Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สำเนาของ เพิ่มหัวเรื่อง

สำเนาของ เพิ่มหัวเรื่อง

Published by fatih.hamdamdee, 2021-11-30 22:59:31

Description: สำเนาของ เพิ่มหัวเรื่อง

Search

Read the Text Version

การสร้างความเชื่อถือให้แก่ผลิตภัณฑ์ การบริหารการผลิต 1.คุณภาพ 2.มาตรฐาน ความหมายของการบริหารการผลิต (Product 3. การสื่อสาร 4. ความจริงใจ Management) การบริหารการผลิต หมายถึง การสร้าง การวิเคราะห์ การ จัดการ การวางแผนการปฏิบัติตาม แผน และการควบคุม ผลิตภัณฑ์ขององค์การ เพื่อสนองความจําเป็นและความ ต้องการของลูกค้าให้เกิด ความพึงพอใจ ขณะเดียวกันก็ ต้องบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ ผู้บริหารจะต้องมี ความรู้ความเข้าใจ การ ดําเนินงานตามกระบวนการผลิต อย่างต่อเนื่อง ถ้าผู้บริหารขาดความสนใจการเพิ่มผลผลิต อย่างต่อเนื่อง ตามกระบวนการแล้วผลเสียจะเกิดขึ้น ดัง นั้น การบริหารการผลิตที่สําคัญ คือ การบริหารจัดการ ควบคุม การดําเนินงานให้สอดคล้องกับกระบวนการผลิต เพื่อการเพิ่มผลผลิตอย่างมีคุณภาพ

ห่วงโซ่อุปทาน โซ่อุปทาน หรือ ห่วงโซ่อุปทาน หรือ เครือข่ายโลจิสติกส์ คือ การใช้ระบบของหน่วยงาน คน เทคโนโลยี กิจกรรม ข้อมูลข่าวสาร และทรัพยากร มาประยุกต์เข้าด้วยกัน เพื่อการเคลื่อนย้าย สินค้าหรือบริการ จากผู้จัดหาไปยังลูกค้า กิจกรรมของห่วงโซ่อุปทานจะแปรสภาพ ทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และวัสดุอื่นๆให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จ แล้วส่งไปจนถึงลูกค้าคน สุดท้าย (ผู้บริโภค หรือ End Customer) ในเชิงปรัชญาของโซ่อุปทานนั้น วัสดุที่ถูกใช้แล้ว อาจ จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ที่จุดไหนของห่วงโซ่อุปทานก็ได้ ถ้าวัสดุนั้นเป็นวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recyclable Materials) โซ่อุปทานมีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่า

บทที่ 9 ช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์และการตั้งราคา การตั้งราคา การค้าปลีก กลยุทธ์การกำหนดราคา การส่งเสริมการขาย การจัดจำหน่าย

การตั้งราคา การตั้งราคา นับเป็นสิ่งท้าทายความสามารถของผู้ประกอบการต่อการกำหนดระดับราคาของสินค้าก่อนวางจำหน่ายให้มี ความเหมาะสมต่อปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ และสอดคล้องกับกลยุทธ์ทางการตลาดด้านอื่น ๆ โดยทั่วไปมีหลักการเบื้องต้นใน การตั้งราคามีดังนี้ 1.ตั้งตามต้นทุน โดยคิดต้นทุนบวกกำไร ราคาขายต่อหน่วย = ต้นทุนต่อหน่วย + กำไรที่ต้องการ 2. ตั้งตามลูกค้า โดยยึดความต้องการของตลาดเป็นเกณฑ์ ซึ่งในแต่ละตลาดจะแตกต่างกันตามลักษณะตลาด เช่น การตั้ง ราคาในตลาดผูกขาด หรือการตั้งราคาในตลาดผู้น้อยราย หรือการตั้งราคาในตลาดที่มีการแข่งขันอย่างสมบูรณ์ 3.ตั้งตามคู่แข่งการตั้งราคาโดยมุ่งพิจารณาที่การแข่งขัน เป็นวิธีการที่นักการตลาดเห็นความสำคัญของคู่แข่งขันมากกว่า ความสำคัญของความต้องการของตลาดและต้นทุน ลักษณะราคาเช่นนี้อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อเอาชนะคู่ แข่งขัน ระดับราคา ไม่จำเป็นต้องเท่าเทียมกับคู่แข่งขัน อาจสูงกว่าหรือต่ำกว่าก็ได้

การค้าปลีก การค้าปลีก (อังกฤษ: retail) คือ การค้าขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้บริโภคผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เพื่อแสวงหา กำไร ความต้องการของสินค้าสร้างผ่านการพัฒนาการตลาดและการส่งเสริมการขาย เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของผู้บริโภค ผ่านทางห่วงโซ่อุปทาน ในช่วง ค.ศ. 2000 มีการค้าปลีกมากมายที่เกิดขึ้นออนไลน์ ผ่าน ทางการจ่ายแบบอิเล็กทรอนิกส์ และจัดส่งผ่านทาง ผู้ส่งสารหรือไปรษณีย์ การค้าปลีกยังคลอบคลุมถึงการบริการ อื่น ๆ เช่น การส่ง ในขณะเดียวกันคำว่า การค้าปลีก สามารถนำไปใช้เมื่อผู้ให้บริการสนองความต้องการต่อคน จำนวนมาก เช่น เพื่อสาธารณะ ร้านค้านั้นอาจจะอยู่ข้างถนนในย่านชุมชน ศูนย์การค้า หรือ ถนนคนเดิน การค้า ปลีก ออนไลน์เป็นรูปแบบหนึ่งของการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สำหรับการติดต่อทางธุรกิจระหว่างผู้ซื้อและผู้ ขาย ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการค้าส่งที่ไม่มีหน้าร้าน

กลยุทธ์การกำหนดราคา 1. การตั้งราคาตามแนวภูมิศาสตร์ (Geographical Pricing) 2. การตั้งราคาตามหลักจิตวิทยา (Psychological Pricing) 3. การตั้งราคาตามฤดูกาล (Seasonal Pricing) 4. การตั้งราคาสูงและการตั้งราคาต่ำ (Skimming and Penetration Pricing) 5. การตั้งราคาเพื่อการส่งเสริมการตลาด (Promotion Pricing) 6. กลยุทธ์ราคาชุด (Product Set Pricing) 7. กลยุทธ์ราคาแยกตามกลุ่มลูกค้า (Pricing by Type of Customers)

การส่งเสริมการขาย การส่งเสริมการขาย (sales promotion) หมายถึง การจูงใจที่เสนอคุณค่าพิเศษ หรือการจูงใจผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค คนกลาง (ผู้จัดจำหน่าย) หรือ หน่วยงานขาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างยอดขายในทันที จากความหมายนี้สามารถสรุปได้ว่า 1. การส่งเสริมการขายเป็นการให้สิ่งจูงใจพิเศษเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ (extra incentive to buy) เช่น คูปอง ของแถม การชิงโชค การแลกซื้อ เป็นต้น 2. การส่งเสริมการขายเป็นเครื่องมือกระตุ้น (acceleration tool) กิจกรรมการส่งเสริมการขายมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อจำนวนมากขึ้น และสามารถตัดสินใจซื้อได้ในเวลาทันทีทันใด 3. การส่งเสริมการขายใช้ในการจูงใจกลุ่มต่าง ๆ 3 กลุ่ม คือ 3.1 การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่ผู้บริโภค (consumer pomotion) 3.2 การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง (trade promotion) เ 3.3 การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่พนักงานขาย (sales-force promotion)

การจัดจำหน่าย การจัดจำหน่าย (Distribution) หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับการนำสินค้าและบริการของู้ลิตออกสู่ ตลาดเพื่อ เสนอต่อผู้บริโภค โดยการจัดหาสถานที่ขายหรืออาศัยผู้เชี่ยวชาญทางการตลาดที่เป็นคนกลาง ช่วยในการนำเสนอสินค้าและบริการไปสู่ผู้บริโภคในดวลาและสถานที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีสถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การจัดจำหน่ายมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นทางการเก็บ รักษาสินค้า การขนส่ง และการกระจาย

บทที่10 การตลาด แนวคิดทางการตลาด ลักษณะของการตลาด การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า ส่วนประสมทางการตลาด กระบวนการทางการตลาด การเขียนแผนทางการตลาด หน้าที่ของการตลาด ผู้เกี่ยวข้องในการตลาด ตลาดผู้บริโภคและตลาดอุตสหกรรม การเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อการตลาด แน้วโน้มการตลาดในอนาคต

แนวความคิดด้านการตลาด แนวความคิดด้านการตลาด (marketing concept) แนวความคิดด้านการตลาด (marketing concept) หมายถึง \"การที่องค์การใช้ความพยายามทั้งสิ้นเพื่อสร้างความพึง พอใจให้กับลูกค้า เพื่อมุ่งให้เกิดยอดขายและกำไรในที่สุด\" ในอดีต แนวความคิดด้านการตลาดเป็นแบบเก่าที่เน้นเรื่องการผลิต ผู้ผลิตสินค้ามีน้อยราย ความต้องการสินค้ามีมากกว่า สินค้าที่ผลิตออกมาหรืออุปสงค์ (demand) มีมากกว่าอุปทาน (supply) ต่อมาเมื่อมีการผลิตจำนวนมาก (mass production) ต้นทุนสินค้าต่ำลง ตลาดก็ขยายตัวขึ้น ความเจริญทางเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มมากขึ้น กิจการต่าง ๆ เริ่มหันมาสนใจและเน้นการตลาดมากขึ้น ทำให้แนวความคิดด้านการตลาดเปลี่ยนไปเป็นแนวความคิดด้านการตลาดมุ่ง เน้นการตลาดเพื่อสังคม (societal marketing concept)แนวความคิดด้านการตลาดที่ธุรกิจและองค์การได้ยึดถือและ ปฏิบัติกันมาซึ่งมีการใช้กันอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาด ซึ่งต่อไปนี้จะอธิบายถึงแต่ละแนวความคิดโดยจัดเรียงลำดับจากแนวความคิดที่เกิดขึ้นก่อนหลัง

ลักษณะของการตลาด ปัจจุบันการตลาด (Marketing) มีบทบาทสำคัญต่อองค์การธุรกิจต่าง ๆ เนื่องจากเป็นการติดต่อเกี่ยวข้องกับ \"คน\" เพื่อตอบ สนองและบำบัดความต้องการให้ได้รับความพอใจ (Satisfaction) มากที่สุด ซึ่งจะทำให้เกิดการซื้อขายหรือกระบวนการแลก เปลี่ยน (Exchange Process) เกิดขึ้นอันเป็นที่มาของรายได้แก่องค์การต่าง ๆ เมื่อการตลาดเกี่ยวข้องกับความต้องการของคน ซึ่งมีผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจประกอบกับ สภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นปัจจัยควบคุมไม่ได้ รวมทั้งข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ ตลอดจนการ เปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมของแต่ละสังคม ที่มีการปรับเปลี่ยนตามวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เป็นผลทำให้ \"การตลาด\" จำเป็น ต้องปรับเปลี่ยนให้ทันกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ตลอดเวลา จึงเกิดกิจกรรมทางการตลาดที่แตกต่างกันเพื่อ สนองความพอใจของผู้ซื้อให้เกิดขึ้นจะเห็นได้ว่าความก้าวหน้าของการตลาดจะดำเนินไปตามความเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำตาม สภาวะทางเศรษฐกิจในแต่ละสังคม

การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า เพิ่มคุณสมบัติเด่นให้กับสินค้า สร้างความคุ้มค่าให้กับสินค้า ใช้หลักความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตสินค้า เปลี่ยนแปลงบรรจุภัณฑ์ หรือ หีบห่อบรรจุภัณฑ์

ส่วนประสมทางการตลาด ส่วนประสมการตลาด ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ (Product) การจัดจำหน่าย (Place) การ กำหนดราคา (Price) การส่งเสริมการตลาด (Promotion) เราสามารถเรียกส่วนประสมทางการตลาดได้อีก อย่างหนึ่งว่า 4’Ps ส่วนประกอบทั้ง 4 ตัวนี้ ทุกตัวมีความเกี่ยวพันกัน P แต่ละตัวมีความส ำคัญเท่าเทียมกัน แต่ขึ้นอยู่กับผู้บริหารการตลาดแต่ละคนจะวางกลยุทธ์ โดยเน้นหนักที่ P ใดมากกว่ากัน เพื่อให้สามารถ ตอบสนองความต้องการของเป้าหมายทางการตลาด คือ ตัวผู้บริโภค

กระบวนการทางการตลาด R = Research เป็นการวิเคราะห์ตลาดโดยการทำ SWOT Analysis STP = เป็นการกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย Segmentation = จะกำหนดจาก ภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์ พฤติกรรม และ จิตวิทยา (lifestyle) Targeting = มีรูปแบบการเลือกกลุ่มเป้าหมายออกเป็น Niche Market, Mass Market โดยรูปแบบที่แบ่งจะเป็นไป ตามลักษณะของตลาด Product Specialization สินค้ามีคุณสมบัติที่ขายได้หลายกลุ่ม Market Specialization ส่วน มากเป็นการขายสินค้าพ่วงมีความหลากหลายของตัวสินค้า Positioning = เป็นการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เพื่อกำหนดรูปแบบการแข่งขัน MM = Marketing Mix ส่วนประสมทางการตลาด โดยจะแบ่งเป็นข้อเสนอทางการตลาดและกลยุทธ์ทางการตลาด ข้อเสนอทางการตลาดคือสิ่งที่เรามอบให้กับลูกค้าเป็นส่วนประสมที่ลงตัวที่สุด เพราะลูกค้าจะพิจารณาเป็นรูปแบบ แพ็กเกจใน 4 Ps ทุกตัวไม่ได้มองแค่ตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งจะดูได้จากสิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบันหรือสิ่งที่ทำมาในอดีต

การเขียนแผนทางการตลาด 1. สถานการณ์การตลาดในปัจจุบัน 2. การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาด 3. วัตถุประสงค์ 5. แผนการดำเนินงาน 4. กลยุทธ์ทางการตลาด 7. แผนควบคุมการปฏิบัติงาน 6. แผนทางการเงิน

หน้าที่ของการตลาด หน้าที่ทางการตลาด หมายถึง กิจกรรมที่เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทไปยัง ลูกค้าหรือผู้บริโภค เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ เมื่อใดก็ตามที่การตลาดเป็นระบบที่มีคุณภาพ ย่อมส่งผลให้ประชาชน สังคมและชุมชนมีคุณภาพไปด้วย ตลาดผู้บริโภคและตลาดอุตสหกรรม ตลาดผู้บริโภค Consumer Market หมายถึง ผู้ซื้อ ผู้บริโภคหรือครัวเรือน ที่ซื้อสินค้าหรือบริการเพื่อการใช้สอย ส่วนตัว หรือใช้ภายในครอบครัว ซึ่งถือเป็นการบริโภคขั้นสุดท้าย ผู้อยู่ในตลาด คือ ผู้บริโภค ตลาดสินค้าอุตสาหกรรมเป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินค้าอุตสาหกรรม แต่ผู้ซื้อขายนั้นจะไม่ใช่บุคคลทั่วไป แต่มี สภาพเป็นองค์กรหรือนิติบุคคล ไม่ว่าจะเป็นห้างร้านต่างๆ หน่วยงานราชการ หรือบริษัทใหญ่ๆ เป็นต้น โดย องค์กรหรือนิติบุคคลเหล่านี้จะเข้ามาทำการซื้อขายสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อนำไปผลิตสินค้า หรือบริการที่อาจนำ ไปจำหน่าย ให้เช่า หรือจัดส่งให้กับผู้ซื้อขายรายอื่นๆ ต่อไป

การเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อการตลาด ในยุคก่อนๆ ที่ผลิตภัณฑ์ยังไม่สามารถหาซื้อได้สะดวก กิจกรรมในการดำรงชีวิตประจำวันหลายเรื่องที่ต้องอาศัยเพื่อนบ้าน สมาชิกของสังคมชุมชนมาช่วยเหลือ จึงเป็นสังคมที่ต่างตอบแทนด้วยความสมัครใจ มีความเสียสละ เอื้อเฟ้อ-เผื่อแผ่ แบ่ง ปันกัน มีความรู้จักคุ้นเคยสนิทสนมกันดีทุกครัวเรือน แต่ในปัจจุบัน สังคมเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ การช่วยเหลือกันด้วยการจ่ายค่าตอบแทนเป็นค่าจ้างความสัมพันธ์ ทางจิตใจ ได้ลดน้อยลงเรื่อยๆ สร้างความรู้สึกเห็นแก่ตัวมากขึ้น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของสังคมในเรื่องนี้ได้ก่อความเสียหายต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลในสังคม ความเกรงใจ ความเอื้ออาทรต่อกันลดน้อยลง

แน้วโน้มการตลาดในอนาคต 1. การบริโภคเพื่อสร้างความมีส่วนร่วมกับสังคม (Convivial Shared Consumption) 2. การบริโภคจากความแตกต่างของประเภทสินค้าจากกระบวนการผลิต (ArcheTypical Consumption) 3. การบริโภคเพื่อได้รับสิ่งที่ดีกว่า หรืออยู่ในสภาพการที่ปลอดภัยผ่านสินค้า (Transitive Consumption) 4. การบริโภคแบบย้อนรำลึกความสุขครั้งอดีต (Consumption of the Vital Memory) 5. การบริโภคตามช่วงเวลา (Consumption for Occasion) 6. การบริโภคจากความต้องการสบายและมีสุขภาพดี ทั้งทางร่างกาย ที่อยู่อาศัย บรรยากาศ ช่วง เวลา(DecontrAtive Consumption)

บทที่11 การโฆษณาและการประชาสัมพันธ์การส่งเสริม การขาย หลักการโฆษณา การกำหนดวัตถุประสงค์ของการโฆษณา กลุ่มเป้าหมายของการโฆษณา ข่าวสารที่จะโฆษณา การเลือกสื่อในการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ความหมายของการประชาสัมพันธ์ กิจกรรมของสถานประกอบการ สื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ บทบาทของผุ้ประกอบการในการประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย

หลักการโฆษณา 1.ขั้นริเริ่ม หรือขั้นบุกเบิก (Pioneering Stage) ได้แก่ ขึ้นตอนแรกของการโฆษณาสำหรับสินค้าใหม่ที่ออกสู่ตลาดครั้งแรก 2.ขั้นแข่งขัน (Competitive Stage) เมื่อสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดและเป็นที่สนใจของประชาชน 3.ขั้นรักษาตลาด (Retentive Stage) เนื่องจากขั้นแข่งขันจำเป็นต้องทุ่มโฆษณาค่อนข้างหนัก

การกำหนดวัตถุประสงค์ของการโฆษณา เพื่อแนะนำให้รู้จักสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ เช่น ประเภท ประโยชน์ คุณสมบัติโดดเด่น ความสำคัญ ของสินค้าหรือ บริการนั้น ๆ ต่อการดำรงชีวิตของผู้บริโภค เป็นต้น เพื่อสร้างจุดเด่นให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสินค้าหรือบริการ จนผู้บริโภคจำชื่อจำตราของสินค้าหรือบริการนั้น ได้ดี เพื่อสร้างแรงจูงใจ เร้าใจหรือดึงดูดใจ กระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความสนใจในสินค้า หรือบริการ ซึ่งนำไปสู่ความต้องการในการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้สินค้าหรือบริการให้มากขึ้น เป็นการแข่งขันในการจำหน่ายสินค้า หรือบริการกับคู่แข่งที่จำหน่าย สินค้า หรือบริการประเภทเดียวกัน เป็นการเอาชนะคู่แข่งขันในการจำหน่าย เพิ่มยอดขายหรือเพิ่มการครองตลาด การขยายตลาดสินค้าหรือบริการนั้นให้กว้างยิ่งขึ้นเพื่อเป็นการทบทวนความจำ เน้นย้ำให้สินค้าหรือบริการนั้นอยู่ใน ความทรงจำ ของผู้บริโภคตลอดไป เพื่อสร้างตำแหน่งสินค้าหรือบริการขึ้นในความนึกคิดของผู้บริโภค เพื่อสร้างภาพลักษณ์และเจตคติในทางที่ดีให้กับบริษัทผู้ผลิตสินค้าหรือบริการนั้น เพื่อสร้างศรัทธาความเชื่อถือในสินค้าหรือบริการให้เป็นที่ยอมรับ อันจะส่งผลถึง การจำหน่ายสินค้า ตัวใหม่หรือ บริการใหม่ ๆ ของผู้ผลิตเดียวกัน

กลุ่มเป้าหมายของการโฆษณา ใครคือลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเรา แล้วเราต้องวิเคราะห์อะไรบ้าง ก่อนอื่นเลยเราต้องวิเคราะห์ข้อมูลพื้น ฐานของลูกค้าก่อน เช่น – เพศ – ช่วงอายุ – อาชีพ – รายได้ – ที่อยู่ จังหวัด ประเทศ – การศึกษา คณะที่เรียน – ศาสนา – Lifestyle

การเลือกสื่อในการโฆษณา หนังสือพิมพ์ สามารถเข้าถึงผู้คนได้จำนวนมากและสามารถลงเนื้อหาที่ละเอียดได้ นิตยสาร ใช้กระดาษที่มีคุณภาพ มีสีสันสวยงาม เหมาะสำหรับโฆษณาที่ใช้ภาพเพื่อดึงดูดความสนใจ แผ่นพับ/ใบปลิว เป็นสื่อโฆษณาที่ต้นทุนต่ำ เน้นการตอกย้ำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น เสริมจากการทำโฆษณาผ่านสื่อหลัก สื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์

การประชาสัมพันธ์ การประชาสัมพันธ์ (อังกฤษ: Public relations หรือ PR) คือการทำงานในการจัดการการสื่อสารระหว่างองค์กรและ สาธารณะการประชาสัมพันธ์นั้นช่วยทำให้องค์กรหรือบุคคล ได้แสดงสู่ผู้ชม ผู้อ่าน โดยใช้เรื่องที่เป็นที่สนใจของ สาธารณะและใช้เป็นการรายงานข่าวโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยตรง กิจกรรมโดยทั่วไปเช่น การพูดในงานชุมนุม การ ทำงานร่วมกับแหล่งข่าว สื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ - คำพูด - สิ่งพิมพ์ - ภาพโฆษณา - ภาพยนตร์ - วิทยุกระจายเสียง - โทรทัศน์ - นิทรรศการและการจัดงานพิเศษ

บทบาทของผุ้ประกอบการในการประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขาย ให้คำแนะนำ และเป็นที่ปรึกษาแก่ฝ่ายจัดการ การส่งเสริมการขาย (sales promotion) หมายถึง การจูงใจที่เสนอคุณค่าพิเศษ หรือการจูงใจ ทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประสานงานการติดต่อสื่อสาร ผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค คนกลาง (ผู้จัดจำหน่าย) หรือหน่วย ทำหน้าที่ในการกำหนดกิจกรรม งานขาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างยอดขายในทันที และการดำเนินงานในด้านการสื่อสาร จากความหมายนี้สามารถสรุปได้ว่า ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ 1. การส่งเสริมการขายเป็นการให้สิ่งจูงใจพิเศษเพื่อ และศึกษาวิจัยปัญหาทางสังคม กระตุ้นให้เกิดการซื้อ (extra incentive to buy) เช่น คูปอง ของแถม การชิงโชค การแลกซื้อ เป็นต้น 2. การส่งเสริมการขายเป็นเครื่องมือกระตุ้น (acceleration tool) กิจกรรมการส่งเสริมการขายมี วัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อจำนวนมากขึ้น และ สามารถตัดสินใจซื้อได้ในเวลาทันทีทันใด 3. การส่งเสริมการขายใช้ในการจูงใจกลุ่มต่าง ๆ

บทที่12 ความเสี่ยงและการประกันภัยความเสี่ยง ความเสี่ยงทางธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง การประกันภัย หลักพื้นฐานของสัญญาประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัย การประกันวินาศภัย การประกันชีวิต

ความเสี่ยงทางธุรกิจ 1. ความเสี่ยงภายใน (Internal risk) หรือ ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ (Unsystematic Risk) ความเสี่ยงด้านโครงสร้างทางการเงิน (Financial risk) ความเสี่ยงจากการบริหาร (Management risk) ความเสี่ยงเกี่ยวกับพนักงาน (Employee risk) 2. ความเสี่ยงภายนอก (External risk) หรือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) ความเสี่ยงทางด้านการเมืองและสังคม (Political risk ความเสี่ยงทางภัยพิบัติธรรมชาติ (Natural risk)

การบริหารความเสี่ยง 1) การยอมรับความเสี่ยง (Risk Acceptance) เป็นการยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่คุ้มค่า ใน การจัดการควบคุมหรือป้องกันความเสี่ยง 2) การลด/การควบคุมความเสี่ยง (Risk Reduction) เป็นการปรับปรุงระบบการท างานหรือการออกแบบ วิธีการ ท างานใหม่เพื่อลดโอกาสที่จะเกิด หรือลดผลกระทบให้อยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ 3) การกระจายความเสี่ยง หรือการโอนความเสี่ยง (Risk Sharing) เป็นการกระจายหรือถ่ายโอนความเสี่ยง ให้ ผู้อื่นช่วยแบ่งความรับผิดชอบไป 4) หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Risk Avoidance) เป็นการจัดการความเสี่ยงที่อยู่ในระดับสูงมากและหน่วยงานไม่ อาจยอมรับได้ จึงต้องตัดสินใจยกเลิกโครงการ/กิจกรรมนั้น

การประกันภัย การประกันภัย คือ การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย เมื่อเกิด ความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอา ประกันภัย โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้ หลักพื้นฐานของสัญญาประกันภัย หลักส่วนได้ส่วนเสียในเหตุประกันภัย หลักสุจริตอย่างยิ่ง หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หลักการรับช่วงสิทธิ หลักการเฉลี่ย หลักสาเหตุใกล้ชิด

กรมธรรม์ประกันภัย กรมธรรม์ประกันภัย ( Policy ) หมายถึง เอกสารที่แสดงข้อตกลง เงื่อนไขต่างๆ ของสัญญาประกันภัย ในกรมธรรม์จะ ประกอบไปด้วย รายละเอียดต่างๆมากมาย อันเป็นเงื่อนไขและข้อตกลงต่างๆระหว่างผู้เอาประกันภัยและผู้รับประกันภัย การประกันวินาศภัย การประกันวินาศภัย (Non-life Insurance) หมายถึง การที่ “ผู้รับประกันภัย”ทำสัญญายินยอมตกลงจะ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือชดใช้เงินจำนวนหนึ่งในกรณีเกิดความสูญเสียหรือเสียหายต่อทรัพย์สินที่ได้ เอาประกันภัยไว้ ซึ่งความเสียหายนั้นสามารถประเมินมูลค่าหรือกำหนดเป็นวงเงินได้ รวมทั้งความเสียหาย จากการสูญเสียในสิทธิผลประโยชน์หรือรายได้ โดย “ผู้เอาประกันภัย” ต้องชำระเบี้ยประกันภัยให้แก่ผู้รับ ประกันภัย

การประกันชีวิต สมาคมประกันชีวิตไทยได้สรุปคำจำกัดความว่า การประกันชีวิต คือ การชดเชยรายได้ที่ต้องสูญเสียไปอันเนื่องมาจากความ ตาย ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือชราภาพ โดยบริษัทประกันชีวิตจะจ่ายเงินตามจำนวนที่ระบุไว้ให้แก่ผู้เอาประกันภัย หรือผู้รับ ประโยชน์ ตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 861 ประกอบกับมาตรา 889 อธิบายความหมายของการประกันชีวิตไว้ว่า หมายถึง “สัญญาซึ่งผู้รับประกันชีวิตตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งให้เมื่อมีเหตุ ในอนาคตดังระบุไว้ในสัญญา กล่าวคือ เมื่อผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ถูกเอาประกันชีวิตมรณะลงภายในเวลาตามที่ตกลงกันไว้ หรือเมื่อผู้นั้นยังทรงชีพอยู่จนถึงเวลาตามที่ได้ตกลงกันไว้ และในการนี้ผู้เอาประกันชีวิตตกลงจะส่งเงินซึ่งเรียกว่าเบี้ยประกัน ภัยให้แก่ผู้รับประกันชีวิต” จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การประกันชีวิต (Life Insurance) หมายถึง การที่บุคคลผู้หนึ่งเรียกว่า “ผู้เอา ประกันภัย” ได้จ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “เบี้ยประกันภัย” ตามจำนวนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ให้กับบริษัทประกันชีวิต เพื่อ ซื้อความคุ้มครองการเสียชีวิต ครอบคลุมไปถึงการสูญเสียอวัยวะ การทุพพลภาพ การบาดเจ็บหรือเจ็บป่วย ภายในเวลาที่ กำหนด หรือมีอายุยืนยาวจนครบกำหนดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเรียกว่า “จำนวนเงินเอา ประกันภัย” ให้แก่ “ผู้รับผลประโยชน์” หรือผู้เอาประกันภัยแล้วแต่กรณี ทั้งนี้เงื่อนไขความคุ้มครองจะมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับ การเลือกซื้อตามความเหมาะสมของผู้เอาประกันภัยเป็นหลัก

บทที่13 เอกสารในการประกอบธุรกิจ เอกสารการซื้อขาย เอกสารคลังสินค้า เอกสารการเงิน - เช็ค - ตั๋วสัญญาใช้เงิน

เอกสารการซื้อขาย เอกสารการซื้อขายสินค้า เอกสารประกอบการลงบัญชีการซื้อขายสินค้า ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 กำหนดว่าการลงรายการในบัญชีเงินสด บัญชีธนาคาร และบัญชี สินค้า ต้องมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีทุกรายการที่สามารถแสดงความถูกต้องครบถ้วนของ รายการบัญชีตามความเป็นจริง และเชื่อถือได้ เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี หมายถึง บันทึก หนังสือ หรือเอกสารใดๆที่ใช้เป็นหลักฐานในการลง รายการในบัญชี เอกสารประกอบการลงบัญชีแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ เอกสารที่จัดทำขึ้นโดยบุคคลภายนอก เอกสารที่จัดทำขึ้นโดยผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี เพื่อให้ออกให้แก่บุคคลภายนอก เอกสารที่จัดทำขึ้นโดยผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชีเพื่อใช้ในกิจการ

เอกสารคลังสินค้า เอกสารการคลังสินค้า เอกสารในการขออนุญาตดำเนินกิจการการคลังสินค้า 1. แบบ ค.ส. 1 ใบคำขอรับความเห็นชอบเพื่อจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทประกอบกิจการคลังสินค้า 2. แบบ ค.ส. 2 ใบคำขออนุญาตประกอบกิจการคลังสินค้า 3. แบบ ค.ส. 3 ใบคำขอรับใบแทนใบอนุญาต 4. แบบ ค.ส. 4 ใบคำขออนุญาตจัดตั้งสาขาบริษัท 5. แบบ ค.ส. 5 ใบคำขอแจ้งชนิดและปริมาณสินค้า

เอกสารการเงิน เอกสารทางการเงินหรือ Business Documents เป็นเอกสารสำคัญที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมาย เพื่อยืนยันหรืออ้างอิงเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ช่วยให้การติดต่อกันทางธุรกิจมีความสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย ใช้สร้างความน่าเชื่อถือในการติดต่อเกี่ยวกับการขอสินเชื่อ หรือใช้เป็นข้อมูลในการบันทึกทางการบัญชี ถือเป็น เอกสารที่เจ้าของธุรกิจเอง รวมถึงใครหลายๆ คนที่แม้จะไม่ได้ประกอบธุรกิจควรรู้จักและเข้าใจความสำคัญของ เอกสารเหล่านี้

THANK YOU


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook