อาจารย์ พรนชิ า เลสกั โรงเรียนเทศบาลสนั ป่ายาง หนอ่ ม
ความหมาย พระพทุ ธศาสนา (Buddhism) คือ ศาสนาท่ีถือวา่ ธรรมะเป็นความจริงสากล ที่ใครกต็ ามหากสิ้นกิเลสกจ็ ะ พลไดด้ ว้ ยตนเอง แต่ผทู้ ี่ไดบ้ าเพญ็ บารมีจนตรัสรู้ และสามารถต้งั พุทธบริษทั ปัจจุบนั ข้ึนได้ คือ พระพุทธโค ตม ซ่ึงเป็นองคห์ น่ึงในบรรดาสมั มาสัมพทุ ธเจา้ มากมายทไี่ ดเ้ คยต้งั พุทธบริษทั มาแลว้ และท่ีจะต้งั ตอ่ ไปใน อนาคต ยงั มีพระพุทธเจา้ อีกมากที่ตรัสรู้แต่ไมม่ ีบารมีพอใหต้ ้งั พทุ ธบริษทั ได้ จึงใหผ้ ลเฉพาะตวั เรียกวา่ ปัจเจกพทุ ธเจา้ จึงเห็นไดว้ า่ จากความสานึกดงั กล่าวขา้ งตน้ ทาใหช้ าวพุทธมีใจกวา้ ง เพราะถือเสียวา่ ธรรมะมิไดม้ ีใน พระพุทธศาสนาของพระโคตมเทา่ น้นั แต่คนดีท้งั หลายก็อาจจะพบธรรมะบางขอ้ ได้ และแมแ้ ต่ชาวพุทธเอง พระพุทธเจา้ ก็ทรงปรารถนาใหแ้ สวงหาและเขา้ ใจธรรมะดว้ ยตนเอง พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะที่พ่ึง คือ ผูช้ ่วยเก้ือกูลใหแ้ ตล่ ะคนสามารถพ่งึ ตนเองในท่ีสุด \"ตนของตนเป็นที่พ่ึง แก่ตนเอง\" อาจกล่าวไดว้ า่ พุทธศาสนิกท่ีแทจ้ ริง คือ ผทู้ ี่แสวงหาธรรมะดว้ ยตนเองและพบธรรมะดว้ ยตนเอง หรือกล่าวอีกนยั หน่ึงวา่ พยายามพฒั นาธาตุพทุ ธะในตวั เอง
ลกั ษณะคาสอนของพระพทุ ธศาสนา ลกั ษณะเด่นของพระพทุ ธศาสนา คือ เป็นศาสนาแห่งการวเิ คราะห์ กล่าวคือ เช่ียวชาญในการวเิ คราะห์ท้งั ความเป็นจริงและขอ้ ธรรมไดด้ ีเยย่ี มเป็นพิเศษ เช่น วิเคราะห์จิตไดล้ ะเอียดลอออยา่ งน่าอศั จรรยใ์ จ วเิ คราะห์ ธรรมะออกเป็นขอ้ ๆ อยา่ งละเอียดสุขมุ และประสานสัมพนั ธ์กนั เป็นระบบท่ีแน่นแฟ้น หากจะพยายาม อธิบายธรรมะขอ้ ใดสักขอ้ หน่ึง ก็จะตอ้ งอา้ งถึงธรรมะขอ้ อื่นๆ เก่ียวโยงไปท้งั ระบบ วธิ ีการวเิ คราะห์ธรรมะ อยา่ งน้ี บางสานกั ของศาสนาฮินดูไดเ้ คยทามาบา้ ง แตก่ ็ไม่สามารถทาไดเ้ ด่นชดั อยา่ งธรรมะที่สอนกนั ใน พระพุทธศาสนา จึงควรยกยอ่ งไดว้ า่ พระพทุ ธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการวเิ คราะห์ และเม่ือกล่าวเช่นน้ีกม็ ิได้ หมายความวา่ พระพุทธศาสนาไมส่ นใจดา้ นอื่นๆ ท้งั มิไดห้ มายความเลยไปถึงวา่ ศาสนาอื่นๆ ไม่รู้จกั วเิ คราะห์ หามิได้ ตอ้ งการหมายเพียงแตว่ า่ พระพทุ ธศาสนาเด่นกวา่ ศาสนาอ่ืนๆ ในดา้ นวิเคราะห์เทา่ น้นั และ ถา้ หากศาสนาตา่ งๆ จะพ่ึงพาอาศยั กนั และกนั กพ็ ระพทุ ธศาสนาน่ีแหละสามารถใหต้ วั อยา่ งในการวเิ คราะห์ ขอ้ ธรรมะไดอ้ ยา่ งดีเยย่ี ม ในขณะที่ศาสนาอื่นๆ อาจจะบริการดา้ นอื่นๆ ที่ไดป้ ฏิบตั ิมาอยา่ งเด่นชดั เช่น ศาสนาพราหมณ์ในเรื่องจารีตพิธีกรรม ศาสนาอิสลามในเรื่องกฎหมาย เป็ นตน้ แต่ท้งั น้ีแลว้ แต่วา่ สมาชิกแต่ ละคนของแตล่ ะศาสนาจะสนใจร่วมมือกนั ในทางศาสนามากนอ้ ยเพียงใด บ่อเกดิ ของพระพทุ ธศาสนา
แมช้ าวพุทธจะมีความสานึกวา่ สัมมาสัมพุทธเจา้ ไดม้ ีมาแลว้ มากมายในอดีต และจะมีอีกมากมายตอ่ ไปใน อนาคต แต่อยา่ งไรก็ตาม คาสอนของอดีตพระพทุ ธเจา้ ไม่เหลือหลกั ฐานไวใ้ หศ้ ึกษาไดอ้ ีกแลว้ ส่วนคาสอน ของพระพุทธเจา้ ท่ีจะมาในอนาคตก็ยงั ไมม่ ีใครรู้ ดงั น้นั บ่อเกิดของพระพุทธศาสนาในปัจจุบนั จึงมาจากคา สอนของพระพุทธโคตมแตอ่ งคเ์ ดียว คาสอนของนกั ปราชญอ์ ื่นๆ ท้งั ในและนอกพระพุทธศาสนา อาจจะ เสริมความเขา้ ใจคาสอนของพระพุทธเจา้ ได้ แต่ไม่อาจจะถือวา่ เป็นบ่อเกิดของพระพุทธศาสนา อยา่ งไรก็ ตาม พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสเตือนไวว้ า่ ความรู้ที่พระองคท์ รงรู้จากการตรัสรู้น้นั มีมากราวกบั ใบไมท้ ้งั ป่ า แตท่ ี่ พระองคน์ ามาสอนสาวกน้นั มีปริมาณเทียบไดก้ บั ใบไมเ้ พียงกามือเดียว พระองคไ์ มอ่ าจจะสอนไดม้ ากกวา่ ที่ ไดท้ รงสอนไว้ ดงั น้นั หากมีปัญหาขดั แยง้ เกิดข้ึน ให้ตกลงกนั ดว้ ยสงั คายนา (ร้องร่วมกนั ) คือ ประชุมและ ลงมติร่วมกนั ส่วนในเร่ืองธรรมวนิ ยั ปลีกยอ่ ย หากจาเป็ นก็ใหป้ ระชุมตกลงปรับปรุงได้ ดงั น้นั บ่อเกิดของ พระพทุ ธศาสนาอีกทางหน่ึงกค็ ือสังคายนา สงั คายนาจึงกลายเป็นเครื่องมือใหเ้ กิดการยอมรับร่วมกนั ในหมู่ผู้ ยอมรับสังคายนาเดียวกนั แต่ก็เป็นทางใหเ้ กิดการแตกนิกายโดยไมย่ อมรับสงั คายนาร่วมกนั นิกายต่างๆ ของ พระพทุ ธศาสนาจึงเกิดข้ึน เพราะการยอมรับสงั คายนาตา่ งกนั และนิกายต่างกนั น้นั ก็ยอมรับคมั ภีร์และอรรถ กถาที่ใชต้ ีความคมั ภีร์ต่างกนั อยา่ งไรกต็ าม ชาวพทุ ธแมจ้ ะตา่ งนิกายกนั กถ็ ือวา่ เป็นชาวพุทธดว้ ยกนั ทาบุญร่วมกนั ได้ และร่วมมือใน กิจการต่างๆ ได้ ผใู้ ดนบั ถือพระพทุ ธเจา้ และแมจ้ ะนบั ถือสิ่งอื่นดว้ ย เช่น พระพรหม พระอินทร์ ไหวเ้ จา้ หรือ ภูตผตี า่ งๆ ก็ยงั ถือวา่ เป็ นชาวพุทธดว้ ยกนั มิไดม้ ีความรังเกียจเดียดฉนั กนั แตป่ ระการใด ดงั น้นั การท่ีจะมีบอ่ เกิดเพิม่ เติมแตกตา่ งกนั ไปบา้ ง ตราบใดท่ียงั ยอมรับพระไตรปิ ฎกร่วมกนั เป็นส่วนมาก ก็ไม่ถือวา่ ตอ้ ง แตกแยกกนั คมั ภีร์ของพระพุทธศาสนา เม่ือพระพทุ ธเจา้ เสด็จปรินิพพานได้ 3 เดือน สาวกผไู้ ดเ้ คยสดบั ฟังคาสัง่ สอนของพระองคจ์ านวน 500 รูป กป็ ระชุมทาสังคายนากนั ณ ถ้าสัตบรรณคูหา ใกลเ้ มืองราชคฤห์ แควน้ มคธ สอบปากคากนั อยู่ 7 เดือน จึงตก ลงประมวลคาสอนของพระพทุ ธเจา้ ไดส้ าเร็จเป็นคร้ังแรก น่ีคือบอ่ เกิดของคมั ภีร์พระไตรปิ ฎก ต่อมาเมื่อมี ปัญหาขดั แยง้ พระเถระผใู้ หญก่ ็ประชุมขจดั ขอ้ ขดั แยง้ กนั เป็นสงั คายนาต่อมาอีกหลายคร้ัง จนได้ พระไตรปิ ฎกของฝ่ ายเถรวาทดงั ท่ีเรารู้จกั กนั ทุกวนั น้ี ซ่ึงถือกนั ทว่ั ไปวา่ เป็ นคาสอนโดยตรงของพระพทุ ธเจา้ ท่ีนบั วา่ ใกลเ้ คียงท่ีสุด
เนื่องจากภาษามคธท่ีใชบ้ นั ทึกคาสง่ั สอนของพระพุทธเจา้ น้นั คร้ันกาลเวลาล่วงไปก็คอ่ ยๆ กลายเป็นภาษา โบราณ ยากท่ีจะเขา้ ใจไดท้ นั ทีสาหรับนกั ศึกษารุ่นหลงั ๆ จึงไดม้ ีผเู้ ช่ียวชาญนิพนธ์ช้ีแจงความหมายเรียกวา่ อรรถกถา เมื่อนกั ศึกษารู้สึกวา่ อรรถกถายงั ไมช่ ดั เจนก็มีผเู้ ช่ียวชาญนิพนธ์ฎีกาข้ึนช้ีแจงความหมาย และมีอนุ ฎีกาสาหรับช้ีแจงความหมายของฎีกาอีกต่อหน่ึง ผเู้ ชี่ยวชาญเฉพาะปัญหาก็นิพนธ์ช้ีแจงเฉพาะปัญหาข้ึน เรียกวา่ ปกรณ์ เหล่าน้ีถือวา่ เป็นคมั ภีร์พระพทุ ธศาสนาท้งั สิ้น แตท่ วา่ มีน้าหนกั นอ้ ยกวา่ พระไตรปิ ฎก เพราะ ถือวา่ เป็นความเห็นส่วนตวั ของผตู้ ีความ นกั ศึกษาจะเห็นกบั บางคมั ภีร์ และไม่เห็นดว้ ยกบั บางคมั ภีร์ก็ได้ ไม่ ถือวา่ มีความเป็นพุทธศาสนิกมากนอ้ ยกวา่ กนั เพราะเรื่องน้ี นิกายมหายาน พระพทุ ธเจา้ ไดต้ รัสกบั พระอานนทว์ า่ \"ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถา้ สงฆต์ อ้ งการก็จงถอน สิกขาบทเล็กนอ้ ยเสียบา้ งกไ็ ด\"้ (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) ทาใหเ้ กิดมีปัญหาวา่ แค่ไหนเรียกวา่ เลก็ นอ้ ย เป็นเหตุใหพ้ ระภิกษุบางรูปไมเ่ ห็นดว้ ย และไม่ยอมรับสงั คายนามาต้งั แต่คร้ังแรก และเหตุการณ์เช่นน้ีเกิด ข้ึนกบั หลายสังคายนา มีกลุ่มที่แยกตวั ทาสงั คายนาตา่ งหาก เป็นการแตกแยกทางลทั ธิและนิกาย และไม่ควร ถือวา่ เป็นการแบ่งแยกศาสนาแต่ประการใด ไมอ่ าจกาหนดไดแ้ น่ชดั ลงไปวา่ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน เริ่มถือกาเนิดข้ึนต้งั แต่เม่ือใด ที่แน่ชดั ก็คือ พระเจา้ กนิษกะมหาราช กษตั ริยอ์ งคท์ ่ี 7 แห่งราชวงศก์ ษุ าณะ (ศต.1 แห่งคริสตศ์ กั ราช) ทรงเป็นเอกอคั รศาสนูปถมั ภกองคแ์ รกของนิกายมหายาน ไดท้ รงปลูกฝัง พระพุทธศาสนามหายานลงมน่ั คงในราชอาณาจกั รของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยงั นานา ประเทศ เปรียบไดก้ บั พระเจา้ อโศกของฝ่ ายเถรวาท
ฝ่ ายมหายานมิไดป้ ฎิเสธพระไตรปิ ฎก หากแตถ่ ือวา่ ยงั ไม่พอ เน่ืองจากเกิดมีความสานึกร่วมข้ึนมาวา่ นาม และรูปของพระพทุ ธเจา้ เป็นโลกตุ ระ ไม่อาจดบั สูญ ส่ิงท่ีดบั สูญไปโดยการเผาเป็ นเพยี งภาพมายา พระธรรมกายของพระองคอ์ นั เป็นธาตุพุทธะบริสุทธ์ิยงั คงอยตู่ อ่ ไป มนุษยท์ ุกคนมีธาตุพทุ ธะร่วมกบั พระพุทธเจา้ หากมีกิเลสบดบงั ธาตุพุทธะกไ็ มป่ รากฏ กิเลสเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะกจ็ ะปรากฏมากข้ึน เท่าน้นั มนุษยท์ ุกคนมีสิทธิและมีความสามารถเป็นพระโพธิสตั วไ์ ดเ้ ช่นเดียวกบั พระพุทธเจา้ หากไดฝ้ ึกฝน ชาระจิตใจจนบริสุทธ์ิผดุ ผอ่ งดว้ ยเมตตาบารมี พระโพธิสัตวจ์ ึงมีมากมาย พระโพธิสตั วท์ ุกองคย์ อ่ มเสริมงาน ของพระพุทธเจา้ คาสอนของพระโพธิสัตวจ์ ึงมีน้าหนกั เท่ากบั พระไตรปิ ฎก เมื่อสานึกเช่นน้ี ฝ่ ายมหายานจึง มีคมั ภีร์ในระดบั เดียวกบั พระไตรปิ ฎกเพิม่ ข้ึนอีกมากและอาจจะเพิม่ ต่อไปไดอ้ ีก หากยอมรับหรือมีศรัทธา ตอ่ พระโพธิสัตวไ์ มเ่ ท่ากนั ความสานึกและการแสดงออกกย็ อ่ มจะผดิ เพ้ียนกนั ออกไปได้ ทาใหม้ ีลทั ธิต่างๆ มากมายในนิกายมหายาน และอาจจะเกิดใหม่ต่อไปไดอ้ ีก แต่ท้งั น้ีก็มิไดห้ มายความวา่ เกิดการแตกแยกใน ศาสนาหรือนิกาย เพราะทุกลทั ธิยอ่ มถือวา่ เป็นส่วนหน่ึงของพระพทุ ธศาสนามหายาน ดว้ ยเหตุผลเช่นน้ี แหละฝ่ ายมหายานจึงภูมิใจวา่ นิกายของตนใจกวา้ ง เป็นยานใหญ่ สามารถบรรทุกคนไดม้ าก และบนั ดาลใจ ใหผ้ มู้ ีจิตศรัทธาบาเพญ็ เมตตาบารมีไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง อยา่ งที่มูลนิธิหวั เฉียวแห่งประเทศไทยพสิ ูจนต์ วั เอง ใหเ้ ห็นอยู่ การวเิ คราะห์ข้อธรรมในพระพทุ ธศาสนา ผใู้ ดสนใจคงไดศ้ ึกษาตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ขอ้ ธรรมในพระพทุ ธศาสนามาแลว้ ไม่มากกน็ อ้ ย จนพอจะ สังเกตไดว้ า่ เมื่อกล่าวถึงธรรมะขอ้ ใดในพระพุทธศาสนา กม็ กั จะไม่กล่าวลอยๆ แตจ่ ะตอ้ งมีจานวนเลข กากบั แสดงการวเิ คราะห์หรือการจาแนกธรรมดว้ ยเสมอ เช่น อริยสจั 4, มรรค 8, ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10, ศีล 227, มงคล 38, กรรมฐาน 40, เจตสิก 52, จิต 89, จิต121 เป็ นตน้ ใหส้ ังเกตดว้ ยวา่ การวเิ คราะห์ขอ้ ธรรมในพระพทุ ธศาสนาน้นั มิไดว้ ิเคราะห์ช้นั เดียวแลว้ จบ แตม่ ีการ วเิ คราะห์ตอ่ ๆ ไปอีกหลายช้นั หลายเชิงเก่ียวโยงกนั ท้งั หมด ไมใ่ ช่เหมือนสายโซ่ แต่เหมือนอวนผนื ใหญ่ที่ตา ทุกตาของอวนมีสายโยงถึงกนั ไดท้ ้งั หมด จะขอยกใหด้ ูเป็ นตวั อยา่ งการศึกษาเทา่ น้นั เช่น การวเิ คราะห์จิต และเจตสิก เป็นตน้ ซ่ึงมีประโยชนม์ ากสาหรับการมองตน รู้ตน และพฒั นาตน ผศู้ ึกษาจะวเิ คราะห์ธรรมะ เรื่องใดเพิ่มเติมอีกเทา่ ใดกไ็ ดต้ ามความตอ้ งการ
ชีวประวตั ขิ องพระพทุ ธเจ้า ต้งั แต่ตรัสรู้ถึงปรินิพพานเป็ นระยะเวลา 45 พรรษา พระองคจ์ าริกไปยงั แวน่ แควน้ ตา่ งๆ ในชมพทู วปี ตอน เหนือ เพ่อื เผยแผพ่ ระธรรมคาสอนของพระองค์ พร้อมท้งั อบรมสาวกต้งั พุทธบริษทั ข้ึนอยา่ งมง่ั คงั่ ยากที่จะ เรียงลาดบั ไดว้ า่ ปี ใดพระองคเ์ สด็จไป ณ ที่ใดและทรงส่งั สอนอะไรบา้ ง เท่าที่นกั วจิ ารณ์ไดพ้ ยายามวจิ ยั ไว้ พอจะเรียบเรียงไดต้ ามช่วงการเขา้ พรรษาของพระองคใ์ นท่ีต่างๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี พรรษาที่ 1 ตรัสรู้ใตต้ น้ โพธ์ิ ณ คืนวนั เพญ็ เดือนวสิ าขะ (กลางเดือน 6) 2 เดือนตอ่ มา คือวนั เพญ็ เดือน อาสาฬหะ (กลางเดือน 8) ทรงเทศนาโปรดเบญจวคั คีย์ (คณะ 5 คน) ท่ีป่ าอิสิปตนะมฤคทายวนั ดว้ ยธรรมจกั กปั ปวตั นสูนร ตอ่ มาอีก 5 วนั ทรงเทศนาโปรดเบญจวคั คียด์ ว้ ยอนตั ตลกั ขณสูตร วนั ต่อมาไดพ้ ระยสเป็น สาวก ทรงจาพรรษาที่เมืองพาราณสี แควน้ กาสี (ปัจจุบนั อยใู่ นรัฐอุตรประเทศ)
พรรษาที่ 2 เสด็จเสนานิคม ในตาบลอุรุเวลกสั สปะ นทีกสั สปะ คยากสั สปะ กบั ศิษย์ 1000 คน ตรัส ทิตตปริยายสูตรท่ีคยาสีสะ เสดจ็ ราชคฤห์แห่งแควน้ มคธ กษตั ริยเ์ สนิยะพิมพสารทรงถวายสวนเวฬุวนั แต่ พระสงฆ์ ไดส้ ารีบุตรและโมคคลั ลานะเป็นสาวก อีก 2 เดือนต่อมา เสด็จกบิลพสั ดุ์ ทรงพานกั ที่นิโครธาราม ไดส้ าวกมากมาย เช่น นนั ทะ ราหุล อานนท์ อุบาลี เทวทตั และพระญาติอื่นๆ อนาถปิ ณฑิกะอาราธนาสู่กรุง สาวตั ถีแห่งแควน้ โกศล ถวายสวนเชตะวนั แด่คณะสงฆ์ ทรงจาพรรษาที่นี่ พรรษาที่ 3 นางวสิ าขาถวายบุพพาราม ณ กรุงสาวตั ถี ทรงจาพรรษาที่นี่ พรรษาที่ 4 ทรงจาพรรษาท่ีเวฬุวนั ณ กรุงราชคฤห์แห่งแควน้ มคธ พรรษาที่ 5 โปรดพระราชบิดาจนบรรลุอรหตั ผล ทรงไกล่เกล่ียขอ้ พิพาทระหวา่ งพระญาติฝ่ ายสกั กะกบั พระญาติฝ่ ายโกลิยะเก่ียวกบั การใชน้ ้าในแมน่ ้าโรหินี ทรงบวชพระนางปชาบดีโคตมีและคณะเป็นภิกษุณี พรรษาที่ 6 ทรงแสดงยมกปาฎิหาริยใ์ นกรุงาสวตั ถี ทรงจาพรรษาบนภูเขามงั กลุบรรพต พรรษาที่ 7 ทรงเทศนาและจาพรรษาที่กรุงสาวตั ถี ระหวา่ งจาพรรษาเสดจ็ ข้ึนสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์โปรด พระมารดาดว้ ยพระอภิธรรม พรรษาที่ 8 ทรงเทศนาในแควน้ ภคั คะ ทรงจาพรรษาในสวนเภสกลาวนั พรรษาท่ี 9 ทรงเทศนาในแควน้ โกสมั พี พรรษาท่ี 10 คณะสงฆแ์ ห่งโกสมั พแี ตกแยกอยา่ งรุนแรง ทรงตกั เตือนไม่เชื่อฟัง จึงเสด็จไปประทบั และจา พรรษาในป่ าปาลิเลยยกะ ชา้ งเชือกหน่ึงมาเฝ้าพทิ กั ษแ์ ละรับใชต้ ลอดเวลา พรรษาที่ 11 เสด็จกรุงสาวตั ถี คณะสงฆแ์ ห่งโกสัมพปี รองดองกนั ได้ ทรงจาพรรษาในหมูบ่ า้ นพราหมณ์ ชื่อเอกนาลา พรรษาท่ี 12 ทรงเทศนาและจาพรรษาท่ีเวรัญชา เกิดความอดอยากรุนแรง
พรรษาที่ 13 ทรงเทศนาและจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต พรรษาที่ 14 ทรงเทศนาและจาพรรษาท่ีกรุงสาวตั ถึ ราหุลอุปสมบท พรรษาท่ี 15 เสด็จกรุงกบิลพสั ดุ์ สุปปพทุ ธะถูกแผน่ ดินสูบเพราะขดั ขวางทางผา่ น พรรษาที่ 16 ทรงเทศนาและจาพรรษาที่อาลวี พรรษาท่ี 17 เสด็จกรุงสาวตั ถี กลบั มาอาลวแี ละทรงจาพรรษาท่ีกรุงราชคฤห์ พรรษาที่ 18 เสด็จอาลวี ทรงจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต พรรษาท่ี 19 ทรงเทศนาและจาพรรษาบนภูเขาจาลิกบรรพต พรรษาท่ี 20 โจรองคุลีมาลกลบั ใจเป็นสาวก ทรงแตง่ ต้งั ใหพ้ ระอานนทร์ ับใชใ้ กลช้ ิดตลอดกาล ทรงจา พรรษาที่กรุงราชคฤห์ ทรงเริ่มบญั ญตั ิพระวนิ ยั พรรษาที่ 21-44 ทรงยดึ เอาเชตะวนั และบุพพารามในกรุงราชคฤห์เป็นศูนยเ์ ผยแผแ่ ละที่ประทบั จาพรรษา เสดจ็ พร้อมสาวกออกเทศนาโปรดเวไนยสัตวต์ ามแวน่ แควน้ ตา่ งๆ โดยรอบ พรรษาที่ 45 และสุดทา้ ย ปรากฎในมหาปรินิพพานสูตร มหาสุทสั นสูตร และชนวสภสูตร ความวา่ พระ เทวทตั ปองร้ายพระพทุ ธเจา้ บริเวณเขาคิชฌกูฎใกลก้ รุงราชคฤห์ ถึงกบั พระบาทหอ้ โลหิต ทรงไดร้ ับการ บาบดั จากหมอชีวก วสั สการเขา้ เผา้ เสด็จอมั พลฎั ฐิกา นาลนั ทา และปาฎลิคามตามลาดบั ทรงขา้ มแมน่ ้าคง คาท่ีโตมดิตถ์ เสดจ็ ตอ่ ไปยงั โกฎิคาม นาทิคาม และเวสาลี ทรงพานกั ในสวนของนางคณิกาอมั พปาลี เสด็จจา พรรษาที่เวฬุวนั ทรงเริ่มประชวร และ 3 เดือนตอ่ มาเสด็จสู่ปรินิพพานในเมืองกุสินาราแห่งแควน้ มลั ละ
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: