เรอ่ื งการสอ่ื สาร วทิ ยาลยั เทคโนโลยที กั ษิณอาชวี ศกึ ษา นางสาวภัทราวดี จุตภิ าค
ค�ำ น�ำ มนุษยม์ ีธรรมชาติทีต่ อ้ งการอยรู่ วมกนั เป็นกลุ่ม ตอ้ งการความรัก ความเขา้ ใจและ ความไว้วางใจจากกลมุ่ และบุคคลอนื่ การสอ่ื สารจงึ เปน็ สิง่ ส�ำ คัญท่ชี ่วยใหม้ นุษยไ์ ดร้ บั ส่งิ เหล่านน้ั การส่ือสารช่วยใหม้ นษุ ย์เกดิ ความพงึ พอใจ ความเข้าใจกัน ความรู้สกึ ทด่ี ีตอ่ กนั และไว้วางใจกัน การสื่อสารของมนุษย์นั้นได้รับการพัฒนาตลอดเวลาอย่างต่อเนื่องจากอดีตจนถึง ปัจจุบันไม่ว่าจะสมัยโบราณหรือสมัยปัจจุบันต่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเข้าใจให้ เกิดขึ้นระหว่างกัน การสื่อสารเปน็ การส่อื สารความคดิ ของคนหน่งึ หรอื กลมุ่ หนง่ึ เพอื่ จะ ใหบ้ คุ คลอ่ืนทราบว่าตอ้ งการอะไรหรือตอ้ งการส่อื อะไร วธิ ใี นการสื่อสารจงึ มกี ารพฒั นา มาตลอด และมีความยงุ่ ยากซบั ซอ้ นมากขนึ้ โดยเฉพาะในสงั คมปัจจบุ นั ซงึ่ ไดม้ ีการสร้าง เคร่ืองมือและอุปกรณต์ ่าง ๆ มากมายเปน็ เคร่ืองมือชว่ ยทำ�หนา้ ที่ในการส่ือสาร อย่างไร กต็ ามในฐานะท่เี ปน็ มนษุ ย์ซึง่ ตอ้ งใชก้ ารสอื่ สารอยู่ตลอดเวลา จงึ จ�ำ เป็นตอ้ งทราบเก่ยี วกบั ความหมายและความสำ�คญั ของการสอื่ สาร องคป์ ระกอบของการส่ือสาร ส่อื ท่ีใช้ในการ สือ่ สาร การสือ่ สารเชงิ วจั นะและอวัจนะ เพอ่ื นำ�ความรู้มาปรับปรุงและพฒั นาการสือ่ สาร ให้มีประสทิ ธภิ าพมากยงิ่ ข้นึ นางสาวภทั ราวดี จุตภิ าค
ความหมายของการสอื่ สาร การสื่อสาร ตรงกบั ภาษาองั กฤษวา่ Communication แปลความเปน็ ภาษาไทยและ ใชก้ นั หลายค�ำ เชน่ การติดตอ่ สือ่ สาร การส่ือความหมาย การส่อื สาร ถ้าแปลตามรูปศัพท์ เดิม การสอ่ื สาร หมายถงึ กจิ กรรมทีม่ ่งุ สร้างความร่วมมือหรอื คลา้ ยคลึงกนั ใหเ้ กิดข้นึ ระหวา่ งบคุ คลที่เกยี่ วข้องนอกจากนี้ยังมีผใู้ หค้ วามหมายไวต้ า่ ง ๆ กัน ดงั น้ี ปรมะ สตะเวทิน ( 2537 : 7 )กล่าววา่ การสือ่ สาร คอื กระบวนการของการถ่ายทอดสาร ( Message ) ด้วยจากบคุ คลฝ่ายหนงึ่ ซงึ่ เรียกวา่ ผ้สู ง่ สาร ( Source ) ไปยังบคุ คลอกี ฝา่ ย หนง่ึ ซ่ึงเรียกว่า ผรู้ บั สาร ( Receiver ) โดยผ่านสื่อ ( Channel ) ราตรี พฒั นรงั สรรค์ (2542 : 165 ) กล่าววา่ การตดิ ต่อสอ่ื สาร คอื กระบวนการถ่ายทอด หรอื แลกเปลย่ี นความคดิ ขอ้ มูล ขอ้ เท็จจรงิ หรอื ความรสู้ ึกซ่งึ อาจเป็นรูปของคำ� ตัวอกั ษร สัญลกั ษณ์ เรียกวา่ ข่าวสาร บุคคลฝ่ายหนึง่ เรยี กกว่า ผู้สง่ สาร ส่งไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกผูร้ บั สาร โดยผา่ นสอื่ ต่าง ๆ เพือ่ ใหบ้ ุคคลหรือกลมุ่ บุคคลอนื่ ได้เขา้ ใจความหมายตาม เจตนาที่ต้องการ และชว่ ยป้องกันความเขา้ ใจผิดระหว่างกันและกันอกี วริ ัช ลภิรตั นกุล ( 2546 : 159 ) กล่าววา่ การสอื่ สาร คอื กระบวนการในการส่งผ่านหรอื สื่อความหมายระหว่างบุคคล สังคมมนุษยเ์ ปน็ สงั คมทีส่ มาชิกสามารถใชค้ วามสามารถของ ตนสื่อความหมายใหผ้ ้อู ่ืนเขา้ ใจได้ โดยแสดงออกในรปู ของความตอ้ งการ ความปรารถนา ความรสู้ ึกนึกคิด ความรู้ และประสบการณ์ตา่ ง ๆ จากบุคคลหน่งึ ไปสอู่ กี บุคคลหน่ึง จากท่กี ลา่ วมาข้างตน้ สรปุ ไดว้ ่า การส่ือสาร หมายถึง กระบวนการในการส่งสาร หรอื แลกเปลี่ยนข่าวสาร ความคดิ ความรู้สกึ ระหวา่ งบุคคล เน้นความสัมพนั ธ์ของมนษุ ย์ ซึ่ง กระบวนการทเ่ี กดิ ขึน้ น้นั เพอ่ื สรา้ งความเข้าใจอันดีตอ่ กัน
ความส�ำ คัญของการสือ่ สาร การสื่อสารมีความสำ�คัญต่อมนษุ ย์ 5 ประการ สรุปไดด้ งั น้ี 1.2.1 ความส�ำ คญั ตอ่ ชวี ิตประจาวัน การสือ่ สารมบี ทบาททส่ี �ำ คัญย่ิงตอ่ ชวี ติ ประจำ�วัน ในวนั หนึ่งเราใช้การสอื่ สาร ตลอดเวลา ทงั้ การส่ือสารกับตนเอง การสือ่ สารกบั ผอู้ ื่น ตั้งแต่บุคคลในครอบครวั กลุ่ม เพอื่ นผรู้ ว่ มงาน และทกุ กจิ กรรมในการด�ำ รงชีวิต กต็ อ้ งใช้การสอื่ สารท้งั นน้ั จงึ สรุปไดด้ ังนี้ 1) การสือ่ สารท�ำ ให้เราสามารถรบั ร้คู วามร้สู กึ นกึ คดิ และความตอ้ งการของบคุ คลอ่ืนได้ 2) การส่อื สารท�ำ ใหเ้ กิดความสมั พนั ธ์ท่ดี ตี ่อกัน เพราะการส่ือสารเปน็ ส่วนหน่ึงในการสรา้ ง ความสมั พันธ์กบั บุคคลอน่ื ต้ังแต่การสรา้ งความสมั พนั ธใ์ นครอบครวั และบคุ คลตา่ ง ๆ ในสังคม 3) การสอ่ื สารทำ�ให้เกดิ การพักผ่อนหยอ่ นใจ ความสุนทรีย์ การผ่อนคลายอารมณแ์ ละเกิด ความเพลดิ เพลนิ ทางจิตใจ และความสุขในชวี ิต 4)การสื่อสารช่วยในการสร้างเอกลักษณ์ของบุคคลทำ�ให้เข้าใจตนเองและผู้อ่ืนรู้จัก แสดงออกพฤตกิ รรมในดา้ นตา่ ง ๆ รวมทั้งทาให้รู้จักบทบาทของตนเองและผู้อื่น 5)การสื่อสารท�ำ ใหเ้ กิดการเรียนรู้ การแลกเปล่ียนความรู้ สง่ ผลตอ่ การพัฒนา ดา้ นสติ ปัญญา ความถนดั ความสนใจ ทกั ษะตา่ ง ๆ ในการด�ำ เนนิ ชีวติ และมโี ลกทศั นม์ ากขึ้น 6) กาส่ือสารช่วยสอดสอ่ งดูแลส่ิงแวดลอ้ มและทำ�ใหท้ ราบถึงการเปลีย่ นแปลงตา่ ง ๆ ท่ีเกิด ขึน้ ซ่งึ เป็นขอ้ มลู หรือข่าวสาร แล้วมกี ารนำ�มาเผยแพรห่ รอื แลกเปลยี่ นกัน ซึ่งทำ�ใหเ้ กดิ การ รบั ร้ขู ้อมลู และปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม รวมท้งั ยงั เป็นการ ร่วมช่วยกันดแู ลและอนรุ กั ษส์ ิง่ แวดล้อมดว้ ย
1.2.2 ความส�ำ คัญต่อความเปน็ สังคม มนษุ ยร์ วมตัวกันเปน็ กลมุ่ สงั คมได้ต้ังแต่สงั คมเลก็ ระดบั ครอบครัว จนถงึ สังคม ทใี่ หญร่ ะดบั ประเทศและระดับโลกได้ ก็เพราะอาศัยการส่ือสารเปน็ พ้นื ฐาน เมอื่ มนษุ ย์อยู่ รวมกนั และดำ�เนนิ ชีวิตร่วมกัน ก็ย่อมตอ้ งมขี อ้ ตกลงกัน โดยกำ�หนดเป็นระเบยี บ กติกา ต่าง ๆ เพอื่ ใชเ้ ปน็ กฎเกณฑต์ ่าง ๆ ของสังคม ทำ�ให้สังคมนัน้ ๆ ด�ำ รงอยูไ่ ด้ และมนษุ ย์กใ็ ช้ การสื่อสารทำ�ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจกนั อนั ดตี ่อกนั และการทีส่ งั คมมนษุ ยไ์ ดร้ ับการพัฒนามา ตลอดเวลาและอยา่ งต่อเน่อื ง กเ็ พราะใชก้ ารสือ่ สารเป็นสายใยแหง่ การสบื ทอดวัฒนธรรม ประเพณี ความรู้สึกนึกคิดของคนรนุ่ หน่งึ มาสู่คนอีกรุน่ หนงึ่ อยา่ ง 1.2.3 ความส�ำ คญั ตอ่ อุตสาหกรรมและธุรกจิ ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจ ต้ังแต่ขั้นตอนการตลาด การขาย การจดั หา วตั ถุดิบ การวางแผนการผลติ การผลิต การเงิน การบญั ชี และการบริหารงานบุคคล ตอ้ ง ใชก้ ารสือ่ สารทุกขัน้ ตอน นบั ตง้ั แต่การสื่อสารกนั ระหว่างบุคคล จนกระทง่ั ถึงการสือ่ สาร กับมวลชน เช่น การโฆษณา ประชาสมั พนั ธ์ โดยเฉพาะในปัจจุบนั การสื่อสารไดเ้ ขา้ มามี บทบาทส�ำ คญั และกลายเปน็ เรอื่ งจาเป็นมากดา้ นธุรกจิ รวมทั้งได้มีการน�ำ เทคโนโลยใี หม่ ๆ มาใช้ในการสื่อสารมากมาย 1.2.4 ความส�ำ คัญต่อการปกครอง การปกครองไมว่ า่ จะเปน็ การปกครองระดบั ใด หรือการปกครองระบบใดก็ตาม ผู้ปกครองและผู้ถกู ปกครอง จะต้องมีการตกลงร่วมกันในกฎเกณฑ์หรือระเบียบต่าง ๆ ผู้ ปกครองตอ้ งเผยแพร่ขา่ วสารเหล่านี้ให้ผู้ถูกปกครองทราบทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทงั้ ประชาชนหรอื ผ้ถู กู ปกครองก็จะตอ้ งสอื่ สารเรอ่ื งต่าง ๆ ไปยงั ผู้ปกครองด้วย เพื่อความสงบ สขุ ของบ้านเมืองเปน็ ส�ำ คญั
1.2.5 ความสำ�คญั ต่อการเมอื งและเศรษฐกิจ ทุกประเทศมกี ารตดิ ตอ่ ส่ือสารกันท้ังทางดา้ นการเมอื ง และเศรษฐกจิ และปัจจบุ ันมีหน่วย งานหรือองคก์ รของแตล่ ะประเทศ ที่ทำ�หนา้ ท่ตี ิดต่อสื่อสารข่าวการเมืองและเศรษฐกิจ ทง้ั ในประเทศและระหวา่ งประเทศ เพอ่ื การสรา้ งเครอื ข่ายหรือพันธมติ ร ซงึ่ การส่อื สาร มวลชนก็เขา้ มามบี ทบาทรว่ มด้วยเชน่ กัน 1.3 องคป์ ระกอบของการส่อื สาร องคป์ ระกอบของการสอ่ื สาร ประกอบดว้ ย ผู้ส่งสาร(Sender) สารหรือข้อมูล(Message) และผรู้ บั สาร( Receiver) โดยผู้ส่งสารจะสง่ สารผ่านสอ่ื ต่าง ๆ เช่น คำ�พดู กรยิ าทา่ ทาง การเขียน รูปภาพ หรือสัญลกั ษณ์ ฯลฯ ซึ่งสามารถแสดงไดด้ ังภาพ ผู้ส่งสาร สาร(ข้อมูล) ขอ้ มลู ผู้รับสาร ปฏกิ ริ ยิ าตอบสนอง / ข้อมลู ย้อนกลับ 1.1 องคป์ ระกอบของการสอ่ื สาร สื่อ ได้แก่ - ภาษาพดู (วาจา) เช่น คำ�พูด เพลง ค�ำ กลอน ฯลฯ - ภาษาเขยี น เช่น จดหมาย ขอ้ ความอีเมล์ ฯลฯ - ภาษาทา่ ทาง - สญั ลักษณ์ / รปู ภาพ - ส่อื ธรรมชาติ เช่น อากาศ แสง - สือ่ เทคโนโลยี เช่น ไมโครโฟน วิทยุ โทรทศั น์ โทรศัพท์
จากแผนภมู จิ ะเหน็ ว่าการสอื่ สารจะตอ้ งมีองประกอบทงั้ 4 ประการ ทำ�งานรว่ มกัน โดยมี ผ้สู ง่ สาร ส่งสาร (ขอ้ มลู ) มสี ื่อเปน็ ตัวนำ�สาร หรือขอ้ มลู จากผู้สง่ สารไปยังผู้รับสาร ซึ่งผรู้ บั สารก็จะรับสารน้นั และมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับไป หากปฏกิ ริ ยิ าตอบสนองเปน็ ไปตาม ท่ี ผสู้ ่งสารตอ้ งการถือว่าการสอ่ื สารน้ันสมั ฤทธิผล และหากปฏิกริ ยิ าตอบสนองไมเ่ ป็นไปตาม ท่ีผสู้ ง่ สารตอ้ งการถอื วา่ เปน็ การส่อื สารท่ไี มส่ มั ฤทธิผล การส่อื สารท่สี มั ฤทธิผลที่ดี คสู่ ือ่ สารเกิดความพงึ พอใจและเข้าใจกันตลอดเวลาท่ีสื่อสาร กนั นนั้ ในการสอ่ื สารต้องเลอื กค�ำ ที่เหมาะ ได้ความหมายท่ตี อ้ งการ และเหมาะกบั บุคคล เหมาะกับโอกาสอีกดว้ ย ดงั น้นั ก่อนสอื่ สารกันทกุ ครัง้ ผูส้ ่งสารควรมีความรู้เรือ่ งมนษุ ย์ สมั พันธ์ ก็จะช่วยให้การสอื่ สารมีสมั ฤทธผิ ลมากทีส่ ดุ ดังท่ี มัลลิกา คณานุรกั ษ์ (2547 : 1 ) กล่าววา่ สารอยา่ งเดียวกนั ถา้ สง่ สารให้ผู้รบั สารในโอกาสท่ีต่างกัน อาจไดผ้ ลสมั ฤทธทิ์ ี่ ต่างกัน หรอื แมแ้ ตใ่ นโอกาสเดียวกนั แต่ผูร้ บั สารต่างกันก็อาจรับรสู้ ารน้ันต่างกนั ตามหลัก จิตวทิ ยาเก่ียวกบั แรงจูงใจ ทศั นคติ อารมณ์ การรับรู้ บคุ ลิกภาพ ฯลฯ ของผู้รับสาร การ เขา้ ใจจิตวทิ ยาของบุคคลทตี่ อ้ งการส่ือสารด้วยจึงเป็นสิ่งจำ�เป็น 1.4 ประเภทของการสือ่ สาร การส่ือสารของมนุษย์ จำ�แนกได้ 3 ประเภท ดังน้ี 1.4.1 การสอ่ื สารตามจำ�นวนหรือลกั ษณะของผ้รู ับสาร 1.4.2 การสอ่ื สารตามทศิ ทาง 1.4.3 การสอื่ สารตามวธิ ีการ ท้งั นี้จะกลา่ วรายละเอียดประเภทของการส่ือสารตามลำ�ดับ ดังน้ี 1.4.1 การส่ือสารตามจานวนหรอื ลักษณะของผู้รบั สาร แบง่ ออกเปน็ 7 ประเภท ได้แก่ 1.4.1.1 การสื่อสารภายในบคุ คล ( Intra-personal Communication ) คอื การสอ่ื สารของบคุ คลคนเดียว อาจเปน็ การพดู กบั ตนเอง การมปี ฏิกิรยิ าของบุคคลใน สถานการณ์ตา่ ง ๆ เชน่ การคิดถงึ เรือ่ งราวต่าง ๆ การร้องเพลงฟงั คนเดียว การเขียนแล้ว อา่ นคนเดยี ว เปน็ ตน้
1.4.1.2 การสือ่ สารระหวา่ งบคุ คล ( Inter-personal Communication ) คือการสื่อสารท่ี ประกอบดว้ ยบคุ คลตง้ั แตส่ องคนสอื่ สารกนั ในลกั ษณะบุคคลต่อบุคคลอย่างมวี ตั ถปุ ระสงค์ หรอื เพ่ือความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคล 1.4.1.3 การสอ่ื สารกลุ่มย่อย ( Small-group Communication ) คอื การสื่อสารระหวา่ ง บุคคลตง้ั แตส่ องคนขนึ้ ไป แตไ่ มเ่ กนิ 25 คนมารวมกนั เพอ่ื การประชมุ หรอื ทำ�กิจกรรมใด ๆ มกี ารแสดงกริยาโตต้ อบกนั การลงมตเิ หน็ ดว้ ยหรือไม่เห็นด้วย และเกดิ การมสี ่วนรว่ มใน การส่ือสาร 1.4.1.4การสอ่ื สารกลุ่มใหญ่ ( Large-group Communication ) คอื การส่ือสาร ระหว่างคนจ�ำ นวนมาก ซงึ่ อยู่ในที่เดยี วกันหรอื ใกลเ้ คียงกัน เช่น การอภิปรายในห้อง ประชมุ การพูดหาเสียง การสอนนักศกึ ษา การเข้าชมการแสดงตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ การสอ่ื สาร กลุ่มใหญโ่ อกาสทผี่ ู้สง่ สารและผู้รบั สารจะแลกเปลย่ี นความคิดเหน็ กนั โดยตรงมนี ้อย 1.4.1.5 การส่อื สารในองค์กร ( Organization Communication ) คือ การสือ่ สารระหวา่ งบคุ คลทีเ่ ปน็ สมาชกิ ขององค์กรหรือหนว่ ยงาน ใหบ้ รรลเุ ป้าหมายของ องค์กรหรือหนว่ ยงาน 1.4.1.6 การสอ่ื สารมวลชน ( Mass Communication ) คือ การสือ่ สารกับมวลชนจพนวน มากในขณะเดียวกนั พร้อม ๆ กัน โดยมสี มาชกิ ของมวลชนแตล่ ะคนอย่ใู นที่ต่างกัน เพ่ือให้ ขา่ วสารไปถึงมวลชนไดพ้ รอ้ มกัน จึงตอ้ งอาศยั ส่ือทเี่ ขา้ ถึงประชาชนจ�ำ นวนมากไดใ้ นเวลา อันรวดเรว็ 1.4.1.7 การสอ่ื สารระหว่างประเทศ ( International Communication ) คือ การสอ่ื สารระหว่างบคุ คลที่มคี วามแตกต่างกันในเร่อื ง เชอ้ื ชาติ ภาษา วฒั นธรรม การเมอื ง หรอื สังคมระหว่างประเทศตา่ ง ๆ
เมื่อเราอยูค่ นเดียว การสอื่ สารภายในบคุ คลจะทพงานมากกวา่ ส่วนอน่ื เพราะเราตอ้ ง นึกคดิ พดู คนเดียว มคี วามคดิ มจี ินตนาการตา่ ง ๆ แมแ้ ตก่ ารนกึ ถงึ เรอื่ งราวตา่ ง ๆ จะ เป็นไปตามการส่งั การของสมองหรอื ประสาทส่วนกลาง แต่เมือ่ เราตอ้ งพบปะกับผ้คู น ต้อง มีความสัมพนั ธ์กับคนอ่ืนตัง้ แตส่ องคนข้นึ ไป ไมว่ ่าจะเป็นการสอ่ื สารเพอ่ื วัตถปุ ระสงคใ์ ด ก็ตาม ฝ่ายหนึ่งเปน็ ผสู้ ง่ สารอีกฝา่ ยจะเปน็ ผรู้ บั สาร การสือ่ สารอาจเป็นไปเพือ่ การแลก เปลีย่ นข้อมูล ขา่ วสาร หรอื ถ่ายทอดอารมณค์ วามรู้สกึ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ เม่อื น้นั การ สอ่ื สารระหวา่ งบุคคลจงึ เป็นส่ิงท่ตี อ้ งน�ำ มาใช้ ดังนนั้ เราควรใหค้ วามสนใจและรจู้ กั เลือกใช้การส่ือสารในรูปแบบต่าง ๆ ใหเ้ กิด ประสิทธิภาพสูงสดุ และมขี อ้ ควรระมัดระวงั ในเร่ืองการสอื่ สาร เชน่ “อยู่คนเดียวใหร้ ะวัง ความคิด อยู่กบั หมู่มิตรต้องระวงั คำ�พดู ” หรอื “ควรคิดกอ่ นพูด ไม่ใชพ่ ดู แล้วค่อยมาคดิ ภายหลงั ” 1.4.2 การสื่อสารตามทิศทาง แบ่งเปน็ 4 ประเภท 1.4.2.1 การสือ่ สารจากบนลงล่าง ( Up-Low ) ได้แก่ การสือ่ สารจากบุคคลทีม่ ี ตำ�แหน่งหรอื สถานภาพสงู กวา่ ไปยงั บคุ คลทมี่ ีตำ�แหน่งหรอื สถานภาพต�ำ่ กว่า เช่น มคี าสง่ั หรือข่าวแจ้งใหท้ ราบจากพ่อแม่ไปยังลูก หรอื จากหวั หน้างานไปยงั ลูกนอ้ ง เป็นตน้ 1.4.2.2 การสื่อสารจากล่างขึ้นบน ( Down-Flow ) ไดแ้ ก่ การส่ือสารจากบคุ คลทมี่ ีตำ�แหนง่ หรอื หรือสถานภาพตำ่�กวา่ ไปยัง บคุ คลทม่ี ีต�ำ แหน่งหรือสถานภาพสูงกว่า เช่น ลกู ขอเงินหรอื ขออนุญาตไปเทยี่ วจากพอ่ แม่ นักศึกษาทำ�บนั ทึกเรอื่ งลงทะเบยี นเรยี นเสนอขออนญุ าตจากอาจารยท์ ี่ปรกึ ษา พนักงาน ท�ำ บนั ทกึ เร่ืองงานเสนอขออนมุ ตั ผิ ่านหัวหน้าฝา่ ยและผู้จดั การตามล�ำ ดับ เป็นตน้
1.4.2.3 การส่อื สารในแนวราบ ( Horizontal Flow ) ได้แก่ การส่ือสารในระดับเดยี วกนั จากบุคคลที่มตี ำ�แหน่งหรอื สถานภาพในระดับเดียวกนั หรอื ใกล้เคียงกัน เชน่ นักศึกษาคยุ กับเพื่อนกอ่ นเขา้ หอ้ งเรยี น สามีบอกภรรยาว่าวนั น้จี ะกลบั บ้านคา่ พนักงานปรึกษาเรอื่ งสว่ นตวั กับเพ่ือนพนักงาน เปน็ ต้น 1.4.2.4 การส่อื สารแบบผสม ( Mix Flow ) ได้แก่ การส่ือสารทางโทรศพั ท์หลายสาย หรือ การจัดประชุมทางวดี ีทัศน์ ( Video Teleconference ) ซงึ่ เปน็ การส่ือสารหลายทศิ ทาง และนาสอ่ื ท่ีทนั สมัยมาใช้ในการสือ่ สารดว้ ย
1.4.3 การสื่อสารตามวธิ ีการ แบง่ เปน็ 3 ประเภท 1.4.3.1 การส่อื สารทางเดียว ( One - way Communication ) ไดแ้ ก่ การออก ค�ำ สงั่ หรือแจง้ ใหท้ ราบจากผสู้ ง่ สารไปยงั ผูร้ บั สาร โดยผู้รับสารไมม่ โี อกาสสอบถามหรือ ตอบโต้กลับ เช่น หัวหนา้ งานส่งั งานลูกนอ้ ง ผู้จดั การมปี ระกาศห้ามสบู บุหรใี่ นท่ีทางาน เปน็ ต้น 1.4.3.2 การสื่อสารสองเดียว ( Two - way Communication ) ได้แก่ การ แจง้ ขา่ ว และขอ้ มลู ให้ทราบจากผู้สง่ สารไปยงั ผรู้ ับสาร และเปดิ โอกาสให้ผรู้ ับสารซกั ถามได้ เช่น ประธานรุ่นพีไ่ ดเ้ รียกนอ้ ง ๆ ทกุ ชั้นปปี ระชุม เพื่อแจ้งขา่ วคราวเกี่ยวกับกจิ กรรมของคณะฯ และเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ซกั ถาม หรืออาจารยไ์ ดช้ แี้ จงมอบหมายงานกลุ่ม และใหส้ มาชกิ กลมุ่ ได้ซกั ถามข้อสงสยั ตา่ ง ๆ หรือหวั หน้างานประชุมรว่ มกับลูกน้องเพ่อื ปรกึ ษาหารอื เรือ่ งงาน เปน็ ตน้ 1.4.3.3 การสือ่ สารแบบผสม ( Mix - way Communication ) ได้แก่ การออก คำ�สั่งหรอื แจง้ ขา่ วและขอ้ มูลให้ทราบจากผสู้ ง่ สารไปยังผรู้ บั สาร โดยใช้สื่อหรอื มี ปฏิสัมพนั ธ์กับขอ้ มลู ได้ เชน่ อาจารยส์ ง่ั งานทางอินเทอร์เน็ตและใหน้ กั ศกึ ษาสง่ งานผ่าน อินเทอร์เน็ต มหาวทิ ยาลัยแจง้ ข่าวประชาสมั พนั ธ์ผา่ นเสยี งตามสาย โทรทศั นว์ งจรปดิ หรอื เว็ปต์ของมหาวิทยาลยั เป็นตน้ 1.5 รูปแบบของการส่อื สาร การส่ือสารสามารถแบ่งได้หลายประเภทดังรายละเอียดข้างต้นและถ้าจัดแบ่งตาม สัญลกั ษณ์ก็สามารถแบง่ ไดเ้ ป็น 2 รปู แบบ ดังน้ี 1.5.1 การสื่อสารทใี่ ช้ถอ้ ยคำ� หรอื การสื่อสารเชิงวจั นะ ( Verbal Communication) คือ ภาษาพดู และภาษาเขยี นท่ีเป็นถ้อยค�ำ ของมนุษย์ในแต่ละกลุ่ม สังคม หรอื ชาติ สรา้ ง ขนึ้ โดยมขี ้อตกลงรว่ มกนั เพ่ือวา่ ภาษาเหล่านน้ั แทน มโนภาพของสงิ่ ต่าง ๆ ภาษาพูดจะ ใชเ้ สียงผกู เปน็ ถ้อยคำ� และภาษาเขยี นจะใช้ตวั อักษรประสมเป็นถอ้ ยค�ำ “ภาษาถอ้ ยคำ� จึงเป็นภาษาทม่ี นษุ ยส์ ร้างขึน้ อยา่ งมีระบบ มหี ลกั เกณฑ์ทางภาษาหรือไวยกรณ์ ซง่ึ คนใน สงั คมนน้ั ตอ้ งเรียนร้ทู ีจ่ ะเขา้ ใจและใช้ภาษาในการฟัง พดู อา่ น เขียนและคิด (อวยพร พา นชิ และคณะ ,2539 อา้ งถึงใน มลั ลกิ า คณานุรักษ์, 2547 5 ) การใชก้ ารสอ่ื สารเชงิ อวจั นะ หรือภาษาถอ้ ยคำ�ดังที่ เปลื้อง ณ นคร ( 2515 : 4 )
กล่าวว่า “เมอ่ื เราพูดกับเพือ่ น พูดกบั ลูก พดู กบั เมยี พูดกบั นาย พดู กบั ครู เราย่อมใช้คำ� พดู ไมเ่ หมอื นกัน การวางตัวต่อบคุ คลนน้ั กไ็ มเ่ หมอื นกนั ถ้าใครไปพดู กบั นายเหมือนพูดกับ เพื่อน คนนั้นเหน็ จะไมม่ ีความเจริญแน”่ ดงั นัน้ การส่ือสารจงึ เปน็ เรอ่ื งทตี่ อ้ งให้ความส�ำ คญั โดยเฉพาะภาษาพดู ดังคำ�ท่ีว่า “ปากเปน็ เอก เลขเปน็ โท หนังสือเปน็ ตร”ี และ “คารมเป็น ต่อ รูปหลอ่ เป็นรอง” การสื่อสารท่ีประกอบด้วยการใช้อารมณแ์ ละแสดงความรสู้ ึกออกมา ในการพูด อ่าน และการเขยี นกต็ าม เชน่ พดู เสยี งสนั้ หรือยาว ดังหรอื เบา การเน้นเสยี ง หรอื พูดแบบมีหางเสยี งหรอื ไม่มี เปน็ การแสดงถงึ ความสุภาพหรือกา้ วรา้ วของผพู้ ดู ไดเ้ ช่น กนั 1.5.2 การสือ่ สารที่ไม่ใช้ภาษาถ้อยค�ำ หรือการส่อื สารเชงิ อวัจนะ ( Non –verbal Communication ) ได้แก่ การใช้อากปั กิริยาทา่ ทางทเ่ี รียกวา่ “ภาษากาย” ซ่ึงเป็นการ แสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมาใหเ้ ห็น สว่ นวตั ถแุ ละสญั ลักษณต์ า่ ง ๆ น้นั เรยี กว่า “ภาษา วัตถุ” ซ่ึงเปน็ การส่อื สารเพอื่ ความเข้าใจทตี่ รงกนั แบง่ ออกเปน็ 1.5.2.1 ภาษากาย หรือ ภาษาท่าทาง 1.5.2.2 ภาษาวัตถุ 1.5.2.3 ภาษาธรรมเนยี มและมารยาท
มรี ายละเอยี ดดังนี้ 1.5.2.1 ภาษากาย ( Physical Language ) ประกอบดว้ ย 1) สายตา ( Eye Contact ) ไดแ้ ก่ การมอง การสบตา การจอ้ ง กาท�ำ ตาเชอื่ ม หรือตาขวาง เป็นการสะทอ้ นถึงความร้สู กึ ของผู้พดู ได้ ดังค�ำ ทว่ี า่ “ดวงตาคอื หน้าตา่ งของหัวใจ” เชน่ บคุ คลทพ่ี ดู โกหกมักจะพดู แล้วไม่สบตากบั ผทู้ ีต่ นพดู ด้วย บุคคลท่ีมคี วามรู้สึกผิดปกติ อาจ จะสังเกตไดจ้ ากดวงตาของบคุ คลน้นั 2) การแสดงสีหนา้ ( Facial Expression ) ได้แก่ การแสดงออกทางสีหน้าอนั แสดงถึง ลกั ษณะอารมณ์ เชน่ บุคคลที่มีอารมณด์ ใี จ สบายใจ จะแสดงสหี น้าเป็นบวก หากมีอารมณ์ โกรธ ไมพ่ อใจ กจ็ ะแสดงสหี นา้ เป็นลบ เปน็ ต้น 3) การแสดงอากปั กริ ยิ าทา่ ทาง ( Gestures ) ได้แก่ การใช้สว่ นของอวยั วะของร่างกาย เคลื่อนไหวในลกั ษณะต่าง ๆ เช่น การกวกั มือ การชสู องน้ิว การพยกั หนา้ 4) ระยะห่างของบคุ คล ( Personal Space ) ได้แก่ การรักษาระยะหา่ ง ของรา่ งกาย ระหว่างบุคคล ซึง่ แสดงถงึ ระดบั ความ สัมพนั ธข์ องบุคคลได้ เชน่ ถา้ บคุ คลใดชอบพอกันหรือสนิทสนมกนั ก็จะน่ังใกลช้ ดิ กนั เปน็ ต้น
ภาษากายอาจเรียกอกี อยา่ งหน่งึ วา่ ภาษาทา่ ทาง ( Body Language ) ในการส่ือสารกบั บคุ คลอน่ื ภาษากายควรสอดคล้องกับกบั ภาษาถอ้ ยค�ำ ดว้ ย อย่างไรกต็ ามการทาความ เขา้ ใจบุคคลอ่ืน ถ้าพจิ ารณาจากภาษาท่าทางเพยี งอย่างเดียวก็อาจเข้าใจบุคคลผดิ พลาด ได้ เพราะบางคนมีความชำ�นาญในการปัน้ สหี นา้ ปกปิดความร้สู ึกของตนเองไว้ คดิ อกี อย่างพูดอีกอย่าง หรืออาจหลอกผอู้ น่ื ได้เสมอๆ ดงั น้ันในการสอ่ื สารกับบคุ คลควรพจิ ารณา ภาษากายและภาษาถ้อยค�ำ ควบคกู่ นั ไปด้วย
ตวั อยา่ ง ภาษากายในลกั ษณะต่างๆ สื่อ ความหมายไดด้ ังนี้ การใช้สายตา แเสสยี ดใงจวา่ เศร้า หมดหวงั • ท�ำ ตาเศรา้ ละหอ้ ย แสดงถึง อารมณร์ กั • ตาหวาน ตาซง้ึ ตาเจา้ ชู้ แสดงถงึ มีเลห่ เ์ หลย่ี ม • ทำ�ตาลอ่ กแลก่ ไมห่ ยดุ น่งิ แสดงวา่ ก�ำ ลังโกรธ • ท�ำ ตาถมึงทึง จอ้ งตา แสดงว่า ก�ำ ลังท�ำ ความผดิ • ไมส่ บตาคน การแสดงสหี นา้ แสดงว่า ไมพ่ อใจ สงสยั ไมเ่ ขา้ ใจ แสดงว่า ย่ัวเย้า ล้อเลียน เมม้ รมิ ฝปี าก แสดงว่า ใชค้ วามคดิ ใจจอใจจ่อ โกรธ อากัปกรยิ าทา่ ทาง • ส่นั ขา ไมว่ า่ จะนง่ั หรือยนื แสดงว่า ไมม่ ั่นใจในตนเอง • ผุดลกุ ผุดน่งั แสดงวา่ วติ กกงั วล ตดั สนิ ใจไมไ่ ด้ รอ คอยเปน็ เวลานาน • เกาศรี ษะ แสดงว่า ทำ�สง่ิ ใดพลาด ไมถ่ ุกใจ หงุดหงิด • คอตก หอ่ ไหล่ แสดงว่า ทอ้ แท้ หมดก�ำ ลงั ใจ รูส้ กึ ส�ำ นึก ผิด • มอื อยไู่ มน่ ง่ิ (จบั โนน่ -จบั น่)ี แสดงวา่ เกอ้ เขนิ กระดากอาย วาเหว่ เหงา • การลบู หลัง โอบไหล่ กอด แสดงถงึ ความสนทิ สนม เอาใจชว่ ย ห่วงใย รกั
1.5.2.2 ภาษาวตั ถุ ( Object Language ) คอื การตคี วามหมายของวัตถแุ ละสญั ลักษณ์ ตา่ ง ๆ เพ่ือสอ่ื ความหมายไปยังผู้ที่เกย่ี วข้อง ได้แก่ 1) วัตถุประเภทโครงสร้างของรา่ งกาย ( Body ) บคุ คลท่ีมีโครงสรา้ งสูงใหญ่ จะสอื่ ความ หมายถงึ ความแขง็ แรง ความนา่ เกรงขาม การให้ความคุ้มครอง ในทางตรงกนั ข้าม บคุ คล ที่มีโครงสร้างรา่ งกายเตี้ย ผอม และเลก็ จะสื่อความหมายถึง ความอ่อนแอ ความนา่ รัก ตอ้ งให้การดแู ลทนุถนอม เป็นต้น 2) วัตถปุ ระเภทท่ีประกอบเป็นบคุ ลิกภาพ ( Personality ) บุคคลจะเลอื กใชว้ ัตถลุ กั ษณะตา่ ง ๆ มาประกอบเปน็ บคุ ลกิ ภาพของตนเอง เช่น เสอ้ื ผา้ สีสันตา่ ง ๆ แบบรปู ทรง ตลอดจนรองเทา้ กระเป๋า ซ่ึงสอ่ื ถงึ ความหมายของนิสัย ค่านิยม รสนยิ ม และความเปน็ ระเบยี บเรยี บร้อย ซึง่ ประกอบเปน็ บคุ ลกิ ภาพของบคุ คลนัน้ 3) วัตถปุ ระเภทท่มี คี วามหมายเฉพาะ ( Specific ) และความหมาย ไมเ่ ฉพาะเจาะจง ( Non Specific ) วัตถทุ ม่ี ีความหมายเฉพาะ เช่น ดอกมะลิ สื่อความหมายถงึ พระคณุ ของแม่ ดอกกุหลาบ สอื่ ความหมายถงึ ความรกั ดอกบัว สอ่ื ความหมายถึง การระลกึ ถงึ คณุ ของพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ ส�ำ หรับวตั ถุประเภทความหมายไม่เฉพาะเจาะจง ( Non Specific ) มกั เปน็ วัตถุท่วั ไป ไดแ้ ก่ กระจก ผา้ เชด็ หน้า กรรไกร ฯลฯ เชน่ กระจก ถ้ามอบสง่ิ ของดังกล่าวใหก้ บั บคุ คล ใดกต็ าม ผรู้ ับอาจสื่อความหมายวา่ ผู้ใหป้ รารถนาดี ใหข้ องเพือ่ ไปใช้ประโยชน์ ในทางตรง กันข้าม ผูร้ ับอาจสอ่ื ความหมายวา่ ผ้ใู หก้ ล่าวว่าตนเปน็ ไม่ไดเ้ รอ่ื ง เปน็ คนทแ่ี ยม่ าก ต้องให้ กระจกชว่ ยส่องให้เห็นความไม่ได้เร่อื งของตนเอง ผู้รับอาจจะโกรธหรอื ไม่พอใจก็ได้ ทงั้ น้ี ขน้ึ อยู่วา่ แตล่ ะคนจะใหค้ วามหมายอยา่ งไร 1.5.2.3 ภาษาธรรมเนียมและมารยาท (Etiquette and Manners) ภาษาธรรมเนียม และมารยาท เป็นการแสดงพฤตกิ รรมตามธรรมเนยี มและมารยาทของสงั คมน้นั เชน่ ธรรมเนียมไทย “ใครไปถงึ เรือนชานตอ้ งตอ้ นรับ” ดงั นน้ั เม่ือมบี คุ คลมาท่บี ้านกจ็ ะยกนา้ หรืออาหารมาให้ดมื่ กิน พดู คุยด้วยรอยย้มิ และไมตรจี ติ เพื่อแสดงถงึ การเปน็ เจา้ บา้ นท่ดี ี สว่ นมารยาท เชน่ การไหว้ จงึ มกี ารปฏบิ ติ ิในลกั ษณะ “การไป-มา ลา-ไหว”้ หรือมารยาท ในการรบั ประทานอาหาร ไม่พดู ขณะทีก่ าลังเคี้ยวอาหารหรอื อาหารยงั อยูใ่ นปาก เปน็ ต้น
การส่อื สารเชิงวัจนะและอวัจนะ เป็นการสื่อสารทบี่ ุคคลใชอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ตลอดเวลา จึง สรปุ ประโยชน์ของการสื่อสารทงั้ 2 รูปแบบ ได้ดงั นี้ ประโยชน์ของการสอ่ื สาร เชงิ วัจนะ เชงิ อวจั นะ 1. ถอ้ ยคำ� ไมว่ ่าจะเป็นการพดู การเขยี น 1. ช่วยบอกความตอ้ งการในการส่อื สาร เปน็ สือ่ แทนความจริงจากมนุษยท์ ้ังภายใน โดยไมต่ ้องใชค้ �ำ พดู และภายนอก ประกอบด้วยสถานการณ์ 2. ชว่ ยย�ำ้ ความหมาย เชน่ การพยกั ความคิด อารมณ์ และความรู้สกึ หนา้ การสา่ ยหน้า การโบกมือ การชห้ี นา้ 2. ได้สาระหรือประเดน็ ทตี่ ้องการสื่อสาร เปน็ ต้น ประกอบการใชค้ �ำ พูด จะทำ�ให้ อยา่ งตรงไปตรงมา เกิดความหนักแน่นในการส่ือสารเรอ่ื งน้นั 3. สร้างความเขา้ ใจในการส่อื สาร 3. ทำ�ให้เกดิ ความรสู้ ึกซาบซงึ้ ประทับใจ 4. มอี �ำ นาจในการจูงใจและโน้มน้าวใจ และสร้างสสี นั ในการสือ่ สาร 5. ท�ำ ให้ทราบถึงอดตี ท่ีผ่านมา และบอก 4. แสดงถงึ ความสามารถในการส่ือสาร ถงึ ความเป็นปัจจุบัน รวมทั้งแนวโนม้ ของ บคุ คลได้ ของ อนาคตได้ ความสัมพันธ์ระหว่างการส่ือสารเชิงวัจนะและการส่ือสารเชิงอวัจนะนั้นการส่ือสารเชิงอ วัจนะมักจะไม่ปรากฏโดยลำ�พงั แตจ่ ะปรากฏควบคูก่ ับการสอื่ สารเชิงวัจนะเสมอ จึงกล่าว ได้วา่ มีความสมั พันธ์กนั ในลักษณะดังน้ี 1) ใชแ้ ทนคำ�พดู ด้วยการแสดงกริยาอาการ ทา่ ทาง หรอื สีหนา้ เชน่ การยม้ิ การทำ�สีหน้า นง่ิ เฉย 2) ใช้ขยายความ เชน่ เมื่อพูดว่า “ไมไ่ ป” พร้อมกับสา่ ยหนา้ ไปดว้ ย 3) ใชย้ ำ�้ ความหมาย เชน่ เม่ือพูดวา่ “ฉนั ชอบเธอ” พร้อมกับสง่ สายตาทีแ่ สดงถงึ ความ นิยม และช่นื ชมดว้ ย
4) บอกถงึ ความขัดแย้ง เปน็ การสือ่ สารเชิงอวัจนะท่ีตรงขา้ มกบั ความเปน็ จรงิ เชน่ การนดั หมายกนั เมือ่ คู่นดั มาสายมักจะชอบบอกวา่ “ขอโทษด้วยที่มาสาย” อกี ฝา่ ยก็ตอบวา่ “ไม่ เป็นไร” ด้วยน้าเสยี งทห่ี ว้ นส้นั และสีหนา้ ทบี่ ึ้งตึง หรืออาจจะตอบด้วยว่า“ฉนั เบอื่ คุณมาก เลย” แต่สหี นา้ ย้ิมแยม้ ซึ่งแสดงความหมายทแี่ ตกตา่ งกนั ในคาพดู กบั ภาษาท่าทาง 5) สร้างความสมั พนั ธ์ทด่ี ีตอ่ กนั ดว้ ยกริยา ท่าทาง หรอื สีหน้าตา่ ง ๆ ทง้ั การแสดงอาการยมิ้ แยม้ การจับมือ การโอบไหล่ การปรบมอื เปน็ ต้น การส่ือสารเชงิ วจั นะและการสอ่ื สารเชงิ อวัจนะมีความสัมพนั ธ์กนั อย่างใกล้ชดิ จงึ ควรใช้การสอ่ื สารทงั้ สองรูปแบบใหเ้ ปน็ ไปตามจุด ม่งุ หมายของการสอ่ื สารและใหเ้ กดิ ประสิทธิภาพมากที่สุด 1.6 ปัญหาหรืออปุ สรรคในการสื่อสาร ปญั หาหรอื อุปสรรคท่พี บในการสอ่ื สาร อาจเกิดได้ จากหลายสาเหตุ ซึ่งสรุปไดด้ ังนี้ 1.6.1 ปญั หาจากตวั บุคคล ระหว่างผู้รับสาร – ผู้สง่ สาร ไดแ้ ก่ 1.6.1.1 ความบกพร่องของอวัยวะท่ใี ช้ในการส่ือสาร เช่น ลิ้นไก่สน้ั ท�ำ ให้พดู ไม่ชดั เจน หูตงึ ท�ำ ให้ปัญหาในการฟัง เปน็ ต้น 1.6.1.2 ขาดทกั ษะในการสื่อสาร เชน่ ไม่มมี ารยาทในการพูดหรอื พดู ไมถ่ ูก กาลเทศะและ บุคคล 1.6.1.3 ใช้ภาษาหรือถอ้ ยค�ำ ท่ยี ากเกนิ ไป 1.6.1.4 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศปนภาษาไทย 1.6.1.5 ผสู้ ง่ สารไมเ่ ข้าใจเรื่องทจ่ี ะส่ือสารดีพอ 1.6.1.6 ผ้สู ่งสารมีเจตนาบิดเบอื นขา่ วสารเพื่อผลประโยชนบ์ างอย่าง 1.6.1.7 มอี คติ ความละเอยี งเพราะชอบ รัก หรือไม่ชอบ ไมร่ กั 1.6.1.8 ขาดศรทั ธาในการฟัง ทาให้ไมส่ นใจและขาดสมาธิในการฟงั 1.6.1.9 พูดผดิ โดยไมเ่ จตนา 1.6.2. ปัญหาดา้ นข้อมูลข่าวสาร 1.6.2.1 ขอ้ มลู บดิ เบอื น ขอ้ มลู ข่าวสารอาจถกู บิดเบือนได้ เพราะผู้สง่ สารมี เจตนาบิดเบือนข้อมูลหรืออาจเพราะข้อมูลถูกส่งผ่านบุคคลหลายคนมีผลให้ข้อมูล บดิ เบือนได้ 1.6.2.2 ข้อมูลไม่ชัดเจนคลุมเครอื 1.6.2.3 ขอ้ มลู ท�ำ ใหม้ ีความเข้าใจยาก ( ไม่เหมาะสมกับผรู้ บั ฟัง )
1.7 หลักในการส่ือสารทดี่ ี การส่อื สารมีปญั หาและอุปสรรคหลายประการดงั ท่กี ล่าวไว้แลว้ ขา้ งต้น ดังน้นั ในการ สื่อสารทีด่ ีควรปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1) ผูส้ ่อื สารต้องเขา้ ใจตนเอง กอ่ นที่จะสอ่ื สารกับใครจะต้องเข้าใจวา่ ตนเองมนี สิ ัยใจคอ เป็นอย่างไร มีทัศนคติ คา่ นยิ ม ความเช่ือ ความต้องการอย่างไร มีความบกพรอ่ งทาง ร่างกายและจิตใจอยา่ งไร และพรอ้ มท่ีจะแก้ไขปรับปรงุ ตนเอง เพ่ือช่วยใหก้ ารสือ่ สารมี ประสิทธิภาพ 2) พิจารณาจดุ ประสงค์ในส่อื สารว่าควรเป็นอยา่ งไร เช่น ควรส่ือสารอยา่ งตรงไป ตรงมา หรือบอกข้อมลู บางสว่ น บางส่วนเก็บไวเ้ พ่อื ไม่ใหเ้ กดิ ความเสียหาย 3) ควรรจู้ ักลักษณะของผทู้ จ่ี ะสื่อสารดว้ ย ว่าเขาเป็นใคร เป็นคนอย่างไร ชอบอะไรจะทา ให้เอือ้ ตอ่ การสอ่ื สาร 4) ควรเลือกใชร้ ปู แบบวิธีการส่อื สารให้เหมาะสม ดังทก่ี ลา่ วไว้แลว้ ในหน้า 6 - 14 5) เลอื กใช้การส่อื สารเชิงอวจั นะภาษาใหเ้ หมาะสม เช่น สีหน้า ทา่ ทาง หรอื นา้ เสยี ง ฯลฯ 6) เลอื กใช้ส่ือให้เหมาะสมกบั เรอ่ื งราว สถานการณ์และบุคคล 7) การสือ่ สารควรมีลักษณะจูงใจ โน้มนา้ วใจ หรือทำ�ให้เกดิ ความเขา้ ใจอันดตี ่อกนั ดงั นน้ั ควรใชน้ ้ำ�เสียงทน่ี ุ่มนวล ท่าทีที่อ่อนโยน พดู ในส่ิงทม่ี ีสาระและเกดิ ประโยชน์ตอ่ ผูฟ้ งั 8) ควรเลือกใชก้ ารสื่อสารโดยตรงกบั ผู้ฟัง ถา้ เป็นค�ำ พดู ไมค่ วรสง่ ผา่ นบุคคล หลายคน และควรมีการจดบันทกึ ถอ้ ยค�ำ ไว้เป็นหลักฐานด้วย 9) เลอื กใชภ้ าษาให้ถูกตอ้ ง โดยเฉพาะภาษาพูดควรเลอื กใหเ้ หมาะกับบคุ คลและกาลเทศะ
หนังสืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ เรื่องการสอ่ื สาร จดั ท�ำ โดย นางสาวภทั ราวดี จตุ ิภาค เลขท1ี่ 4 ประกาศนียบตั รวชิ าชพี ปีท3่ี วทิ ยาลัยเทคโนโลยีทักษิณอาชีวศึกษา เสนอ อาจารย์ เบญจมาศ ถนอมน้อย
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: