146 เร่ืองท่ี 3 กำรตรวจสอบโครงกำรพัฒนำอำชีพ การดาเนินงาน โครงการพัฒนาอาชีพ ให้ประสบความสาเร็จการตรวจสอบติดตามโครงการและ การควบคุมโครงการ เป็นระบบท่สี าคัญตอ่ การจดั การโครงการไดด้ าเนนิ การไปอย่างมีประสิทธภิ าพ การตรวจสอบโครงการ หมายถึง กระบวนการการวัดและการตรวจสอบท่ีทาเป็นประจาในแต่ละ ระยะของการดาเนนิ งานโครงการ โดยจะทาการวัดและตรวจสอบปัจจัยนาเข้า ได้แก่ ความพร้อมของทุน แรงงาน ตลาด การจัดการ ความถนัด ความสอดคล้องของอาชีพกับชุมชน กระบวนการดาเนินงาน ตรวจสอบการดาเนินงานโครงการว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ และติดตามผลผลิต ผลิตภัณฑ์ บริการ ทเ่ี กดิ ข้ึนว่าเปน็ อยา่ งไร โดยการตดิ ตามโครงการ มีจดุ มงุ่ หมายเพื่อให้ข้อมูลแก่ฝ่ายบริหารในการชี้ให้เห็น สถานการณ์ของโครงการเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากร การปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ หรือผลผลิต / ผลิตภัณฑ์ บริการของโครงการเพอื่ การแกไ้ ขปรบั ปรุงสถานการณต์ ่าง ๆ ของโครงการที่เป็นปญั หาไดท้ ันทวงที การควบคุมโครงการ หมายถึง กระบวนการที่บังคับให้กิจกรรมต่าง ๆ เป็นไปตามแผนงานและ วัตถุประสงค์ ท่ีได้กาหนดไว้ การควบคุมโครงการจะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริหารโครงการ ตลอดจน ผปู้ ฏบิ ตั ิงานโครงการใหส้ นใจช่วงการดาเนินงาน เพ่ือไม่ให้การดาเนินงานเบ่ียงเบนไปจากแผน และเพ่ือ แก้ไข ขอ้ ผดิ พลาดเมอ่ื สถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เพ่ือให้โครงการประสบความสาเร็จ ระบบ การควบคมุ โครงการเก่ียวกับส่ิงต่างๆ ควรควบคุมโครงการใน 5 ด้าน ดงั น้ี 1. การควบคุมทรัพยากรทางกายภาพ ได้แก่ การตรวจสอบว่าวัตถุประสงค์ อุปกรณ์เคร่ืองมือ อาคาร ท่ีดิน และบุคลากร/ ผู้ปฏิบัติงาน มีปริมาณและลักษณะตามที่กาหนดไว้สาหรับการปฏิบัติงาน เพ่ือใหเ้ กิดการประหยดั ในการบรรลุวัตถุประสงค์ 2. การควบคุมกระบวนการปฏิบัติงาน ได้แก่ การตรวจสอบกากับดูแลเทคนิค เคร่ืองจักร เครื่องมือต่างๆ และวิธีปฏิบัติงานของบุคลากร/ผู้ปฏิบัติให้ถูกต้องตรงตามหลักการที่กาหนดไว้สาหรับ การปฏิบัติงานประเภทน้ัน ๆ 3. การควบคมุ ผลการปฏิบตั ิงาน เปน็ การจดั การใหโ้ ครงการการผลิตไดป้ ริมาณตามที่กาหนดไว้ ตามคณุ ภาพ และตามช่วงเวลาทีก่ าหนดไว้ 4. การควบคุมดา้ นการเงิน ได้แก่ การควบคุมดา้ นรายจา่ ย การควบคมุ ด้านงบประมาณ และด้าน การบญั ชี เพ่ือใหเ้ กิดความม่นั ใจว่ารายรบั และรายจา่ ยของโครงการเป็นไปตามแผนและโครงการสามารถ ทาใหเ้ กดิ ผลผลติ / ผลิตภัณฑ์/ บรกิ ารตามวัตถปุ ระสงค์ 5. การควบคุมบุคลากร เป็นการควบคุมพฤติกรรมการปฏิบัติงานของทีมงานโครงการให้เป็นไป ตามวิธีการท่ีกาหนดไว้ และให้เป็นไปตามกาหนดการโครงการ การควบคุมการปฏิบัติงานของบุคลากร อาจใชก้ ารประเมนิ ผลการปฏบิ ัตงิ านแบบเป็นระบบและเป็นทางการการตดิ ตามและการควบคุมโครงการ เป็นกจิ กรรมทเ่ี กย่ี วเน่ืองกัน และมกั ใช้ควบคูก่ นั เพื่อปรบั การปฏิบตั งิ านใหไ้ ปสทู่ ิศทางที่ต้องการ กล่าวคือ เม่ือได้ติดตามดูผลการปฏิบัติงานว่าเป็นอย่างไรแล้ว ต้องมีการควบคุมเพ่ือปรับการปฏิบัติงานให้ไปสู่ ทิศทางท่ีกาหนดไว้ในแผน เพื่อช่วยให้โครงการบรรลุสิ่งทาเป็นวัตถุประสงค์ของโครงการ ในการ ดาเนินงานโครงการการตดิ ตามและการควบคมุ จงึ ช่วยใหโ้ ครงการมคี วามเปน็ อันหนง่ึ อนั เดียวกันท้ังระบบ ตลอดอายขุ องโครงการ
147 การรายงานผลเป็นการสรุปจากผลการประเมินว่าเป็นไปตามโครงการหรือไม่ มีปัญหาอุปสรรค อยา่ งไร เพ่ือหาแนวทางแกไ้ ข และสง่ เสรมิ ใหก้ ารปฏิบตั ิงานตามโครงการน้นั มีประสทิ ธภิ าพมากย่ิงขนึ้ การประเมินผลโครงการ นอกจากจะประเมินความสาเร็จตามเป้าหมายที่กาหนดไว้แล้ว ผปู้ ระกอบการควรทาการประเมินด้านคณุ ธรรม จริยธรรมของตนเองด้วยเพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ จะนึกถึงแต่ผลกาไรโดยไม่คานึงถึงคุณธรรม จริยธรรม ซ่ึงจะมีผลต่อความม่ันคงของอาชีพในระยะยาว ด้วย หมำยเหตุ : ให้นักศกึ ษา ได้ศึกษาเพิม่ เตมิ จากควิ อารโ์ ค้ด หนังสือแบบเรยี นรำยวิชำทักษะกำรพฒั นำอำชพี อช21002
148 แบบทดสอบรำยวิชำทกั ษะกำรพฒั นำอำชีพ อช21002 จงเลอื กคำตอบท่ีถูกตอ้ งทส่ี ุดเพียงคำตอบเดยี ว 1. ความจาเป็นในการฝึกทักษะอาชีพในแง่มุม 4. ขอ้ ใดเปน็ การดาเนนิ งานดา้ นกระบวนการ ทางด้านสงั คมคือขอ้ ใด ตลาดในการจาหน่ายผลิตภัณฑข์ า้ วแปรรูป ก. ครอบครวั ทม่ี เี ศรษฐกจิ ดสี ามารถส่งบุตรหลาน ของประยุทธ์ิ เข้ารับการศึกษาได้ตามความต้องการ ก. พฒั นาตวั ขา้ วสวยใหม้ ีหลากสี ข. สภาพสังคมจะดหี รือไมน่ ้ันย่อมขึ้นอยู่กบั ข. นาสินคา้ ไปจดั แสดงในงานแสดงสนิ คา้ สภาพเศรษฐกจิ ค. ออกแบบบรรจภุ ัณฑท์ ่ีสะดวกในการ ค. การแข่งขันทางธุรกจิ มกี ารแขง่ ขนั ทาง รบั ประทาน การตลาดสงู ง. ใชข้ ้าวหอมมะลพิ นั ธุด์ มี ีคณุ ภาพมาทา ง. ประเทศท่ีมีเศรษฐกจิ ดจี ะส่งผลให้สภาพสงั คม ผลิตภัณฑ์ ดี ใช้สถำนกำรณ์ตอ่ ไปน้ตี อบคำถำมข้อ 5-6 บริษัทผลิตยาจากสมุนไพรแห่งหน่ึงก่อต้ังมา 2. เจ้าของรา้ นขายอาหารตามสงั่ ใชภ้ าชนะบรรจุ อาหารจากชานอ้อย เป็นการให้ความสาคญั กับ นานกว่า50ปี มคี วามรู้ และมีประสบการณ์ในการ การจัดการอาชีพในขอ้ ใด สกดั สารสาคญั ตา่ งๆจากสมนุ ไพรมาใช้ในการปรุง ก. สถานภาพทางการเงนิ ยา ต่อมาเน่ืองจากมีกระแสการบริโภคเพื่อ ข. การใชท้ รพั ย์สนิ อยา่ งค้มุ คา่ สุขภาพ และรัฐบาลได้จัดโครงการพัฒนา ค. ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สิง่ แวดล้อม ผลิตภัณฑ์ต่างๆ บริษัทจึงคิดท่ีจะผลิตเครื่องดื่ม ง. การลงทนุ ระยะยาวอยา่ งมีคณุ ค่า สมุนไพร เพอื่ เป็นทางเลือกใหมใ่ หก้ บั ผูบ้ ริโภค ใช้สถำนกำรณต์ ่อไปน้ีตอบคำถำมข้อ 3-4 5. จากการวเิ คราะหด์ ว้ ยเทคนคิ SWOT ข้อใดคือ ประยุทธิ์จาหน่ายข้าวสาร ต่อมาต้องการแปรรูป จุดแขง็ (s) ของบรษิ ัทที่เปน็ ประโยชน์ต่อการ ข้าวใหเ้ ป็นผลติ ภัณฑข์ า้ วท่ีสุกแลว้ โดยทาให้แห้งเม่ือ ผลติ เครอื่ งด่ืมสมุนไพร ใส่นา้ กส็ ามารถบริโภคได้ทันทีเพ่ือตอบโจทย์การใช้ ก. กระแสการบรโิ ภคเพอ่ื สุขภาพ ชีวิตในปัจจุบันและสถานการณ์อุทกภัยท่ีเกิดข้ึน ข. โครงการพฒั นาผลิตภณั ฑ์ของรัฐบาล บ่อยครั้ง ค. ระยะเวลาในการกอ่ ต้ังนานกวา่ 50 ปี ง. ประสบการณใ์ นการสกดั สาระสาคัญต่างๆ 3. ประยุทธ์ิควรศึกษาขอ้ มูลการแปรรูปสินค้าพร้อม จากสมุนไพร บรโิ ภคดงั กลา่ ว จากแหล่งเรยี นรใู้ ด ก. หนังสอื ตารบั อาหารไทย ข. สานักส่งเสรมิ การผลิตขา้ ว ค. ศูนย์วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ การศึกษา ง. สถาบันคน้ ควา้ และพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร
149 6. ขอ้ ใดเป็นการดาเนนิ การตามหลกั ปรชั ญาของ 8. แต๋วรบั ผา้ ทอพ้ืนเมืองมาจาหน่ายทร่ี ้านต่อมา เศรษฐกจิ พอเพยี งของบริษัทในการผลติ ตอ้ งการเพิ่มช่องทางการจาหนา่ ยผา่ นสอ่ื เครอ่ื งด่ืมสมนุ ไพร สงั คมออนไลน์แม้ว่าแตว๋ จะใช้ส่อื สังคม ก. ใช้หลกั กภมู ิคุ้มกัน โดยใชป้ ระโยชนข์ อง ออนไลนเ์ ป็นประจาแต่ว่ายงั ขาดความรแู้ ละ กระแสการบริโภคเพ่ือสุขภาพ ประสบการณ์เกีย่ วกับการชาระเงนิ ผา่ นระบบ ข. ใช้หลักเหตุผล โดยนาความรแู้ ละ ออนไลนข์ ้อใดเป็นความเสยี่ งทต่ี ้องดาเนินการ ประสบการณท์ ีม่ ีเก่ียวกับสมุนไพรมาทา เพอื่ พฒั นาอาชีพการขายผา้ ของแต๋ว เครอื่ งด่มื ก. อตั ราดอกเบยี้ เงินกขู้ องธนาคาร ข. การรบั ชาระเงินผ่านระบบออนไลน์ ค. ใช้เงอ่ื นไขความรู้โดยการเรยี นรูก้ ารปรุงยา ค. การรับผ้าทอพ้ืนเมืองมาจาหนา่ ยท่ีร้าน สมนุ ไพรตารับใหมๆ่ ง. ความสามารถในการใช้สือ่ สงั คมออนไลน์ ง. ใช้เง่ือนไขคณุ ธรรม โดยการนาเครอ่ื งดื่ม สมุนไพรทมี่ ีการจดสิทธบิ ตั รมาทาเปน็ ใช้สถำนกำรณต์ ่อไปน้ีตอบคำถำมข้อ 9-10 เครือ่ งด่มื ของตน กลุ่มแม่บ้านผลิตแชมพูสมุนไพรพบว่าขวด 7. บริษัทผลิตช็อกโกแลตแห่งหนึ่ง จาหน่ายเฉพาะ แชมพูแต่กง่ายแม้ว่าได้ตรวจสอบก่อนจาหน่ายก็ ลกู ค้ากลุ่มเล็ก แตม่ กี าลังซ้อื สูง ตอ่ มาพบว่า ต า ม จึ ง ส า ร ว จ บ ร ร จุ ภั ณ ฑ์ ที่ มี ค ว า ม ท น ท า น สนิ ค้าเจาะตลาดไดด้ ีมาก และมีการเติบโต เหมาะสมกบั ผลิตภัณฑ์เพ่ือประกอบการตัดสินใจ คอ่ นขา้ งดจี งึ ตอ้ งการขยายฐานการจาหน่าย เปลี่ยนบรรจภุ ณั ฑ์ใหม่ ผลิตภัณฑไ์ ปยงั ลกู ค้าทว่ั ไป ขอ้ ใดเปน็ วสิ ยั ทศั นท์ ่ี 9. การสารวจดังกลา่ วเป็นขนั้ ตอนใดในการแก้ไข เหมาะสมที่สุด ปญั หาความเสย่ี งต่อความมน่ั คงของอาชีพ ก. บริษทั จะตอ้ งได้รบั การรบั รองมาตรฐาน ก. ระบุปัญหา ฮาลาล ภายในระยะเวลา 3 ปี ข. หาสาเหตุของปัญหา ข. บริษัทจะเป็นผ้นู าในการผลติ ชอ็ กโกแลตของ ค. กาหนดแนวทางแก้ปญั หา ประเทศ ภายในระยะเวลา 5 ปี ง. กาหนดจดุ มงุ่ หมายในการแกป้ ัญหา ค. บริษทั จะพัฒนาผลิตภณั ฑช์ อ็ กโกแลตรูปแบบ อ่นื ๆ จาหนา่ ยอกี 2 ชนดิ ภายในระยะเวลา 3 10. จากปญั หาขวดแชมพูแตก่ รา้ ว คุณภาพของ ปี ขวดแชมพคู วรอยูใ่ นหัวข้อใด ก. ความเสี่ยง ง. บรษิ ทั จะจัดสง่ ชอ็ กโกแลตวางจาหนา่ ยที่ ข. สาเหตุ หา้ งสรรพสินค้าชน้ั นาทั่วประเทศภายใน ค. ผลกระทบ ระยะเวลา 5 ปี ง. การควบคมุ ในปจั จบุ ัน
150 11. วิสาหกจิ ชมุ ชนผลติ ขนมปัน้ ขลบิ ทอดไส้ปลา 14. รา้ นนวดแผนโบราณมอี ตั ราคา่ บรกิ ารนวดตัว ดว้ ย อปุ กรณ์พน้ื ฐานท่มี ีในครวั เรอื นจาหน่ายใน ชั่วโมงละ 100 บาท นวดประคบชวั่ โมงละ ชมุ ชนต่อมามีลกู ค้าจากพน้ื ท่ีอื่นๆต้องการ 120 บาท และมีแผนให้ บริการนวดฝา่ เทา้ สนิ คา้ ดว้ ย ขอ้ ใดเป็นการใชน้ วัตกรรมหรือ ชวั่ โมงละ 100 บาท ในอกี 1 เดอื นขา้ งหนา้ เทคโนโลยีในการผลติ ทชี่ ่วยให้ผลติ สินค้าไดท้ นั ข้อใดเป็นแผนการตลาดดา้ นสง่ เสริมการขาย ตามทีล่ กู ค้าตอ้ งการ การนวดฝ่าเทา้ ท่ที าใหม้ รี ายไดจ้ ากการนวด ก. ใช้เครือ่ งนวดแปง้ ไฟฟา้ มากที่สุดตอ่ การใชบ้ ริการ 1 ครั้ง ข. ใชไ้ ม้พายในการผดั ไสข้ นม ก. ลด 10 % สาหรบั การนวดฝ่าเท้าจานวน ค. ประเมินความพงึ พอใจของลกู คา้ 2 ชั่วโมง ง. ติดตามการจัดสง่ สินคา้ ผ่านระบบออนไลน์ ข. ลด 10 % โดยนวดฝา่ เทา้ คู่กบั นวด 12. ข้อใดเป็นกระบวนการควบคมุ ตน้ ทนุ การผลิต ตวั อยา่ งละ 1 ช่วั โมง ของรา้ นกาแฟ ค. ลดราคา 20 บาทโดยนวดฝา่ เท้าคกู่ บั นวด ก. สารวจทาเลท่ีต้ังรา้ นกาแฟ ข. บนั ทึกยอดขายในแต่ละวัน ประคบอยา่ งละ 1 ชวั่ โมง ค. ลดราคากาแฟสาหรับสมาชกิ ของรา้ น ง. ผใู้ ชบ้ ริการนวดฝา่ เทา้ ครั้งแรก 1 ช่วั โมง ง. เปรยี บเทียบราคาเม็ดกาแฟท่มี คี ณุ ภาพ ได้รับน้ามันตะไคร้หอมเป็นของกานนั จานวน 1 ขวด ระดับเดียวกัน 15. ชาวประมงจบั ปลาหมึกสดขายต่อมาต้องการ 13. รา้ นขายข้าวเหนียวน้ากะททิ เุ รียนเตรยี มทจี่ ะ พัฒนาผลติ ภัณฑจ์ ากปลาหมึกไปขายทีต่ ลาด ขายลอดช่องน้ากะทิทุเรยี นเพิม่ ในฤดูกาลทีจ่ ะ เพิม่ เติม ข้อใดเปน็ การระบุวัตถปุ ระสงค์ทาง มาถึงจดั เป็นข้ันตอนใดของวงจรคณุ ภาพ การตลาด (Deming Cycle) ก. ทาปลาหมึกแห้งส่งขายรา้ นในตลาด ก. Plan ข. ประชาสมั พันธ์คุณค่าทางอาหารของ ข. Do ค. Check ปลาหมกึ แหง้ ง. Act ค. วิเคราะหส์ ถานการณ์ทางการตลาด ปลาหมกึ สด ง. ภายในปี 2565 จะครองสว่ นแบ่ง การตลาดปลาหมึกแหง้ มากทสี่ ดุ ในอาเภอ
151 16. หมู่บา้ นขุนสมทุ รจีนเป็นหมู่บ้านเกา่ แก่ใน 18. ผนู้ าชุมชนแหง่ หนงึ่ มคี วามคิดทจ่ี ะสรา้ ง จังหวัดสมุทรปราการมีป่าชายเลนท่อี ดุ ม โรงงานผลิตไฟฟา้ จากขยะเพ่ือลดปญั หาขยะ สมบรู ณ์ประมาณ 10 ไร่มีพิพิธภัณฑพ์ น้ื บา้ นที่ และสรา้ งรายได้ใหช้ ุมชนจึงสง่ ตัวแทนไป เกบ็ ของโบราณสมยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนต้นมวี ัด ศึกษาดงู านโรงงานผลติ ไฟฟา้ จากขยะใน ขุนสมุทรจีนเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชมุ ชน ชมุ ชนอ่ืนการดาเนินการดงั กลา่ วเป็นขนั้ ตอน และเปน็ แหลง่ เรียนร้เู ก่ียวกับการกัดเซาะ ใดในการขบั เคลือ่ นแผนพฒั นาอาชีพ ชายฝั่งทะเลทรี่ นุ แรงที่สดุ ในประเทศไทย ก. การจดั การความรู้ หมู่บา้ นแหง่ นี้ควรพัฒนาแผนธรุ กจิ อาชีพตาม ข. การพัฒนาแผนปฏบิ ตั กิ าร ขอ้ ใด ค. การติดตามผลการดาเนินงาน ก. ประมงชายฝ่ัง ง. การสารวจความพงึ พอใจของคนในชุมชน ข. การท่องเท่ยี ว 19. การศกึ ษาคา่ แรงขั้นต่ากลุ่มอตุ สาหกรรมเปน็ ค. อุตสาหกรรม ง. รับเหมากอ่ สรา้ ง การเตรยี มขอ้ มลู ดา้ นใดในการเขียนโครงการ พฒั นาอาชพี ประเภทรับจ้าง 17. กลมุ่ แมบ่ า้ นเกษตรกรผูป้ ลูกมะพร้าว ต้องการ ก. ทุน พฒั นาอาชพี โดยการทาเค้กมะพรา้ วอ่อนสง่ ข. การตลาด ขายตามแหลง่ ทอ่ งเท่ยี วของจงั หวดั ควร ค. คา่ จ้างแรงงาน กาหนดตัวบ่งช้ีความสาเรจ็ ของแผนพฒั นา ง. ความก้าวหน้าในอาชพี อาชีพตามข้อใด 20. ข้อมลู ใดควรเปน็ งบประมาณของโครงการ ก. ตรวจสอบเคก้ มะพร้าวอ่อนก่อนสง่ ขาย ขายอาหารประเภทยาในตลาดสดหมบู่ า้ น ข. ขายเคก้ มะพร้าวออ่ นไดส้ ปั ดาหล์ ะ 500 ชิน้ เพ่ือส่งเสริมการมีรายได้ของกลมุ่ ผูพ้ กิ ารใน ค. เชิญวทิ ยากรมาใหค้ วามร้ใู นการผลติ เคก้ ชุมชน ก. เตรยี มเงินสดสาหรับทอนเงินลูกค้า มะพร้าวออ่ น ข. ฐานะทางเศรษฐกิจของคนพกิ าร ง. สารวจรา้ นค้าตามแหลง่ ท่องเทยี่ วของจังหวดั ค. ยาที่ขายใชว้ ตั ถุดบิ ทส่ี ดสะอาด และราคา เพ่ือฝากขายเค้ามะพรา้ วออ่ น ไม่แพง ง. คา่ อปุ กรณ์ในการทายา เชน่ ทพั พี กะละมงั หมอ้
152 สรุปเนื้อหำรำยวชิ ำพฒั นำอำชพี ให้มีควำมเขม้ แข็ง อช21003 จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1. อธบิ ายความหมาย ความสาคญั และความจาเปน็ ของการพัฒนาอาชีพเพ่อื ความเข้มแขง็ ได้ 2. กาหนดทศิ ทาง และเป้าหมายการตลาดของสินคา้ หรอื บรกิ ารได้ ขอบเขตเน้ือหำ 1. ศกั ยภำพธรุ กจิ 1.1 ความหมาย ความสาคัญ และความจาเป็นในการพัฒนาอาชีพเพือ่ ความเข้มแข็ง 1.2 ความจาเป็นของการวิเคราะห์ศักยภาพธรุ กิจ 1.3 การวเิ คราะห์ตาแหน่งธุรกจิ 1.4 การวิเคราะห์ศักยภาพธรุ กิจบนเสนทางของเวลาตามศกั ยภาพของแต่ละพ้นื ท่ี 2. กำรจดั ทำแผนพัฒนำกำรตลำด 2.1 ทศิ ทาง และเปา้ หมายการตลาดเพื่อพฒั นาการตลาด 2.2 การกาหนดกลยุทธ์ และวิเคราะห์สู่เป้าหมาย 2.3 วิเคราะห์กลยทุ ธ์ในการวางแผนการตลาด 2.4 กาหนดกจิ กรรม และแผนการพฒั นาการตลาด หนว่ ยท่ี 1 ศักยภำพธุรกิจ อาชีพ คือ การหาเลี้ยงชีพด้วยวิธีการต่าง ๆ ในอดีตอาชีพมีจากัด อาชีพหลัก ๆ ได้แก่ เกษตรกรรม กล่าวคือ การทาไร่ ทานา งานอดิเรก เช่น การจักสาน เครื่องป้ันดินเผา การทาเคร่ืองเงิน การทาเคร่อื งทอง งานโลหะฝมี อื งานเครอ่ื งใชช้ ั้นสงู มกี ารสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่นิยมเปิดเผยให้คนอ่ืนรู้ จึงไม่มกี ารทาเปน็ อาชพี ท่ีแพรห่ ลายมาก มีเพียงช่างผู้ชานาญการพิเศษในการทาอาชีพในยุคอดีต จึงไม่มี ให้คนในสังคม ยุคนั้นเลือกทาอย่างในยุคปัจจุบันที่มีความหลากหลายทางอาชีพจนแตกย่อยเป็นสาย อาชีพต่าง ๆ ที่มีความเฉพาะมากข้ึน เช่น อาชีพนักบิน อาชีพวิศวกร อาชีพนักบัญชี อาชีพทนายความ อาชพี ช่างแตง่ หน้า อาชพี นกั สารวจ อาชีพชา่ ง เป็นตน้ การพัฒนาอาชีพ หมายถึง การประกอบอาชีพท่ีมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ ของลูกค้าอยู่ตลอดเวลาโดยมีส่วนครองตลาดได้ตามความต้องการของผู้ผลิต ซึ่งแสดงถึงความมั่นคง ในอาชพี การพฒั นาอาชีพเพื่อความเข้มแขง็ หมายถงึ การประกอบอาชีพท่ีใช้กระบวนการพัฒนาสินค้าให้ ตรงกับความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา และสามารถจัดการกับความหลากหลายท่ีสร้างสรรค์ อย่างมีคุณภาพและมีความสามารถทจี่ ะรกั ษาสิง่ ท่พี ัฒนาไปแลว้ ให้คงอยูต่ ลอดไป ศักยภาพ คอื ความสามารถในร่างกาย และถูกนามาใช้ในการพัฒนาธุรกิจ หรือดาเนินการในสิ่ง ต่าง ๆ
153 การวิเคราะห์ตาแหน่งธุรกิจ หมายถึง การศึกษาข้ันตอนในการวิเคราะห์ถึงตาแหน่งในด้านการ เปลี่ยนแปลงของธุรกิจตามชว่ งระยะเวลาและเป้าหมายทก่ี าหนดไว้ ศักยภาพของพ้ืนท่ี 5 ด้าน หมายถึง ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพื้นที่ ศักยภาพ ของพื้นที่ตามลักษณะภูมิอากาศ ศักยภาพของภูมิประเทศและทาเลท่ีต้ังของแต่ละพ้ืนที่ ศักยภาพของ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของแต่ละพ้ืนท่ี ศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแต่ละพ้ืนท่ี ดังต่อไปนี้ 1) ศักยภาพของทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละพ้ืนท่ี 2) ศักยภาพของพ้ืนที่ตามลักษณะภูมิ ประเทศ 3) ศักยภาพของภูมิประเทศและทาเลที่ต้ังของแต่ละพื้นที่ 4) ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี และวิถชี ีวติ ของแต่ละพ้นื ที่ 5) ศกั ยภาพของทรัพยากรมนษุ ยใ์ นแต่ละพื้นท่ี หนว่ ยที่ 2 กำรจดั ทำแผนกำรพฒั นำกำรตลำด กิจกรรมการพัฒนาการตลาด หมายถึง การใช้กิจกรรมหรือเหตุการณ์พิเศษ เป็นส่ือกลางใน การสรา้ งความสนใจ และโอกาสในการเหน็ ตราสินคา้ ตลอดจนการผกู ความสัมพันธ์ระหว่างตราสินค้ากับ ผ้บู รโิ ภค แผนพัฒนาการตลาด หมายถงึ การกาหนดแนวทาง และทิศทางในการดาเนินงานทางการตลาด ใหเ้ ปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงค์ และสัมพนั ธ์กับกลยทุ ธท์ างการตลาดที่กาหนดไว้ โดยสามารถตรวจสอบ และ ประเมินผลกจิ กรรมทางการตลาดไวล้ ว่ งหนา้ ได้ การวางแผนพัฒนาการตลาด คอื กระบวนการในการกาหนดเป้าหมาย และวิธีการเพื่อการตลาด ปฏิบัติการทางการตลาดให้บรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมาย และก่อให้เกิดผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า โดยใช้ ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การวางแผนพัฒนาการตลาด ทาได้หลายวิธี เช่น การวางแผนเพื่อเพิ่ม ยอดขาย เพือ่ ขยายสว่ นแบง่ ตลาด และเพือ่ เพิ่มผลกาไร เปน็ ตน้ หน่วยที่ 3 กำรจัดทำแผนพัฒนำกำรผลิต การพัฒนาอาชีพให้มีความเข้มแข็ง จาเป็นต้องจัดทาแผนพัฒนาการผลิตหรือการบริการ เพ่ือ กาหนดคุณภาพผลผลิตหรอื การบรกิ าร การวิเคราะหท์ นุ ปัจจัยการผลิตหรือการบริการ การวิเคราะห์ทุน ปจั จัยการผลติ หรือการบริการ การกาหนดเป้าหมายการผลิตหรือการบริการ การกาหนดแผนกิจกรรม การผลิตเพื่อพัฒนาระบบการผลติ หรอื การบรกิ าร และนาไปสกู่ ารปฏบิ ตั อิ ย่างมีคณุ ภาพตอ่ ไป หน่วยที่ 4 กำรบรหิ ำรธุรกิจเชิงรุก เมือ่ ธรุ กจิ หนึง่ ไดเ้ จรญิ เตบิ โตไปไดร้ ะยะหนง่ึ กย็ ่อมจะพฒั นาใหเ้ ติบโตก้าวหน้าข้ึนไปอีกในอนาคต การวางเป้าหมายและกลยทุ ธ์การเตบิ โตของธรุ กิจเป็นสิ่งที่ต้องกาหนดเพ่ือให้ได้แนวทางการพัฒนาธุรกิจ เชงิ รุกตามทต่ี อ้ งการด้วยสภาพแวดล้อมและปัจจัยทางธุรกิจต่าง ๆ จึงจาเป็นต้องศึกษาการพัฒนาธุรกิจ เชิงรุก เพื่อให้เกิดคุณค่าและเพื่อให้สินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค จึงต้องสร้างรูปลักษณ์ คุณภาพสินค้าท่ีแตกต่างจากคู่แข่งขัน นอกจากน้ันยังต้องมีการพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคง พออยู่ พอกิน ตอ่ ไป
154 หน่วยท่ี 5 โครงกำรพัฒนำอำชพี ใหม้ คี วำมเข้มแข็ง การเขยี นโครงการพัฒนาอาชีพให้มอี ยมู่ กี นิ นน้ั เพื่อนาไปส่กู ารพฒั นาอาชพี ให้มีผลิตภัณฑ์หรือการ บริการเพ่ือสร้างรายได้พอเพียงต่อการดารงชีวิตนั้น โดยต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง ดังนั้น ก่อนลงมือปฏิบัตจิ ริงควรจะวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของแผนต่าง ๆ เพ่ือนามาเขียนเป็นโครงการพัฒนา อาชพี และตรวจสอบความเปน็ ไปได้ของโครงการ และปรับปรงุ แกไ้ ขโครงการพัฒนาอาชีพ ก็จะเป็นผลดี ต่อผู้ประกอบการในการประกอบอาชีพในอนาคต หมำยเหตุ : ให้นักศึกษา ศึกษาเพม่ิ เตมิ ไดจ้ ากเอกสารสรุปเนือ้ หาที่ต้องรู้ รายวชิ าพฒั นาอาชีพให้มีความเขม้ แข็ง ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น อช21003
155 แบบทดสอบรำยวชิ ำพฒั นำอำชีพใหม้ ีควำมเข้มแขง็ อช21003 จงเลือกคำตอบท่ีถกู ต้องทสี่ ุดเพยี งคำตอบเดยี ว 1. ขอ้ ใดคอื ความสาคญั ของการพัฒนาอาชีพ 5. ตาแหนง่ ธุรกจิ ระยะใดท่มี ีการลงทุนและขยาย ใหเ้ ข้มแข็ง กาลังการผลิตมากที่สุด ก. มีการทางานเป็นเอกเทศ ก. ระยะเริม่ ต้น ข. มกี ารวางแผนการดาเนนิ งาน ข. ระยะสร้างตัว ค. มีการพัฒนาสนิ ค้าไดต้ ามทีล่ กู ค้าตอ้ งการ ค. ระยะทรงตวั ง. มีการปรับปรุงสถานทผี่ ลิตสินค้าใหท้ นั สมัย ง. ระยะตกต่าหรอื สงู ขึ้น 2. เหตุใดผปู้ ระกอบธุรกจิ จาเปน็ จะต้องวเิ คราะห์ จงศกึ ษำข้อมูลตอ่ ไปนี้แล้วตอบคำถำมข้อ 6-8 ศักยภาพทางธุรกจิ 1. ผปู้ ระกอบการมีใจรัก มคี วามเชยี่ วชาญใน ก. เพื่อดยู อดขายกบั จดุ คุ้มทุนท่เี กดิ ขึ้น อาชพี ข. เพือ่ จะได้เห็นทิศทางเชิงกลยุทธข์ องธรุ กจิ 2. ผ้ปู ระกอบการมที ุนสว่ นตวั และมีแหล่งทุนที่ ค. เพ่ือทดสอบความเหมาะสมของแผนการ พร้อมสนบั สนุน ตลาด 3. ไมม่ แี หล่งวัตถุดิบในท้องถน่ิ ตอ้ งส่ังซ้อื จาก ง. เพอ่ื จะได้ข้อมูลใหม่เกย่ี วกบั สินคา้ และ ภาคอืน่ การตลาด 4. รฐั บาลสนบั สนุนใหม้ ีธุรกจิ ประเภทนใ้ี นทุก 3. ขอ้ ใดกลา่ วถึงการพฒั นาศักยภาพไดถ้ กู ต้อง ท้องถ่นิ ก. การเปลี่ยนแปลงอย่างมกี ระบวนการ 5. เครือ่ งจกั ร วสั ดอุ ุปกรณ์ไม่มใี นประเทศ ต้อง ข. การเปล่ียนแปลงโดยมีจุดมุ่งหมายท่กี าหนดไว้ ค. การนาเอาคนภายในมาใช้ในการผลติ ให้ได้ นา เข้าจากตา่ งประเทศ มากทีส่ ดุ 6. ตา่ งประเทศเร่มิ ใหค้ วามสนใจในสินคา้ ของ ธรุ กจิ น้ี ง. การนาความสามารถที่ซ่อนเร้นภายในมา 6. “นางวนั ดีต้องการขายเส้ือผ้าสาเร็จรูป จงึ พฒั นา ธุรกิจใหด้ ีขึ้น ได้มาตดิ ตอ่ หาสถานที่จาหน่ายในตลาดนัด” 4. ขอ้ ใด ไม่ใช่ คุณคา่ ของการวเิ คราะห์ศักยภาพ นางวนั ดี จัดอยู่ในระยะใด ของตาแหนง่ ธุรกจิ ของธรุ กจิ ก. ระยะสงู สุด ก. ทาให้คาดการณ์ไดว้ ่าระยะเวลาใดธุรกิจจึงจะ ข. ระยะทรงตวั คมุ้ ทุน ค. ระยะเรมิ่ ต้น ข. ทาใหร้ ูว้ ่าลกู ค้ามคี วามต้องการสินคา้ ใหม่ ง. ระยะสร้างตัว รูปแบบใด ค. ทาใหร้ วู้ า่ ลูกคา้ มีความพึงพอใจต่อ สินค้ามาก นอ้ ย เพยี งใด ง. ทาใหร้ ้วู า่ มีหน่วยงาน องคก์ รใดบ้างทีจ่ ะ ชว่ ยเหลือธรุ กจิ ของตน
156 7. “นายมงคลประกอบธุรกิจจาหน่ายน้าดื่มแบบ 11. การกาหนดทศิ ทางและเป้าหมายการตลาด บรรจุถังขนาด 20 ลติ ร ต่อมาได้รับการเรยี กรอง ช่วย ในการทาธรุ กจิ อยา่ งไร จากลกู ค้าใหผ้ ลติ น้าดมื่ บรรจขุ วดขนาดเล็ก นาย ก. รจู้ ักกลุม่ ลกู ค้ามาก มงคลจึงไดจ้ ัดซ้ือเคร่อื งจักรมาบรรจุขวด เพิม่ ขนึ้ ข. สินคจะได้รับความสนใจ ทาให้จานวนลูกค้ามากขึน้ ” นายมงคลจัดอยู่ใน ค. ชว่ ยให้สามารถดาเนินธุรกจิ ได้คลอ่ งตัว ระยะใดขอตาแหนง่ ธรุ กจิ ย่ิงข้นึ ก. ระยะสูงสุด ง. สามารถกาหนดเปา้ หมายตลาด และแบง่ ข. ระยะทรงตัว กลุ่มลกู ค้าได้ ค. ระยะเรม่ิ ต้น 12. การกาหนดเปา้ หมายการตลาด ง. ระยะสร้างตัว ผปู้ ระกอบการควรคานึงถงึ สิ่งใด 8. สุดาผลิตผา้ ผ้ายทอมอื ซงึ่ เป็นเอกลกั ษณ์ของ ก. กระบวนการผลติ ทอ้ งถ่ิน เป็นการประกอบอาชพี ตามศกั ยภาพ ข. พฤตกิ รรมผบู้ รโิ ภค ในขอ้ ใด ค. การสง่ เสริมการขาย ก. ศกั ยภาพของภูมิประเทศ ง. สถานท่ีจาหนา่ ยสนิ ค้า ข. ศักยภาพของทรัพยากรมนษุ ย์ 13. การเลอื กตลาดเปา้ หมาย ผูป้ ระกอบการต้อง ค. ศกั ยภาพของทรพั ยากรธรรมชาติ วิเคราะหส์ ิ่งใดเป็นสาคญั ง. ศกั ยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ก. ลูกคา้ คอื ใคร และวถิ ชี วี ิต ข. ตลาดตอ้ งการอะไร 9. อาชพี การทาประมงเป็นการประกอบอาชีพตาม ค. ชนิดของสินคา้ คืออะไร ศักยภาพในขอ้ ใด ง. ส่วนแบง่ ทางการตลาดเป็นอย่างไร ก. ศักยภาพของภูมิอากาศ 14. กลยุทธ์โดยทวั่ ไปที่ใช้ในการสง่ เสรมิ ข. ศกั ยภาพของภูมิประเทศ การตลาด ส่วนใหญ่ใชว้ ิธใี ด ค. ศักยภาพของทรพั ยากรมนษุ ย์ ก. ทาการวิจัยตลาด ง. ศักยภาพของศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ข. ใช้พนกั งานเดินตลาด และวิถชี ีวติ ค. การโฆษณาประชาสัมพันธ์ 10. นายวิชยั มีอาชีพขับรถรับ-สง่ สนิ คา้ เป็นการ ง. สารวจความตอ้ งการของผ้บู รโิ ภค ประกอบอาชีพตามศกั ยภาพในขอ้ ใด ก. ศกั ยภาพของภูมิอากาศ ข. ศกั ยภาพของภมู ิประเทศ ค. ศกั ยภาพของทรัพยากรมนษุ ย์ ง. ศักยภาพของศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวิถีชีวติ
157 15. การกาหนดกลยทุ ธใ์ นการพฒั นาผลิตภัณฑ์ 18. จากขอ้ มูลข้างต้น ขอ้ ใดเป็นโอกาส ใหม่ควรพิจารณาขอ้ ใด (Opportunities) ก. ผลติ ภัณฑ์ใหม่สามารถสู้คู่แข่งทางการคา้ ได้ ก. ผ้ปู ระกอบการมีใจรกั มีความเช่ียวชาญ ข. การประชาสมั พนั ธ์ถงึ ความพึงพอใจของ ในอาชีพ ลกู ค้า ข. รฐั บาลสนับสนนุ ใหม้ ีธรุ กจิ ประเภทนีใ้ น ค. รูปแบบของผลิตภัณฑ์เปน็ ทแ่ี พร่หลายใน ทุกทอ้ งถน่ิ ตลาด ค. ผ้ปู ระกอบการมีทุนส่วนตัว และมีแหลง่ ง. ผลติ ภัณฑใ์ หม่สามารถตอบสนองความต้อง ทนุ ท่ีพร้อมสนบั สนุน การของลูกคา้ ได้ ง. เคร่อื งจกั ร วสั ดอุ ปุ กรณไ์ มม่ ใี นประเทศ 16. จากขอ้ มลู ขา้ งตน้ ขอ้ ใดเปน็ จดุ แขง็ ต้องนาเข้าจากตา่ งประเทศ (Strengths) 19. การศกึ ษาพฤตกิ รรมของผู้บริโภค นาไปใช้ ก. ผูป้ ระกอบการมใี จรกั มคี วามเช่ียวชาญใน ประโยชน์ในขอ้ ใด ก. สารวจตลาด อาชพี ข. แบง่ สว่ นการตลาด ข. ไมม่ ีแหล่งวัตถุดบิ ในท้องถน่ิ ตอ้ งสง่ั ซ้ือจาก ค. วางแผนการตลาด ง. กาหนดขนาดตลาด ภาคอ่ืน ค. รัฐบาลสนับสนนุ ใหม้ ธี ุรกิจประเภทน้ใี น 20. ข้อมูลใด ไมใ่ ช่ การนากลยุทธ์ 4P มาใช้ใน ทกุ ท้องถิ่น ง. ต่างประเทศเรม่ิ ใหค้ วามสนใจในสินคา้ ของ ธรุ กิจน้ี การพฒั นาการตลาด ก. เพื่อสร้างความแตกต่างของสินค้า 17. จากขอ้ มูลข้างตน้ ขอ้ ใดเป็นจุดออ่ น ข. เพอ่ื สร้างความแตกตา่ งของราคา (Weakness) ค. เพ่ือสร้างความแตกต่างของตลาด ก. ต่างประเทศเร่มิ ให้ความสนใจในสินคา้ ของ ง. เพอื่ สร้างความแตกต่างของบรกิ าร ธุรกิจนี้ ข. ไม่มีแหล่งวัตถุดิบในท้องถ่นิ ตอ้ งสั่งซอ้ื จาก ภาคอนื่ ค. ผปู้ ระกอบการมที นุ สว่ นตัว และมแี หล่งทนุ ท่ี พร้อมสนบั สนนุ ง. เครอ่ื งจักร วสั ดอุ ุปกรณไ์ ม่มีในประเทศ ตอ้ ง นาเข้าจากต่างประเทศ
158 สรุปเนือ้ หำรำยวชิ ำเศรษฐกิจพอเพียง ทช21001 จุดประสงคก์ ำรเรยี นรู้ มคี วามรู้ และความเข้าใจ ยอมรับ เห็นคุณค่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถประยุกต์ใช้ ในการประกอบอาชพี และมภี มู คิ ุ้มกนั ในการดาเนนิ ชีวิตของตนเอง ครอบครวั และชมุ ชนอย่างมีความสุข ขอบเขตเน้ือหำ 1. ความพอเพียง 2. การประกอบอาชีพอย่างพอเพยี ง 3. การวางแผนประกอบอาชพี แบบพอเพียง 4. สรา้ งเครอื ข่ายดาเนนิ ชีวิตแบบพอเพยี ง หนว่ ยท่ี 1 ควำมพอเพียง - แนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงความเป็นมาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจ พอเพียงเป็นปรัชญาท่ีชี้แนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตน ท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดลุ ยเดชมพี ระราชดารัสแก่พสกนกิ รชาวไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 มีใจความว่า “...การพัฒนาประเทศ จาเป็นต้องทาตามลาดับขั้นต้องสร้างพ้ืนฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วน ใหญ่เป็น เบอื้ งตน้ ก่อนโดยใช้วธิ ีการและใช้อุปกรณ์ท่ีประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อม พอควร และปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยสร้างค่อยเสริม ความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงข้ึนโดยลาดับ ต่อไป...” และนับจากน้ันเป็นต้นมาพระองค์ได้ทรงเน้นย้าถึงแนวทางการพัฒนาหลักแนวคิดพ่ึงตนเอง เพ่ือให้เกิดความพอมี พอกิน พอใช้ของคนส่วนใหญ่ โดยใช้หลักความพอประมาณ การคานึงถึงความมี เหตผุ ลการสร้างภมู ิคุ้มกนั ในตัวท่ดี ี ตลอดจนทรงเตือนสติปวงชนชาวไทยไม่ให้ประมาท มีความตระหนัก ถงึ การพัฒนาอยา่ งเป็นข้นั เป็นตอนท่ีถกู ต้องตามหลกั วิชา และการมคี ุณธรรมเป็นกรอบในการปฏิบัติและ การดารงชีวิต ในปี พ.ศ. 2540 ประเทศไทยประสบกบั ภาวะวิกฤตเิ ศรษฐกจิ นบั วา่ เป็นบทเรียนของการพัฒนา ที่ไม่สมดุลและไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนส่วนใหญ่ ส่วนหน่ึงเป็น ผลมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมท่ีไม่ได้คานึงถึงระดับความเหมาะสมกับศักยภาพของประเทศ หรอื ความพร้อมของคนและระบบและอกี สว่ นหน่ึงนนั้ การหวังพงึ่ พงิ จากต่างประเทศมากเกนิ ไปท้ังในด้าน ความรู้ เงินลงทุน หรือตลาด โดยไม่ได้เตรียมสร้างพื้นฐานภายในประเทศให้มีความมั่นคงและเข้มแข็ง หรือสร้างภูมคิ มุ้ กันทด่ี ีเพือ่ ให้สามารถพร้อมรับความเส่ียงจากความผกผันเปล่ียนแปลงของปัจจัยภายใน และภายนอกบทเรียนจากการพัฒนาที่ผ่านมาน้ันทาให้ประชาชนคนไทยทุกระดับในทุกภาคส่วนของ สงั คมท้งั ภาครฐั เอกชน ประชาสังคม นกั วิชาการ หันกลับมาทบทวนแนวทางการพัฒนาและการดาเนิน ชีวิตของคนในชาติ แล้วมุ่งให้ความสาคัญกับพระราชดา ริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเร่ืองการ พัฒนาและการดาเนินชีวิตแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และศึกษาค้นคว้าพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ
159 เก่ียวกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงท้ังในเชิงกรอบแนวคิดทางทฤษฎีและใช้เป็นแนวในการนาไป ประยกุ ต์ใช้ในชวี ิตประจาวนั มากขึ้น ศกึ ษาเพม่ิ เติมที่ https://youtu.be/8aE3JSNmswc เศรษฐกิจพอเพียง เปน็ แนวคิดท่ียึดหลักทางสายกลาง คือ พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันท่ีดี ในการดารงชวี ติ และปฏบิ ตั ิตนของประชาชนทุกระดบั ตั้งแตร่ ะดบั ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ เพ่ือการดาเนินชีวิตอย่างชาญฉลาด และสามารถดารงอยู่ได้ท่ามกลางสภาพการแข่งขันและการ เปลี่ยนแปลงของโลกาภิวัตน์ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิง ในการนาวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผนและดาเนินการทุกข้ันตอนและขณะเดียวกันจะต้อง เสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐ นักวิชาการและนักธุรกิจในทุกระดับ ให้สานึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียรมีสติปัญญาและความรอบคอบเพ่ือให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปล่ียนแปลงอย่าง รวดเร็วและกว้างขวางทงั้ ด้านวตั ถุ สงั คม สิง่ แวดล้อม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดอ้ ยา่ งดี
160 ควำมสำคญั ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพยี งจะทาใหเ้ กดิ ความพอเพยี งตง้ั แต่ระดบั บุคคล ครอบครัว หมู่บ้าน ตาบล อาเภอ จังหวัด และประเทศ ซึ่งจะนามาสู่ความเข้มแข็งและมีภูมิคุ้มกันท้ังด้านวัตถุนิยม บริโภคนิยม เมื่อคน เขม้ แขง็ กจ็ ะเปน็ จดุ เริ่มต้นใหส้ งั คมเข้มแขง็ และขยายสู่รากฐานอันแขง็ แรงของประเทศต่อไป ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งมีหลักการพจิ ารณาอยูด่ ้วยกนั 5 สว่ น ดงั น้ี 1. กรอบแนวคดิ เป็นปรัชญาทชี่ แี้ นะแนวทางการดารงอยูแ่ ละปฏิบัตติ นในทางทคี่ วรจะเป็น 2. คุณลกั ษณะ เศรษฐกจิ พอเพียงสามารถนามาประยกุ ต์ใชก้ บั การปฏิบตั ติ นได้ในทกุ ระดับ 3. คานยิ าม ความพอเพยี งจะต้องประกอบดว้ ย 3 คุณลักษณะ ดงั น้ี 3.1 ความพอประมาณ 3.2 ความมีเหตุผล 3.3 การมีภูมิคมุ้ กันที่ดใี นตวั 4. เงื่อนไข การตัดสินใจและการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัย ทงั้ ความรู้ และคุณธรรม 5. แนวทางปฏิบัติ/ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ จากการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา ประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาท่ีสมดุลและย่ังยืน พร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สง่ิ แวดลอ้ ม ความรู้ และเทคโนโลยี การ ประ กอบ อาชีพข องแ ต่ละ คน มีทั้งเหมื อน และ แตก ต่าง กัน ท้ังใ น ลัก ษณะ งานและรายไ ด้ แต่ทุกคนย่อมต้องการมีรายได้ที่สามารถนามาใช้ในการดารงชีวิตของตนเองและครอบครัวได้อย่าง สะดวกสบาย ดังนั้นจึงต้องมีการนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการประกอบอาชีพ โดยมีแนวทางปฏิบัติที่ยึดหลักการพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตามเงื่อนไข ความรู้ และคุณธรรม ถ้าทุกคนปฏิบัติอย่างจริงจังจะส่งผลให้เป็นผู้ที่ทางานอย่างมืออาชีพ และมีสภาพ ความเปน็ อยูท่ ดี่ ีข้ึน อยอู่ ยา่ งพออยู่ พอกิน พอใช้ รวมถึงทาให้ครอบครัว ชุมชนมีความเข้มแข็งตลอดจน สร้างความสามัคคีท่ีจะนาไปสู่การพัฒนาชุมชน และประเทศชาติให้มีความเจริญก้าวหน้าและย่ังยืน ตลอดไป
161 กำรแสวงหำควำมรู้ การแสวงหาความรูข้ องมนุษยเ์ กิดจากความตอ้ งการของคนทต่ี อ้ งการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ของตนเองใหด้ ีขน้ึ จึงเป็นแรงกระตุ้นให้มีความอยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจในปรากฏการณ์ธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม เพ่อื ให้รูแ้ ละเข้าใจถึงความจริงที่ควรเช่ือ และยอมรับในความเป็นจริงของปรากฏการณ์ ตา่ งๆ เหลา่ นั้นวิธกี ารแสวงหาความร้ขู องมนษุ ย์ มดี งั นี้ 1. การแสวงหาความรู้จากประสบการณ์ (Experience) เปน็ วธิ ีการแสวงหาความรขู้ องแต่ ละบุคคลจากการค้นพบด้วยตนเองหรือเกิดขึ้นโดยบังเอิญ (By Chance) เช่น ผู้เดินทางไปเท่ียวในป่า ถูกแมลงกัดตอ่ ยเกิดเปน็ ผน่ื คัน ไม่มียาทาจึงนาใบไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งมาทาแล้วหาย จึงเกิดการเรียนรู้ว่า ใบไมช้ นิดนั้นสามารถนามาใช้แก่ผ่ืนคนั ได้ 2. การแสวงหาความรู้จากผูร้ ู้ (Authority) เป็นการแสวงหาความรู้จากคาบอกเล่าของผู้รู้ ผู้เชีย่ วชาญ หรือผู้มีอานาจหน้าท่ีเป็นท่ียอมรับทั่วไป เช่น นักปราชญ์ ผู้นา นักบวช หรือการเรียนรู้จาก ประเพณี วัฒนธรรมที่มีผู้รู้ หรือผู้ท่ีมีความเช่ียวชาญในเร่ืองน้ัน ๆ เป็นผู้บอกหรือถ่ายทอดความรู้ โดย การเขยี นหนังสอื ตารา หรอื บอกโดยผ่านสื่ออ่นื ๆ 3. การแสวงหาความรู้โดยอาศัยเหตุผลจากการอนุมาน (Deductive Reasoning) เป็น การแสวงหาความรจู้ ากความสัมพนั ธเ์ ชงิ เหตผุ ลระหว่างขอ้ เท็จจริงใหญ่และข้อเท็จจรงิ ยอ่ ยแล้วนามาสรุป เปน็ ความรู้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ใหญ่ : เป็นข้อตกลงที่กาหนดข้ึนเป็นข้อเท็จจริงในวงกว้าง ข้อเท็จจริงย่อย : เป็น เหตเุ ฉพาะกรณีใด ๆ เปน็ ข้อเท็จจริงในวงแคบท่ีมคี วามสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงใหญ่ ข้อสรุป : เป็นข้อสรุป จากความสัมพนั ธข์ องข้อเทจ็ จริงใหญ่ และข้อเทจ็ จรงิ ย่อยซง่ึ กล่าวว่าการอนุมานคือการสรุปจากส่วนใหญ่ ไปหาสว่ นย่อย 4. การแสวงหาความรู้โดยอาศัยเหตุผลจากการอุปมาน (Inductive Reasoning) เป็น วธิ กี ารแสวงหาความรูท้ ่ยี ้อนกลับกับวธิ ีอนุมาน เป็นการคน้ หาความรู้จากข้อเท็จจริงย่อย ๆ โดยพิจารณา จากสิ่งทีเ่ หมอื นกัน ต่างกนั สมั พนั ธก์ นั แลว้ สรปุ รวมเปน็ ขอ้ เทจ็ จริงใหญ่ 5. วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Approach) เป็นวธิ ีแสวงหาความรู้ของมนุษย์โดย วิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ การพิจารณาให้ใกล้ความจริงมากที่สุด โดยอาศัยการศึกษาข้อเท็จจริง ทฤษฎแี ละการทดสอบเครื่องมือ ดังน้ันวิธีการวิทยาศาสตร์ ถือว่าเป็นวิธีการท่ีมีหลักเกณฑ์และเหตุผลที่ สามารถอธิบายได้ มีลักษณะการศึกษาที่เป็นระบบ ตรงไปตรงมาปราศจากความลาเอียง และสามารถ พิสจู น์ได้ ประกอบดว้ ย 5 ข้นั ตอนดว้ ยกนั ซ่งึ เรียกว่าขน้ั ตอนวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ ดังน้ี 1. ขน้ั ปัญหา (Problem) เป็นการระบุและกาหนดขอบเขตของปญั หาของสง่ิ ทตี่ อ้ งการศึกษา 2. ขนั้ ตง้ั สมมตฐิ าน (Hypotheses) เปน็ การคาดเดาหรอื คาดคะเนคาตอบของปัญหา 3. ข้ันรวบรวมขอ้ มลู (Collecting data) เปน็ การรวบรวมข้อมลู และขอ้ เท็จจรงิ ตา่ ง ๆ 4. ขน้ั วเิ คราะห์ข้อมูล (Analysis) เปน็ การจดั กระทากับขอ้ มลู ท่รี วบรวมมาได้ 5. ขน้ั สรปุ ผล (Conclusion) เปน็ การสรปุ จากการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ว่าข้อเท็จจริงของปัญหาท่ี แทจ้ ริงนั้นคืออะไร
162 ศึกษำเรียนรู้เพม่ิ เตมิ ที่ https://youtu.be/04rjg_-BXXI หน่วยที่ 2 ประกอบอำชพี อยำ่ งพอเพยี ง หลักปรัชญำของเศรษฐกิจพอเพียงกับกำรจัดกำรทรัพยำกรท่ีมีอยู่ของตนเอง ครอบครัว ชุมชน การวางแผนประกอบอาชพี ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นการเตรียมความพร้อม ทางด้านการศึกษาในแขนงวิชาท่ีตรงกับอาชีพท่ีวางแผนไว้ โดยมีการพิจารณาจากการรู้จักตนเอง แล้ว ศึกษาหาความรู้เก่ียวกับอาชีพต่าง ๆ มาเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือกอาชีพท่ีเหมาะสมกับตัวเรามาก ท่ีสุด และในการหาความรู้เพ่ือนามาเป็นข้อมูลทั้งช่วงการวางแผนหรือเม่ือตัดสินใจแล้ว ก็มีการทา โครงงานทเ่ี ป็นกระบวนการศึกษาเรียนรู้เฉพาะเรื่องอย่างลึกซึ้ง และในการวางแผนเลือกอาชีพและการ เลือกเร่อื งโครงงานรวมถงึ ขน้ั ตอนการดาเนนิ งานควรกระทาโดยยึดหลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข (พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ความรู้ คุณธรรม) เพื่อให้มีการวางแผนอาชีพของตนเองอย่างมีคุณภาพ เป็นพ้ืนฐานที่ดตี ่อการประกอบอาชพี ในปัจจบุ นั และอนาคต และมีการทาโครงงานอย่างเป็นขั้นตอนและ มีประสิทธิภาพส่งผลให้ประสบความสาเร็จได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งยังส่งเสริมให้ทุกคนประกอบอาชีพ อยา่ งมีความสุข และมน่ั คงอย่างยง่ั ยนื อยบู่ นความพอเพียงตลอดไป การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ของตนเ อง ครอบครวั และชมุ ชนจะช่วยใหด้ ารงชวี ิตอย่างไม่เดือดรอ้ น และเกดิ ความยั่งยืน โดยคานึงถงึ 1. รู้จักใช้และจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างชาญฉลาดและรอบคอบ โดยเร่ิมต้นผลิตหรือบริโภค ภายใต้ขอ้ จากดั ของรายไดห้ รือทรพั ยากรทม่ี ีอยูไ่ ปก่อน คือใช้หลักพึ่งพาตนเองโดยมุ่งเน้นการผลิตพืชผล ให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคในครัวเรือนเป็นอันดับแรกเม่ือเหลือจากการบริโภคแล้วจึงคานึงถึง การผลิตเพื่อการค้าเป็นอันดับรองลงมา รู้จักประมาณตนโดยใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ในการลงทุนประกอบอาชพี ให้เปน็ ไปตามกาลังทรัพย์และศกั ยภาพของตนเอง เช่น
163 1.1 ปลูกผกั สวนครวั ลดคา่ ใชจ้ า่ ย 1.2 นานา้ ทผี่ ่านการใชแ้ ลว้ ในครวั เรือนมารดพืชผกั สวนครวั 1.3 นาพืชผกั สวนครัวท่ีเพาะปลกู ไดม้ าบริโภค แบ่งปันเพอ่ื นบา้ น บางสว่ นนาไปขายท่ี ตลาด สว่ นทีเ่ หลือนาไปเลย้ี งหมู 1.4 นาเงินจากการขายพชื ผกั สวนครัวและหมไู ปซือ้ สินค้าและบรกิ ารท่สี มาชกิ ในครวั เรือน ต้องการและมีความจาเปน็ ในการอุปโภคบรโิ ภค 1.5 เกบ็ ออมเงนิ ส่วนทีเ่ หลือจากการบริโภคไว้ใช้จา่ ยในอนาคต 1.6 นาเงินส่วนหนึง่ มาลงทนุ ซ้อื เมล็ดพชื เพอ่ื เพาะปลูกต่อไป 2. เลือกใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ให้เกิดความย่ังยืนสูงสุด โดยการนาทรัพ ยากรหรือวัสดุต่างๆ ทส่ี ามารถหาไดง้ า่ ยในชุมชนมาใช้ประโยชน์ ใชท้ รัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนอย่างคมุ้ คา่ ดว้ ยการหมุนเวียนทุน ธรรมชาติในพ้ืนท่ี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการควบคุมการผลิตได้ด้วยตนเอง ช่วยลดภาระการเส่ียง ด้านราคาจากการไมส่ ามารถควบคุมระบบตลาดไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ทรัพยากรโดยคานึงถึงสิ่ง ท่ไี มเ่ ปน็ ภยั กบั สิ่งแวดลอ้ ม เช่น 2.1 การทาไร่นาสวนผสมและการเกษตรผสมผสานเพื่อให้มีการหมุนเวียน มีสินค้า หลากหลาย ลดภาวะเสีย่ งด้านราคา 2.2 การจ้างแรงงานภายในชุมชน เพ่ือส่งเสริมให้ตนเอง ครอบครัว และชุมชนมรี ายได้ 2.3 การทาปยุ๋ หมกั ปุ๋ยคอกและใชว้ ัสดเุ หลือใชเ้ ป็นปจั จัยการผลิต (ปุ๋ย) เพ่อื ลดค่าใช้จา่ ย และบารุงดิน 2.4 การเพาะเหด็ ฟางจากวสั ดุเหลอื ใชใ้ นไร่นา 2.5 การปลกู ไมผ้ ลสวนหลงั บา้ น และไม้ใช้สอยในครวั เรอื น 2.6 การปลกู พืชสมนุ ไพร ช่วยสง่ เสริมสุขภาพอนามยั 2.7 การเล้ียงปลาในร่องสวน ในนาข้าวและแหล่งน้า เพ่ือเป็นอาหารโปรตีน และรายได้ เสริม 2.8 การเล้ยี งไก่พนื้ เมอื ง และไกไ่ ข่ ประมาณ 10 – 15 ตัวต่อครัวเรือนเพ่ือเป็นอาหารใน ครัวเรือน โดยใช้เศษอาหาร รา และปลายข้าวจากผลผลิตการทานา การเลี้ยงสัตว์จากการปลูกพืชไร่ เปน็ ต้น 2.9 การทาก๊าซชวี ภาพจากมลู สัตว์ ศึกษาเพิ่มเตมิ https://youtu.be/eQRoCnT-e-0
164 หลักปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียงกบั กำรประกอบอำชพี จากพระราชดารัส : เศรษฐกิจพอเพียง มิได้จากดั เฉพาะของเกษตรกรหรือชาวไร่ชาวนาเพียง เท่าน้ัน แต่เป็นเศรษฐกิจของทุกคนทุกอาชีพ ท้ังที่อยู่ในเมืองและอยู่ในชนบท เช่น ผู้ท่ีได้เป็นเจ้าของ โรงงานอุตสาหกรรมและบริษัทในระบบเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าจะต้องขยายกิจการเพราะความ เจริญเตบิ โตจากเนอ้ื ของงาน โดยอาศัยการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือหากจะกู้ยืมก็กระทาตาม ความเหมาะสม ไม่ใช่กู้มาลงทุนจนเกินตัวจนไม่เหลือท่ีมั่นให้ยืนอยู่ได้ เมื่อภาวะของเงินผันผวน ประชาชน ก็จะต้องไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเกินตัว และ (จากการศึกษารายงานการวิจัยศึกษาการประกอบ อาชีพตามหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งของชุมชนบา้ นโงกน้า) นาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมา ใช้ในกระบวนการประกอบอาชีพของชุมชนบ้านโงกน้า ตาบลนาขยาด อาเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ไดร้ บั การคัดเลอื กให้เป็นหมบู่ า้ นเศรษฐกจิ ชุมชนพง่ึ ตนเอง ของจงั หวัดพัทลงุ ในปี 2544 และเป็นหมู่บ้าน ต้นแบบในการสง่ เสรมิ เศรษฐกิจพอเพยี งท้ังในระดับครัวเรือน กลุ่มองค์กร และระดับหมู่บ้าน ได้ยึดหลัก ทางสายกลาง อนั ไดแ้ ก่ 3 หว่ งยดึ เหนยี่ ว และ 2 ห่วงเงอื่ นไขการปฏิบัติ โดยเสนอผลการวิเคราะห์ในแต่ ละดา้ นดังนี้ 3 ห่วงยึดเหนย่ี ว 1. ด้านความพอประมาณ ชุมชนรู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างพอเพียง เหมาะสมแบบคอ่ ยเปน็ ค่อยไป ใช้เทคโนโลยเี ทา่ ท่ีจาเป็น มรี ายไดเ้ สริมจากการปลกู ผัก เลี้ยงสุกร เล้ียงโค เล้ียงปลาดกุ ไว้จุนเจอื ครอบครัวอีกทางหน่งึ สภาพเศรษฐกิจของครอบครวั เหมาะสมตามอตั ภาพของตน 2. ด้านความมเี หตุผล ใชท้ รัพยากรทุกชนิดอย่างประหยัดและมีประสทิ ธภิ าพสงู สุด เนน้ การใช้วัตถุดิบภายในท้องถิ่นและตอบสนองตลาดในท้องถ่ิน เน้นการจ้างงานเป็นหลัก โดยไม่นา เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงาน มขี นาดการผลิตทีส่ อดคล้องกบั ความสามารถในการบริหารจัดการ เช่น ใช้ พืน้ ทีท่ างการเกษตรท่ีว่างอยู่อย่างคุ้มค่า โดยการปลูกพืชผักสวนครัวข้างบ้าน พื้นท่ีสวนข้างบ้านร้ัวบ้าน บางครอบครวั ก็ปลูกพืชผักและผลไม้ครบวงจรเพ่อื ลดค่าใชจ้ า่ ย บางครอบครัว ก็เลี้ยงโค เล้ียงสุกร เล้ียง ปลาดกุ กล่มุ อาชีพทาขนมเพือ่ เพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรอื นจากอาชพี เสริม 3. ด้านความมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี เน้นการกระจายความเส่ียงจากการมีผลผลิต หลากหลาย ไม่ก่อหนีจ้ นเกนิ ความสามารถในการบรหิ ารจัดการ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับ คนในชุมชน และกลุ่มอาชีพต่างๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการอย่างต่อเน่ือง มีการทากลุ่ มปุ๋ย ชีวภาพ อัดเม็ด ซึ่งทาให้ลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ยเคมีได้ค่อนข้างมาก การรวมกลุ่มทาปลาร้าเพื่อเพิ่ม มูลคา่ ของปลาดกุ และถนอมอาหารเกบ็ ไวร้ ับประทานได้นานขน้ึ นอกจากช่วยในด้านการประกอบอาชีพ หลักแล้ว ยังมีกลุ่มทาสบู่เหลว ยาสระผม ซ่ึงก็ให้การสนับสนุน และมีส่วนร่วมอยู่เสมอ ในส่วนของ ข้อเสนอแนะนั้นยังบอกว่าอยากให้หน่วยงานทางราชการเข้ามาส่งเสริม และให้ความรู้กับกลุ่มต่าง ๆ อยา่ งสม่าเสมอและต่อเนื่อง และอยากให้มีกลุ่มอาชีพเสริม การให้ความรู้ด้านอาชีพบางอย่าง เช่น การ ซอ่ มรถจกั ยานยนต์ การเย็บผา้ การเช่อื มโลหะ ชา่ งตัดผม เป็นตน้ เพราะหลายคนอยากให้หน่วยงานทาง ราชการเข้ามาอบรมให้บ้าง เพื่อให้สามารถซ่อมแซมของตนเองได้ และประกอบอาชีพเป็นธุรกิจ หรือ กล่มุ ของตนเอง เพอ่ื ให้มรี ายได้เสรมิ ของครอบครวั ดว้ ย
165 2 เงื่อนไขการปฏบิ ตั ิ 1. เง่ือนไขความรู้ในการประกอบอาชีพของคนในชุมชน บ้านโงกน้า มีความรอบคอบ มีความรู้ และมีความระมัดระวัง มีการทาแผนแม่บท การแบง่ งานความรับผิดชอบในแต่ละกลุ่ม รู้จักการ อนุรกั ษ์ท้ังส่ิงแวดล้อมและประเพณี รู้จักการฟื้นฟูส่ิงที่มีคุณค่าท่ีหายไปแล้วให้กลับมาเป็นประโยชน์อีก คร้ังหน่งึ ตลอดจนมกี ารประยกุ ตภ์ ูมิปญั ญาของการประกอบอาชีพแบบด้ังเดิมนามาบูรณาการกับเทคนิค และวิธีการของการประกอบอาชีพในสมัยปัจจุบัน แต่ทั้งนี้การส่งเสริมการให้ความรู้ก็ต้องทาอย่างเป็น ระบบและตอ่ เนอ่ื ง ตลอดจนให้เกิดความท่ัวถงึ เพือ่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย ส่วนบุคคลและของแต่ละกลุ่มอาชีพ ต่าง ๆ ตลอดจนให้สอดคล้องกับกระแสโลกท่ีมีการเปลี่ยนแปลง และความต้องการของผู้รับสินค้าและ ผู้รับบริการ ให้มากขึ้น ท้ายที่สุดคือการส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้รับการศึกษาสูงสุดเท่าท่ีจะทาได้ เพื่อให้เขาเหล่านั้นกลับมาพัฒนาบ้านเกิดภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หัวหน้าครอบครัวส่วน ใหญ่ได้อธิบายให้ทราบว่า การประกอบอาชีพซ่ึงส่วนใหญ่เป็นอาชีพเกษตรกรรมนั้น มีการถ่ายทอด ความรู้จากคนรนุ่ ปู่ ร่นุ พอ่ รนุ่ แม่ มายังรุ่นลูกและหลานไปตลอด ส่วนใหญ่แล้วเป็นการให้ความรู้จากการ ได้ลงมือปฏิบัติร่วมกัน เช่น เม่ือไปปลูกยางก็จะพาลูกหลานไปด้วย ในขณะท่ีไปช่วยเป็นการให้เขาได้มี ส่วนร่วม โดยการสอน แนะนา ให้ลูกหลานได้เห็น การเล้ียงสุกรก็ เช่นกัน และอื่น ๆ ก็เป็นลักษณะนี้ ถามมาให้ทางราชการนาความร้มู าให้ก็นาน ๆ มาคร้ัง แตก่ ็ต้องเป็นหมู่บ้าน แต่ก็ถอื ว่าเป็นหมู่บ้านท่ีโชค ดีที่มีประชากร ชาวบ้าน ที่เป็นแหล่งให้ความรู้ได้ค่อนข้างมากถึงแม้ว่า คนรุ่นใหม่จะไปเรียนนอกบ้าน มากข้นึ แตท่ ่านก็รวบรวมความรู้ และวสั ดอุ ุปกรณ์ในการทามาหากินหรอื ประกอบอาชพี ใหเ้ หน็ 2. เงื่อนไขคณุ ธรรมมีความซ่ือสัตย์ในการประกอบการ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคและ ไม่เอารัดเอาเปรียบลูกค้า มีความขยันอดทน การประกอบอาชีพของชุมชนบ้านโงกน้าส่วนใหญ่แล้ว เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ในการประกอบอาชีพของตนเอง มีความขยัน อดทน มีการแบ่งปันระหว่าง ครัวเรือน หัวหน้าครอบครัวที่มีอาชีพการทาสวนยางพารา มีความซ่ือสัตย์ต่อตนเองในการขายผลผลิต จากยางพาราท่เี ป็นน้ายางมีคณุ ภาพ ไมม่ กี ารใสน่ ้าและส่ิงแปลกปลอม มีความตระหนักในการเพาะปลูก โดยพยายามหลีกเลี่ยงในการใช้สารเคมีในการกาจัดศัตรู้พืช หันมาใช้สารกาจัดแมลงในธรรมชาติแทน ปุ๋ยท่ีใช้ส่วนใหญ่ก็ใช้ปุ๋ยน้าชีวภาพที่ผลิตขึ้นมาเอง ใช้มูลปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด เพ่ือความ ปลอดภยั ของสมาชิกในครัวเรือนเอง และยังผลไปถึงผู้ที่ซื้อไปบริโภค ส่วนการเลี้ยงสัตว์ก็ใช้อาหารสัตว์ จากธรรมชาติทมี่ หี รอื เพาะปลกู เอง เช่น หญา้ ทใี่ ช้เล้ยี งโค อาหารสุกรที่เหลือจากเศษอาหาร และอาหาร จากพชื ผัก พืชธรรมชาติท่ีหาได้เอง หลีกเลี่ยงการใช้สารเร่งเน้ือแดง เวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการทามาหา เลี้ยงครอบครัว ให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมห่างไกลยาเสพติด ถึงแม้ว่าหมู่บ้านโงกน้าจะเป็นชุมชนปลอด ยาเสพตดิ ก็ตามซึ่งในขณะน้ไี ด้ทางานร่วมกนั และมกี ารสอนคณุ ธรรมกบั ครอบครวั ด้วย ศกึ ษาเพิม่ เติม https://youtu.be/FUE5SG0ikR8
166 หนว่ ยที่ 3 กำรวำงแผนประกอบอำชีพแบบพอเพียง เรื่องท่ี 1 กำรวำงแผนประกอบอำชีพแบบพอเพียงกำรประกอบอำชพี คือการทามาหากินของมนุษย์ เป็นการแบ่งหน้าที่ การทางานของคนในสังคม และทาให้ ดารงชีวิตในสังคมได้ บุคคลที่ประกอบอาชีพจะได้ค่าตอบแทน หรือรายได้ท่ีจะนาไปใช้จ่ายในการ ดารงชีวติ และสรา้ งมาตรฐานท่ีดใี ห้แก่ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ ความจาเป็นของการประกอบ อาชีพ มีดงั น้ี 1. เพ่อื ตนเอง การประกอบอาชีพทาให้มีรายไดม้ าจบั จ่ายใชส้ อยในชวี ิต 2. เพอ่ื ครอบครวั ทาใหส้ มาชกิ ของครอบครวั ได้รบั การเลยี้ งดูทาใหม้ คี ุณภาพชวี ิตที่ดีขึ้น 3. เพื่อชมุ ชน ถ้าสมาชกิ ในชุมชนมีอาชีพและมีรายได้ดีจะส่งผลให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ดี ขนึ้ อยู่ดีกนิ ดี สง่ ผลใหช้ ุมชนเขม้ แขง็ ทางเศรษฐกจิ และพฒั นาตนเองได้ 4. เพอื่ ประเทศชาติ เมอ่ื ประชากรของประเทศมีการประกอบอาชีพที่ดี มีรายได้ดีทาให้มี รายได้ที่เสียภาษีให้กับรัฐบาลมีรายได้ไปใช้บริหารประเทศต่อไปมนุษย์ไม่สามารถผลิตส่ิงต่าง ๆ มาสนองความต้องการของตนเองได้ทุกอย่างจาเป็นต้องมีการแบ่งกันทาและเกิดความชานาญ จึงทาให้ เกดิ การแบง่ งานและแบง่ อาชีพต่าง ๆ ข้ึน การวางแผนการประกอบอาชีพจงึ เปน็ เรือ่ งท่สี าคัญย่ิง การจะประสบความสาเร็จในการประกอบ อาชีพได้ ก็ข้ึนอยู่กับการวางแผนการประกอบอาชีพที่ถูกต้อง และการท่ีจะวางแผนการประกอบอาชีพ ควรจะต้องศึกษาดังน้ี 1. การรู้จักตนเอง การเลือกอาชีพดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจคร้ังยิ่งใหญ่ในชีวิตของ คนเรา เพราะน่นั คือตัวกาหนดรายไดท้ ีจ่ ะเกิดขนึ้ จากความสามารถของเราเอง และไม่น่าเช่ือว่าหลายคน ยอมทนอยกู่ บั อาชีพที่ตนเองเกลียดได้ หรือไม่ได้ใช้ความสามารถที่แท้จริงในการทางานเลย เพราะพวก เขาไม่เคยเกิดความสงสัยว่า จริงๆแล้วตนเองต้องการอะไร “การขาดความเช่ือมั่นในตนเอง คือสาเหตุ หนึง่ ที่ทาให้คนบางคนเลือกทางานทหี่ ่างไกลจากความสามารถที่แท้จริงของตนเอง และเป็นสาเหตุให้คน ยา้ ยตาแหนง่ งานของตนเอง หรือเป็นสาเหตุท่ีทาให้คนเราเลือกเปล่ียนอาชีพทั้งท่ีก้าวไปได้เพียงคร่ึงทาง เท่านน้ั ”การสรา้ งความเชือ่ ม่นั ให้ตนเอง ควรเริม่ ต้นจากการค้นหาตนเองว่า “เราเป็นใคร” “เราอยากทา อะไร” “เราทาอะไรได้ดี” “เราทาอะไรบ่อยท่ีสุด” และคาตอบทไ่ี ดก้ ลับมาจะช่วยให้เราทราบว่าตนเองมี ทกั ษะความสามารถ ความสนใจ ค่านยิ ม ความชอบส่วนตัว และรูปแบบการทางานในด้านใดและในช่วง ที่กาลังสารวจตัวตนของตนเองนั้นอย่าลืมบอกเรื่องนี้ให้คนในครอบครัวเพื่อนสนิทของเราทราบ เพราะ พวกเขาอาจช่วยให้คุณค้นพบตัวตนของตนเองได้เร็วขึ้นซึ่งคนเหล่าน้ันต้องเป็นคนที่รู้จักคุณมาเป็นเวลา หลายปี จงึ จะสามารถบอกได้ว่าคุณมีจุดอ่อน-จุดแข็งในด้านใดบ้าง หรือทาแบบทดสอบบุคลิกภาพหรือ ความถนัด แล้วใช้ประโยชน์จากคาแนะนาที่ได้จากการทาแบบสารวจ “การตอบคาถามท่ีเกี่ยวกับการ ประกอบอาชีพอาจทาให้ทราบข้อมูลของตนเอง ซ่ึงเราไม่เคยทราบมาก่อน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการ ประกอบอาชพี สามารถชว่ ยให้มองเห็นความสามารถในส่วนนนั้ ๆได้” 2. การศกึ ษาการประกอบอาชีพ ปัจจุบันน้ีมีอาชีพต่างๆเกิดขึ้นหลายพันอาชีพ หากขาด แผนการทางาน อาจก่อใหเ้ กดิ การเลอื กอาชีพท่ีไม่เหมาะสมกับตนเองได้ หากรู้จักประเมินความสามารถ ของตนเองอย่างซ่อื สัตย์ โอกาสที่จะเลือกอาชีพได้อย่างเหมาะสมย่อมสูงตามไปด้วย ควรเลือกประกอบ
167 อาชีพโดยยึดจากความรู้สึกภายในเป็นหลัก เลือกงานท่ีเหมาะสมกับตนเองเท่าน้ัน วิธีท่ีจะช่วยให้เก็บ ขอ้ มลู เกี่ยวกบั อาชีพท่ีเหมาะสมกับตนเองได้มี 2-3 วิธี นั่นก็คืออ่านรายละเอียดอาชีพต่าง ๆ ในประกาศ รับสมัครงานหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เพราะอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลที่สามารถให้ข้อมูลทุกเรื่องได้ อย่างน่าอศั จรรย์ 3. การตัดสินใจ เป็นข้ันตอนสาคญั หลงั จากไดจ้ ับมอื กับตนเอง เพื่อมองหางานทเี่ หมาะสม กับตนเองแล้ว ก็มาถึงข้ันตอนสาคัญ กลยุทธ์หนึ่งที่จะทาให้สามารถตัดสินใจได้ นั่นก็คือ การร่างความ ต้องการของตนเองภายใน ระยะเวลาหนง่ึ ปีลงในกระดาษ จากน้นั กเ็ พม่ิ เป็น 5 ปี หรอื 10 ปี ต่อไป อีกวิธี คือ เปรียบเทียบ ข้อดีและข้อเสียของการทางาน สาหรับสองหรือสามอาชีพท่ีตนเองสนใจมากที่สุด และเลือกอาชีพท่ีตนเองคิดว่าเหมาะสมท่ีสุดเม่ือตัดสินใจเลือกแล้ว ก็ถึงเวลาทดสอบสิ่งท่ีเลือกเอาไว้ ต้องค้นหาโอกาสให้ตนเองอีกครั้ง ยอมรับการฝึกงาน เพื่อโอกาสท่ีจะได้งานในอนาคต หรือเลือกเรียน เกี่ยวกับการทางานน้ัน ๆ เพิ่มเติม รวมท้ังหาทางอบรมหรือฝึกปฏิบัติงานเก่ียวกับอาชีพที่ตนเองสนใจ นน้ั ด้วยการเตรียมตัวอย่างดี ย่อมดีกว่าการสละสิทธิ์โดยไม่ได้ลองทาอะไรเลย การทางานช่ัวคราว หรือ งานอาสาสมัครเป็นการส่ังสมประสบการณ์ในงานทางานอย่างช้าๆ เป็นสิ่งจาเป็นสาหรับการทางานท่ีมี คณุ ภาพ ซ่งึ จะกลายเปน็ ทีพ่ อใจของนายจ้างต่อไป นอกจากนี้ควรเป็นสมาชิกชุมชุมที่มีกิจกรรมเก่ียวกับ การทางาน เพราะจะช่วยให้สามารถหาคาแนะนาได้จากสมาชิกท่านอ่ืน ๆ ในการค้นหางาน คาแนะนา รวมทั้งเป็นบุคคลอ้างอิงให้เราได้อีกด้วยก็เหมือนกับคุณใช้นิ้วจุ่มลงไปในน้าเพ่ือทดสอบ คุณจะพบว่า ตนเองได้ประสบการณ์ต่างๆมากมายโดยไม่มีข้อผูกมัด ทั้งด้านเวลาและความมุ่งม่ัน หากคุณค้นพบว่า อาชีพที่คุณเลือกไม่ได้เป็นไปตามท่ีตนเองค์าดหวังไว้ ก็สามารถหาตัวเลือกใหม่ได้ จนกว่าจะพบส่ิงท่ี ตนเองต้องการแต่การวางแผนการประกอบอาชีพก็ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดสาหรับเรื่องน้ี กิจกรรมต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปเร่ือย ๆ ตามความเปล่ียนแปลงในตัวคุณ “คุณต้องรู้จักการยืดหยุ่น และพร้อมท่ีจะพัฒนา แผนการของตนเอง เพือ่ คน้ หาสง่ิ ใหม่ ๆ ให้กับตนเอง รวมทั้งมองหาโอกาสสร้างความก้าวหน้าให้ตนเอง อยู่เสมอ” ในเร่ืองของการทางาน การวางแผนยอ่ มทาให้การทางานมีประสทิ ธิภาพมากกว่าการนิ่งเฉย การประกอบอาชีพ สามารถแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื 1. การประกอบอาชีพอิสระ มีลักษณะเป็นเจ้าของกิจการ ดาเนินการบริหารจัดการด้วย ตนเองในรูปของกลุ่มอาชีพ ห้างหุ้นส่วน บริษัท ฯลฯ การประกอบการหรือเจ้าของต้องมีความตั้งใจ อดทน ทุ่มเท ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพื่อให้กิจการดาเนินไปจนเกิดความม่ันคงประสบความสาเร็จ การ ประกอบอาชีพอิสระยังสามารถแบง่ เป็น 1.1 อาชีพอิสระด้านการผลิต ผู้ประกอบอาชีพต้องมีกระบวนการ หรือข้ันตอนการ ผลิตหรือการแปรรูปสินค้าออกไปจาหน่ายในท้องตลาด ในลักษณะขายส่งหรือขายปลีก เช่นการ ทาอาหาร การทาสวนผลไม้ การเล้ียงปลา ฯลฯ 1.2 อาชีพอิสระด้านการให้บริการ เป็นอาชีพที่นิยมกันอย่างแพร่หลายตาม สภาพแวดลอ้ มและวิถีชีวติ ทาใหค้ นทม่ี ีเวลาวา่ งน้อยหันมาพึ่งเทคโนโลยีประกอบกับการประกอบอาชีพ งานการให้บริการมีความเส่ียงน้อย การลงทุนต่า การประกอบอาชีพด้านน้ีปัจจุบันจึงแพร่หลาย เช่น บรกิ ารทาความสะอาด บรกิ ารซกั รีดเสื้อผ้า บริการล้างรถยนต์ ซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า การทานายโชคชะตา เปน็ ต้น
168 2. การประกอบอาชีพรับจ้าง เป็นการประกอบอาชีพโดยไม่ได้เป็นผู้ประกอบการแต่ต้อง ทางานตามท่ีเจ้านายมอบหมาย ได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน อาหาร ท่ีพักอาศัย และส่ิงจาเป็นอื่น ๆ ปัจจบุ ันสังคมไทยส่วนใหญ่นิยมเป็นลูกจ้าง เนื่องจากความรับผิดชอบมีจากัดไม่เสี่ยงกับผลกาไรขาดทุน ซ่ึงอาจทางานในสถานประกอบการขนาดใหญ่ หรือขนาดเล็ก หรือเป็นธุรกิจการผลิตหรือ การบริการ เชน่ โรงงาน พนกั งานขาย พนักงานบริษัท พนักงานธนาคารพนักงานบัญชี เปน็ ต้น เรือ่ งท่ี 2 โครงกำรและแผนงำนประกอบอำชีพ ตำมหลักปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพียง การประกอบอาชีพของคนเรามมี ากมายหลากหลายอาชีพ เช่น เกษตรกรรม การปศุสัตว์ การป่าไม้ การขนส่ง อุตสาหกรรม การค้าขาย การแก่ะสลักไม้ การเจียระไนพลอย การทอผ้า ฯลฯ อยา่ งไรก็ตามการท่ีจะคดิ ประกอบอาชพี ใด ๆ นนั้ จะต้องผา่ นการศกึ ษาและวเิ คราะหค์ วามเป็นไปได้ โดย มีข้อมูลต่าง ๆ อย่มู าก เพียงพอที่จะมาใช้ในการตัดสินใจประกอบอาชีพน้ันได้ เมื่อคิดแล้วก็ควรกาหนด ใหเ้ ป็นลายลกั ษณอ์ กั ษร เพ่ือให้เหน็ เป็นขั้นตอน แสดงถึงความต่อเน่ือง มองเห็นข้อบกพร่องหรือข้อมูลที่ ขาดไปได้ เพอื่ ความสมบูรณข์ องโครงการและแผนงานการดาเนนิ งาน การจัดทาโครงการและแผนงานประกอบอาชีพ หรือโครงงานการประกอบอาชีพ มีความสาคัญ และจาเปน็ ต่อการประกอบอาชีพเพราะถือวา่ ไดม้ กี ารคิดไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า แล้วจึงลงมือ ปฏิบัติ ความผิดพลาดทั้งหลายย่อมน้อยลงโดยเฉพาะการวางแผนการดาเนินงานน้ันจะมีความชัดเจน เกย่ี วกบั แผนการผลิต แผนการลงทนุ และแผนการตลาดประโยชน์ของโครงงานการประกอบอาชพี 1. ทาใหก้ ารประกอบอาชีพบรรลุผลสาเร็จตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ มีระบบการทางาน และลดการทางานทีซ่ ้าซ้อนกนั 2. ชว่ ยใหก้ ารใช้ประโยชนจ์ ากการใช้ทรัพยากรเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ 3. ช่วยให้เจ้าของกิจการมีความเช่ือมั่นในการบริหารงาน และเมื่อเกิดปัญหาข้ึนเพราะมี การวางแผน และคิดอย่างรอบคอบมาแล้ว 4. ชว่ ยให้เจ้าของกิจการสามารถตรวจสอบขั้นตอนการดาเนินงาน และความสาเร็จของ เป้าหมาย องคป์ ระกอบของโครงกำรกำรประกอบอำชพี เม่ือตัดสนิ ใจเลือกอาชีพ และมีการวิเคราะห์ความพร้อม และความเป็นไปได้ของอาชีพท่ี ตัดสินใจเลือกแล้ว ข้ันตอนต่อไปคือ การเขียนโครงการการประกอบอาชีพที่ตัดสินใจเลือกการเขียน โครงการการประกอบอาชพี มอี งคป์ ระกอบหรอื หวั ขอ้ ทตี่ ้องเขยี นดงั น้ี 1. ช่ือโครงการ ควรต้ังชื่อโครงการที่ส่ือความหมายได้ชัดเจน เช่น โครงการเล้ียง ไกก่ ระทง โครงการขายผักปลอดสารพิษ โครงการจาหน่ายอาหารสาเร็จรูป เปน็ ต้น 2. เหตุผล/แรงจูงใจในการทาโครงการ ให้เขียนถึงเหตุผลท่ีเลือกทาโครงการนั้น เช่น เป็นอาชพี ทเี่ ปน็ ความต้องการของตลาด/ชุมชน หรือตวั ผ้ปู ระกอบอาชพี มีความถนัดความสนใจ ในอาชีพ นนั้ ๆ อยา่ งไร เปน็ ตน้ 3. วัตถุประสงค์ ให้เขียนวัตถุประสงค์ในการทาโครงการนั้น ๆ ให้ชัดเจน เช่น เพื่อให้มี ประสบการณ์ในการทาอาชพี นัน้ ๆ หรอื เพือ่ ศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องตนเองในการประกอบอาชีพน้นั
169 4. เปา้ หมาย ควรกาหนดเป้าหมายในเชิงปริมาณและคุณภาพให้ชัดเจน เช่น การเล้ียงไก่ กระทงจะเลีย้ ง 5 รนุ่ รุ่นละกตี่ ัว 5. ระยะเวลาดาเนินโครงการ ตั้งแต่เร่ิมต้นจนส้ินสุดโครงการใช้เวลาดาเนินการนานแค่ ไหนเริ่มตน้ โครงการเมือ่ ใด จะสน้ิ สุดโครงการหรือขยายกิจการชว่ งใด 6. สถานทป่ี ระกอบการ ต้องระบุทีต่ ้ังของสถานที่ทจ่ี ะประกอบอาชีพน้ัน 7. การดาเนินงาน ให้เขียนแสดงข้ันตอนการดาเนินงานอย่างละเอียดตั้งแต่ ขั้นวางแผน ปฏิบัติการการปฏิบัติการตามแผน และประเมินปรับปรุง การเขียนแผนการดาเนินงานการประกอบ อาชีพ ควรมีองคป์ ระกอบหรือหัวข้อ ดังน้ี 7.1 แผนการผลติ ใหเ้ สนอรายละเอียดว่าในการผลิต หรือขายสินค้า หรือบริการ ตามโครงการท่ีกาหนดน้นั มขี ้ันตอนการผลิตอยา่ งไร และกาหนดเวลาตามขน้ั ตอนนนั้ ไว้อยา่ งไร 7.2 แผนการลงทุน ให้ระบุว่าท่ีมาของเงินทุนที่ใช้ในโครงการประกอบอาชีพนั้น ไดม้ าอย่างไร เงนิ ทนุ ออกเอง หรือกู้ยืมมาจากแหลง่ เงินทุนต่าง ๆ 7.3 แผนการตลาด ใหเ้ สนอรายละเอยี ดว่าสนิ ค้า หรือบรกิ ารในโครงการประกอบ อาชีพน้ัน ๆ มีลูกค้าที่คาดหวังจานวนเท่าใด และจะวางแผนเพ่ือขยายตลาดให้กว้างขวางขึ้นอย่างไร ในระยะเวลาใด 8. ปัญหาและแนวทางแก้ไข ให้ระบุปญั หาทค่ี าดว่าจะเกิดขน้ึ กบั การประกอบอาชพี น้นั ๆ 9. ผลท่ีคาดว่าจะได้รับ แสดงให้เห็นถึงผลของการดาเนินงานในการประกอบอาชีพใน ด้านตา่ ง ๆ เช่น ด้านความรแู้ ละประสบการณ์ที่ไดร้ ับ ดา้ นกาไร และความพึงพอใจต่าง ๆ 10. ผู้รับผิดชอบดาเนินการ ระบุช่ือผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือรับผิดชอบโครงการใน กรณที ีม่ ผี ูร้ ่วมโครงการหลาย ๆ คน ก็ให้ช่ือผู้ร่วมโครงการทั้งหมดด้วยการกาหนดโครงการการประกอบ อาชีพที่ตัดสินใจเลือก ก่อนการเริ่มต้นเขียนโครงการการประกอบอาชีพท่ีตัดสินใจเลือก มีความ จาเป็นต้องศกึ ษา รวบรวมขอ้ มลู ดา้ นต่าง ๆ ในอาชีพนัน้ ๆ ดงั น้ี 10.1 ศึกษาสารวจความต้องการของตลาด โดยการสารวจสภาพ และความ ต้องการ ของชุมชน ท่ีจะเป็นแหล่งประกอบอาชีพเก่ียวกับ จานวนประชากร ลักษณะเฉพาะของ ประชากร ซึ่งประกอบด้วย เพศ อายุ รายได้ อาชีพ ระดับการศึกษาความต้องการสินค้าและบริการใน อาชพี น้นั ๆ จานวนและอุปนสิ ยั ในการซ้อื ของประชากรในพื้นท่ี สภาพปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ท่ีคาด วา่ จะเกิดขน้ึ เช่น มีค่แู ขง่ ขนั ขายสนิ คา้ หรอื บริการประเภทเดยี วกันในพน้ื ท่ีนน้ั เป็นต้น 10.2 ทาเลท่ีตั้งกิจการ จะต้องพิจารณาว่า ทาเลท่ีตั้งกิจการท่ีจะประกอบอาชีพ ท่ีตัดสินใจเลือกนั้นมีลักษณะที่จาเป็นในส่ิงต่อไปนี้หรือไม่เพียงใด การคมนาคม ขนส่งสะดวกหรือไม่ สภาพแวดลอ้ มเหมาะสมหรอื ไม่ มีคู่แข่งขันที่ขายสินค้าบริการ ประเภทเดียวกันหรือไม่ถ้ามีจะแก้ปัญหา อยา่ งไร 10.3 สารวจความพร้อมของตนเองในทุกด้าน เช่น ด้านความรู้ ความสามารถใน อาชีพดา้ นปจั จยั การผลิตตา่ ง ๆ วา่ มีความพรอ้ มหรอื ไม่ อย่างไร ถา้ ไมพ่ รอ้ มจะแก้ปญั หาอยา่ งไร 10.4 ศกึ ษาความเปน็ ไปไดข้ องอาชพี จะต้องพจิ ารณาวา่ อาชพี ที่เลือกนั้นจะทาให้ รายได้มากน้อยเพยี งใด คุม้ กบั ทุนท่ีลงไปหรอื ไม่ จะใช้เวลาเทา่ ใดจึงจะคุม้ ทุน รายไดห้ รือกาไรเพียงพอจะ
170 เล้ียงชีพหรือไม่ หากรายได้ไม่เพียงพอจะแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อได้ศึกษารวบรวมข้อมูลดังกล่าวแล้ว และเห็นว่ามีแนวทางจะดาเนินโครงการได้ ก็เริ่มลงมือเขียนโครงการการประกอบอาชีพ ตามหัวข้อท่ี กาหนด ศึกษาหลักการจดั ทาโครงการเพม่ิ เตมิ ไดท้ ี่ https://youtu.be/lba5_JfHMRI หนว่ ยท่ี 4 สร้ำงเครอื ข่ำยดำเนนิ ชวี ิตแบบพอเพยี ง การสง่ เสรมิ เผยแพร่ ขยายผลงานการปฏิบัตติ ามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงของบุคคล ชมุ ชน ท่ีประสบผลสาเร็จ การส่งเสริม เผยแพร่ ขยายผลงานการปฏิบัติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของบุคคล ชุมชน ที่ประสบผลสาเร็จน้ัน มีหลายองค์กร หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และเอกชน ท่ีดาเนินการ สง่ เสรมิ เผยแพร่ ขยายผลงานการปฏิบัติของบุคคล ชุมชนที่น้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไปเป็นแนวทางในการดาเนินชีวิต และการแก้ไขปัญหาของชุมชน อาทิ เชน่ 1. สานกั งานทรัพยส์ นิ ส่วนพระมหากษตั รยิ ์ 2. สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ 3. สานักงานคณะกรรมการพเิ ศษ เพือ่ ประสานงานโครงการอนั เน่ืองมาจากพระราชดาริ 4. มูลนิธิชยั พฒั นา 5. มูลนิธปิ ระเทศไทยใสสะอาด 6. มลู นธิ ิสยามกัมมาจล (ธนาคารไทยพาณชิ ย์) 7. กระทรวงศึกษาธกิ าร 8. สานักนายกรฐั มนตรี (ชุมชนพอเพียง) ศูนย์เครือข่ายศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงชุมชนฯลฯ นอกจากนี้ยังมีองค์กรอิสระที่ดาเนินการส่งเสริม เผยแพร่ ขยายผลงานการปฏิบัติตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงของบุคคล ชมุ ชน ท่ปี ระสบผลสาเรจ็ ได้แก่ สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ท่ีได้ระดมความ ร่วมมือจากทุกฝ่ายในการขับเคล่ือน การแก้วิกฤตชาติโดยการน้อมนาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หวั ฯ มาสกู่ ารปฏบิ ตั ิ จดั ตั้งข้ึนจากการประชมุ หารือกัน ณ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดาของ 4 องค์กร ได้แก่ โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเน่ืองมาจาก พระราชดาริ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี โครงการส่งเสริมกสิกรรมไร้สารพิษ และ
171 มูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ เม่ือวันท่ี 23 ธันวาคม 2545 การดาเนินงานที่ผ่านมา สถาบันฯ ได้เป็น ศูนย์กลางในการสร้างเครือข่ายขยายผลให้มีการเรียนรู้ การฝึกอบรม ไปสู่การปฏิบัติและการดารงชีวิต ของประชาชนบนพื้นฐานเศรษฐกจิ พอเพียง โดยมีผลงานดา้ นตา่ งๆท่ีผ่านมาดังนี้ • งานจัดต้ังและพัฒนาศูนย์ฝึกอบรม โดยสามารถจัดต้ังศูนย์ฝึกอบรมภายใต้เครือข่าย เศรษฐกจิ พอเพยี งไดก้ ว่า 120 ศูนย์ฝกึ อบรมทว่ั ประเทศ • งานฝึกอบรม ณ ศูนย์ฝึกอบรมเครือข่ายเศรษฐกิจพอเพียง และการจัดทีมวิทยากร เพอื่ ฝึกอบรมนอกสถานทีใ่ หก้ บั หนว่ ยงานต่างๆ ทงั้ ภาครฐั และเอกชน รวมถงึ ประชาชนทวั่ ไป • งานเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์อ่ืน ๆ ของ พระราชาในการแก่วิกฤตของประเทศ ผ่านส่ือต่างๆ อาทิเช่น ส่ือโทรทัศน์ รายการคนหวงแผ่นดิน รายการจารึกไว้ในแผ่นดิน รายการเวทีชาวบ้าน รายการคนละไม้คนละมือ รายการ108 มหัศจรรย์ พอเพียง รายการทาดีให้พ่อดู รายการคนพอเพียง รายการคลินิกเถ้าแก่ ละครเรื่องหัวใจแผ่นดิน และ อ่นื ๆ อีกมากมายส่ือสงิ่ พิมพ์ บทความหนังสอื พมิ พค์ มชดั ลึก “พอแลว้ รวย” ทกุ วันเสาร์ หนังสือ/แผ่นพับ เผยแพร่องค์ความรแู้ ละการดาเนินงานของเครือข่ายอย่างต่อเน่ือง ส่ืออื่นๆ เส้ือ สติกเกอร์ วีซีดี กระเป๋า และผลิตภณั ฑ์ต่างๆ ท่ผี ลิตขึ้นเองภายในเครอื ขา่ ย • กจิ กรรมเพ่ือเผยแพร่หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและดึงแนวร่วมการขับเคลื่อนสู่ รูปธรรมการปฏบิ ตั จิ รงิ ในรูปแบบเบญจภาคี การสร้างเครือข่ายการประกอบอาชีพ การดาเนินชีวิตและกระบวนการขับเคล่ือนตามหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง กำรสรำ้ งเครอื ข่ำยกำรเรยี นรู้ของชุมชนอย่ำงเปน็ ระบบ 1. สนับสนุนการถ่ายทอดและแลกเปล่ียนประสบการณ์การเรียนรู้ระหว่างคนในชุมชน เดียวกันและระหว่างองค์กรชุมชนด้วยกันในทุกรูปแบบโดยเน้นการใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถ่ิน หรือปราชญ์ชาวบา้ นที่มอี ยู่ และมีการรับรองวทิ ยฐานะของการเรียนรู้ ดังกล่าว 2. สง่ เสรมิ การดาเนินงานในลักษณะวิทยาลัยประชาคม ท่ีทาหน้าท่ีจัดการศึกษาและฝึก อาชพี แก่ประชาชนและเจ้าหนา้ ทผี่ ูป้ ฏิบัติงานในชมุ ชนในรูปแบบที่หลากหลายตามความสนใจและความ ถนัดโดยไม่จากดั พนื้ ฐานความรู้ 3. ส่งเสริมให้องค์กรทางสังคมทุกฝ่าย เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันทางศาสนา สื่อมวลชน สถาบันการศึกษาท้ังส่วนกลางและภูมิภาค ฯลฯ เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างเครือข่ายการ เรียนรู้ของชมุ ชน โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงบทบาทของบา้ น วัด โรงเรียนการสร้างเครือข่ายการประกอบอาชีพ และการดาเนนิ ชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดาริเก่ียวกับเศรษฐกิจพอเพียง และทรงยดึ ม่นั หลักการนีม้ าโดยตลอด แตน่ โยบายเกยี่ วกบั เกษตรท่ผี า่ นมาของรัฐบาลเน้นการ ผลิตสินค้า เพ่ือส่งออกเป็นเชิงพาณิชย์ คือ เม่ือปลูกข้าวก็นาไปขาย และก็นาเงินไปซื้อข้าว เมื่อเงินหมดก็จะไปกู้ เป็นอย่างนมี้ าโดยตลอดจนชาวนาไทยตกอยใู่ นภาวะหนี้สนิ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึง ปัญหาด้านน้ี จึงได้พระราชทานพระราชดาริให้จัดตั้งธนาคารข้าว ธนาคารโค-กระบือเพื่อช่วยเหลือ
172 ราษฎร นับเป็นจดุ เริ่มตน้ แห่งทม่ี าของ “เศรษฐกิจพอเพยี ง” นบั ตง้ั แตอ่ ดตี กาลแม้กระทั่งโครงการแรก ๆ แถวจังหวัดเพชรบรุ ี กท็ รงกาชับหน่วยราชการมิให้นาเคร่ืองกลหนักเข้าไปทางาน รับสั่งว่าหากนาเข้าไป เรว็ นัก ชาวบา้ นจะละทิง้ จอบ เสยี ม และในอนาคตจะชว่ ยตัวเองไมไ่ ด้ ซง่ึ กเ็ ป็นจรงิ ในปัจจุบัน
173 แบบทดสอบรำยวชิ ำเศรษฐกิจพอเพียง ทช21001 จงเลอื กคำตอบทถี่ ูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดยี ว 1. ข้อใดคือความหมายเศรษฐกจิ พอเพยี งที่ สมบรูณท์ ี่สุด 5. นายพงศกร มีทด่ี นิ อยู่ 50 ไร่ จะแบง่ อตั ราสว่ น ก. การดารงชวี ิตแบบหรหู ราฟุม่ เฟือยตามฐานะ พืน้ ที่การเกษตรทฤษฎีใหมไ่ ดอ้ ยา่ งไร ทพ่ี ึงมีพึ่งได้ ก. ทานาขา้ ว 14 ไร่ ขดุ สระน้า 14 ไร่ ข. การดารงชวี ิตอยา่ งไมเ่ ดอื ดรอ้ น มคี วาม ปลกู ไมย้ ืนตน้ พืชไร่ พืชผกั 12 ไร่ เปน็ อยูอ่ ย่างประมาณตน และท่ีอยอู่ าศัย 10 ไร่ ค. การดารงชวี ิตอยา่ งสงบ สันโดษ ประหยดั ข. ทานาข้าว 15 ไร่ ขดุ สระน้า 15 ไร่ อดออม เพอื่ ช่วยเหลอื เศรษฐกจิ ของชาติ ปลกู ไมย้ นื ต้น พชื ไร่ พืชผกั 15 ไร่ ง. การดารงชีวิตแบบพ่ึงตนเอง ทกุ อย่างผลิต และท่อี ยอู่ าศยั 5 ไร่ ขนึ้ ใช้เองในครอบครัว ไม่มกี ารซื้อจากตลาด ค. ทานาข้าว 20 ไร่ ขดุ สระน้า 15 ไร่ 2. หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งตามแนว ปลูกไมย้ นื ตน้ พชื ไร่ พชื ผกั 10 ไร่ พระราชดาริ เหมาะสมกบกลุม่ ใดทจ่ี ะนาไปใช้ และทอ่ี ยอู่ าศัย 5 ไร่ ง. ทานาข้าว 25 ไร่ ขุดสระนา้ 10 ไร่ ในการดาเนินชวี ิต ปลูกไม้ยืนตน้ พืชไร่ พชื ผัก 10 ไร่ ก. ประชาชนทุกคน และทีอ่ ย่อู าศยั 5 ไร่ ข. ขา้ ราชการ นักการเมอื ง ค. นกั เรยี น นสิ ติ นกั ศกึ ษา 6. นายบุญธรรมและครอบครัวประกอบอาชพี ง. นักธุรกิจ นกั การธนาคาร ค้าขายปลาทูในตลาดสด มรี ายได้พอมีพอใช้ 3. หลักเศรษฐกจิ พอเพยี งสาหรับเกษตรกร และสนุกกบั การคา้ ขาย อยู่อย่างเรียบง่าย หมายถงึ ปฏบิ ัตอิ ยา่ งไร รจู้ กั ประหยัดอดออม ลักษณะการดารงชีพของ ก. พออยู่ พอกนิ พอมี บุญธรรมยดึ หลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงขอ้ ข. เป็นเกษตรกรกา้ วหน้า ใดมากทสี่ ดุ ค. นาความรู้สมยั ใหมม่ าใช้ ก. มคี วามรู้ ง. มีผลผลิตสงู ส่งเปน็ สนิ คา้ ออกได้ ข. ความมีเหตุผล ค. ความพอประมาณ 4. การดาเนินชวี ติ อยา่ งไรจึงจะสอดคลอ้ งกับแนว ง. มภี ูมิคมุ้ กนั ทีด่ ีในตัว พระราชดาริเรือ่ งเศรษฐกิจพอเพียง ก. ไมล่ งทนุ ทากิจการ ข. ไม่มีหนส้ี นิ ไม่ก่อหนี้ ค. มีรายได้สงู ไม่แก่งแย่งแข่งขันกับใคร ง. เดินทางสายกลาง และพ่ึงพาตนเองเป็น สาคัญ
174 7. \"ไมส่ รา้ งหน้ีสนิ จนเกินความสามารถในการ 11. หลกั ในกำรครองตน ขอ้ ใดสาคัญทส่ี ดุ ต่อการ บรหิ ารจัดการอาชีพของตนเอง\" ขอ้ ความ สร้างความสาคญั อย่างภาคภูมใิ จในบทบาท ดังกล่าวสอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจ หน้าทข่ี องตนเองต่อสงั คมประเทศชาติ พอเพียงข้อใด ก. พอดี ก. ความมีเหตุผล ข. พอใจ ข. ความพอประมาณ ค. พอเพยี ง ค. มภี ูมิคมุ้ กนั ทด่ี ีในตวั ง. พ่งึ ตนเอง ง. มีความรู้ ความรอบคอบ 12. ขอ้ ใดเปน็ การนาหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ 8. ปัจจยั แห่งความสาเรจ็ ของการประกอบอาชพี พอเพยี งมาใช้จัดสรรทรพั ยากรในชุมชนให้เกิด บนพื้นฐานของหลกั ๓ หา่ ง ๒ เงอ่ื นไข ความย่งั ยืน ขอ้ ใดสาคัญท่ีสุด ก. ใชห้ มอ้ หุงข้าวไฟฟ้าแทนถ่านไม้ ก. การศกึ ษา ข. ใช้ปุย๋ เคมีแทนการใชป้ ุ๋ยมลู สัตว์ ข. การตัดสินใจ เพื่อลดตน้ ทุน ค. การระดมทุน ค. ทาการเกษตรเชงิ เดี่ยวเพือ่ ลดภาวะเสี่ยง ง. การรจู้ กั ตนเอง ด้านราคา ง. นาน้าที่ผ่านการใช้แล้วในครัวเรอื น 9. จรรยาบรรณของผูป้ ระกอบอาชพี ตามหลัก มารดพชื ผกั สวนครวั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในลกั ษณะ การมีน้าใจ รกั ษาผลประโยชนข์ องบรษิ ัท 13. บคุ คลใดดาเนินการตามหลกั การสรา้ ง จดั เปน็ ๓ ห่วง ๒ เง่ือนไขขอ้ ใดมากทส่ี ดุ ภมู ิค้มุ กันกับเกษตรทฤษฎีใหม่ 3 ขั้น ได้ ก. มีความรู้ และคณุ ธรรม ถกู ตอ้ งตามลาดับ ข. ความมเี หตุผล-คณุ ธรรม ก. แพร่ว เป็นชาวนากู้เงินจากสหกรณม์ าปลกู ค. ความพอประมาณ-ความรู้ ขา้ วเพือ่ ขายขา้ วเปลอื กใหโ้ รงสขี นาดใหญ่ ง. การมภี ูมคิ มุ้ กันท่ีดีในตวั -คณุ ธรรม ข. ปูน มสี วนมะพร้าวเก็บมะพร้าวส่งไปยงั พ่อคา้ คนกลางเพ่ือกระจายสินค้าและมี 10. หลักในกำรครองงำน ข้อใดสาคญั ท่สี ุดต่อการ รายได้มากขึ้น สร้างสรรค์การประกอบอาชีพของตนเอง ค. อ่มิ เอม ปลูกกล้วยน้าวา้ นากล้วยมาแปรรูป ก. หลักโปรง่ ใส่ เพื่อเพ่มิ มูลค่า และรวมกลุ่มแม่บ้านมาผลิต ค. หลักประหยัด เพือ่ สร้างรายไดใ้ ห้ชมุ ชน ข. หลักเปน็ ธรรม ง. ฝา้ ย ปลูกยางพาราเก็บน้ายางขายประสบ ง. หลักประสิทธิภาพ ปัญหานา้ ยางราคาถูกจึงรวมตวั กนั ประท้วง รัฐบาล ตัดต้นยางขายและปลกู ผลไม้ชนิด อน่ื แทนเพื่อสร้างรายไดเ้ สรมิ
175 14. บคุ คลใด เปน็ แบบอยา่ งในการดาเนินชีวิตตาม 17. วภิ าวี เพ่ิงเรยี นจบระดับปรญิ ญาตรี หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง สาขาคหกรรมศาสตร์ ตั้งใจนาเงินท่ีเก็บออมไว้ ก. กอ้ ง นาเงินเก็บไปลงทุนในตลาดห้นุ ไปเปดิ รา้ นขายอาหารเล็กๆ ที่บ้านเกดิ ใน ข. แกว้ ซ้อื เส้ือผา้ ราคาแผงเพราะมคี ณุ ภาพดี ต่างจังหวัดโดยนาผลผลิตทางการเกษตรท่ี ค. เกง่ ประหยัดอดออมเพอื่ นาเงนิ ไปเที่ยว ครอบครัวปลกู มาใช้ในรา้ นอาหาร เพื่อให้ ตา่ งประเทศทุกปี ลกู คา้ ได้รับประทานอาหารท่สี ด ราคาไมแ่ พง ง. กล้า นั่งรถประจาทางไปทางานแทนการใช้ ปลอดสารพิษ เหลือจากขายก็นามาแปรรูป รถยนต์สว่ นตวั เพิ่มมูลค่าและวางขายในชมุ ชน จากสถานการณ์ วิภาวีนาหลักปรัชญาของ 15. สมศรีเป็นครูคหกรรมเกษียณอายรุ าชการ เศรษฐกจิ พอเพียงเรือ่ งใดมาใชป้ ระกอบอาชีพ ได้รับบานาญเดือนละ 30,000 บาท เธอ ก. พอประมาณ มีเหตุผล มีความพอดี มีระบบ ตอ้ งการมรี ายไดเ้ พ่ิมสาหรบั เลยี้ งดตู นเองหลัง ข. พอประมาณ มีภมู คิ มุ้ กัน มีความรู้ มีทนุ เกษยี ณ ข้อใดเปน็ แนวทางการประกอบอาชีพ ยดึ ทางสายกลาง ของสมศรีตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ ค. พอประมาณ มเี หตผุ ล มภี ูมิคุ้มกนั มีความ พอเพียง รอบรู้ มีคุณธรรม ก. นาเงินฝากธนาคารเพือ่ กินดอกเบย้ี ง. พอประมาณ มคี วามรอบรู้ มีการจัดการ ข. เปิดร้านขายของชาทีท่ นั สมัยและใหญ่ที่สุด มกี ารใช้เทคโนโลยที ่ีทนั สมัย ในชมุ ชน ค. ทาสวนแบบผสมผสานโดยกูเ้ งนิ เพ่ิม 18. การทีป่ ระชาชนในทอ้ งถ่นิ มีการรณรงค์ให้ทกุ เพือ่ ซอื้ ทด่ี ินและลงทุนปลกู คนใชถ้ งุ ผ้าแทนถุงพลาสติก หรอื ถุงการใช้ ง. เปิดรา้ นอาหารเล็กๆ โดยใช้พชื ผักสวนครัว ใบตองแทนโฟม พฤติกรรมดังกล่าวเปน็ การ ทป่ี ลกู เองในการปรงุ อาหาร บรหิ ารจดั การทรัพยากรสิ่งแวดลอ้ มตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งข้อใดมากท่ีสุด 16. สมชายแกป้ ญั หายางพาราตกตา่ หนั ไปปลูก ก. มีเหตุผล ทุเรียนแทน ดว้ ยการกู้เงนิ จากธนาคาร เพอื่ ข. พอมีพอกนิ การเกษตรและสหกรณ์มาเปน็ ทุนในการปลูก ค. พอประมาณ ทุเรียน โดยจ้างแรงงานต่างดา้ วและใช้ป๋ยุ เคมี ง. มภี ูมคิ ุ้มกนั ที่ดใี นตัว เร่งผลผลติ ใหอ้ อกนอกฤดกู าล จาก สถานการณส์ มชายไม่ยึดหลกั ปฏิบัติการ ประกอบอาชพี อย่างพอเพียงตามขอ้ ใด ก ความรอบรู้ ความซื่อสตั ย์ ข. ความพอประมาณ ความอดทน ค. ความมีเหตุผล ความมีภมู คิ ุ้มกัน ง. ความมีภูมคิ มุ้ กันในตวั ท่ีดี ความอดทน
176 19. การเผยแพร่ประชาสมั พนั ธ์ผลการดาเนินงาน 20. ขอ้ ใด ไม่ใช่ แนวทางการเผยแพรผ่ ลงานการ หมู่บา้ นเศรษฐกิจพอเพยี งของจังหวดั เป็น ปฏบิ ัติตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง กิจกรรมระดบั ใด ก. จดบันทกึ ในสมดุ สว่ นตวั ก. ระดบั บุคคล/ครอบครวั ข. สรา้ งเวบ็ ไซตผ์ า่ นอนิ เทอร์เน็ต ข. ระดบั ชุมชน ค. จดั ทาเปน็ เอกสารแจกบุคคลทว่ั ไป ค. ระดับประเทศ ง. รณรงคใ์ ห้คนไทยใชส้ ินคา้ ไทยและสนิ ค้า OTOP ง. ระดบั กล่มุ ธรุ กจิ
177 สรปุ เนอ้ื หำรำยวชิ ำสขุ ศึกษำ พลศึกษำ ทช21002 จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ ผู้เรียนสามารถอธิบายธรรมชาติการเจริญเติบโต และพัฒนาการของมนุษย์บอกหลักการดูแล และการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีของตนเองและครอบครัว ปฏิบัติตนในการดูแล และสร้างเสริม พฤตกิ รรมสุขภาพที่ดีจนเป็นกจิ นสิ ยั ป้องกันและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเส่ียงต่อสุขภาพและความปลอดภัย ด้วยกระบวนทักษะชวี ิต แนะนาการปฏิบัติตนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการหลีกเลี่ยง และปฏิบัติตน ดูแลสุขอนามยั และสง่ิ แวดล้อมในชุมชน ขอบเขตเน้ือหำ 1.การพัฒนาการของรา่ งกาย 2. การดแู ลสขุ ภาพ 3. สารอาหาร 4. โรคระบาด 5. ยาแผนโบราณ และสมนุ ไพร 6. การป้องกนั สารเสพตดิ 7. อบตั เิ หตุ อบุ ตั ิภยั 8. ทักษะชีวติ เพื่อการส่ือสาร หนว่ ยท่ี 1 กำรพัฒนำกำรของรำ่ งกำย พัฒนาการของร่างกายของมนุษย์ต้องเป็นไปตามวัย ทุกคนจาเป็นต้องเรียนรู้ให้เข้าใจถึง โครงสรา้ ง หนา้ ท่ี และการทางานของระบบอวยั วะท่สี าคัญในร่างกาย รวมถึงการป้องกันดูแลรักษา ไม่ให้ เกิดการผดิ ปกติ เพ่ือใหพ้ ฒั นาการของร่างกายทเี่ ปลีย่ นแปลงตามวัยมคี วามสมบูรณ์ท้ังด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา หน่วยท่ี 2 กำรดแู ลสุขภำพ ความรู้ความเข้าใจ ในการปฏิบัติตนเพื่อหลีกเล่ียงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ ตลอดจนสามารถ อธบิ ายถงึ ประโยชนข์ องการออกกาลงั กายและโทษของการขาดออกกาลังกาย ตลอดจนอธิบายถึง วิธีการ ออกกาลังกายเพ่ือแก้ปัญหาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร กาลังเป็นปัญหาที่น่าห่วงใยใน กล่มุ เยาวชนไทย ดงั นนั้ การเรยี นรูใ้ นเร่อื งของพฤติกรรมท่ีจะนาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ การถูกล่วงละเมิด ทางเพศ และการต้ังครรภ์ไม่พึงประสงค์ จึงเป็นเร่ืองจาเป็นที่จะได้ป้องกันตนเอง นอกจากน้ีการดูแล ร่างกาย โดยเฉพาะระบบสบื พันธุกเ็ ป็นเรอ่ื งทจี่ ะทาใหท้ ุกคนมีสุขภาวะท่ีดี สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องจะได้ ไม่ทาใหเ้ กิดปัญหาดา้ นสขุ ภาพทางเพศ
178 หน่วยท่ี 3 สำรอำหำร ความต้องการสารอาหาร ตาม เพศ วัยของร่างกาย เป็นความต้องการสารอาหารในบุคคล แต่ละช่วง และแต่ละเพศ ย่อมมีความแตกต่างกัน เป็นท่ียอมรับกันทั่วไปแล้วว่าอาหารมีส่วนสาคัญ อย่างมากในวัยเด็กท้ังในด้านการเจริญเติบโตของร่างกาย และการพัฒนาการในด้านความสัมพันธ์ของ ระบบการเคลอื่ นไหวของร่างกาย หนว่ ยที่ 4 โรคระบำด การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษาโรคติดต่อที่แพร่ ระบาดและเป็นปัญหาต่อสุขภาพของประชาชนในชุมชน จะช่วยให้รู้วิธีป้องกันตนเอง และครอบครัว และรว่ มมือปอ้ งกนั การแพรก่ ระจายเชอื้ โรคไปสบู่ คุ คลอื่น อันจะเปน็ แนวทางสาธารณสุขของประเทศได้ หน่วยท่ี 5 ยำแผนโบรำณและยำสมนุ ไพร ปัจจบุ ันประชาชนหันมานยิ มใช้ยาแผนโบราณและยาสมุนไพรกันมากขึ้น การศึกษาถึงสรรพคุณ และวิธีการใช้ยาแผนโบราณและยาสมุนไพรที่ถูกต้องจะช่วยให้ประชาชนรู้จักการดูแลรักษาสุขภาพ ดว้ ยตนเองอย่างมีประสิทธภิ าพและปลอดภัย บทท่ี 6 กำรป้องกนั สำรเสพติด ความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับปัญหา สาเหตุ ประเภท และอันตรายของสารเสพติด ตลอดจน ลักษณะอาการของผู้ติดสารเสพติด และสามารถรู้วิธีการป้องกัน และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่อสาร เสพตดิ ได้ บทท่ี 7 อบุ ตั ิเหตุ อบุ ัติภยั ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับอันตรายท่ีอาจเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย และภัยธรรมชาติ ตลอดจน พฤติกรรมเส่ยี งที่จะนาไปสคู่ วามไม่ปลอดภยั ในชวี ิตและทรพั ยส์ นิ การเอาชวี ติ รอดเม่อื เผชญิ อันตรายและ สถานการณ์คับขนั การปฐมพยาบาลเมอื่ ไดร้ ับอนั ตรายจากอุบัติเหตุ อุบตั ิภยั และภยั ธรรมชาติ บทที่ 8 ทักษะชีวิตเพ่ือกำรสื่อสำร การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะท่ีจาเป็นสาหรับชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะทักษะการสื่อสาร ทักษะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ทักษะการเข้าใจผู้อ่ืน จะช่วยให้บุคคลดารงชีวิตอยู่ใน ครอบครวั ชุมชน และสังคมอย่างมคี วามสขุ
179 บทที่ 9 อำชีพแปรรูปสมุนไพร สมุนไพร หมายถึง พืชท่ีมีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การใช้สมุนไพร สาหรับรกั ษาโรค หรอื อาการเจบ็ ปว่ ยต่าง ๆ น้ี จะต้องนาเอาสมนุ ไพรต้ังแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกัน ซึ่งจะเรียกว่า ยา ในตารับยา นอกจากพชื สมนุ ไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์ และแร่ธาตุ อีกด้วย เรา เรยี กพชื สตั ว หรอื แรธ่ าตทุ ี่เป็นสว่ นประกอบของยาน้ีว่า เภสัชวัตถุ สมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติ กระทรวงสาธารณสขุ ไดด้ าเนนิ โครงการสมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดย เน้นการนาสมุนไพรมาใช้บาบัดรักษาโรคในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐมากขึ้น และส่งเสริมให้ปลูก สมุนไพรเพื่อใช้ภายในหมูบ้านเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรมากยิ่งข้ึน อันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วย ประเทศชาตปิ ระหยัดเงนิ ตราในการสงั่ ซอ้ื ยาสาเรจ็ รูปจากต่างประเทศได้ปลี ะเป็นจานวนมาก หมำยเหตุ : ให้นกั ศกึ ษา ได้ศกึ ษาเพม่ิ เติมจากหนงั สอื แบบเรยี นรายวชิ าสุขศกึ ษา พลศกึ ษา ทช21002 https://anyflip.com/tqsll/qmxu/ https://anyflip.com/tqsll/qdel/
180 แบบทดสอบรำยวชิ ำสขุ ศกึ ษำ พลศึกษำ ทช21002 จงเลือกคำตอบทถ่ี ูกต้องท่สี ุดเพยี งคำตอบเดียว 1. เมอ่ื ผู้เรียนเร่มิ มีการเปลีย่ นแปลงทางด้านต่างๆ 6. การยอ่ ยอาหารในกระเพาะอาหารจะใช้ เกิดขนึ้ เชน่ มปี ระจาเดือน ฝันเปยี ก หงุดหงดิ มี เวลานานเท่าไหร่ กล่ินตัว เป็นสวิ ผู้เรยี นจะปฏิบตั ิจนอยา่ งไร ก. 1 -2 ชัว่ โมง ก. บอกพอ่ แม่ให้รบั รู้ ข. 2 -3 ช่ัวโมง ข. ปลอ่ ยใหเ้ ป็นไปตามธรรมชาติ ค. 3 - 4 ชัว่ โมง ค. ไมบ่ อกใครเพราะถือเปน็ เรือ่ งน่าอาย ง. 5 -6 ชั่วโมง ง. หม่ันรักษาสขุ ภาพอนามยั และสภาพจติ ใจของ 7. คนทก่ี ินอาหาร หวานจดั มันจดั และเค็มจัด ตนเอง เปน็ ประจา ทาใหเ้ กิดปญั หาสขุ ภาพต่อไปน้ี 2. ในรา่ งกายของคนเรามีกลา้ มเน้ืออย่ทู งั้ หมดก่มี ดั ยกเวน้ ข้อใด ก. 475 มดั ก. โรคอ้วน ข. 564 มดั ข. โรคเบาหวาน ค. 656 มดั ค. โรคขาดสารอาหาร ง. 885 มัด ง. โรคหัวใจและหลอดเลือด 3. ขอ้ ใดเป็นปจั จัยดา้ นพันธุกรรมทส่ี ง่ ผลต่อ 8. ขอ้ ใดเป็นผลดีต่อการทางานของปอด พัฒนาการของมนุษย์ ก. อยใู่ นท่ที ี่อากาศถ่ายเทสะดวก ก. ความฉลาด ข. กินอาหารรสไม่จัด ข. โรคตดิ ต่อทางผวิ หนัง ค. ดแู ลรกั ษาความสะอาดของร่างกาย ค. การมอี วยั วะบางส่วนพิการ ง. สวมเสื้อผ้าทีเ่ หมาะสมกบั ภูมอิ ากาศ ง. สขุ ภาพมารดาขณะตงั้ ครรภ์ 9. ใครเป็นผูม้ ีพัฒนาการเขา้ ส่วู ยั หนุ่มสาว 4. ถ้าเรามีอายุในชว่ ง 13 - 15 ปี จะเกดิ การ ก. เด็กหญงิ พมิ มอี าการฝนั เปียก เปลย่ี นแปลงทางดา้ นรา่ งกายอยา่ งไร ข. เดก็ หญิงพลอยมปี ระจาเดือน ก. ติดเพื่อน ค. เดก็ ชายพีทมีขนขึ้นบริเวณหน้าอก ข. สนใจในเพศตรงข้าม ง. เดก็ ชายพฒั น์ปวดท้องน้อย คลนื่ ไส้ ค. พรอ้ มที่จะสืบพันธุไ์ ด้ 10. หากต้องการวางแผนครอบครวั โดยการ ง. อยากรู้ อยากลองยาเสพตดิ คมุ กาเนิดแบบชั่วคราว ควรใช้วธิ กี ารใด 5. ใครเปน็ ผู้ท่ีมีพฤตกิ รรมเสีย่ งต่อสขุ ภาพน้อยท่ีสุด ก. ทาหมนั แห้ง ก. อ้วนเลน่ เกมส์วนั ละ 2 ช่ัวโมง ข. ใส่หว่ งอนามยั ข. ชาตดิ ื่มคาราบาวแดงวนั ละ 1 ขวด ค. หล่งั อสจุ ภิ ายนอก ค. ตัก๊ รับประทานอาหารวันละสองเวลา ง. นับระยะปลอดภยั ง. แอนนง่ั ทางานอย่างนอ้ ยวนั ละ 6 ช่วั โมง
11. การปฏิบตั ิในขอ้ ใดไม่ชว่ ยให้ระบบไหลเวยี น 181 เลอื ดทางานได้ดขี นึ้ ก. ออกกาลังกายสมา่ เสมออยา่ งน้อยสัปดาห์ 16. โรคในข้อใดเป็นการแพร่กระจายของเช้ือ ละ 3 วัน โรคทีต่ ดิ ต่อทางสายสะดอื ข. รบั ประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ก. เรมิ ค. อาบน้าทกุ วนั วนั ละ 2 ครั้ง ข. หดั เยอรมนั ง. พกั ผ่อนใหเ้ พียงพอ ค. วณั โรค ง. เอดส์ 12. สารใดทมี่ ผี ลทาใหเ้ มด็ เลอื ดแดงมสี ีแดง ก. ไฟบรนิ 17. ถา้ ในชุมชนมีการระบาดของไขห้ วดั ใหญ่สาย ข. ฮีโมโกลบิน พันธใ์ หม่ H1N1 เราจะมีวิธีการป้องกนั ค. เพลตเลต ตนเองและบคุ คลในครอบครวั อยา่ งไร ง. โพรทรอมบิน ก. ไม่ใช้ของร่วมกับผู้ปว่ ย ข. รักษาสขุ ภาพใหแ้ ข็งแรงอยู่เสมอ 13. ขอ้ ใดเปน็ วธิ ีการปอ้ งกนั การติดสารเสพตดิ ท่ี ค. ใสห่ น้ากากอนามัยเวลาไอหรือจาม ไดผ้ ลดที ่สี ดุ ง. รีบไปโรงพยาบาลเมือ่ พบอาการผิดปกติ ก. ไมท่ ดลองใชส้ ารเสพตดิ ทุกชนดิ ข. เข้าร่วมโครงการกฬี าตา้ นยาเสพตดิ 18. ทักษะทจ่ี าเป็นในการใช้ชีวิตคอื ข้อใด ค. ศึกษาหาความรู้เพื่อให้รูเ้ ทา่ ทนั ยาเสพติด ก. ทกั ษะการมีส่วนรว่ ม ง. สรา้ งความรกั ความอบอุ่นในครอบครัว ข. ทักษะการให้ ค. ทกั ษะการเข้าใจผู้อ่ืน 14. สารเสพตดิ มผี ลตอ่ ร่างกายอยา่ งไร ง. ทักษะการสร้างมิตรภาพ ก. กระต้นุ ใหห้ วั ใจแขง็ แรง ข. ยบั ยงั้ การเกิดมะเร็ง 19. หากเกดิ ความขัดแยง้ กับเพือ่ นสนิท ค. อวยั วะทางานผดิ ปกติ ทา่ นจะแก้ปญั หาอย่างไร ง. ชว่ ยควบคุมการทางานของรา่ งกาย ก. รอใหเ้ พอื่ นมาขอคนื ดี ข. พูดคยุ ปรบั ความเขา้ ใจกัน 15. ข้อใดเป็นการแสดงความเหน็ อกเหน็ ใจผู้อ่ืน ค. ไปขอความเห็นใจจากเพอ่ื นคนอ่ืน มากทีส่ ดุ ง. คยุ กบั เพือ่ นเหมอื นไมม่ ีอะไรเกดิ ข้ึน ก. ช่วยจงู ผสู้ ูงอายุขา้ มถนน ข. ให้เพ่ือนลอกการบา้ น 20. ข้อใดเป็นเหตผุ ลทเี่ หมาะสมทสี่ ดุ ท่ีมีการ ค. ใส่บาตรทุกเชา้ เลอื กใช้ยาสมุนไพรอยา่ งแพร่หลายใน ง. ชว่ ยครูยกของไปหอ้ งพกั ครู ปจั จุบัน ก. หาง่าย ประหยดั ราคาถูก ข. คุณภาพดีกวา่ ยาแผนปัจจุบนั ค. รักษาโรคตา่ ง ๆ หายอย่างรวดเร็ว ง. ใช้ไดบ้ อ่ ยตามความตอ้ งการของผใู้ ช้
182 สรปุ เน้อื หำรำยวิชำศลิ ปศึกษำ ทช21003 จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1.อธบิ ายความหมายของธรรมชาติ ความงามความ ไพเราะของทศั นศิลป์ไทย ดนตรีไทย และนาฏศลิ ป์ไทย 2. อธบิ ายความรูพ้ ื้นฐานของ ทศั นศิลป์ไทย ดนตรไี ทย และนาฏศลิ ป์ไทย 3. สร้างสรรค์ผลงานโดยใชค้ วามรูพ้ ืน้ ฐาน ด้าน ทศั นศลิ ป์ไทย คนตรีไทย และนาฏศิลป์ไทย 4. ชื่นชม เห็นคณุ ค่าของ ทศั นศลิ ป์ไทย ดนตรีไทย และนาฏศิลป์ไทย 5. วเิ คราะห์ วพิ ากย์ วจิ ารณ์ งานด้านทัศนศิลป์ไทย คนตรีไทย และนาฏศิลป์ไทย 6. อนรุ กั ษสบื ทอดภูมปิ ญั ญาดา้ นทศั นศลิ ป์ไทย คนตรไี ทย และนาฏศลิ ป์ไทย ขอบเขตเน้ือหำ 1. ทัศนศิลป์ไทย 2. ดนตรีไทย 3. นาฏศลิ ป์ไทย 4. นาฏศลิ ป์ไทยกับการประกอบอาชพี หน่วยที่ 1 ทัศนศลิ ป์ไทย ศึกษาเรียนรู้ เข้าใจ เห็นคุณค่าความงาม ของทัศนศิลป์ไทย และสามารถอธิบายความงามและ ความเปน็ มาของทศั นศิลป์ไทย ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จุด คือ องค์ประกอบที่เล็กที่สุดจุดเป็นส่ิงท่ีสามารถบอกตาแหน่งและทิศทางโดยการนาจุดมา เรียงตอ่ กันให้เป็นเส้นการรวมกันของจุดจะเกิดนา้ หนักทใ่ี ห้ปริมาตรแก่รูปทรงเป็นตน้ เส้น หมายถึง จุดหลาย ๆ จดุ ทเ่ี รียงชิดติดกนั เปน็ แนวยาวโดยการลากเส้นจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด หนึ่งในทิศทางที่แตกต่างกัน โดยจาแนกออกได้เป็นลักษณะใหญ่ ๆ คือ เส้นตั้ง เส้นนอน เส้นเฉียง เสน้ โคง้ เสน้ หยัก เสน้ ซกิ แซก สี คือ สีท่ีนามาผสมกันแล้วทาให้เกิดสีใหม่ ที่มีลักษณะแตกต่างไปจากสีเดิม แม่สีมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมส่ ีของแสง และแมส่ วี ตั ถุธาตุ แสงและเงา หมายถึง แสงที่ส่องมากระทบพ้ืนผิวที่มีสีอ่อนแก่และพ้ืนผิวสูงต่า โค้ง นูนเรียบหรือ ขรุขระ ทาใหป้ รากฏแสงและเงาแตกตา่ งกัน ศิลปะ หมายถึง ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ ปรากฏซงึ่ ความสนุ ทรยี ภาพ ความประทบั ใจ หรอื ความสะเทอื นอารมณ์ ตามประสบการณ์ รสนิยม และ ทักษะของบคุ คลแต่ละคน
183 งานทัศนศิลป์ไทย ศิลปะ ประเภททัศนศิลป์ท่ีสาคัญของไทย นั้นได้แก่ จิตรกรรมประติมากรรม และสถาปตั ยกรรม ซง่ึ เปน็ ศิลป์กรรมทพี่ บเห็นทัว่ ไป โดยเฉพาะศิลป์กรรมทีเ่ กยี่ วกับพทุ ธศาสนาหรือพุทธ ศิลปท์ ่มี ีประวัติความเป็นมานับพันปี จนมีรูปแบบท่ีเป็นเอกลักษณ์ไทย และเป็นศิลปะไทย ท่ีสะท้อนให้ เหน็ วิถีชวี ติ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ความเช่ือ และรสนิยมเก่ียวกับความงามของคนไทย ศิลปะเหล่าน้ี แตล่ ะสาขามีเน้ือหาสาระที่ควรค่าแก่การศกึ ษาแตกต่างกันไป ประเภทของงานทศั นศลิ ปไ์ ทย สามารถแบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท คอื 1. จติ รกรรมไทย เปน็ การสร้างสรรคภ์ าพเขยี นทีม่ ีลกั ษณะโดยท่วั ไปมักจะเป็น 2 มิติ ไม่มี แสงและเงา สีพื้นจะเป็นสีเรียบ ๆ ไม่ฉูดฉาดสีที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นสีดา สีน้าตาล สีเขียว เส้นท่ีใช้มักจะ เป็นเส้นโค้งช่วยให้ภาพดูอ่อนช้อย นุ่มนวล ไม่แข็งกระด้าง จิตรกรรมไทยมักพบในวัดต่าง ๆ เรียกว่า “จิตรกรรมฝาผนงั ” 2. ประติมากรรมไทย ประติมากรรมเป็นผลงานศิลปกรรมท่ีเป็นรูปทรง 3 มิติ ประกอบ จากความสูงความกวา้ งและความนนู หรอื ความลึก รูปทรงนีม้ ปี ริมาตรที่จับต้องได้และกินระวางเนื้อท่ีใน อากาศต่างจากรูปทรง ปริมาตรทางจิตรกรรมท่ีแสดงบนพ้ืนเรียบเป็นปริมาตรท่ีลวงตา ผลงาน ประติมากรรมไทยคณุ คา่ ของงานสว่ นใหญ่ผูกพันและเก่ียวข้องกบั ศาสนา สร้างสรรค์ข้นึ จากความเช่ือ คติ นิยม ความศรัทธา มีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ย่อมมีคุณค่า มีความงดงาม ตลอดจนเป็น ประโยชนใ์ ชส้ อยเฉพาะของตนเอง ผลงานประติมากรรมไทย แบง่ ออกได้เป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ - ประติมากรรมไทยที่เกิดขน้ึ จากความเชอื่ ความศรัทธา คตินิยมเกี่ยวข้องกับศาสนา เช่น พระพทุ ธรูปปางตา่ งๆ ลวดลายของฐานเจดียห์ รือพระปรางค์ต่างๆ - ประติมากรรมไทยพวกเครือ่ งใช้ในชวี ิตประจาวนั เชน่ โอง่ หมอ้ ไห ครก กระถาง - ประติมากรรมไทยพวกของเล่น ได้แก่ ตุ๊กตาดินปั้น ตุ๊กตาจากกระดาษ ตุ๊กตาจากผ้า ห่นุ กระบอก ปลาตะเพียนสานใบลาน หนา้ กาก วัสดุจากเปลือกหอย ชฏาหัวโขน - ประติมากรรมไทยพวกเครอื่ งประดับตกแตง่ เช่น กระถางต้นไม้ โคมไฟดนิ เผา 3. สถาปัตยกรรมไทย หมายถึงศิลปะการก่อสร้างของไทย อันได้แก่อาคาร บ้านเรือน โบสถ์ วิหาร วัง สถูป และสิ่งก่อสร้างอ่ืน ๆ ที่มีมูลเหตุที่มาของการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนในแต่ละ ท้องถ่นิ จะมีลักษณะผิดแผกแตกต่างกันไปบ้างตามสภาพทาง ภูมิศาสตร์ และคตินิยมของแต่ละท้องถ่ิน แต่ส่ิงก่อสร้างทางศาสนาพุทธ มักจะมีลักษณะที่ไม่แตกต่างกันมากนัก เพราะมีความเช่ือ ความศรัทธา และแบบแผนพธิ กี รรมท่ีเหมอื น ๆ กัน สถาปตั ยกรรมท่ี มักนยิ มนามาเปน็ ขอ้ ศกึ ษา ส่วนใหญ่จะเป็น สถูป เจดยี ์ โบสถ์ วหิ าร หรอื พระราชวงั เนือ่ งจากเป็นสิง่ กอ่ สรา้ งทค่ี งทน มีการพัฒนารูปแบบมาอย่างต่อเน่ือง ยาวนาน และได้รับการสรรค์สร้างจากช่างฝีมือที่ เช่ียวชาญ พร้อมท้ังมีความเป็นมาท่ีสาคัญควร แก่ การศึกษา อีกประการหน่ึงก็คือ ส่ิงก่อสร้างเหล่าน้ี ล้วนมีความทนทาน มีอายุยาวนานปรากฏเป็น อนสุ รณ์ใหเ้ ราได้ศกึ ษาเปน็ อย่างดี สถาปัตยกรรมไทย สามารถจัดหมวดหมู่ ตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภท คอื
184 - สถาปัตยกรรมท่ีใชเ้ ปน็ ที่อย่อู าศัย ได้แก่ บา้ นเรือน ตาหนกั วังและพระราชวงั เปน็ ต้น - สถาปัตยกรรมท่ีเกี่ยวข้องศาสนา ซ่ึงส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณสงฆ์ ที่เรียกว่า วัด ซึ่ง ประกอบไปด้วยสถาปัตยกรรมหลายอย่าง ได้แก่ โบสถ์ วิหาร พระพุทธรูปสาคัญ กุฎิ หอไตร หอระฆัง และหอกลอง 4. ภาพพิมพ์ หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากแม่พิมพ์ออกมาเป็นผลงานที่มีลักษณะ เหมือนกันกับแมพ่ มิ พ์ทกุ ประการ และได้ภาพที่เหมือนกันมีจานวนต้ังแต่ 2 ช้ินข้ึนไป การพิมพ์ภาพเป็น งานท่ีพัฒนาต่อเน่ืองมาจากการวาดภาพ ซึ่งการวาดภาพไม่สามารถ สร้างผลงาน 2 ชิ้น ท่ีมีลักษณะ เหมือนกันทุกประการได้ จึงมีการพัฒนาการพิมพ์ข้ึนมา ชาติจีนเป็นชาติแรกท่ีนาเอาวิธีการพิมพ์มาใช้ อย่างแพร่หลายมานานนับพันปี จากน้ันจึงได้แพร่หลายออกไปในภูมิภาคต่างๆของโลก ชนชาติทาง ตะวันตก ได้พัฒนา การพิมพ์ภาพ ข้ึนมาอย่างมากมาย มีการนาเอาเครื่องจักรกลต่างๆเข้ามาใช้ในการ พมิ พ์ ทาให้การพมิ พ์มกี าร พัฒนาไปอย่างรวดเรว็ ในปจั จุบัน หนว่ ยท่ี 2 ดนตรีไทย ศกึ ษาเรียนรู้ เขา้ ใจ ถึงวิวัฒนาการ ประวตั คิ วามเป็นมา และคุณค่าความงาม ของดนตรไี ทย สามารถอธบิ ายความงาม และประวัติความเป็นมา ของดนตรีไทยไดอ้ ย่างเหมาะสม ประวตั ิดนตรไี ทย ดนตรไี ทยได้แบบอยา่ งมาจากอนิ เดีย เนือ่ งจากอินเดียเปน็ แหลง่ อารยธรรม โบราณท่ีสาคัญแห่งหน่ึงของโลก อารยธรรมต่าง ๆ ของอินเดียได้เข้ามามีอิทธิพลต่อประเทศต่าง ๆ ใน แถบเอเชียอย่างมาก ท้ังในด้านศาสนา ประเพณีความเชื่อ ตลอดจน ศิลปะแขนงต่าง ๆ โดยเฉพาะ ทางด้านดนตรี ปรากฏรูปรา่ งลักษณะ เครอื่ งดนตรีของประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย เช่น จีน เขมร พม่า อินโดนีเซยี และมาเลเซีย มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เป็นส่วนมาก ท้ังนี้เน่ืองมาจากประเทศเหล่านั้นต่างก็ ยดึ แบบฉบับดนตรีของอนิ เดยี เป็นบรรทัดฐาน รวมทงั้ ไทยเราด้วย ลักษณะของเครื่องดนตรีไทย สามารถ จาแนกเป็น 4 ประเภท คือ 1) เครอื่ งดดี 2) เครื่องสี 3) เคร่ืองตี 4) เครอ่ื งเป่า วิวัฒนาการของวงดนตรไี ทย สมัยสุโขทยั มีลกั ษณะเปน็ การขับลานา และร้องเล่นกันอย่างพื้นเมือง เกี่ยวกับ เคร่ืองดนตรี ไทย ในสมัยนี้ ปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉิ่ง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์, พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ป่ีไฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เป็นต้น วงดนตรีไทย ในสมัยสุโขทัย มีดังน้ี คือ 1. วงบรรเลงพิณ 2. วงขับไม้ 3. วงปี่พาทย์ มี 2 ชนิด คือ วงปี่พาทย์เคร่ืองห้า อย่างเบา และวงป่ีพาทย์เคร่ืองห้า อย่างหนัก ใช้บรรเลงประโคมใน งานพิธีและบรรเลงประกอบ การแสดงมหรสพ ตา่ ง ๆ สมยั กรุงศรอี ยธุ ยา มีเคร่อื งดนตรไี ทยเพิม่ ขึน้ จากสมยั สโุ ขทัย ไดแ้ ก่ กระจับปี่ ขลุ่ย จะเข้ และ รามะนา ลกั ษณะของวงดนตรไี ทยในสมัยนม้ี กี ารเปลี่ยนแปลง และพฒั นาข้ึนกว่าในสมัยสุโขทยั ดงั น้ี คือ 1. วงป่ีพาทย์ มีระนาดเอกเพ่ิมขึ้น ดังนั้นวงปี่พาทย์เครื่องห้าในสมัยนี้ประกอบด้วยเคร่ือง ดนตรี ดงั ตอ่ ไปน้ี คอื ระนาดเอก ป่ีใน ฆ้องวง (ใหญ่) กลองทัด ตะโพน ฉิ่ง 2. วงมโหรี ในสมัยน้ีพัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องส่ี ในสมัยสุโขทัยเป็น วงมโหรีเครื่องหก เพราะไดเ้ พ่ิม เครอ่ื งดนตรี เขา้ ไปอกี 2 ช้ิน คอื ขล่ยุ และ รามะนา
185 สมัยกรุงธนบุรี เน่ืองจากในสมัยนี้เป็นช่วงระยะเวลาอันส้ันเพียงแค่ 15 ปี และประกอบ กับเป็นสมัยแห่งการก่อร่างสร้างเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมาก วงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ ปรากฎหลักฐานไว้ว่า ได้มีการพัฒนาเปล่ียนแปลงข้ึน สันนิษฐานว่า ยังคงเป็นลักษณะและรูปแบบ ของดนตรไี ทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาน่ันเอง สมัยรตั นโกสินทร์ จดั วา่ เป็นยุคทองยุคหนึ่งของวงการดนตรีไทยเลยทีเดียว โดยเริ่มจากสมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการประพันธ์เพลง \"ทางกรอ\" ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการพัฒนาการประพันธ์ เพลงจากเดิมซึง่ มีเพียงเพลงทางเก็บ วงดนตรีในยุคสมยั นเี้ ร่ิมมีการแบ่งออกเปน็ สามประเภท ไดแ้ ก่ วงเครือ่ งสาย ซ่ึงประกอบด้วยเครอ่ื งดนตรที ม่ี ีสายทั้งหลาย เชน่ ซอ จะเข้ เปน็ ต้น วงป่พี าทย์ ประกอบดว้ ยเคร่อื งตีเป็นส่วนใหญ่ ไดแ้ ก่ ระนาด ฆอ้ ง และปี่ เป็นต้น วงมโหรี เปน็ การรวมกนั ของวงเครือ่ งสายและวงปีพ่ าทย์ แตต่ ัดปอี่ อกเพราะเสียงดังกลบเสียง เครื่องสายอน่ื หมด หน่วยท่ี 3 นำฏศลิ ปไ์ ทย ความหมายและความเปน็ มาของนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ไทยประเภทต่าง ๆ คุณค่าและการ อนุรกั ษ์นาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์ คือ ศิลปะการร้องราทาเพลง ท่ีมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์ โดยประดิษฐ์ข้ึนอย่าง ประณีตและมีแบบแผน ให้ความรู้ ความบันเทิง ซ่ึงเป็นพื้นฐานสาคัญท่ีแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรม ความร่งุ เรอื ง ของชาตไิ ด้เปน็ อยา่ งดี นาฏศิลป์ไทย คือ ศิลปะแห่งการร่ายราที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย จากการสืบค้นประวัติ ความเปน็ มาของนาฏศลิ ป์ไทย เปน็ เร่อื งทเ่ี กยี่ วขอ้ งและสมั พันธก์ ับประวัติศาสตร์ไทย และวัฒนธรรมไทย จากหลักฐานท่ียืนยันว่านาฏศิลป์มีมาช้านาน เช่น การสืบค้นในหลักศิลาจารึกหลักที่ 4 สมัยกรุงสุโขทัย พบข้อความว่า “ระบาราเต้นเล่นทุกวัน” แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุด นาฏศิลป์ไทยมีอายุไม่น้อยกว่า ยุคสุโขทัยข้นึ ไป เอกลกั ษณข์ องนาฏศิลป์ไทย 1. มที ่าราอ่อนชอ้ ย งดงาม และแสดงอารมณ์ ตามลักษณะที่แท้จริงของคนไทย ตลอดจนใช้ ลีลาการเคลือ่ นไหวทดี่ ูสอดคล้องกนั 2. เครื่องแต่งกายจะแตกต่างกับชาติอ่ืน ๆ มีแบบอย่างของตนโดยเฉพาะ ขนาดยืดหยุ่นได้ ตามสมควร เคร่ืองแตง่ กายบางประเภท เชน่ เคร่อื งแต่งกายยนื เครื่อง การสวมใส่จะใช้ตรึงด้วยด้ายแทนที่ จะเย็บสาเร็จรูป เปน็ ต้น 3. มีเครื่องประกอบจังหวะหรือดนตรีประกอบการแสดง ซ่ึงอาจมีแต่ทานองหรือมีบทร้อง ผสมอยู่ 4. ถา้ มคี ารอ้ งหรอื บทร้องจะเป็นคาประพันธ์ ส่วนมากแล้วมลี กั ษณะเปน็ กลอนแปด สามารถ นาไปร้องเพลงชน้ั เดียว หรอื สองช้นั ได้ทกุ เพลง คารอ้ งนีท้ าให้ผ้สู อนหรือผรู้ ากาหนดท่าราไปตามบทรอ้ ง นาฏศลิ ปไ์ ทย เป็นศลิ ปะทีร่ วมศิลปะทกุ แขนงเข้าด้วยกนั แบ่งออกเปน็ ระบา รา ฟ้อน ละคร โขน และการละเล่นพ้ืนเมือง
186 นาฏยศัพท์ หมายถึง ศัพท์เฉพาะในทางนาฏศิลป์ ซึ่งเป็นภาษาท่ีใช้เป็นสัญลักษณ์ และสื่อ ความหมายกนั ในวงการนาฏศิลป์ไทย แบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ 1. หมวดนามศัพท์ หมายถึง ท่าราสื่อต่าง ๆ ท่ีบอกอาการของท่าน้ัน ๆ เช่น วงบน วงกลาง จบี หงาย จีบควา่ จีบหลัง ทา่ เทา้ เช่น ยกเท้า ประเท้า กระดก 2. หมวดกิริยาศัพท์ คือ ศัพท์ที่ใช้ในการปฏิบัติอาการกิริยา แบ่งออกเป็นศัพท์เสริม และ ศพั ทเ์ สื่อม - ศัพท์เสริม หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เสริมท่วงทีให้ถูกต้องงดงาม เช่น ทรงตัว ส่งมือ เอียง ลักคอ กดไหล่ ถบี เข่า เปน็ ต้น - ศัพท์เสื่อม หมายถึง ศัพท์ที่ใช้เรียกท่าราที่ไม่ถูกระดับมาตรฐาน เพ่ือให้ผู้รารู้ตัว และ ต้องแก้ไขท่วงทขี องตนใหเ้ ขา้ สรู่ ะดบั เชน่ วงลา้ วงหกั วงลน้ ราเลือ้ ย ราลน เป็นต้น 3. หมวดนาฏยศัพท์เบ็ดเตล็ด คือ ศัพท์ท่ีนอกเหนือจากนามศัพท์ กิริยาศัพท์ ซึ่งจัดไว้เป็น หมวดเบ็ดเตล็ด เชน่ เหล่ยี ม เดนิ มือ แม่ทา่ ขึ้นทา่ เปน็ ต้น ราวงมาตรฐาน เป็นการแสดงมาจากราโทน เป็นการละเล่นพื้นบ้านอย่างหน่ึงของชาวไทยที่ บ่งบอกถึงความสนุกสนาน ซ่ึงแต่เดิมราโทนก็เล่นกันเป็นวง จึงเรียกว่า “ราวง” แต่เดิมไม่มีคาว่า “มาตรฐาน” จะเรียกกันว่าราวงเท่าน้ัน ต่อมาราวสงครามโลกครั้งท่ี 2 ได้มีการปรับปรุงการเล่นราโทน ใหง้ ดงามตามแบบของกรมศิลปากร ท้ังการร้อง และการร่ายราให้มีความงดงามเป็นแบบฉบับกลาง ๆ ท่ี จะรอ้ งเล่นไดท้ ่วั ไปในทุกภาค และเปล่ียนจากการเรียกว่า ราโทน เป็นราวง โดยเพลงแต่ละเพลงจะมีท่า ราที่มีช่อื เรยี กแตกต่างกันออกไปเช่น เพลงงามแสงเดือน ใช้ท่าราสอดสร้อยมาลา เพลงมาซิมารา ใช้ท่า ราราส่าย เพลงชาวไทย ใชท้ า่ ราชกั แป้งผดั หน้า เป็นต้น หมำยเหตุ : ให้นกั ศึกษำ ไดศ้ กึ ษำเพิม่ เติมจำกหนังสือแบบเรยี นรำยวชิ ำศิลปศกึ ษำ ทช21003
187 แบบทดสอบรำยวชิ ำศิลปศกึ ษำ ( ทช21003 ) จงเลือกคำตอบท่ีถกู ต้องที่สุดเพยี งคำตอบเดียว 1. องค์ประกอบท่ีเล็กทสี่ ดุ ของงานทศั นศิลป์คือ 6. สเี ขียว เกิดจากการผสมของสอี ะไร อะไร ก. ฟ้า กับ ส้ม ก. จุด ข. ม่วง กบั แดง ข. เสน้ ค. ขาว กบั นา้ ตาล ค. รูปทรง ง. เหลอื ง กับ น้าเงนิ ง. แสง-เงา 7. การวาดภาพเหมือนบคุ คล ควรศกึ ษาเพ่มิ เตมิ 2. สีฟ้า ให้ความรู้สกึ อะไร ในเรอื่ งใด ก. แจ่มใส รา่ เริง ก. ทฤษฎีสี ข. มีเสน่ห์ นา่ ตดิ ตาม ข. กายวิภาค ค. ปลอดโปรง่ โล่ง กว้าง ค. องคป์ ระกอบศิลป์ ง. ร้อน รนุ แรง กระตุ้น ทา้ ทาย ง. เทคนคิ การวาดใบหนา้ 3. จติ รกรรมไทย เป็นการสร้างสรรค์ภาพเขียนท่มี ี 8. ดนตรีไทย ได้แบบอยา่ งมาจากประเทศใด ลกั ษณะอย่างไร ก. ลาว ก. มี 3 มิติ ข. พมา่ ข. ใช้สฉี ูดฉาด ค. อนิ เดยี ค. เน้นเหมอื นจรงิ ง. ศรีลังกา ง. เขียนแบบตานกมอง 9. วงมโหรีสมัยสุโขทยั เปน็ การผสมกันระหว่าง 4. ประตมิ ากรรมไทยทีเ่ กดิ ขนึ้ จากความเชื่อ ความ วงดนตรปี ระเภทใด ศรทั ธา คือขอ้ ใด ก. วงป่ีพาทย์ กบั วงขบั ไม้ ก. ฐานเจดีย์ ข. วงบรรเลงพิณ กบั วงขับไม้ ข. กระถางดนิ ค. วงขับไม้ กบั วงป่พี าทยเ์ คร่ืองเบา ค. ชฏาหวั โขน ง. วงปพี าทย์เคร่อื งหนัก กบั วงบรรเลงพณิ ง. หุ่นกระบอก 10. วงดนตรที น่ี ิยมใช้บรรเลงในงานศพคอื วงใด 5. ความงามของศิลปะตามหลักสุนทรยี ศาสตรเ์ ปน็ ก. วงมโหรเี ครอื่ งคู่ อย่างไร ข. วงปีพ่ าทย์นางหงส์ ก. ความงามท่ีมอี ยใู่ นสายตา ค. วงมโหรเี คร่ืองสาย ข. ความงามท่ไี มม่ สี ่ิงใดเสมอเหมือน ง. วงป่พี าทย์ไม้แขง็ เครอื่ งคู่ ค. ความงามท่ไี ม่มีวนั เสอ่ื มสลายไปกบั เวลา ง. ความงามทีม่ ีอย่ใู นสภาวะของความสัมพนั ธ์ ทางจิตใจกบั วัตถุ
188 11. ขลุ่ยทีม่ ีเสียงเลก็ แหลมสูงใชบ้ รรเลงในวงมโหรี 16. ราวงมาตรฐานมีวิวัฒนาการมาจากการ เครื่องคู่ คือขลยุ่ ชนดิ ใด แสดงในข้อใด ก. ขลยุ่ อู้ ก. ราโทน ข. ขลุ่ยดว้ ง ข. ละครรา ค. ขลุ่ยหลีบ ค. เพลงเกีย่ วขา้ ว ง. ขลยุ่ เพียงออ ง. การละเล่นพ้ืนบา้ น 12. วงปี่พาทย์ ประกอบดว้ ยเครื่องดนตรชี นิดใด 17. ขอ้ ใดไมใ่ ช่ เพลงประกอบ“ราวงมาตรฐาน” ก. ซอ จะเข้ ฉิ่ง ก. งามแสงเดือน ข. ฆอ้ ง ขลุ่ย โทน ข. ดอกไม้ของชาติ ค. ปี่ กลองชาตรี ทับ ค. ล้นเกล้าเผา่ ไทย ง. ระนาด ฆอ้ ง และป่ี ง. ยอดชายใจหาญ 13. สตรคี วรใช้ทา่ นง่ั สซี อในข้อใดเหมาะสมท่ีสดุ 18. ละครเสภา ใชเ้ ครื่องดนตรีใดในการ ก. ไขว่ห้าง ประกอบจงั หวะ ข. ขดั สมาธิ ก. ฉงิ่ ค. พบั เพยี บ ข. ฉาบ ง. นง่ั เข่าชิด ค. กรบั ง. โหม่ง 14. วฒั นธรรมทางดนตรีวงสะลอ้ ซอ ซึง เป็นของ ภาคใด 19. การใช้น้ิวมือจรดเข้าหากัน โดยใช้ ก. ใต้ ปลายนว้ิ หัวแมม่ ือจรดกับขอ้ สดุ ทา้ ยของ ข. กลาง ปลายน้วิ ชี้ ส่วนนิ้วกลาง นิ้วนาง นิว้ ก้อย กรีด ค. เหนอื ตรึงออกไปคลา้ ยพัด เปน็ นาฎยศพั ท์ใด ง. อีสาน ก. วง ข. จีบ 15. เพลงราวงมาตรฐานใดท่ใี ช้ทา่ ราส่าย ค. ตั้งวง ก. เพลงยอดชายใจหาญ ง. เหลี่ยม ข. เพลงรามาซิมารา ค. เพลงงามแสงเดอื น 20. การแสดงละครทใี่ ช้ตวั แสดงเป็นชายลว้ นคือ ง. เพลงคืนเดือนหงาย ขอ้ ใด ก. ละครรา ข. ละครรอ้ ง ค. ละครใน ง. ละครนอก
189 สรุปเนื้อหำรำยวิชำสงั คมศกึ ษำ สค21001 สำระสำคญั การศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพทั้งของประเทศไทย และทวีปเอเชีย วิวัฒนาการความสัมพันธ์ของมนุษย์สิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัด เพ่ือใหใ้ ชอ้ ย่างเพยี งพอในการผลิตและบริโภค การใช้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ใน อนาคต การเรยี นรูเ้ ร่ืองการเมอื งการปกครอง สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนินชีวติ ประจาวันได้ จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 1. อธิบายข้อมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมืองการปกครอง ท่ี เกีย่ วขอ้ งกบั ประเทศในทวปี เอเชยี 2. มีความร้แู ละเข้าใจประวัติศาสตร์ทวีปเอเชีย และสามารถ วพิ ากษ์ วจิ ารณเ์ รื่องต่าง ๆ ได้ 3. บอกเหตุการณส์ าคัญทางประวตั ิศาสตรท์ ีเ่ กดิ ขึน้ ในประเทศไทย และประเทศในทวีปเอเชียได้ ขอบเขตเนอื้ หำ ศกึ ษาเรื่องภูมิศาสตรก์ ายภาพทวีปเอเชีย ประวัติศาสตร์ทวีปเอเชีย เศรษฐศาสตร์ และการเมือง การปกครอง หน่วยท่ี 1 ภมู ิศำสตรก์ ำยภำพทวปี เอเชีย ภมู ิศาสตรก์ ายภาพ คือวิชาที่เก่ียวข้องกับลักษณะการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) ที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งส่วนที่เป็นธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาค และ ชีวภาค ตลอดจนความสัมพันธ์ทางพ้ืนท่ีของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น การศึกษา ภมู ศิ าสตรท์ างกายภาพทวีปเอเชยี ทาใหส้ ามารถวิเคราะห์เหตผุ ลประกอบกับการสังเกต พิจารณาส่ิงที่ผัน แปรเปล่ียนแปลงในภูมภิ าคต่างๆ ของทวปี เอเชยี ได้เปน็ อยา่ งดีการศึกษาภมู ศิ าสตรก์ ายภาพแผนใหม่ต้อง ศกึ ษาอย่างมีเหตผุ ล โดยอาศัยหลกั เกณฑ์ทางภมู ศิ าสตรห์ รอื หลักเกณฑ์สถติ ิ ซึ่งเป็นข้อเทจ็ จริงจากวิชาใน แขนงทเ่ี ก่ียวขอ้ งกนั มาพิจารณาโดยรอบคอบ ทวปี เอเชียเปน็ ทวีปท่ีมีขนาดใหญ่ท่สี ุดในโลก มีพื้นทป่ี ระมาณ 44,648,953 ล้านตารางกิโลเมตร มีดินแดนท่ีต่อเนื่องกับทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกา แผ่นดินของทวีปยุโรปกับทวีปเอเชีย ที่ต่อเน่ืองกัน เรียกรวมว่า ยูเรเชีย พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรมีทาเลที่ต้ังตามพิกัดภูมิศาสตร์ คือจากละติจูด 11 องศาใต้ ถงึ ละตจิ ดู 77 องศา 41 ลิปดาเหนือ ลักษณะภูมิประเทศ แบ่งออกเป็นเขตต่าง ๆ 5 เขต ดังน้ี 1. เขตท่ีราบต่าตอนเหนือ 2. เขตที่ ราบลุ่มแม่น้า 3. เขตเทือกเขาสูง 4. เขตท่ีราบสูงตอนกลางทวีป 5. เขตท่ีราบสูงตอนใต้ และ ตะวันออกเฉยี งเหนือ สภาพภูมิอากาศ ในทวีปเอเชียแบ่งได้ดังน้ี 1. ภูมิอากาศแบบป่าดิบช้ืน 2. ภูมิอากาศแบบมรสุม เขตร้อน หรอื ร้อนช้ืนแถบมรสุม 3. ภูมิอากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน 4. ภูมิอากาศแบบมรสุมเขตอบอุ่น 5. ภมู อิ ากาศแบบอบอนุ่ ภาคพ้ืนทวีป 6. ภูมิอากาศแบบทงุ่ หญ้ากึง่ ทะเลทรายแถบอบอ่นุ
190 การแบ่งภมู ภิ าค แบง่ ออกเปน็ เอเชียเหนอื เอเชียกลาง เอเชยี ตะวนั ออก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชยี ใต้ และเอเชียตะวันตกเฉยี งใต้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์กายภาพการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิศาสตร์กายภาพ หมายถึง ลักษณะการเปล่ียนแปลงของสิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ทั้งส่วนที่เป็นธรณีภาค อุทกภาค บรรยากาศภาคและชวี ภาค ตลอดจนความสมั พันธท์ างพ้ืนท่ขี องส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพต่าง ๆ ดังกลา่ วขา้ งต้นการเปลีย่ นแปลงทางภูมิศาสตร์ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ท้ังภูมิประเทศ และภูมิอากาศในประเทศไทยและประเทศในทวีปเอเชีย ส่วนมากเกิดจากปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ และเกดิ ผลกระทบต่อประชาชนทอ่ี าศยั อยู่ รวมท้งั สง่ิ ก่อสร้างปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ที่มกั จะเกิดมดี ังตอ่ ไปนี้ - การเกิดแผ่นดินไหว แผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคล่ือนท่ีของแผ่น เปลือกโลก (แนวระหว่างรอยต่อธรณีภาค) ทาให้เกิดการเคลื่อนตัวของชั้นหินขนาดใหญ่เล่ือนเคล่ือนที่ หรอื แตก่ หักและเกดิ การโอนถ่ายพลังงานศักย์ผ่านในช้ันหินทอี่ ย่ตู ิดกนั พลงั งานศักยน์ อี้ ยใู่ นรูปเคล่อื นไหว สะเทือน จุดศูนย์กลางการเกิดแผ่นดินไหว (Focus) มักเกิดตามรอยเล่ือน อยู่ในระดับความลึกต่าง ๆ ของผิวโลก ส่วนจุดที่อยู่ในระดับสูงกว่า ณ ตาแหน่งผิวโลก เรียกว่า “จุดเหนือศูนย์กลางแผ่นดินไหว” (Epicenter) การสั่นสะเทอื นหรอื แผ่นดนิ ไหวน้ีจะถูกบนั ทกึ ดว้ ยเครอื่ งมอื ท่ีเรยี กวา่ ไซสโ์ มกราฟ - การเกิดพายุ พายุ คือ สภาพบรรยากาศที่ถูกรบกวนแบบใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะที่มีผลกระทบ ตอ่ พื้นผวิ โลกและบ่งบอกถึงสภาพอากาศที่รุนแรง ประเภทของพายุ พายุแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ - พายุฝนฟ้าคะนอง มีลักษณะเป็นลมพัดย้อนไปมาหรือพัดเคลื่อนตัวไปในทิศทางเดียวกัน อาจ เกิดจากพายุท่ีอ่อนตัวและลดความรุนแรงของลมลงหรือเกิดจากหย่อมความกดอากาศต่า ร่องความกด อากาศต่าอาจไม่มีทิศทางที่แน่นอนหากสภาพการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ของการเกิดฝนเหมาะสมก็จะเกิด ฝนตก มีลมพดั - พายุหมุนเขตร้อนต่าง ๆ เช่น เฮอร์ริเคน ไต้ฝุ่นและไซโคลน ซึ่งล้วนเป็นพายุหมุนขนาดใหญ่ เชน่ เดียวกันและจะเกิดข้นึ หรือเร่ิมต้นกอ่ ตวั ในทะเล หากเกดิ เหนือเสน้ ศนู ยส์ ตู รจะมีทิศทางการหมุนทวน เขม็ นาฬกิ าและหากเกดิ ใตเ้ สน้ ศูนย์สตู รจะหมุนตามเข็มนาฬกิ า โดยมีชอื่ ต่างกันตามสถานท่เี กดิ กลา่ วคอื พายุเฮอร์ริเคน (Hurricane) เป็นช่ือเรียกพายุหมุนท่ีเกิดบริเวณทิศตะวันตกของมหาสมุทร แอตแลนติก เช่น บริเวณฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อ่าวเม็กซิโก ทะเลแคริบเบียน เป็นต้น รวมท้ัง มหาสมุทรแปซฟิ กิ บริเวณชายฝั่งประเทศเมก็ ซโิ ก พายุไต้ฝนุ่ (Typhoon) เป็นช่ือพายุหมุนที่เกิดทางทิศตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ เช่น บรเิ วณทะเลจนี ใต้ อ่าวไทย อ่าวตังเกย๋ี ประเทศญีป่ นุ่ พายุไซโคลน (Cyclone) เป็นชื่อพายุหมุนที่เกิดในมหาสมุทรอินเดียเหนือ เช่น บริเวณ อ่าวเบงกอล ทะเลอาหรับ เป็นต้น แต่ถ้าพายุนี้เกิดบริเวณทะเลติมอร์และทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศออสเตรเลยี จะเรียกว่า พายุวลิ ลี - วิลลี (Willy - Willy) พายโุ ซนร้อน (Tropical Storm) เกิดข้ึนเมื่อพายุเขตร้อนขนาดใหญ่อ่อนกาลังลงขณะเคลื่อนตัว ในทะเลและความเร็วที่จุดศูนย์กลางลดลงเม่ือเคล่ือนเข้าหาฝ่ัง มีความเร็วลม 62-117 กิโลเมตร ต่อ ช่วั โมง
191 พายุดีเปรสชนั่ (Depression) เกดิ ข้นึ เม่อื ความเรว็ ลดลงจากพายุโซนร้อน ซ่ึงกอ่ ให้เกิดพายุฝนฟ้า คะนองธรรมดาหรือฝนตกหนัก มคี วามเรว็ ลมน้อยกว่า 61 กโิ ลเมตรต่อช่ัวโมง พายุทอร์นาโด (Tornado) เป็นชื่อเรียกพายุหมุนที่เกิดในทวีปอเมริกา มีขนาดเน้ือที่เล็กหรือ เส้นผ่าศูนย์กลางน้อย แต่หมุนด้วยความเร็วสูงหรือความเร็วท่ีจุดศูนย์กลางสูงมากกว่าพายุหมุน อื่น ๆ ก่อความเสียหายได้รุนแรงในบริเวณท่ีพัดผ่าน เกิดได้ทั้งบนบกและในทะเล หากเกิดในทะเลจะเรียกว่า นาคเล่นนา้ (Water Spout) บางคร้งั อาจเกิดจากกล่มุ เมฆบนท้องฟา้ แต่หมุนตวั ยน่ื ลงมาจากท้องฟ้าไม่ถึง พน้ื ดิน มรี ูปรา่ งเหมอื นงวงชา้ ง จงึ เรยี กกันว่า ลมงวงชา้ ง วธิ ีใช้เครือ่ งมอื ทำงภมู ศิ ำสตร์ เคร่อื งมือทางภูมศิ าสตร์ หมายถึง สิง่ ที่มนุษยส์ รา้ งขึน้ มาเพ่อื ตรวจสอบ และบันทึกข้อมูลทางด้าน ภูมิศาสตร์ เคร่ืองมือภูมิศาสตร์ที่สาคัญ ได้แก่ แผนท่ี ลูกโลก เข็มทิศ รูปถ่ายทางอากาศ ภาพถ่ายจาก ดาวเทียมและเคร่ืองมอื เทคโนโลยเี พอ่ื การศึกษาภมู ิศาสตร์ ฯลฯ แผนท่ี เป็นส่ิงทีม่ นษุ ย์สรา้ งขึน้ เพอ่ื แสดงลักษณะทตี่ งั้ ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ทป่ี รากฏอยู่บนพื้นผิวโลกท้ังที่ เกิดขน้ึ เองตามธรรมชาตแิ ละสิง่ ทีม่ นุษย์สรา้ งข้นึ โดยการยอ่ ส่วนให้มีขนาดเลก็ ลงตามที่ต้องการ พร้อมท้ัง ใช้เครอ่ื งหมายหรือสัญลักษณ์แสดงลักษณะแทนส่ิงต่าง ๆ ลงในวัสดุพ้ืนแบนราบความสาคัญของแผนท่ี แผนท่เี ปน็ ที่รวบรวมข้อมูลประเภทต่าง ๆ ตามชนิดของแผนท่ีจึงสามารถใช้ประโยชน์จากแผนท่ีได้ตาม วตั ถปุ ระสงค์ โดยไมจ่ าเป็นต้องเดินทางไปเห็นพืน้ ท่จี ริง แผนที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถรู้ส่ิงที่ปรากฏอยู่บนพ้ืน โลกได้อย่างกว้างไกล ถูกต้องและประหยัดประโยชน์ของแผนที่ แผนที่มีประโยชน์ต่องานหลาย ๆ ด้าน คอื 1. ด้านการเมืองการปกครอง 2. ด้านการทหาร ในการพจิ ารณาวางแผนทางยทุ ธศาสตรข์ องทหาร 3. ด้านเศรษฐกิจและสังคม ด้านเศรษฐกิจ เป็นเครื่องบ่งชี้ความเป็นอยู่ของประชาชน ภายในชาติ 4. ด้านสังคม สภาพแวดล้อมทางสังคมมีการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอท่ีเห็นชัด คือ สภาพแวดลอ้ ม 5. ด้านการเรียนการสอน แผนที่เป็นตัวส่งเสริมกระตุ้นความสนใจ และก่อให้เกิดความ เข้าใจ 6. ด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว แผนที่มีความจาเป็นต่อนักท่องเท่ียวในอันที่จะทาให้รู้จัก สถานท่ีท่องเที่ยวได้ง่าย สะดวกในการวางแผนการเดินทางหรือเลือกสถานท่ีท่องเที่ยวตามความ เหมาะสม
192 ประโยชน์ของระบบสำรสนเทศภูมศิ ำสตร์ (GIS) คือช่วยใหป้ ระหยัดเวลำ และงบประมำณ ช่วยให้เห็นภาพจาลองพื้นทชี่ ัดเจนทาให้การตดั สินใจวางแผนจดั การและพัฒนาพน้ื ที่มี ความสะดวกและสอดคลอ้ งกบั ศกั ยภาพของพ้นื ทนี่ ้นั และชว่ ยในการปรับปรงุ แผนทีใ่ หท้ นั สมยั ระบบพิกัดพ้ืนผิวโลก (GPS) เป็นเคร่ืองมือรับสัญญาณพิกัดพ้ืนผิวโลกอาศัยระยะทาง ระหว่างเคร่ืองรับดาวเทียม GPS บนพ้ืนผิวโลกกับดาวเทียมจานวนหนึ่งท่ีโคจรอยู่ในอวกาศ และ ระยะทางระหว่างดาวเทียมแต่ละดวง ปัจจุบันมีดาวเทียมชนิดนี้อยู่ประมาณ 24 ดวง เคร่ืองมือรับ สัญญาณมีขนาดและรูปร่างคล้ายโทรศัพท์มือถือ เมื่อรับสัญญาณจากดาวเทียมแล้วจะทราบค่าพิกัด ณ จุดท่วี ัดไว้ โดยอาจจะอ่านค่าเป็นละติจูดและลองจิจูดได้ ความคลาดเคล่ือนขึ้นอยู่กับชนิดและราคาของ เครื่องมือประโยชน์ของเครื่องมือเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาภูมิศาสตร์ จะคล้ายกับการใช้ประโยชน์จาก แผนที่สภาพภูมิประเทศและแผนทเี่ ฉพาะเรื่อง เช่น จะให้คาตอบว่าถ้าจะเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุด หน่ึง ในแผนทจี่ ะมีระยะทางเท่าใด ถ้าทราบความเร็วของรถจะทราบว่าใช้เวลานานเท่าใด บางคร้ังข้อมูล มีความสับสนมาก เชน่ ถนนบางชว่ ง มีสภาพถนนไม่เหมอื นกนั คอื บางช่วงเป็นถนนกวา้ งที่สภาพผิวถนน ดีบางช่วงเป็นถนนลูกรัง บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ ทาให้การคิดคานวณเวลาเดินทางลาบากแต่ระบบ สารสนเทศภูมศิ าสตรจ์ ะช่วยให้คาตอบได้ เรียนร้เู พ่ิมเตมิ ได้ท่ีhttps://youtu.be/XR8sT7Xrp8s เรยี นรู้เพิม่ เติมไดท้ ่ีhttps://youtu.be/Rok-j8xI5FQ ลกั ษณะทางภมู ิศาสตรก์ ายภาพของประเทศในทวีปเอเชีย การเปล่ยี นแปลงสภาพภมู ิศาสตรก์ ายภาพเอเชยี เรียนรเู้ พม่ิ เตมิ ไดท้ ี่ https://youtu.be/XqyfdY_DZhM เรียนรเู้ พม่ิ เติมได้ท่ี https://youtu.be/Hsugt6hNpC8 วิธใี ช้เครอ่ื งมอื ทางภมู ศิ าสตร์ สภาพภมู ศิ าสตร์กายภาพของไทย วธิ ีใชเ้ ครอื่ งมือทางภมู ศิ าสตร์
193 หนว่ ยท่ี 2 ประวตั ิศำสตรท์ วปี เอเชยี ทวีปเอเชียประกอบด้วย ประเทศสมาชิกหลายประเทศ ในทีน้ีจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ ของ ประเทศ ในแถบเอเชียท่ีมีพรมแดนติด และใกล้เคียงกับประเทศไทย ได้แก่ ประเทศสาธารณรัฐ ประชาชนจีน อินเดีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศญี่ปุ่น โดยสังเขป นอกจากน้ีได้เกิดเหตุการณ์สาคัญ ๆ ในประเทศไทย และ ประเทศในทวีปเอเชียท่ีนา่ สนใจ เชน่ ยุคลา อาณานคิ ม และยุคสงครามเยน็ ศกึ ษาเรียนรู้เพิ่มเติมไดท้ ี่ https://youtu.be/OwxQetXhpPg หน่วยที่ 3 เศรษฐศำสตร์ ความหมาย เศรษฐศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยการผลิต การจาหน่าย จ่ายแจก และการบริโภค ใช้สอยส่ิงต่างๆ ของชุมชนมี 2 สาขา คือ เศรษฐศาสตร์จุลภาค ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ภาคท่ีศึกษาปัญหา เศรษฐกิจสว่ นเอกชน หรือปัญหาการหาตลาด เป็นต้น และเศรษฐศาสตร์มหาภาค ได้แก่ เศรษฐศาสตร์ มหาภาค ทศ่ี กึ ษาปัญหา เศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวม เช่น ปัญหาเรื่องรายได้ของประชาชาติ การ ออมทรัพย์ของประชากรปัญหาการลงทุน (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 : http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp) เศรษฐศาสตร์ เป็นศาสตร์หรือสาขาความรู้ท่ีว่าด้วยการจัดสรรทรัพยากรท่ีมีจากัดอย่างมี ประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดของสังคม ดังน้ัน ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจ การผลิต การขาย การตลาด ด้านสขุ ภาพ ด้านการก่อสร้างด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ด้านการค้า การขนส่ง จะเกี่ยวข้องกับการ
194 จัดสรรทรัพยากรอยา่ งไร จะระดม และใช้ทรัพยากรอย่างไรใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพ คมุ้ ค่าสูงสุด จะเป็นเร่ือง ที่เก่ียวข้องกับเศรษฐศาสตร์ทั้งส้ิน เศรษฐศาสตร์จึงนามาใช้อย่างกว้างขวางนอกเหนือจากการใช้เพื่อ ดาเนินนโยบาย และมาตรการเพ่ือการบริหารจัดการประเทศ เพื่อให้เกิดผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคม นอกจากน้ีเศรษฐศาสตร์ เปน็ ศาสตร์ทม่ี ีพลวัตและการพัฒนาเสมอ เรียกเรียกว่าศาสตร์ท่ีไม่ตาย ทั้งด้าน เทคนคิ ทฤษฎี และการประยกุ ต จงึ เปน็ ศาสตร์ทจ่ี ะอยคู่ โู่ ลกเสมอ และที่สาคัญนักเศรษฐศาสตร์ต้องเป็น ผู้ใฝ่รู้ ใช้สติปัญญา และมีด้านคุณธรรม จริยธรรม ความเป็นธรรมก็เป็นประเด็นท่ีนักเศรษฐศาสตร์ไม่ ละเลย เพราะจะจัดสรรทรัพยากรเพื่อให้สังคมได้ประโยชน์สูงสุด ต้องใช้ทั้งหลักประสิทธิภาพและเสมอ ภาคด้วย เรยี นรูเ้ พม่ิ เตมิ ท่ี https://youtu.be/-_kn2B7vGCE หนว่ ยท่ี 4 กำรเมืองกำรปกครอง การปกครองในระบอบประชาธิปไตย หมายถึง การปกครองที่ประชาชนมีอานาจสูงสุดหรือ แบง่ การปกครองของประชาชนโดยประชาชนและเพ่อื ประชาชน รูปแบบของการปกครอง ประกอบด้วย 1.อานาจนิติบัญญัติ 2. อานาจบริหาร 3. อานาจตุลการรัฐธรรมนูญของไทย รัฐธรรมนูญ หมายถึง กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศท่ีออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ซึ่งมีบทบัญญัติกาหนด หลกั การสาคญั ตา่ ง ๆ ความสาคัญของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายหลักท่ีสาคัญที่สุด มีรูปแบบการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยท่ีเรียกว่า อานาจอธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ปกครองในระบบ รฐั สภา อำนำจนิติบัญญัติ เป็นอานาจหน้าที่ของรัฐสภา ซ่ึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ไดก้ าหนดให้รฐั สภาประกอบดว้ ย สภาผแู้ ทนราษฎรและวฒุ สิ ภา โดยรัฐสภาเป็นตัวแทนของ ประชาชนชาวไทย กล่าวคือ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างฝ่ายต่างมาจากการเลือกต้ัง ของประชาชนท้ังสิ้น แต่อาจจะด้วยวิธีการและจานวนที่แตกต่างกันออกไป โดยหลักการใหญ่ ๆ
195 รัฐสภามีหน้าท่ีพิจารณาออกกฎหมายบังคับให้แก่ประชาชนตามข้ันตอนที่รัฐธรรมนูญกาหนดกฎหมาย ท่ีจะออกมาจากรัฐสภาต้องผ่านความเห็นชอบท้ังจากสภาผู้แทนราษฎรและจากวุฒิสภา จึงจะนาขึ้น ทลู เกล้า ฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภไิ ธย ดงั น้ัน อานาจหน้าที่ของรัฐสภาของไทยในระบอบ ประชาธิปไตย อนั มพี ระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุขจึงมอี านาจหน้าที่โดยทว่ั ไป อำนำจบริหำร หรือ สถาบันบริหาร หมายถึงบุคคล คณะบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์กรที่นา นโยบายของรัฐไปดาเนินการและนาไปปฏิบัติ สถาบันบริหารนั้นนอกจากจะเป็นสถาบันสร้างกฎหมาย แลว้ ยงั เป็นสถาบนั สร้างนโยบายบริหารประเทศด้วย สถาบันบริหารจะนานโยบาย และกฎหมายที่ผ่าน ความเหน็ ชอบของรฐั สภาแลว้ ไปดาเนนิ หรือไปปฏบิ ตั ิ 1. ข้าราชการการเมอื ง คอื ข้าราชการซง่ึ ไดร้ ับการเลอื กตั้งจากประชาชนใหม้ าทาหนา้ ท่ี เป็นนายกรัฐมนตรี คณะรฐั มนตรี เพือ่ บริหารบา้ นเมือง 2. ขา้ ราชการประจา คอื บคุ ลากรซง่ึ เปน็ กลไกหรอื เครื่องมือในการนานโยบายและ กฎหมายไปปฏิบัติ ซงึ่ ตอ้ งปฏบิ ตั ิงานอยา่ งตรงไปตรงมา มปี ระสทิ ธิภาพสูง มีความรอบรู้ในหลักวชิ าการ มปี ระสบการณ์ และมรี ะเบียบประเพณีการประพฤตปิ ฏิบตั ทิ ่เี ป็นแบบอย่าง มสี ายการบังคบั บัญชาของ ขา้ ราชการประจาอยา่ งชัดเจน มีการแบง่ งานกันทาเฉพาะอยา่ งตามความชานาญ อำนำจตุลำกำร หรอื สถำบนั ตลุ ำกำร หมายถงึ ศาลและผู้พิพากษาทปี่ ฏิบตั หิ นา้ ทใ่ี น นามของรัฐ หรือในพระปรมาภไิ ธยของพระมหากษตั รยิ ์ อานาจตุลาการตามบทบัญญัตขิ องรฐั ธรรมนูญมี สาระสาคญั 2 ประการดงั นี้ 1. อานาจตลุ าการในระบอบประชาธปิ ไตย รัฐธรรมนูญของไทยในอดีตไดแ้ ยกอานาจ ระหวา่ งอานาจตุลาการ และอานาจนติ บิ ญั ญตั ิไว้อย่างชัดเจน โดยจัดอานาจตุลาการให้มคี วามอสิ ระจาก ฝา่ ยบริหารและนติ บิ ัญญตั ิ รัฐสภาจะก้าวกา่ ยอานาจของศาลไม่ได้ 2. ศาล รฐั ธรรมนูญฉบับปัจจบุ นั ไดว้ างหลักทว่ั ไปเกยี่ วกบั หลักการพิจารณาพิพากษา อรรถคดวี ่าเปน็ อานาจศาล ซึง่ ศาลในท่ีนี้หมายถงึ ศาลรฐั ธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลยุตธิ รรม และศาลอ่นื ๆ ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญ เปน็ กฎหมายสูงสดุ ของประเทศ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225