ศรษ
พนื ้ ฐานเศรษฐศาสตร์เบอื ้ งต้น เศรษฐศาสตร์ เป็นสาขาวชิ าหนงึ่ ของสงั คมศาสตร์ เป็นการศกึ ษาพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ที่เกีย่ วกบั การดาเนินกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ อนั ได้แก่ กิจกรรมการผลติ การกระจายสนิ ค้าและบริการตา่ งๆท่ีผลติ ได้ไปสผู่ ้บู ริโภคและผ้ใู ช้บริการ กิจกรรม ทางเศรษฐกิจดงั กลา่ วนเี ้กี่ยวข้องกบั ชวี ติ ประจาวนั ของเราทกุ คน เพราะเราตา่ งกค็ ือผ้ผู ลติ และ/หรือ ผ้บู ริโภค เศรษฐศาสตร์จึงมิใชว่ ชิ าทีอ่ ยไู่ กลตวั หากเราได้ศกึ ษาและทาความเข้าใจกฎเกณฑแ์ ละเนอื ้ หาของวิชาเศรษฐศาสตร์ไป ตาม ลาดบั ขนั้ ก็ยอ่ มจะเกิดความเข้าใจในสาขาวชิ านไี ้ ด้ไมย่ ากนกั ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ โดย ทว่ั ไปก่อนทจ่ี ะศกึ ษาอะไร สง่ิ ทผ่ี ้ศู กึ ษาควรจะต้องทราบเป็นลาดบั แรกก็คือสาขาวชิ านนั้ ๆเป็นศาสตร์ที่ ศกึ ษา เก่ียวกบั เรื่องใด สาหรับการศกึ ษาวิชาเศรษฐศาสตร์ (Economics) ก็เชน่ เดยี วกนั มีผ้รู ู้ได้ให้คานิยามของวชิ า เศรษฐศาสตร์ไว้มากมายหลายทา่ น อาทิ อลั เฟรด มาร์แชลล์ (Alfred Marshall) นกั เศรษฐศาสตร์ชาวองั กฤษ ได้กลา่ วถงึ ความหมาย ของวิชาเศรษฐศาสตร์ไว้ใน หนงั สอื Principle of Economics วา่ เป็นวชิ าทศ่ี กึ ษาเกี่ยวกบั พฤติกรรม ของมนษุ ย์ทงั้ ระดบั บคุ คลและสงั คม ในการ ดาเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ เพื่อการดารงชีพให้ได้รับความสขุ สมบรู ณ์ พอ ล แซมมวลสนั (Pual Samuelson) นกั เศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกนั ได้ให้คานิยามวชิ าเศรษฐศาสตร์วา่ คอื วิชาที่ ศกึ ษาเกี่ยวกบั วิธีการท่ีมนษุ ย์ และสงั คมจะโดยใช้เงินหรือไมก่ ็ตาม ตดั สนิ ใจเลอื กใช้ทรัพยากรการผลติ ทม่ี ีอยอู่ ยา่ งจากดั ไปในการผลติ สนิ ค้าและ บริการ และจาหนา่ ยจา่ ยแจกสนิ ค้า และบริการเหลา่ นนั้ ไปยงั กลมุ่ บคุ คลตา่ งๆในสงั คมทงั้ ใน ปัจจบุ นั และในอนาคต สว่ นคานยิ ามท่ีได้รับความนิยมได้แกค่ านยิ ามของไลโอเนล รอบบินส์ (Lionel Robbins) ซง่ึ เขยี น ไว้ในหนงั สอื ช่ือ An Essay o-n the Nature and Significance of Economic Science วา่ เศรษฐศาสตร์คือวิชาท่ี ศกึ ษาถงึ การเลอื กหาหนทางทจ่ี ะใช้ปัจจยั การผลติ อนั มี อยอู่ ยา่ งจากดั เพอ่ื ให้บรรลผุ ลสาเร็จตามจดุ ประสงค์ทม่ี ีอยอู่ ยา่ ง นบั ไมถ่ ้วน ประยรู เถลงิ ศรี ให้คานยิ ามไว้ในหนงั สอื หลกั เศรษฐศาสตร์ วา่ วชิ าเศรษฐศาสตร์เป็นวชิ าสงั คมศาสตร์ทเ่ี กี่ยวกบั การศกึ ษาวา่ มนษุ ย์เลอื ก ตดั สนิ ใจอยา่ งไรในการใช้ทรัพยากรที่มอี ยอู่ ยา่ งจากดั เพือ่ ผลติ สงิ่ ของและบริการ และแบง่ ปัน สงิ่ ของและบริการเหลา่ นนั้ เพ่ืออปุ โภคและบริโภคระหวา่ งบคุ คล ตา่ งๆในสงั คม ทงั้ ในเวลาปัจจบุ นั และในอนาคต มนญู พาหริ ะ ให้คานยิ ามไว้ในหนงั สอื ทฤษฎีราคา วา่ เศรษฐศาสตร์เป็นวชิ าทีศ่ กึ ษาในเร่ือง ทเี่ กี่ยวกบั การนาทรัพยากรท่ี มีอยใู่ นระบบเศรษฐกิจมาทาการผลติ สนิ ค้าและ บริการเพ่ือสนองหรือบาบดั ความต้องการของมนษุ ย์
นอกจากนี ้ยงั มนี กั วชิ าการอกี หลายทา่ นทไ่ี ด้ให้ความหมายของคาวา่ เศรษฐศาสตร์ไว้ อยา่ งไรก็ตาม พอสรุปได้วา่ วิชา เศรษฐศาสตร์เป็นการศกึ ษาถึงวธิ ีการจดั สรรทรัพยากรอนั มอี ยอู่ ยา่ งจากดั เพ่ือ ผลติ สนิ ค้าและบริการตา่ งๆสนองความ ต้องการของมนษุ ย์ซง่ึ โดยทว่ั ไปมคี วามต้อง การไมจ่ ากดั ให้เกิดประสทิ ธิภาพสงู สดุ ความเป็นมาของวชิ าเศรษฐศาสตร์ แนว ความคดิ ทางเศรษฐศาสตร์มีมาตงั้ แตส่ มยั โบราณโดยแทรกอยใู่ นข้อเขยี นและหนงั สอื สอนศาสนาของ นกั ปราชญ์ในสมยั นนั้ เช่น หลกั ปรัชญาของโซเครตีส (Socrates) เพลโต (Plato) ฯลฯ แตแ่ นวความคดิ ดงั กลา่ วยงั ไมถ่ ือ เป็นหลกั หรือทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ จนกระทงั่ คริสต์ศตวรรษที่ 15 ซงึ่ เป็นสมยั ที่การค้าทางยโุ รปเจริญรุ่งเรืองมาก ได้เกิด ลทั ธิพาณิชย์นิยม (mercantilism) หรือพวกที่นยิ มการทาการค้า นกั พาณิชย์นยิ มมคี วามเชื่อวา่ ประเทศจะมคี วามมน่ั คง ทางเศรษฐกิจก็ตอ่ เม่ือ ประเทศนนั้ ๆขายสนิ ค้าขาออกให้ตา่ งประเทศเป็นมลู คา่ มากกวา่ การซอื ้ สนิ ค้าขา เข้า หรือกลา่ วอีก นยั หนง่ึ คือเศรษฐกิจของประเทศจะมนั่ คงก็ตอ่ เมือ่ ประเทศนนั้ มี ดลุ การค้าทเี่ กินดลุ ทงั้ นี ้เพราะเห็นวา่ การท่ปี ระเทศมี ดลุ การค้าเกินดลุ ทาให้มที องคาและเงินตราไหลเข้า ประเทศมากๆจะเป็นการสง่ เสริมการจ้างงานภายในประเทศ เนอื่ งจาก เมอ่ื ประเทศมปี ริมาณเงินหมนุ เวยี นมากจะทาให้การค้าเจริญ เมอ่ื การค้าเจริญการผลติ ยอ่ มเพมิ่ ขนึ ้ ตาม สง่ ผลให้เกิดการ วา่ จ้างแรงงานเพม่ิ ขนึ ้ ในที่สดุ ประชาชนจะมคี วามอยดู่ กี ินดเี น่อื งจากมงี านทาและมีรายได้เพม่ิ ขนึ ้ นอกจากนี ้นกั พาณิชย์ นิยมยงั มคี วามเช่ือวา่ การทีป่ ระเทศจะมง่ั คงั่ คอื มดี ลุ การค้าทเี่ กินดลุ นนั้ รัฐจะต้องเข้ามามบี ทบาทในการแทรกแซงกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านการค้ากบั ตา่ งประเทศ กลา่ วคือ รัฐจะต้องสง่ เสริมให้มกี ารสง่ ออกให้มากพร้อมกบั ให้มี การจากดั การนาเข้า สนิ ค้าจากตา่ งประเทศ รัฐจะเป็นผ้กู าหนดนโยบายการค้าและนโยบายด้านเศรษฐกจิ อ่นื ๆ โดยเอกชน เป็นผ้ดู าเนนิ การตามนโยบายของรัฐ กลา่ ว โดยสรุป แนวความคดิ ของลทั ธิพาณิชย์นิยมไมส่ นบั สนนุ แนวความคดิ ของระบบเศรษฐกิจแบบเสรี แตเ่ ป็นลทั ธิท่ี สนบั สนนุ ให้รัฐบาลมีบทบาทในการควบคมุ และแทรกแซงกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ โดยพยายามทาให้ประเทศมดี ลุ การค้าท่ี เกินดลุ มากๆแล้วเศรษฐกิจของประเทศจะ มงั่ คง่ั ประชาชนจะมคี วามเป็นอยทู่ ด่ี ขี นึ ้ ตอ่ มาในคริสต์ศตวรรษท่ี 18 อดมั สมทิ (Adam Smith) ศาสตราจารย์แหง่ มหาวิทยาลยั กลาสโกว์ ซงึ่ เป็นแกนนาของนกั เศรษฐศาสตร์สานกั คลาสสกิ (classical school) ได้เขียนหนงั สอื ช่ือ An Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หรือทนี่ ิยมเรียกสนั ้ ๆวา่ The Wealth of Nations ใน ค.ศ. 1776 นบั ได้วา่ เป็นตารา เศรษฐศาสตร์เลม่ แรกและยิง่ ใหญ่ทีส่ ดุ เลม่ หนงึ่ ของโลกมาจนถึงปัจจบุ นั ซง่ึ ทาให้อดมั สมทิ ได้รับการยอมรับและยกยอ่ ง ให้เป็น บดิ าแหง่ วชิ าเศรษฐศาสตร์ แนว คดิ หลกั ของสานกั คลาสสกิ สนบั สนนุ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนยิ ม (laissez-faire) โดยจากดั บทบาทของรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจเพราะมีความเชื่อวา่ ระบบเศรษฐกิจแบบ เสรีนิยม จะทาให้ประเทศพฒั นา ไปได้ด้วยดี เศรษฐกิจของประเทศจะมคี วามมง่ั คง่ั ก็ตอ่ เมอื่ รัฐบาลแทรกแซงหรือมบี ทบาทใน กิจกรรมทางเศรษฐกิจให้น้อย ทส่ี ดุ (ไมแ่ ทรกแซงเลยดที ีส่ ดุ ) รัฐบาลมีหน้าทเี่ พยี งแตค่ อยอานวยความสะดวก รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และปอ้ งกนั ประเทศ ปลอ่ ยให้เอกชน เป็นผ้ดู าเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกิจอยา่ งเสรี นน่ั คอื สมิทเช่ือใน พลงั งานกลไกตลาด
(ราคา) หรือ ทเ่ี ขาเรียกวา่ มอื ทมี่ องไมเ่ ห็น (invisible hand) นอกจากสมิทแล้วนกั เศรษฐศาสตร์ในกลมุ่ ของ คลาสสกิ ยงั มี ทอมสั มลั ทสั (Thomas Multhus) เดวดิ ริคาร์โด (David Ricardo) จอห์น มลิ ล์ (John Mill) หลงั จากกลมุ่ ของสานกั คลาสสกิ ก็เป็นกลมุ่ ของสานกั นีโอคลาสสกิ (neoclassical school) ซง่ึ เป็นสานกั เศรษฐศาสตร์ที่ ก่อตวั และพฒั นาขนึ ้ ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 19 แนวคิดหลกั ของสานกั นโี อคลาสสกิ สว่ นมากสบื ตอ่ หรือดดั แปลง แก้ไขมาจากแนวคดิ ของ สานกั คลาสสกิ โดยเช่ือวา่ การแขง่ ขนั อยา่ งเสรีจะเป็นแรงผลกั ดนั ให้เศรษฐกิจมคี วามมง่ั คง่ั นน่ั คือ สนบั สนนุ แนวคดิ ของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีเชน่ เดยี วกบั ของสานกั คลาสสกิ นอกจากนนั้ ยงั เน้นให้เหน็ วา่ เนือ่ งจาก ทรัพยากรมจี านวนจากดั ดงั นนั้ ผ้บู ริโภคจะต้องพยายามเลอื กบริโภคสนิ ค้าและบริการเพอื่ ให้ได้รับความ พอใจสงู สดุ และ เชน่ เดียวกนั ผ้ผู ลติ จะต้องตดั สนิ ใจเลอื กวิธีการผลติ ท่ที าให้เสยี ต้นทนุ ตา่ ทสี่ ดุ หรือให้ ได้กาไรสงู สดุ นน่ั คอื แตล่ ะฝ่าย จะต้องพยายามใช้ทรัพยากรอยา่ งค้มุ คา่ และประหยดั ที่สดุ นกั เศรษฐศาสตร์ทีเ่ ป็นผู้ วางรากฐานแนวคิดท่สี าคญั ของ สานกั นโี อคลาสสกิ คอื อลั เฟรด มาร์แชลล์ นอกจากนี ้ยงั มเี ลอง วาลรา ( Walras) วลิ เฟรโด พาเรโต (Vilfredo Pareto) ฯลฯ นอกจากนี ้นกั เศรษฐศาสตร์ของทงั้ สานกั คลาสสกิ และนโี อคลาสสกิ ตา่ งมีความเช่ือวา่ อปุ ทานจะเป็นตัวสร้างอปุ สงค์ (supply creates its own demand) ซงึ่ แนวคดิ ดงั กลา่ วเป็นท่ีรู้จกั กนั วา่ คือ กฎของเซย์ (Say's law) ซงึ่ มีสาระสาคญั วา่ อปุ ทานจะเป็นตวั กระต้นุ ให้เกิดอปุ สงค์ กลา่ ว คือ ไมว่ า่ ผ้ผู ลติ จะผลติ สนิ ค้าหรือบริการอะไรออกมาก็จะมผี ้รู ับซือ้ อยู่ ตลอดเวลา นนั่ คือ จะไมเ่ กิดภาวะสนิ ค้าล้นตลาด ภาวะเศรษฐกิจตกตา่ หรือเกิดการวา่ งงาน ซง่ึ ตอ่ มาแนวความคิดนไี ้ ม่ ตรงกบั ความเป็นจริง เนือ่ งจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่าอยา่ งรุนแรง เกิดปัญหาการวา่ งงานจานวนมากใน ค.ศ. 1930 ซงึ่ กฎของเซย์ไมส่ ามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจทเ่ี กิดขนึ ้ ดงั กลา่ วได้ ในขณะนนั ้ จอห์น เคนส์ (John Keynes) แกนนาแนวคดิ ทางเศรษฐศาสตร์สานกั เคนส์ (Keynesian Economics) ได้ เขยี นหนงั สอื ช่ือ The General Theory of Employment, Interest and Money ซง่ึ ถือวา่ เป็นตาราเศรษฐศาสตร์มห ภาคเลม่ แรกของโลก ใน ค.ศ. 1936 เพ่ืออธิบายถงึ สาเหตขุ องภาวะสนิ ค้าล้นตลาด เศรษฐกิจตกตา่ และการวา่ งงาน จานวนมากตลอดจนวธิ ีการแก้ไข นบั เป็นครัง้ แรกของวงการเศรษฐศาสตร์ท่ีได้มีการศกึ ษาเศรษฐศาสตร์โดยรวมของ ทงั้ ระบบเศรษฐกิจหรือของทงั้ ประเทศ เคนส์มคี วามเชื่อวา่ แนวความคดิ ทถี่ กู ต้องคอื อปุ สงค์จะเป็นตวั กาหนดอปุ ทาน ซงึ่ ตรง ข้ามกบั กฎของเซย์ โดยอปุ สงค์และอปุ ทานดงั กลา่ วเป็นตวั มวลรวมของทงั้ ประเทศ เคนสอ์ ธิบายวา่ สาเหตทุ ่ีทาให้เกิดภาวะ เศรษฐกิจตกตา่ คอื การทรี่ ะบบเศรษฐกจิ มี อปุ สงค์มวลรวมน้อยเกินไป ดงั นนั้ วธิ ีแก้ไขคอื การเพิม่ อปุ สงค์มวลรวมของระบบ เศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการ เงินการคลงั จะเห็นได้วา่ เคนสเ์ ป็นนกั เศรษฐศาสตร์คนแรกของโลกทก่ี ลา่ วถงึ หรือให้ความ สนใจ กบั เศรษฐกิจมวลรวม อนั เป็นมลู เหตทุ ที่ าให้มีการแยกศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคเศรษฐกิจ สว่ นยอ่ ยซงึ่ เรียกวา่ เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค กบั ภาคเศรษฐกิจสว่ นรวมซง่ึ เรียกวา่ เศรษฐศาสตร์มหภาค และยกยอ่ ง ให้เคนส์ เป็น บิดาของวชิ าเศรษฐศาสตร์มหภาค
ความเป็นมาของวชิ าเศรษฐศาสตร์ในประเทศไทย สาหรับ ประเทศไทยเป็นทเี่ ชื่อกนั วา่ การดาเนนิ การเก่ียวกบั เศรษฐกิจตงั้ แตส่ มยั สโุ ขทยั เป็นต้น มาอาศยั แนวความคิดเศรษฐกิจแบบเสรี ดงั จะเหน็ ได้จากหลกั ศิลาจารึกในสมยั พ่อขนุ รามคาแหงมหาราชมีใจความตอนหนงึ่ วา่ ใครจกั ใคร่ค้าช้างค้า ใครจกั ใคร่ค้าม้าค้า ใครจกั ใคร่ค้าเงินค้าทองค้า ไพร่ฟา้ หน้าใส อยา่ ง ไรก็ตาม ในสมยั นนั้ ยงั ไมม่ กี าร รวบรวมความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ไว้เป็นหลกั เกณฑ์ ทีแ่ นน่ อน จนกระทงั่ ในปี พ.ศ. 2454 พระยาสรุ ิยานวุ ตั รได้แตง่ ตารา เศรษฐศาสตร์เลม่ แรกขนึ ้ มีชื่อวา่ ทรัพยศาสตร์ โดย มีสาระเกีย่ วกบั การสร้างทรัพย์และผลตอบแทนในรูปตา่ งๆ ได้แก่ คา่ เชา่ คา่ จ้าง กาไร ฯลฯ แตก่ ็มไิ ด้นาออกเผยแพร่ในขณะนนั้ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2475 จึงได้พิมพ์เผยแพร่โดยใช้ชื่อวา่ เศรษฐศาสตร์วิทยาภาคต้น เลม่ 1 และในปี พ.ศ. 2459 กรมหม่ืนพทิ ยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ได้ ทรงแตง่ ตาราเร่ือง ตลาด เงินตรา ขนึ ้ แตก่ ็ไมเ่ ป็นทแ่ี พร่หลายนกั การ ศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ของประเทศไทยเร่ิมขนึ ้ อยา่ งจริงจงั เมอ่ื มกี ารก่อตงั้ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์และ การเมอื งในปี พ.ศ. 2477 โดยได้มีการเปิดสอนวชิ าเศรษฐศาสตร์ ซงึ่ ในขณะนนั้ ได้มผี ้รู ู้ทางเศรษฐศาสตร์ของไทยแตง่ ตารา เศรษฐศาสตร์เพิ่มเตมิ จากเดมิ ได้แก่ นายสหสั กาญจนพงั คะ แปลตาราช่ือ หลกั เศรษฐศาสตร์ของชาลส์ จีด จาก ตารา The Principles of Political Economy ของศาสตราจารยช์ าลส์ จีด (Charles Gide) ในปี พ.ศ. 2479 พระสารสาส์ นพลขนั ธ์ได้แตง่ ตาราชื่อ เศรษฐศาสตร์วา่ ด้วยการค้า และ เศรษฐศาสตร์วา่ ด้วยการเงิน ในปี พ.ศ. 2480 และ 2481 ตามลาดบั อยา่ ง ไรก็ตาม การศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ต้องหยดุ ชะงกั ไปชวั่ คราวอนั เนือ่ งจากเกิดสงครามโลก ครัง้ ท่ี 2 โดย ภายหลงั จากสงครามสงบลง ในปี พ.ศ. 2492 มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์และการเมืองได้จดั แบง่ การศกึ ษาออกเป็น สาขาวชิ าตา่ งๆ 4 คณะด้วยกนั คอื คณะเศรษฐศาสตร์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบญั ชี คณะรัฐศาสตร์ และคณะ นิติศาสตร์ นบั ตงั้ แตน่ นั้ มาจงึ ได้มกี ารศกึ ษา วชิ าเศรษฐศาสตร์กนั อยา่ งแพร่หลายในสถาบนั การศกึ ษาตา่ งๆ ทงั้ ในระดบั ปริญญาตรี ปริญญาโท และปัจจบุ นั ในระดบั ปริญญาเอก รวมทงั้ ได้ขยายการศกึ ษาออกไปสรู่ ะดบั ต่ากวา่ ปริญญาตรีด้วย ประโยชน์ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ ก่อนทจ่ี ะกลา่ วถงึ ประโยชน์ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ คาถามหนงึ่ ที่นา่ สนใจคอื ทาไมเราจงึ ต้องศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์ จาก ความหมายของวชิ าเศรษฐศาสตร์ดงั กลา่ วมาแล้ว จะเหน็ ได้วา่ ประเทศตา่ งๆในโลกตา่ งต้องประสบกบั ปัญหาพนื ้ ฐาน ทางเศรษฐกิจร่วม กนั อนั เนื่องมาจากความไมส่ มดลุ ระหวา่ งปริมาณของทรัพยากรทางเศรษฐกจิ ทม่ี ีอยู่ อยา่ งจากดั กบั ความต้องการของมนษุ ย์ท่ีมีไมจ่ ากดั ทาให้จาเป็นต้องมกี ารศกึ ษาวชิ าเศรษฐศาสตร์เพือ่ หาวธิ ีการท่ีดีที่สดุ ท่จี ะนา มาใช้ จดั สรรทรัพยากรท่มี ีอยอู่ ยา่ งจากดั ไปในการผลติ สนิ ค้าและบริการเพือ่ ตอบ สนองความต้องการของมนษุ ย์ทมี่ ีไมจ่ ากดั ให้ เกิด ประสทิ ธิภาพสงู สดุ อยา่ งไรก็ตาม ไมใ่ ชว่ า่ เฉพาะแตผ่ ้เู รียนทางด้านเศรษฐศาสตร์เทา่ นนั้ ทจ่ี าเป็นต้อง ศกึ ษาวิชาการนี ้ ผ้เู รียนในสาขาอนื่ ๆรวมทงั้ ประชาชนทว่ั ไปก็ควรมคี วามรู้พนื ้ ฐานทางด้าน เศรษฐศาสตร์ด้วย เพือ่ จะได้มคี วามเข้าใจใน ปัญหาเศรษฐกจิ ไมว่ า่ จะเป็นในระดบั สว่ นตวั ครอบครัว หรือระดบั ของประเทศ ซงึ่ เป็นทย่ี อมรับกนั ทว่ั ไปว่าปัญหาด้าน
เศรษฐกิจเป็นปัญหาทท่ี กุ ๆคนไม่ สามารถหลกี เลยี่ งได้เน่อื งจากเป็นปัญหาในชวี ิตประจาวนั ของแตล่ ะบคุ คล ดงั นนั้ การมี ความรู้พนื ้ ฐาน ทางด้านเศรษฐศาสตร์จะเป็นประโยชน์ตอ่ ตวั ของบคุ คลนนั้ ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม ผ้ศู กึ ษาวิชาเศรษฐศาสตร์สามารถนาเอาความรู้ทไี่ ด้รับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านตา่ งๆ มากมายดงั นี ้ 1. ในฐานะผ้บู ริโภค ทาให้ผ้บู ริโภคตดั สนิ ใจเลอื กบริโภคสนิ ค้าและบริการท่ที าให้ตนได้รับความพอใจ สงู สดุ ภายใต้ ระดบั รายได้ทีม่ ีอยู่ เป็นการใช้ทรัพยากรอยา่ งประหยดั ค้มุ คา่ และเกิดประโยชน์มากท่สี ดุ นอกจากนี ้ยงั ทาให้ผู้บริโภคมี ความเข้าใจในการเปลยี่ นแปลงของปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจท่ี เกิดขนึ ้ และสามารถปรับตวั ให้เข้ากบั สถานการณ์นนั้ ๆได้ เป็นอยา่ งดี เช่น สามารถคาดคะเนการเปลย่ี นแปลงของราคาสนิ ค้าและบริการได้อยา่ งถกู ต้องและมี เหตมุ ผี ล กาหนด แผนการบริโภค การออม และการดาเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ในชีวติ ประจาวนั ได้อยา่ งเหมาะสม เป็นต้น 2. ในฐานะผ้ผู ลติ ทาให้ผ้ผู ลติ ตดั สนิ ใจเลอื กใช้ทรัพยากรท่มี ีอยอู่ ยา่ งจากดั ไปในการผลติ สนิ ค้าและบริการอยา่ งค้มุ คา่ ประหยดั ช่วยลดต้นทนุ การผลติ ทาให้ธรุ กจิ ได้รับกาไรเพมิ่ ขนึ ้ และใน ทานองเดียวกบั ผ้บู ริโภคคือทาให้ผ้ผู ลติ มคี วาม เข้าใจในปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ ทเ่ี กดิ ขนึ ้ เช่น เข้าใจ ในความเป็นไปของปรากฏการณ์ของวฏั จกั รเศรษฐกิจวา่ โดย ปกตเิ ศรษฐกิจจะมีการ เปลย่ี นแปลงขนึ ้ ๆ ลงๆอยา่ งนเี ้ร่ือยไป ทาให้ผ้ผู ลติ สามารถตดั สนิ ใจเลอื กลงทนุ ในการดาเนนิ ธุรกิจ เหมาะสมกบั สถานการณ์ ในขณะนนั้ ๆ เป็นต้น 3. ในฐานะรัฐบาล การท่รี ัฐบาลมคี วามรู้ทางเศรษฐศาสตร์จะทาให้เข้าใจลกั ษณะและโครงสร้างทาง เศรษฐกิจของ ประเทศ สามารถวเิ คราะห์ถงึ สาเหตขุ องปัญหาทางเศรษฐกิจและหาแนวทาง แก้ไข โดยกาหนดออกมาเป็นแผนและ นโยบายทางเศรษฐกิจทจ่ี ะนาไปใช้แก้ปัญหาให้เกิด ประสทิ ธิภาพ และประโยชน์สงู สดุ แก่ประเทศ เศรษฐศาสตร์จลุ ภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค ปัจจบุ นั นกั เศรษฐศาสตร์แยกการศกึ ษาเศรษฐศาสตร์ออกเป็น 2 สาขาใหญๆ่ คอื 1. เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค (microeconomics) เป็นการศกึ ษาพฤตกิ รรมทางเศรษฐกจิ ของหนว่ ยเศรษฐกิจใดหนว่ ย เศรษฐกิจหนง่ึ เชน่ การศกึ ษาพฤติกรรมการบริโภคของผ้บู ริโภครายใดรายหนง่ึ วา่ จะมกี ารตดั สนิ ใจใน การเลอื กบริโภค สนิ ค้าและบริการอยา่ งไร จานวนเทา่ ใด เพ่อื ให้บรรลเุ ปา้ หมายความพอใจสงู สดุ ภายใต้ขีดจากดั ของรายได้จานวนหนง่ึ พฤตกิ รรมของผ้ผู ลติ หรือผ้ปู ระกอบการในอตุ สาหกรรมใดอตุ สาหกรรมหนงึ่ วา่ จะ ตดั สนิ ใจเลอื กผลติ สนิ ค้าอะไร จานวน เทา่ ใด ด้วย วธิ ีการอยา่ งไร และจะกาหนดราคาเทา่ ไร จงึ จะได้กาไรสงู สดุ ศกึ ษาพฤตกิ รรมการลงทนุ การออมของ บคุ คล ใดบคุ คลหนง่ึ ศกึ ษากลไกตลาดและการใช้ระบบราคาเพ่ือการจดั สรรสนิ ค้า บริการ และทรัพยากร อ่นื ๆ จะเห็นได้วา่ เศรษฐศาสตร์จลุ ภาคสว่ นใหญ่จะเป็นการศกึ ษาเรื่องท่ีเก่ียวกบั ราคาในตลาดแบบตา่ งๆ นกั เศรษฐศาสตร์บางทา่ นจงึ เรียก วิชาเศรษฐศาสตร์อกี ชื่อหนงึ่ วา่ ทฤษฎีราคา (Price Theory)
2. เศรษฐศาสตร์มหภาค (macroeconomics) เป็นการศกึ ษาภาวะเศรษฐกิจโดยสว่ นรวม ทงั้ ระบบเศรษฐกิจหรือทงั้ ประเทศ อนั ได้แก่ การผลติ ของระบบเศรษฐกิจ การบริโภค การออม และการลงทนุ รวมของประชาชน การจ้างงาน ภาวะ การเงินและการคลงั ของประเทศ ฯลฯ เศรษฐศาสตร์มหภาคโดยทวั่ ไปจะครอบคลมุ หวั ข้อตา่ งๆ เชน่ รายได้ประชาชาติ วฏั จกั รเศรษฐกิจ เงินเฟอ้ และระดบั ราคา การคลงั และหนสี ้ าธารณะ เศรษฐศาสตร์ระหวา่ งประเทศ การเงินและสถาบนั การเงิน และเศรษฐศาสตร์การพฒั นา ฯลฯ ความสมั พนั ธ์ของวิชาเศรษฐศาสตร์กบั ศาสตร์อืน่ ๆ เศรษฐศาสตร์ เป็นวชิ าท่ีศกึ ษาพฤติกรรมของมนษุ ย์ในด้านตา่ งๆ เช่น การเลอื กการผลติ การบริโภค การดารงชีพ และการปฏบิ ตั ติ อ่ บคุ คลตา่ งๆทอ่ี ยใู่ นสงั คมเดียวกนั หรือตา่ งกนั ดงั นนั้ เศรษฐศาสตร์จงึ เป็นวชิ าหนงึ่ ของสงั คมศาสตร์ ซง่ึ เป็นการศกึ ษาปัญหาตา่ งๆท่เี กิดขนึ ้ ในหมมู่ นษุ ย์ท่ีมี ผลมาจากการอยรู่ วมกนั ในสงั คมและมีการดาเนนิ กิจกรรมตา่ งๆ ร่วมกนั ซงึ่ ในการศกึ ษาและการแก้ไข ปัญหาตา่ งๆ ตลอดจนการจดั ระเบยี บวิธีที่เกี่ยวกบั มนษุ ย์จาเป็นทว่ี ิชาเศรษฐศาสตร์ ต้องไป เกี่ยวข้องหรือสมั พนั ธ์กบั วชิ าอ่นื ๆในสงั คมศาสตร์ เช่น การบริหารธุรกิจ รัฐศาสตร์ จิตวทิ ยา ประวตั ิศาสตร์ นิติศาสตร์ และอ่นื ๆ 1. เศรษฐศาสตร์กบั การบริหารธรุ กิจ มีความสมั พนั ธ์กนั กลา่ วคอื ในการศกึ ษาเศรษฐศาสตร์นนั้ สว่ นหนง่ึ จะเป็น การศกึ ษาเก่ียวกบั พฤตกิ รรมของผู้ ผลติ เช่น การศกึ ษาทฤษฎีการผลติ ต้นทนุ การผลติ และตลาด ฯลฯ จะเห็นได้วา่ แตล่ ะ หวั ข้อจะมีความเก่ียวข้องกบั การตดั สนิ ใจในการดาเนนิ ธุรกจิ ดงั นนั้ กลา่ วได้วา่ การบริหารธุรกิจสว่ นหนง่ึ เป็นการนาความรู้ ทางเศรษฐศาสตร์ มาประยกุ ต์ เพื่อให้การดาเนินธรุ กิจเป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ นน่ั คือ ให้ได้รับกาไรสงู สดุ และธรุ กิจ เจริญเตบิ โตก้าวหน้า 2. เศรษฐศาสตร์กบั รัฐศาสตร์ มี ความสมั พนั ธ์กนั ในแงท่ วี่ า่ แตล่ ะประเทศจะไมส่ ามารถพฒั นาเศรษฐกิจให้เจริญ รุ่งเรืองได้หากประเทศไมม่ เี สถียรภาพทางการเมอื ง เนอื่ งจากนกั ลงทนุ ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศไมม่ ีความมนั่ ใจจงึ ชะลอการลงทนุ ทาให้เศรษฐกิจเข้าสภู่ าวะถดถอย ในทางกลบั กนั หากนกั ลงทนุ มคี วามมนั่ ใจในสถานการณ์ทางการเมอื ง การลงทนุ จะเพิ่มขนึ ้ ทาให้เศรษฐกิจเจริญเตบิ โต ดงั นนั้ อาจกลา่ วได้วา่ ปัญหาการเมอื งกบั ปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหา ควบคกู่ นั ไม่ สามารถแยกจากกนั ได้ กลา่ วคอื จะต้องพฒั นาไปพร้อมๆกนั ประเทศจึงจะมกี ารพฒั นาอยา่ งมนั่ คงและมี เสถียรภาพ 3. ศรษฐศาสตร์กบั นติ ศิ าสตร์ มี ความสมั พนั ธ์กนั ในลกั ษณะทกี่ ฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ท่ีใช้ควบคมุ พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ในสงั คม และสว่ นหนงึ่ จะต้องเกย่ี วข้องกบั พฤตกิ รรมทางเศรษฐกจิ ดงั นนั้ หากนกั กฎหมายมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ยอ่ มจะเป็นผลดีตอ่ การตราหรือออก ใช้กฎหมายทเี่ ก่ียวข้องกบั เศรษฐกจิ ของประเทศ ในทานองเดยี วกนั เนอื่ งจาก กฎหมายเป็นเครื่องมือสาคญั ที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกจิ ของประเทศ ดงั นนั้ นกั เศรษฐศาสตร์เองจาเป็นจะต้องมี ความรู้เก่ยี วกบั กฎหมายด้วย ทงั้ นี ้เพ่อื การใช้กฎหมายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะได้เป็นไปตามทีม่ งุ่ หวงั
4. เศรษฐศาสตร์กบั ประวตั ศิ าสตร์ วิชา ประวตั ิศาสตร์เป็นการศกึ ษาเก่ียวกบั เหตกุ ารณ์ในอดตี ซงึ่ สว่ นหนงึ่ สามารถใช้ เป็นบทเรียนหรือเป็นแนวทางในการวางแผนพฒั นาและแก้ ปัญหาเศรษฐกิจ อยา่ งน้อยที่สดุ ประวตั ศิ าสตร์จะเป็นกระจกที่ สะท้อนให้เห็นถงึ ลาดบั ของ เหตกุ ารณ์ในอดตี ท่ี เกิดขนึ ้ ความรู้เกี่ยวกบั ประวตั ิศาสตร์จงึ เป็นเร่ืองทม่ี คี วามสาคญั ตอ่ ทกุ สาขาวชิ า รวมทงั้ วชิ าเศรษฐศาสตร์ด้วย ดงั จะเหน็ ได้จากปัจจบุ นั ได้มีการจดั การเรียนการสอนวิชาประวตั ิศาสตร์ เศรษฐกิจ ซงึ่ เป็นสาขาหนงึ่ ของการเรียนการสอนทางด้านเศรษฐศาสตร์ในระดบั มหาวิทยาลยั 5. เศรษฐศาสตร์กบั จิตวทิ ยา เนอ่ื ง จากวชิ าเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องท่ศี กึ ษาเกี่ยวกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ ดงั นนั้ ความรู้ ในด้านจิตวทิ ยาจงึ มสี ว่ นสาคญั ตอ่ การเรียนรู้ทางเศรษฐศาสตร์ เพราะตา่ งก็ศกึ ษาเร่ืองเก่ียวกบั พฤตกิ รรมของมนษุ ย์ เชน่ การจะอธิบายปรากฏการณ์บางอยา่ งทเี่ ก่ียวกบั เศรษฐศาสตร์ เชน่ การเลอื กบริโภคสนิ ค้าของผ้ซู ือ้ ถ้ามคี วามรู้เกย่ี วกบั จิตวิทยาของมนษุ ย์ยอ่ มชว่ ยให้เข้าใจการกระทาบางอยา่ ง ของมนุษย์ได้ ในเวลาเดยี วกนั นกั จิตวทิ ยาอาจนาความรู้ทาง เศรษฐศาสตร์มาอธิบายพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ได้ 6. เศรษฐศาสตร์กบั คณิตศาสตร์และสถิติ สาขา หนงึ่ ของวชิ าเศรษฐศาสตร์ทศ่ี กึ ษากนั อยใู่ นปัจจบุ นั คือการศกึ ษา เศรษฐศาสตร์ เชงิ ปริมาณ ซง่ึ เป็นวชิ าทต่ี ้องอาศยั คณิตศาสตร์และสถิติเป็นเคร่ืองมอื ในการศกึ ษา วเิ คราะห์เพ่อื หา ความสมั พนั ธ์ของตวั แปรทางเศรษฐกจิ ตา่ งๆหรือเพอ่ื อธิบาย ความสมั พนั ธ์ของตวั แปรทางเศรษฐกิจเหลา่ นนั้ กลา่ ว โดยสรุป เศรษฐศาสตร์มิใช่วิชาเอกเทศ ผ้ทู ี่จะศกึ ษาเศรษฐศาสตร์ได้ดแี ละสามารถนา ความรู้ทาง เศรษฐศาสตร์ไปใช้ให้เกิดผลจาเป็นจะต้องมคี วามรู้ความเข้าใจศาสตร์ อนื่ ๆด้วย แตก่ ็มิได้ หมายความวา่ จะต้อง ศกึ ษาศาสตร์ทกุ แขนงโดยละเอยี ด เพราะอาจเป็นเรื่องสดุ วิสยั ท่ีจะทาได้ การศกึ ษา ศาสตร์อ่ืนๆเฉพาะในแง่ที่มี ความสมั พนั ธ์กบั เศรษฐศาสตร์จะชว่ ยให้ผ้ศู กึ ษา เข้าใจวิชาเศรษฐศาสตร์ได้ดีขึน้ ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกจิ เนื่อง จากความต้องการของมนษุ ย์โดยทว่ั ไปมีอยไู่ มจ่ ากดั (unlimited wants) แตท่ รัพยากร ของโลกมอี ยอู่ ยา่ ง จากดั (limited resources) หรือเป็นของหายากและใช้หมด (scarce) จงึ เกิดปัญหาวา่ จะทาอยา่ งไรจึงจะจดั สรรหรือใช้ ทรัพยากรที่มีอยอู่ ยา่ งจากดั นนั้ ไปในการผลติ สนิ ค้าและบริการเพอื่ บาบดั ความต้องการของมนษุ ย์ให้ได้มากท่ี สดุ และเกิด ประโยชน์สงู สดุ ปัญหานกี ้ ค็ อื ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกจิ ซงึ่ ทกุ ๆประเทศในโลกไมว่ า่ จะมีระบบ เศรษฐกิจแบบใดก็ตาม ตา่ งต้องประสบกบั ปัญหาดงั กลา่ วทงั้ สนิ ้ ซงึ่ สามารถแบง่ ออกเป็น 3 ปัญหา คือ 1. ผลติ อะไร (what to produce) เนื่องจากทรัพยากรทางเศรษฐกจิ ของโลกมจี ากดั และไมส่ ามารถตอบสนองความ ต้องการ ทงั้ หมดของมนษุ ย์ได้ จงึ จาเป็นต้องมีการเลอื กวา่ จะผลติ สนิ ค้าและบริการอะไรบ้าง ผลติ ในจานวนเทา่ ใด ลาดบั ของการผลติ ควรเป็นอยา่ งไร อะไรควรผลติ ก่อน อะไรควรผลติ หลงั เนื่องจากทรัพยากรมจี ากดั ไมพ่ อเพยี งกบั ความ ต้องการ เราจงึ ควรเลอื กผลติ สนิ ค้า และบริการซง่ึ เป็นทีต่ ้องการและมีความจาเป็นมากทส่ี ดุ กอ่ นเป็นลาดบั แรก และผลติ ตามความต้องการ ลดหลน่ั ลงมาเร่ือยๆ ทงั้ นี ้เพื่อให้สนิ ค้าและบริการทผ่ี ลติ ขนึ ้ มาได้นนั้ สามารถนาไปใช้ตอบสนองความ
ต้องการของมนษุ ยใ์ ห้ได้มากที่สดุ เพราะถ้าไมผ่ ลติ ตามความต้องการแล้วสนิ ค้าและบริการทผ่ี ลติ ขนึ ้ มา ได้ก็จะเกดิ การสญู เปลา่ เนอื่ งจากไมไ่ ด้ถกู นาไปใช้ ถือเป็นการสญู เสยี ทรัพยากรไปโดยเปลา่ ประโยชน์ 2. ผลติ อยา่ งไร (how to produce) เม่อื ทราบแล้ววา่ จะผลติ อะไร จานวนเทา่ ใด ปัญหาตอ่ มากค็ อื จะเลอื กใช้เทคนคิ การผลติ อยา่ งไรจงึ จะทาให้การผลติ สนิ ค้าและ บริการนนั้ เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ กลา่ วคอื มีต้นทนุ การผลติ ตอ่ หนว่ ย ต่าทีส่ ดุ โดยให้ได้ผลผลติ ตามที่ต้องการ คาวา่ ประสทิ ธิภาพ (ต้นทนุ การผลติ ตอ่ หนว่ ยตา่ ทีส่ ดุ ) หมายถึง 3. ผลติ สนิ ค้าและบริการให้ได้จานวนหนว่ ยของผลผลติ ตามทตี่ ้องการ โดยใช้ทรัพยากร หรือปัจจยั การผลติ ให้น้อยท่ีสดุ 4. ผลติ สนิ ค้าและบริการให้ได้จานวนหนว่ ยของผลผลติ มากทสี่ ดุ ภายใต้ต้นทนุ การผลติ จานวนหนงึ่ ซงึ่ ถ้าเป็นไปใน ลกั ษณะใดลกั ษณะหนงึ่ ดงั กลา่ วจะถือวา่ เป็นการผลติ ที่มี ประสทิ ธิภาพสงู สดุ ผลติ เพื่อใคร (for whom to produce) ปัญหาสดุ ท้ายคอื สนิ ค้าและบริการท่ผี ลติ ขนึ ้ มาได้แล้วนนั้ จะจาหนา่ ยจา่ ย แจกหรือกระจายไปยงั บคุ คลตา่ งๆในสงั คมอยา่ งไร (ให้แกใ่ คร จานวนเทา่ ใด) จงึ จะเหมาะสมและเกิดความยตุ ิธรรม เพ่ือ แตล่ ะบคุ คลจะได้ประโยชน์สงู สดุ จากสนิ ค้าและบริการนนั้ แนวทางการแก้ไขปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกิจ ไม่ วา่ จะเป็นระบบเศรษฐกิจแบบใดตา่ งก็ประสบกบั ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกิจดงั กลา่ ว ทงั้ สนิ ้ อยา่ งไรกต็ าม ระบบเศรษฐกิจแตล่ ะระบบตา่ งก็มวี ิธีการแก้ไขปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกิจที่แตก ตา่ งกนั ไปดงั นี ้ 1. ระบบเศรษฐกิจแบบทนุ นยิ มหรือเสรีนิยม (capitalism) จะใช้กลไกตลาด (ราคา) หรือทีม่ กั เรียกวา่ มอื ทีม่ องไมเ่ หน็ เป็นเครื่องมือหรือกลไกในการแก้ไขปัญหาดงั กลา่ ว กลา่ วคอื ราคา จะเป็นตวั ชว่ ยตอบปัญหาตา่ งๆตงั้ แตเ่ ร่ิมผลติ อะไร อยา่ งไร และเพ่ือใคร ปกติสนิ ค้าและบริการใดทเ่ี ป็นทตี่ ้องการผ้บู ริโภคก็จะเสนอราคาซือ้ สงู นนั่ คือ ราคาจะเป็นตวั สะท้อน ท่ีทาให้ผ้ผู ลติ ทราบความต้องการของผ้บู ริโภค ทาให้ผ้ผู ลติ สามารถผลติ สนิ ค้าและบริการตรงกบั ความต้องการของ ผ้บู ริโภค ปัญหาทีว่ า่ ผลติ อยา่ งไร ซงึ่ เป็นปัญหาในเร่ืองของเทคนคิ การผลติ วา่ จะผลติ โดยเน้นใช้ปัจจยั แรงงานหรือ ปัจจยั ทนุ ก็ขนึ ้ อยกู่ บั ราคาโดยเปรียบเทยี บของปัจจยั แตล่ ะประเภท โดยมีหลกั วา่ ผ้ผู ลติ จะเลอื กผลติ หรือใช้ปัจจยั การผลติ ใน ประเภทที่ทาให้ต้นทนุ การผลติ ตอ่ หนว่ ยตา่ สดุ ซง่ึ ราคาก็เป็นเคร่ืองชีอ้ กี เชน่ เดียวกนั สาหรับปัญหา ผลติ เพอื่ ใคร กลา่ วคอื ใครควรจะได้รับการจดั สรรสนิ ค้าและบริการไปอปุ โภคบริโภคมากหรือน้อยเพยี งใด ก็ขนึ ้ อยกู่ บั ใครมีอานาจซอื ้ และเสนอ ราคาให้มากกวา่ ผ้ผู ลติ หรือผ้ขู ายก็จะเสนอขายสนิ ค้าและบริการนนั้ ไปให้ บคุ คลนนั้ ก็จะได้รับสนิ ค้าและบริการไปอปุ โภค บริโภคตอบสนองความต้องการของตน โดยสรุป ภายใต้ระบบเศรษฐกิจนีร้ าคาจะเป็นเครื่องมือหรือกลไกทสี่ าคญั ในการ ชว่ ยแก้ไข ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกจิ
2. ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมวิ นสิ ต์ แนว ทางการแก้ไขปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกิจจะถกู กาหนดมาจากสว่ นกลางหรือ รัฐบาล กลา่ วคือ รัฐบาลจะเป็นผ้วู างแผนดาเนินการสง่ั การแตเ่ พยี ง ผ้เู ดียว เอกชนมหี น้าที่ปฏบิ ตั ติ ามคาสงั่ ของรัฐ รัฐจะ เป็นผ้กู าหนดวา่ จะผลติ อะไร จานวนเทา่ ใด อยา่ งไร และจาหนา่ ยจ่ายแจกหรือกระจายสนิ ค้าและบริการไปให้กบั ใคร 3. ระบบเศรษฐกิจแบบสงั คมนยิ ม เน่ือง จากระบบเศรษฐกิจแบบสงั คมนิยมเป็นระบบ เศรษฐกิจทม่ี ลี กั ษณะใกล้เคียง กบั ระบบเศรษฐกจิ แบบคอมมิวนสิ ต์ ดงั นนั้ แนวทางการแก้ไขปัญหาพนื ้ ฐานของระบบเศรษฐกิจนจี ้ ึงใช้กลไกรัฐเป็นกลไก สาคญั ใน การจดั สรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ เชน่ เดยี วกบั ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมวิ นสิ ต์ อยา่ งไรก็ตาม มกี ารใช้กลไก ราคาอยบู่ ้าง แตย่ งั มบี ทบาทคอ่ นข้างจากดั 4. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม แนวทางการแก้ไขปัญหาจะใช้ทงั้ กลไกราคาและกลไกรัฐร่วมกนั ไป กลา่ วคอื กิจการทีเ่ ป็น กิจการทีม่ คี วามสาคญั ตอ่ ประชาชนโดยสว่ นรวม เชน่ กจิ การสาธารณปู โภค สาธารณปู การ รัฐจะเป็นผ้ดู าเนนิ การเพอ่ื ให้บริการกบั ประชาชนเอง (กลไกรัฐ) แตก่ จิ การโดยทวั่ ไปจะปลอ่ ยให้เป็นไปตามระบบของกลไกตลาด (ราคา) สรุปท้ายบท เศรษฐศาสตร์ เป็นสาขาวชิ าหนงึ่ ของสงั คมศาสตร์ ศกึ ษาเก่ียวกบั การเลอื กวิธีการจดั สรรทรัพยากรท่มี อี ยอู่ ยา่ งจากดั ไปในการ ผลติ สนิ ค้าและบริการเพ่อื ตอบสนองความต้องการของมนษุ ย์ทมี่ ไี ม่จากดั ให้เกิด ประโยชน์มากทส่ี ดุ แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มีการพฒั นามาเป็นลาดบั ขนั้ กลา่ วคอื ลทั ธิ พาณิชย์นิยมคือพวกท่ีนิยมในการทาการค้า นกั พาณิชย์นยิ มมีความเชื่อวา่ ประเทศจะมคี วามมงั่ คงั่ ในทางเศรษฐกิจก็ ตอ่ เม่อื ประเทศมดี ลุ การค้าที่เกินดลุ โดยสนบั สนนุ ให้รัฐบาลเข้ามามบี ทบาทในการควบคมุ และแทรกแซงกิจกรรมทาง เศรษฐกิจ สานกั คลาสสกิ โดยการนาของอดมั สมิท (บิดาแหง่ วชิ าเศรษฐศาสตร์) เช่ือวา่ เศรษฐกจิ ของประเทศจะมง่ั คง่ั ก็ตอ่ เมอื่ รัฐไม่ เข้ามาแทรกแซงใน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยปลอ่ ยให้กลไกตลาด (ราคา) เป็นกลไกในการจดั สรรทรัพยากร สานกั นีโอคลาสสกิ คล้ายกบั ของกลมุ่ คลาสสกิ คือสนบั สนนุ แนวคดิ เศรษฐกิจแบบเสรี โดยเน้นให้มกี ารใช้ทรัพยากรอยา่ ง ค้มุ คา่ และประหยดั สา นกั เคนส์สนบั สนนุ ให้รัฐเข้ามามีบทบาทในกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยใช้นโยบายการเงินการคลงั เข้ามาเพอ่ื กระต้นุ เศรษฐกิจให้มกี ารขยายตวั ไปใน ทศิ ทางที่พงึ ประสงค์ ปัจจบุ นั เราแบง่ การศกึ ษาเศรษฐศาสตร์ออกเป็น 2 สาขา คอื เศรษฐศาสตร์จลุ ภาค (ศกึ ษาเกี่ยวกบั เศรษฐกจิ สว่ นยอ่ ย) กบั เศรษฐศาสตร์มหภาค (ศกึ ษาเกี่ยวกบั เศรษฐกิจสว่ นรวม) ผ้ทู ีจ่ ะศกึ ษาเศรษฐศาสตร์ได้ดแี ละสามารถนา
ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ไปใช้ให้ เกิดผล นอกจากจะต้องศกึ ษาเศรษฐศาสตร์ทงั้ สองสาขาเป็นอยา่ งดีแล้ว ยงั จะต้องมี ความรู้ความเข้าใจในศาสตร์อื่นๆในสว่ นท่ี เกย่ี วข้องกบั เศรษฐศาสตร์ด้วย เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ จิตวทิ ยา ประวตั ศิ าสตร์ บริหารธรุ กิจ คณิตศาสตร์และสถิติ เป็นต้น และจากความไมส่ มดลุ ระหวา่ งปริมาณทรัพยากรของโลกกบั ความต้องการ ของมนษุ ย์ ทาให้ทกุ ๆประเทศในโลกตา่ งประสบกบั ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกจิ 3 ประการ คอื ผลติ อะไร ผลติ อยา่ งไร และผลติ เพอ่ื ใคร ซง่ึ แนวทางการแก้ไขปัญหาพนื ้ ฐานก็ขนึ ้ อยกู่ บั วา่ ประเทศนนั้ ๆเป็นระบบ เศรษฐกิจแบบใด กลา่ วคอื หากเป็นระบบทนุ นยิ มจะใช้กลไกราคา ระบบคอมมวิ นสิ ต์จะใช้กลไกรัฐ ระบบเศรษฐกิจแบบสงั คมนิยมจะใช้ กลไกรัฐเป็นหลกั กลไกราคามบี ทบาทอยบู่ ้าง แตค่ อ่ นข้างจากดั สว่ นระบบเศรษฐกิจแบบผสมจะใช้ทงั้ กลไกราคาและ กลไกรัฐร่วมกนั ในการจดั สรร ทรพั ยากร นามาจากhttp://www.wphat.com/knowledge/onlinebooks/econ_ele/econ/eco1.htm
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: