สรุปเศรษฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เป็นวชิ าทว่ี า่ ด้วยการจดั สรรทรัพยากรทมี่ อี ยอู่ ยา่ งจากดั ไปใช้ในทางเลอื กตา่ งๆ เพอื่ ให้ประชาชนเกิดความ พอใจมากทีส่ ดุ ทงั้ นเี ้นอ่ื งจากทรัพยากรธรรมชาติมจี ากดั ขณะท่คี วามต้องการของมนษุ ย์มีไมจ่ ากดั อดมั สมธิ (Adam Smith) เป็น บดิ าเศรษฐศาสตร์ ชาวสกอตแลนด์ อลั เฟรด มาร์แชล (Alfred Marshall) เป็น บดิ าเศรษฐศาสตร์จลุ ภาค ชาวองั กฤษ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เป็น บิดาเศรษฐศาสตร์มหภาค ชาวองั กฤษ ต้นทนุ คา่ เสยี โอกาส คอื มลู คา่ ของผลตอบแทนจากกิจกรรมทีส่ ญู เสยี โอกาสไปในการเลอื กทากิจกรรมอยา่ งหนง่ึ ทรัพยากรทางเศรษฐศาสตร์ หมายถงึ ปัจจยั การผลติ ทก่ี อ่ ให้เกิดการผลติ สนิ ค้าและบริการ ได้แก่ ทดี่ ิน แรงงาน ทนุ และ ผ้ปู ระกอบการ โดยที่ - ผ้ทู ีเ่ ป็นเจ้าของท่ดี ิน (Landlord) จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ คา่ เชา่ (Rent) - แรงงาน (Labor) จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ คา่ จ้าง (Wage) - ผ้ทู ี่เป็นเจ้าของทนุ (Capital’s Owner) จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ ดอกเบยี ้ (Interest) *** ปล.เงินไมใ่ ช่ทนุ เน่ืองจากเงินไมส่ ามารถผลติ สนิ ค้าชนดิ ใดได้เลย เงินเป็นเพยี งสอ่ื กลางในการแลกเปลยี่ นสนิ ค้าและ บริการเทา่ นนั้ - ผ้ปู ระกอบการ (Entrepreneurship) จะได้รับผลตอบแทนในรูปแบบ กาไร (Profit) ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกจิ จากปัญหาท่วี า่ มนษุ ย์มคี วามต้องการไมจ่ ากดั เมอ่ื เทยี บกบั จานวนทรัพยากรทม่ี ีอยอู่ ยา่ ง จากดั ทกุ ประเทศมปี ัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกิจทเ่ี หมือนกนั คือ ประเทศจะจดั สรรทรัพยากรทม่ี ีอยอู่ ยา่ งจากดั นนั้ - จะผลติ อะไร (What) : ควรผลติ สนิ ค้า-บริการอะไร ในปริมาณเทา่ ใด - จะผลติ อยา่ งไร (How) : โดยใช้ทรัพยากรได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพมากท่ีสดุ - จะผลติ เพอ่ื ใคร (For Whom) : จะกระจายสนิ ค้าบริการไปให้ใคร
ซงึ่ การแก้ปัญหาพนื ้ ฐานทางเศรษฐกจิ เหลา่ นแี ้ ตล่ ะประเทศจะมวี ธิ ีการแก้ไขที่แตกตา่ งกนั ออกไปตามรูปแบบเศรษฐกิจของ ประเทศนนั้ ๆ อปุ สงค์ (Demand) หมายถงึ ความต้องการซอื ้ สนิ ค้าหรือบริการชนิดใดชนดิ หนงึ่ ของผ้บู ริโภค ณ เวลาใดเวลาหนงึ่ โดยมี อานาจซือ้ หรือมีความสามารถในการตอบสนองความต้องการนนั้ ๆ ราคา (บาท/หน่วย) 100 90 80 70 60 50 40 อปุ สงค/์ ความตอ้ งการ 30 50 70 98 115 150 180 จากตารางด้านบนจะสงั เกตได้วา่ เมอื่ ราคาสนิ ค้าแพงขนึ ้ ความต้องการหรืออปุ สงค์ลดน้อยลง (P>,D<) แตใ่ นทางกลบั กนั เม่อื ราคาสนิ ค้าถกู ลง ความต้องการหรืออปุ สงค์ก็เพม่ิ มากขนึ ้ (P<,D>) ปัจจยั ท่กี าหนดอปุ สงค์ - ราคาของสนิ ค้า เม่ือราคาแพงขนึ ้ ความต้องการจะลดลง (P>,D<) - รายได้ของผ้บู ริโภค ในกรณีท่ีเป็นสนิ ค้าปกติ (Normal Goods) เม่อื ผ้บู ริโภคมีรายได้เพม่ิ มากขึน้ ก็บริโภคเพมิ่ ขนึ ้ อยา่ งไรก็ตามหากรายได้เพม่ิ ขนึ ้ แล้วผ้บู ริโภคซอื ้ สนิ ค้านนั้ ลดลง แสดงวา่ สนิ ค้านนั้ เป็นสนิ ค้าด้อยคณุ ภาพ (Inferior Goods) เชน่ บะหมก่ี งึ่ สาเร็จรูป ซง่ึ อนั ทจี่ ริงอาจจะไมไ่ ด้หมายถึง คณุ ภาพของสนิ ค้าจริงๆ วา่ บะหมี่กง่ึ สาเร็จรูปไมด่ ี แต่ เป็นเร่ืองของการรับรู้ของผ้บู ริโภคแตล่ ะคนทีอ่ าจมมี มุ มองแตกตา่ งกนั ไป เชน่ ถ้ารวยขนึ ้ ก็ไมอ่ ยากกินบะหม่กี งึ่ สาเร็จรูป อาจหนั ไปกินอยา่ งอ่ืน เช่น ไกท่ อด แทน เป็นต้น - ราคาสนิ ค้าอนื่ ๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง แบง่ เป็น 2 ประเภท สนิ ค้าทดแทนกนั (Substitute Good) เชน่ เมอ่ื หมรู าคาแพงขนึ ้ ผ้บู ริโภคหมลู ดลง (P>,D<) สนิ ค้าทใ่ี ช้ประกอบกนั (Complementary Good) เช่น เมื่อราคานา้ มนั แพงขนึ ้ ความต้องการซอื ้ รถยนต์ก็จะลดลง (P>,D<) - รสนิยมของผ้บู ริโภค เชน่ หากรสนิยมในการบริโภคเปลยี่ นแปลงไป จะทาให้ความต้องการสนิ ค้าท่ีเคยใช้อยู่ เปลย่ี นแปลงไป
- การคาดการณ์รายได้ในอนาคต เช่น หากผ้บู ริโภครู้วา่ จะได้มกี ารปรับขนึ ้ เงินเดือน ก็อาจจะบริโภคลว่ งหน้าไปก่อน ทาให้ความต้องการบริโภคสนิ ค้าสงู ขนึ ้ - ปัจจยั อื่นๆ เชน่ ฤดกู าล จานวนประชากร ฯลฯ กฎของอปุ สงค์ (Law of Demand) หมายถึง กฎที่วา่ ด้วยระบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราคาสนิ ค้ากบั ปริมาณความ ต้องการซอื ้ สนิ ค้านนั้ ซงึ่ กฎนกี ้ ลา่ วไว้วา่ “ราคาและปริมาณความต้องการซือ้ สนิ ค้าจะมคี วามสมั พนั ธ์กนั ในทศิ ตรงกนั ข้าม” อปุ ทาน (Supply) ปริมาณความต้องการเสนอขายสนิ ค้า ณ ระดบั ราคาใดราคาหนง่ึ ในเวลาใดเวลาหนง่ึ โดยกาหนดให้สงิ่ อนื่ ๆคงท่ี ราคา (บาท/หน่วย) 100 90 80 70 60 50 40 อปุ สงค/์ ความตอ้ งการ 270 240 200 170 140 110 70 จากตารางด้านบนจะสงั เกตได้วา่ เม่ือราคาสนิ ค้าแพงขนึ ้ ความต้องการหรืออปุ สงค์ลดน้อยลง (P>,D<) แตใ่ นทางกลบั กนั เมอ่ื ราคาสนิ ค้าถกู ลง ความต้องการหรืออปุ สงค์ก็เพมิ่ มากขนึ ้ (P<,D>) ปัจจยั ทก่ี าหนดอปุ สงค์ - ราคาของสนิ ค้า เมือ่ ราคาแพงขนึ ้ ความต้องการจะลดลง (P>,D<) - รายได้ของผ้บู ริโภค ในกรณีทเี่ ป็นสนิ ค้าปกติ (Normal Goods) เมอื่ ผ้บู ริโภคมรี ายได้เพมิ่ มากขึน้ ก็บริโภคเพมิ่ ขนึ ้ อยา่ งไรก็ตามหากรายได้เพม่ิ ขนึ ้ แล้วผ้บู ริโภคซอื ้ สนิ ค้านนั้ ลดลง แสดงวา่ สนิ ค้านนั้ เป็นสนิ ค้าด้อยคณุ ภาพ (Inferior Goods) เชน่ บะหมกี่ ง่ึ สาเร็จรูป ซงึ่ อนั ท่จี ริงอาจจะไมไ่ ด้หมายถงึ คณุ ภาพของสนิ ค้าจริงๆ วา่ บะหมีก่ ่ึงสาเร็จรูปไมด่ ี แต่ เป็นเรื่องของการรับรู้ของผ้บู ริโภคแตล่ ะคนทอี่ าจมมี มุ มองแตกตา่ งกนั ไป เช่น ถ้ารวยขนึ ้ ก็ไมอ่ ยากกินบะหมีก่ ง่ึ สาเร็จรูป อาจหนั ไปกินอยา่ งอ่ืน เช่น ไก่ทอด แทน เป็นต้น - ราคาสนิ ค้าอ่นื ๆ ท่เี กี่ยวข้อง แบง่ เป็น 2 ประเภท สนิ ค้าทดแทนกนั (Substitute Good) เชน่ เม่ือหมรู าคาแพงขนึ ้ ผ้บู ริโภคหมลู ดลง (P>,D<) สนิ ค้าท่ีใช้ประกอบกนั (Complementary Good) เชน่ เมอ่ื ราคานา้ มนั แพงขนึ ้ ความต้องการซอื ้ รถยนต์กจ็ ะลดลง (P>,D<)
- รสนยิ มของผ้บู ริโภค เช่น หากรสนิยมในการบริโภคเปลย่ี นแปลงไป จะทาให้ความต้องการสนิ ค้าที่เคยใช้อยู่ เปลยี่ นแปลงไป - การคาดการณ์รายได้ในอนาคต เชน่ หากผ้บู ริโภครู้วา่ จะได้มีการปรับขนึ ้ เงินเดอื น ก็อาจจะบริโภคลว่ งหน้าไปก่อน ทาให้ความต้องการบริโภคสนิ ค้าสงู ขนึ ้ - ปัจจยั อน่ื ๆ เช่น ฤดกู าล จานวนประชากร ฯลฯ กฎของอปุ สงค์ (Law of Demand) หมายถึง กฎทีว่ า่ ด้วยระบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราคาสนิ ค้ากบั ปริมาณความ ต้องการซอื ้ สนิ ค้านนั้ ซงึ่ กฎนกี ้ ลา่ วไว้วา่ “ราคาและปริมาณความต้องการซือ้ สนิ ค้าจะมีความสมั พนั ธ์กนั ในทศิ ตรงกนั ข้าม” อปุ ทาน (Supply) ปริมาณความต้องการเสนอขายสนิ ค้า ณ ระดบั ราคาใดราคาหนงึ่ ในเวลาใดเวลาหนงึ่ โดยกาหนดให้สง่ิ อนื่ ๆคงท่ี ราคา (บาท/หน่วย) 100 90 80 70 60 50 40 อปุ สงค/์ ความตอ้ งการ 270 240 200 170 140 110 70 จากตารางด้านบนจะสงั เกตได้วา่ เม่อื ราคาสนิ ค้าแพงขนึ ้ ความต้องการหรืออปุ สงค์ก็มากขนึ ้ (P>,S>) แตใ่ นทางกลบั กนั เมื่อราคาสนิ ค้าถกู ลง ความต้องการหรืออปุ สงค์ก็เพม่ิ ลดลง (P<,S<) ปัจจยั ทกี่ าหนดอปุ ทาน - ราคาของสนิ ค้า เมื่อราคาแพงขนึ ้ ความต้องการขายเพม่ิ ขนึ ้ (P>,S>) - ราคาของปัจจยั การผลติ หรือต้นทนุ การผลติ เช่น หากต้นทนุ คา่ ขนสง่ แพงขนึ ้ เพราะราคานา้ มนั แพงขึน้ แตร่ าคาสนิ ้ ค้าท่ีนาไปวางขายไมเ่ ปลย่ี นแปลง จะทาให้ผ้ผู ลติ อยากขายสนิ ค้าในปริมาณท่ีน้อยลง ได้กาไรน้อยลง - ราคาสนิ ค้าอ่ืนๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง เชน่ กรณีที่ราคาสนิ ค้าอน่ื แพงขนึ ้ อาจมีผลทาให้อปุ ทานของสนิ ค้าทผี่ ลติ อยลู่ ดลง ตวั อยา่ งทเ่ี ห็นได้ชดั เชน่ เมอื่ ราคาข้าวโพดแพงขนึ ้ คนทเ่ี คยปลกู มนั สาปะหลงั อยู่ อาจหนั ไปปลกู ข้าวโพดแทน และลดการ ปลกู มนั สาปะหลงั ลง ซง่ึ สง่ ผลทาให้อปุ ทานของมนั สาปะหลงั สงู ขนึ ้ ขณะท่ีอปุ ทานของข้าวโพดลดลง
- เทคโนโลยีในการผลติ สนิ ค้า เชน่ หากมกี ารคดิ ค้นเทคโนโลยใี นการผลติ ให้ดีขนึ ้ ทาให้ผลติ ได้ปริมาณสนิ ค้ามากขนึ ้ ด้วยต้นทนุ เทา่ เดมิ จะทาให้ปริมาณการเสนอขายสนิ ค้าเพมิ่ ขนึ ้ ได้ - การคาดการณ์ในอนาคต เชน่ หากผ้ผู ลติ หรือผ้ขู ายคาดวา่ เศรษฐกิจจะขยายตวั ก็เสนอขายสนิ ค้าในปริมาณท่ี เพิ่มขนึ ้ เป็นต้น - ปัจจยั อน่ื เชน่ ฤดกู าล ภาษีและเงินอดุ หนนุ จานวนผ้ขู าย และโครงสร้างตลาดสนิ ค้า กฎของอปุ ทาน (Law of Supply) หมายถงึ กฎที่วา่ ด้วยเรื่องความสมั พนั ธ์ระหวา่ งราคาสนิ ค้ากบั ปริมาณการเสนอขาย สนิ ค้า ซง่ึ กฎนกี ้ ลา่ วไว้วา่ “ปริมาณความต้องการขายสนิ ค้าและราคาสนิ ค้ามคี วามสมั พนั ธ์ไปในทิศทางเดยี วกนั ” ภาวะดลุ ยภาพ (Equilibrium) หมายถงึ ระดบั ราคาท่ผี ้ซู ือ้ และผ้ขู ายเหน็ พ้องต้องกนั หรือระดบั ราคาท่ีอปุ สงค์เทา่ กบั อปุ ทาน หรือเส้นอปุ สงค์ตดั กบั เส้นอปุ ทาน จากรูป ระดบั ดลุ ยภาพท่ีความต้องการซือ้ และความต้องการขายเทา่ กนั พอดี (เส้น D ตดั กบั เส้น S ทจี ดุ E) โดย ณ ราคาสนิ ค้า 60 บาทตอ่ หนว่ ย ผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายมีความต้องการสนิ ค้าท่ี 120 หนว่ ย จดุ ทร่ี าคาสงู กวา่ ราคาดลุ ยภาพจะเกิดอปุ ทานสว่ นเกิน (Excess supply) และจะมีการปรบั ตวั เข้าสรู่ าคาดลุ ยภาพ สว่ นจดุ ทร่ี าคาตา่ กวา่ ราคาดลุ ยภาพจะเกดิ อปุ สงค์สว่ นเกิน (Excess demand) และจะมีการปรับตวั สรู่ าคาดลุ ย ภาพ นโยบายการกาหนดราคาขนั ้ ตา่ (Minimum Price Policy) นโยบายการกาหนดราคาขนั้ ตา่ เป็นนโยบายทมี่ งุ่ ช่วยผ้ผู ลติ ให้สามารถขายสนิ ค้าได้สงู ขนึ ้ มกั ใช้อยทู่ งั้ ในตลาดสนิ ค้า โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สนิ ค้าเกษตร และตลาดปัจจยั การผลติ เช่น ตลาดแรงงาน เนือ่ งจากตลาดเหลา่ นี ้ผ้ผู ลติ หรือเจ้าของ ปัจจยั การผลติ ไมม่ อี ิทธิพลในการกาหนดราคา และมปี ัจจยั บางอยา่ งทีท่ าให้ต้องยอมขายสนิ ค้าในราคาทค่ี อ่ นข้างตา่ จาก ความไมส่ มบรู ณ์ของตลาดดงั กลา่ ว หากปลอ่ ยให้กลไกตลาดทางานโดยเสรีแล้ว จะมผี ลให้ราคาดลุ ยภาพอยใู่ นระดบั ท่ี คอ่ นข้างตา่ กอ่ ให้เกิดความไมเ่ ป็นธรรมในสงั คม รัฐบาลจงึ ต้องเข้ามาแทรกแซงกลไกตลาดโดยการกาหนดราคาขนั้ ต่า กลา่ วคอื เป็นการทาให้ราคาของทมี่ รี าคาต่าเป็นของทม่ี รี าคาสงู ขนึ ้ นโยบายการกาหนดราคาขนั ้ สงู (Maximum Price Policy) นโยบายกาหนดราคาขนั้ สงู มกั ใช้ในกรณีของสนิ ค้าทีผ่ ้บู ริโภคทกุ ระดบั รายได้จาเป็นต้องซือ้ เช่น นมผงสาหรับทารก นา้ ตาลทราย น้ามนั เบนซนิ ฯลฯ เป็นต้น
กลา่ วคอื เป็นการทาให้ราคาของทีม่ รี าคาสงู เป็นของทีม่ ีราคาต่าลง ตลาด (Market) เป็นสถานทซี่ งึ่ ผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายมาตดิ ตอ่ ซอื ้ ขายสนิ ค้าและบริการกนั ตลาดในทางเศรษฐศาสตร์ - ไมจ่ าเป็นที่จะต้องมสี ถานท่ีเพอื่ มาตกลงซือ้ ขายกนั - ไมจ่ าเป็นทจ่ี ะต้องมกี ารพบกนั เช่น ตลาดซอื ้ ขายลว่ งหน้า ตลาดหลกั ทรัพย์ การบริการสง่ ถึงท่ี (Delivery) และ การพาณิชย์อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ (E-commerce) ประเภทของตลาด แบง่ เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์ (Perfect Competitive Market) ตลาดแขง่ ขนั ไมส่ มบรู ณ์ (Imperfect Competitive Market) ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์ - มีจานวนผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายในตลาดจานวนมาก - สนิ ค้าทีข่ ายในตลาดมีลกั ษณะเหมือนกนั ทกุ ประการ จงึ ทาให้ไม่มีผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายรายใดสามารถกาหนดราคาของ สนิ ค้าในตลาดได้ ดงั นนั้ ผ้ซู ือ้ ผ้ขู ายในตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์จงึ ต้องยอมรับราคาท่ีตลาดกาหนดหรือเรียกวา่ เป็น Price Taker - ผ้ผู ลติ หรือผ้ขู ายสามารถเข้าออกจากตลาดได้อยา่ งเสรี โดยมีกาไรเป็นแรงจงู ใจ - มกี ารเคลอื่ นย้ายทรัพยากรการผลติ สนิ ค้าและบริการได้อยา่ งเสรี - ผ้ซู ือ้ และผ้ขู ายมีความรู้ และรับทราบข้อมลู ขา่ วสาร โดยเฉพาะเรื่องราคาได้เป็นอยา่ งดี ตวั อยา่ ง ตลาดสนิ ค้าทางการเกษตร ตลาดซอื ้ ขายหลกั ทรัพย์และเงินตราตา่ งประเทศ (Forex Trading) “ในทางเศรษฐศาสตร์ถือวา่ ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์เป็นตลาดในอดุ มคติ” ตลาดแขง่ ขนั ไมส่ มบณู ์ หมายถงึ ตลาดทีผ่ ้ซู ือ้ หรือผ้ขู ายมีอทิ ธิพลในการกาหนดราคาหรือปริมาณซอื ้ ขายสนิ ค้ากนั บ้างไมม่ ากก็น้อย ซงึ่ ขนึ ้ อยกู่ บั ความไมส่ มบรู ณ์ของตลาดจะมีมากน้อยเพยี งใด ตลาดแขง่ ขนั ไมส่ มบรู ณ์แบง่ ได้เป็น 3 ประเภท คอื - ตลาดผกู ขาดสมบรู ณ์ (Monopoly)
- ตลาดผ้ขู ายน้อยราย (Oligopoly) - ตลาดก่งึ แขง่ ขนั ก่ึงผ้กู ขาด (Monopolistic Competition) ตลาดผกู ขาด หมายถงึ ตลาดทมี่ ผี ้ผู ลติ หรือผ้ขู ายเพยี งรายเดยี วโดยสนิ ค้าและบริการในตลาดเป็นสนิ ค้าทไี่ ม่มีสนิ ค้าอ่ืนใด มาทดแทนกนั ได้เลย เชน่ การไฟฟา้ ฝ่ายผลติ แหง่ ประเทศไทย การประปานครหลวง ตลาดผ้ขู ายน้อยร้าย มีผ้ขู ายหรือผ้ผู ลติ จานวนน้อย ผ้ผู ลติ ในตลาดผ้ขู ายน้อยรายมกั ไมต่ ้องการร่วมมอื กบั ผ้ผู ลติ รายอ่ืน และคานงึ ถงึ ผลกาไรทจ่ี ะได้รับ จงึ ต้องสนใจแนวทางการดาเนินงานของคู่แขง่ ด้วย ตวั อยา่ ง นา้ มนั : ปตท เอสโซ่ บางจาก โทรศพั ท์มอื ถือ : ไอโฟน ซมั ซุง แบลค็ เบอร่ี รถยนต์ : ฮอนด้า โตโยต้า อซิ ูซุ ซเี มนต์ : ซีแพค ทพี ไี อ ตลาดกงึ่ แขง่ ขนั ก่งึ ผกู ขาด มีผ้ขู ายหรือผ้ผู ลติ ในตลาดเป็นจานวนมาก แตไ่ มม่ ากเทา่ กบั ตลาดแขง่ ขนั สมบรู ณ์ ผ้ผู ลติ แตล่ ะ รายได้สว่ นแบง่ ตลาดน้อย จึงไมส่ ามารถมีอทิ ธิพลตอ่ การกาหนดราคา สนิ ค้ามลี กั ษณะแตกตา่ งกนั ความแตกตา่ งนอี ้ าจ เกิดจากรูปลกั ษณ์หรือเกิดขนึ ้ ในความรู้สกึ ของผ้ซู ือ้ โดยทผ่ี ้ผู ลติ หรือผ้ขู ายสามารถเข้าออกจากตลาดได้อยา่ งเสรี ตวั อยา่ ง สบู่ : ลกั ซ์ นกแก้ว อมิ พเี รียล ยาสฟี ัน : คอลเกต ดาร์ลี่ กลสิ เตอร์ ชาเขียว : อิชิตนั โออชิ ิ ลกู อม : ฮอน คกู ้า มายมนิ ้ ท์ นา้ ปลา : ทพิ รส ตราปลาหมกึ หน้าทข่ี องตลาดในเชงิ เศรษฐศาสตร์ - จดั หาสนิ ค้า (Assembling) - เก็บรักษาสนิ ค้า (Storage) - ขายสนิ ค้า (Selling) - กาหนดมาตรฐานของสนิ ค้า (Standardization)
- การเงิน (Financing) - การเสย่ี งภยั (Risk) - การขนสง่ (Transportation) รายได้ประชาชาติ (National Income) ตวั เลขรายได้ประชาชาตเิ ป็นดชั นีแสดงถงึ ความสามารถของระบบเศรษฐกิจวา่ มี กาลงั และความสามารถผลติ สนิ ค้าและบริการท่คี ิดเป็นมลู คา่ ได้มากน้อยเพียงใดในระยะหนง่ึ ๆ สว่ นมากมรี ะยะเวลา 1 ปี ดงั นนั้ ตวั เลขรายได้ประชาชาติจงึ เป็นดชั นีสาคญั อยา่ งหนง่ึ ในการท่จี ะชีใ้ ห้เห็นถงึ ระดบั การพฒั นา รวมทงั้ ความมง่ั คง่ั หรือ ยากจนของระบบเศรษฐกจิ ในประเทศหนง่ึ ๆ การเปลยี่ นแปลงในระดบั ราย ได้ประชาชาตจิ ะเป็นเคร่ืองแสดงถงึ การ เปลย่ี นแปลงของภาวะเศรษฐกิจของแตล่ ะ ประเทศวา่ ดีขนึ ้ หรือเลวลงได้โดยใช้ตวั เลขรายได้ประชาชาตเิ ปรียบเทยี บภาวะ เศรษฐกิจของประเทศในปีนนั้ ๆ กบั ปีทีผ่ า่ นๆ มา นอกจากนตี ้ วั เลขรายได้ประชาชาตยิ งั ใช้เป็นตวั เปรียบเทยี บฐานะทาง เศรษฐกิจของประเทศกบั ประเทศตา่ งๆ รวมทงั้ ใช้เป็นเครื่องมอื กาหนดนโยบายทางเศรษฐกจิ ของประเทศ และแสดงให้เหน็ ถงึ ความสาเร็จของนโยบายตา่ งๆ ท่ีได้ดาเนินการไปแล้ว ความหมายของศพั ท์ทางรายได้ประชาชาติ ผลติ ภณั ฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) หมายถึงมลู คา่ รวมในราคาตลาดของสนิ ค้า และบริการทเี่ ป็นสนิ ค้าขนั้ สดุ ท้าย (final product) ทกุ ประเภททผี่ ลติ ได้เฉพาะภายในประเทศเทา่ นนั้ ในระยะเวลาที่ กาหนด (โดยทวั่ ไปจะมีระยะเวลา 1 ปี) ก่อนทจ่ี ะหกั คา่ เสอ่ื มราคาทรัพย์สนิ อนั เนื่องจากการผลติ สนิ ค้าและบริการเหลา่ นนั้ ขนึ ้ มา โดยไมน่ บั รวมผลผลติ ของผ้ทู ่ถี ือสญั ชาตขิ องประเทศนนั้ ไปทามาหาได้ในตา่ งประเทศ GDP = การบริโภค(C) + การลงทนุ (I) + รัฐบาล (G) + (การสง่ ออก (X) – การนาเข้า (M)) ผลติ ภณั ฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Product : GNP) หมายถงึ มลู คา่ รวมในราคาตลาดของสนิ ค้า และบริการขนั้ สดุ ท้ายที่ผลติ โดยประชาชาตภิ ายในระยะเวลา 1 ปี กอ่ นที่จะหกั คา่ เสอ่ื มราคาทรัพย์สนิ อนั เนือ่ งจากการผลติ สนิ ค้าและบริการเหลา่ นนั้ ขนึ ้ มา คาวา่ “ประชาชาต”ิ หมายถึง บคุ คลทีถ่ ือสญั ชาติของประเทศนนั้ ๆ ไมว่ า่ จะอยใู่ นประเทศ หรือนอกประเทศ GNP = GDP + (รายได้ทีพ่ ลเมอื งกอ่ ให้เกิดขนึ ้ ในตา่ งประเทศ–รายได้ทีพ่ ลเมืองท่ีหาได้ในประเทศนนั้ ) รายได้ประชาชาติ (National Income : NI) คอื ผลตอบแทนจากปัจจยั การผลติ ซง่ึ ได้แกค่ า่ ตอบแทนแรงงาน ผลตอบแทนจากที่ดนิ ทนุ และ การประกอบการโดยมีความสมั พนั ธ์กบั ผลติ ภณั ฑ์ประชาชาตดิ งั นี ้ NI = GNP - คา่ เสอ่ื มราคา - (ภาษีทางอ้อม - เงินอดุ หนนุ )
ผลติ ภณั ฑ์มวลรวมประชาชาตติ อ่ หวั (GNP Per Capita) คานวณจากผลติ ภณั ฑ์มวลรวมประชาชาติหารด้วยจานวน ประชากรทงั้ ประเทศ GNP Per Capita = GNP/Population รายได้ประชาชาติเฉลย่ี ตอ่ คน (Per Capita Income) รายได้ประชาชาตเิ ฉลย่ี ตอ่ คนหาได้จากรายได้ประชาชาติหารด้วย จานวนประชากร Per Capita Income = NI/Population การเงินและการธนาคาร (Money & Banking) เงิน คือ สงิ่ ใดๆ ก็ตามทสี่ งั คมยอมรับโดยทว่ั ไปในขณะใดขณะหนง่ึ และในเขตพนื ้ ที่ใดพนื ้ ท่ีหนงึ่ ในฐานะเป็น สอ่ื กลางในการแลกเปลยี่ นสนิ ค้าและบริการ ทงั้ นสี ้ ง่ิ นนั้ จะต้องถกู กาหนดคา่ ขนึ ้ เป็นหนว่ ยเงินตราและเป็นหนว่ ยวดั คา่ ท่ี แนน่ อน วิวฒั นาการของเงิน - เงินท่ีเป็นสงิ่ ของหรือสนิ ค้า (Commodity Money) - โลหะและเหรียญ (Coins) - ธนบตั ร (Paper Money) - เงินฝากกระแสรายวนั (Demand Deposits) คณุ สมบตั ขิ องเงินทดี่ ี - เป็นสง่ิ ทีห่ ายาก - มมี ลู คา่ คงท่ี - มีปริมาณท่ียืดหยนุ่ ได้ - นาตดิ ตวั ไปได้สะดวก - สามารถแบง่ เป็นหนว่ ยยอ่ ยได้
- มีความคงทน การแลกเปลย่ี น - ระบบการแลกเปลยี่ นสง่ิ ของตอ่ สงิ่ ของ (Barter System) - ระบบทีม่ ีการใช้เงินเป็นสอ่ื กลางในการแลกเปลยี่ น (Money) - ระบบท่ใี ช้เครดิตเป็นสอื่ กลางในการแลกเปลยี่ น (Credit) หน้าทีข่ องเงิน - เป็นสอ่ื กลางในการแลกเปลย่ี น (Medium of Exchange) - เป็นเคร่ืองวดั มลู คา่ (Standard of Value) - เป็นมาตรฐานการชาระหนใี ้ นอนาคต (Standard of Deferred Payment) - เป็นเครื่องรักษามลู คา่ (Store of Value) ปริมาณเงิน (Money Supply) ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) หมายถงึ สนิ ทรัพย์ทางการเงินที่ใช้เป็นสอ่ื กลางในการแลกเปลย่ี น ซงึ่ ประกอบด้วยเหรียญกษาปณ์ ธนบตั ร และเงินฝากกระแสรายวนั ทงั้ หมดท่ีอยใู่ นมอื ของประชาชน บริษัท ห้างร้าน และ องค์กรธุรกิจอนื่ ๆ ในขณะใดขณะหนงึ่ M1 = เหรียญกษาปณ์ + ธนบตั ร + เงินฝากกระแสรายวนั *** ไมร่ วมธนาคาร ไมร่ วมธนาคารกลาง และกระทรวงการคลงั ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) หมายถงึ ปริมาณเงินตามความหมายแคบ (M1) บวกด้วยสนิ ทรัพย์ทาง การเงินท่ีให้ผลตอบแทนและสามารถเปลยี่ นเป็นเงินทใ่ี ช้เป็นสอื่ กลางในการแลกเปลยี่ นโดยงา่ ย ไมต่ ้องเสยี คา่ ใช้จา่ ยเลย หรือเสยี คา่ ใช้จา่ ยเพยี งเลก็ น้อย M2 = M1 + เงินฝากออมทรัพยแ์ ละเงินฝากประจา ปริมาณเงินตามความหมายกว้างมาก (M3) หมายถงึ ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (M2) บวกด้วยตวั๋ สญั ญาใช้ เงินของบริษัทเงินทนุ ทถ่ี ือโดยเอกชน
M3 = M2 + ตว๋ั สญั ญาใช้เงิน ตลาดการเงิน (Financial Market) คือตลาดที่อานวยความสะดวกในการโอนเงินจากหนว่ ยเศรษฐกิจท่ีมเี งินออมไปยงั หนว่ ยเศรษฐกิจท่ีต้องการเงินออม (เพ่อื นาไปลงทนุ ) โดยจะจาแนกตามระยะเวลาของเงินทนุ หรือตราสารทางการเงินได้เป็นต้น o ตลาดเงิน เป็นแหลง่ ระดมเงินออมระยะสนั้ (ไมเ่ กิน 1 ปี) แล้วจดั สรรให้ก้ยู ืมแก่ผ้ทู ต่ี ้องการเงินทนุ ซง่ึ ตราสารทาง การเงินท่ีใช้ในตลาดเงิน คือ ตวั๋ สญั ญาใช้เงิน ตว๋ั แลกเงิน และตวั๋ เงินคลงั เป็นต้น โดยตลาดเงินสามารถแบ่งออกได้เป็น ตลาดเงินในระบบ คอื สถาบนั การเงินท่จี ดั ตงั้ ขนึ ้ โดยถกู ต้องตามกฎหมาย เช่น ธนาคาพาณชิ ย์ บริษัทเงินทนุ และ หลกั ทรัพย์ เป็นต้น ตลาดเงินนอกระบบ คอื แหลง่ ทม่ี ีการก้ยู ืมเงินโดยไมม่ ีกฎหมายรองรับ การดาเนินการขนึ ้ อยกู่ บั ข้อตกลงและความพอใจ ของผ้ใู ห้ก้แู ละผ้กู ู้ เช่น การเลน่ แชร์ การให้กู้ การฝากขาย เป็นต้น o ตลาดทนุ เป็นแหลง่ ระดมเงินออมระยะยาว (เกิน 1 ปี) เพอ่ื จดั สรรให้กบั ผ้ทู ต่ี ้องการเงินทนุ ระยะยาว ซง่ึ ตราสารทาง การเงินที่ใช้ในตลาดทนุ ได้แก่ การก้รู ะยะยาว ห้นุ กู้ ห้นุ สามญั พนั ธบตั ร ทงั้ ของรัฐบาลและเอกชน เป็นต้น โดยตลาดทนุ อาจแบง่ เป็นตลาดสนิ เช่ือทวั่ ไปซงึ่ ประกอบด้วยธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทนุ และตลาดหลกั ทรัพย์ ซงึ่ แบง่ ออกเป็น ตลาดแรกและตลาดรอง ตลาดแรก (Primary Market) คือตลาดทซี่ ือ้ ขายหลกั ทรัพย์ออกใหม่ ตลาดรอง (Secondary Market) คอื ตลาดที่ซอื ้ หลกั ทรัพย์เกา่ (ทเ่ี คยซือ้ ขายเปลยี่ นมือกนั มากอ่ น) ธนาคารพาณิชย์ (Commercial Bank) หมายถึง การประกอบธรุ กิจประเภทรับฝากเงินท่ีต้องจา่ ยคนื เมือ่ ทวงถามหรือเม่อื สนิ ้ ระยะเวลาทกี่ าหนดไว้ และใช้ประโยชน์เงินนนั้ ในทางหนง่ึ หรือหลายทาง เช่น ให้ก้ยู มื เงินซือ้ ขายหรือเก็บเงินตามตว๋ั เงิน หรือตราสารเปลยี่ นมืออืน่ ใด ซือ้ หรือขายเงินตราตา่ งประเทศ เป็นต้น ทงั้ นจี ้ ะประกอบธรุ กิจประเภทอน่ื อนั เป็นประเพณีที่ ธนาคารพาณิชย์พงึ กระทาหรือไมก่ ็ตาม หน้าท่ีของธนาคารพาณิชย์ o ให้บริการทางการเงินทงั้ ในและตา่ งประเทศ เชน่ รับฝากเงิน โอนเงิน ให้ก้เู งิน รับเก็บรักษาของมคี า่ o สร้างและทาลายเงินฝากซงึ่ เป็นหน้าท่ีพเิ ศษโดยเฉพาะของธนาคารพาณิชย์ สถาบนั การเงินประเภทอ่ืนไมม่ อี านาจและ หน้าที่เชน่ นี ้ซง่ึ ทาให้ธนาคารพาณิชย์แตกตา่ งจากสถาบนั การเงนิ ประเภทอื่น
อตั ราเงินสดสารองตามกฎหมาย (Legal Reserve Ratio) เป็นอตั ราทธี่ นาคารกลางกาหนดขนึ ้ คดิ เป็นร้อยละของเงินฝาก โดยธนาคารพาณิชย์ทกุ แหง่ ทมี่ เี งินฝากจะต้องดารงเงินสดสารองโดยฝากไว้ท่ีธนาคารกลางอยา่ งน้อยทสี่ ดุ ไมต่ า่ กวา่ อตั รา ท่ีกาหนดนี ้เงินสดสารองตามกฎหมายหรือเงินสดสารองทตี่ ้องดารง (Legal Reserve or Reserve Requirement) คือ จานวนเงินสดทีธ่ นาคาพาณิชย์ต้องดารงเม่ือเทียบกบั จานวนเงินฝาก ซงึ่ ปัจจบุ นั ธนาคารกลางได้กาหนดอตั ราเงินสด สารองไว้ท่ี 6% หมายความวา่ ก้เู งิน 100 บาท จากธนาคาร เราจะได้เงิน 94 บาท สว่ นอีก 6 บาทก็จะนาไปเก็บทีธ่ นาคาร กลาง ปริมาณเงินจะเพิ่มขนึ ้ หรือลดลงมากน้อยเพยี งใดขนึ ้ อยกู่ บั การฝากเงิน / การถอนเงิน ฝากเงิน = ปริมาณเงินเพม่ิ ถอนเงิน = ปริมาณเงินลด ธนาคารกลาง (Central Bank) คอื สถาบนั การเงินทไี่ ด้รับมอบอานาจจากรัฐบาลให้ควบคมุ ดแู ลระบบการเงินและเครดิต ของประเทศให้อยใู่ นระดบั ที่เหมาะสม เพ่อื ให้เกดิ ประโยชน์แกเ่ ศรษฐกจิ และสงั คมสว่ นรวม ข้อแตกตา่ งระหวา่ งธนาคารกลางและธนาคารพาณชิ ย์ - ธนาคารกลางทาหน้าทเี่ พอ่ื ประโยชน์ของประเทศเป็นหลกั ไมใ่ ช่แสวงหากาไรเหมือนธนาคารพาณชิ ย์ - ธนาคารกลางไมด่ าเนนิ ธรุ กิจแขง่ ขนั กบั ธนาคารพาณิชย์ - ลกู ค้าของธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์เป็นคนละประเภทกนั หน้าที่ของธนาคารกลาง - ออกธนบตั ร - เป็นนายธนาคารของรัฐบาล o รักษาบญั ชีเงินฝากของรัฐบาลและรัฐวสิ าหกจิ o ให้รัฐบาลและรัฐวสิ าหกิจก้ยู มื เงิน o เป็นทปี่ รึกษาทางการเงินของรัฐบาล
o เป็นตวั แทนทางการเงินของรัฐบาลในการก้ยู มื เงินจากตา่ งประเทศ การชาระเงินกู้ การโอนเงินระหวา่ งประเทศ และ ภายในประเทศให้รัฐบาล - เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณชิ ย์ o รักษาเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ตา่ งๆ o เป็นสานกั งานกลางในการหกั บญั ชี o ให้ธนาคารพาณิชย์ก้ยู มื เงิน o เป็นศนู ยก์ ลางการโอนเงินระหวา่ งธนาคาร - เป็นผ้รู ักษาเงินสารองระหวา่ งประเทศ - เป็นผ้ใู ห้ก้ยู ืมแหลง่ สดุ ท้าย - เป็นผ้คู วบคมุ ปริมาณเงินและเครดติ - เป็นผ้คู วบคมุ ธนาคารพาณิชย์ นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คอื การดแู ลปริมาณเงินและสนิ เชื่อโดยธนาคารกลาง เพ่อื ให้บรรลเุ ปา้ หมายทาง เศรษฐกิจประการใดประการหนง่ึ หรือหลายประการ ประเภทของนโยบายการเงิน - นโยบายการเงินแบบเข้มงวด (Restrictive Monetary Policy) คอื การใช้เครื่องมอื ตา่ งๆทางการเงินเพ่อื ให้ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกจิ ลดลง - นโยบายการเงินแบบผอ่ นคลาย (Easy Monetary Policy) คือ การใช้เครื่องมอื ตา่ งๆ ทางการเงินเพอ่ื ให้ปริมาณ เงินในระบบเศรษฐกจิ เพม่ิ ขนึ ้ เคร่ืองมือของนโยบายการเงิน - การควบคมุ ทางปริมาณหรือโดยทว่ั ไป (Quantitative or General Control) โดยเคร่ืองมอี ทใี่ ช้ในการควบคมุ ทางปริมาณ ได้แก่
o การซอื ้ ขายหลกั ทรัพย์ (Open-Market Operation) o อตั รารับชว่ งซือ้ ลด (Rediscount Rate) o อตั ราดอกเบยี ้ มาตรฐาน (Bank Rate) o เงินสดสารองทต่ี ้องดารง (Reserve Requirement) - การควบคมุ ทางคณุ ภาพหรือโดยวิธีเลอื กสรร (Qualitative or Selective Credit Control) เป็นการควบคมุ ชนดิ ของเครดิตซง่ึ ใช้ในกรณีท่ีธนาคารจาเป็นต้องจากดั เฉพาะเครดติ บางชนดิ เทา่ นนั้ โดยชนิดของเครดติ ที่ธนาคารกลางมกั จะ เลอื กควบคมุ ได้แก่ o การควบคมุ เครดติ เพ่ือการซอื ้ หลกั ทรัพย์ o การควบคมุ เครดติ เพอื่ การอปุ โภคบริโภค o การควบคมุ เครดติ เพอ่ื การซอื ้ บ้านและทดี่ ิน - การชกั ชวนธนาคารพาณิชย์ให้ปฏิบตั ติ าม การคลงั สาธารณะ รายได้ของรัฐบาล จะได้มาจากการเก็บภาษีอากร และรายได้ที่มใิ ช่ภาษีอากร ภาษีอากร เป็นรายได้ของรัฐบาบทบี่ งั คบั เก็บจากประชาชน เพ่ือประโยชน์ของคนในประเทศ โดยผ้จู า่ ยไมไ่ ด้รับ ประโยชน์ตอบแทนตามสว่ นของเงินทจ่ี ่าย โดยรายได้ของรัฐบาลไทยมากกวา่ ร้อยละ 80 เป็นรายได้จากภาษีอากร รายจ่ายของรัฐบาล การใช้จา่ ยของรฐั บาล เป็นการใช้จา่ ยในสง่ิ ท่ีรัฐบาลต้องทา เพอ่ื ประโยชน์ของคนทงั้ ประเทศ ซงึ่ ได้แก่ การรักษาความสงบภายในประเทศ การปอ้ งกนั ประเทศและการลงทนุ ในสาธารณปู โภค หนสี ้ าธารณะ หนขี ้ องรัฐบาลท่เี กิดจากการก้ยู ืมและการคาประกนั เงินก้โู ดยรัฐบาล จะเรียกวา่ หนสี ้ าธารณะ เพราะ หนเี ้หลา่ นจี ้ ะต้องชา้ ระด้วยภาษีอากร ท่ีเรียกเก็บจากประชาชนทงั้ ประเทศ หนขี ้ องรัฐบาลทีเ่ กดิ จากการก้ยู มื โดยรัฐบาล เกิดจากรฐั บาลมีรายได้ไมเ่ พยี งพอกบั รายจา่ ย งบประมาณแผน่ ดิน เป็นแผนในการจดั หารายรับและรายจา่ ยของรัฐบาลในช่วง 1 ปี ซง่ึ เรียกวา่ ปีงบประมาณ แต่ ละประเทศจะมวี นั เร่ิมต้นไมต่ รงกนั สาหรับประเทศไทย จะเร่ิมต้นวนั ที่ 1 ตลุ าคม และสนิ ้ สดุ วนั ท่ี 30 กนั ยายน เชน่ งบประมาณประจาปี 2554 จะเร่ิมในวนั ที่ 1 ตลุ าคม พ.ศ.2553 และสนิ ้ สดุ ใน วนั ท่ี 30 กนั ยายน พ.ศ.2554 เป็นต้น
นโยบายการคลงั เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการทางการคลงั ซงึ่ ได้แก่ มาตรการทางภาษี การใช้จา่ ยของรัฐบาล และการกอ่ หนสี ้ าธารณะ ซง่ึ นโยบายการคลงั มี 2 แบบทส่ี าคญั คอื - นโยบายการคลงั แบบผอ่ นคลาย จะดาเนนิ การด้วยมาตรการเพม่ิ การใช้จ่ายของรัฐบาล ลดการเก็บภาษี - นโยบายการคลงั แบบเข้มงวด จะดาเนินการด้วยมาตรการลดการใช้จา่ ยของรัฐบาลและเพม่ิ การเก็บภาษี อตั ราแลกเปลย่ี นเงินตราตา่ งประเทศ อตั ราแลกเปลยี่ นเงินตราตา่ งประเทศ หมายถงึ ราคาของเงินสกลุ หนงึ่ ทค่ี ิด เทยี บกบั เงินสกลุ อ่นื อตั ราแลกเปลยี่ นในระบบอตั ราแลกเปลย่ี นลอยตวั จะถกู กาหนดโดยอปุ สงค์ ตอ่ เงินตราตา่ งประเทศ และอปุ ทานของเงินตราตา่ งประเทศ เช่น เงิน 30 บาท = 1 ดอลลาร์ เปลย่ี นเป็น 33 บาท = 1 ดอลลาร์ หมายถงึ เงินบาท ออ่ นคา่ และ 27 บาท = 1 ดอลลาร์ หมายถึง เงินบาทแขง็ คา่ ดลุ การชาระเงิน เป็นการบนั ทกึ จานวนเงินตราตา่ งประเทศทป่ี ระเทศได้รับและจา่ ยในชว่ งเวลาหนง่ึ ประกอบด้วย บญั ชีใหญ่ 3 บญั ชี คอื - บญั ชีเงินเดนิ สะพดั เป็นบญั ชีทแ่ี สดงถงึ รายได้และรายจา่ ยของประเทศ - บญั ชีเงินทนุ เคลอ่ื นย้าย เป็นบญั ชีท่ีแสดงถงึ จานวนเงินลงทนุ เงินก้ยู มื และเงินฝากทงั้ ระยะสนั้ และระยะยาว ของ ชาวตา่ งประเทศที่เข้ามาลงทนุ ในประเทศ - บญั ชีเงินทนุ สารองระหวา่ งประเทศ เป็นทรัพย์สนิ ทีส่ ามารถใช้ชาระหนรี ้ ะหวา่ งประเทศได้ คา่ เงิน (Currency) คา่ เงินของประเทศสมาชิกอาเซียน - THB บาทไทย - LAK กีบลาว - BND ดอลลาร์บรูไน - KHR เรียลกมั พชู า - IDR รูเปียห์อินโดนีเซยี - MYR ริงกิตมาเลเซีย - MMK จ๊าตพมา่
- PHP เปโซฟิลปิ ปินส์ - SGD ดอลลาร์สงิ คโปร์ - VND ดองเวียดนาม อาเซยี น +6 - RBM หยวนจีน - KRW วอนเกาหลใี ต้ - JPY เยนญ่ีป่ นุ - AUD ดอลลาร์ออสเตรเลยี - INR รูปีอินเดีย - NZD ดอลลาร์นิวซแี ลนด์ สาคญั ๆ - GBP ปอนด์องั กฤษ - EUR ยโู ร - USD ดอลลาร์สหรัฐ - CHF ฟรังสวิส - RUB รูเบิลรัสเซยี - KWD คเู วตดินาร์ เงินเฟอ้ (Inflation) เป็นภาวะทรี่ าคาสนิ ค้าสงู ขนึ ้ อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ของท่เี ราเคยซือ้ อยกู่ ็ปรับราคาสงู ขนึ ้ กลา่ วคอื เงินมากซอื ้ ของได้น้อย จากเดมิ ซือ้ ลกู อม 2 เมด็ ใช้เงิน 1 บาท แตต่ อนนใี ้ ช้เงิน 1 บาท ซอื ้ ลกู อมได้เมด็ เดียว ทาให้ผ้ผู ลติ ได้เปรียบ ผ้มู รี ายได้ประจาเสยี เปรียบ
เงินฝืด (Deflation) เป็นภาวะทรี่ าคาสนิ ค้าลดลงอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ของทเ่ี ราเคยซือ้ อยกู่ ็ปรับราคาลงมา กลา่ วคอื เงินน้อยซอื ้ ของได้มาก จากเดมิ ซือ้ ทอง 1 บาท ราคา 10000 บาท แตต่ อนนใี ้ ช้เงิน 8000 บาทเพื่อซอื ้ ทอง ดลุ ยภาพ (Equilibrium) ณ จดุ นจี ้ ะไมม่ ใี ครได้เปรียบเสยี เปรียบ เพราะเป็นจดุ กง่ึ กลางระหวา่ งเงินเฟอ้ กบั เงินฝืด การแบง่ ช่วงของเงินเฟอ้ -เงินฝืด - 0%<x<5% = อยา่ งออ่ น - 5%<x<20% = ปานกลาง - 20%<x<50% = รุนแรง *** ประเทศไทยเฟอ้ ฝืด 3% ดีทีส่ ดุ
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: