Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-BOOKแก้ (3)

E-BOOKแก้ (3)

Published by armporramat, 2021-05-12 13:47:30

Description: E-BOOKแก้ (3)

Search

Read the Text Version

2.3เขตรักษำพนธุ์สตว์ป่ำััเขตรักษาพนธุ์สตว์ปา เป็นเขตที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบัั่ว่าที่ดิน ในเขตใดที่ควรรักษาไว้เพอเป็นที่อยู่อาศยของสตว์ปาื่ัั่โดยปลอดภัยเพอรักษาพนธุ์สตว์ปาไว้ โดยการประกาศพระื่ัั่ราชกฤษฎีกาให้เป็นเขตรักษาพนธุ์สตว์ปา แตทีดนนั้นจะตองัั่(่่ิ้ไม่เป็นที่ดินของเอกชน หลักการคุ้มครองพนที่ปาและสตว์ปา)ื้่ั่ในเขตรักษาพนธุ์สตว์ปานี้จะมีการห้ามกิจกรรมของคนที่จะเข้าัั่ไปในเขตนีอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้สมปทาน ้ัหรือประทานบัตร เพอท าแร่หรือปิโตรเลียม ทั้งนี เพราะื่้กฎหมายประสงค์จะให้มีพนที่เพอการขยายพนธุ์ของสตว์ปาจึงื้ื่ัั่พยายามจะอนุรักษพนที่ปาที่อุดมสมบูรณ์ไว้์ื้่2.4เขตพนทคมครองส่งแวดล้อมื ้ี ุ่ ้ิโดยทีบางพนทีซึ่งทางราชการไมไดประกาศเป็นเขตปา่ื้่่้่สงวนแห่งชาติเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพนธุ์สตว์ปาัั่การให้ความคุมครองแหล่งตนน ้าล าธาร หรือระบบนิเวศน์จะ้้ไม่อาจท าได้ และ อาจจะสายเกินไปที่จะรอให้มีการประกาศเขตอนุรักษดังกล่าวดังนั้นพระราชบัญญตสงเสริมและรักษา์ัิ่คุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาตพ ศิ. .2535มาตรา 4 3ซึ่งให้อ านาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและส่งแวดล้อมโดยได้รับค าแนะน าจากคณะกรรมการสงเสริมิ่และรักษาคุณภาพส่งแวดล้อมแห่งชาต เพอ ประกาศให้พนทีิิื่ื้่ใดพนทีหนึ่ง เป็นเขตพนทีคุมครองส่งแวดล้อม โดยประกาศื้่ื้่้ิเป็นกฎกระทรวง แต่ในแต่ละพนที่ื้

กล่าวจะตองเป็นพนทีแหล่งตนน ้าล าธารหรอมระบบนิเวศน์ตาม้ื้่้ืีธรรมชาติแตกต่างจากที่อืนๆ หรือระบบนิเวศน์ตามธรรมชาติ่ของพนทีนั้นอาจจะถกท าลาย หรอถกกระทบกระเทือนจากการืู้่ืูกระท าของคนทีเข้าไปอยูในบรเวณนั้นโดยงายหรอเป็นพนที่่ิ่ืื้่อันมีคุณค่าควรแก่การอนุรักษ แต่ยังไม่มีการประกาศเป็นเขต์อนุรกษเมอไดประกาศเขตพนทีคุมครองส่งแวดล้อมแล้วั์ื่้ื้่้ิกฎหมายกาหนดให้มมาตรการคุมครองส่งแวดล้อมในี้ิกฎกระทรวงที่ประกาศด้วย เช่นการก าหนดการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพอรักษาสภาพธรรมชาติ หรือมิให้กระเทือนต่อระบบื่นิเวศน์ หรือห้ามการกระท าอันมีลักษณะเป็นการท าลายหรือกอให้เกดผลกระทบตอระบบนิเวศน์ซึ่งมาตรการทีกาหนดนีทั้ง่ิ่่้ราษฎรและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องถือปฏิบัติตามเพอื่ประโยชน์ ในการอนุรกษและคุมครองส่งแวดล้อม มาตราั์้ิ(44)

3.กำรปลูกป่ำทดแทน ความสาคัญของปาไม้ หรือผลิตภัณฑ์่ของปาไม้ นอกจากจะเป็นทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่สาคัญแล้ว่ยังมีผลต่อการอนุรักษพนดินที่อุดมสมบูรณ์และเป็นที่เกิดของ์ื้แหล่งน ้าดวยดงนั้น ความตองการทีจะน าไมหรอของปาไปใช้จึง้ั้่้ื่มจ านวนมากขึ้นท าให้ปาธรรมชาตไมอาจโตทันความตองการได ี่ิ่้้ด้วยเหตุนี้ เพอลดปริมาณการท าลายปาไม้ธรรมชาติลงและยังื่่รักษาการใช้ประโยชน์จากปาไม้ของคนไว้ กฎหมายจึงมี่มาตรการให้ เอกชนเพาะพนธและปลูกปา เพอเพ่มปรมาณปาัุ ์่ื่ิิ่ไม้ และอนุญาตให้ท าไม้ที่ได้จากการปลูกปานี้ด้วย่3. 1ผู้ใดต้องการท าสวนปาเพอ่ื่การค้า สามารถยืนขอต่อนาย่ทะเบียนตามระเบียบที่อธิบดีกรมปา่ไม้3.2เมอไดรบอนุญาตแล้วผูนั้นื่้ั้สามารถปลูกต้นไม้เพอการค้าได้ื่เช่น สวนปาสกทอง เป็นต้น่ั3.3 เจ้าของสวนปามีสทธิท าไม้ ที่ได้่ิจากการท าสวนปา โดยอาจจะตัด่โค่น แปรรูปไม้ ค้าไม้ หรือมีไม้ไว้ในความครอบครอง หรือน าไม้

3.5 เมือตัดไม้แล้ว ต้องมีตราประทับแสดงการเป็นเจ้าของ ่การจะน าไม้เคลือนที่ก็จะต้องมีหนังสอรับรองการแจ้งและ่ืบัญชีรายการไม้ก ากับไปด้วย3.6ไม้ที่ได้จากสวนปา ไม่ต้องเสยค่าภาคหลวง่ี3.7 ที่ดินที่จะขออนุญาตปลูกสวนปา อาจเป็นที่ดินที่มีโฉนด ่หรือ น ส ที่ดินที่ทางราชการรับรองว่าอาจขอออกโฉนดหรือ. .3น ส ได้ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดรูปที่ดินเพอเกษตรกรรม. .3ื่หรือกฎหมายการจัด ที่ดินเพอการครองชีพหรือเป็นที่เขตปฏิรูปื่ที่ดินเพอการเกษตรกรรม หรือเป็นเขตปาเสอมโทรมในเขตปาื่่ื่่สงวนแห่งชาติ หรือที่ดินที่ได้ด าเนินการปลูกปาโดยหน่วยงาน่ของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือทบวงการเมือง

ป่ำดิบชืน้ปาดิบชืนมีลักษณะเป็นปารกทึบประกอบด้วยพรรณ่้่ไมหลายรอยชนิด ไมตนของเรอนยอดชั้นบน สวนใหญเป็น้้้้ื่่ไม้วงศยาง ตะเคียน ์-(Dipterocarpaceae) มีล าต้นสงใหญู่เปลาตรงต้งแต ั่30-50 เมตร เป็นไม้ต้นขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งสามารถขึ้นอยูใตรมเงาของตนไมใหญได่้่้้่้รวมทั้งตนไมชนิดตางๆ ในวงศ หมากหรอปาล์ม พนล่าง้้่์ืื้ของปารกทึบระเกะระกะไปด้วยไม้พม พชล้มลุก ระก า ุ่่ืหวาย ไผ่ตางๆ เถาวลย์หลากชนิด ตามล าตนไมและก่งไม่ั้้ิ้มักมีพชอิงอาศยืั

ป่ำดิบเขำปาดบเขา เป็นปาทีอยูสงจากระดบน ้าทะเล ต้งแต ่ิู่่่ัั่1,0 0 0 เมตรขึ้นไป สวนใหญอยูบนเทือกเขาสงทางู่่่ภ า ค เ ห นื อ แ ล ะ บ า ง แ ห่ ง ใ น ภ า ค ก ล า ง แ ล ะ ภ า คตะวันออกเฉียงเหนือ เช่นที่ อช ทุ่งแสลงหลวง และ อช น ้า..หนาว เป็นตน มปรมาณน ้าฝนระหวาง ้ีิ่1,000 ถึง2,000 ม พชที่สาคัญได้แก่ไม้วงศก่อ เช่น ก่อสเสยด ก่อตาหมู. ื์ีีน้อยอบเชย มปาเบจพรรณดวย เป็นตน บางทีกมสนเขาขึ้นี่้้็ีปะปนอยู่ด้วย สวนไม้พนล่างเป็นพวกเฟิร์น กล้วยไม้ดิน ่ื้มอสตาง ๆ ปาชนิดนีมกอยูบรเวณตนน ้าล าธารปาดิบเขา่่้ั่ิ้่สงขึ้นปกคลุมตามสนเขาและยอดเขา ทีสงกวา ูัู่่1900 เมตรขึ้นไป สวนใหญจะมเมฆหมอกปกคลุมเป็นประจ า่่ี

ป่ำเบญจพรรณปาเบญจพรรณ หรือปาผสมผลัดใบ เป็นปาที่มีพรรณ่่่ไม้เด่น ชนิด ตามความหมายของค าว่า เบญจะ คือ ห้า 5 “” ได้แก่ ไม้สก มะค่า แดง ประดู่ และชิงชัน พบปาชนิดนี้ในั่บริเวณที่มีฤดูกาลแบ่งแยกชัดเจน มีช่วงแห้งแล้งยาวนานเกินกว่า เดอน ปรมาณน ้าฝนเฉลียอยูในช่วง 3 ืิ่่1,200-1,400 มลลิเมตรตอปี ทีระดบความสงต้งแต ิ่่ัูั่50-800 เมตรเหนือระดบน ้าทะเลตนไมเกอบทั้งหมดในปาเบญจั้้ื่พรรณจะผลัดใบในฤดแล้ง โดยเฉพาะต้งแตปลายเดอนูั่ืมกราคมถึงเมษายนปาเบญจพรรณในประเทศไทย แบ่ง่ออกเป็น กลุม คือ ปาเบญจพรรณทีมไมสกเป็นไมเดน ขึ้น2 ่่่ี้ั้่คละกับไม้ที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหลายชนิด อาทิ ประดู่ ชิงชัน มะค่าโมง แดง ไผ่ไร่ ไผ่ซางดอย และไผ่หก สวนอีก่ลักษณะหนึ่ง คือ ปาเบญจพรรณทีไมมไมสก มพรรณไมเด่่่ี้ัี้่นขนิดอนขึ้นแทน เช่น สมอพเภก เปล้าหลวงและสานเป็นต้น ื่ิ้

ป่ำเต็งรังปาชนิดนี้มีอยู่มากทางภาคเหนือ ภาคกลาง และภาค่ตะวันออกเฉียงเหนือ สวนภาคใต้และชายทะเลด้านตะวันออก่ไม่ปรากฏว่ามีอยู่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนับว่ามีมากที่สด ุคือประมาณ 70-80% ของปาชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภาคนี้่ทั้งหมด ปาชนิดนีมอยูทั่วไปทั้งทีราบและทีเขาสง ดนมกเป็น่้ีู่่่ิัทรายและลูกรง ซึ่งจะมสค่อนข้างแดง ในบางแห่งจึงเรยกวาัีีี่ปาแดง สวนในภาคตะวนออกเฉียงเหนือทีมปาขึ้นตามเนินที่่ั่ี่่เรียกว่าโคก จึงเรียกว่าปาโคก ลักษณะปาชนิดนี้เป็นปาโปร่ง่่่มตนไมขนาดเล็กและขนาดกลางขึ้นอยูกระจัดกระจายี้้่

ป่ำสนเขำปาสนเขาโดยทั่วไปมกจะขึ้นอยูในทีทีซึ่งดนไมค่อยจะอดม่ั่่่ิุ่สมบูรณ์นัก มีความเป็นกรดสง ลักษณะเป็นปาโปร่งไม่ผลัดู่ใบ ตนสนเขาบางทีจะขึ้นอยูเป็นหมล้วนๆโดยไม่มีต้นไม้ชนิดู้่ ่อนปะปน แตบางคร้งอาจขึ้นกระจายเป็นหย่อมๆหรอขึ้นื่่ัืปะปนอยู่กับชนิดพนธุ์ไม้ของปาดงดิบเขา หรือปาแดงก็มีั่่ชนิดพนธุ์ไม้ที่สาคัญของปาชนิดนี้ คือ สนสองใบและั่สนสามใบ สวนตนไมชนิดอนๆทีขึ้นอยูดวยกนไดแกจ าพวก่้้ื่่่้ั้่พนธุ์ไม้ปาดงดิบเขา เช่นก่อชนิดต่างๆหรือพนธุ์ไม้ปาแดงั่ั่บางชนิด คือ เต็ง รัง เหียง พลวง เหล่านี้ เป็นต้น

อุทยำนแห่งชำตน ้ำหนำวิ

อุทยานแห่งชาตน ้าหนาวเป็นอทยานแห่งชาตทีต้งอยูในิุิ่ั่ท้องทีอาเภอหล่มเกา อาเภอหล่มสก อาเภอน ้าหนาว จังหวด่่ััเพชรบูรณ์ และอ าเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาตทีสวยทีสดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวเขตก้นระหวางภาคิุ่่ั่อสานและภาคเหนือสภาพพนทีทั่วไปเป็นเทือกเขาสงมสภาพีืู้่ีปาอดมสมบูรณ์เป็นตนน ้าล าธารมทิวทัศน์ธรรมชาตทีสวยงามุ่้ีิ่หลายแห่ง มีเนือที่ประมาณ้603,750ไร่ หรือ 966ตารางกิโลเมตร กอต้งเมอวนที ่ัื่ั่4 พฤษภาคม พ ศ. . 2515 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมือปา เป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี พ ศ่่. . 2511กรมปาไม้ได้สงเจ้าหน้าที่ไปท าการสารวจเบืองต้นเกี่ยวกับ่่้สภาพพนทีบรเวณปาน ้าหนาวปรากฏวามสภาพปาอดมื้่ิ่่ีุ่สมบูรณ์ มีทิวทัศน์อวันที่ ตุลาคม 7 2502 ให้กาหนดปาน ้า่หนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และปาอืนๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ ่่รวม 14 ธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง

เมือวันที่ พฤษภาคม ่3 2515 กาหนดบรเวณปาน ้าหนาว ิ่ในท้องที่ต าบลบ้านโคก อ าเภอเมืองเพชรบูรณ์ ต าบลบ้านกลาง ตาบลบ้านต้ว ตาบลห้วยไร อาเภอหล่มสก ตาบลน ้าิ่ัหนาว อ าเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ และต าบลห้วยยาง อ าเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาติ เนือที่ประมาณ ้603,750 ไร่ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89 ตอนที่ 71 ลงวันที่ พฤษภาคม 4 2515 เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 5 ของประเทศ ต่อมากองอุ ท ย า น แ ห่ ง ช า ติ ก ร ม ป า ไ ม้ ไ ด้ มี ห นั ง ส อ ที่ ก ส ่ื0708/2214 ลงวันที่ เมษายน 1 2523 ให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทุกแห่งได้ตรวจสอบพจารณาชือต าบลที่ตกหล่นิ่ในอทยานแห่งชาตทีรบผิดชอบซึ่งอทยานแห่งชาตน ้าหนาวุิ่ัุิได้มีหนังสอที่กส ื0708(นน)/223 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2525 รายงานว่าตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 142 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2515 ได้ก าหนดแนวเขตอุทยานแห่งชาตซึ่งครอบคลุมถงท้องทีตาบลปากช่องและตาบลิึ่ท่าอิบุญ อ าเภอหล่มสก จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วยั

ลักษณะภูมิประเทศอทยานแห่งชาตน ้าหนาวต้งอยูบรเวณเทือกเขาุิั่ิเ พ ช ร บู ร ณ์ ซึ่ ง เ ป็ น เ ข ต ก้ น ร ะ ห ว า ง ภ า คั่ตะวนออกเฉียงเหนือและภาคเหนือสภาพพนทีทั่วไปเป็นัื้่เทือกเขาสงทอดยาวผ่านจังหวัดชัยภูมิและจังหวัดูเพชรบูรณ์มีลักษณะเป็นเนินยอดปานที่เกิดจากการยก้ตัวของเปลือกโลกบริเวณนี้ในอดีต มีความสงอยูู่ระหว่าง 650-1,200 เมตรจากระดบน ้าทะเล ัประกอบดวย ภูกมข้าว ภูผาจิตหรออกชือหนึ่ง ภูด่านอีุ้ ่ืี่“ป ้อง ซึ่งเป็นจุดสงสด ทีมความสง ” ูุ่ีู1,271 เมตรจากระดบน ้าทะเล ประกอบขึ้นเป็นปาตนน ้าล าธาร ตนกาเนิดั่้้ของล าธารสายยาว เช่น แมน ้าปาสก แมน ้าพอง แมน ้า่่ั่่เลย ห้วยขอนแกน ห้วยน ้าเชิญ ซึ่งไหลลงสเขือนอบลู่ ุ่่รัตน์ และเขือนจุฬาภรณ์่

ลักษณะภูมิอำกำศโดยทั่วไปอากาศหนาวเย็นในตอนดกและตอนเช้า สวนึ่ใหญ่ตอนกลางวันอากาศเย็นสบายจึงกล่าวได้ว่าอุทยานแห่งชาตน ้าหนาวมอากาศหนาวเย็นตลอดปี อณหภูมิีุิเฉลี่ยตลอดปี 25 องศาเซลเซียส ในฤดูฝนจะมีฝนตกชุกระหว่างเดือนกันยายน ตุลาคมสวนใหญ่ฤดูหนาว อากาศ-่หนาวเย็นมากจนบางคร้งน ้าค้างจะกลายเป็นเกล็ดน ้าแข็ง ัอากาศจะหนาวเย็นทีสดในเดอนธนวาคมและมกราคมซึ่งุ่ืัในบางปีอณหภูมจะลดต่าถง องศาเซลเซียสุิึ0

พนธุ์พชที่พบได้ในเขตัือุทยำนแห่งชำติน้ำหนำว

ต้นเกล็ดจรเข้ลักษณะ ไม้ต้นสงได้ถึง ู20 เมตร เปลือกเรียบใบประกอบ ใบย่อย 2-4 คู่ ใบย่อยเรียงตรงข้าม สเขียวเข้ม รูปไข่ ีรูปไข่แกมรูปรี รูปรี หรือ รูปไข่กลับแกมรี ขนาดกว้าง 3-9 เซนติเมตร ยาว 3.5-20 เซนติเมตร ฐานรูปลิ่มกว้าง ปลายเรียวแหลมถึงมนดอกมีขนาดเล็ก ออกเป็นช่อ ดอกสค่อนข้างเหลือง กลีบเลี้ยงแยกจากีกัน กลีบดอกเป็นหลอดปลายแยก ผลเป็นฝกัประโยชน์ย่างหรืออังไฟประคบบรรเทาอาการปวด ใบบดน ามาเป็นยาฆ่าเหา รากใช้เป็นยาเบื่อปลาเนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง

ต้นก่อล้มิลักษณะสงู8-2 0เมตรเปลือกต้นมีสน ้าตาลหรือสเทาเงนีีิเปลือกช้นในเป็นเสนใยสสมออน ใบมีขนาดั้ี้่3.5-9เซนติเมตรขอบใบมีหยักประโยชน์ใบ สามารถเอามาขยี้ทาแผลแมลงสตว์กัดต่อยได้ั

ต้นไก่แดงลักษณะสงู20-30เมตร ใบทรงรี ปลายแหลมขอบใบเรียบหรือหยกเล็กน้อย โคนใบแคบหรือมน ใบหนาอวบน ้า ัจะรูสกนิ่มมือเมือไดสมผส ดอกเป็นดอกเดยวแต่รวม้ึ่้ััี ่เป็นกระจุกที่ปลายยอดหรือตามง่ามใบ มีลักษณะเป็นหลอดโค้ง ผลมีฝกเล็กเรียวยาว ข้างในมีเมล็ดสัีน ้าตาลออกดาประโยชน์ปลูกเป็นไม้ประดับเชื่อว่าเป็นว่านทางเสน่ห์เมตตามหานิยมด้านสมุนไพร ใช้ใบต าพอกบริเวณที่ถูกแมลงกัดต่อยใหผลดย่ง้ีิ

ส้ำนใบเลก็ลักษณะมีขนาดใหญ เป็นไม่ผลัดใบ หรือผลัดใบระยะส้น ล า่ัต้นมักมีปมปม กิ่งอ่อนมีขน เรือนยอดเป็นพมกลมสุุ่่ีเขยวทึบ ปลายกิ่งหอยลง สงไดถง ีู้้ึ30เมตรใบเดี่ยวเรียงสลับทีปลายกิ่งรูปไขกลับหรือรูปวงรีกวาง่่้7-13เซนติเมตร ยาว 10-25เซนติเมตรประโยชน์ยาพนบ้านอีสานใช ราก แชน ้าดม แก้อาการท้องเสย ื ้้่ื ่ีแก่นหรือราก ฝนน ้ากิน แก้ไข ผลสก รสเปรียว น ามาุ้้ปรุงรสอาหาร

เทพทำโรลักษณะไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใหญ่ สงประมาณ -ู10 - 30ม เป็นพนธไม้ทีมีความหอมในทุกๆ สวน ตั้งแต่ใบ .ัุ ์่่ดอก ล าต้นรากประโยชน์เนื้อไม้นิยมใช้ในการแกะสลักเป็นของเคารพบูชาของประดับตกแต่งอาคารบ้านเรือน และของที่ระลึกต่างๆ

ต้นลำไยป่ำลักษณะเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสงประมาณ ู5-1 2เมตร ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้างถึงค่อนข้างกลมประโยชน์ผลสกมีรสหวานใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้ผลสกุุน ามาใช้ท าสมต าร่วมกับผลตะโกเนื้อไม้หรือล าต้นใช้้สาหรับการก่อสร้างเนื้อไม้สามารถน ามาใช้ท าเป็นฟืนที่ให้ความร้อนสงไดู้

ต้นอบเชยลักษณะในสภาพธรรมชาติทรงพมอาจสงตั้งแตุู่่10-15เมตรเสนผ่าศนย์กลางล าต้นประมาณ ู้30-50เซนติเมตรประโยชน์เปลือกต้นและเนือไม้ มีรสเผด หวานชม มีกลิ่นหอม ้็ุ ่เป็นยาร้อนออกฤทธ์ต่อไตม้ามและกระเพาะปสสาวะิัใช้เป็นยาบ ารุงร่างกายท าให้ร่างกายอบอุ่นช่วยกระจายความเย็นในร่างกายท าให้เลือดหมุนเวียนดี

ต้นมะกอกลักษณะน ามาท าน ้ามันมะกอกเป็นพชท้องถ่นในแถบทะเลเมดืิิเตอร์เรเนียน เป็นไม้ยืนต้น ล าต้นออกสเทาออกขาวีนวล ต้นโคงงอ ดอกสขาวครีมขนาดเล็ก กลิ่นหอม ้ีผลเล็กเท่านิ้วหวแม่มือ ผลดบสเขยว ผลสกัิีีุเปลียนเป็นสน ้าตาลแดงหรือสม่วง่ีีประโยชน์เนื้อมะกอกรับประทานได้แต่มีรสเฝือนเพราะมี่สารอัลคาลอยด์จึงต้องน าไปดองเกลือก่อนรับประทานน ้ามันมะกอกใชปรุงอาหารแทนน ้ามันพช้ืหรือเนย ใชผสมในน ้าสลัด และใชเป็นยารักษาโรค้้ทางเดินอาหาร บ ารุงกระดูก บ ารุงผม

ต้นมะห้อลักษณะไม้ต้นผลัดใบ สง ู15-30 เมตร กิ่งอ่อน ใบอ่อนและช่อดอก มีขนนุ่มปกคลุม ใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ เรียงเวียนสลับ ใบย่อยออกตรงข้ามเป็นคู่ รูปรีหรือรูปขอบขนาน ปลายเรียวแหลม โคนมน ดอก เล็กสขาว ออกเป็นชอโปร่งแตกแขนงตามปลายกิ่ง ี่ผล รูปไข่ สเขียว เมื่อสกสแดงอมสมีุี้ประโยชน์ผล สามารถน ามารับประทานได้

ต้นนิโครธลักษณะผิวเปลือกเรียบสขาวปนเทา ใบเป็นใบเดี่ยวรูปไข่ มีีความเงามัน กว้าง 10-14 เซนติเมตร ยาว 15-20 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบโค้งกว้างออกเป็นคู่สลับกันแขนงใบมีระหว่าง4-6คู่ก้านใบอวบยาว2-5เซนติเมตร ผลกลมโต วัดผ่าศนย์กลางได้ประมาณ ู1-1.5เซนติเมตรประโยชน์เปลือกต้นใช้แก้อาการท้องเดินเมล็ดใช้เป็นยาเย็นและยาบ ารุง ผลใช้รับประทาน

สตว์ป่ำพบได้ในเขตัอุทยำนแห่งชำติน้ำหนำว

ช้ำงลักษณะเป็นสตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่อาศยอยู่บนบก เท้าเป็นัักีบ มีลักษณะกลม มีงวงยาวความยาวของล าตัวจากหัวจรดโคนหางยาวประมาณ400 เซนติเมตรหางยาวประมาณ100-150เซนติเมตรใบหูกว้างประมาณ 40-50เซนติเมตรเมือโตเต็มทีจะมีน ้าหนักประมาณ่่3,500-4,000กิโลกรัม3.5-4.0ตัน ความสง)ูบริเวณไหล่เฉลี่ยประมาณ240-270เซนติเมตร

กวำงลักษณะกวาง เป็นสตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับสตว์กีบคู่ ที่ััจัดอยู่ในวงศ ์Cervidae มีลักษณะขนยาวหยาบสีน ้าตาล ตัวผมีเขาเป็นแขนง ผลัดเขาปีละครั้ง ตัวเมียู ้มีขนาดเล็กกว่าและไม่มีเขา ความยาว1.8-2เมตร ความสงู85-150เซนติเมตร น ้าหนักโดยเฉลีย ่160-180กิโลกรัม

เสือโคร่งลักษณะล าตัวมีสเหลืองแดงหรือสขมิ้น มีแถบสดาหรือน ้าตาลีีีพาดตามล าตัวตลอดในแนวตั้ง บริเวณหน้าอก สวน่ท้องและดานในของขาทั้งสมีสขาวครีม บางตัวอาจมี้ี ่ีสออกเหลือง มีกระบอกปากค่อนข้างยาวเป็นสตว์ีัเลียงลูกดวยน ้านมอนดบสตวกนเนือ น ้าหนักโดย้้ััั์ิ้เฉลี่ย90-300กิโลกรัมข้นอยกับชวงวย มีความเร็วที ึู ่่ั่45-65กิโลเมตร ช่วโมง/ ั

หมูป่ำลักษณะ หมูปามีความยาวหัว ล าตัว ่-90-180 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ความสงหัวไหลู่ประมาณ 5 5 -110 เซนตเมตร น ้าหนัก ิ5 0 -350กิโลกรัม สวนหมูเลียงอาจมีน ้าหนักไดมากถง ่้้ึ450กิโลกรัม ผวสดาหรือเทาเขม มีขนข้นจาง ๆ ทั่วทั้งตัวิี้ึขนมันวาวสดาหรือน ้าตาลขนบริเวณสนหลังยาวเป็นีัพเศษิ

เก้งลักษณะ มีรูปร่างโดยรวมคือมีขนตามล าตัวสน ้าตาลอาจมีสอืนีี่ผสมแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดเขามีขนาดเล็กกวากวางในสกุลอืนใต้ตามีต่อมน ้าตาเหนได่่็้ชัดเจนเป็นเสนสด าเป็นร่องยาว ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะ้ีมีเขียวงอกออกมาจากมุมปาก หางมีขนาดส้นเวลา้ัตกใจจะร้องว่าเอิ๊บๆแล้วกระโดดหนีไป น ้าหนักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22กิโลกรัมความยาว 99เซนติเมตร

ลิงลักษณะ ลิง หรือ วานรเป็นสตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีความยาวัล าตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 75-95เซนติเมตร ความสงู55-65เซนติเมตร น ้าหนักตัว19-37กิโลกรัมชอบกินกล้วยและผลไม้ปาเป็นอาหาร่

อุทยานแหงชาติน ้าหนาว อ น ้าหนาว จ เพชรบูรณ์ ่. . 67260081-9626236อุทยานแหงชาติน ้าหนาว่เวลำท ำกำร: วันอาทิตย์ 8:00–16:30วันจันทร์ 8:00–16:30วันอังคาร 8:00–16:30วันพธ ุ8:00–16:30วันพฤหัส 8:00–16:30วันศกร์ุ8:00–16:30วันเสาร์8:00–16:30ติดต่อ อุทยานแห่งชาติน ้าหนาว

จัดท าโดยนาย ปรมัตถ์ สมปางหนังสออิเล็กทรอนิกสฉบับนีเป็นสวนหนึ่งของโครงงานื์้่เทคโนโลยีสารสนเทศเอกนวัตกรรมมัลติมีเดียสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสนทร์ิวันที่ 12พฤษภาคม2564


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook