พระพุทธศาสนา ม.๔-๖ หนว่ ยที่ ๑๐ การบริหารจิตและเจรญิ ปญั ญา
การบรหิ ารจติ และการเจริญปัญญา 1. การบริหารจติ การบริหารจิต หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตให้เจริญและประณีต ยิ่งขึ้น มีความปลอดโปร่ง มีความหนักแน่นม่ันคง โดยเริ่มจากการฝึกฝนจิตให้เกิดสติ และฝึกสมาธิให้เกิดขึ้นในจิต
การบรหิ ารจิตและการเจรญิ ปัญญา วิธีการบริหารจิตตามหลกั สตปิ ฏั ฐาน ๔ การบริหารจิตตามหลักสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกาหนดพิจารณาส่ิง ทั้งหลายให้รู้เหน็ ตามความเป็นจรงิ ตามทีส่ งิ่ นนั้ ๆ เป็น ๑) กายานุปัสสนาสติปฏั ฐาน หมายถงึ การต้ังสติกาหนดพิจารณากาย ใหร้ ู้เห็นตามเป็นจริงวา่ เป็นแต่เพียงกาย ไมใ่ ช่สัตวบ์ คุ คลเราเขา มวี ิธีปฏบิ ตั ิหลายวธิ ี คือ - อานาปานสติ - อริ ิยาบถ - สัมปชญั ญะ - ปฏิกลู มนสกิ าร - ธาตุมนสิการ - นวสีวถิกา
การบริหารจติ และการเจรญิ ปญั ญา ๒) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกาหนดพิจารณาเวทนา ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพยี งเวทนา ไม่ใชส่ ัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีสติรู้ชดั เวทนาอัน เป็นสุขก็ดี ทุกข์ก็ดี เฉย ๆ ก็ดี ทั้งที่เป็นสามิส (เจือด้วยอามิส คือ เคร่ืองล่อ) และเป็นนิรามิส (ไมม่ ีอามสิ คือ เหย่ือท่เี ปน็ เครื่องล่อใจ) ตามที่เปน็ ไปอยู่ในขณะนนั้ ๓) จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกาหนดพิจารณาจิตให้รู้เห็น ตามเป็นจริงว่า เป็นแตเ่ พยี งจิต ไม่ใชส่ ัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีสติรู้ชัดจิตของตนท่ีมีราคะ ไม่มี ราคะ มีโทสะ ไม่มีโทสะ มีโมหะ ไม่มีโมหะ เศร้าหมองหรือผ่องแผ้ว ฟุ้งซ่านหรือเป็นสมาธิอย่างไร ตามทเ่ี ปน็ ไปอย่ใู นขณะนน้ั ๆ
การบรหิ ารจติ และการเจรญิ ปัญญา ๔) ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หมายถึง การต้ังสติกาหนดพิจารณาธรรม ให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา มีสติรู้ชัดธรรม ทั้งหลาย ไดแ้ ก่ นวิ รณ์ ๕ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสจั ๔ ว่าคืออะไร เป็นอยา่ งไร มีในตนหรอื ไม่ เกิดขึน้ เจรญิ บริบรู ณ์ และดับไปได้อยา่ งไร ตามทเ่ี ปน็ จรงิ ของมนั อยา่ งนั้น
การบริหารจติ และการเจรญิ ปัญญา อานาปานสติ คือ วิธีการบริหารจิตกล่าวเฉพาะการตั้งสติกาหนดพิจารณากายในอิริยาบถนั่ง โดยการกาหนดลมหายใจเขา้ -ออก ขนั้ เตรยี ม ๑. เลอื กสถานทที่ เ่ี หมาะสม เช่น สถานท่ปี ลอดโปร่ง ไมม่ เี สียงรบกวน ๒. เลือกเวลาทเี่ หมาะสม เช่น ตอนเชา้ ก่อนนอน เวลาทีใ่ ช้ไมค่ วรนานเกนิ ไป ๓. สมาทานศลี เป็นการแสดงเจตนาเพื่อทาใจใหบ้ รสิ ทุ ธ์ิสะอาด ๔. นมสั การพระรตั นตรยั และสวดมนตส์ รรเสริญคณุ พระรตั นตรยั ๕. ตัดความกังวลต่าง ๆ ออกไป
การบริหารจิตและการเจริญปญั ญา ข้นั ตอนปฏิบัติ ๑. นง่ั ทา่ สมาธิ คือ เทา้ ขวาทับเท้าซา้ ย มอื ขวาวางทับมอื ซ้าย ต้งั ตวั ตรง ดารงสติมน่ั ๒. หลบั ตาหรือลมื ตาก็ได้อยา่ งไหนไดผ้ ลดกี ป็ ฏบิ ตั อิ ย่างนน้ั ๓. กาหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก ลมหายใจกระทบตรงไหนกร็ ชู้ ดั เจนให้กาหนดตรงจดุ นนั้ ๔. เมื่อลมหายใจเขา้ -ออก จะกาหนดภาวนาดว้ ยหรือไมก่ ไ็ ด้ แลว้ แต่ผู้ปฏิบตั ิ ๕. ปฏิบตั ิไปเรือ่ ย ๆ จนไดเ้ วลาพอควรแก่รา่ งกาย จงึ ออกจากการปฏบิ ัติ ๖. แผเ่ มตตาใหต้ นเองและสรรพสตั วท์ ้ังหลาย
การบริหารจิตและการเจรญิ ปัญญา ประโยชน์ของการบรหิ ารจติ เพอ่ื พฒั นาการเรยี นรู้ คณุ ภาพชวี ติ และสงั คม ในพระพทุ ธศาสนาเรยี กการบริหารจิตและเจริญปัญญาว่า สมถวปิ สั สนา ประโยชน์ของ ๑) ประโยชนข์ องสมาธิ ผู้ท่ีมีสมาธมิ ั่นคงย่อมมีจิตใจทพ่ี ร้อมจะกระทา สมถวิปสั สนา สงิ่ ตา่ ง ๆ ให้สาเร็จไดโ้ ดยงา่ ย และทสี่ าคญั คือ ชว่ ยควบคุมกเิ ลสทางด้าน การศึกษาเลา่ เรยี น เมื่อมีสมาธทิ ตี่ ัง้ มน่ั การศกึ ษาย่อมจะไดผ้ ลดขี นึ้ ๒) ประโยชนข์ องปัญญา จิตท่ีสงบดแี ลว้ ย่อมเห็นส่งิ ทั้งหลายตามความ เปน็ จรงิ คือ การเกิดปัญญา ประโยชน์ของปัญญาน้ันมีหลายลกั ษณะ ด้วยกนั เชน่ ก่อใหเ้ กดิ ความเจรญิ รุง่ เรอื งและความสาเรจ็ ในชวี ติ เมอื่ เกิดปัญหา ผู้ที่มีปญั ญาก็สามารถแกไ้ ขใหส้ าเรจ็ ไปไดด้ ว้ ยดี
Search
Read the Text Version
- 1 - 8
Pages: