Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการนิเทศภายใน ปีการศึกษา 2565

คู่มือการนิเทศภายใน ปีการศึกษา 2565

Published by Naruemol Poopinta, 2022-03-14 06:44:18

Description: 1 คู่มือการนิเทศภายใน ชฟว.2565 (สมโภช 2565)

Search

Read the Text Version

คำนำ ก าร นิ เ ท ศ ภาย ใ น โ ร ง เ รี ย น เ ป็ น ง าน เ ชิง พัฒ น าคุ ณ ภ า พก าร ศึ ก ษ า อีก ป ร ะก าร ห นึ่ งซึ่ ง เ ป็ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ช่ ว ย เ ห ลื อ ซ่ึ ง กั น แ ล ะ กั น ภ า ย ใ น โ ร ง เ รี ย น เ ดี ย ว กั น เ ดี ย ว กั น น า โ ด ย ผู้ อ า น ว ย ก า ร โ ร ง เ รี ย น แ ล ะ คณะกรรมการพัฒนางานวิชาการของโรงเรียน เพ่อื เพม่ิ ศักยภาพในการปฏบิ ัติงานการจัดการเรียนการสอนของครู และบคุ ลากรให้สามารถปฏบิ ัตหิ นา้ ท่บี รรลวุ ัตถุประสงค์ของการจัดการศึกษา นน้ั คอื ให้นักเรียนไดร้ ับการเรียนรทู้ ่มี ี คุณค่า มีความหมายและสามารถนาไปใช้ได้จริงท้ังการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นและการดาเนินชีวิต ดังน้ันทาง โรงเรียนชุมชนบ้านฟ่อนวิทยา จึงได้จัดทาคู่มือกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนขึ้น โดยเน้นการมีส่วนร่วมของ บุคลากรภายในโรงเรียนทุกคน และหวังว่าเป็นอย่างย่ิงว่าผู้เรียนทุกคนจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดของการจัด กระบวนการนเิ ทศภายในโรงเรยี น โรงเรยี นชมุ ชนบ้านฟอ่ นวทิ ยา สพป.ลาปางเขต ๑ ๑ มนี าคม ๒๕๖๕

สำรบญั ๑ ๑. การนิเทศภายในโรงเรียน ๒ ๒. ความหมายของการนิเทศภายใน ๓. ความมุ่งหมายของการนเิ ทศภายในโรงเรยี น ๒ ๔. หลกั การนเิ ทศภายในโรงเรียน ๔ ๕. ความจาเป็นของการนิเทศภายในโรงเรยี น ๖ ๖. ประโยชน์ของการนเิ ทศภายในโรงเรียน ๗. วิธกี ารและกิจกรรมการนเิ ทศภายในโรงเรียน ๗ ๘. ทกั ษะการนเิ ทศการสอน ๘ ๙. เทคนิคการสังเกตการสอน ๑๒ ๑๐.รปู แบบกระบวนการนิเทศภายในของโรงเรียนชมุ ชนบ้านฟ่อนวทิ ยา ๑๓ ภาคผนวก คณะผจู้ ัดทา ๑๗

-๑- ๑. กำรนิเทศภำยในโรงเรยี น โรงเรียนชมุ ชนบ้านฟ่อนวิทยา มีความมุ่งม่ันในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้สอดคล้องกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ และ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๒๒ การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองได้ และ ถอื ว่าผู้เรยี นมีความสาคญั ท่สี ุด กระบวนการจัดการศึกษาตอ้ งสง่ เสริมให้ผู้เรียนสามารถพฒั นา และมาตรา ๒๓ การ จัดการศึกษา ท้ังการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสาคัญทั้ง ความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการตามความเหมาะสม วงเล็บ (๔) ความรู้ และทักษะด้าน คณติ ศาสตร์ และด้านภาษา เนน้ การใชภ้ าษาไทยอยา่ งถกู ตอ้ ง สอดคลอ้ งกับมาตรฐานท่ี 5 ตัวบ่งช้ีท่ี 6 สถานศึกษา นิเทศตดิ ตามผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเปน็ ระบบ ภารกิจหลกั ของโรงเรียน คอื การจดั กระบวนการเรยี นการสอนให้นักเรยี นเกิดการเรียนรู้เตม็ ตามศักยภาพ เป็นการเรียนร้ตู ามความต้องการ ตามความสนใจของผูเ้ รียนและเรียนรู้อย่างมีความสขุ กระบวนการเรียนการสอน ตอ้ งยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยครูต้องปรับเปล่ียนพฤตกิ รรมการเรียนการสอนใหม่ ซึ่งการดาเนินการดงั กล่าวจะ สาเร็จตามเป้าหมายที่วางไวน้ ้ัน โรงเรียนตอ้ งมีกระบวนการนิเทศ ตดิ ตามอย่างต่อเน่ืองและเป็นระบบ สามารถให้ คาแนะนา คาปรึกษาหารอื และชว่ ยเหลือครใู นการแก้ปัญหาการเรียนการสอน ตลอดจนส่งเสรมิ ให้ครไู ด้ชว่ ยเหลือ ซึ่งกันและกัน มกี ารแลกเปล่ียนประสบการณ์และวางแผนการสอนรว่ มกันจนสามารถจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองสร้างองค์ความรู้และเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยในปีการศึกษา 256๔ โครงการนิเทศภายใน ของโรงเรียนชุมชนบ้านฟ่อนวิทยา ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ใน เร่ืองของการจดั กระบวนการเรียนการสอนของครู ท้งั น้เี นอ่ื งจาก มีครูบางท่าน ยังไมป่ รับเปลี่ยนวิธีการจัดการเรียน การสอนให้สอดคลอ้ งกบั การศกึ ษายคุ ศตวรรษท่ี 21 เนื่องจากขาดความรูค้ วามเขา้ ใจกับวิธกี ารสอน และยังรวมไป ถึงปัญหาการจัดการเรียนการสอนที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 ทาให้การจัดการ เรียนการสอนไม่เป็นไปตามแผนการดาเนินการที่ตังไว้ โดยการเปลี่ยนรูปแบบการสอนให้ครูประจาชั้นเป็นผู้สอน นักเรียนทุกกล่มุ สาระผ่านส่อื การเรียนรูท้ างไกลผา่ นดาวเทียม DLTV ส่งผลให้คณุ ภาพของโรงเรยี นชมุ ชนบา้ นฟอ่ น วิทยาในระดับท่ียังไมเป็นท่ีน่าพอใจทั้งด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านการ บริหารจัดการ โรงเรียนจึงไดจัดทาโครงการการนิเทศภายในโรงเรียน เพื่อพัฒนาครูให้มีความรูความเข้าใจ และ ทักษะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือจะได ส่งผลให้นักเรียนมี คณุ ภาพและมคี ุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ ตามจดุ หมายของหลกั สตู รตลอดจนการพัฒนางานดา้ นต่าง ๆ ของโรงเรยี น โดยเฉพาะการปฏิบัติงานด้านวิชาการ ให้มีประสิทธิภาพสูงข้ึนและนักเรียน ครูผู้สอนมีคุณภาพไดมาตรฐาน การศึกษา โรงเรียนจงึ ไดจดั ทาโครงการนเิ ทศภายในข้นึ เป็นโครงการต่อเนือ่ ง

-๒- ๒. ควำมหมำยของกำรนิเทศภำยในโรงเรยี น ความหมายของการนิเทศภายในโรงเรียนมีความหมายคล้ายคลึงกันตามวิวัฒนาการด้าน การศกึ ษา จุดมุง่ หมายและแนวทางการจัดการศกึ ษาในสมัยน้ันๆ ดังนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2540 – 2543 นักวิชาการหลายท่านได้กล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียน หมายถึง กระบวนการซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมการบริการและวิธีการต่างๆ ท่ีมีการจัดการอย่างเป็นระบบของ ผู้เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและการทางานของครู ให้มี ประสิทธิภาพ (ดุสิต ทิวถนอม, 2540 : 4) ตลอดจนช่วยเหลือแนะนาให้การสนับสนุน ให้ความร่วมมือในการ ดาเนินการนิเทศและสนับสนุนภาคปฏิบัติ ทั้งน้ีเพ่ือให้การจัดการศึกษาดาเนินไปอย่างมี คุณภาพ (สุเทพ เมฆ, 2540 : 47) ช้แี นะ แนะนาต่อกิจกรรมของครูในการปรับปรุงการเรียนการสอน ให้บรรลุผลตามจุดหมายที่วางไว้ (กิติมา ปรีดีดิลก ,2541 : 262) พัฒนาการเรียนการสอนให้ดีขึ้นและเป็นการร่วมมือกันระหว่างผู้นิเทศและผู้รับ การนิเทศ (ชารี มณีศรี, 2542 : 22) ปรบั ปรุงคณุ ภาพ การจดั การเรียนการสอนของครู ทาให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ (นริศรา อุปกรณ์ ศิริการ, 2542 : 16) เป็นกระบวนการส่งเสริมในการพัฒนาผู้เรียน เพื่อ ยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นตามเป้าหมายท่ีวางไว้ (เยาวพา เดชะคุปต์, 2542 : 86 ; เมตต์ เมตต์กา รณุ จติ , 2543 : 54) นอกจากนี้ Glickman (2009 : 23 ยังกล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียนเป็นแนวคิดเกี่ยวกับ การทางานและหน้าที่ท่ีเก่ียวข้องกับการปรับปรุงการเรียนการสอน ซึ่งจะเก่ียวข้องกับเรื่องหลักสูตร การจัดครูเข้า สอน การจัดส่ือการสอน สิ่งอานวยความสะดวกการเตรียมการสอนและการพัฒนาครูรวมทั้งการประเมินผลการ เรยี นการสอน สรุปการนิเทศภายโรงเรียน หมายถึง กระบวนการนิเทศการจัดการเรียนการสอนเพื่อช้ีแนะ แนะนา ใหค้ วามช่วยเหลือและความรว่ มมอื กับคร.ู ในการปรับปรงุ การเรยี นการสอนของครู ท้ังในเรอ่ื งของหลกั สตู ร กระบวนการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลผู้เรียน การพฒั นาทักษะการทางานกลุ่ม การปฏิบัติงาน วิจัยในชั้นเรียน อันที่จะทาให้คุณภาพของผู้เรียนเป็นตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตร และเป็นไปตามเป้าหมายของ สถานศึกษาทีไ่ ดก้ าหนดไว้ ๓. ควำมม่งุ หมำยของกำรนิเทศภำยในโรงเรยี น ความมุ่งหมายของการนิเทศการศึกษา หมายถึง การให้บุคลากรรู้วิธีการทางานของตนเอง รู้จัก แยกแยะ วิเคราะห์ปัญหาด้วยตนเองและหาวิธีปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนให้นักเรียนมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพ (เกรียงศักด์ิ เรืองแสง, 2550 : 14) ซ่ึงผู้นิเทศอาจได้แก่ ผู้บริหาร หัวหน้าหมวดวิชาครู ผู้ชานาญการ ครูผู้นิเทศ ครูผู้ร่วมนิเทศและหัวหน้าฝ่ายต่างๆ ที่โรงเรียนคัดเลือกหรือแต่งต้ังข้ึน (สวัสดิ์ เดชกัลยา, 2550 : 67) โดยทก่ี รองทอง จริ เดชากลุ (2550 : 3) กล่าวว่าจุดมงุ่ หมายของการนิเทศภายในโรงเรยี นมีจุดมุ่งหมาย ท่วั ไป และจดุ มงุ่ หมายเฉพาะ ดงั น้ี

-๓- 1. จดุ มุ่งหมายทั่วไป 1.1 เพ่ือให้ผู้บริหารและคณะกรรมการนิเทศของสถานศึกษามีความรู้ ความเข้าใจและ ปฏิบตั ิการนิเทศภายในโรงเรียนได้ 1.2 เพอ่ื พัฒนาความสามารถของครู 1.3 เพ่ือช่วยเหลือและจัดสรรเครื่องมือ ส่ือการเรียนรู้ ตลอดจนช่วยเหลือและปรับปรุงวิธี จัดการเรียนรู้ 1.4 เพือ่ ให้ครเู กิดความเจรญิ งอกงามทางวชิ าชีพ 2. จดุ มงุ่ หมายเฉพาะ 2.1 เพอื่ ใหค้ รูสามารถพัฒนาพฤติกรรมการปฏิบตั งิ าน 2.2 เพื่อใหส้ ถานศึกษา มีแผนการนิเทศภายในโรงเรียน 2.3 เพ่ือเน้นให้มีการวิเคราะห์ปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาและในกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ี ได้รับมอบหมาย 2.4 เพื่อให้ครูจัดการเรียนการสอนตามแนวปฏิรูปการเรียนรู้ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ การบรู ณาการ เน้นทกั ษะกระบวนการคดิ ฯลฯ 2.5 เพอื่ ปรับปรงุ และพฒั นากระบวนการ/วิธจี ดั การเรียนรูข้ องครู 2.6 เพื่อใหม้ กี ารจดั กิจกรรมเสรมิ การเรียนรไู้ ด้อยา่ งเหมาะสม 2.7 เพ่อื พัฒนาการใชส้ อื่ และแหล่งเรยี นรู้ 2.8 เพอ่ื ใหม้ ีการวดั และประเมินผลตามสภาพจรงิ และปรับปรุงกระบวนการวดั และประเมินผล ให้มปี ระสิทธิภาพสูงขึน้ ในส่วนของจันทรานี สงวนนาม (2553 : 160) กล่าวว่าการนิเทศภายในโรงเรียน มี จุดมงุ่ หมาย ดงั น้ี 1. เพื่อให้โรงเรียนมีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ได้สอดคล้องกับมาตรฐานหลักสูตร ตามแนวทางพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ 2. เพื่อใหโ้ รงเรียนสามารถบริหารและจดั การเรยี นรไู้ ด้อย่างมคี ณุ ภาพ 3. เพ่ือพัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของชุมชน และสังคม ทนั ต่อการเปลี่ยนแปลงทกุ ดา้ น 4. เพอ่ื ใหบ้ ุคลากรในสถานศึกษาได้พัฒนาความรู้ ทักษะและประสบการณใ์ นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ ตลอดจนพัฒนาวิชาชพี 5. เพ่ือส่งเสริมให้สถานศึกษาปฏิรูประบบบริหาร โดยให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการคิด ร่วม ตัดสนิ ใจ รว่ มทา รว่ มรับผดิ ชอบและช่ืนชมในผลงาน 6. เพ่ือให้เกิดการประสานงานและความร่วมมือระหว่างผู้เก่ียวข้อง ได้แก่ ชุมชน สังคมและ วัฒนธรรมในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา

-๔- สรุปการนิเทศภายในโรงเรียน มีความมุ่งหมาย เพื่อให้ผู้บริหารโรงเรียนและครู รู้วิธีการ ทางาน รู้จักแยกแยะ วิเคราะห์ปัญหาด้วยตนเองและหาวิธีปรับปรุงพัฒนาการเรียนการสอนให้ผู้เรียนมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ผู้นิเทศอาจเป็นผู้บริหารโรงเรียน และบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถทางด้านวิชาการที่ได้ แต่งตั้งข้ึน และเป็นที่ยอมรับของเพื่อนครูในโรงเรียน อันท่ีจะส่งผลให้โรงเรียนสามารถบริหารและจัดการเรียนรู้ได้ อย่างมีคุณภาพ พัฒนาหลักสูตรและการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนและสังคม ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ครูในโรงเรียนได้รับการพัฒนาความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในการจัดกิจกรรม การเรียนรู้ ตลอดจนพัฒนาวิชาชีพ วิเคราะห์ วิจัยและประเมินผล เพื่อปรับปรุงคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาได้ ตรงตามเป้าหมายของหลักสูตร ๔. หลักกำรนเิ ทศภำยในโรงเรยี น การนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการช่วยเหลือ และพัฒนาความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ในการจัดการศึกษา การนิเทศการศึกษาจาเป็นที่จะต้องมีหลักการในการปฏิบัติ โดยอาศัยหลักการของนัก การศกึ ษาท่ไี ด้เสนอไวด้ ังนี้ หลักการนิเทศการศึกษาอยู่พ้ืนฐานของการแนะนาเป็นกระบวนการส่งเสริม สร้างสรรค์ให้เกิด ความรู้แก่ครูซ่ึงอยู่บนรากฐานของประชาธิปไตย และเป็นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ (เกรียงศักด์ิ เรืองแสง, 2550 : 22) เป็นกระบวนการทางานร่วมกันของบุคลากรในโรงเรียนโดยยึดเป้าหมายหลักคือคุณภาพของนักเรียน ผู้บริหารต้องยอมรับว่าการนิเทศการสอนเป็นงานความรับผิดชอบของผู้บริหารโดยตรง มีการวางแผนการ ดาเนินงานอย่างเป็นระบบ เน้นบรรยากาศแบบประชาธิปไตย สร้างขวัญและกาลังใจทาให้เกิดความเชื่อมั่นและ ภาคภมู ิใจในความสามารถของตน ซึ่งจะส่งผลตอ่ การพัฒนาคุณภาพการศึกษาต่อไป (จอมพงศ์ มงคลวนิช, 2554 : 138) โดยท่กี รองทอง จิรเดชากุล (2550 : 5) สรุปหลักการนเิ ทศภายในโรงเรียน จานวน 3 ขอ้ ดังน้ี 1. การดาเนินการนิเทศ จะต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบและตอ่ เนื่องตามขั้นตอนกระบวนการ นเิ ทศภายในโรงเรียน 2. บุคลากรที่เป็นหลักสาคัญในการดาเนินการพัฒนาระบบนิเทศภายในโรงเรียน คือ ผบู้ รหิ ารโรงเรยี น 3. การนิเทศภายในโรงเรียนจะต้องสอดคล้องกับความต้องการหรือความจาเป็นใน การ พฒั นาครูและนักเรียน สว่ นสงดั อทุ รานนั ท์ (2550 : 12) กาหนดหลกั การนิเทศภายในสถานศึกษาเป็น แนวปฏิบตั ิทีผ่ ู้ นเิ ทศควรนาไปปฏบิ ตั ิขณะทาการนิเทศภายในโรงเรยี นจานวน 8 ขอ้ ดงั น้ี 1. การนเิ ทศ ควรมีการบริหารงานเปน็ ระบบ และมีการวางแผนการดาเนนิ งานเป็นโครงการ 2. การนิเทศต้องถือหลักการมีส่วนร่วมในการทางาน คือ มีความเป็นประชาธิปไตยเคารพความ คิดเห็นของผู้อ่นื เน้นความร่วมมือร่วมใจกันในการดาเนินงาน และใช้ความรู้ความสามารถในการปฏิบตั ิงาน เพ่ือให้ งานนั้นไปสู่เปา้ หมาย

-๕- 3. การนิเทศ เป็นงานสร้างสรรค์ เป็นการแสวงหาความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคลให้แต่ละ บคุ คลได้แสดงออกและพัฒนาความสามารถเหล่านัน้ ได้อย่างเตม็ ที่ 4. การนิเทศ เป็นการแก้ปัญหาท่ีเกิดข้ึนจากการเรียนการสอน โดยให้ครูอาจารย์ได้เรียนรู้ว่า ปญั หาของตนเองเป็นอย่างไร จะหาวิธีแกไ้ ขปัญหาน้ันไดอ้ ย่างไร 5. การนิเทศ เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมในการทางานให้ดีขึ้น สร้างความเข้าใจระหว่างกันสร้าง มนุษยสมั พันธ์ที่ดี มวี ิธีการทางานท่ีดแี ละสามารถทจ่ี ะอยูร่ ว่ มกนั ได้ 6. การนิเทศ เป็นการสร้างความผูกพัน และความม่ันคงต่องานอาชีพ รวมท้ังความเช่ือม่ันใน ความสามารถของตนเอง เกิดความพึงพอใจในการทางาน 7. การนิเทศ เป็นการสร้างความผูกพัน และความม่ันคงต่องานอาชีพ รวมท้ังความเช่ือมั่นใน ความสามารถของตนเอง เกิดความพึงพอใจในการทางาน 8. การนิเทศ เป็นการพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครู ให้มีความรู้สึกภาคภูมิใจในวิชาชีพว่าเป็น อาชพี ที่ตอ้ งใชว้ ิชาความร้แู ละความสามารถ และสามารถทจ่ี ะพฒั นาได้ และสงคราม มังคะละ (2552 : 3) กาหนดหลักการนิเทศเพ่ือพัฒนาสถานศึกษา จานวน 3 ข้อ ดังน้ี 1. การทางานเปน็ ทีมร่วมกบั ผู้บรหิ ารโรงเรียน คณะครแู ละชมุ ชนในการทางาน 2. การใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School-Based Management) ให้โรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการ บริหารจดั การในการพัฒนาแบบองค์รวม สกู่ ารประกันคณุ ภาพภายในของสถานศึกษา 3. พัฒนาโรงเรยี นแบบมีส่วนร่วม (School Wide) มุ่งเนน้ ใหโ้ รงเรยี นพัฒนาอย่างเปน็ ระบบ นอกจากนี้ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553 : 227) กาหนดหลักการนิเทศภายในโรงเรียนเพื่อ นาไปเป็นแนวปฏิบัติท่ีผู้นิเทศต้องนาไปปฏิบัติขณะทาการนิเทศ การนิเทศภายในสถานศึกษาโดยเฉพาะทางด้าน วชิ าการจะบรรลุผลตามความมงุ่ หมายทีว่ างไวอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ จานวน 7 ข้อ ดงั นี้ 1. การนเิ ทศควรมกี ารบริหารงานเป็นระบบและมกี ารวางแผนการดาเนนิ งานเปน็ โครงการ 2. การนิเทศต้องถือหลักการมีส่วนร่วมในการทางาน คือ มีความเป็นประชาธิปไตย เคารพใน ความคิดเห็นของผู้อ่นื เห็นความแตกต่างระหวา่ งบุคคล เน้นความร่วมมือร่วมใจกนั ในการดาเนินงานและใชค้ วามรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงาน เพือ่ ให้งานน้นั ไปสู่เป้าหมายทต่ี อ้ งการ 3. การนิเทศเป็นงานสร้างสรรค์ เป็นการแสวงหาความสามารถพิเศษของแต่ละบุคคลให้แต่ละ บุคคลได้แสดงออกและพฒั นาความสามารถเหล่านนั้ ได้อย่างเต็มท่ี 4. การนิเทศเป็นการแก้ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากการเรียนการสอน โดยให้ครูอาจารย์ได้เรียนรู้ว่า ปญั หาของตนเองเปน็ อย่างไร จะหาวธิ ีแกไ้ ขปัญหาน้ันได้อย่างไร 5. การนเิ ทศเป็นการสรา้ งสภาพแวดลอ้ มในการทางานให้ดขี ้นึ สรา้ งความเข้าใจระหวา่ งกนั สรา้ ง มนษุ ยสัมพันธ์ มวี ธิ ีการทางานท่ดี แี ละสามารถท่ีจะอยู่รว่ มกันได้ 6. การนิเทศเป็นการสร้างความผูกพัน และความม่ันคงต่องานอาชีพ รวมท้ังความเช่ือม่ันใน ความสามารถของตนเอง เกิดความพงึ พอใจในการทางาน

-๖- 7. การนิเทศเป็นการพัฒนาและส่งเสริมวิชาชีพครู ให้มีความรู้สึกภาคภูมิใจในวิชาชีพว่าเป็น อาชพี ท่ตี ้องใช้วชิ าความรู้และความสามารถ และสามารถทจ่ี ะพฒั นาได้ สรุปหลักการสาคัญของการนิเทศภายในโรงเรียน คือ มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมตามหลักการของ ประชาธิปไตย สร้างสรรค์งานร่วมกัน เน้นการแก้ปัญหาการจดั การเรียนการสอน นาไป สู่การพฒั นาคณุ ภาพของ การจัดการเรียนรู้ พฒั นาวิชาชพี ครูและคุณภาพของงานด้านวชิ าการ เพ่ือสะท้อนการปฏิบตั ิงานในโรงเรียน โดยดาเนินการอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนการทางาน เน้นความร่วมมือร่วมใจกันในการทางาน เพ่ือให้งานนั้น ไปสู่เป้าหมายท่ีต้องการ สร้างสภาพแวดล้อม ในการทางานให้ดีขึ้น ส่งเสริมวิชาชีพครูให้มีความรู้สึกภาคภมู ิใจ ในวิชาชพี วา่ เป็นอาชีพทีต่ ้องใช้ วชิ าความรู้และความสามารถ และสามารถทจี่ ะพฒั นาได้ ๕. ควำมจำเปน็ ของกำรนิเทศภำยในโรงเรยี น การนิเทศภายในโรงเรียนมีความจาเป็นอย่างมาก เน่ืองจากการนิเทศจากบุคคลภายนอกไม่มี กาลังพอและไม่ทั่วถึง อีกประการหน่ึงบุคลากรภายในโรงเรียนมีความรู้ ความสามารถมากข้ึน เน่ืองจากเกิดความ เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในด้านต่างๆ จึงทาให้ครูต้องพัฒนาตนเอง เพื่อจะทาให้สามารถแก้ไขปัญหาของการ นิเทศได้ตรงจุด และตรงกับความต้องการของโรงเรียน ซึ่งมีนักวิชาการหลายท่าน ได้กล่าวถึงความจาเปน็ ของการ นิเทศภายใน ดังน้ี ชารี มณีศรี (2538 : 123) ไดก้ ลา่ วถงึ ความจาเปน็ ของการนเิ ทศภายใน จานวน 5 ข้อ ดงั น้ี 1. ปัญหาหลักมี 2 ประการ คือ การนิเทศไม่ท่ัวถึง และการนิเทศไม่มีคุณภาพเน่ืองจากการเพิ่ม ของจานวนครู โรงเรียน และจานวนศึกษานิเทศก์ที่มีอยู่อย่างจากัด จึงจาเป็นต้องมีการนิเทศภายใน เพ่ือโรงเรียน จะได้พฒั นาการนิเทศของตนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2. ความเปลยี่ นแปลงทางสังคม ความเจรญิ ก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งผลให้สภาพการเรียนการสอน ส่ืออุปกรณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนตามไปด้วย ครูจะต้องพัฒนาตนเองให้ทันต่อการ เปลีย่ นแปลงดงั กลา่ ว โดยไม่หวังพ่ึงหรือรอคอยการพัฒนาจากผู้อ่นื การปรับตวั การพัฒนาตนเอง ควรทีบ่ ุคลากรใน โรงเรยี นจะต้องตน่ื ตัว และยดึ หลักนิเทศพึ่งแบบตนเองโดยบุคลากรภายในโรงเรยี นเปน็ หลัก 3. สภาพและข้อจากัดของแต่ละโรงเรียนต่างกัน ดังนั้นการปรับปรุงงานวิชาการ โดยคนภายใน ซ่งึ รู้เร่อื งดที ส่ี ุดกวา่ คนภายนอก ย่อมจะทาให้การพฒั นาการนิเทศภายใน เปน็ ไปได้รวดเร็วย่งิ ขนึ้ 4. การยอมรบั ซ่งึ นับวา่ เป็นสงิ่ สาคัญในการดาเนนิ การนเิ ทศภายใน เพราะบคุ คลใน โรงเรียนสามารถท่จี ะคัดเลือกผ้นู เิ ทศท่ที ุกคนยอมรับได้ จงึ ทาใหก้ ารนิเทศภายในเปน็ ไปอยา่ งราบรนื่ 5. ปัญหาตวั เร่งที่สาคญั เช่น ปญั หาการนาหลกั สูตรไปใช้ สภาพการสอนทเี่ ปลย่ี นไป สื่อ อปุ กรณ์ การสอน การประเมินและผลสัมฤทธกิ์ ารเรยี นของนกั เรยี น เป็นต้น และสานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2541 : 13) ยงั ได้กลา่ วถงึ ความจาเป็น ของการนเิ ทศภายในโรงเรยี นไว้ จานวน 5 ข้อ ดงั นี้

-๗- 1. สังคมมกี ารเปล่ยี นแปลงทกุ ๆ ด้านตลอดเวลา 2. การพัฒนาคณุ ภาพครปู ระจาการมีความซ้าซอ้ นปรับเปลยี่ นรปู แบบและวิธกี ารนิเทศ 3. การพัฒนาโรงเรยี น ครู และผู้ทเ่ี กย่ี วข้องเข้าสู่มาตรฐานการศกึ ษา 4. การประสานงานใหเ้ กิดการปฏบิ ัติทีม่ ีประสทิ ธิภาพในโรงเรยี น นอกจากนี้กรองทอง จิรเดชากุล (2550 : 4) ได้กล่าวถึง ความจาเป็นของการนิเทศภายใน โรงเรียน จานวน 4 ข้อ ดงั น้ี 1. เพอื่ ปรบั ปรุงคณุ ภาพของการจดั การศึกษา ใหไ้ ดม้ าตรฐานใกลเ้ คียงกนั 2. ปรมิ าณศึกษานิเทศก์ไม่เพียงพอกับความตอ้ งการของครแู ละสถานศึกษา 3. บุคลากรภายในโรงเรยี นมคี วามรคู้ วามสามารถ มีความคนุ้ เคยและใกลช้ ดิ ปญั หามากท่ีสุด 4. บรรยากาศในการนเิ ทศมคี วามเป็นกนั เอง และสามารถปฏิบัติงานนิเทศไดอ้ ยา่ งต่อเนือ่ ง สรุปการนิเทศภายในมีความจาเป็นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเพราะการนิเทศ จากบุคคลภายนอก ไม่สามารถทาการนิเทศได้อย่างทั่วถึง ท้ังน้ีเพราะจานวนศึกษานิเทศก์มีไม่เพียงพอต่อความ ต้องการ ดังน้ันการนิเทศภายในโรงเรียนจึงมีความจาเป็นต่อการปฏิบัติโดยความร่วมมือจากบุคลากรในโรงเรียน จะสามารถดาเนินการไดอ้ ย่างรวดเร็ว ตรงตอ่ ปัญหาและความตอ้ งการอยา่ งแทจ้ รงิ ๖. ประโยชนข์ องกำรนเิ ทศภำยในโรงเรียน นักวชิ าการหลายท่าน ไดก้ ล่าวถงึ ประโยชนข์ องการนิเทศภายในโรงเรียน ดังน้ี จันทรานี สงวนนาม (2553 : 161) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการนิเทศภายในโรงเรียน จานวน 4 ข้อ ดังนี้ 1. ทาให้ครูสอนได้ตรงตามเป้าหมาย เพราะผู้บริหารซ่ึงเป็นผู้นิเทศจะช่วยเหลือ ครูในการ ตรวจสอบและเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา มิให้การแก้ปัญหาและอุปสรรค เกิดความล่าช้าโดยไม่ จาเป็น 2. ผู้บริหารท่ีเป็นผู้นาทางวิชาการและทาหน้าท่ีนิเทศภายใน จะทาให้ ความเคล่ือนไหว ทางวชิ าการของสถานศึกษาเปน็ ไปอยา่ งมีระบบและตอ่ เนื่องตลอดเวลา 3. ทาให้บุคลากรในสถานศึกษามองเห็นความสาคัญของงานวิชาการและปฏิบัติงาน โดยเน้น คุณภาพของผูเ้ รียนเปน็ เป้าหมายสาคัญในการบรหิ ารสถานศึกษา 4. การนิเทศภายในจะช่วยให้สถานศึกษาสามารถแก้ไขปญั หาที่เกิดข้ึน อันมีผลกระทบ ตอ่ คณุ ภาพของการเรียนการสอนได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ สว่ นกิตมิ า ปรดี ดี ิลก (2553 : 308) กล่าวถึงความสาคญั ของการนเิ ทศภายในโรงเรยี น จานวน 5 ข้อ ดงั นี้ 1. การนิเทศช่วยให้ครูมีความเช่ือมั่นในตนเองถ้าครูยังมีความสนใจเก่ียวกับเร่ืองต่างๆ ใน ห้องเรียน ครูก็จะเป็นบุคคลท่ีทาหน้าที่ไดส้ มบรู ณ์แบบและจะมีความเข้มแข็งในการปฏบิ ัติงาน ทุกดา้ น

-๘- 2. การนเิ ทศสนับสนุนใหค้ รูสามารถประเมนิ ผลการทางานได้ดว้ ยตนเอง ครสู ามารถมองเห็นด้วย ตนเองวา่ จะสามารถประสบผลสาเร็จในการสอนไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด 3. การนิเทศช่วยครูได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซ่ึงกันและกัน ครูผู้สอนแต่ละคนสามารถ สังเกตการณ์ทางานหรือการสอนของครูคนอื่นๆ เพ่ือปรับปรุงการสอนของตน นอกจากน้ี จะมีการแลกเปล่ียน วัสดุอุปกรณ์การสอนและรับเอาวิธีการใหม่ๆ จากครูคนอ่ืนไปทดลองใช้ รวมทั้งเรียนรู้วิธีการช่วยเหลือให้การ สนับสนุนแกค่ รูคนอ่นื ๆ ดว้ ย 4. การนิเทศช่วยกระตุ้นครูให้มีการวางแผนจัดทาจุดมุ่งหมายและแนวปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ครู แต่ละคนสามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อนครูด้วยกันเพอื่ ตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหา การสอนอย่างกว้างๆ ภายใน โรงเรียน การวางแผนฝึกหรือให้บริการเสริมวิชาการ การพัฒนาหลักสูตร และการกระตุ้นให้ครูผู้สอนทางานวิจัย เก่ียวกับช้ันเรียน รวมท้ังการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานของครูกับกลุ่ม และช้ีให้เห็นความสามารถในการควบคุม และจดั การความน่าเชอ่ื ถือ และความเป็นวิชาการของครูคนน้ันไดเ้ ป็นอย่างดี 5. การนิเทศจะเป็นกระบวนการที่ท้าทายความสามารถของครูให้มีความคิด เชิงนามธรรม สงู ขนึ้ ในขณะปฏิบัติงาน ครูผสู้ อนจะได้รับขอ้ มูลยอ้ นกลับซึง่ เป็นผลมาจากผล การประเมิน ข้อมูลเหลา่ น้จี ะ สะท้อนให้เห็นข้อดีและข้อเสียของการปฏบิ ัติงาน รวมทั้งแนวคิดหลายแนวทางที่จะใชเ้ ปลี่ยนแปลงการปฏิบัติให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน ซ่ึงวิธีการดังกล่าวจะเป็นวิธีการหน่ึงท่ีท้าทายและช่วยพัฒนาแนวคิดเชิงนามธรรมของครู ใหส้ ูงข้ึนดว้ ย สรุปการนิเทศภายในโรงเรียนมีประโยชน์ต่อบุคลากรในโรงเรียน ทาให้มีการทางานอย่างเป็นระบบ พัฒนาครูได้ตรงตามเป้าหมาย เพราะผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้นิเทศจะช่วยเหลือครูใน การตรวจสอบและ เสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา ส่งผลให้ครูในโรงเรียนมองเหน็ ความสาคญั ของงานวิชาการ โดยเน้นคุณภาพ ของผู้เรียนเป็นสาคัญ ครูแต่ละคนสามารถให้ความช่วยเหลือเพ่ือนครูด้วยกัน เพ่ือตัดสินใจในการแก้ปัญหาการ เรยี นการสอนอยา่ งกวา้ งๆ ภายในโรงเรียน บรรยากาศในการนเิ ทศมีความเป็นกนั เอง และสามารถปฏบิ ัตงิ านนิเทศ ไดอ้ ย่างตอ่ เนือ่ ง ๗. วิธกี ำรและกิจกรรมกำรนเิ ทศภำยในโรงเรยี น วิธีการและกิจกรรมการนิเทศเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การนิเทศบรรลุจุดมุ่งหมายของการ นิเทศ ซ่ึงกิจกรรมการนิเทศแต่ละชนิดให้ ประสบการณ์แตกต่างกันไป กล่าวคือบางกิจกรรมจะทาให้ผู้รับการนิเทศได้รับ ประสบการณ์สูง แตบ่ างกิจกรรมก็ทาให้ผูร้ ับการนเิ ทศได้รับประสบการณ์ใน ระดับปานกลางและบางกิจกรรมกท็ า ให้เกิดประสบการณ์ในระดับต่า ส่ิงที่ผู้นิเทศจะต้องพิจารณาก็ คือระดับประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนเป็นที่พอใจหรือไม่ และกิจกรรมใด ควรจะนามาใช้ในสถานการณ์ใดเพื่อประโยชน์ต่อการนาไปปฏิบัติ (เยาวพา เดชะคุปต์. 2542: 145) โดยมีรายละเอยี ด ดังนี้ 1. การประชุมเชิงปฏิบัติการ คือ การประชุมเพ่ือศึกษาปัญหาและลงมือปฏิบัติจริง การประชุม ปฏิบัติ การน้ีจะจัดข้ึนเม่ือพิจารณาแล้วว่าเป็นความต้องการของครูและสมาชิกทุกฝ่ายในโรงเรียน เช่น การทา แผนการสอน บทเรียนสาเรจ็ รปู เปน็ ตน้ การประชมุ เชงิ ปฏิบตั ิ การน้อี าจใชเ้ วลาช่วงหนง่ึ คอื ท้ังภาคการศึกษาหรอื

-๙- ตลอดปกี ารศกึ ษา ทั้งนแ้ี ล้วแต่ความตอ้ งการของครหู รือเนอ้ื เร่ืองทั้งนผี้ บู้ ริหารและผนู้ ิเทศท่ีเหน็ ความสาคัญยอมรับ และเห็นด้วยที่จะให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการในโรงเรียนอาจพิจารณาถึงกลวิธีที่จะช่วยให้ข้ันตอนและ กระบวนการในรเิ รม่ิ และดาเนนิ งานสาเรจ็ ดงั นี้ 1.1 สร้างบรรยากาศท่ีทา ให้ ครูเกิดความรู้สึกเป็นกันเอง กล้าแสดงความคิดเห็น เต็มใจที่จะ รว่ มงานในกลุ่มและเห็นความสาคัญของการเปลย่ี นแปลง 1.2 ใช้ เทคนคิ กระบวนการเล่นในการพจิ ารณาหัวข้อหรอื เรื่องที่จะประชุม อาจ ขอความรว่ มมือ จากผ้ทู รงคณุ วุฒิ อาจารยม์ หาวิทยาลยั เปน็ ท่ปี รึกษาให้คาแนะนาเกยี่ วกบั เรือ่ ง ท่ีน่าสนใจศกึ ษา 1.3 ขอความช่วยเหลือจากผู้ เชี่ยวชาญหรือผู้ ทรงคุณวุฒิในการกาหนดโครงสร้าง ของการ ประชมุ และเปิดโอกาสใหค้ รแู ละผนู้ ิเทศทส่ี นใจเขา้ รว่ มการประชุม 2. การอบรมสัมมนา เป็นส่วนหน่ึงของงานการนิเทศและนิยมจัดทากันมาก เม่ือมี ปัญหา ในทางปฏิบัติหรือต้องการจะเน้นเรื่องใดเร่ืองหน่ึงเป็นพิเศษ เช่น การเขียนแผนการสอนท่ีเน้น ผู้เรียนเป็นสาคัญ การสร้างเคร่ืองมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นต้น การอบรมสัมมนาไม่ได้มุ่ง แต่เพียงให้ ครูมีความรู้ ความสามารถในหน้าที่การงานเท่านั้นการอบรมยังมุ่งการสร้างความพันธ์ อันดีให้แก่คณะครูด้วย นอกจากน้ียัง ส่งเสริมให้ครูกระตือรือรน้ ในการทางานและแสวงหาทาง ก้าวหนา้ ยิง่ ๆข้นึ ไป 3. การสังเกตการเรียนการสอน เป็นเทคนิคพ้ืนฐานอย่างหน่ึงของการนิเทศ ที่มี ประโยชน์ต่อการ ปรับปรุงการสอน ครูทุกคนไม่วา่ จะเปน็ ครูใหมห่ รือครูเก่าจะได้รับประโยชน์จากการ สังเกตการสอนของครู อนื่ ท่ีมี ความชานาญยิ่งถ้าเป็นครูที่บรรจุใหม่ การสังเกตจะให้ครูใหม่ได้เรียนรู้ เกี่ยวกับการจัดห้องเรียน จัดแบ่งกลุ่ม นักเรียน และการวางแผนการสอน นอกจากนี้การสังเกต การเรียนการสอน ยังช่วยให้ผู้นิเทศกับผู้ ได้รับการ นิเทศได้มีโอกาสแลกเปล่ียนความคิดเห็นกันภายหลัง จากการสังเกตการสอน ซ่ึงนับว่าได้ ประโยชน์ร่วมกันการ สังเกตการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพนั้นจะต้องมี การดาเนินการท่ีเป็น ระบบและเป็นกระบวนการ โดยมี ข้นั ตอนตา่ งๆ ดังน้ี 3.1 เลือกประเดน็ ทจี่ ะสงั เกตก่อนการสังเกตการสอน 3.2 เลือกเทคนิควิธีการสังเกตและบันทึกท่ีเหมาะสม หรือสร้างเคร่ืองมือการสังเกตการสอนที่ เหมาะสม ในขณะเดียวกันกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียนเป็นแผนปฏิบัติการนาโครงการ สู่การปฏิบัติ ซึ่งจะ สามารถวิเคราะห์ และเลือกนามาใช้ให้เหมาะสมกับสภาพของโรงเรียน ขนาดของ กลุ่มผู้รับการนิเทศ และ จุดประสงค์ของการนิเทศ การเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมจะทาให้บรรลุผลตาม ที่ต้ังไว้ ได้ วรสิทธิ์ กิติพิเชษฐ์สรรค์ (2532: 111) ไดเ้ สนอแนะกิจกรรมการนิเทศภายในโรงเรียนที่สามารถจะจัดได้ 12 กจิ กรรม ไดแ้ ก่ 1. การประชุม การประชุมเป็นกิจกรรมที่โรงเรียนทุกโรงเรียนปฏิบัติ อยู่แล้การประชุมเพื่อ การนเิ ทศ แบ่งออกได้ เป็น 5 รูปแบบ คือ 1.1 ประชุมสัมมนา เป็นการประชุมของคณะครูบางส่วน หรือท้ังโรงเรียน เพื่อศึกษา ค้นคว้าหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง ภายใต้การนาของผู้บริหารโรงเรียน หรือผู้ซ่ึงผู้บริหารโรงเรียน มอบหมาย โดยมี จุดมุ่งหมายเพื่อกาหนดปัญหา สารวจปัญหา ปรึกษาหารือ และแก้ปัญหา มีการ แลกเปล่ียนผลงาน ระหวา่ งบคุ คลในกล่มุ และมีการสรปุ ผลการสัมมนาเพอื่ เผยแพร่ให้คณะครู ทราบและเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิร่วมกัน

- ๑๐ - 1.2 การประชุมเชิงปฏิบัติการเป็นการประชุมเพ่ืออบรมข้าราชการครู ภายใน โรงเรียน ให้มีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบตั ิงานโดยแท้จริง รู้และเข้าใจในการแก้ปญั หาและ ปรับปรุงงานของตนเองให้มี ประสิ ทธิ ภาพการประชมุ เป็นการประชมุ ปรึกษาหารือเพือ่ หาวิธีการแก้ปญั หากาหนดมาตรการอยา่ งหนึง่ อย่างใด การดาเนินการประชุมอาจจดั ประชุมครู เพียงบางส่วนซ่ึงประสบปัญหา หรือจัดประชุมครูท้ังโรงเรยี นก็ได้ เพื่อใหผ้ ู้ เข้าประชุมไดน้ าเอา ความรูแ้ ละประสบการณ์ไปเปน็ แนวทางในการแก้ปัญหา 1.3 การประชุมอภิปรายกลุ่มหรือการประชุมอภิปรายปัญหา เป็นการประชุม กลุ่มมี จานวนสมาชิก ประมาณ 5 – 15 คน ร่วมกันอภิปรายในเร่ืองหรือในหัวข้อท่ีครูสนใจร่วมกันอาจประชุมเป็น รูปแบบหรือนอกรูปแบบก็ ได้ อาจประชุมระหว่างเวลาอาหารกลางวันหรือเวลาว่าง ก็ได้ เพ่ือให้เกิดความเป็น กันเองและไม่มีพธิ ีการโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสารวจปญั หา การหา แนวทางแก้ปญั หาและการสร้างกฎเกณฑ์ สร้าง หลักการและวิธีการร่วมกันโดยอาศัยความคิดจาก สมาชิกของท่ีประชุมหลายๆ คน เพ่ือสรุปเป็นมติของกลุ่ม ทง้ั หมด 1.4 การประชุม อภิปราย ซักถาม เป็นการประชุมหลังจากผู้ ทรงคุณ วุฒิ อภิปราย จบแล้ว และเปดิ โอกาสใหผ้ ู้ฟังมี โอกาสอภิ ปรายซกั ถามอย่างอสิ ระและเปิดเผย โดยซักถามเพอื่ ปรึกษาหารือ หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อให้ข้อเท็จจริงเพ่ิมเติมตอ่ ที่ประชุมหรือต่อผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งการซักถามน้ีช่วยให้ผู้ฟังขจัด ปัญหาและขอ้ สงสยั ท่ไี ด้รบั ฟังจากผู้อภปิ รายด้วย 1.5 การประชุมแบบระดมความคิดเป็นการประชุมที่เน้นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มากกว่าการปฏิบัติ โดยการให้สมาชิกของที่ประชุมแสดงความคิดเห็นในการแก้ปัญหาออกมา ให้มากท่ีสุด โดยไม่ ต้องคานึงว่าจะต้องนาไปปฏิบัติ ได้หรือไม่ การประชุมเพ่ือระดมความคิด เป็นเทคนิคการประชุมท่ีดีอย่างหนึ่งซ่ึง นยิ มใชก้ ันมากในการแสวงหาทางเลอื กในการแก้ปญั หา ใน การคดิ หาแนวทางเลือกความคดิ เพื่อรวบรวมคาตอบให้ ได้มากทส่ี ุด สมาชิกทกุ คนออกความเห็นให้ ได้ มากที่สุด ด้วยการเปดิ โอกาสให้ สมาชกิ แสดงความคิดเหน็ อย่างเสรี 2. การมอบหมายให้ศึกษาค้นคว้าจากตาราการมอบหมายให้ศึกษาหรือค้นคว้าจาก ตา รา ถือเป็นการนิเทศทางออ้ ม โดยมอบหมายให้ ศึกษาจากเอกสารการสอน คู่มือครู จากบทความ หรือจากตารา เป็น ต้น โดยผู้บริหารต้องช้ีแนะแหล่งค้นคว้าศึกษา และกาหนดหัวข้อให้ ศึกษาโดย ชัดเจนพร้อมท้ังกาหนด ระยะเวลา ทาการค้นคว้า และกาหนดวันเวลา และวิธีการรายงานผลให้ ชัดเจนอีกด้วย เพื่อสนับสนุนกิจกรรม นเิ ทศแบบนี้โรงเรยี นอาจจัดตงั้ ศนู ย์ วิชาการหรือศูนย์ รวมเอกสาร หนงั สอื คมู่ อื ครู หลักสตู ร กฎ ระเบยี บ ตลอดจน เอกสารทไี่ ด้จากการฝกึ อบรมต่างๆ เพอ่ื ให้ ครู ได้ศกึ ษา ค้นคว้าเช่น ห้องสมดุ หรือมุมหนงั สอื เฉพาะสาหรับครกู ็ได้ 3. การให้คาปรึกษาหารือการให้ คาปรึกษาหารือเป็นวิธีการนิเทศภายในโรงเรียนอีกแบบ หน่ึงที่โรงเรียนสามารถปฏิบัติได้โดยง่าย ปัญหาที่นามาศึกษาอาจเป็นปญั หาส่วนตัวและปัญหาการเรียนการสอนก็ ได้ ซ่ึงผู้บริหารโรงเรียนจาเปน็ ต้องให้ คาปรึกษา การให้คาปรึกษาหารือนอกจาก จะเปน็ การชว่ ยเหลือครูให้ปฏิบัติ หน้าท่ีอย่างมีประสิทธภิ าพย่ิงขึ้นแล้ว ยังเปน็ การกระชับ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับครูให้แนบสนิท ยิ่งข้นึ อีกท้ังยังเปน็ การเพมิ่ ขวญั และ กาลงั ใจแกค่ รู อีกวิธีหน่งึ แนวทางการให้ คาปรกึ ษาหารือ ไดแ้ ก่

- ๑๑ - 3.1 บอกวธิ ีการแก้ปัญหาโดยตรง 3.2 ให้ข้อมูล ขอ้ คิดเห็น เพอ่ื ชว่ ยให้ครูสามารถวิเคราะห์ปญั หาได้ด้วยตนเองอาจใหค้ าปรกึ ษาท้ัง ในขอ้ 3.1 และ 3.2 ในเวลาเดยี วกนั 4. การสาธิตการสอน การสาธิตการสอน นามาใช้ในกรณีโรงเรียนประสบปัญหา เกี่ยวกับ การสอนหรือในกรณีเพื่อช้ีแนะแนวการสอนวิธี ใหม่ๆ เพ่ือให้ครูทราบ หรือประกอบ การพิจารณานามา ประยุกต์ ใช้ ในการดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ดังน้ันการสาธิตการสอนจึงมิ ใช่วิธีการสอนที่ดีท่ีสุด และผู้ สาธิตก็ไม่ใช่ผู้สอนท่ีดีท่ีสุด หากแต่เพียงเป็นต้นแบบเพ่ือใช้ประกอบการ วิเคราะห์แนวทางเลือกเท่าน้ัน ดังน้ันผู้ นิเทศจึงไม่ควรลอกเลียนแบบวิธีสอน และพฤติกรรมการสอนจากผู้สาธิตแต่ควรปรับและประยุกต์ นามา ดาเนนิ การให้สอดคล้องกบั สภาพและพฤตกิ รรมของ ผสู้ อนเองซง่ึ เปน็ วธิ กี ารที่ดี และมีประสิทธภิ าพสงู 5. การพาไปดูงานการพาไปดูงานหรือเยี่ยมชมโรงเรียนอ่ืนๆ ซ่ึงเป็นโรงเรียนที่ประสบ ผลสาเร็จในเฉพาะเร่ือง เช่น โรงเรียนดีเด่นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนขั้นเด็กเล็กโรงเรียนดีเด่นการจัด กิจกรรมสหกรณ์ ในโรงเรียน โรงเรียนดีเด่นในการจัดห้องสมุดโรงเรียน เป็นต้น เพ่ือให้ ครูได้รับประสบการณ์ตรง และนามาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนในการพาครูไปศึกษาดูงาน ผู้บริหาร โรงเรียนจาเป็นต้องวางแผนโดยรอบคอบ กาหนด จุดมุ่งหมายวัตถุประสงค์ และกิจกรรมใน การศึกษาดู งานให้ชัดเจนและแจ้งโครงการให้ โรงเรียนหรือ สถานศึกษาทจ่ี ะไปเยีย่ มชมรบั ทราบและ ติดต่อประสานงานในรายละเอียดให้ชัดเจนกอ่ นการเดินทางไปพอสมควร 6. การสนทนาทางวิ ชาการการสนทนาทางวิชาการ เป็นการนิเทศอย่างหนึ่งที่จัดได้ง่าย สะดวกประหยัดระยะเวลาดาเนินการไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความสะดวกเป็นสาคัญซ่ึงอาจจะจัดใน ชว่ งเวลาอาหาร กลางวันช่วงชว่ั โมงวา่ งจากการสอนในห้องพักครู ช่วงเวลาหลงั เลกิ เรยี น หรือจะจดั ข้ึนเป็นทางการในเวลาราชการก็ ได้ ขึ้นกับเหตุผลความจาเป็นและวัตถุประสงค์ของโรงเรียน หัวข้อที่สนทนา ควรเป็นหัวข้อท่ีมีปัญหาซึ่งครูสนใจ ร่วมกัน แต่ถ้าเป็นปัญหาท่ียากซึ่งต้องพิจารณา กันอย่างลึกซ้ึงผู้ บริหารโรงเรียนอาจเชิญผู้ ทรงคุณวุฒิมาร่วม สนทนาดว้ ยกจ็ ะเกิดผลดยี ิ่งข้ึน 7. การบริการเอกสารทางวิ ชาการและเอกสารสนเทศต่างๆการบริ การเอกสารทาง วิ ชา การและเอกสารสนเทศต่างๆ เช่น หลักสูตร คู่มือครูแผนการสอน บทความทางวิชาการ และ เอกสารเพื่อชี้แนะ ปญั หาต่างๆให้แก่ครู นอกเหนือจากท่ีจัดไว้ในศูนย์วิชาการสาหรับครูในข้อ 2 ก็ จะเป็นการอานวยความสะดวก และเพม่ิ พูนความรแู้ กค่ รอู ่ืน 8. การเย่ียมเยียนเพื่อสังเกตการสอนของครูอื่นการเยี่ยมเยียนเพ่ือสังเกต การสอนของ ครูอ่ืน นับเป็นการนิเทศทางตรงที่ได้ผลดี มากอีกทางหน่ึงซ่ึงมี ลักษณะใกล้เคียงเกี่ยวกับ การสาธิตการสอน การ เย่ียมเยียนอาจเยี่ยมในสายช้นั เดียวกันหรือต่างระดับชัน้ ก็ ได้ และเย่ียมในโรงเรียน เดียวกันหรือต่างโรงเรียนก็ ได้ ทงั้ นข้ี ้ึนอยู่กับความสามารถ ความจา เป็นและความต้องการของครู เป็นสาคัญ 9. การจัดป้ายนิเทศการจัดป้ายนิเทศเพ่ือใช้เป็นส่ือกลางในการให้ข่าวสาร ข้อมูลถือเป็น ข้อมูลในการนิเทศอีกอย่างหนึ่ง การจัดรวมกันมากๆ เราเรียกว่า การจัดนิทรรศการซ่ึงถือว่าเป็นการบริการข้อมูล ข่าวสารแกค่ รไู ดด้ ีอีกอย่างหนงึ่

- ๑๒ - 10. การส่งเสริมให้ครูเขียนบทความทางวิ ชาการการส่งเสริมให้ครูเขียนบทความทาง วิชาการเป็นการช่วยให้ครูมีความก้าวหน้าในวิชาชีพอันเป็นวัตถุประสงค์ ท่ีสาคัญอีกอย่างหน่ึงของการนิเทศ การศึกษาซึ่งเป็นการกระตุ้นใหค้ รูเป็นผู้รู้จกั ศกึ ษาค้นคว้าและใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์แก่ตวั ครูเอง และเปน็ การ พฒั นาการเรยี นการสอนอกี ด้วย 11. การส่งเสริมให้ครูได้ศึกษาต่อการส่งเสริมให้ครูไดศ้ ึกษาต่อไม่ว่าจะเปน็ การศึกษาประจา หรือศึกษาในภาคนอกเวลาหรือการศึกษาระบบทางไกลก็ตามนับเป็นการส่งเสริมให้ครู มี ความเจริญก้าวหน้าซึ่ง ถือได้ว่าเปน็ กิจกรรมการนิเทศท่ีครูไม่มองข้ามเพราะการศึกษาต่อเป็นการเพมิ่ พูนความรู้ ทักษะและประสบการณ์ ในอนั ทจ่ี ะเกดิ ประโยชน์ต่อการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนใหเ้ กดิ ขึ้นกบั ครูตอ่ ไปได้ 12. การสังเกตการสอน การสังเกตการสอนหมายถึงการนิเทศที่มุ่งเน้นปรับปรุง พฤติกรรม การสอนของครูในห้องเรียนเท่านั้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือช่วยเหลือครูให้พัฒนา พฤติ กรรมการสอนของตนให้มี ประสิทธิภาพ การนิเทศภายในห้องเรียนจึงเป็นกลวิธีในการนิเทศที่สอดคล้องกับแนวคิดปัจจุบันท่ีมีความเชื่อว่า “การสอนเป็นพฤติกรรมที่สามารถพัฒนาได้” สรุปว่า วิธีการนิเทศภายในสามารถดาเนินการได้หลายวิธีดังน้ัน การดาเนินการนิเทศภายในควรเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปัญหา ลักษณะงานและความพร้อม ของ โรงเรยี นเพราะการนเิ ทศภายในโรงเรยี นทมี่ ีประสทิ ธภิ าพเป็นส่วนหนึ่งที่ชว่ ยพัฒนาการปฏบิ ัติงานของครู และ การจดั การศึกษาของโรงเรยี นใหเ้ ปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ ๘. ทักษะกำรนิเทศกำรสอน ในการนิเทศการสอน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนให้ บรรลุผลสาเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์นัน้ วัชรา เล่าเรียนดี (2550 : 18-19) ได้กล่าวถึง ทักษะท่ีจาเป็นในการนิเทศไว้สอดคล้องกันคือ ทักษะดา้ นเทคนคิ ทักษะด้านมนุษยส์ มั พันธ์ และทักษะดา้ นการจัดการ รายละเอยี ดแตล่ ะด้าน ดังน้ี 1. ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ วิธีการและเทคนิคท่ี จาเป็นและท่ีเก่ียวข้องกับการนิเทศ ซ่ึงในการนิเทศแต่ละคร้ังผู้นิเทศหรือผู้ทาหน้าท่ีนิเทศจะต้องมีความรู้ ความสามารถเฉพาะอย่าง ต้องมคี วามรูค้ วามเข้าใจเทคนิควธิ ี และสามารถใช้เทคนคิ วิธเี หล่านัน้ ได้ เชน่ เทคนิคการ นิเทศแบบพัฒนาการ เทคนิคการนิเทศแบบคลินิก เทคนิคการนิเทศสังเกตการสอนและการจัดประชุมให้ข้อมูล ย้อนกลับ รวมท้ังต้องมีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับเทคนิควิธีสอนแบบต่างๆท่ีสาคัญ และสามารถสาธิตแนะนา ให้กบั ครูได้ 2. ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) เป็นความสามารถใน การปฏิบัติงาน อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลภายในกลุ่ม และสามารถสร้างความร่วมมือให้เกิดข้ึนระหว่างสมาชิกภายใน กลุ่ม รวมถึงความสามารถในการจูงใจและการมีอิทธิพลเหนือคนอ่ืน การได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจ สามารถ พฒั นากลมุ่ งานให้มปี ระสิทธภิ าพและสร้างการยอมรับ ในการเปล่ียนแปลงมากขนึ้

- ๑๓ - 3. ทักษะด้านการจัดการ (Managerial Skills) เป็นความสามารถในการที่จะจัดให้และคงไว้ซึ่ง สภาพเงื่อนไขที่จะเป็นการสนับสนุนการทางานของหน่วยงาน หรือกลไกในการรักษาไว้และทาให้องค์กรดีมี ประสทิ ธภิ าพมากข้นึ ประกอบด้วยทกั ษะในการจัดการตอ่ ไปน้ี 3.1 ความสามารถในการรักษาไว้ซ่งึ ความสมั พนั ธ์ทดี่ ีระหว่างบคุ คลกบั หนว่ ยงาน 3.2 ความสามารถในการทจี่ ะมองเห็นความสัมพันธข์ องปัจจยั ต่างๆทส่ี าคญั ที่เอื้อต่อการ ปฏบิ ัตงิ านในองค์กรหรอื โรงเรยี น 3.3 ความสามารถในการทีจ่ ะสร้างองคก์ รทม่ี ีคุณภาพ 3.4 ความสามารถในการสร้างและคงไว้ซงึ่ สมรรถภาพขององค์กร สรุปได้ว่า ทักษะที่จาเป็นในการนิเทศท่ีสาคัญก็คือ 1) ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills) 2) ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Relation Skills) และ3) ทักษะด้าน การจัดการ (Managerial Skills) ซ่ึง ทักษะทั้งสามดา้ นจะตอ้ งผสมผสานกนั ในการนาไปใชใ้ น การปฏิบัตกิ ารนิเทศ ๙. เทคนิคกำรสังเกตกำรสอน เนื่องจากการสังเกตการสอนเป็นเครื่องมือสาคัญในการนิเทศการสอน ผลจากการสังเกตการสอนช่วย ในการวิเคราะห์การสอนของครู ดังนั้นการสังเกตการสอนจะต้องสังเกตและบันทึกข้อมูลตรงตามความจริงและให้ ตรงตามจดุ มุ่งหมายมากท่สี ุด Acheson et al. (1997 : 23) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการนิเทศการสอน ซึ่ง ประกอบด้วย เทคนิควิธีการ การกาหนดวัตถุประสงค์ และการวางแผนการสังเกตการสอน เทคนิควิธีการสังเกต การสอนในช้ันเรียน เทคนิคการบันทึกการสังเกตการสอนโดยใช้เคร่ืองมือแบบต่างๆ เทคนิคการประชุมเพื่อให้ ข้อมูลย้อนกลับ และเทคนิคการนิเทศชี้แนะ แนะนาเพื่อช่วยเหลือครู ให้เกิดการเปล่ียนแปลงและพัฒนา เทคนิคการสังเกตการสอนน้ันประกอบด้วย วิธีการสังเกตและ การบันทึกโดยเลือกใช้เครื่องมือท่ีเหมาะสม (ผู้ สังเกตและครูรว่ มกันเลือก) เพราะก่อนมีการสังเกต การสอนทุกคร้ังจะต้องมกี ารตกลงร่วมกันก่อนระหวา่ งครกู บั ผู้นิเทศหรือผู้สังเกต และหลังจาก การสังเกตการสอนอาจจะร่วมกันวิเคราะห์ข้อมูลจากการสังเกตการสอน ก่อนท่ีจะให้ข้อมูลย้อนกลับ แก่ครู เพ่ือร่วมกันในการพิจารณาหาแนวทางในการปรับปรุงหรือพัฒนาการเรียนการสอนต่อไป ดังน้ัน ผู้นิเทศ ผู้ทาหน้าที่นิเทศ หรือผู้ที่ทาหน้าท่ีนิเทศการสอนจะต้องมคี วามรู้ มีความเข้าใจพอสมควรเก่ียวกับวิธีการสังเกตการ สอน เทคนิควธิ ีการสังเกตการสอน และการบันทึกเครื่องมือสงั เกตการสอน การสร้างและการประยุกต์ใช้เครอ่ื งมือ สังเกตการสอนจึงจะชว่ ยใหก้ ารนเิ ทศการสอนประสบผลสาเรจ็ ตามเป้าหมาย การสังเกตการสอนและการบันทึกการสอนจาแนกได้หลายลักษณะ เช่น Oliva, Peer F. and Pawlas, George E. (1997 : 26-28) ได้จาแนกการสังเกตเปน็ 2 ประเภท 1. การสังเกตแบบกว้าง ๆ ทั่วไป (Global Observation) เป็นการสังเกตในภาพรวมไม่ เฉพาะเจาะจงในพฤติกรรมประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยปกติจะเป็นการสังเกตหรือวิธีการสังเกตท่ีผู้บริหารหรือผู้ นิเทศนิยมใช้ เม่ือตอ้ งการสังเกตพฤติกรรมการสอนทั่ว ๆ ไป เปน็ การสังเกตโดยภาพรวมของการปฏิบัติการสอนของ ครู และมกั จะใช้ผลการสังเกตและการบันทกึ ดว้ ยวิธกี ารดงั กลา่ วใน การประเมินประสทิ ธภิ าพการสอนของครู

- ๑๔ - ด้วย เช่น แบบสังเกตและบันทึกแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) เป็นตน้ 2. การสังเกตแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Observation) เป็นการสังเกตและบันทึกเฉพาะ พฤติกรรม เฉพาะเหตกุ ารณ์ เฉพาะเร่ือง หรือเฉพาะประเด็น เช่น การสังเกตบันทึกพฤติกรรมปฏิสัมพนั ธท์ างวาจา ระหว่างครกู บั นกั เรียนเปน็ ต้น นอกจากน้ี Glickman et al. (1995 : 36 ) ได้จาแนกการสังเกตการสอนเป็น 2 ประเภท คอื 1. การสังเกตเชิงปริมาณ (Quantitative Observation) เป็นวธิ ีการวัดเหตกุ ารณ์และพฤติกรรม ต่างๆ และสิ่งต่างๆ ในห้องเรียน ที่สามารถสังเกตเห็นได้ วัดได้ เป็นจานวนครั้งหรือความถี่ของเหตุการณ์ หรือ พฤติกรรมตา่ งๆ ทท่ี าการสงั เกตและบันทึกดว้ ยเคร่ืองมือหรือวธิ ีการสังเกตด้วยปรมิ าณ เช่น 1.1 เครื่องมือสังเกตการสอนแบบนับจานวนความถี่ (Categorical Frequency Instrument) 1.2 เครื่องมือสังเกตการสอนแบบระบุพฤติกรรมตามกระบวนการจัดการเรียนการสอนใน รปู แบบต่างๆ (Performance Indicator Instrument) 1.3 เครอื่ งมอื สงั เกตการสอนทจี่ ดั เตรียมฟอร์มท่เี ป็นแผนผงั (Diagram) 1.4 เครื่องมอื สงั เกตและบนั ทกึ ตรวจสอบรายการ (Check list) 1.5 เครื่องมอื สงั เกตและบันทกึ แบบเลอื กประเภทของคาพดู หรอื การพูด จด และบันทึกขอ้ มูล คาพูดนัน้ คาต่อคาตามเวลาทก่ี าหนด (Selective Verbatim Recording) 1.6 เครื่องมือสังเกตและบันทึกปฏิสัมพันธ์ทางวาจาระหว่างครูกับนักเรียนของ Ned Flanders FIAC (Flanders’s Interaction Analysis Category) 2. การสังเกตเชิงคุณภาพ (Qualitative Observation) การสังเกตด้วยวิธีนี้เป็น วิธี สังเกตและบันทึกที่จะใช้เมื่อผู้สังเกตหรือผู้นิเทศไม่ทราบว่าจะสังเกตหรือบันทึกอะไรบ้าง ในชั้นเรียน หรือผู้นิเทศสังเกตรายละเอียดพฤติกรรมในการจัดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน การสังเกตเชิงคุณภาพ การสังเกตเหตุการณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ตลอดจนสภาพทางกายภาพ ในช้ันเรียน เช่น การจดบันทึก การจัดบอร์ด ส่ืออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทาการบันทึกแบบพรรณนาความโดยไม่ใส่อารมณ์ความรู้สึกของตนเองลงไป ดว้ ย ประกอบดว้ ยเครอื่ งมือหรือวิธีการสังเกตดังตอ่ ไปน้ี 2.1 การสังเกตแบบไมม่ สี ว่ นร่วม (Detached-open Narrative) 2.2 การสังเกตบันทกึ ขอ้ มูลการพูดเฉพาะอย่าง (Save Verbatim Recording) 2.3 การสังเกตบนั ทึกโดยใช้ V.D.O. (Audio record) 2.4 การสงั เกตและบนั ทึกแบบสน้ั ๆ (Anecdotal Record) 2.5 การสังเกตและบันทกึ แบบมสี ่วนร่วม (Participant Observation) 2.6 การสังเกตบนั ทึกตามประเดน็ คาถาม (Focused Questionnaire Observation) 2.7 การสงั เกตและบันทกึ แบบบันทึกการปฏิบัตงิ านของตนเอง (Journal Writing) 2.8 การวิจารณท์ างการศึกษา (Educational Criticism)

- ๑๕ - 2.9 การสังเกตบันทึกแบบเฉพาะเหตกุ ารณ์ (Tailored Observation System) การสังเกตการสอนต้องมีเครื่องมือสังเกตการสอน (Observation Instrument) ซึ่งเคร่ืองมือ สังเกตการสอนหมายถึง เครื่องมือที่ใช้ในการสังเกตและบันทึกการเรียนการสอน เช่น ดินสอ ปากกา กระดาษ เคร่ืองใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น เทปบันทึกเสียง กล้องถ่ายวีดีโอ คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก รวมถึงแบบฟอร์มการ สังเกตและบันทึกท่ีผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศสร้างข้ึนเองหรือมีผู้อ่ืนสร้างข้ึน และเป็นที่ยอมรับและรู้จักแพร่หลาย เช่น แบบฟอร์มการสังเกต – บันทึกของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ซึ่งเป็นเครื่องมือการสังเกตการ สอนที่ได้จากการสร้างและพัฒนาทดลองใช้จนแน่ใจว่าสามารถนาไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล แต่ มักจะเป็นเครื่องมือท่ีสร้างข้ึน โดยเฉพาะงานวิจัยท่ีเก่ียวกับพฤติกรรมการสอนของครูท่ีมีประสิทธิภาพหรือเพอ่ื ใช้ ในการประเมินประสิทธิภาพการสอนของครู เพ่ือจุดประสงค์อ่ืนที่ไม่ใช่เพ่ือการปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการ สอนโดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเคร่ืองมือที่ค่อนข้างจะละเอียดซับซ้อน ผู้ท่ีจะนาไปใช้ต้องมีความสามารถ ความคุ้นเคยและความชานาญในการใช้มากพอสมควร จึงขอแนะนาว่า ควรจะประยุกต์และปรับใช้เป็นเครื่องมือ สังเกตการสอนอยา่ งง่าย สะดวกต่อการฝกึ และการใช้ในสถานการณ์จริงจะเหมาะสมกวา่ ดงั ที่กล่าวมาแล้ว และใช้ วิธีการสงั เกตให้สอดคล้องกบั พฤตกิ รรมการสอนทม่ี ีประสทิ ธิภาพของ Acheson et al. (1997 : 69-71) ในการนเิ ทศการสอนเพอ่ื ปรบั ปรงุ และพัฒนาการสอนนั้น ครูควรจะไดม้ กี ารสง่ เสรมิ และพัฒนาให้ มคี วามสามารถในการวเิ คราะหก์ ารสอนของตนเองได้ ซ่งึ มกี ารสังเกตและการวิเคราะห์ตนเองอย่างง่าย ๆ คอื 1. การวิเคราะห์ตนเองโดยใช้เคร่ืองมือช่วย เช่น การฟังเสียงการพูดของตนเองจากเทป บนั ทกึ เสียง การสงั เกตตนเองจากการดูวีดีโอเทปที่บนั ทกึ การปฏิบัติงานของตนเองไว้ และการรบั ฟังขอ้ มูลยอ้ นกลับ จากการสงั เกตพฤติกรรมการสอนของผู้นเิ ทศ หรอื ผทู้ าหนา้ ทนี่ เิ ทศ หรอื จากเพือ่ นหรือจากนักเรยี น 2. การเยี่ยมช้ันเรียนซึ่งกันและกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซ่ึงกันและกัน อาจทา การเย่ียมชนั้ เรียนเป็นกลุ่ม หรอื คณะ เพื่อสังเกตการสอนและให้สมาชกิ ภายในกลุ่มช่วยกันให้ข้อมลู ย้อนกลบั ซ่งึ จะ ช่วยให้มองเห็นการสอนของผู้อื่นและการสอนของตนเองชัดเจนยิ่งข้ึน ด้วยการเปรียบเทียบกับการสอนของ ตนเอง 3. ให้จับคู่เพ่ือนท่ีสนิทสนมและผลัดกันสังเกตการสอนซ่ึงกันและกันให้ข้อมูลย้อนกลับจากการ สงั เกตการสอนในด้านต่าง ๆ ท่กี าหนด ช่วยกนั คิดและวิเคราะหจ์ ุดท่ีเปน็ ปัญหา เพ่อื หาทางแกไ้ ขปรับปรงุ ตอ่ ไป 4. ใช้เทคนิคแบบคลินิก (Clinical Supervision) ซ่ึงเป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผน การสังเกต การสอน มีการบันทึกข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ แล้วให้ข้อมูลย้อนกลับ จะช่วยให้ทราบปัญหา ข้อบกพร่องต่างๆที่จะต้องแก้ไขปรับปรุง ซ่ึงการนิเทศแบบคลินิกเป็นการนิเทศท่ีมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาปรับปรุง การสอนและทักษะการสอนโดยเฉพาะ และท่ีสาคัญท่ีสุดจะตอ้ งดาเนินการโดยการมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังระหว่าง ผู้นเิ ทศกบั ครู หรอื ผ้ทู าหน้าทน่ี เิ ทศกับครู ในการสังเกตการสอนต้องมีวิธีการบันทึกการสังเกตการสอนท่ีดี จะบันทึกอย่างไร ด้วยวิธีใด ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของการสังเกต ประเภทของการสังเกตการสอน และการเลือกใช้เคร่ืองมือท่ีเหมาะสม เช่น เป็น การสังเกตการสอนเชิงปริมาณ (Qualitative Observation) จะต้องระบุวัตถุประสงค์ชัดเจนว่า จะสังเกตพฤติกรรม อะไรบา้ ง อย่างไร ใชเ้ ครื่องมือแบบใดจึงเหมาะสม เชน่ เดียวกบั การสงั เกตการสอนเชิงคุณภาพ (Qualitative

- ๑๖ - Observation) จะต้องระบุวัตถุประสงค์ชัดเจน วิธีการบนั ทึกและเคร่ืองมือท่ีเหมาะสม ดังน้ัน เคร่ืองมือสังเกตการ สอน นอกจากจะเป็นแบบฟอรม์ ลกั ษณะต่าง ๆ ท่ีมีผู้สรา้ งและพฒั นาข้นึ และเผยแพรใ่ ห้ใชแ้ ล้ว ซึ่งอาจจะเปน็ การจด หรือเขียนบันทึกเหตุการณ์หรือพฤติกรรมด้วยกระดาษ ดินสอ ปากกา (Written record) ใช้การบันทึกเสียง (Audio record) หรือด้วยการบันทึกภาพ (Videotaping) ประกอบการสังเกตและบันทึกด้วยวิธีการอื่นๆด้วยดังตัวอย่างวิธีการ สงั เกตบนั ทกึ การสอน ดังนี้ 1. การบันทกึ แบบพรรณนาความ (Descriptive of Narrative Record) 2. การบนั ทึกส้นั ๆ ไมเ่ ปน็ ความคดิ หรือการประเมนิ ผลใดๆ (Anecdotal Record or Note king) 3. การบันทึกเสียงและการบันทึกภาพเหตุการณ์ทุกอย่างในห้องเรียน (Audio taping Videotaping) 4. การจดบันทึกคาพูด คาต่อคา ประโยคต่อประโยค ท่ีกาหนด หรือคาพูดท่ีเลือกจะบันทึก (Selective Verbatim Recording) 5. การบนั ทกึ แบบบนั ทกึ การปฏบิ ตั ิงานของตนเอง (Journal Writing) 6. การบันทกึ ตามประเดน็ คาถามท่กี าหนด (Focused Questionnaire) 7. การบันทกึ โดยทาตารางบนั ทกึ ความถ่ี (Frequency Tabulation) 8. การบันทึกโดยใชแ้ ผนผงั ท่ีน่ังเตรียมไว้ (Seating Chart) 9. การบันทึกพฤตกิ รรมภาพทีป่ รากฏโดยใช้แบบตรวจสอบรายการ (Check list) 10. การบนั ทกึ พฤติกรรมทีเ่ ปน็ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) 11. การบนั ทึกพฤติกรรมโดยใช้แบบบนั ทกึ ทร่ี ะบพุ ฤติกรรมบง่ ชี้ (Performance Indicator Recording) อย่างไรก็ตาม การสังเกตการสอนจะบันทึกด้วยเคร่ืองมือหรือวิธีการใดก็ตาม การนาเคร่ืองมือ ประเภทเครื่องอิเล็กทรอนกิ สต์ า่ งๆ เช่น เครอื่ งบนั ทกึ เสยี ง บันทึกภาพ และฟลิ ์มตา่ งๆ มาใชป้ ระกอบ จะ ช่วยให้การบันทึกต่างๆในห้องเรียนมีความเท่ียงตรง ครบถ้วนและชัดเจนมากขึ้น เพราะภาพที่บันทึกจะแสดงการ เคลือ่ นไหว และการใช้ภาษาท่ีสังเกตและบนั ทกึ ด้วยวธิ ีอืน่ ๆ ท่ีได้บนั ทกึ ไว้ด้วย ซึ่งขอ้ มลู ต่างๆ ดังกล่าว จะมีประโยชน์ต่อการนาไปช่วยในการวิเคราะห์ผล การสังเกตการสอนได้ละเอียดยิ่งข้ึน ที่สาคัญการสังเกต การสอนนั้น เป็นการสังเกตท่ีมีจุดมุ่งหมาย ดังนั้น ผู้ทาการสังเกตหรือผู้นิเทศจะต้องรู้ว่าจะสังเกตการสอนครูใน เร่ืองใด ด้านใด หรือพฤติกรรมอะไร ดังนั้น นอกเหนือจากเทคนิควิธีการ และทักษะในการสังเกตการสอนแล้ว ผู้ นิเทศหรือผู้สังเกต การสอนจะต้องมีความรู้เก่ียวกับเร่ืองที่จะสังเกตการสอนเป็นอย่างดี เช่น เทคนิควิธีการ สอนต่างๆ ทักษะการสอน รูปแบบการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ นวัตกรรมต่างๆรวมทั้งพฤติกรรมการสอนที่มี ประสทิ ธิภาพในด้านต่าง ๆ ของครดู ว้ ย (วชั รา เลา่ เรยี นด,ี 2544 : 24) การวิจัยในคร้ังนี้ผู้วิจัยได้มีการสังเกตการสอนและบันทึกผลการนิเทศ เช่น บันทึกข้อมูลท่ีพบ ระหว่างการนเิ ทศ การถ่ายภาพการจดั กจิ กรรมของครูผ้สู อน การเรยี นร้แู ละสบื ขอ้ มูลของนักเรยี น แล้วนาขอ้ มลู มา ตรวจสอบสรปุ ผลการนิเทศทง้ั ในภาพรวม และผลการสังเกตตามตวั ช้ีวดั ของการอ่านคิดวเิ คราะห์ และเขยี น คือ 1) การอ่าน และการหาประสบการณ์จากสื่อทห่ี ลากหลาย 2) การอ่าน และการจับประเดน็ สาคัญ ข้อเทจ็ จรงิ

- ๑๗ - ความคิดเห็นจากเร่ืองที่อ่าน 3) การอ่าน และ การเปรียบเทียบแง่มุมต่างๆ 4) การอ่าน และการแสดงความ คิดเห็นต่อเรื่องท่ีอ่าน โดยมีเหตุผลประกอบ 5) การอ่าน และการถ่ายทอดความคิดเห็น ความรู้สึก จากเรื่องท่ีอ่าน โดยการเขียน ๑๐. รปู แบบกระบวนกำรนิเทศภำยในของโรงเรียนชุมชนบำ้ นฟอ่ นวทิ ยำ กระบวนการนิเทศภายในของโรงเรยี นชมุ ชนบ้านฟอ่ นวิทยา ใชก้ ระบวนการนเิ ทศ แบบ TROS method ซง่ึ ได้จากการศกึ ษาเอกสาร งานวจิ ยั และบทความทางวชิ าการท่เี กย่ี วข้องในการนเิ ทศภายในของ โรงเรียน และไดน้ าประเด็นสาคัญ มาประกอบขนึ้ เป็นกระบวนการนเทศภายในท่ีกระชบั รดั กุม ครอบคลมุ และ เท่าท่ีมคี วามจาเปน็ ตามหลักทางวิชาการของกระบวนการนิเทศภายในโรงเรยี น ซึง่ ประกอบด้วยกระบวนการ ดาเนนิ งาน ๔ ข้นั ตอน คือ ๑. T: กำรสนทนำ (Talk) คอื ผูน้ ิเทศพบปะและพูดคุยกับผู้รับการนเิ ทศเพอื่ สรา้ ง ความเขา้ ใจและความไวว้ างใจซง่ึ กนั และกันวางแผนกจิ กรรมการนเิ ทศและรายละเอยี ดของการนิเทศ ๒. R: กำร ทบทวน(Review) คือ ผ้นู เิ ทศและผรู้ บั การนเิ ทศ ได้ทบทวนเอกสารและขอ้ มูลทางวิชาการเพือ่ เตรียมความพร้อม ในการนเิ ทศและรบั กานนิเทศ เช่นการเตรยี มเครื่องมือนิเทศ เตรียมแผนการจัดการเรยี นรู้ และเอกสารอื่นๆ เปน็ ตน้ ๓. O: กำรสงั เกตกำรสอน(Observe) คือ กิจกรรมการเขา้ หอ้ งเรียนเพอ่ื สังเกตการจัดการเรยี นการสอนใน ช่วั โมงที่ผ้นู ิเทศและผ้รู บั การนเิ ทศไดว้ างแผนร่วมกันไว้ ๔. S: แลกเปล่ยี นเรยี นร(ู้ Share) ด้วยกิจกรรม PLC คอื หลงั จากผู้นิเทศไดด้ าเนินการนเิ ทศครบทุกชนั้ เรยี นแลว้ จงึ จดั กจิ กรรม การแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ตามแนวทางของการ ทาวง PLC เพือ่ ให้ครูผู้สอนแต่ละคนไดแ้ ลกเปล่ยี นข้อมูลเชิงวิชาการและนาข้อมลู ตา่ งท่ีไดจ้ ากการทา PLC มา พฒั นาการจดั การเรียนการสอนของตนเอง ซ่ึงการนเิ ทศภายในด้วยกระบวนการของ TROS นส้ี ามารถแสดงเปน็ ภาพได้ดังน้ี

- ๑๘ - รปู แบบกำรนเิ ทศแบบ TROS Method

- ๑๙ - ๑๐. เคร่อื งมอื กำรนเิ ทศภำยใน ๑ แบบบันทกึ การสนทนา (Talk) ๒ แบบบันทึกการทบทวน (Review) ๓ แบบบนั ทึกการสังเกตการสอน(Observe) ๔ แบบบนั ทกึ กจิ กรรม PLC

ภำคผนวก

- ๒๑ - แบบสงั เกตพฤติกรรมกำรสอน ครผู ู้สอน………………………………………………… ชน้ั ………………….กล่มุ สาระการเรียนรู้…………………………………… เรือ่ ง………………………………….……………………………………………………………………………………………………… ผ้สู ังเกต…………….………………………………………….. วนั /เดอื น/ปี ทสี่ อน…………………………………………………… ช่วงเวลาสงั เกต……………………………น. ถึง…………….……..………น. 1. กำรเตรยี มกำรสอน - มแี ผนการจดั การเรียนรู้เปน็ ระบบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ผลการเรยี นรูส้ อดคล้องตามสาระการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - กาหนดเนอ้ื หาสาระเหมาะสมกับวัย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - กาหนดกิจกรรมโดยผูเ้ รียนมีส่วนร่วม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ข้นั ตอนกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนกำรสอน - การนาเขา้ สบู่ ทเรียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - ทักษะกระบวนการท่ใี ชใ้ นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - การดาเนินการสอนเปน็ ไปตามขนั้ ตอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………

- ๒๒ - - จดั กิจกรรมสอดคล้องกับเนื้อหา/เวลา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - นกั เรยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นการสอนโดย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - การจดั กจิ กรรมกระตุ้นใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - มีการแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - การเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคดิ เห็น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - มีการสรปุ ประเมนิ ผลการเรียนการสอนชดั เจน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - มีการประเมินผลเปน็ ระยะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ส่ือกำรสอนทใี่ ช้ คือ…………………………………………………………………………………………………..………………… - สอดคลอ้ งเหมาะสมกับสาระการเรยี นรู้ และผลการเรยี นรู้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - สอ่ื ท่ีใช้ชดั เจนเรา้ ความสนใจของนกั เรยี น ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. พฤตกิ รรมท่วั ไป - ใหค้ วามสนใจแก่นกั เรยี นทวั่ ถึง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………

- ๒๓ - - จัดบรรยากาศเหมาะสม สอดคล้องกบั กิจกรรม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… - การมอบหมายงานชดั เจนเหมาะสม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ………………………………..……………. ลงช่ือ……………….…………………………….. (………………..…………………………..) (……………………………………………) ผรู้ ับการนเิ ทศ ผู้นิเทศ ควำมคิดเหน็ ของผบู้ รหิ ำร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…..………………………………………… (...........................................) ..................................................

- ๒๔ - แบบประเมินพฤตกิ รรมกำรสอน ชอื่ ผสู้ อน…………………………………………………วิชาทส่ี อน......................................................... ชนั้ …………………. วันที่...................เดอื น...................................................พ.ศ.....................................เวลา...............................น. เกณฑก์ ำรใหค้ ะแนน โปรดเขยี นล้อมรอบคะแนนในแตล่ ะข้อ 4 = ดมี าก 2 = พอใช้ / มีพฤติกรรมท่รี ะบุไว้ 3 = ดี 1 = ควรปรับปรงุ แก้ไข/หรอื ไมม่ พี ฤติกรรมที่ระบุไว้ รำยกำรประเมิน ระดับคะแนน หมำยเหต/ุ 4321 ขอ้ เสนอแนะ 1. กำรนำเข้ำสบู่ ทเรียน 1) เร้าความสนใจของนกั เรยี น 2) เหมาะสมกับเวลาและเน้อื เรอื่ งทสี่ อน 3) บอกผลการเรยี นร้ทู ่ีคาดหวงั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้และแนว ทางการเรยี น 2. กำรดำเนนิ กำรสอน 1) เนื้อหาการสอนสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 2) อธบิ ายตามขน้ั ตอนทาให้เข้าใจง่ายและใชภ้ าษาถูกต้อง 3) ตัวอย่างท่ใี ชป้ ระกอบเร่ืองที่สอนเหมาะกบั เนื้อหาและสัมพนั ธก์ บั ชีวติ จรงิ 4) ใชเ้ ทคนิคการตัง้ คาถามหลาย ๆ แบบ เพอื่ ใหน้ ักเรยี นมสี ่วนรว่ ม แสดงความคิดเห็น 5) ใหค้ วามสนใจนักเรียนอย่างท่วั ถึง 6) ตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นระหว่างการสอนรวมทัง้ เปดิ โอกาสใหน้ ักเรียนซักถาม 7) ใชเ้ ทคนคิ การสอนเหมาะสมกับเน้อื หา 8) ใช้การเสริมแรงแก่นกั เรยี นอยา่ งเหมาะสม 9) ใช้สือ่ การสอนไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและค้มุ ค่า 10) จัดกลุ่มนักเรียนสมั พนั ธก์ บั การสอน 11) มอบหมายงานหรอื แบบฝกึ หกั อย่างเหมาะสมกับความสามารถ ของกลุ่มผูเ้ รียนหรอื รายบคุ คล

12) ฝกึ ใหน้ กั เรียนมพี ฤติกรรมประชาธิปไตย เชน่ ยอมรบั ความ คดิ เหน็ ของผ้อู น่ื รู้จักหนา้ ท่ีของตน เป็นผูน้ าและผ้ตู ามทด่ี ี เปน็ ต้น 13) ช่วยเหลอื เด็กนกั เรยี นชา้ และสง่ เสรมิ เด็กเรยี นเกง่ 14) สอดแทรกคณุ ธรรม จรยิ ธรรม 3. กำรสรปุ 1) สรปุ ไดก้ ะทัดรัดชว่ ยใหน้ ักเรยี นเกิดแนวคดิ ตรงจุดประสงค์การ เรียนรู้ 2) ส่ังงานหรือใหน้ กั เรยี นเตรียมตัวลว่ งหนา้ สาหรบั การเรียนครง้ั ต่อไป 4. กำรประเมินกำรเรยี นกำรสอน 1) ตรงตามจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ทก่ี าหนดไว้ 2) จดั ใหค้ รอบคลมุ เนอ้ื หาท้ังหมด 3) มกี ารประเมนิ ผลสมั ฤทธ์ิรวมของการสอนแตล่ ะครง้ั 5. บรรยำกำศและสภำพแวดลอ้ มในชั้นเรียนทเี่ ออ้ื ต่อกำรเรียนรู้ 6. กำรควบคมุ ชนั้ เรยี น 7. ประสทิ ธิภำพของกำรใชเ้ วลำในกำรสอน 8. บคุ ลกิ ภำพ 1) การควบคุมอารมณ์ขณะทส่ี อน 2) การยอมรับความคิดเห็นของนักเรยี น 3) แตง่ กายสุภาพเรียบร้อย รวมตามรายการ รวมคะแนนการประเมนิ เกณฑก์ ำรประเมิน 90 ขน้ึ ไป = ดีเย่ยี ม 80 – 89 = ดีมาก 70 – 79 = ดี 60 – 69 = พอใช้ ต่ากวา่ 60 = ควรปรบั ปรุงแก้ไข ความคิดเหน็ เพมิ่ เตมิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …..…………………………………………ผู้สงั เกต (....................................................)

- ๒๖ - เอกสำรประกอบกำรอบรมครู “ตัวอยำ่ งแบบบนั ทกึ PLC” บันทกึ ชมุ ชนแหง่ การเรียนรูว้ ิชาชพี (Professional Learning Community : PLC) โรงเรยี น…….……รว่ มพฒั นาการศกึ ษาไทย…..………สังกดั ………………………สพป./สพม……………….. ชอ่ื กลมุ่ กจิ กรรม…ปฏิรูปการเรยี นรู้ สู่ Thailand 4.0…ชอื่ กจิ กรรม…สร้างแผนการเรียนรรู้ ว่ มกนั … จานวนสมาชกิ 7 คน ครง้ั ท่ี 1 วันที่ 21 เดอื น สิงหาคม พ.ศ. 2561 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา2561 จานวนสมาชิกท่เี ขา้ ร่วมกจิ กรรมในคร้งั น้ี 7 คน จานวนช่วั โมง 2 ชว่ั โมง เวลา 15.00 น.- 17.00 น. ประเดน็ …ผู้เรยี นสร้างนวัตกรรมไมไ่ ด…้ ……………………………………………………………………………….. สำเหตุ ….ผู้เรยี นได้เรยี นรดู้ ว้ ยวิธกี ารเรียนร้ทู ส่ี อดคลอ้ งกบั แนวคดิ Active Learning น้อย………… ควำมรู้/หลกั กำรทน่ี ำมำใช้…1.แนวคดิ การจัดการเรยี นรู้ Active Learning……………………………… …2.ทฤษฎีการเรียนรู้ Brain-based Learning…………….….……………… …3.ทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism………..…………….………………… …4.วิธีการจัดการเรยี นรู้ STEM 6 ข้นั ตอน………..…………….………….… กิจกรรมทที่ ำ…ปฏิบตั ิการ PLC ดว้ ยเทคนคิ สนุ ทรียสนทนา หรอื dialogue มีกจิ กรรม ดังนี้ กิจกรรม Share ครแู ลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจดั การเรียนร้ซู ึง่ กนั และกนั -มสี ่อื นวตั กรรม (เทคนิคการสอน/วิธกี ารสอน/รูปแบบการสอน) กิจกรรม Learn ครูเรยี นรปู้ ระสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้รว่ มกนั -พจิ ารณา สอ่ื นวตั กรรม ท่ีมีความสอดคลอ้ งกบั การแก้ปญั หา กิจกรรม Grow ทีมครู PLC มแี นวทางทดี่ ีในการแกป้ ญั หาคุณภาพผเู้ รียนร่วมกัน -เลอื ก ส่อื นวตั กรรม ที่มคี วามสอดคล้องกับการแกป้ ัญหา ได้วิธกี ารจดั การเรียนรู้ STEM 6 ขั้นตอน ผลท่ีไดจ้ ำกกจิ กรรม..…ไดน้ วัตกรรมการจดั การเรียนรู้ STEM 6 ขน้ั ตอน…ท่ีมีข้ันตอน ดงั น้ี ขนั้ ตอนที่ 1 ระบุปัญหาในชวี ิตจริงทพี่ บหรือนวตั กรรมทต่ี อ้ งการพัฒนา ข้นั ตอนท่ี 2 รวบรวมขอ้ มูลและแนวคิดทเี่ กยี่ วขอ้ งกับปญั หาหรอื นาไปสู่ การพัฒนานวัตกรรมนนั้ ขน้ั ตอนที่ 3 ออกแบบวธิ ีการแก้ปัญหาโดยเช่อื มโยงความรดู้ ้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ข้ันตอนท่ี 4 วางแผนและดาเนินการแก้ปญั หาหรอื พฒั นานวัตกรรม ข้ันตอนท่ี 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรบั ปรุงแก้ไขวิธีการแกป้ ัญหา หรือพฒั นานวัตกรรมได้ ข้นั ตอนท่ี 6 นาเสนอวิธกี ารแกป้ ัญหา ผลการแกป้ ญั หาหรอื ผลของนวัตกรรม ทพี่ ฒั นาได้

- ๒๗ - กำรนำผลท่ีไดไ้ ปใช้...นาไปจดั กจิ กรรมการเรียนร้ใู ห้มีคุณภาพใน 6 ขน้ั ตอน และเตรียมองค์ประกอบพ้ืนฐาน 3 องคป์ ระกอบ คือ สอื่ ขน้ั ตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ และการจดั สงิ่ แวดลอ้ ม ใหพ้ รอ้ มทุกข้ันตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ระบุปัญหาในชวี ิตจรงิ ทพ่ี บหรือนวัตกรรมที่ต้องการพัฒนา ขนั้ ตอนท่ี 2 รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกับปญั หาหรอื นาไปสู่ การพัฒนานวัตกรรมนน้ั ขน้ั ตอนที่ 3 ออกแบบวิธกี ารแกป้ ญั หาโดยเชอ่ื มโยงความรู้ดา้ นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณติ ศาสตร์ ขั้นตอนท่ี 4 วางแผนและดาเนินการแกป้ ญั หาหรือพัฒนานวตั กรรม ขั้นตอนท่ี 5 ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรบั ปรุงแกไ้ ขวธิ ีการแก้ปัญหา หรือพัฒนานวัตกรรมได้ ขั้นตอนที่ 6 นาเสนอวธิ กี ารแก้ปัญหา ผลการแกป้ ญั หาหรอื ผลของนวตั กรรม ที่พัฒนาได้ อื่นๆ…สอ่ื ทใี่ ช้ประกอบการจัดการเรยี นรู้ ควรใชส้ ือ่ ธรรมชาติ ที่จัดหามาได้จากทรัพยากรในท้องถิน่ …... สมำชิกท่เี ข้ำรว่ มกิจกรรมในครงั้ นี้ ที่ ชื่อ-สกลุ บทบำท ลำยมือชอ่ื 1 Model teacher 2 Buddy teacher 3 Buddy teacher 4 Buddy teacher 5 Buddy teacher 6 Expert 7 (ลงชอ่ื ) ผู้บนั ทกึ () ตาแหน่ง…………………………………………………………………………….

- ๒๘ - แบบประเด็นกำรแลกเปลี่ยนเสนอแนะเพ่ือกำรนำเสนอแผนกำรสอน/กิจกรรมกำรสอน 1) ความสอดคล้อง ครอบคลมุ ของวัตถุประสงค์ ข้อเสนอแนะเพม่ิ เตมิ ................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 2) กจิ กรรมนกั เรียนมคี วามเหมาะสม เปน็ ไปได้ และความสอดคลอ้ งวตั ถุประสงค์ ขอ้ เสนอแนะเพิม่ เตมิ ................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 3) กจิ กรรมครมู คี วามเหมาะสม เป็นไปได้ และความสอดคล้องวตั ถุประสงค์ ข้อเสนอแนะเพม่ิ เติม................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 4) เทคโนโลยแี ละสอื่ การสอนมีความเหมาะสม และความสอดคล้องวตั ถปุ ระสงค์ ขอ้ เสนอแนะเพมิ่ เติม................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 5) การวดั และประเมินผลมคี วามถูกตอ้ ง เหมาะสม และชดั เจนสอดคลอ้ งวตั ถุประสงค์ ขอ้ เสนอแนะเพ่มิ เติม................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 6) กจิ กรรมขนั้ นา มคี วามเหมาะสม เป็นประโยชน์ เป็นไปได้ ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 7) กจิ กรรมขนั้ สอน มคี วามเหมาะสม เปน็ ประโยชน์ เป็นไปได้ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ ................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 8) กิจกรรมขัน้ สรปุ มคี วามเหมาะสม เป็นประโยชน์ เป็นไปได้ ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเตมิ ................................................................................................................... .................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ………………………..……………..ผูบ้ นั ทกึ กลุ่มPLC (………………………………………) ตาแหน่ง.........................................

- ๒๙ - แบบสงั เกตกำรสอน ช่ือแผนการสอน/แบบฝกึ ปฏบิ ตั .ิ .................................................................................................. ชอ่ื Model Teacher สอน/ฝึกปฏิบตั .ิ ........................................................................................สถานท่สี อน/ฝกึ ปฏิบัต…ิ ………………………………………………………………………………………………… วนั ทีส่ งั เกตการสอน/ฝึก/กิจกรรม...........................เวลา........................จานวน...............ช่วั โมง รายการสังเกตการสอน/การฝกึ /จัดกิจกรรม ปฏบิ ตั ิ ไม่ปฏิบตั ิ 1. การให้ความสาคญั กับการเรยี นรูข้ องผู้เรยี น 2. การร่วมมือรวมพลังของครูผสู้ อน ผบู้ รหิ าร ศึกษานิเทศก์ และผ้มู ีส่วนเก่ียวขอ้ ง 3. การทางานรว่ มกนั ด้วยความสมั พันธแ์ บบกลั ยาณมติ ร เพือ่ ให้บรรลุเป้าหมายเดียวกนั 4. นาแนวทางการแก้ไขปญั หาสกู่ ารปฏบิ ัตใิ นช้ันเรียน 5. การนาส่อื เทคโนโลยี และนวตั กรรมไปใชใ้ นการพฒั นา การเรยี นการสอนตามบริบทของสถานศึกษา 6. สมาชิกร่วมสงั เกตการสอนและเกบ็ ขอ้ มลู 7. อภิปรายผลการสงั เกตการสอนและปรับปรุงแกไ้ ข 8. การตรวจสอบการปฏิบตั งิ านของครูกับผลการเรยี นรู้ ของผูเ้ รียน 9. สรุปผลวธิ กี ารแก้ปัญหาท่ีได้ผลดตี ่อการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น 10. การเรยี นรู้ทางวิชาชพี อย่างต่อเนอ่ื งระหวา่ งการปฏบิ ัติงาน 11. บนั ทึกทุกขนั้ ตอนการทางานกลุ่ม: ระบปุ ัญหา วิธีแก้ การทดลองใช้ ผลท่ีได้ 12. การปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนในชนั้ เรยี น 13. แบ่งปันประสบการณ์ 14. การสรา้ งขวญั และกาลงั ใจในการปฏิบตั ิงาน ข้อเสนอแนะเพ่มิ เติม .................................................................................................................................................... ลงช่ือ………………………..……………..…………………… (…………………………………………………………) ตาแหนง่ ................................................................ ผู้สงั เกตการสอน

- ๓๐ - บนั ทกึ หลังกำรสอน สัปดำหท์ .ี่ ................ ช่อื วชิ า....................................................................................................รหสั วชิ า........................ แผนกวิชา.................................................วันท่สี อน........................................ หนว่ ยที่ ………….. รายการสอน……………………………...................................................…. จานวน ….......….. ชว่ั โมง ภาคเรยี นที่.................ปกี ารศึกษา................... จานวนผู้เรียน ชั้น................กลมุ่ ...........จานวน...........คน เขา้ เรยี น.........คน ขาดเรยี น........คน ชน้ั ...............กลุม่ ............จานวน...........คน เข้าเรียน.........คน ขาดเรยี น.......คน 1. เน้ือหำท่ีสอน (สำระสำคญั ) ………………………………………………………………............................................................................. .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 2. ผลกำรสอน ………………………………………………………………............................................................................. .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 3. ปญั หำ อปุ สรรค ที่เกดิ ขนึ้ ในระหวำ่ งกำรเรยี นกำรสอน ………………………………………………………………............................................................................. .................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................... 4. แนวทำงกำรแกป้ ัญหำของครูผู้สอน (แนวทำงกำรทำวิจัย) ………………………………………………………………............................................................................. .................................................................................................................................................... ลงช่ือ ................................................ผูส้ อน (................................................) .........../.........……/............... ลงชือ่ ................................................หัวหน้าแผนก (........................................) .........../.........……/...............

- ๓๑ - บนั ทึกชมุ ชนแห่งการเรยี นรวู้ ชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC) โรงเรยี น…….……ร่วมพฒั นาการศึกษาไทย…..………สังกดั ………………………สพป./สพม……………….. ช่ือกล่มุ กจิ กรรม…ปฏริ ูปการเรยี นรู้ สู่ Thailand 4.0…………………………………………………………….. ชอื่ กิจกรรม…สะทอ้ นผลการนาแผนการเรยี นร้ไู ปใชร้ ่วมกนั ……………………………………………………. จานวนสมาชิก 7 คน ครง้ั ที่ 2 วนั ท่ี 28 เดือน สิงหาคม พ.ศ. 2561 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา2561 จานวนสมาชกิ ที่เข้าร่วมกิจกรรมในคร้ังน้ี 7 คน จานวนชั่วโมง 2 ช่วั โมง เวลา 15.00 น.- 17.00 น. ประเดน็ …ผู้เรยี นสรา้ งนวัตกรรมไม่ได…้ ……………………………………………………………………………….. สำเหตุ ….ผ้เู รยี นไดเ้ รยี นรู้ดว้ ยวธิ ีการเรยี นรทู้ ส่ี อดคล้องกับแนวคิด Active Learning น้อย………… ควำมร/ู้ หลกั กำรท่ีนำมำใช้…1.แนวคิดการจัดการเรยี นรู้ Active Learning……………………………… …2.ทฤษฎกี ารเรียนรู้ Brain-based Learning…………….….……………… …3.ทฤษฎีการเรียนรู้ Constructivism………..…………….………………… …4.วธิ กี ารจัดการเรยี นรู้ STEM 6 ขน้ั ตอน………..…………….………….… กิจกรรมทท่ี ำ…ปฏิบัติการ PLC ดว้ ยเทคนคิ สุนทรยี สนทนา หรอื dialogue มีกจิ กรรม ดังนี้ กจิ กรรม Share ครแู ลกขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตการสอนซ่งึ กนั และกัน กิจกรรม Learn ครเู รียนรจู้ ากข้อมูลทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตการสอนร่วมกนั กจิ กรรม Grow ทมี ครู PLC มีแนวทางทดี่ ใี นการแกป้ ัญหาคณุ ภาพผ้เู รียนรว่ มกัน -จดั ทา/จัดหา ส่ือ นวัตกรรม ท่มี ีความสอดคล้องกับการแก้ปัญหา ไดว้ ิธกี ารจดั การเรียนรู้ STEM 6 ขนั้ ตอน มาใชใ้ นการจัด การเรียนรู้รว่ มกัน เพือ่ ใหก้ ารแกป้ ญั หาคุณภาพผู้เรียน เกิดผลสาเรจ็ ขน้ั ตอนที่ 1 ระบุปญั หาในชีวติ จริงทพ่ี บหรือนวตั กรรมที่ตอ้ งการพฒั นา ขน้ั ตอนท่ี 2 รวบรวมข้อมูลและแนวคดิ ท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ปัญหาหรอื นาไปสู่ การพัฒนานวัตกรรมน้ัน ขั้นตอนที่ 3 ออกแบบวิธีการแก้ปัญหาโดยเช่ือมโยงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวศิ วกรรม และคณติ ศาสตร์ ขน้ั ตอนท่ี 4 วางแผนและดาเนินการแกป้ ญั หาหรือพัฒนานวัตกรรม ขั้นตอนท่ี 5 ทดสอบ ประเมินผล และปรบั ปรุงนวตั กรรมได้ ขั้นตอนท่ี 6 นาเสนอวธิ ีการแกป้ ัญหา ผลการแกป้ ญั หาหรอื ผลของนวตั กรรม

- ๓๒ - ผลท่ีได้จำกกิจกรรม..…ได้นวตั กรรมการจัดการเรยี นรู้ ประกอบดว้ ย เทคนิคการสอนใหม่ กจิ กรรมการสอนใหม่ มาใชป้ ระกอบการจดั การเรียนรู้ STEM 6 ขั้นตอน ดงั นี้ ขั้นตอนที่ 1 ระบปุ ญั หาในชวี ิตจรงิ ที่พบหรือนวตั กรรมทตี่ ้องการพฒั นา ขน้ั ตอนท่ี 2 รวบรวมขอ้ มูลและแนวคดิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปญั หาหรือนาไปสู่ การพัฒนานวัตกรรมนน้ั ขั้นตอนท่ี 3 ออกแบบวธิ กี ารแก้ปญั หาโดยเชอ่ื มโยงความรูด้ ้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวศิ วกรรม และคณิตศาสตร์ ขั้นตอนท่ี 4 วางแผนและดาเนนิ การแก้ปัญหาหรอื พฒั นานวัตกรรม ขั้นตอนที่ 5 ทดสอบ ประเมนิ ผล และปรบั ปรุงแก้ไขวธิ กี ารแก้ปญั หา หรือพฒั นานวัตกรรมได้ ขนั้ ตอนท่ี 6 นาเสนอวธิ กี ารแกป้ ัญหา ผลการแก้ปัญหาหรอื ผลของนวัตกรรม ทพ่ี ัฒนาได้ กำรนำผลทไ่ี ดไ้ ปใช้...นาไปจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ ในคร้งั ตอ่ ไป ใหม้ คี ณุ ภาพ สูงสุด อ่นื ๆ…ทีมครู PLC ควรเตรยี มปฏบิ ตั ิการวจิ ยั ในชนั้ เรยี น ไปพรอ้ มๆกับการดาเนนิ การแกป้ ญั หาคณุ ภาพผเู้ รยี น ใน แต่ละสปั ดาห์ อยา่ งตอ่ เน่ือง…... สมำชกิ ทเี่ ข้ำรว่ มกจิ กรรมในคร้ังนี้ ท่ี ชื่อ-สกลุ บทบำท ลำยมอื ชื่อ 1 Model teacher 2 Buddy teacher 3 Buddy teacher 4 Buddy teacher 5 Buddy teacher 6 Expert 7 (ลงช่อื ) ผบู้ ันทกึ () ตาแหน่ง…………………………………………………………………………….

- ๓๓ - ตวั อย่ำง กำรเตรยี มกำรวจิ ยั ในชน้ั เรยี นเพอ่ื แกป้ ัญหำคณุ ภำพผูเ้ รยี น การดาเนินงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหา “ผู้เรียนสร้างนวัตกรรมไม่เป็น” ของผู้เรียน จะ ดาเนินการต่อเน่ือง 3 เดือน ซึ่งเป็นการปฏิบัติการวิจัยในช้ันเรียน ควบคู่กันไปกับการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ ทางวิชาชีพ หรือการทา PLC : Professional Learning Community จะปฏิบัติการได้ 3 วงรอบ ต่อเน่ืองเป็น วงจร P-A-O-R สอดคล้องกบั นงลกั ษณ์ วริ ัชชยั และ สวุ ิมล วอ่ งวาณชิ (2544 : 5) ที่ได้อธิบาย ดังภาพ ประเด็นปญั หำผเู้ รยี น พบปัญหาคุณภาพผูเ้ รียน “สร้างนวัตกรรมไม่เปน็ ” รวมทมี PLC ที่มเี ปำ้ หมำยเดียวกนั ผเู้ รยี น “สรา้ งนวตั กรรมเปน็ 100%” นวัตกรรมทีเ่ กดิ จำกกำรรวมทมี PLC ทีม่ เี ปำ้ หมำยเดยี วกัน นวัตกรรมการจดั การเรียนร้วู ธิ สี อน STEM Education 6 ข้นั ตอน ขอบเขตเวลำ วงรอบท่ี 1 จัดการเรียนการสอนเดือนพฤศจกิ ายน 2561 วงรอบท่ี 2 จัดการเรียนการสอนเดอื นธนั วาคม 2561 วงรอบท่ี 3 จดั การเรียนการสอนเดอื นมกราคม 2562

- ๓๔ - บนั ทกึ ชุมชนแห่งการเรียนรวู้ ชิ าชีพ (Professional Learning Community : PLC) โรงเรยี น…….……ร่วมพัฒนาการศึกษาไทย…..………สงั กัด………………………สพป./สพม……………….. ชอื่ กลมุ่ กจิ กรรม…ปฏิรูปการเรียนรู้ สู่ Thailand 4.0…………………………………………………………….. ชือ่ กิจกรรม…พัฒนาวิธีการสอนใหม่ ท่ีเนน้ ใหผ้ ู้เรยี นสรา้ งนวัตกรรม………………………………………… จานวนสมาชกิ 7 คน ครั้งท่ี 3 วนั ท่ี 4 เดอื น กนั ยายน พ.ศ. 2561 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา2561 จานวนสมาชกิ ท่เี ข้าร่วมกจิ กรรมในครงั้ นี้ 7 คน จานวนช่วั โมง 2 ช่วั โมง เวลา 15.00 น.- 17.00 น. ประเดน็ …ผู้เรยี นสร้างนวัตกรรมไมไ่ ด…้ ……………………………………………………………………………….. สำเหตุ ….ผเู้ รยี นได้เรียนร้ดู ว้ ยวิธกี ารเรียนรูท้ ี่สอดคลอ้ งกบั แนวคิด Active Learning นอ้ ย………… ควำมรู้/หลกั กำรทีน่ ำมำใช้… 1. การสร้างวธิ ีการสอนใหมท่ เี่ นน้ ใหผ้ ู้เรียนสร้างนวตั กรรม…………… 2. การสร้างนวตั กรรมผลลัพธ์ Thailand 4.0 ของผ้เู รียน………….… กจิ กรรมทท่ี ำ กลุม่ ครู PLC ปฏิบัติการ PLC ด้วยเทคนคิ สุนทรียสนทนา หรือ dialogue มี กจิ กรรม ดงั น้ี กจิ กรรม Share ครแู ลกเปลีย่ นความรูใ้ หม่ เกีย่ วกบั วิธีการสอนใหม่ การนาส่อื ประกอบการเรยี นรู้ ใหม่ เทคนคิ การสอนใหม่ ตลอดจนส่งิ แวดล้อมใหม่ มาแบ่งปนั ซง่ึ กันและกนั กจิ กรรม Learn ครเู รยี นรกู้ ารออกแบบวธิ กี ารสอนใหมท่ เ่ี น้นใหผ้ เู้ รยี นสร้าง นวัตกรรม (Innovation) ผลลัพธจ์ ากการเรียนรูส้ คู่ วามเป็นพลเมอื ง ยคุ Thailand 4.0 ในมติ ิ นวัตกรรม 3 มิติ คอื มิตนิ วตั กรรมผลิตภณั ฑ์ : Product Innovation มติ ินวัตกรรมกระบวนการ : Process Innovation และมติ นิ วตั กรรมการบริการ : Services Innovation กจิ กรรม Grow ทีมครู PLC มีวธิ ีการสอนใหม่ ช่อื วิธีสอน “คิดเปน็ เนน้ การสร้างนวัตกรรม 7 ข้ันตอน” มขี ัน้ ตอนการสอน ดงั นี้ ขั้นตอนท่ี 1 คิดเปน็ เนน้ คุณคา่ กับทรัพยากร ขั้นตอนท่ี 2 สรา้ ง Brand นวตั กรรมนารายได้ ขน้ั ตอนที่ 3 หลากหลายแนวทางการผลิต ขน้ั ตอนท่ี 4 วางผังแนวคดิ เชอื่ มโยงความรู้ด้านวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวศิ วกรรม และคณิตศาสตร์ ขนั้ ตอนที่ 5 ปฏิบตั ิการพฒั นานวตั กรรม ขน้ั ตอนที่ 6 ประกนั คุณภาพนวตั กรรม ข้ันตอนท่ี 7 นาสูก่ ารขายสรา้ งรายได้แบบยง่ั ยนื ผลที่ไดจ้ ำกกจิ กรรม…ได้วิธีสอนใหม่ ชอื่ “คดิ เป็นเน้นการสร้างนวตั กรรม 7 ขั้นตอน” กำรนำผลทีไ่ ดไ้ ปใช้…นาไปจดั การเรียนการสอนและนาไปใช้เป็นนวัตกรรมวิจยั ในชัน้ เรียน………..

- ๓๕ - ประเดน็ ปัญหำผ้เู รยี น พบปัญหาคุณภาพผ้เู รียน “สรา้ งนวัตกรรมไม่เป็น” รวมทีม PLC ท่ีมีเปำ้ หมำยเดียวกัน ผู้เรยี น “สร้างนวัตกรรมเป็น 100%” นวตั กรรมทีเ่ กดิ จำกกำรรวมทีม PLC ทมี่ เี ปำ้ หมำยเดียวกัน วิธสี อน “คดิ เปน็ เน้นการสรา้ งนวตั กรรม 7 ขั้นตอน” ขอบเขตเวลำ วงรอบที่ 1 จดั การเรยี นการสอนเดือนพฤศจิกายน 2561 วงรอบท่ี 2 จัดการเรยี นการสอนเดอื นธนั วาคม 2561 วงรอบที่ 3 จัดการเรียนการสอนเดือนมกราคม 2562 อ่นื ๆ…ควรเขยี นเค้าโครงวิจัยในช้ันเรียน ประกอบการวางแผนวจิ ัยในชน้ั เรียน ไปในคราวน้ี ดว้ ย… สมำชิกท่เี ขำ้ รว่ มกิจกรรมในครัง้ น้ี ที่ ชื่อ-สกลุ บทบำท ลำยมือช่อื 1 Model teacher 2 Buddy teacher 3 Buddy teacher 4 Buddy teacher 5 Buddy teacher 6 Expert 7 (ลงชอ่ื ) ผูบ้ ันทกึ () ตาแหน่ง…………………………………………………………………………….

บรรณำนุกรม กรองทอง จิรเดชากลุ . (2550). คมู่ ือกำรนิเทศภำยในโรงเรยี น. กรงุ เทพฯ: ธารอกั ษร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำนพุทธศักรำช 2551. กรุงเทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กติ มิ า ปรีดดี ลิ ก. (2541). กำรบรหิ ำรและกำรนิเทศกำรศกึ ษำเบื้องตน้ . กรงุ เทพฯ: อกั ษรบัณฑติ . กิติมา ปรีดีดิลก. (2553). กำรบริหำรและกำรนิเทศกำรศึกษำเบ้ืองต้น. (พิมพ์คร้ังท่ี 4). กรุงเทพฯ: อักษราพิพัฒน.์ เกรียงศักด์ิ เรอื งแสง. (2550). ปัญหำกำรนเิ ทศภำยในโรงเรยี น สังกดั สำนกั งำนเขตพน้ื ทกี่ ำรศึกษำ ปรำจีนบรุ ี. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ใน พระบรมราชูปถมั ภ,์ ปทมุ ธาน.ี จอมพงศ์ มงคลวนิช. (2554). กำรศึกษำสู่กำรพฒั นำที่ย่ังยืน: กำรบริหำรองค์กำรและบุคลำกรทำงกำรศึกษำ. กรุงเทพฯ: สถาบนั เทคโนโลยีสยาม. จันทรานี สงวนนาม. (2553). ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในกำรบริหำรสถำนศึกษำ. (พิมพ์คร้ังที่ 3). นนทบุรี : บุค๊ พอยท์. ชารี มณีศร.ี (2538). กำรนิเทศกำรศึกษำ. (พมิ พ์คร้งั ท่ี 3). กรงุ เทพมหานคร : ศลิ ปะบรรณาคาร. ชารี มณีศร.ี (2542). กำรนิเทศกำรศึกษำ. (พมิ พค์ รง้ั ท4ี่ ). กรุงเทพฯ: อมรการพมิ พ.์ ดุสิต ทิวถนอม. (2540). กำรนิเทศกำรศึกษำ: หลักกำรและกำรปฏิบัติ. นครปฐม: โครงการ ส่งเสริมการผลิต ตาราและเอกสารการสอน. คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศลิ ปาร. นริศรา อุปกรณ์ศิริการ. (2542). กำรรับรู้ ในกำรปฏิบัติกำรนิเทศภำยในโรงเรียนของผู้เก่ียวข้องกับกำรนิเทศ ภำยในโรงเรียนมัธยมศึกษำ สังกัดกรมสำมัญศึกษำ เขตกำรศึกษำ 12. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การบรหิ ารการศกึ ษา). กรุงเทพฯ: บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรีนคริ นทรวิโรฒ. ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2553). จิตวิทยำกำรบริหำรงำนบุคคล. กรุงเทพฯ: ศูนย์ส่ือเสริมกรุงเทพ. ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั ราชภัฏนครราชสมี า. ปรียาพร วงศอ์ นุตรโรจน์. (2553). จิตวิทยำกำรบริหำรงำนบคุ คล. กรุงเทพฯ : ศูนย์สอื่ เสรมิ . ภาณุเดช เพยี รความสขุ และคณะ. (2558) . ควำมพึงพอใจของนักศึกษำทม่ี ีตอ่ กำรใหบ้ ริกำรของสำนักสง่ เสรมิ วิชำกำรและงำนทะเบียนมหำวิทยำลัยรำชภัฏอุบลรำชธำนี. อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธาน.ี เมตต์ เมตต์การุณจิต. (2543). กำรนเิ ทศภำยในโรงเรียนประถมศึกษำ. วารสารวชิ าการ 4,12 (2543): 54. เยาวพา เดชะคุปต.์ (2542). กำรบรหิ ำรและกำรนเิ ทศกำรศึกษำปฐมวยั . กรุงเทพฯ: แมค. วรสิทธิ์ วรรณพงศ์. (2553). กำรศึกษำสภำพปัญหำและแนวทำงแก้ไขปัญหำกำรนิเทศภำยในของผู้บริหำร สถำนศึกษำ สงั กัดเทศบำลในภำคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื . วิทยานพิ นธ์ . วไลรตั น์ บญุ สวัสดิ.์ (2540). หลักกำรนิเทศกำรศึกษำ. กรงุ เทพมหานคร : คุรุสภาลาดพร้าว. วัชรา เล่าเรียนดี. (2550). กำรนิเทศกำรสอน. นครปฐม: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ศิลปากร.

บรรณำนุกรม(ต่อ) วิไลวรรณ ประดับวัน. (2555). กำรนิเทศกำรศึกษำในสถำนศึกษำข้ันพื้นฐำน สังกัดสำนักงำนเขตพ้ืนที่ กำรศึกษำประถมศึกษำร้อยเอ็ด เขต 3. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ, ขอนแกน่ . สงัด อุทรานันท์. (2530). กำรนิเทศกำรศึกษำ: หลักการ ทฤษฎี และการปฏิบัติ .พิมพ์คร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ: มติ รสยาม. สมนึก โกเสนตอ. (2551). แนวทำงกำรพัฒนำกำรนิเทศภำยในโรงเรียน โครงกำรขยำยโอกำสทำงกำรศึกษำ โรงเรียนบำ้ นแม่ลำก สังกัดสำนักงำนเขตพน้ื ทก่ี ำรศึกษำเชียงรำย เขต 3 จังหวัดเชียงรำย. การศึกษา อิสระครุศาสตรมหาบณั ฑิต บัณฑิตวทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลัยราชภฏั เชียงราย. สมพงศ์ เกสร. (2552). กำรดำเนินกำรนิเทศภำยในตำมควำมคิดเห็นของครูและผู้บริหำรกำรศึกษำ ระดับ ประถมศึกษำ สำนักงำนเขตพ้ืนที่กำรศึกษำประถมศึกษำนครศรีธรรมรำช เขต 1. วิทยานิพนธ์ ครศุ าสตรมหาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรธี รรมราช. สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2541). กำรนิเทศภำยในโรงเรียนประถมศึกษำ อย่ำงเป็น ระบบ. กรุงเทพมหานคร : คุรสุ ภาลาดพร้าว สุดา ภักดีอิ่ม. (2556). กำรดำเนินงำนนิเทศภำยในของสถำนศึกษำในกลุ่มเครือข่ำยส่งเสริม ประสิทธิภำพ กำรจัดกำรศึกษำกลุ่มที่ 5 สังกัดสำนักงำนเขตพ้ืนที่กำรศึกษำประถมศึกษำ ปทุมธำนี เขต 1. สารนิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาการบรหิ าร สงคราม มงั คะละ. (2552). กำรนิเทศภำยในโรงเรยี น. เชยี งราย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย. สุเทพ เมฆ. (2540). กำรนิเทศภำยในโรงเรยี น. วารสารการศกึ ษาเอกชน 7,70 (พฤศจกิ ายน 2540). เสงี่ยม โชติรักศ์. (2552). กำรนิเทศภำยในของโรงเรยี นบำ้ นหนองบวั อำเภอเทิง สำนกั งำนเขตพ้นื ทก่ี ำรศึกษำ ประถมศึกษำเชียงรำย เขต 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยราชภัฏ เชยี งราย. Anello, Franciso Rafael. (1 9 9 6 , February). Behaviors and Attitudes of Teacher and Principals Concerning Effective Supervision,Dissertation Abstracts International. 56(80): 2941-A. Glickman, C.D. (2 0 0 9 ) . The Basic Guide to Supervision and Instructional Leadership. 2 nd ed. Boston: Pearson Education. Lee, Alison.; & Green, Bill. (2 0 0 9 , September). Supervision as Metaphor. Studies in Higher Education, v3 4 n6.615-630. Wallace, Melanie J. Drake; Wilcoxon, S. Allen; & Satcher, Jamie. (2010, Spring). Productive and Nonproductive Counselor Supervision: Best and Worst.

คณะผ้จู ดั ทำ 1 นายสมโภช จาปาทพิ ย์ ตาแหนง่ ผ้อู านวยการโรงเรียน ประธานคณะทางาน รองประธานคณะทางาน 2 นายนิวัติ พอใจ ตาแหนง่ รองผ้อู านวยการโรงเรียน คณะทางาน คณะทางาน 3 นางสาวสธุ าลินี ศรสี ขุ ตาแหน่ง ครชู านาญการ คณะทางาน คณะทางาน 4 นางดาราวัลย์ ใจนา ตาแหน่ง ครชู านาญการ คณะทางาน คณะทางาน 5 นางนิภา เสน้ แก้วใส ตาแหน่ง ครชู านาญการพิเศษ คณะทางาน คณะทางาน 6 นางยพุ ิน ไชยวรรณ์ ตาแหน่ง ครูชานาญการพเิ ศษ คณะทางาน คณะทางาน 7 นางรุง่ ทวิ า ถานอ้ ย ตาแหน่ง ครชู านาญการพิเศษ คณะทางาน คณะทางาน 8 นางพลบั พลงึ จมุ้ คามลู ตาแหน่ง ครูชานาญการ คณะทางาน คณะทางาน 9 นางธรี ารตั น์ เทอื กเถาสาร ตาแหน่ง ครูชานาญการ คณะทางาน คณะทางาน 1๐ นางจิราพรรณ จนั ทรม์ ณี ตาแหนง่ ครูชานาญการพิเศษ คณะทางาน คณะทางาน 1๑ นางสมฤทัย นาคพทิ ักษ์ ตาแหนง่ ครูชานาญการพิเศษ คณะทางาน คณะทางาน 1๒ นางสาวนฤมล ปูปินตา ตาแหนง่ ครู คณะทางาน คณะทางาน 1๓ นายวสิ ิทธ์ิ ปนั สที อง ตาแหนง่ ครูชานาญการ คณะทางาน คณะทางาน 1๔ นางกนกภรณ์ โอภาสสมุทรชัย ตาแหน่ง ครู คณะทางาน คณะทางาน 1๕ นางสาวฐิตยิ วดี วงศธ์ ิดา ตาแหน่ง ครูชานาญการ คณะทางาน คณะทางาน 1๖ นางสาวเกษราภรณ์ วังใจฟู ตาแหน่ง ครชู านาญการพเิ ศษ 1๗ นางอรณุ ี ปินตาปลูก ตาแหนง่ ครูชานาญการ 1๘ นางยุวดี แปงสนทิ ตาแหนง่ ครชู านาญการพิเศษ ๑๙ นางขนิษฐา บริสุทธศ์ิ รี ตาแหน่ง ครูชานาญการพิเศษ 2๐ นางสาวพชิ ามญช์ุ ขลิบเงนิ ตาแหน่ง ครู 2๑ นางสาวสุพศิ จกั ขุ ตาแหนง่ ครูชานาญการพิเศษ 2๒ นางสาวรชั ดาภรณ์ ศรชี ัยตนั ตาแหนง่ ครูชานาญการพิเศษ 2๓ นางนิลาวัณย์ สุวรรณจักร์ ตาแหน่ง ครูชานาญการพิเศษ 2๔ นายพศนิ ทาฟู ตาแหนง่ ครชู านาญการพเิ ศษ 2๕ นางสาวอุบลวรรณ เปง่ ใส ตาแหนง่ พนักงานราชการ 2๖ นางสาวอลิษา อรยิ ะ ตาแหน่ง ครูอัตราจ้าง 2๗ นายยทุ ธนา การุณ ตาแหน่ง ครูอัตราจา้ ง ๒๘ นางสาวธัญพร อนิ ถาสาน ตาแหนง่ ครูอตั ราจา้ ง ๒๙ นางสาวเรยี ม กา๋ ขัติ ตาแหนง่ ครอู ตั ราจ้าง 3๐ นางสาวภคพร เหลา่ อู ตาแหน่ง ครูอัตราจ้าง

คณะผ้จู ดั ทำ (ตอ่ ) 3๑ นางปณั ณิชา กาศสนกุ ตาแหน่ง ครูอตั ราจ้าง คณะทางาน คณะทางาน 3๒ นางสาวกัญญานฐั โท้นพราหม ตาแหน่ง ครูอัตราจ้าง คณะทางาน คณะทางาน 3๓ นายชนนท์ ชยั ศรีวี ตาแหนง่ ครอู ัตราจ้าง คณะทางาน คณะทางาน 3๔ นางสาวสุภาพร แกว้ ชมภู ตาแหนง่ ครอู ตั ราจา้ ง คณะทางาน คณะทางาน 3๕ นางสาวนภัสสร เช่ียวชาญ ตาแหนง่ ครูอตั ราจ้าง คณะทางาน 3๖ นางสาวปิยาภัทร อินผูก ตาแหนง่ พี่เลี้ยงเด็กพกิ าร ๓๗ นางสาวกมลวรรณ คนสุข ตาแหน่ง ครกู ารศกึ ษาพเิ ศษ ๓๘ นางศรีนวล แก้วรว่ มวงค์ ตาแหน่ง ครูการศกึ ษาพิเศษ ๓๙ นางสาวภานติ า ยศปัน ตาแหน่ง ครู ..................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook