัน รวมไป ถงึ ฟันคม อาจเป็นปจั จัยทาใหม้ า้ เบ่อื อาหาร หรือลามไปจนถึงเกดิ ภาวะเสยี ด (colic) นอกจากนี้ ฟันท่จี ดั เรียงตวั เปน็ ปกติจะสามารถบ่งบอกอายุของมา้ ไดด้ ว้ ยวธิ ีการเรม่ิ จากการใชม้ ือทั้งสองข้างดงึ ริมฝปี ากบนและล่างออกจากกันจน เผยให้เห็นถึงฟันตัด ใช้มือลว้ งเขา้ ไปบริเวณ interdental space เพ่อื กาเอาลน้ิ ออกมาพาดที่มมุ ปากด้านในดา้ นหน่งึ เพือ่ เปดิ ทางให้คลาตรวจฟนั กรามนอ้ ยและฟันกรามดา้ นในชอ่ งปากฝ่งั ตรงข้ามกับฝง่ั ทเี่ อาลน้ิ ไปพาดไว้ (ภาพที่ 2) หากไม่ถนดั อาจเลือกใช้ mouth gag ที่เหมาะสมมาใชร้ ่วมด้วยกไ็ ด้ภาพที่ 2 การเปิดปากเพื่อสารวจฟันม้า สังเกตการณ์ใชม้ ือหน่ึงดงึ ลน้ิ มา้ ไปยังมมุ ปากด้านหน่ึง ก่อนจะใชม้ ืออีกข้างลบู สารวจฟัน (ทมี่ า: ศริ พิ ร เพียรสุขมณี สงวนลิขสทิ ธ์ิ)หลักการตรวจวนิ ิจฉยั เทคนิคการตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสุขมณี Page 3

3. เมื่อเปดิ ปาก สารวจความชุ่มและสีของเยอ่ื เมือกบรเิ วณเหงอื กด้วย สขี องเย่ือเมอื กปกติจะเปน็ สชี มพซู ดี (pale pink) และมีความชุ่มช้ืน4. Capillary refill time (CRT) เปน็ ข้อมลู สาคัญบ่งบอกถึงความสมบรู ณ์ของระบบหมนุ เวียนโลหิตในสว่ นปลายของ ร่างกาย (peripheral perfusion) การตรวจ CRT ในม้าจะใช้วธิ กี ดด้วยน้วิ มอื ลงไปท่เี หงอื กบริเวณเหนือ corner incisor และปล่อยนวิ้ ออก (ภาพที่ 3) ประมาณเวลาการไหลย้อนกลบั ของเลือดเข้ามาในบรเิ วณที่ถกู กดโดยปกตจิ ะ ไมเ่ กนิ 2 วินาที ภาพท่ี 3 การประเมินระบบไหลเวียนโลหติ โดยเทคนคิ capillary refill time (CRT) (ที่มา: ศริ พิ ร เพยี รสุขมณี สงวน ลิขสิทธ)ิ์5. บริเวณสนั จมูก (nose) สารวจความสมมาตร และเคาะตรวจไซนสั (maxillary and frontal sinuses) ก่อนเคาะให้ ใชน้ ว้ิ หัวแม่มือขา้ งหนงึ่ สอดเขา้ ไปบริเวณ interdental space เพอ่ื เปิดปากมา้ และใช้นวิ้ กลางของอีกมือหน่ึงเคาะ ลงไปทบ่ี รเิ วณไซนสั (ภาพท่ี 4) ควรทาความคุ้นเคยกบั เสียงท่ีไดย้ นิ จากม้าปกตเิ พื่อจะไดท้ ราบถงึ ความผิดปกติ เช่น เสยี งทึบ ในภายหลังเม่อื ปฏบิ ตั ิงานตรวจรกั ษาจริงภาพท่ี 4 การเคาะตรวจไซนสั (A) maxillary sinus (B) frontal sinus (ทม่ี า: ศริ ิพร เพียรสขุ มณี สงวนลขิ สิทธ)ิ์หลกั การตรวจวนิ ิจฉัย เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสขุ มณี Page 4

6. บรเิ วณตา (eyes) สารวจเบ้อื งตน้ ถงึ ความสมมาตรภายนอก สิ่งคดั หล่งั ต่างๆ รวมไปถงึ ลกั ษณะของเย่ือเมอื กบริเวณ ตาโดยใช้นว้ิ ชี้และนิ้วโป้งเปดิ เปลอื กตาออก หลังจากนัน้ ตรวจหนงั ตาทส่ี าม (third eyelid; nictitating membrane) โดยใชน้ ิ้วมือขา้ งหนง่ึ ประคองหนงั ตาลา่ ง อกี ขา้ งหน่ึงกดทบี่ ริเวณหนงั ตาบนพ่ือใหห้ นงั ตาทส่ี ามโผล่ ออกมา (ภาพที่ 5) แลว้ ทาการสารวจ (เอกสารนี้จะยังไม่กล่าวถงึ รายละเอยี ดการตรวจความผดิ ปกตเิ ฉพาะทบี่ รเิ วณ นัยนต์ า) ภาพท่ี 5 การตรวจหนงั ตาทส่ี าม (third eyelid; nictitating membrane) (ทมี่ า: ศริ พิ ร เพียรสขุ มณี สงวนลขิ สิทธ์)ิ7. จับชีพจร (pulse) โดยการวางนว้ิ สองนว้ิ บน facial artery ทีพ่ าดผา่ นบริเวณใกลก้ ับมมุ ของกรามลา่ ง (ramus) ของ ม้า เทคนิคการวางน้วิ สองน้ิวโดยให้หลอดเลอื ดอยรู่ ะหว่างน้วิ ทงั้ สองจะชว่ ยใหเ้ สน้ เลอื ดอยู่กับที่ ไมเ่ คลอื่ นหลดุ มือ (ภาพที่ 6) บนั ทกึ ความถ่ี ลักษณะแรงเบา และความสมา่ เสมอของชีพจนดว้ ย ภาพท่ี 6 การจับชีพจรบรเิ วณ facial artery (ที่มา: ศิริพร เพยี รสขุ มณี สงวนลิขสิทธิ์)8. ต่อมนา้ เหลือง (lymph node) ตรวจดวู า่ มีการขยายใหญข่ องตอ่ มนา้ เหลอื ง mandibular และ retropharyngeal lymph node หรือไม่ โดยการคลาบริเวณกรามลา่ งดา้ นในระหวา่ งกรามข้างซ้ายและขวา และบรเิ วณ สามเหลยี่ ม Viborg (ภาพท่ี 7) ในภาวะปกตไิ มค่ วรจะคลาเจอตอ่ มนา้ เหลอื งดงั กล่าว แตห่ ากมีการขยายใหญจ่ ะทาใหส้ ามารถ คลาพบได้ชดั เจน อยา่ งไรก็ตามยงั มตี ่อมน้าเหลอื งอ่นื ๆ ในบริเวณหัวและคอ ซ่ึงไมค่ วรละเลย (ภาพที่ 8)หลกั การตรวจวนิ ิจฉยั เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ พิ ร เพียรสุขมณี Page 5

ภาพท่ี 7 การคลาตรวจตอ่ มน้าเหลือง (A) retropharyngeal lymph node (B) mandibular lymph node (ทีม่ า: ศริ ิพร เพียรสขุ มณี สงวนลิขสิทธ)์ิ ภาพที่ 8 ตอ่ มน้าเหลอื งต่างๆ บรเิ วณหัวและคอของม้า (ท่ีมา: http://www.ucd.ie/vetanat/images/image.html)9. คอหอย (larynx) คลาเพอ่ื ตรวจดวู ่า กลา้ มเน้ือ dorsal cricoarytenoid มีการฝอ่ ลีบหรือไม่ หากกลา้ มเนอ้ื นี้ฝอ่ ลบี จากภาวะ left laryngeal hemiplegia จะทาใหค้ ลาพบ arytenoids cartilage ทดี่ ้านซา้ ยได้ชัดเจนกวา่ ด้านขวา10. กระดกู คอ (lateral process of the cervical vertebrae) ใช้มอื คลาบรเิ วณดา้ นขา้ งแนวส่วนท่ีนนู ที่สดุ ของลาคอ (ภาพที่ 9) กดด้วยน้าหนักมือพอสมควรไลเ่ รยี งไปตามแนวกระดกู คอเพ่ือตรวจอาการเจบ็ ควรใหม้ ้าขยับโค้งคอทง้ั ดา้ นข้างและด้านบนลา่ งเพอ่ื ดู range of motion ดว้ ยภาพที่ 9 การคลาตรวจ lateral process of cervical vertebrae (ทม่ี า: ศริ ิพร เพียรสขุ มณี สงวนลขิ สิทธ)ิ์11. หลอดลม (Trachea) การตรวจรา่ งกายเบือ้ งตน้ จะสารวจได้เพยี งหลอดลมทอี่ ยู่บรเิ วณลาคอ สว่ นที่เลยไปถึงชอ่ งอก จะไมส่ ามารถตรวจได้ ใชม้ อื คลาด้าน ventral ของก่ึงกลางลาคอ (ภาพท่ี 10) สารวจความสม่าเสมอของท่อ หลอดลม จดุ ที่พบการตบี จะต้องบันทกึ ไว้ ระหวา่ งที่ตรวจหลอดลมอาจสงั เกตบริเวณ jugular groove ทง้ั สองดา้ นหลกั การตรวจวินิจฉยั เทคนิคการตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรพิ ร เพียรสุขมณี Page 6

เพือ่ ดวู า่ มกี ้อนแขง็ ท่ีเกดิ จาก thrombophlebitis หรอื ไม่ หรอื หากพบ jugular pulse อาจบง่ บอกถึงภาวะหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) ได้ ภาพที่ 10 การคลาตรวจหลอดลมในมา้ (ที่มา: ศริ พิ ร เพยี รสุขมณี สงวนลขิ สิทธ)์ิ 12. การตรวจภาวะแห้งน้า (hydration status) ดงึ ผวิ หนังบรเิ วณคอแล้วปล่อย ในภาวะปกตผิ วิ หนงั จะคนื ตัวกลบั อย่าง รวดเรว็ ในภาวะแหง้ น้า ผวิ หนังจะคนื ตัวชา้การตรวจบริเวณขาหน้า(Examination of the Forelegs) การสารวจขาหนา้ อาจจะเรมิ่ จากสว่ นบนลงสว่ นลา่ ง หรือจากส่วนล่างขึน้ สว่ นบนก็ได้ โดยท่ัวไปมกั จะพบความผิดปกตไิ ดต้ ั้งแตบ่ รเิ วณขอ้ เขา่ (carpus) ลงไป การตรวจความบรเิ วณขาควรมกี ารเปรยี บเทยี บขาท้งั สองขา้ งเสมอ เอกสารน้จี ะกล่าวถงึ การตรวจขาหนา้ โดยเบือ้ งต้นตงั้ แต่บรเิ วณกีบ (foot; hoof) ข้นึ มาถึงขอ้ เขา่ เท่านัน้ (ภาพท่ี 11) ไมไ่ ด้กลา่ วถึงการตรวจเฉพาะขากะเผลก (lameness examination) ทง้ั หมด 1. กบี (hooves) ใชม้ อื องั สารวจอณุ หภมู ิบริเวณรอบผนังกบี (hoof wall) และบริเวณไรกบี (coronary band) หลงั จากนั้นใช้ hoof tester หนบี สารวจใหท้ ัว่ พื้นกีบ (sole) และบรเิ วณบวั (frog) หากพบว่ามา้ มจี ุดที่ไวต่อการ ทดสอบด้วย hoof tester ควรสารวจกบี อกี ข้างหนง่ึ ประกอบไปด้วย หลงั จากนั้นยกกีบม้าข้ึนและคลาตรวจบริเวณ lateral cartilage เพ่อื ดวู ่ามกี ารแข็งตวั กลายเป็นกระดูกหรือไม่ ทดสอบการงอขอ้ ตอ่ (flex) และหมนุ ข้อ (rotate) ที่บรเิ วณ pastern ดูการขยบั ว่ามา้ แสดงอาการเจบ็ ปวดหรือไม่ หากมา้ ปวดจะชกั ขาหนี 2. ข้อตาตุ่ม (fetlock) ตรวจดูความสมมาตรของขอ้ ตาตมุ่ ท้ังสองขาหน้า หลังจากน้ันทดสอบการงอขอ้ ต่อ (flex) เพอ่ื ดู range of motion และความเจบ็ ปวด สงั เกตด้วยวา่ ด้านหลงั ของข้อต่อมีการบวมหรือไม่ โดยเฉพาะรอ่ งระหวา่ ง suspensory ligament กับกระดกู cannon ซึง่ อาจหมายถงึ การบวมของ palmar pouch ของข้อต่อนี้ 3. เสน้ เอ็น (flexor tendons and suspensory ligament) คลาท่ีบรเิ วณด้านหลังของกระดกู หนา้ แขง้ ท้ังในระหว่าง ที่มา้ วางขาลงน้าหนัก และยกขาไมร่ บั นา้ หนัก สงั เกตอุณหภมู ิ การบวม และความเจบ็ ปวด ใช้น้ิวชี้และนวิ้ โป้งบบี ไล่ เรยี งไปตลอดความยาวของเสน้ เอน็ แตล่ ะเส้น หากมา้ เจบ็ จะชักขาหนี 4. กระดกู สปลนิ ท์ (splint bones; second and fourth metacarpus) สงั เกตอาการบวม รอ้ น และเจ็บ ที่ปลาย กระดูกสปลนิ ทซ์ งึ่ อาจบ่งบอกถงึ การแตกหักของกระดกู ในบริเวณดงั กลา่ ว 5. กระดูกหนา้ แขง้ (cannon bone; third metacarpus) บรเิ วณดา้ นหน้า (dorsal) ของกระดกู หนา้ แข้ง หากคลา แล้วพบว่ามีอาการเจบ็ อาจหมายถงึ อาการของ bucked shin หมายถงึ การอกั เสบของเยื่อหมุ้ กระดกู ดงั กล่าว 6. กระดูกขอ้ เข่า (carpal bones) สารวจว่ามีอาการบวมหรือไม่ พบั งอขอ้ เพ่ือดู range of motion ตามปกตมิ า้ จะ สามารถพบั งอขอ้ นไี้ ดส้ ดุ หลังจากนนั้ ใช้นว้ิ มือกดไปตามรอ่ งกระดกู ขอ้ เข่าตรวจสอบอาการเจ็บและการบวมของถุง หมุ้ ขอ้ (joint capsule)หลกั การตรวจวินจิ ฉัย เทคนิคการตรวจวนิ ิจฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสุขมณี Page 7

ภาพท่ี 11 การตรวจบริเวณขาหนา้ ของม้า (A) การตรวจกบี (B) การทดสอบขอ้ ตาตมุ่ และขอ้ ใตต้ าตมุ่ (C) การตรวจเสน้ เอน็ ในขณะท่ีมา้ ไมไ่ ดร้ ับนา้ หนกั (D) การตรวจเส้นเอ็นในขณะท่มี า้ รับนา้ หนกั (E) การทดสอบขอ้ เขา่ (F) การคลาตรวจข้อเขา่ (G)การตรวจขอ้ radiocarpal และขอ้ middle carpal (H) การตรวจบรเิ วณหนา้ แขง้ (I) การตลาตรวจกระดกู splint (ที่มา:ศิรพิ ร เพยี รสขุ มณี สงวนลขิ สทิ ธ์ิ)หลกั การตรวจวนิ จิ ฉัย เทคนคิ การตรวจวนิ ิจฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพยี รสุขมณี Page 8

การตรวจบรเิ วณทรวงอก(Examination of the Chest) การตรวจบริเวณทรวงอกควรเรมิ่ ตน้ จากการนับอัตราการหายใจโดยอาศยั การสงั เกตในระยะหา่ ง รว่ มกบั การสงั เกตรปู แบบการหายใจวา่ ม้ามภี าวะหายใจลาบากด้วยหรือไม่ มลี มหายใจเขา้ หรือออกท่ยี าวนานผดิ ปกตหิ รือไม่ มกี ารหายใจโดยใช้ชอ่ งท้อง (ซึง่ หมายถึงปญั หาทางเดนิ หายใจส่วนปลาย) ร่วมด้วยหรือไม่ 1. การฟังเสียงหวั ใจ (auscultation of the heart) ใช้หูฟังทางการแพทย์ (stethoscope) วางท่บี รเิ วณทรวงอก ดา้ นล่าง ระหว่างกระดูกซโ่ี ครงใกล้กบั ขอ้ ศอกของม้าในระดบั เดยี วกบั หวั ไหล่ (ภาพท่ี 12) นบั อัตราการเต้นของหวั ใจ และสังเกตลักษณะความสมา่ เสมอ รวมถงึ เสยี งผดิ ปกติ เช่น murmur หลงั จากน้ันยา้ ยไปฟังเสยี งหวั ใจทางดา้ นขวา ดว้ ย ภาพท่ี 12 การฟงั เสียงหัวใจ (ที่มา: ศิรพิ ร เพียรสุขมณี สงวนลขิ สิทธ์)ิ 2. การฟังเสียงปอด (auscultation of the left and right lung fields) อาศัยการฟงั ผา่ นหูฟังทางการแพทย์ไลเ่ รยี ง ไปตามร่องระหว่างกระดกู ซโ่ี ครง โดยลากเส้นจินตนาการขอบเขตของปอดจากบริเวณขอ้ ศอกเฉียงข้ึนไปถงึ ปมุ่ กระดกู สะโพก (ภาพท่ี 13 A-B) ตามปกตแิ ล้วเสียงปอดของม้าขณะหายใจจะเบามาก แต่หากไดย้ ินเสยี งดัง หรอื เสียงผดิ ปกติ เช่น ดังกรอบแกรบ หรือเสยี งหวดี อาจใชถ้ งุ พลาสตกิ ขนาดใหญ่ครอบจมกู ม้าไวเ้ พ่อื บังคบั ใหห้ ายใจลกึ ขึ้นและถข่ี ้ึนมีผลใหส้ ามารถฟังเสยี งปอดไดช้ ัดข้นึ แต่ต้องระวงั การใช้เทคนคิ นก้ี บั มา้ ที่สงสยั ว่าจะเป็นเยอ่ื หมุ้ ปอด อกั เสบ (pruritis) เพราะการหายใจลึกจะทาใหเ้ จ็บปวดมาก 3. การเคาะผนงั ชอ่ งอก (percussion of the chest wall) (ภาพที่ 13 C) กรณีทพี่ บเสยี งผิดปกติ ควรทาการเคาะผนัง ชอ่ งอกรว่ มด้วยโดยใชอ้ ปุ กรณ์ plexor และ pleximeter ซงึ่ อาจจะดัดแปลงนาคอ้ นเคาะตรวจเข่าในคนมาประยุกต์ เปน็ plexor และใช้ชอ้ นมาเปน็ pleximeter ก็ได้ หรอื อาจจะใช้การดีดน้วิ กไ็ ดห้ ากทาได้แรงพอสมควร การเคาะให้ วาง pleximeter ระหว่างแนวกระดกู ซโี่ ครงแล้วใช้ plexor เคาะลงบน pleximeter เพ่อื ฟงั เสยี ง ไล่เรยี งการเคาะ ตามแนวรอ่ งกระดกู ซโี่ ครงจากบนลงล่างและจากดา้ นหวั ไปทา้ ยตวั จนท่ัวขอบเขตของปอดเชน่ เดียวกบั การฟังปอด เสียงทีท่ ึบกวา่ ปกตอิ าจบ่งบอกวา่ มีของเหลวอย่ภู ายในชอ่ งอกหลกั การตรวจวินิจฉัย เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ พิ ร เพียรสขุ มณี Page 9

ภาพท่ี 13 (A) ขอบเขตของปอด (B) การฟงั ปอดโดยใชห้ ูฟังทางการแพทย์ (C) การเคาะตรวจเน้ือปอดดว้ ยอปุ กรณห์ ลักการเดียวกบั plexor และ pleximeter (ท่มี า: ศริ พิ ร เพียรสุขมณี สงวนลขิ สทิ ธ)์ิหลกั การตรวจวินิจฉยั เทคนคิ การตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพยี รสขุ มณี Page 10

การตรวจบรเิ วณท้อง (Examination of the Abdomen) รายละเอยี ดการตรวจบรเิ วณทอ้ งมอี ยู่มากและมีความซับซ้อน และหากพบว่ามคี วามผดิ ปกติเกดิ ขนึ้ กับอวัยวะภายในช่องทอ้ ง จาเป็นทีจ่ ะต้องอาศยั การตรวจจาเพาะในส่วนน้ี ในเอกสารนน้ี ้ีจะกลา่ วถึงเพียงการตรวจชอ่ งทอ้ งในเบือ้ งตน้ 1. การฟังเสียงการทางานของลาไส้ (abdominal auscultation; gut sound) (ภาพท่ี 14) อาศยั หูฟังทางการแพทย์ ฟงั ส่วนทอ้ งโดยแบ่งทอ้ งออกเปน็ 4 ส่วน บนซ้าย ลา่ งซ้าย บนขวา และลา่ งขวา ส่วนบนคือบรเิ วณ paralumbar fossa และส่วนล่างคอื lower flank region นกั ศึกษาจะต้องฝึกฝนจนมปี ระสบการณ์ในการฟังมา้ ปกติใหม้ ากพอ จนค้นุ เคย และแยกแยะเสยี งเบา หรือดังผดิ ปกตไิ ด้ภาพท่ี 14 การฟงั เสียงการทางานของลาไส้ (A) บรเิ วณด้านขวาบน (B) ด้านขวาล่าง และยงั ต้องฟังทางดา้ นซา้ ยดว้ ย (ไมไ่ ด้แสดงในรปู ) (ทม่ี า: ศิริพร เพยี รสขุ มณี สงวนลขิ สิทธิ)์ 2. การเคาะตรวจช่องท้อง (percussion of the abdomen) จะกระทาเมอื่ พบว่าทอ้ งขยายใหญผ่ ดิ ปกติ โดยเคาะ พร้อมกับฟังเสยี งผา่ นหูฟงั ทางการแพทย์ วิธนี จ้ี ะชว่ ยบ่งบอกภาวะลมสะสมในทางเดินทางอาหารได้ 3. การวัดอณุ หภมู ผิ ่านทางทวารหนกั (rectal temperature) (ภาพที่ 15) สอดปรอทสะอาดเข้าไปในทวารหนกั อย่าง ช้าๆ อาจใช้สารหลอ่ ลืน่ หากจาเปน็ วางปรอทให้ชนดิ ผนังลาไส้ตรงดา้ นใดดา้ นหน่ึง รอประมาณ 1 นาที แล้วจึงอา่ น คา่ อณุ หภมู ิ มา้ อาจมอี ณุ หภมู ิสงู กวา่ ปกตหิ ากเพงิ่ ผ่านการใชง้ าน หรือการขนส่ง หรือมีอาการต่นื เตน้ภาพที่ 15 การวัดอุณหภมู ผิ า่ นทางทวารหนกั (ทมี่ า: ศิรพิ ร เพยี รสุขมณี สงวนลิขสิทธ์ิ)หลักการตรวจวินิจฉัย เทคนิคการตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรพิ ร เพียรสุขมณี Page 11

การตรวจบรเิ วณหลงั (Examination of the Back) การเรยี งตวั ของกระดกู สนั หลังทผี่ ดิ ปกตอิ าจสังเกตได้ด้วยตาเปล่าหากเรายนื อยดู่ ้านหลังของมา้ ในระยะทห่ี า่ งออกไปพอสมควร หรือมองจากมุมดา้ นบนลงมา โดยม้าจะต้องลงน้าหนักขาหลงั ทัง้ 2 ขา้ งเท่าๆกนั กระดกู สันหลงั ท่ีเรยี งตวั ผดิ ปกติอาจจะเบ่ยี งออกไปทางด้านข้าง (scoliosis) แอ่นตวั ลง (lordosis) หรอื โก่งตวั ขน้ึ (kyphosis) 1. การคลาตรวจกระดกู สนั หลัง (palpation of the dorsal spinous processes) ใช้มอื ท้งั สองบีบคลาทบ่ี รเิ วณสัน บนกระดกู สนั หลงั ส่วนอกไปจนถึงส่วนเอว (ภาพที่ 16) และเน้นลงน้าหนกั มากข้ึนทบ่ี รเิ วณก้นกบ (tuber sacral) ซง่ึ หากมา้ แสดงความไวสัมผัสต่อการกดในบรเิ วณนอี้ าจบง่ บอกถงึ ภาวะขาหลังออ่ นแรง หรืออาการเจบ็ ของเอ็น sacroiliac โดยม้าจะขยบั หนีแม้วา่ จะใชแ้ รงกดเพียงเลก็ น้อย ภาพท่ี 16 การคลาตรวจกระดกู สนั หลงั (ท่มี า: ศริ ิพร เพียรสุขมณี สงวนลิขสทิ ธิ์) 2. Stroking โดยใช้วถั ตเุ รยี วเล็กแตป่ ลายทู่ลากสัมผสั ไปบนแผ่นหลงั ด้วยความเร็ว (ภาพท่ี 17) ปกตมิ ้าจะแสดงอาการ แอ่นหลงั และเมื่อลากไปทีบ่ ริเวณสะโพกมา้ จะโก่งตวั ภาพที่ 17 การทา stroking (A) บริเวณแผน่ หลัง (B) บริเวณสะโพก (ทม่ี า: ศิริพร เพยี รสุขมณี สงวนลิขสิทธ์ิ)หลักการตรวจวินิจฉัย เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรพิ ร เพียรสุขมณี Page 12

การวดั น้าหนักตัวมา้ โดยการใชส้ ายวดั สายวัดน้าหนักมา้ เปน็ ผลติ ภณั ฑส์ าเร็จรปู สามารถวัดส่วนสงู และนา้ หนักม้าแบบประมาณการได้ วธิ กี ารใช้คือ พันรอบอก ในบริเวณดา้ นหลงั ของ wither (ภาพที่ 18) เลอื กอา่ นค่าตามความตอ้ งการ ซงึ่ สายวัดโดยทว่ั ไปจะแจง้ ค่าไดท้ ั้งแบบเซนติเมตร ปอนด์ และกโิ ลกรมั อยา่ งไรกต็ าม สายวดั สาเรจ็ รูปได้รบั การพัฒนามาจากต่างประเทศ ซงึ่ อาจมีความคลาดเคลื่อนกบั ม้าขนาดเล็กที่มักพบเห็นในประเทศไทย หรอื สัตวต์ ระกลู มา้ อืน่ ๆ เชน่ ลา และ ล่อ เปน็ ต้น การวดั น้าหนักดว้ ยวิธนี จ้ี งึ เปน็เพยี งการประมาณการ วธิ กี ารชั่งนา้ หนักทีด่ ีท่ีสุด ยังคงเป็นเครอื่ งชง่ั นา้ หนกั นั่นเอง ภาพที่ 18 การวัดน้าหนักมา้ แบบประมาณการด้วยสายวัดสาเร็จรูป (ทม่ี า: ศริ ิพร เพยี รสขุ มณี สงวนลขิ สิทธิ)์การตรวจบริเวณอวัยวะสืบพนั ธ์ุ (Examination of the Genitalia) โดยท่วั ไปหากไมไ่ ดม้ ีประวตั ิบ่งบอกถึงความผิดปกติทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับระบบสืบพนั ธุ์ หรือระบบขับปัสสาวะ การตรวจอวยั วะสืบพันธโ์ุ ดยละเอียดกไ็ มจ่ าเปน็ เท่าไรนกั 1. ม้าเพศผู้ท้ังทตี่ อนแล้ว (geldings) และยงั ไมไดต้ อน (stallions) ควรไดร้ บั การตรวจในบรเิ วณ preputial area วา่ มี สง่ิ คัดหลงั่ ใดๆ หรอื ร่องรอยการอกั เสบ เนอ้ื งอกตา่ งๆหรอื ไม่ มา้ เด็ก (colts) ควรไดร้ บั การคลาตรวจทอี่ ณั ฑะว่ามี ปัญหาทองแดง (cryptorchid) หรือไม่ 2. มา้ เพศเมยี (fillies หรือ mares) ควรไดร้ ับการตรวจบรวิ เณ perineum เพอ่ื ดลู กั ษณะโครงสรา้ งว่าผดิ ปกตหิ รอื ไม่ มี สงิ่ คัดหล่งั ใดๆ หรอื ร่องรอยการอกั เสบหรือไม่การตรวจบริเวณขาหลงั (Examination of the Hindlegs) การตรวจขาหลงั ในส่วนที่ต่ากว่าขอ้ นอ่ งแหลม (hock) ลงไป จะเหมอื นกันกับทอี่ ธบิ ายไวใ้ นสว่ นของขาหนา้ 1. ข้อนอ่ งแหลม (hock) เปน็ สว่ นท่ีพบบอ่ ยทีส่ ดุ ว่าเปน็ สาเหตขุ องอาการขากะเผลกเรือ้ รงั ของขาหลงั การตรวจใน บรเิ วณเริม่ จากการสังเกตว่ามีอาการบวมหรือไม่ แตบ่ ่อยครง้ั ทคี่ วามผดิ ปกตทิ ข่ี ้อนอ่ งแหลมอาจไมแ่ สดงอาการบวม ซง่ึ จะตอ้ งทาการตรวจขากะเผลกโดยเฉพาะตอ่ ไป 2. ข้อหวั เข่าขาหลัง (stifle) ใชม้ อื คลาตรวจในบรเิ วณรอ่ งระหว่างเส้นเอ็นสะบ้า (patellar ligament) ทัง้ 3 เส้น ใน ภาวะข้อหัวเข่าอกั เสบ (gonitis) อาจพบว่าถุงหุ้มขอ้ (femoropatella pouch) บวมข้นึ 3. ความสมมาตรกนั ของขาหลังท้งั สองขา้ ง (hindleg symmetry) ใช้การสงั เกตดู ในกรณีของโรคขากะเผลกเร้ือรัง บางคร้ังจะทาใหก้ ลา้ มเน้อื ลบี ฝ่อ โดยเฉพาะ gluteal muscle ซึง่ จะทาใหม้ องเหน็ ความไม่สมมาตรหลักการตรวจวนิ จิ ฉัย เทคนิคการตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ ิพร เพียรสุขมณี Page 13

ภาคผนวกตารางที่ 1 ค่าปกติต่างๆ ของการตรวจทางกายภาพเบื้องต้นในมา้อัตราการเต้นของหวั ใจ HR (adult) 28-44 ครง้ั ต่อนาทีHeart Rate HR (foal) 80-120 beat per minuteอัตราการเตน้ ของชีพจร PR (adult) 28-44 ครง้ั ต่อนาทีPulse Rate PR (foal) 80-120 beat per minuteอตั ราการหายใจ RR (adult) 8-24 ครง้ั ต่อนาทีRespiratory Rate HR (foal) 24-40 breaths per minuteอุณหภูมทิ วารหนัก Temp 98-102 FarenheitRectal Temperature 36.5-39 CelciusCapillary refill time CRT <2 seconds เอกสารอ้างอิง และแหล่งความรู้เพิม่ เตมิ1. ชานาญ ตรณี รงค.์ 2555. เอกสารประกอบการสอนกระบวนวชิ า 651426 หลกั อายรุ ศาสตรเ์ ทคนคิ การตรวจวนิ ิจฉยั และการรกั ษาโรค คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่. การตรวจสขุ ภาพมา้ Clinical Examination. 6 หนา้2. Rose R.J., Hodgeson, D.R. 1999. Manual of equine practice. 2nd ed. W.B.Saunders Company. 818 pages3. http://www.youtube.com/watch?v=jkiR27wYsuwหลกั การตรวจวนิ ิจฉัย เทคนคิ การตรวจวนิ ิจฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสขุ มณี Page 14

Section 2 เทคนิคการตรวจวินจิ ฉัยโรคในม้า กลุ่มปัญหาความเจ็บป่วยในม้าจาแนกได้ตามระบบ เช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ หรือระบบโครงร่าง แต่หลายๆคร้งั กพ็ บว่าปัญหาไม่ไดเ้ กิดขึ้นกับระบบเดียว หรือเกิดข้ึนกับระบบใดระบบหน่ึงแลว้ มีผลต่อเน่ืองไปยังระบบอ่ืนๆ เช่นปัญหาเสียดท้อง (colic) อาจนาไปสู่ไข้ลงกีบซ่ึงเป็นปัญหาขากะเผลก (lameness) ได้ หรือปัญหา exercise intoleranceอาจไม่ได้มาจากระบบโครงรา่ ง แต่เป็นปัญหาทาง systemic อื่นๆ เช่น โลหิตจาง หรอื เป็นปัญหาทางระบบประสาทก็ได้ แต่ละปญั หาความผิดปกติตอ้ งการการวนิ ิจฉยั จาเพาะทต่ี ่างกันออกไป ดังแสดงในตารางท่ี 2ตารางท่ี 2 ภาวะความผิดปกตทิ ่พี บบ่อยในมา้ และเทคนิคการตรวจวินิจฉัยสาหรบั แต่ละกลุม่ อาการอาการ การตรวจ การตรวจเฉพาะ ท่ัวไป/ วัดสัญญาณชีพColic ✓ intubation, rectal examination, abdominocentesisLameness ✓ Lameness examination, radiography, ultrasonography, joint fluid analysisExercise ✓ Lameness examination, slap test, blood test, neurological test,intolerance endoscopyNasal discharge ✓ Lung percussion, endoscopy, radiographyCoughing ✓ Larynx palpation, chest auscultation, endoscopy, transtrachealRespiratory noise aspiration ✓ Auscultation, endoscopy, radiographyAnemia ✓ faecal examination, blood test, urine test, serologyAtaxia ✓ Slap test, radiography, neurologic examinationSudden death - Inspection, history, necropsy จะเหน็ ได้ว่า แทบจะทกุ ปญั หาตอ้ งการการตรวจร่างกายทัว่ ไป และแม้ปญั หาแต่ละประเภทจะตอ้ งการวิธกี ารวินจิ ฉัยประกอบต่างๆกัน แต่บางเทคนิคก็ถูกนามาใช้อยู่บ่อยคร้ัง เช่นการส่องกล้องตรวจภายใน (endoscopy) การถ่ายภาพรังสี(radiography) การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (laboratory test e.g. blood test, urine test, faecal examination) เป็นตน้ บางเทคนิคแมจ้ ะใช้กับปญั หาของระบบใดระบบหนง่ึ แต่ก็มีใชบ้ อ่ ยในม้ามากกวา่ สตั วช์ นดิ อนื่ เช่น การสอดท่อผ่านช่องจมกู(nasogastric intubation) ก า ร เจ า ะ ดู น้ า ใน ช่ อ งท้ อ ง (abdominocentesis) ก า ร ต ร วจ ข า ก ะ เผ ล ก (lamenessexamination) ซึ่งจะได้อธบิ ายต่อไปในเอกสารฉบับน้ี อย่างไรก็ตามในเอกสารนี้ไม่ได้รวบรวมการตรวจวินิจฉัยทุกประเภทในม้า แต่ยกตัวอยา่ งเพียงท่จี าเป็นและใช้บ่อยเทา่ นน้ั ในส่วนของการตรวจร่างกายทว่ั ไปขอใหน้ กั ศกึ ษาทบทวนจากหนงั สอื อ้างอิงท้ายเอกสารประกอบการสอน หรอื จากบทเรยี นทีผ่ ่านมา ในทีน่ ้จี ะกล่าวเพียงสรปุหลกั การตรวจวนิ ิจฉัย เทคนิคการตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรพิ ร เพียรสขุ มณี Page 15

1. การสอดท่อผา่ นจมูก (nasogastric intubation) การสอดทอ่ มีความสาคัญมากสาหรับปัญหาโรคทางระบบทางเดินอาหารในม้า วัตถุประสงค์ของการสอด ท่อมีอยู่หลายประการ ท้ังเพื่อการวินิจฉัยสาเหตุของอาการเสยี ดท้อง (colic) หรืออาการอาหารติดในหลอดอาหาร (choke) และช่วยรักษาบรรเทาอาการดังกล่าว การสอดท่อทาให้สัตวแพทย์แยกแยะอาการเสียดท้องว่ามาจาก กระเพาะอาหาร หรือจากลาไส้ส่วนอ่ืนๆ หากสาเหตุมาจากการที่มีลมหรืออาหารในกระเพาะมากเกินไป หรือเกิด กระเพาะบิด การสอดท่อจะช่วยระบายส่ิงท่ีอยู่ในกระเพาะออกมา และป้องกันภาวะกระเพาะแตก (gastric rupture)เนื่องจากม้ามีกล้ามเน้ือหูรูดระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะแข็งแรงมากจึงไม่สามารถระบายลมหรือ อาหารท่ีเกินออกมาได้เอง นอกจากนี้ยังใช้เป็นวิธีหน่ึงในการให้สารหล่อล่ืนเพื่อช่วยระบาย และให้ยาหรือสารน้า แทนการกินไดอ้ กี ด้วย ท่อที่ใช้ในการสอดท่อผ่านจมูกม้าเป็นท่อที่ผลิตจากวัสดุสังเคราะห์ท่ีมีลักษณะค่อนข้างอ่อนตัวแต่คงรูปดี มีปลายมน จาไว้ว่าไม่ควรใช้ท่อชนิดอ่ืนๆที่ไม่ได้ผลิตมาเพื่อการสอดท่อผ่านจมูกม้าเด็ดขาด เนื่องจากท่อเหล่านั้น ขาดความยดื หยุ่น อาจทาอนั ตรายต่อโครงสร้างท่ีท่อเคลอ่ื นผ่านได้ ท่อสาหรบั สอดผ่านจมูกม้ามอี ยู่ 4 ขนาดสาหรับ ม้าตัวเล็กจนถึงตัวใหญ่ สัตวแพทย์จาเป็นต้องเลือดขนาดของท่อให้เหมาะสมกับตัวม้าเพื่อป้องกันการบาดเจ็บจาก การเลือกใชท้ ่อที่มขี นาดใหญเ่ กินไป หรอื ท่อขดกลับหรอื มา้ ไมย่ อมกลืนทอ่ ในกรณีทเ่ี ลอื กทอ่ เลก็ เกนิ ไป การจบั บงั คบั มา้ เป็นส่วนสาคญั มากสาหรบั การสอดทอ่ มา้ ทไี่ ด้รับการฝึกดีแลว้ อาจใช้เพียงการบดิ จมูกหรอื หู แต่ม้าที่ไม่ให้ความร่วมมืออาจจะต้องวางยาซึม ซึ่งการสอดท่อจะตอ้ งใช้ความระมัดระวังมากกว่าม้าที่ไม่ได้รับยา ซึมมาก่อนเพราะม้าอาจมี reflex การกลืนช้าลง ควรให้ม้าอยู่ในซองบังคับหรือหากไม่มีอาจให้ม้ายืนในคอกโดยให้ บ้นั ท้ายอยู่ติดกบั ผนังมมุ คอกเพื่อไม่ให้มา้ ถอยหนี (กรณีหลงั ควรใชก้ ับม้าท่ีไมข่ ดั ขนื มากเทา่ นน้ั ) ท่อทใ่ี ช้ควรเกบ็ ไวใ้ น ลกั ษณะขดจะช่วยใหใ้ ชง้ านง่าย เร่ิมต้นการสอดท่อด้วยการแช่ท่อในน้าผสมน้ายาฆ่าเชื้อ หากอากาศเย็นจัดควรอุ่นปลายท่อด้วยมือหรือ น้าอุน่ สลดั เอานา้ ออกจากทอ่ ให้หมด ทาการวัดประมาณความยาวของท่อที่ตาแหน่งปลายจมูกมา้ เมื่อปลายทอ่ อยทู่ ี่ pharynx และท่ีกระเพาะอาหาร หลังจากน้ันทาสารหลอ่ ล่นื เช่น liquid paraffin ท่ีปลายท่อ สอดทอ่ ผา่ น ventral nasal meatus ให้เร็วจนถึงความยาวท่ีวัดไว้ว่าปลายท่อจะอยู่ในบริเวณ pharynx โดยปกติเม่ือท่อถึงตาแหน่ง pharynx จะไม่สามารถดันท่อต่อไปได้ จะต้องรอจนกว่าม้าจะกลืนท่อเข้าสู่หลอดอาหารจึงจะดันท่อเข้าในจังหวะ เดียวกับที่ม้ากลืน กรณีท่ีม้าไม่กลืนท่อแต่สามารถดันท่อต่อไปได้อาจเป็นไปได้ท่ีท่อจะเข้าสู่หลอดลม สัตวแพทย์ จะต้องระวังไม่ให้สอดท่อเข้าหลอดลมแทนหลอดอาหารเด็ดขาด เพ่ือท่ีจะตรวจสอบว่าท่อได้เข้าไปในหลอดอาหาร แล้ว ให้ดทู ี่คอด้านซ้ายของมา้ จะเห็นการเคล่ือนของท่อผ่านหลอดอาหาร จากนนั้ ดันท่อผ่านลงไปจนถึงระดับท่ีคิด ว่าปลายท่ออยู่ในกระเพาะอาหารแล้ว ให้ฟังปลายท่ออีกด้านเพ่ือให้ได้ยินเสียงของเหลวในกระเพาะอาหาร กรณี ตอ้ งการระบายส่ิงที่อยู่ในกระเพาะ บางครัง้ ลมหรืออาหารท่ีอยู่ในกระเพาะจะทะลักผ่านท่อออกมาเอง แต่บางคร้ัง อาจจะต้องใช้วิธีใช้ของเหลวดึงเอาส่ิงที่อยู่ในกระเพาะออกมา (siphon) ซึ่งอาจจะต้องทาหลายคร้ังเพ่ือให้การ ระบายเกิดข้ึนอย่างสมบูรณ์ ควรเก็บสิ่งที่ได้จากกระเพาะอาหารมาวิเคราะห์ เพ่ือหาสาเหตุของอาการท้องอืดและ เสียดทอ้ งดว้ ย2. การเจาะตรวจนา้ ในชอ่ งทอ้ ง (abdominocentesis) ส่วนประกอบของน้าในช่องท้องสามารถช่วยในการประเมินสภาวะโดยรวมของอวัยวะภายในได้ ช่วยใน การแยกแยะ acute หรือ recurrent colic, chronic weight loss และ chronic diarrhea การเจาะตรวจน้าใน ช่องทอ้ งเปน็ วิธีทีค่ อ่ นขา้ งปลอดภัยในมา้ ผลแทรกซอ้ นตา่ แม้ว่าลาไสม้ ีโอกาสท่จี ะโดนปลายเขม็ ทใี่ ชเ้ จาะแต่ผลเสยี ที่ ตามมามีน้อยมาก ตาแหน่งท่ีใช้ในการเจาะตรวจน้าในช่องท้องคือจุดท่ีอยู่บนเส้นกลางท้องม้า ถัดจาก xiphoid cartilage มาทางท้ายตัวม้าประมาณ 10 เซนติเมตร ก่อนการเจาะ ให้โกนขน ทาความสะอาดด้วยวิธีปลอดเชื้อ เช่นเดียวกับการผา่ ตัดตรงบริเวณทจ่ี ะเจาะ สามารถใหย้ าชาท่ีผวิ หนังประมาณ 5-10 นาทกี ่อนการเกบ็ ตวั อย่าง โดย ปกติเข็มเบอร์ 18 ขนาด 1.5 น้ิวก็เพียงพอที่จะเจาะเอาน้าในช่องท้องออกมาได้ ให้ผู้เจาะยืนบริเวณหัวไหล่ม้าหัน หนา้ ไปทางท้ายตวั ม้า แทงเข็มเข้าไปตรงๆอย่างรวดเร็ว หากยังไม่มขี องเหลวออกมาให้ปรับเขม็ ไปทาง caudal หรือหลกั การตรวจวินจิ ฉัย เทคนคิ การตรวจวนิ ิจฉยั และรักษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรพิ ร เพยี รสุขมณี Page 16

ลองหมุนเข็มลงหรือฉีดอากาศเข้าไปเล็กน้อย ถ้าม้าตัวใหญ่หรืออ้วนมากอาจต้องใช้ teat cannula หรือ spinal needle แทนเข็มเบอร์ 18 ซ่ึงกรณนี ้ตี อ้ งทา stab incision กอ่ น3. การถา่ ยภาพรังสี (radiography) การถ่ายภาพรังสแี ละ imaging diagnosis อืน่ ๆ จะกระทาเม่อื มีการระบุตาแหนง่ ของความผิดปกติได้แล้ว เครือ่ งถา่ ยภาพรงั สที ี่ใช้ในมา้ มที ง้ั แบบที่เคลื่อนยา้ ยได้ และแบบที่ตดิ ตัง้ ถาวร โดยปกตเิ ครอ่ื งชนิดท่ีเคลือ่ นย้ายไดจ้ ะมี กาลังไมส่ ูงมากแต่เพยี งพอท่ีจะถา่ ยบรเิ วณขาของมา้ ซึ่งเปน็ ส่วนทีม่ กี ารถา่ ยภาพรงั สีมากทส่ี ุดได้อย่างชัดเจน ผูป้ ฏิบัติ ต้องสวมใส่เสือ้ ตะกั่วและอุปกรณ์ปอ้ งกันระหว่างการถ่ายภาพเพื่อปอ้ งกันการได้รับผลกระทบจากรงั สี กรณีต้องการ ถ่ายภาพกบี จะตอ้ งใชอ้ ุปกรณท์ ี่ชว่ ยยกกบี มา้ สงู จากพืน้ และสอดฟลิ ม์ เขา้ ไปด้านใตก้ ีบได้ สว่ นของรา่ งกายที่จะถา่ ยภาพรงั สีควรอยู่ชดิ กับฟิล์มใหม้ ากท่สี ุด และฟลิ ์มควรจะขนานไปกับเครอื่ งกาเนิด รังสี beam ของรังสีควรตกกระทบที่กึ่งกลาง cassette และควรจากัดขนาดภาพให้อยู่เฉพาะในบริเวณท่ีสนใจ เท่าน้ัน เพอื่ ใหภ้ าพคมชัดทสี่ ุดและลดปริมาณ scatter ใหน้ ้อยที่สุด การจับบังคับม้าเป็นส่วนสาคัญที่จะให้ภาพคมชัด หากม้าไม่ยินยอมและขยับหนีควรพิจารณาการให้ยาซึม (detomidine จะดที ่ีสดุ หรือหากไมม่ ีจะใช้ xylazine ก็ได้) ทาความสะอาดเอาสงิ่ สกปรกออกให้มากท่ีสุด กรณีถา่ ย กบี ม้า ควรจะถอดเกือกออก และควรอุดร่อง frog ด้วยวัสดนุ ่ิม เชน่ ดนิ นา้ มัน ภาพถ่ายรังสีเป็นภาพ 2 มิติ ทีน่ ามาใช้วนิ ิจฉัยอวยั วะทีม่ ี 3 มิติ จึงจาเป็นต้องถ่ายจากหลายทิศทางเพ่ือให้ เห็นอวัยวะครบทุกด้าน โดยปกติการถ่ายภาพรังสีบริเวณขาม้าจะประกอบไปด้วยชุดฟิล์มที่ถ่ายจากทางด้านหน้า ดา้ นข้าง และมมุ ทแยงจากทัง้ สองฝ่งั เป็นพนื้ ฐาน เพ่ือป้องกันการสับสนทั้งในระหว่างการถ่ายภาพและการแปลผล จึงมีการกาหนดคาเรียกทิศทาง (projection) ของการถ่ายภาพรงั สี (ภาพที่ 19) โดยอาศัยคาเรียกจากทิศทางเร่มิ จากตาแหน่งที่อยู่ใกล้เครือ่ งกาเนิด รังสีไปยังตาแหน่งท่ีอยู่ติดกับฟิล์ม การใช้ศัพท์ dorsal และ palmar (ขาหน้า) หรือ plantar (ขาหลัง) จะใช้กับ บริเวณตงั้ แต่ carpus และ hock ลงไป ตาแหนง่ ที่เหนอื กวา่ นัน้ จะใชค้ าว่า cranial และ caudal แทนหลกั การตรวจวนิ ิจฉัย เทคนคิ การตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพยี รสุขมณี Page 17

ภาพท่ี 19 การเรียกทิศทางในการถ่ายภาพรังสีในม้า A) ท่ามาตรฐานปกติ ลูกศรแสดงมุมทะแยงจากท้ังสองฝ่ัง dorsolateral-palmaromedial oblique (DL-PaMO) และ palmarolateral-dorsomedial oblique(PaL-DMO) ท่ีไม่ได้แสดงไว้ได้แก่ dorsopalmar และ lateromedial B) ตัวอย่างท่าสาหรับการถ่ายกีบม้า dorso60° proximal-palmarodistal oblique C) ทา่ เพ่ิมเติมจากทา่ พืน้ ฐานที่ carpus ซึ่งมีการใชบ้ อ่ ยdorsoproximal-dorsodistal oblique (skyline)4. การตรวจโดยใช้คล่ืนเลยี งความถี่สงู (ultrasonography) อลั ตรา้ ซาวด์หรอื คลื่นเสียงความถส่ี ูงทใี่ ช้ในทางการแพทย์มคี วามหมายถงึ คลนื่ เสียงทีม่ คี วามถส่ี งู เกนิ กว่าท่ี มนุษย์จะได้ยินซ่ึงจะอยู่ท่ีระยะความถ่ี 2-10,000,000 Hz เกิดจากการส่งกระแสไฟฟ้าผ่านคริสตัล (piezoelectric material) ซึ่งจะเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นคล่ืนเสียง ซ่ึงจะถูกส่งออกผ่านตัว transducer หรือหัว probe ไปยัง เนอ้ื เยื่อ คล่ืนเสียงเมอื่ เดินทางผ่านสื่อกลางตา่ งๆจะมคี วามเข้มเพม่ิ ข้ึนและเปล่ียนเป็นพลังงานความรอ้ น จึงมีการนาอัลตร้า ซาวด์มาใช้เป็นเทคนิคในการรักษาเนื้อเย่ือที่บาดเจ็บได้ในบางกรณี อย่างไรก็ตามการขยายสัญญาณคล่ืนเสียงอาจ กอ่ ใหเ้ กิดอันตรายกับเน้ือเยื่อได้ ดังน้นั กาลังของเคร่อื งอลั ตรา้ ซาวด์ท่ีใช้ในการวินิจฉัยจะตอ้ งถกู จากัด คลน่ื ความถี่ที่ ไม่สูงมาก (2-3 MHz) จะมีอานาจทะลุทะลวงสูง สามารถทาให้เกิดภาพอวัยวะที่ลึกลงไปประมาณ 25 เซนติเมตร ในขณะทค่ี ลนื่ ความถี่สูง (7 MHz) มีอานาจทะลทุ ะลวงตา่ กวา่ จงึ ทาใหเ้ กิดภาพท่ีความลึก 3-5 เซนติเมตร เม่ือคล่ืนเสียงสัมผัสกับพื้นผิวอวัยวะก็จะเกิดการสะท้อนกลับ (echo) ไปสัมผัสกับหัว transducer ซ่ึงจะ แปลงคล่ืนเสียงกลับเป็นสัญญาณไฟฟ้าและสร้างเป็นภาพข้ึน ความคมชัดของภาพขึ้นกับองศาตกกระทบของคลื่น เสยี งสพู่ น้ื ผิว ภาพจะคมชัดและได้ขนาดทีถ่ กู ตอ้ งที่สุดเม่อื คลื่นเสียงตกกระทบตงั้ ฉากกบั พนื้ ผิวซึ่งเป็นข้อสาคัญท่ีควร คานงึ เม่ือใช้อลั ตรา้ ซาวด์ คลน่ื เสยี งท่ีสะท้อนกลบั มาจะก่อให้เกดิ สัญญาณภาพสขี าว (hyperechoic) หากกลับมาไม่ สมบูรณ์ก็จะเป็นสีเทา (hypoechoic) ซ่ึงจะเทาเข้มมากหรือน้อยก็ขึ้นกับปริมาณการสะท้อนกลับ หากไม่มีการ สะทอ้ นกลับเลยภาพที่เห็นก็จะเป็นสีดา (anechoic)หลกั การตรวจวนิ ิจฉยั เทคนคิ การตรวจวินจิ ฉยั และรักษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสุขมณี Page 18

การเตรียมตัวม้าเพ่ือทาการตรวจด้วยคล่ืนเสียงความถี่สูงจะเริ่มต้นด้วยการจับบังคับม้า โดยปกติหากม้าได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี การจับบังคับอาจเป็นเพียงการใช้ซองบังคับ แต่หากม้ามีอาการต่ืนเต้นและไม่ยินยอม(โดยเฉพาะเมอื่ มอี าการบาดเจบ็ ) สัตวแพทย์ควรพจิ ารณาใหย้ าซมึ เช่นเดียวกับการถา่ ยภาพรงั สี เพือ่ ป้องกนั อันตรายต่อตัวม้า ตัวผู้ตรวจ และอุปกรณ์ซึ่งมีราคาสูง ภาพคุณภาพดีจะเกิดจากความน่ิงของม้าขณะทาการตรวจ และการสัมผัสท่ีชิดท่ีสุดระหว่าง probe และผิวหนังซ่ึงสามารถกระทาได้โดยการโกนขนและใช้ acoustic coupling gelเป็นสื่อสัญญาณคลื่นเสยี ง เจลควรจะมีความหนาและเหนียวเพียงพอท่ีจะติดอยบู่ นผิวหนังและไมค่ วรมฟี องอากาศอยู่ หลงั จากเสร็จสนิ้ การตรวจควรเชด็ เอาเจลออกให้หมดเพอ่ื ปอ้ งกนั การติดเช้ือหรอื อาการแพท้ ่อี าจเกิดขนึ้ ไดก้ บั ม้าบางตัว กรณีท่ีต้องการตรวจอวัยวะท่ีอยู่ชิดผิวหนังมาก เช่น flexor tendon ที่ขา ควรใช้อุปกรณ์เสริม เช่นstandoff เพื่อเพ่ิมระยะห่างระหว่างหัว probe กับผิวหนังม้าโดยไม่ทาให้คุณภาพของภาพเสียไป แต่จะทาให้เห็นรายละเอยี ดของอวยั วะดังกล่าวชดั ขึน้ ในมา้ มกี ารใชค้ ลื่นเสียงความถส่ี ูงบอ่ ยที่สดุ กบั การตรวจเส้นเอ็น อาจกลา่ วไดว้ ่าการวนิ จิ ฉัยอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็นจาเป็นท่ีจะต้องใช้เทคนิคนี้เสมอ บริเวณที่พบปัญหาบ่อยท่ีสุดคือด้าน palmar/plantar ของ กระดูกmetacarpas/tarsus และ phalangeal region การวินิจฉัยเรมิ่ ด้วยการโกนขนด้านหลังขาม้าในบริเวณดังกล่าวให้กว้างราวๆ 2 เซนติเมตร ทาเจลบริเวณที่โกนขน จดั ท่ามา้ ใหย้ ืนตรง วางน้าหนักลงทง้ั สขี่ าใหเ้ ท่าๆกัน หากเป็นไปได้(บางกรณีท่ีอาการบาดเจบ็ คอ่ นขา้ งเฉียบพลันและรุนแรง ม้าอาจไม่สามารถวางน้าหนักได้ท้ังส่ีขา) ซึ่งจะชว่ ยลดการเปลย่ี นแปลง echogenicity และขนาดเสน้ เอน็ จากการวางน้าหนักทแี่ ตกต่างกันในแตล่ ะขา การตรวจเสน้ เอ็นในม้านิยมใช้ linear probe ตรวจจากจากบนลงล่าง ทั้งแบบแนวยาวและแนวขวาง วางหัว probe ใหต้ งั้ ฉากกบั ขามา้ มากทสี่ ุด แบง่ ส่วนทีจ่ ะตรวจออกเป็นระยะ (ดังภาพท่ี 20) เพื่อใหไ้ ดภ้ าพสมบรู ณ์ที่จะประเมินเส้นเอ็นได้ทง้ั หมด การอ่านผลจาเป็นต้องอาศัยความร้ทู างกายวิภาคศาสตร์ และทักษะแยกแยะภาพท่ีปกติและผดิ ปกติ ภาพท่ี 20 ซ้ายมือ การแบ่งและการเรียกตาแหนง่ ของการตรวจเส้นเอ็นม้าด้วยคล่นื เสียงความถสี่ ูง การวาง probe ในแนวตัดขวางกระทาที่ตาแหน่ง1A, 1B, 2A, 2B, 3A, 3B, 3C, P1A, P1B และ P1C ส่วนการวาง probe ในแนว ยาวกระทาทีต่ าแหนง่ L1, L2 และ L3 , ขวามือ ตัวอย่างภาพตัดขวาง (บน) และ diagram (ล่าง) แสดงสว่ นเส้นเอ็น ทีเ่ หน็ ในภาพบน จากตาแหน่งที่ 1A5. การสอ่ งกลอ้ งตรวจภายใน (endoscopy) การสอ่ งกล้องตรวจภายในสาหรับมา้ อาจไม่ไดม้ ีการใช้บอ่ ยเหมอื นกับการถา่ ยภาพรังสีและการใช้คล่ืนเสยี ง ความถ่ีสูง แตม่ ปี ระโยชนม์ ากในการวินจิ ฉัยโรคโดยเฉพาะโรคทางเดนิ หายใจและทางเดินอาหารส่วนตน้ รายละเอียดหลกั การตรวจวินิจฉยั เทคนิคการตรวจวินจิ ฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสุขมณี Page 19

ที่ได้จากการส่องกล้องตรวจเป็นภาพให้เห็นโดยตรงไม่ต้องมีการแปลผล อย่างไรก็ตามสัตวแพทย์จาเป็นที่จะต้องคุน้ เคยกบั ภาพปกติท่จี ะเหน็ จากกล้อง endoscope ก่อนทีจ่ ะบอกไดถ้ ึงความผิดปกติ การเตรียมตัวม้าก่อนการส่องตรวจจะกระทาคล้ายกับการสอดท่อผ่านจมูก โดยปกติหากม้าให้ความร่วมมือดี การบังคับทางกายภาพก็เพียงพอ แต่ส่วนมากพบว่าการให้ยาซึมยังมีความจาเป็น ซึ่งอาจส่งผลต่อการตอบสนองบางอย่างของม้าขณะท่ีทาการส่องตรวจ เช่นลดการขยับของกล่องเสียงเมื่อทา slap test การใช้endoscope ต้องใช้คนมากกว่าสองคนข้ึนไป คนหน่ึงเป็นผู้บังคับ endoscope คนที่เหลือเป็นผู้จับบังคับม้า และ/หรือ สอดปลาย endoscope ผ่านรูจมูกม้า เทคนิคการสอดเหมือนกับการสอด nasogastric tube คือสอดอย่างนุ่มนวลและให้ผ่านช่องจมูกไปโดยเร็ว ในระหว่างท่ีทาการสอด endoscope เข้านี้ สัตวแพทย์อาจจะไม่สามารถตรวจดูช่องจมูกผ่านกล้องได้ แต่จะกระทาได้เมื่อถอน endoscope ออกช้าๆ และเป็นไปได้ท่ีจะต้องสอดendoscope เข้าออกอยู่หลายคร้ังจนกว่าจะได้การตรวจวินิจฉัยที่ครบสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามควรลดจานวนครั้งที่เข้าออกให้น้อยท่ีสุด เพราะอาจทาให้ม้าเครียดและไม่ยอมให้ความร่วมมือในการสอดคร้ังหลังๆได้ ความผิดปกติท่ีสามารถพบได้ในระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ การติดเช้ือ เนื้องอก สิ่งแปลกปลอม ภาวะเลือดออก การบาดเจ็บโครงสร้างที่ผิดปกติมาแต่กาเนิด การทางานของส่วนประกอบทางเดินหายใจผิดปกติ ฯลฯ และเช่นเดียวกับการวินิจฉัยอ่ืนๆ สัตวแพทย์จาเป็นจะต้องทาความคุ้นเคยกับภาพท่ีได้จากกล้อง endoscope ในม้าปกติ ก่อนท่ีจะสามารถแยกความผิดปกติออกได้ และจะต้องให้ม้าอยู่ในระยะพัก ไม่ต่ืนเต้น ก่อนที่จะทาการส่องตรวจ ยกเว้นในกรณีท่ีตอ้ งการดูการทางานของอวัยวะในระหว่างทมี่ ้าออกกาลังกาย6. การสง่ ตรวจทางห้องปฏบิ ัตกิ ารและการแปลผล (laboratory test and interpretation) การสง่ ตวั อยา่ งตรวจทางหอ้ งปฏิบตั กิ ารจะชว่ ยสัตวแพทย์ได้อย่างไร 1. ปัญหาทางอายรุ ศาสตร์ในมา้ บ่อยคร้ังมกั มีความซบั ซอ้ น อาการทีเ่ กิดขน้ึ ไมไ่ ด้บ่งบอกจาเพาะวา่ เกิดจากสาเหตุ ใด เช่น น้าหนักลด เสียดท้องเร้ือรัง ท้องเสียเร้ือรัง หรือ poor performance ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการจะ ช่วยใหก้ ารวินจิ ฉยั แคบลงและอาจสามารถระบคุ วามผดิ ปกติได้ในบางกรณี 2. อาจช่วยใหเ้ ห็นปัญหานอกเหนอื ไปจากทีค่ าดไว้ 3. ชว่ ยในการอธบิ าย และเพมิ่ ความมั่นใจใหก้ บั เจา้ ของ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต้องประกอบร่วมกับอาการทางคลินิก ประวัติและการตรวจเบื้องต้น จึงจะ สามารถนาไปสู่ข้อสรุปได้ อย่าสรุปหรือวินิจฉัยจากผลแลปโดยท่ีไม่ได้นาข้อมูลเหล่าน้ีมาประกอบ ผลแลปมี ประโยชน์ในการช่วยในการวินิจฉัยมากก็จริง แต่ไม่ใช่คาตอบท่ีถูกต้องเสมอไป สัตวแพทย์ยังจาเป็นที่จะต้องใช้ ประสบการณ์และการรวบรวมความคิดจากทุกๆด้านก่อนท่ีจะวินิจฉัย และทุกคร้ังที่จะมีการส่งตรวจทาง ห้องปฏบิ ัตกิ าร สัตวแพทยค์ วรพจิ ารณาเลือกเก็บและเลอื กสง่ ตรวจตามความจาเป็นและให้ไดค้ าตอบมากที่สดุ และ พึงระลึกไว้เสมอว่าม้าในแต่ละ พันธ์ุ อายุ ประเภทการใช้งาน ก็มีช่วงค่าปกติท่ีแตกต่างกันได้ ดังนั้นในการแปล ความหมายผลตรวจทางหอ้ งปฏิบัตกิ ารแตล่ ะคร้ัง จาต้องคานึงถงึ เรือ่ งนี้ดว้ ย สิ่งควรรูส้ าหรบั การสง่ ตวั อยา่ งจากม้าตรวจทางห้องปฏิบัตกิ าร 1. ม้าแต่ละประเภท และอายุ มีค่าชีวเคมีโลหิตต่างกัน เช่น ม้าเด็กมี serum alkaline phospatase สูง ส่วนม้า ใช้งานจะมี creatine phosphokinase สูง ซึง่ ไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างใด ม้าที่มีความสมบูรณ์พร้อม จะมีคา่ เมด็ เลือดแดงสงู ในขณะที่มา้ ในภาวะเครียดจะมเี มด็ เลอื ดขาวสงู 2. ควรเกบ็ ตัวอย่างในขณะท่ีมา้ อย่ใู นระยะพกั และไม่มอี าการตน่ื เต้น เพราะค่า PCV อาจข้ึนสงู กว่าท่คี วรจะเป็นได้ หากเป็นช่วงแข่งขนั ควรรอใหม้ ้าเสร็จการแขง่ ขันแลว้ อย่างนอ้ ย 2 ช่วั โมงก่อนเกบ็ ตัวอยา่ ง 3. ส่งตัวอยา่ งไปยงั หอ้ งปฏบิ ัติการให้เรว็ ท่ีสุด (ภายใน 24 ชั่วโมง) เพื่อปอ้ งกันการเปลย่ี นแปลงของคา่ เลือด ค่าเมด็ เลือดแดง ดังท่ีกลา่ วไวข้ ้างต้น ค่าเมด็ เลือดแดงควรไดจ้ ากม้าทีอ่ ย่ใู นระยะพัก ค่า PCV จะช่วยในการประเมิน ภาวะขาดน้า และภาวะโลหิตจาง อย่างไรก็ดี ควรระวังในกรณีที่ม้ามีปัญหาท้ังโลหิตจางและขาดน้า ซ่ึงจะทาให้ค่า PCV ดูปกติ ดังนั้นนอกจาก PCV แล้วควรดู MCV และ MCHC ร่วมด้วย ผลเลือดยังช่วยแยกชนิดของโลหิตจางได้ เชน่หลกั การตรวจวนิ ิจฉัย เทคนิคการตรวจวินจิ ฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ พิ ร เพียรสขุ มณี Page 20

Normochromic-normocytic anemia = blood lossMacrocytic anemia = folic acid deficiencyMicrocytic anemia = iron deficiencyภาวะโลหติ จางในมา้ พบไดใ้ นกรณีต่อไปนี้ - ขาดอาหาร - โรคตบั เร้อื รงั - Chronic blood loss เชน่ พยาธิ - Neoplasia (lymphosarcoma) - ขาดธาตุเหล็ก - ขาด folic acid - ภาวะหลังจากการตดิ เชือ้ ไวรสั โดยเฉพาะใน Thoroughbredsคา่ เม็ดเลือดขาว การสูงข้นึ ของค่าเม็ดเลือดขาว โดยปกติจะหมายถึงการติดเชอ้ื และ/หรือ ความเครยี ด (อย่างไรก็ตามมีกรณียกเว้นอยู่หลายกรณี เช่นการตอบสนองต่อการเคล่ือนท่ีของพยาธิ หรือมะเรง็ เม็ดเลือดขาว) การติดเช้ือไวรัสมักจะทาให้ค่าเม็ดเลือดขาวรวมต่าลง แต่สัดส่วนของ lymphocyte และ monocyte สูงข้ึน อาการ acutesepticaemia จะทาให้ค่าเม็ดเลือดขาวรวมต่าลงไปมาก และมีข้อสังเกตว่าในม้า band neutrophil มักไม่ค่อยสูงข้ึนในภาวะติดเช้ือ ยกเว้นว่าการติดเช้ือน้ันจะเฉียบพลันและรุนแรงมาก จะเห็นได้ว่าค่าเม็ดเลือดขาวโดยรวมสามารถกระทบได้จากหลายปัจจัย ดังนั้นเม่ือจะดูค่าเม็ดเลือดแยกชนิด ควรใช้ค่านับจริง มากกว่าการใช้สัดส่วนเปอร์เซนต์ของเม็ดเลือดขาวรวม ในม้าอาการภูมิแพ้หรือติดพยาธิมักทาให้ eosinophil สูงขึ้น แต่ภาวะสูงข้ึนของbasophil ยังไม่มีคาอธบิ ายแนช่ ัดแตม่ ักเป็นสญั ญาณบ่งบอกถึงการพยากรณ์ทีไ่ มค่ ่อยดนี ัก (grave prognosis)ค่าชีวเคมีโลหิต ในท่นี ยี้ กตวั อยา่ งค่าชวี เคมโี ลหติ ทใี่ ชบ้ ่อยในมา้1. Blood urea หากค่านี้สูงขึ้นมักบ่งบอกถึงภาวะการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ, โรคไต หรือการสูญเสีย กล้ามเนอื้ เฉยี บพลนั ควรเกบ็ ปัสสาวะสง่ ตรวจด้วย2. ค่าตับ ในม้า SDH (Sorbital dehydrogenase) เป็นเอนไซม์ที่บ่งบอกจาเพาะถึงภาวะตับถูกทาลาย แต่ เอนไซม์นี้เสื่อมสลายได้ง่ายในเลือด ความคลาดเคล่ือนจึงมีได้สูงและด้วยเหตุน้ีจึงไม่ค่อยมีการทดสอบเอนไซม์ ตัวน้ีอย่างแพร่หลาย ทางเลือกอ่ืนคือการตรวจวัด AST (aspartate aminotransferase หรือเรียกอีกอย่างว่า SGOT) อย่างไรก็ตาม เอนไซม์ AST มีข้อจากัดเน่ืองจากมีเน้ือเย่ือหลายชนิดนอกจากตับที่ปล่อยเอนไซม์ตัวนี้ ออกมาเมื่อเกิดภาวะเส่ือมทาลาย เช่น หัวใจ สมอง ไต และกล้ามเน้ือ กรณีกล้ามเน้ืออักเสบเฉยี บพลัน (ซึ่งพบ ได้บ่อยมากในมา้ ) อาจทาใหค้ า่ AST สงู ขนึ้ มากและสับสนกับภาวะโรคตับเฉยี บพลันได้ เพือ่ แกป้ ัญหานใ้ี นกรณี สงสัยโรคตบั ควรมกี ารตรวจ CPK ควบคู่ไปด้วยเพ่อื แยกแยะพยาธสิ ภาพของตับและกล้ามเน้ือออกจากกนั3. Total and differential serum protein ภาวะ albumin ต่าในม้ามักมาจากการที่ตับทางานผิดปกติ แม้ว่า จะเป็นไปได้ที่จะสูญเสียผ่านไตแต่กม็ ีกรณีแบบนี้น้อยมาก หากพบว่าค่าตับ-ไตของม้าปกติดี แต่พบ albumin ต่า เปน็ ไปได้อย่างมากวา่ มา้ สญู เสยี albumin ผา่ นทางระบบทางเดินอาหาร4. Creatine phosphokinase CPK มีประโยชน์มากในการวินิจฉัยภาวะที่กล้ามเน้ือถูกทาลาย และช่วยแยกแยะ ความผิดปกติของตับและกล้ามเนื้อเม่ือพบค่า AST สูง ตามปกติแล้วกล้ามเนื้อของม้าท่ีออกกาลังกายก็จะ ปล่อย CPK ออกมา แต่หากเกิดพยาธิสภาพค่า CPK จะกระโดดสูงข้ึนไปมาก อย่างไรก็ตามค่า CPK เปลีย่ นแปลงได้ง่าย จงึ ควรนาตัวอยา่ งสง่ หอ้ งปฏบิ ัติการโดยเรว็การตรวจอจุ จาระ เพื่อหาไขพ่ ยาธิ เลอื ด หรอื แบคทีเรีย โดยท่วั ไปมีรายละเอยี ดคลา้ ยกับสตั วช์ นดิ อืน่ ๆการตรวจปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะกระทาเพ่ือหาวัตถุออกฤทธ์ิซ่ึงเป็นการตรวจปกติในการแข่งขนั แต่การตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคมักกระทาเม่ือพบว่า blood urea ข้ึนสูง หรือสงสัยโรคที่เกี่ยวกับน้าตาล, โปรตีน, เลือด หรือส่ิงแปลกปลอม จาไวว้ ่าปัสสาวะของมา้ ขุ่นเป็นปกติ ควรมีการกรองปัสสาวะก่อนทาการตรวจหลกั การตรวจวินจิ ฉัย เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพียรสขุ มณี Page 21

Section 3 เทคนิคการให้การรักษาในม้า การรกั ษาทางสตั วแพทย์แบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ลักษณะ ได้แก่ การรกั ษาทางอายรุ ศาสตร์ การรกั ษาทางศลั ยศาสตร์และการรักษาทางกายภาพ บอ่ ยครง้ั ที่การรกั ษาจะตอ้ งใหป้ ระกอบรว่ มกนั มากกวา่ หนง่ึ ลักษณะ และการพจิ ารณาว่าจะใหก้ ารรักษาใดก่อนหลัง จะตอ้ งขน้ึ อยกู่ ับผลการประเมนิ สภาพของสัตว์ เช่น กรณที ่ีม้าจะตอ้ งไดร้ ับการรักษาด้วยวิธีศัลยกรรม แต่สภาพของสตั ว์อยู่ในขน้ั วกิ ฤตเกินกว่าจะทาการวางยาสลบได้ ก็จาเป็นทจี่ ะต้อง stabilize สภาพสัตวโ์ ดยวิธีทางอายรุ กรรมให้อยู่ในระดบั ทปี่ ลอดภัยมากพอทจ่ี ะทาการผา่ ตดั ได้ การรกั ษาทางอายุกรรมเปน็ การรกั ษาโดยการใชย้ า สัตวแพทยน์ อกจากจะตอ้ งมีความรเู้ ร่ืองการใชย้ าชนิดต่างๆแลว้ยังตอ้ งมที กั ษะในการบรหิ ารยา ซง่ึ จะมีเทคนิคแตกต่างกนั ไปตามชนดิ ของสตั ว์การบริหารยาในม้า การบริหารยาในม้าท่ีหวังผลให้ออกฤทธ์ิท่ัวตัวสามารถให้ได้อย่างน้อย 4 ทาง ได้แก่ การให้ทางปาก (oral route),การฉีดเข้ากล้ามเน้ือ (intramuscular route), การฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous route) และการฉีดเข้าหลอดเลือดดา(intravascular route) นอกจากน้ยี งั มีการให้ยาในลักษณะเฉพาะที่แบบอื่นๆ เช่น การปา้ ย/หยอดตา หรอื การฉีดยาเขา้ ขอ้ 1. การให้ยาทางปาก สาหรับยาทใี่ ห้ผา่ นทางการกิน ปัจจบุ ันมผี ลิตภัณฑห์ ลายๆประเภทที่ออกแบบมาใหง้ ่ายต่อการปอ้ นม้าโดยทาเป็นใน รปู ครมี ป้ายปาก (paste) (ภาพที่ 21 A) เช่น ยาถ่ายพยาธิ ยาในรปู แบบน้ีสามารถให้โดยการสอดผลิตภณั ฑ์เขา้ ไปบรเิ วณ interdental space (ภาพท่ี 21 B) และเดินยาให้วางอยู่บนลิ้นและให้ม้ากลืนลงไปเอง หากเป็นชนิดน้าอาจใช้เทคนิค ผสมน้าหวานแล้วใส่กระบอกฉีดยาให้มา้ กนิ ในลักษณะเดียวกับครีมป้ายปาก อย่างไรกต็ ามยาอาจมีการหกหล่นการให้ยา ทางปากน้ี และเปน็ ไปไดท้ ่ีมา้ จะได้ยาไม่ครบขนาด การให้ยาผ่านการสอดท่อเข้าทางจมกู (nasogastric intubation) จะ ชว่ ยแกป้ ญั หานี้ไดเ้ ป็นอยา่ งดี เพราะยาจะเขา้ ไปสู่กระเพาะโดยตรง ภาพท่ี 21 A) ตัวอยา่ งผลิตภณั ฑย์ าในรปู ครีมป้ายปาก (paste) สังเกตตวั เลขที่กา้ นกระบอกฉีดสาหรบั ระบุนา้ หนกั ของมา้ ชว่ ยให้สามารถให้ยาในปริมาณท่ีถูกต้อง แนะนาให้ใช้ 1 หลอด ต่อม้า 1 ตัวเท่าน้ัน B) วิธีการให้ยาทางปากในม้า (ที่มา: ศริ พิ ร เพียรสุขมณี 2556)หลักการตรวจวินิจฉัย เทคนคิ การตรวจวินจิ ฉยั และรักษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิริพร เพยี รสขุ มณี Page 22

2. การใหย้ าเข้าทางกล้ามเนอื้ การบริหารยาเข้ากล้ามเน้ือมา้ สามารถกระทาได้หลักๆ 4 ตาแหน่ง ได้แก่ บริเวณคอ, อก, สะโพก และขา หลัง (ภาพท่ี 22) บริเวณคอเป็นตาแหน่งที่ใช้ในการฉีดเข้ากล้ามเน้ือมากที่สุด แต่สามารถให้ปริมาณยาได้น้อย (ไม่ ควรเกิน 10 มลิ ลลิ ติ ร) ตาแหนง่ ท่ฉี ีดคือตรงกลางของพื้นท่สี ามเหลย่ี มใต้ ligamentum nuchae เหนือ transverse process of cervical vertebrae และหน้า scapular ส่วนบริเวณหน้าอกคือตาแหน่งกลางของ pectoral muscles แต่ละขา้ ง ตาแหน่งสะโพกจะใชก้ บั มา้ ท่ีมีกล้ามเน้อื middle gluteal muscle คอ่ นขา้ งหนา ใชห้ วั แม่มือ วางท าบ กั บ tuber coxa แ ล้ วก างนิ้ วมื อ อ อ ก ป ล าย นิ้ วก้ อ ย คื อ บ ริเวณ ที่ แ ท งเข็ม ส่ วน ที่ ข าห ลั ง (semimembranosus และ semitendinosus) มักใช้กับลูกม้า และหากเป็นการให้ยาในปริมาณมากๆมักจะต้อง แบ่งให้มากกว่า 1 ตาแหน่ง ก่อนการฉีดยา ทาความสะอาดบริเวณท่ีจะฉีดด้วย 70% แอลกอฮอล์ นิยมใช้เข็มเบอร์ 18 หรือ 21 ขนาด 1.5 น้ิว แทงเข้าไปตรงบริเวณดังกลา่ วให้ต้ังฉากกบั ผิวหนัง ดันจนมิดเข็ม ตรวจสอบวา่ ปลายเข็ม เขา้ ไปในเส้นเลือดหรือไม่ดว้ ยการดงึ ก้านกระบอกฉดี ยา ถา้ ไมม่ เี ลือดเข้ามาใหเ้ ดินยาเขา้ ไป ภาพท่ี 22 ตาแหน่งทใ่ี ช้ในการฉีดยาเขา้ กล้ามเนือ้ ในม้าหลกั การตรวจวินจิ ฉยั เทคนิคการตรวจวนิ ิจฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ ิพร เพยี รสุขมณี Page 23

3. การให้ยาเขา้ ทางหลอดเลอื ดดา ยาที่ใชก้ ับม้ามากกว่าคร่ึงมักจะเป็นยาที่ให้ผ่านหลอดเลือดดา และยาจาพวกน้ีส่วนใหญ่จะมีความระคาย เคืองมากหากใหย้ านอกเส้นเลือด สัตวแพทย์จึงต้องมีความระมัดระวังเปน็ อย่างสูง ตรวจสอบใหแ้ น่ใจทุกครั้งว่าเข็ม อยู่ในหลอดเลือดแล้วก่อนเดินยา หลอดเลือดท่ีมีการใช้มากท่ีสุดคือ jugular vein ใช้น้ิวกดบริเวณร่อง jugular groove เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวโป่งขึ้นจนเห็นได้ชัด (ในม้าแกลบ หรือล่อ อาจเห็นได้ไม่ชัด) หากไม่แน่ใจให้กด และปล่อยหลายๆครั้งเพื่อให้เห็นการขยับของเส้นเลือด เลือกตาแหน่งจากช่วง 1/3 บนของคอ เข็มที่ใช้เป็นเข็ม ขนาดเดียวกับที่ใช้ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ แทงเข็มลงตรงกลางหลอดเลือดทามุมเข็ม 30 องศา หันหัวเข็มไปทางหัวม้า เมื่อผ่านเข้าไปประมาณ 1/3 ของเข็ม ให้วางเข็มขนานกับหลอดเลือดและเดินเข็มต่อเข้าไปจนสุด ดูดเลือดเข้า กระบอกฉดี ยาเพ่ือใหแ้ นใ่ จว่าเขม็ อย่ใู นหลอดเลือด แลว้ จึงเดนิ ยา กรณีต้องการใส่ catheter (ภาพท่ี 23) ให้ใช้เทคนิคแบบเดียวกับการฉีดยาเข้าหลอดเลือด แต่ catheter สามารถใสโ่ ดยช้ปี ลาย catheter ไปทางหัวม้า หรอื ไปทางท้ายตวั มา้ ก็ได้ โดยปกติจะนยิ มใช้ทิศทางไปทางทา้ ยตวั ม้า เนื่องจากสามารถต้านแรงดึงเม่ือม้าเดินไปข้างหน้าได้มากกว่าทาให้ catheter ไม่หลุดออกโดยเฉพาะเมื่อต้องใส่ catheter เป็นเวลานาน โดยปกติการใช้ 70% แอลกอฮอล์ก็เพียงพอสาหรับการทาความสะอาดบริเวณท่ีจะฉีดยา เข้าหลอดเลือดดา แต่หากเป็นการใส่ catheter ควรจะตอ้ งทาความสะอาดแบบปลอดเชอื้ (แบบเดยี วกับการเตรยี ม ผิวหนังก่อนการผ่าตัด) catheter ที่ใช้กับม้านิยมใช้ขนาดเบอร์ 16 ความยาวมากกว่า 1.5 น้ิวขึ้นไป ความยาวของ catheter มีสว่ นชว่ ยในการปอ้ งกนั ไมใ่ หห้ ลุดออกนอกหลอดเลือด กอ่ นการแทง catheter อาจพิจารณาให้ยาชาเข้า ใต้ผวิ หนังก่อนแต่ทงั้ นี้ก็ไม่ได้จาเป็นในทุกกรณี สอด catheter ทั้งปลอกพลาสติก (sheath) และเข็มเหลก็ (stylet) ดว้ ยมุม 30 องศากับหลอดเลือดเม่ือเห็นเลือดเขา้ มาท่ีหัว catheter (hub) ให้ดัน catheter เข้าไปอีกเล็กน้อยแล้ว หยดุ ใช้มอื อกี ข้างดนั เอาเฉพาะปลอกพลาสตกิ เข้าไป แต่อย่าเพิ่งถอนเข็มเหล็กออกจนกว่าจะดันปลอกพลาสติกเข้า ไปจนสุด เม่ือถอนเขม็ เหลก็ ออกแลว้ ตรวจสอบว่า catheter อยู่ในหลอดเลือดดว้ ยการกด jugular vein ท่ีด้านทา้ ย คอ จะเห็นเลือดว่ิงเข้ามาท่ี hub จึงใช้ haparinised-saline ใส่เข้าไปเพ่ือป้องกันการแข็งตัวของเลือดอุดตัน catheter แล้วจึงตดิ กาวท่หี วั catheter เข้ากบั ผวิ หนงัภาพที่ 23 ตัวอย่างการใส่ intravenous catheter ในม้า (ทีม่ า: ศริ ิพร เพียรสขุ มณี 2556)หลกั การตรวจวินจิ ฉยั เทคนิคการตรวจวนิ จิ ฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ ิพร เพียรสุขมณี Page 24

4. การใหย้ าเขา้ ใตผ้ ิวหนงั การให้ยาเข้าใต้ผวิ หนังในมา้ มักใช้กับวัคซีน (เฉพาะที่ระบวุ ่าให้ใต้ผวิ หนงั เท่าน้นั ) หรอื การให้ยาชาเฉพาะท่ี กรณีวางยาชาตาแหน่งที่ใช้ก็เป็นตาแหน่งที่ต้องการระงับความรู้สึก แต่หากเป็นยาชนิดอ่ืนเช่นวัคซีน มักจะให้ท่ี ตาแหน่งคอ ด้านหน้า scapular ซ่ึงสามารถดึงผิวหนังได้ง่าย (ภาพท่ี 24) เข็มท่ีใช้มักเป็นเบอร์เล็ก ต้ังแต่ 25-21 ความยาว 1 น้ิว ทาความสะอาดผิวหนังด้วย 70% แอลกอฮอล์ ดึงหนังขึ้นแล้วฉีดยาเข้าที่สันผิวหนังที่ถูกยกข้ึนมา ตรวจสอบวา่ ปลายเข็มไม่อยใู่ นหลอดเลือดเชน่ เดียวกบั การฉดี ยาเข้ากล้ามเน้ือและเดนิ ยา ภาพที่ 24 ตาแหน่งและวิธกี ารฉีดยาเข้าใต้ผวิ หนงั (ทมี่ า: ศิรพิ ร เพยี รสขุ มณี 2556)หลกั การตรวจวนิ ิจฉัย เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรกั ษาโรคในมา้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรพิ ร เพียรสขุ มณี Page 25

5. การให้ยาปา้ ยตา หรือยาหยอดตา การให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาในม้าเปน็ เร่ืองต้องกระทาด้วยความระมดั ระวัง ก่อนใหย้ าควรตรวจสอบ ใหแ้ นใ่ จวา่ สามารถควบคมุ ม้าให้อยนู่ งิ่ ได้ โดยเฉพาะสว่ นหัวเพราะการขยับเพยี งเล็กนอ้ ยอาจจะทาให้เกดิ อนั ตรายตอ่ ดวงตาในขณะท่ีกาลังใส่ยาได้ อย่างไรก็ตาม ม้าจะมีการปรับตัวให้คุ้นชินกับการใส่ยาท่ีตาเมื่อได้รับยาบ่อยๆ ซ่ึง อาจจะลดวิธีการควบคุมลงเพ่ือไม่ให้ม้าจดจาความรู้สึกที่ไม่ดีต่อการให้ยาที่ดวงตา หากจาเป็นในระยะแรก อาจจะ ตอ้ งพิจารณาใช้ยาสงบประสาท และควรล้างตาด้วยน้ายาล้างตา หรือ normal saline ก่อนท่ีจะให้ยาครง้ั แรกของ วัน อีกเรื่องที่ควรคานึงเป็นอย่างย่ิงคือความสะอาดของผลิตภัณฑ์และการเก็บรกั ษา ยาป้ายตาเป็นยาที่ใชเ้ ฉพาะตัว เทา่ นั้น ไมค่ วรใช้ยาร่วมกบั มา้ ตวั อน่ื ๆไม่ว่าจะดว้ ยเหตผุ ลใดๆกต็ าม การให้ยาปา้ ยตาหรือยาหยอดตา ทาไดโ้ ดยการดึงหนงั ตาล่างลงจนเห็นเย่ือบุหนงั ตาด้านลา่ งโดยใชน้ ้ิวช้วี าง ที่หนังตาบน และน้ิวหัวแม่มือวางท่ีหนังตาล่าง และกางน้ิวท้ังสองออกจากกัน (ภาพที่ 25) บีบหรือหยอดยาลงบน เย่ือบุหนังตาด้านล่าง ระวังอย่าให้ปลายหลอดสัมผัสกับส่วนใดส่วนหนึ่งของตา เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และการ ปนเปื้อน หลงั จากนั้นใหป้ ิดหนังตาทั้งสองเขา้ หากัน และคลึงหนงั ตาเบาๆเพอ่ื ให้ยากระจายทว่ั ดวงตา กรณีท่ีจะต้องให้ยาบ่อยมากๆ (ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการรักษาโรคนัยน์ตาม้า โดยเฉพาะกรณีการรักษา แบบ intensive) อาจจะใชว้ ธิ ีการเยบ็ ฝงั ท่อพลาสติกไว้ใต้หนงั ตา (subpalpebral system: ภาพท่ี 26) วธิ ีนจี้ ะช่วย ให้การให้ยาทาได้โดยสะดวก แต่มีข้อควรระวังคือการติดเชื้อแทรกซ้อน และจากัดเพียงการให้ยาชนิด solution เทา่ นน้ั ไมส่ ามารถให้ ointment ผ่านวธิ ีนไ้ี ด้ ภาพท่ี 25 (ซ้าย) วิธีการให้ยาป้ายตาในม้า (ที่มา: ศิริพร เพียรสุข มณี 2556) ภาพท่ี 26 (ล่าง) ตัวอย่างการให้ยาผ่านท่อที่เย็บไว้ใต้หนังตา (subpalpebral system)หลกั การตรวจวินจิ ฉยั เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ พิ ร เพียรสขุ มณี Page 26

6. การฉีดยาเขา้ ขอ้ ก่อนทาการฉีดยาเข้าข้อ (ภาพท่ี 27-29) จะต้องทาความสะอาดผิวหนังแบบปลอดเช้ือ เทียบเท่ากับการ เตรียมทาศัลยกรรม เพราะความสกปรกเพียงเล็กน้อย อาจก่อให้เกิดการติดเช้ือภายในข้อ ซึ่งจะส่งผลเสียอย่าง ร้ายแรงต่อตัวม้าได้ สัตวแพทย์จะต้องสวมถุงมือปลอดเชอ้ื ท่ีใช้สาหรับการผ่าตัด และจะต้องมน่ั ใจว่าผลิตภัณฑ์ท่ีจะ ใช้สามารถใช้ฉีดเข้าข้อได้ ตัวอย่างยาท่ีใช้ฉีดเข้าข้อ เช่น corticosteroids, hyaluronic acid (HA) และ polysulphated glycosminoglycan (PSGAG) การฉีดยาเข้าข้อมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ตัวยาได้สัมผัสภายในข้อได้ โดยตรง ไม่ต้องผ่านกระบวนการทาง systemic เน่ืองจากในข้อมีเส้นเลือดมาเล้ียงเพียงแค่บริเวณเย่ือบุข้อ (synovial membrane) เท่านั้น ส่วนกระดูกอ่อนผิวข้อ (articular cartilage) เป็นอวัยวะท่ีไม่มีเส้นเลือดมาเลี้ยง ได้รับสารและอาหารต่างๆผ่านการแพร่จากน้าไขข้อ ปริมาณยาและสารอาหารท่ีได้รับจากทาง systemic จึงเข้าถึง ไดน้ ้อย แต่แม้วา่ การฉีดยาเข้าสูข่ ้อโดยตรงจะลดขอ้ จากัดนไ้ี ด้ ผลของความเสี่ยงและผลข้างเคยี งก็อาจมีมากพอๆกัน จึงเปน็ เร่ืองท่สี ัตวแพทย์จาเป็นจะตอ้ งทาความเขา้ ใจกับเจา้ ของสัตว์ และตอ้ งศึกษาถงึ ผลขา้ งเคยี งจากผลิตภณั ฑ์ที่จะ ทามาใช้เสียก่อน ภาพท่ี 27 (ซา้ ย) ตัวอยา่ งการฉดี ยาเข้าข้อบริเวณ tarsus ภาพที่ 28 (ล่างซ้าย) ตัวอย่างการล้างข้อ (joint lavage) ท่ี บรเิ วณ metacarpophalangeal (fetlock) joint ภาพท่ี 29 (ลา่ งขวา) ตวั อย่างการฉดี ยาเข้าข้อบรเิ วณ coffin jointหลกั การตรวจวินิจฉัย เทคนคิ การตรวจวนิ จิ ฉยั และรกั ษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ ิพร เพียรสขุ มณี Page 27

หนงั สอื อา่ นเพ่มิ เตมิ /เอกสารอ้างอิง• Veterinary clinical examination and diagnosis / edited by O.M. Radostits, I.G. Mayhew and Doreen Houston London : W.B. Saunders, 2000.• Medical history and physical examination in companion animals / edited by A. Rijnberk, F.J. van Sluijs ; translated by B.E. Belshaw Edinburgh ; New York : Saunders/Elsevier, c2009. 2nd ed• Diagnostic techniques in equine medicine : a textbook for students and practitioners describing diagnostic techniques applicable to the adult horse / edited by Frank G.R. Taylor, Tim J. Brazil, M.H. Hillyer Edinburgh ; New York : Saunders, 2010. 2nd ed• Manual of equine practice / Reuben J. Rose, David R. Hodgson. Philadelphia : W. B. Saunders, 2000. 2nd ed.• Equine practice 3 / edited by M. Melling and M. Alder London ; Philadelphia : W.B. Saunders, 1998.หลกั การตรวจวินิจฉยั เทคนคิ การตรวจวินิจฉยั และรักษาโรคในม้า ผศ.สพ.ญ.ดร.ศริ พิ ร เพยี รสขุ มณี Page 28


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook