เพ่ือสร้างความเข้าใจและความร่วมมือกับผู้ปกครองในการป้องกันและ คอยตดิ ตามผลอย่างต่อเนื่อง จนมนั่ ใจวา่ จะไมม่ ีการรงั แกกนั เกดิ ซ้ํา แก้ไขปัญหาการรังแกกันในโรงเรียน ควรมีการส่ือสารกับผู้ปกครองต้ังแต่ อกี โดยสงั เกตจากพฤติกรรมในห้องเรยี นของท้งั สองฝ่าย หรอื เข้าไปสอบถาม ต้นปีการศึกษา ถึงนโยบายและมาตรการของโรงเรียน หากเกิดการรังแกกัน หลังเลกิ เรยี น หรอื สังเกตขณะทำ�กจิ กรรม หรือสอบถามจากพอ่ แมผ่ ้ปู กครอง และชี้แจงให้ผู้ปกครองรับทราบถึงแนวทางของโรงเรียน ว่าจะมีการเรียก ถึงพฤติกรรมของลูกว่ายังมีปัญหาเรื่องการรังแกอยู่หรือไม่ เพ่ือหาแนวทาง ผู้ปกครองเป็นรายบุคคลเมื่อมีเหตุการณ์ทันที หลังจากเข้าไปคุยกับเด็กแล้ว ในการจดั การปญั หารว่ มกนั หากยงั มปี ญั หาพฤตกิ รรมอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ควรสอ่ื สาร หรอื หากเปน็ การรงั แกทรี่ นุ แรงจนอกี ฝา่ ยหนง่ึ ไดร้ บั ผลกระทบทงั้ รา่ งกายและ ทำ�ความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงประโยชน์ในการพาเด็กไปตรวจประเมินหา หรือทรัพย์สนิ สาเหตุเพ่ือดูแลช่วยเหลือจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น หรือแนะนำ�พ่อแม่ ให้เด็กทบทวนตนเอง ผู้ปกครองโทรปรึกษาสอบถามเบ้ืองต้นในการแก้ไขจากผู้เช่ียวชาญ ครใู หเ้ วลาเด็กทร่ี งั แกผู้อื่น 1 สปั ดาห์ ในการทบทวนตนเองถึงสิง่ ท่ีกระทำ�ลง เช่น สายด่วนสุขภาพจิต(โทร.1323) website http://stopbullying. love ไปวา่ เกดิ ผลกระทบกบั ใคร อยา่ งไรบา้ ง ครหู รอื ผปู้ กครองอาจตอ้ งชว่ ยน�ำ การ ทบทวนตนเอง carestation. com เรียกติดตาม หลังผา่ นไป 1 สัปดาห์ โดยเรียกเดก็ ทั้งสองฝ่ายเข้ามา พูดคุยเพ่ือติดตามว่ายังมีการรังแกกันเกิดข้ึนอยู่หรือไม่ หากยังพบว่ามีการ การสงั เกตเบ้ืองต้นในกรณที ค่ี วรแนะน�ำ ผ้ปู กครอง รังแกกันเกิดขึน้ ใหห้ าแนวทางทจี่ ะป้องกันไมใ่ ห้เกดิ เหตุการณ์ เชน่ การไมใ่ ห้ พาเด็กไปปรึกษาผเู้ ชี่ยวชาญ มีโอกาสนงั่ ใกล้กัน หรอื มเี พ่ือนช่วยดแู ลใกล้ชดิ (buddy) ผูถ้ กู รังแก ให้เด็กมีโอกาสขอโทษกันและกัน มอี าการแยกตัวออกจากสังคม บางครงั้ ชว่ งเวลาทรี่ อตดิ ตามผล 1 สปั ดาหน์ นั้ ครใู หเ้ ดก็ ผรู้ งั แกเขยี น หรอื ไม่เพลินเพลิดกบั กิจกรรมตา่ งๆ ในห้องเรยี น (อาจเข้าข่ายซมึ เศรา้ ) กลา่ วค�ำ ขอโทษใหเ้ ดก็ ผถู้ กู รงั แก ควรมกี ารตกลงกตกิ าวา่ จะไมใ่ หเ้ กดิ เหตกุ ารณ์ หรอื พยายามทำ�รา้ ยตนเอง ขน้ึ อกี และใหเ้ ดก็ ผถู้ กู รงั แกเขยี นหรอื พดู สะทอ้ นความรสู้ กึ ตอนทถ่ี กู รงั แก และ ผ้รู งั แก ใหโ้ อกาสเพื่อน โดยมคี รูเปน็ คนกลาง มีพฤติกรรมท่กี า้ วรา้ วรนุ แรงขึ้น หรอื ยากล�ำ บากในการปฏิบตั ิ ตามกฎกติกาหรือไม่ คมู่ อื ปฏิบตั สิ �ำ หรบั การดำ�เนนิ การปอ้ งกนั มีแนวโน้มควบคุมตวั เองไมไ่ ด้ และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น ยังคงมพี ฤตกิ รรมต่อเนอื่ ง 82
แผนการดแู ลและจดั กิจกรรมสำ�หรบั ผถู้ ูกรงั แก และผรู้ งั แก กรณีผูร้ งั แก กรณีผถู้ ูกรงั แก 1. วิธจี ัดการกบั เด็กทีร่ งั แกผู้อื่น 1. การให้การปรกึ ษารายบุคคล 2. เสรมิ ทกั ษะการจัดการความโกรธ (Anger management) 2. เสริมทักษะการแกไ้ ขปัญหา (Problem solving skills) ตวั อย่างกจิ กรรม “เมือ่ ฉันโกรธ” ตวั อยา่ งกจิ กรรม “ถ้าถกู รังแก เราจะทำ�อยา่ งไร?” 3. เสรมิ ทกั ษะการเห็นคุณคา่ ในตนเอง (Self-Esteem) ตัวอย่างกจิ กรรม “การเห็นคณุ คา่ ในตนเอง” แผนการดูแลและจัดกิจกรรมส�ำ หรับผถู้ ูกรังแก วธิ ดี ำ�เนินการ 1. เมื่อเดก็ เขา้ มาปรึกษาหรอื เล่าเหตกุ ารณ์ ครตู ้องพยายามหาเวลาว่าง 1. การให้การปรกึ ษารายบุคคล ในการรบั ฟัง เพือ่ ให้เด็กรสู้ กึ ได้ว่าครเู ห็นคุณคา่ ในตัวเขา พรอ้ มท่จี ะ รบั ฟงั ปญั หาและเปน็ ทพ่ี ง่ึ ได้ เมอ่ื เดก็ รสู้ กึ วา่ ครเู ปน็ ทพี่ งึ่ ได้ เดก็ กพ็ รอ้ ม กล่มุ เปา้ หมาย จะเล่าปัญหาใหฟ้ งั - เดก็ ท่คี รูสงั เกตว่าจะถกู รงั แก โดยการสงั เกตอาการต่างๆ เช่น เครียด 2. ครกู ระตนุ้ ใหเ้ ดก็ กลา้ ทจ่ี ะเลา่ ปญั หาของตนเอง ถามความคดิ ความรสู้ กึ ซมึ เศร้า ทอ้ แท้ หมดก�ำ ลงั ใจ กลวั แยกตัว กนิ ขา้ วคนเดยี ว ไมม่ ีกลุ่ม เพอ่ื สะทอ้ นสงิ่ นน้ั ออกมา เชน่ เราถกู รงั แกดว้ ยเรอ่ื งอะไรหรอื เหตกุ ารณ์ แบง่ กลมุ่ ทำ�งานไม่มใี ครเลอื ก ดูไมม่ ั่นใจ ฯลฯ เป็นอย่างไร ทำ�ไมเพ่ือนถึงรังแกเรา ตอนโดนรังแกแก้ไขปัญหา - เดก็ ท่ีครพู บเหน็ ถกู รังแก อยา่ งไร ตอ้ งการใหค้ รชู ว่ ยเหลอื อยา่ งไรไดบ้ า้ ง ครคู อยสะทอ้ นความรสู้ กึ ทักษะทค่ี รูพึงมี หรอื สรปุ ประเดน็ โดยพยายามใหข้ อ้ สงั เกตทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ มากกวา่ การ - การสงั เกตอาการ พฤติกรรม อารมณ์เดก็ ที่ถกู รงั แก ตดั สนิ หรือใช้อารมณ์ - การใหก้ ารปรกึ ษา เชน่ การฟงั เชงิ ลกึ โดยไมต่ ดั สนิ การใหก้ ารปรกึ ษา 3. ครูแสดงความเขา้ ใจความยากล�ำ บากทเ่ี ดก็ ตอ้ งเผชญิ ให้ก�ำ ลังใจ เพอ่ื ม่งุ หวงั ใหเ้ กดิ แรงจูงใจในการเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม 4. ให้เด็กฝึกไม่สนใจเหตุการณ์ท่ีทำ�ให้ความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง - การทำ�กิจกรรมให้เด็กเห็นคุณค่าในตนเองพร้อมอยู่ในสังคมหรือ ลดลง เชน่ คำ�วิพากษว์ ิจารณ์ ค�ำ ล้อเลยี น ฯลฯ รวมไปถงึ การสอนให้ โรงเรียนไดด้ ว้ ยความมั่นใจ เด็กรู้จักปกป้องตนเองไม่ให้ถูกรังแกได้งา่ ย - การพูดคุย ปรับทัศนคติกับเด็กและผู้ปกครองเพื่อชี้แจงปัญหา และอาการ คูม่ อื ปฏบิ ัติส�ำ หรบั การดำ�เนินการป้องกัน 83 และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น
สิง่ ท่ีครสู อนใหเ้ ดก็ ควร และไม่ควรท�ำ สิ่งท่คี วร (Do) 5. ครูถามถึงจุดเด่นหรือส่ิงที่เด็กสามารถทำ�ได้ดี และมองสิ่งที่เป็น การใหเ้ ด็กกล้าบอกหรอื ขอความช่วยเหลอื จากผอู้ ืน่ เช่น เพอื่ น จดุ ดอ้ ยในตนเอง ทอ่ี าจท�ำ ใหถ้ กู รงั แก หรอื สง่ิ ทอ่ี ยากจะพฒั นาตนเอง ผู้ปกครอง ครู ฯลฯ 6. ใหค้ �ำ ชมเชยในสงิ่ ทเี่ ปน็ ความภาคภมู ใิ จของเดก็ และสงิ่ ทเี่ ดก็ สามารถ ฝกึ วางตวั เฉย ไมส่ นใจในการลอ้ หรอื การรงั แก/พดู วา่ “อยา่ นะ” หรอื ท�ำ ไดด้ ี เพอ่ื ให้เด็กเหน็ คุณคา่ ในตนเอง เดินหนี 7. ใหค้ วามเชอ่ื มนั่ วา่ เหตกุ ารณจ์ ะดขี น้ึ เขาสามารถแกป้ ญั หาและพฒั นา การใหใ้ นสง่ิ ทผี่ รู้ งั แกตอ้ งการรดี ไถไปกอ่ น เพราะไมค่ มุ้ ทจ่ี ะยอมเจบ็ ตวั ตนเองในเร่ืองต่างๆใหด้ ีขึน้ ได้ (สิ่งของเราอาจจะหาใหมไ่ ด้) 8. นัดหมายติดตามเด็กเป็นระยะ หรืออาจคอยประเมินความจำ�เป็น การเตรยี มคำ�ตอบตลกๆ หรอื ฉลาดไว้ เมื่อโดนลอ้ ตอ้ งโตต้ อบทนั ที ในการส่งต่อเพอ่ื บำ�บัดรกั ษา ผูร้ ังแกจะคดิ ว่าเราฉลาดเกินไปทจ่ี ะแกลง้ การขอใหพ้ ูดลอ้ อีกครงั้ จะทำ�ใหผ้ ้รู งั แกหมดความสนุกในการแกลง้ 2. เสริมทักษะการแก้ไขปัญหา (Problem solving skills) การเดนิ อยา่ งสงา่ จะท�ำ ให้เราดมู ่ันใจ ไม่ออ่ นแอ เพราะผรู้ งั แก มกั จะเลือกแกล้งคนทีด่ อู อ่ นแอหรือข้ีอาย ทกั ษะการแกไ้ ขปญั หา (Problem solving skills) หมายถงึ ความสามารถ ในการคิดอย่างเป็นนามธรรมที่จะ นำ�ไปสู่การแก้ไขปัญหา การวางแผนใน ส่งิ ที่ไม่ควร (Don't) อนาคตและการมองหาความช่วยเหลือจากบคุ คลอ่นื ๆ (Miller, 1998) อย่าแสดงออกถึงอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิด เพราะจะทำ�ให้ผู้รังแก ชอบใจและไมห่ ยดุ แกลง้ อย่าโต้ตอบเมื่อโดนแกล้ง เพราะผู้รังแกมักจะมีร่างกายและกำ�ลัง มากกว่าผู้ถูกรงั แก สถานการณ์อาจจะเลวรา้ ยลง หลีกเลี่ยงอยู่พ้ืนที่เปลี่ยว พยายามอยู่ในกลุ่มเพ่ือนนักเรียนเยอะๆ เพราะผรู้ งั แกจะชอบเลือกแกล้งเพือ่ นทชี่ อบอยูแ่ ยกตัว อยา่ คิดเหมอื นตกเป็น “เหยอื่ ” อย่าคดิ ตามวา่ สงิ่ ท่เี ขาลอ้ ว่าเป็นจรงิ 84 คูม่ ือปฏิบตั ิส�ำ หรับการด�ำ เนินการปอ้ งกัน และจดั การการรังแกกันในโรงเรยี น
กจิ กรรม“ถา้ ถูกรังแก เราจะทำ�อยา่ งไร?” วัตถปุ ระสงค์ 3. ครูชวนพดู คยุ และหาข้อสรุปว่า ถา้ เจอสถานการณด์ งั กลา่ วสามารถ 1. บอกวิธกี ารจดั การเพอ่ื ยตุ ิการรงั แกโดยไม่ใช้ความรุนแรง เลอื กใชว้ ธิ ใี ดในการจดั การปญั หา วธิ ใี ดทไี่ ดผ้ ล วธิ ใี ดทไี่ มไ่ ดผ้ ล เพราะ 2. อธิบายความสำ�คญั ของการหาความชว่ ยเหลอื เพ่ือยตุ ิการรังแกกนั เหตใุ ดและมวี ธิ ใี ดอกี บา้ ง หากเกดิ เหตกุ ารณน์ นั้ ๆ จรงิ ในโรงเรยี น เรา 3. ระบุแหล่งช่วยเหลือหรือบุคคลท่ีสามารถช่วยเหลือได้ เม่ือเกิด จะท�ำ อย่างไร เหตกุ ารณก์ ารรงั แก 4. ให้เด็กตัวแทนในห้องเรียนแต่ละกลุ่ม เลือกเหตุการณ์มา 1 กรณี วธิ ีการด�ำ เนนิ กิจกรรม แลว้ แสดงบทบาทสมมติ โดยเลอื กวธิ ใี นการแกไ้ ขปญั หาจากการพดู คยุ 1. ครูช้ีแจงวัตถุประสงค์ของกิจกรรม ว่าเป็นการร่วมกันหาแนวทาง แลกเปลยี่ นดังกลา่ ว ในการแกไ้ ขการรงั แกกันในโรงเรียนจากกรณตี ่างๆ โดยขอใหท้ กุ คน 5. ครูสรุปการเรียนรู้ และเน้นย้ํามาตรการเร่ืองการไม่ยอมรับการ ต้งั ใจเรยี นรูจ้ ากกจิ กรรม รังแกกันในโรงเรยี น 2. ครูแบ่งนกั เรยี นออกเป็น 3 กลุม่ ใหแ้ ต่ละกล่มุ ร่วมกนั คิดหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดเหตุการณ์ ในกรณีต่อไปน้ี โดยเขียนความ 3. เสริมทักษะการเห็นคณุ คา่ ในตนเอง (Self-Esteem) คดิ เหน็ ในกระดาษโน้ตหรอื โพสทอ์ ิท แล้วนำ�มาติดบนบอร์ด กลุม่ ที่ 1 กรณี เพื่อนชอบล้อเลยี นสผี ิว รูปร่าง ไมใ่ หเ้ ข้ากลุม่ การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) หมายถึง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น กลมุ่ ที่ 2 กรณี รุ่นพชี่ อบดักรีดไถเงิน หาเรื่องเวลาเดินผา่ น ภายในตนเอง เกยี่ วกบั การยอมรบั นบั ถอื ตนเอง เหน็ คณุ คา่ และมคี วามเชอื่ มน่ั กลุ่มท่ี 3 กรณี ถูกเพื่อนโพสตด์ ่ากระทบในสอ่ื facebook ในตนเอง รวมทงั้ ประเมนิ ตนเองทงั้ ทางบวกและทางลบ (Rosenberg, 1965) การเห็นคุณค่าในตนเอง เป็นปัจจัยสำ�คัญที่จะทำ�ให้เด็กผู้ถูกรังแก มีความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง มีกำ�ลังใจสามารถดำ�เนินชีวิต ต่อไปได้อย่างปกติสุข โดยไม่เอาปมด้อยหรือสิ่งที่ถูกล้อมาเป็นอุปสรรค ในการพฒั นาตนเอง คู่มอื ปฏิบัตสิ ำ�หรบั การดำ�เนนิ การปอ้ งกัน 85 และจดั การการรงั แกกันในโรงเรยี น
สงิ่ ทีส่ ามารถฝกึ ให้เดก็ มีความรสู้ ึกเกยี่ วกับตนเองในทางทีด่ ีขน้ึ กว่าเดิม... สิ่งทคี่ วร (Do) สิ่งทไ่ี ม่ควร (Don't) ลองคดิ ดูว่ามีอะไรเก่ียวกบั ตัวเองที่เปน็ สง่ิ ดีๆบา้ ง แล้วเขยี นบนั ทึกไว้ อย่าหมกมนุ่ แตส่ ง่ิ ทีถ่ กู ล้อเลียน หรอื ส่ิงที่โดนรงั แก ฝกึ พดู กบั ตนเองในดา้ นบวก ช่นื ชมส่งิ ดๆี ที่ตัวเองมี อยา่ คดิ ในสง่ิ ทท่ี �ำ ให้คณุ ค่าในตวั เองลดลง หากมีความสนใจเป็นพิเศษกับบางสง่ิ บางอยา่ ง ใหพ้ ยายามฝกึ ความชำ�นาญในเรอ่ื งนนั้ ลองหากิจกรรมอาสาสมัครที่ได้ชว่ ยเหลอื ผู้อน่ื ที่แยก่ ว่า หรือมีโอกาส ในชวี ิตน้อยกว่าเราบา้ ง อาจเรียนรู้ศลิ ปะการต่อสปู้ อ้ งกนั ตวั หรือมีทกั ษะปกปอ้ งตัวเอง เมอื่ เผชญิ ปัญหา การทเ่ี ราจะรสู้ ึกดขี นึ้ จะตอ้ งอาศยั เวลาบา้ ง 86 คูม่ ือปฏบิ ัติส�ำ หรับการดำ�เนนิ การปอ้ งกัน และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น
กิจกรรม “การเหน็ คณุ ค่าในตนเอง” วัตถุประสงค ์ 4. หลังจากที่เดก็ แตล่ ะคนพูดจบ ให้ครพู ูดเสริมพลงั (Empowerment) 1. เพื่อให้เด็กสามารถสำ�รวจและแสดงความช่ืนชมในสิ่งที่ดีงาม ดว้ ยการกลา่ วชนื่ ชมในสง่ิ ทเ่ี ดก็ คนนนั้ ท�ำ ไดด้ เี พอ่ื ใหเ้ ขาเกดิ ความมน่ั ใจ ของตนเองและผูอ้ ่นื ได้ ในตัวเองมากข้ึน และหากเห็นว่าเขาควรพัฒนาในด้านใดก็กล่าว 2. เพื่อใหเ้ ด็กมองเหน็ ส่งิ ทีต่ อ้ งพฒั นาในตนเอง ให้กำ�ลังใจว่าเขาสามารถพัฒนาในเร่ืองน้ันให้ดีขึ้นได้ โดยอาจจะ แนะแนวทางทางเลือกในการพัฒนาตนเองใหด้ ว้ ย 5. ให้เด็กแต่ละคนสรุปว่าได้ข้อคิดอะไรและรู้สึกอย่างไรจากกิจกรรม ดงั กลา่ ว วธิ กี ารดำ�เนินกิจกรรม 6. ครสู รปุ ถงึ ผลทไ่ี ดร้ บั หากเรามองเหน็ คณุ คา่ ในตนเอง ทงั้ ยา้ํ ใหเ้ ดก็ ไมน่ �ำ ขั้นเริม่ ตน้ ส่ิงทถี่ กู ล้อเลียน หรอื ถกู รังแกมากลบจุดเดน่ ของตนเอง แต่ควรพูดให้ 1. ครชู ้แี จงวตั ถปุ ระสงค์ของกิจกรรม วา่ เป็นทบทวนหาคุณค่าในตนเอง ก�ำ ลงั ใจโดยน�ำ จดุ เดน่ มากลบจดุ ดอ้ ย และใหก้ �ำ ลงั ใจวา่ ทกุ คนสามารถ โดยขอให้ทกุ คนตง้ั ใจเรียนรู้จากกจิ กรรม พฒั นาในสง่ิ ทยี่ งั ขาดได้ เพอ่ื ใหเ้ ขามคี วามเชอ่ื มนั่ ในตวั เองมากขน้ึ และ ขน้ั ด�ำ เนนิ การ หยดุ ย้งั ไม่ให้ถูกเป็นเหยอื่ ของการถกู รงั แก 2. ใหเ้ ดก็ นงั่ ลอ้ มกนั เปน็ วงกลม และใหแ้ ตล่ ะคนนกึ ถงึ ความสามารถและ ความดีงามที่มีอยู่ในตนเองหรือส่ิงที่อยากพัฒนาให้ดีขึ้น เช่น ฉัน สามารถทำ�...ไดด้ ี ฉนั เก่งเรอ่ื ง... ฉนั อยากทำ�เรื่อง...ให้ดกี ว่านี้ เคย มคี นชมฉนั เร่อื ง... เป็น แลว้ ใหอ้ อกมาพูดทลี ะคน 3. ให้แต่ละคนที่เป็นผู้รับฟังกล่าวชมเชยเพ่ือนคนละ 1 อย่าง โดยจะ ชมเชยในเร่ืองใดก็ได้ หรืออาจบอกคุณความดี หรือความสามารถท่ี ตนเห็นเกี่ยวกบั เพอ่ื นคนนนั้ ใหเ้ พือ่ นไดร้ ับฟงั คู่มือปฏบิ ัติสำ�หรบั การด�ำ เนินการป้องกนั 87 และจัดการการรังแกกันในโรงเรียน
วิธจี ดั การกบั ผรู้ งั แกผอู้ น่ื สาเหตกุ ารรังแกผู้อ่ืน แนวทางการจดั การ การใชภ้ าษา นํา้ เสยี งท่มี นั่ คงหนักแน่นเอาจรงิ โดยบอกถงึ การรงั แกนัน้ 1. เดก็ ชอบรงั แกเพราะความสนกุ ขาดทกั ษะเร่ืองความเห็นอกเหน็ ใจ เป็นทีย่ อมรบั ไม่ได้และผดิ ต่อกฎระเบยี บของโรงเรียน และไม่อนญุ าต ให้กลนั่ แกลง้ หรือท�ำ รา้ ยกนั 2. เด็กไมไ่ ดร้ บั การปกป้องจากการถูกรังแกและแก้ปัญหาโดยการ ครูใชว้ ิธีการสะทอ้ นความรสู้ กึ ใหเ้ หน็ ผลของการกระทำ�จากการรงั แก รังแกผู้อน่ื เพ่อื น เช่น กล่าวตักเตือนแบบเป็นกลาง ไมใ่ ช้ค�ำ พูดทร่ี นุ แรง ไมใ่ ช้ 3. เรียกรอ้ งความสนใจ อารมณ์ หากทำ�อกี ครง้ั จะมกี ารหักคะแนนความประพฤติ หรือฝกึ 4. เดก็ อยู่ทโ่ี รงเรียนมกี ารดแู ลไมท่ ั่วถงึ และมกั มกี ารจดั การปัญหา บ�ำ เพญ็ ประโยชน์ ท่ไี ม่ถูกต้อง ใหเ้ ดก็ ท่ีรังแกบรรยายความร้สู กึ และผลจากการรังแก โดยทั้งสองฝ่าย กล่าวขอโทษและได้พดู ความคดิ ความรสู้ ึกของตนเอง 5. เดก็ บางคนไมไ่ ด้ตงั้ ใจกลนั่ แกล้งผอู้ นื่ แต่ทำ�ไปเพราะความรำ�คาญ บทลงโทษตามการพจิ ารณาของครู 6. เดก็ อิจฉากนั 1. กลา่ วตกั เตือน ตกลงการลงโทษคร้งั ตอ่ ไปหากเกิดเหตุการณข์ นึ้ อีก 7. เดก็ ถกู วางเงอ่ื นไขมาอย่างเขม้ งวด ท�ำ ใหเ้ กบ็ กดและแสดงความเกเร 2. การหักคะแนน หรอื เสยี สทิ ธิบางอย่างที่เดก็ ให้ความส�ำ คญั ในทางอนื่ 3. บ�ำ เพ็ญประโยชน์ตามการพจิ ารณาของครูและ ผู้ปกครอง 8. ภูมใิ จในพฤติกรรมความรุนแรงของตนเองที่ควบคุมคนทีถ่ ูกรงั แกได้ 4. สง่ ฝกึ ปรบั พฤตกิ รรม 9. มองวา่ การกลนั่ แกลง้ ผูอ้ ่นื นน้ั เปน็ เรื่องปกติ 5. การส่งตัวไปบำ�บดั จิตใจ อารมณ์ ความคิด 10. เคยถกู รงั แกมากอ่ น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ เชน่ การแสดงบทบาทสมมติเพอ่ื หาวิธีแก้ไข 11. มีความต้องการรนุ แรงที่จะมอี �ำ นาจเหนอื ผ้อู ่นื ปัญหาแบบใหม่ ๆ ตามทคี่ รเู ห็นว่าเหมาะสม 12. ทัศนคติแบบไมเ่ ป็นมิตรตอ่ สภาพแวดลอ้ ม สอนให้เดก็ มที กั ษะการจดั การความโกรธ (Anger management) 13. มักจะได้รบั รางวลั ทัง้ ทางด้านวัตถแุ ละดา้ นจิตใจ 88 คมู่ ือปฏบิ ตั สิ �ำ หรับการดำ�เนินการป้องกัน และจดั การการรังแกกันในโรงเรียน
2. เสรมิ ทักษะการจัดการความโกรธ (Anger management) กิจกรรม “การเห็นคณุ ค่าในตนเอง” การจดั การความโกรธ (Anger management) หมายถงึ ความสามารถ ในการควบคุมหรือลดอารมณ์โกรธ และการตอบสนองต่อความโกรธทั้งทาง วตั ถุประสงค ์ รา่ งกายและจติ ใจใหเ้ ปน็ ในเชงิ บวก โดยครสู ามารถแนะใหเ้ ดก็ ทม่ี กั จะรงั แกผอู้ น่ื 1. ใหเ้ ดก็ รเู้ ทา่ ทนั “อารมณโ์ กรธ” ของตวั เอง และการแสดงออกของตน มวี ธิ ีควบคมุ ความโกรธได้ ดงั นี้ เม่ือมอี ารมณ์โกรธ - การผอ่ นคลายกล้ามเนือ้ 2. บอกวิธกี ารจดั การอารมณ์โกรธทีเ่ หมาะสมของตนได้ - การเบย่ี งเบนความคดิ - ร้จู กั แกป้ ัญหาและตอ้ งไมก่ ล่าวโทษตัวเอง หากยงั ไมส่ ามารถ วธิ ีการดำ�เนนิ กจิ กรรม แก้ปญั หาน้นั ไดอ้ ย่างสมบรู ณ์ 1. ครูชแี้ จงว่า วันน้เี ราจะมาเรยี นรเู้ ร่อื ง “การจัดการความโกรธ”กัน - การสื่อสารที่ดี ไม่ด่วนหาข้อสรุป เมื่อมีความโกรธอย่ารีบตัดสินใจ 2. ใหเ้ ดก็ นกึ ถงึ เรอ่ื งทท่ี �ำ ใหร้ สู้ กึ โกรธ สาเหตทุ ที่ �ำ ใหร้ สู้ กึ แบบนนั้ แลว้ จะ อย่าพูดสิ่งท่ีผุดขึ้นมาจากสมอง ให้คิดก่อนว่าต้องการอะไร ต้องพูด ทำ�อะไรหรือแสดงออกอย่างไร ในสถานการณ์น้ัน แล้วแลกเปลี่ยน อยา่ งไร ขณะเดยี วกนั ตอ้ งรบั ฟงั ความคดิ เหน็ คนอน่ื และคดิ กอ่ นทจ่ี ะตอบ ให้เพื่อนๆ ได้ฟัง - ใชอ้ ารมณข์ นั ชว่ ยแกส้ ถานการณเ์ มอื่ มคี วามโกรธ หรอื ความเครยี ด แต่ 3. ชี้ให้เห็นว่า “อารมณ์โกรธเป็นเรื่องปกติท่ีเกิดข้ึนได้กับทุกคน” เมื่อ ตอ้ งใช้ให้ถกู กาลเทศะ คนเราโกรธอาจมีปฏิกิริยาได้ 2 แบบ คือ - เตือนตัวเองด้วยคำ�ง่ายๆ เช่น ใจเย็นๆ ไม่โกรธๆ อย่ามีเร่ืองเลยจะ - เก็บความรสู้ กึ โกรธไวข้ ้างใน เช่น เดนิ หนี แอบไปร้องไห้ บางคน ดีกว่า ฯลฯ โกรธจนตัวสนั่ แต่พดู ไม่ออก การเกบ็ ความรู้สกึ แบบนอี้ าจสง่ ผล - หลีกเล่ียงส่ิงแวดลอ้ มทีท่ ำ�ให้โกรธ ตอ่ การเกบ็ กด แยกตวั โดดเดย่ี ว ไมย่ อมคยุ กบั ใคร และอาจรนุ แรง ถึงขนั้ ทำ�รา้ ยตนเอง โดยมากจะเกิดกบั เด็กทถี่ กู รงั แก คูม่ อื ปฏิบตั ิสำ�หรบั การด�ำ เนนิ การปอ้ งกนั 89 และจัดการการรงั แกกนั ในโรงเรยี น
- ระบายความรู้สึกโกรธออกมา เช่น ต่อว่า ด่าว่ารุนแรง ตะโกน 5. ครสู รปุ และเสนอแนวทางในการจดั การความโกรธทเ่ี หมาะสมกบั เดก็ ขวา้ งปา ท�ำ ลายขา้ วของ วางแผน แกแ้ คน้ หรอื ท�ำ รา้ ยผอู้ น่ื ซง่ึ อาจ และเด็กสามารถนำ�ไปใช้ได้ และช้ใี หเ้ ดก็ รับรคู้ วามรสู้ กึ เห็นอกเหน็ ใจ สง่ ผลใหเ้ กดิ ความรนุ แรงมากขนึ้ โดยมาจะเกดิ กบั เดก็ ทร่ี งั แกผอู้ นื่ ของผู้อ่ืนด้วย เช่น การฝึกผ่อนคลายการหายใจ กล้ามเน้ือร่างกาย ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ทง้ั 2 แบบลว้ นสง่ ผลกระทบในทางลบทง้ั ตอ่ ตนเองและผอู้ น่ื เมอ่ื โกรธ การเบยี่ งเบนตวั เองจากเหตุการณ์ทีท่ ำ�ใหโ้ กรธ 4. แลกเปลี่ยนวิธีจัดการความโกรธของแต่ละคนในกลุ่ม เพ่ือให้เด็กได้ เรยี นรวู้ า่ วธิ ใี ดไดผ้ ล วธิ ใี ดไมไ่ ดผ้ ล เดก็ ทม่ี ปี ญั หากจ็ ะไดเ้ รยี นรเู้ ทคนคิ อน่ื จากเพ่อื นๆในห้องไปด้วย แหล่งข้อมูลประกอบการ ภาพ Infographic คลปิ หนังสั้น เรอ่ื ง “คนเคราะหร์ ้าย” ประชาสมั พันธ์และจัดกิจกรรม จาก website จาก website https://www.youtube.com/watch?v=Km_ แผน่ พบั www.smartteen.net bqAp0bC4 เรอ่ื ง “รงั แกกนั ในโรงเรยี น” เกดิ ขน้ึ ไดก้ บั ทกุ คน จาก (ภาคผนวก) หรอื Fabebook page ชื่อ STOP Bullying เลิฟแคร์ ไม่รงั แกกัน 90 คมู่ อื ปฏบิ ตั สิ ำ�หรบั การดำ�เนนิ การป้องกนั และจดั การการรงั แกกันในโรงเรียน
ภาคผนวก คณะผ้จู ัดทำ� 1. พ.ญ. โชษิตา ภาวสุทธไิ พศฐิ นายแพทยช์ �ำ นาญการพเิ ศษ 12. นางสาวธิดารตั น์ ประสิงห์ นักวชิ าการการศึกษาพเิ ศษปฏบิ ตั กิ าร 2. พ.ญ. พัทธ์ธีรา ดิษยวรรณวัฒน ์ นายแพทย์ปฏิบตั ิการ 13. นางสาวสุดาภรณ์ ค�ำ ดวงดาว นกั กจิ กรรมบำ�บดั ปฏบิ ตั ิการ 3. พ.ญ. ศทุ รา เอ้อื อภิสทิ ธ์ิวงศ์ นายแพทย์ช�ำ นาญการ 14. นางอมรรัตน์ แสงโสด นักวชิ าการสาธารณสุข 4. นางสาวศศกร วชิ ยั นกั จิตวทิ ยาคลินิก 15. นางสาววาณี อุดมศร ี นักวิชาการสาธารณสุข ช�ำ นาญการพิเศษ 16. นางสาวพรสุดารัตน์ สมจิตร นักวชิ าการสาธารณสุข 5. นายรตั นศกั ด ิ์ สันติธาดากลุ นกั จิตวทิ ยาคลินิกช�ำ นาญการ 17. นางสาวเอมมิกา ทองอนุ่ ผชู้ ่วยผ้จู ดั การโครงการ 6. นางสาววมิ ลวรรณ ปัญญาว่อง นักจติ วิทยาคลินิกชำ�นาญการ 18. นางสาวอจั ฉรา คงสนทนา ผชู้ ว่ ยผ้จู ัดการโครงการ 7. นางสาววรรณนิสา สขุ ทอง นักจติ วิทยาคลนิ กิ 19. นายสดิพร ภูถมดี ผูช้ ่วยนักวจิ ยั 8. นายวินยั นารีผล พยาบาลวิชาชีพปฏบิ ัติการ 20. นางสาวชีวานันท์ เกาทณั ฑ์ นกั วชิ าการสาธารณสขุ 9. นางสาวจนั ทรช์ นก โยธนิ ชัชวาล นกั สังคมสงเคราะห์ ปฏบิ ัติการ ช�ำ นาญการพเิ ศษ 21. นางสาวพรพมิ ล นาอ่อน นกั วชิ าการสาธารณสขุ 10. นางภคั วลัญช์ ชยั ภาณเุ กยี รต ิ์ นักวิชาการการศกึ ษาพเิ ศษ ปฏบิ ตั ิการ ช�ำ นาญการพิเศษ 22. นางสาวณฐั สุดา นวลส�ำ ล ี นกั กิจกรรมบำ�บัด 11. นางสาวรกั ชนก มลู เมฆ นักวิชาการการศึกษาพเิ ศษ ปฏิบตั ิการ คูม่ อื ปฏบิ ตั ิส�ำ หรบั การด�ำ เนนิ การป้องกัน 91 และจัดการการรังแกกันในโรงเรียน
บรรณานุกรม มูลนิธแิ พธทเู ฮลท์. (2560). ชดุ กจิ กรรมการไมร่ งั แกกันสำ�หรบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ . กรุงเทพฯ : ร้านการต์ ูนสกรนี และสิ่งพิมพ์ สมบตั ิ ตาปญั ญา. (2554). การสร้างวนิ ัยเชิงบวก. กรงุ เทพฯ : ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย จำ�กัด สมบตั ิ ตาปญั ญา.(2550).รายงานผลการศกึ ษาฉบบั สมบูรณ์ โครงการวิจัย การศึกษาเพอ่ื พฒั นารูปแบบแนวทางการ ปอ้ งกนั ความรนุ แรงตอ่ เดก็ แบบยัง่ ยนื ปีท่ี 2. [ออนไลน์]. เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://resource.thaihealth. or.th/ library/12064. (วันที่คน้ ข้อมูล :1 กรกฎาคม 2561). โจน อี เดอรแ์ รนท.์ (2554). การใชว้ นิ ยั เชงิ บวกในการสอนและการจดั การหอ้ งเรยี น:แนวทางปฏบิ ตั สิ �ำ หรบั คร ู และผบู้ รหิ ารการศกึ ษา. พมิ พค์ รงั้ ที่ 2. กรงุ เทพฯ : ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทยจำ�กดั ฐาศกุ ร์ จนั ประเสริฐและคณะ.(2554). โครงสรา้ งทางสงั คมท่ีเก่ยี วข้องกบั ความรุนแรงท่ีเด็กและเยาวชนถกู กระทําใน โรงเรยี น : กรณศี กึ ษา โรงเรยี นแห่งหน่ึง ในเขตภาคกลาง.วารสารพฤติกรรมศาสตร์ ปที ่ี 17 ฉบบั ที่ 1 มกราคม 2554 หนา้ 94-108 คมู่ อื รบั สถานการณ์เดก็ รงั แกกันในโรงเรียน ส�ำ หรับพอ่ แมท่ ี่ลกู ถกู รังแก : ลกู ฉันถกู รังแกทำ�อย่างไรดี [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://resource.thaihealth.or.th/library/11161. (วันท่ีคน้ ขอ้ มูล :1 กรกฎาคม 2561). คมู่ อื สถานการณ์เดก็ รังแกกันในโรงเรยี น ส�ำ หรบั พ่อแมท่ ลี่ ูกถกู รงั แก : ขอคยุ กับครเู มื่อลกู ถูกรังแก [ออนไลน]์ . เขา้ ถงึ ไดจ้ าก : http://resource.thaihealth.or.th/library/11152. (วนั ทค่ี ้นขอ้ มูล :1 กรกฎาคม 2561). Chirstopher DeGraw. A Community-Based School Health System: Parmeters for Developing a Comprehensive Student Health Promotion Program. Journal of School Health, 1994. MindMatters. Bullying prevention strategies review. Sullivan K, Cleary M, Sullivan G. (2005). Bullying in Secondary Schools : Paul Chapman Publishing. Sharp S. Smith P. (1994). Tackling Bullying in your school : London and Nee York Publishing. World Health Organization. Preventing youth violence: an overview of the evidence. 2015. 92 ค่มู ือปฏบิ ตั สิ ำ�หรบั การดำ�เนินการป้องกัน และจัดการการรงั แกกันในโรงเรียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112