Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อริยสัจ ทดสอบ

อริยสัจ ทดสอบ

Published by jakkapong231260, 2020-09-09 00:43:50

Description: อริยสัจ มงคล 38

Search

Read the Text Version

อรยิ สจั : มรรค : มงคล 38 : สงเคราะหภ์ รรยา สงเคราะหภ์ รรยา คคู่ รองทดี่ ี จะเป็ นครู่ ว่ มชวี ติ กนั ได ้ นอกจากกามคณุ แลว้ ควรมคี ณุ สมบตั ิ และประพฤตติ าม ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ ก. คสู่ รา้ งคสู่ ม มหี ลักธรรมของคชู่ วี ติ ทจี่ ะทาใหค้ สู่ มรสมชี วี ติ ทส่ี อดคลอ้ งกลมกลนื กนั เป็ น พนื้ ฐานอนั มนั่ คงทจ่ี ะทาใหอ้ ยคู่ รองกันไดย้ ดื ยาว เรยี กวา่ สมชวี ธิ รรม 4 ประการ คอื 1. สมสทั ธา คอื มศี รัทธาสมกัน หมายถงึ เคารพนับถอื ในลทั ธศิ าสนา สง่ิ เคารพบชู า แนวความคดิ ความเชอ่ื ถอื หรอื หลักการตา่ ง ๆ ตลอดจนแนวความสนใจอยา่ งเดยี วกัน หนักแน่น เสมอกัน หรอื ปรับเขา้ หากัน ลงกนั ได ้ 2. สมสลี า คอื มศี ลี สมกัน หมายถงึ มคี วามประพฤติ ศลี ธรรม จรรยา มารยาท พนื้ ฐานการ อบรม พอเหมาะสอดคลอ้ ง ไปกันได ้ 3. สมจาคา คอื มจี าคะสมกนั หมายถงึ มคี วามเออื้ เฟ้ือเผอ่ื แผ่ ความโอบออ้ มอารี ความมี ใจกวา้ ง ความเสยี สละ ความพรอ้ มทจี่ ะชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู ผอู ้ นื่ พอกลมกลนื กัน ไมข่ ดั แยง้ บบี คนั้ กัน 4. สมปญั ญา คอื มปี ัญญาเสมอกนั หมายถงึ รเู ้ หตรุ ผู ้ ล เขา้ ใจกนั อยา่ งนอ้ ยพดู กนั รเู ้ รอื่ ง ข. คชู่ น่ื ชมครู่ ะกา หรอื คบู่ ญุ คกู่ รรม คอื คคู่ รองทม่ี คี ณุ ธรรม ลักษณะนสิ ยั ความประพฤติ ปฏบิ ัตกิ ารแสดงออกตอ่ กนั ทที่ าใหเ้ กอื้ กลู กันหรอื ถกู กันก็มี ตอ้ งยอมทนกนั หรอื อยกู่ ันอยา่ งขม ขน่ื ก็มใี นกรณีนที้ า่ นแสดง สามแี ละภรรยาประเภทตา่ ง ๆ ไว ้ 7 ประการคอื 1. วธกภสั ดา และ วธกาภรยิ า คอื สามแี ละภรรยาเหมอื นเพชฌฆาต หมายถงึ คคู่ รองท่ี มไิ ดอ้ ยกู่ นิ ดว้ ยความพอใจ ดหู มนิ่ และคดิ ทาลายซงึ่ กันและกนั 2. โจรภสั ดา และ โจรภี รยิ า คอื สามแี ละภรรยาเหมอื นโจร หมายถงึ คคู่ รองชนดิ ทลี่ า้ ง ผลาญทรัพยส์ มบตั ิ 3. อยั ยภสั ดา และ อยั ยาภรยิ า คอื สามแี ละภรรยาเหมอื นนาย หมายถงึ คคู่ รองทเ่ี กยี จ ครา้ น ไมใ่ สใ่ จการงาน ปากรา้ ย หยาบคาย ชอบขม่ ขซู่ งึ่ กนั และกนั 4. ปิ ตาภสั ดา และ มาตาภรยิ า คอื สามเี หมอื นบดิ าและภรรยาเหมอื นมารดา หมายถงึ การใหค้ วามเคารพ การใหเ้ กยี รตซิ งึ่ กันและกนั มคี วามหวงั ดี คอยหว่ งใย เอาใจใสต่ อ่ กนั ชว่ ยกันหาทรัพยแ์ ละรจู ้ ักประหยดั อดออม 5. ภาตาภสั ดา และ ภคนิ ภี รยิ า คอื สามเี หมอื นพชี่ าย และภรรยาเหมอื นนอ้ งสาว หมายถงึ สามใี หค้ วามรักความเอ็นดู ใหก้ ารปกป้องดแู ล คอยระมดั ระวงั ภัยให ้ สว่ นภรรยาให ้ ความเคารพรักสามดี จุ ดังนอ้ งรักพี่ มใี จออ่ นโยน รจู ้ ักเกรงใจ มกั คลอ้ ยตามสามี 6. สขาภสั ดา และ สขภี รยิ า คอื สามแี ละภรรยาเหมอื นเพอื่ น หมายถงึ การปฏบิ ัตติ อ่ กัน เหมอื นเพอ่ื น มจี ติ ใจภกั ดซี อ่ื ตรงตอ่ กนั รว่ มสขุ รว่ มทกุ ขก์ นั รจู ้ ักการวางตวั ใหเ้ หมาะสม มคี วาม ประพฤตดิ ี มกี ริ ยิ ามารยาททดี่ งี าม และเป็ นคคู่ ดิ คใู่ จ 7. ทาสภสั ดา และทาสภี รยิ า คอื สามแี ละภรรยาเหมอื นคนใช ้ หมายถงึ การใหค้ วาม ชว่ ยเหลอื หนา้ ทกี่ ารงานซง่ึ กนั และกัน ไมเ่ กยี่ งวา่ เป็ นงานผหู ้ ญงิ หรอื งานผชู ้ าย มคี วามอดทน อดกลนั้ ตอ่ กัน ไมแ่ สดงความโกรธกา้ วรา้ วรนุ แรงตอ่ กนั ทา่ นสอนใหภ้ รรยาสารวจตนวา่ ทเ่ี ป็ นอยู่ ตนเป็ นภรรยาประเภทไหน ถา้ จะใหด้ ี ควรเป็ นภรรยา ประเภทใด สาหรับชายอาจใชเ้ ป็ นหลักสารวจอปุ นสิ ยั ของตนวา่ ควรแกห่ ญงิ ประเภทใดเป็ น คคู่ รอง และสารวจหญงิ ทจ่ี ะเป็ นคคู่ รองวา่ เหมาะกับอปุ นสิ ยั ตนหรอื ค. คศู่ ลี ธรรมคคู่ วามดี โดยยดึ เอาหลกั ธรรมสาหรับการครองเรอื น คอื ฆราวาสธรรม 4 ประการ มาใชต้ อ่ กันในบา้ นดว้ ย ดังน้ี 1) สจั จะ คอื ความจรงิ หมายถงึ ความซอ่ื สตั ยต์ อ่ กัน มคี วามจรงิ ใจตอ่ กนั 2) ทมะ คอื การฝึกตน หมายถงึ รจู ้ ักควบคมุ จติ ใจ ฝึกหัดดัดนสิ ยั แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งขอ้ ขดั แยง้ ปรับตัวปรับใจเขา้ หากัน และปรับปรงุ ตนใหด้ งี ามยงิ่ ขน้ึ ไป 3) ขนั ติ คอื ความอดทน หมายถงึ มจี ติ ใจทเี่ ขม้ แขง็ หนักแน่น ไมว่ วู่ าม ทนตอ่ ความ ลว่ งล้าก้าเกนิ กัน และรว่ มกันอดทนตอ่ ความเหนอื่ ยยากลาบากตรากตรา ฝ่ าฟันอปุ สรรคไป

ดว้ ยกัน 4) จาคะ คอื ความเสยี สละ หมายถงึ ความมนี ้าใจ สามารถเสยี สละความสขุ สาราญ ความพอใจสว่ นตนเพอื่ คคู่ รองได ้ เชน่ อดหลบั อดนอนพยาบาลกันในยามเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วย เป็ นตน้ ตลอดจนมจี ติ ใจเออ้ื เฟ้ือเผอ่ื แผต่ อ่ ญาตมิ ติ รสหายของคคู่ รอง ไมใ่ จแคบ ง. คสู่ งเคราะหก์ นั คอื การสงเคราะห์ อนุเคราะหก์ ัน ตามหลักปฏบิ ตั ใิ นทศิ 6 ขอ้ ทวี่ า่ ดว้ ย “ทศิ เบอ้ื งหลงั ” คอื สามปี ฏบิ ัตติ อ่ ภรรยา ดงั น้ี 1) ยกยอ่ งใหเ้ กยี รตสิ มฐานะทเ่ี ป็ นภรรยา หมายถงึ การใหก้ ารยกยอ่ งนับถอื มคี วาม เทา่ เทยี มกัน ไมก่ ดขข่ี ม่ เหงน้าใจภรรยา 2) ไมด่ หู มน่ิ ภรรยา หมายถงึ การไมด่ ถู กู ภรรยาของตนเองไมว่ า่ จะเป็ นชาตติ ระกลู ท่ี ตา่ กวา่ ระดบั การศกึ ษาทต่ี า่ กวา่ เป็ นตน้ 3) ไมน่ อกใจภรรยา หมายถงึ การไมค่ บชู ้ การไมค่ ดิ หรอื กระทาการนอกใจภรรยา ของตนเอง จะนามาซงึ่ ความเดอื ดรอ้ น และเสยี ทรัพยใ์ นทสี่ ดุ 4) มอบความเป็ นใหญใ่ นบา้ นใหภ้ รรยา หมายถงึ มอบหนา้ ทก่ี ารงานในบา้ นให ้ ภรรยาคอยควบคมุ ดแู ล ใหเ้ ป็ นไปดว้ ยดแี ละเป็ นระเบยี บเรยี บรอ้ ย หากมเี รอื่ งเดอื ดเนอื้ รอ้ นใจ ภายในบา้ น ก็คอยบอกสามใี หค้ วามชว่ ยเหลอื เกอื้ กลู 5) หาเครอื่ งแตง่ ตวั ใหก้ บั ภรรยา หมายถงึ การบารงุ น้าใจภรรยา โดยใหข้ องขวญั แก่ ภรรยาตามแตโ่ อกาสจะอานวย เชน่ วนั ครบรอบ วนั เกดิ วนั ครบรอบวนั แตง่ งาน เป็ นตน้ ภรรยาพงึ สงเคราะหส์ ามี ดงั นี้ 1) จัดงานบา้ นใหเ้ รยี บรอ้ ย หมายถงึ การปฏบิ ัตงิ านบา้ นตามหนา้ ทข่ี องภรรยาทด่ี ี โดย เอาใจใสจ่ ัดการงานใหเ้ ป็ นระเบยี บเรยี บรอ้ ย โดยไมข่ าดตกบกพรอ่ ง 2) สงเคราะหญ์ าตมิ ติ รของทัง้ สองฝ่ ายดว้ ยดี หมายถงึ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ญาตมิ ติ รสหายของทัง้ สองฝ่ ายดว้ ยความจรงิ ใจ และสมา่ เสมอกันไมล่ าเอยี งฝ่ ายใดฝ่ ายหนงึ่ 3) ไมน่ อกใจสามี หมายถงึ ไมค่ บชสู ้ ชู่ ายอนื่ มคี วามซอ่ื สตั ยต์ อ่ สามตี น ไมป่ ระพฤติ นอกใจ 4) รักษาทรัพยส์ มบัตทิ หี่ ามาได ้ หมายถงึ การรจู ้ ักดแู ลรักษา และการรจู ้ ักการใชท้ รัพย์ สมบัตทิ หี่ ามาไดอ้ ยา่ งระมดั ระวงั และใชจ้ า่ ยในสงิ่ ทจี่ าเป็ น รจู ้ ัดการอดออมเพอ่ื ใชใ้ นยามที่ จาเป็ น เป็ นตน้ 5) ขยันไมเ่ กยี จครา้ นในกจิ การงานทัง้ ปวง หมายถงึ การขยัน ชา่ งจัดชา่ งทา เอาการ เอางานทกุ อยา่ ง โดยไมเ่ กยี่ งงอน ปฏบิ ตั ติ นเป็ นแมบ่ า้ นทดี่ ี จ. สามเี ห็นใจภรรยา ผหู ้ ญงิ มคี วามทกุ ขเ์ ฉพาะตวั อกี สว่ นหนงึ่ ซง่ึ ตา่ งจากผชู ้ าย ซง่ึ สามพี งึ เขา้ ใจและพงึ ปฏบิ ัตดิ ว้ ยความเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจ ดังนคี้ อื 1) ผหู้ ญงิ ตอ้ งจากหมญู่ าตมิ าอยกู่ บั ตระกลู ของสามีี ทัง้ ทยี่ ังเป็ นเด็กสาว สามี ควรใหค้ วามอบอนุ่ ใจ 2) ผหู้ ญงิ มรี ะดู (ประจาเดอื น) ซง่ึ บางครัง้ กอ่ ปัญหาใหเ้ กดิ ความแปรปรวนทัง้ ทางใจ และทางกาย สามคี วรเขา้ ใจและคอยใหค้ วามชว่ ยเหลอื 3) ผหู้ ญงิ มคี รรภี์ ซง่ึ ในขณะทตี่ ัง้ ครรภส์ ามตี อ้ งคอยเอาใจใสบ่ ารงุ ทัง้ ทางกายและ ทางใจเป็ นพเิ ศษ 4) ผหู้ ญงิ คลอดบตุ ร ซง่ึ เป็ นครัง้ ทเ่ี จ็บปวดทกุ ขแ์ สนสาหัส และเสยี่ งตอ่ ชวี ติ มาก สามี คอยเป็ นกาลังใจและใสใ่ จเหมอื นเป็ นทกุ ขข์ องตนเอง 5) ผหู้ ญงิ ตอ้ งคอยดแู ลเอาใจใสฝ่ ่ ายชาย ไมค่ วรเอาแตใ่ จตัวเอง พงึ ซาบซงึ้ ใน ความเออ้ื เฟื้อและมนี ้าใจตอบแทน ===========================================

อรยิ สจั : มรรค : มงคล 38 : สนั โดษ สนั โดษ มงคลภาษิตบทหนงึ่ กลา่ วไวว้ า่ สนั ตฏุ ฐี แปลวา่ ความสนั โดษ เอตัมมัง คะละมตุ ตะมัง แปลวา่ เป็ นมงคลอยา่ งยงิ่ “ความสนั โดษ” หมายถงึ ความยนิ ดดี ว้ ยพัสดหุ รอื ฐานะของตนทมี่ อี ยู่ ไมด่ นิ้ รนทะยานอยากในสง่ิ ทย่ี งั ไมม่ าถงึ มากจนเกนิ ไป รักษาใจไมใ่ หค้ วามโลภเขา้ ครอบงา ความสนั โดษยงั หมายถงึ ความพอใจทจ่ี ะไดท้ าการงานอยา่ งเต็มกาลังความสามารถ มใิ ชค่ วามเกยี จครา้ นเฉอื่ ยชา และมใิ ชก่ ารหลกี หนจี ากสงั คมไปอยอู่ ยา่ งโดดเดยี่ ว แตเ่ ป็ นธรรมท่ี ทาใหบ้ คุ คลเขา้ ใจตนเอง จติ ใจสงบเพราะรจู ้ ักพอ คนทม่ี คี วามสนั โดษจงึ เป็ นคนทที่ างานเต็ม กาลังความสามารถและพอใจในผลงานของตนเอง 1. ลกั ษณะของความสนั โดษ จาแนกได ้ ๓ ประการ คอื (1) ใหย้ นิ ดตี ามทไี่ ด ้ คอื มอี ยา่ งใดใชอ้ ยา่ งนัน้ หรอื เป็ นอยอู่ ยา่ งใดพอใจอยา่ งนัน้ หมายถงึ สงิ่ ใด ๆ ก็ตามทไ่ี ดม้ าดว้ ยความเพยี รพยามยามของตนเองและดว้ ยความสจุ รติ ก็มคี วามพอใจกบั สง่ิ นัน้ ไมเ่ พง่ เล็งอยากไดข้ องคนอน่ื และไมค่ ดิ รษิ ยาคนอนื่ ดว้ ย เรยี กวา่ “ยถาลาภสนั โดษ” (2) ใหป้ ระมาณกาลงั กายแมถ้ งึ จะไดม้ าโดยชอบ แตถ่ า้ เกนิ กาลังหรอื ไมเ่ ป็ นสบายแกต่ นก็ไม่ ปรารถนา หมายถงึ ยนิ ดตี ามกาลังหรอื ตามควรแกส่ มรรถภาพ ซง่ึ คนแตล่ ะคนมกี าลังและ ความสามารถไมเ่ ทา่ กัน ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ก็ยอ่ มไมเ่ ทา่ กนั เรยี กวา่ “ยถาพลสนั โดษ” (3) ใหร้ ฐู ้ านะของตนตามคณุ านุรปู ตลอดถงึ ความสามารถ แมถ้ งึ มที างไดโ้ ดยสะดวก แตถ่ า้ เห็นเกนิ ฐานะยอ่ มยบั ยัง้ หมายถงึ ยนิ ดตี ามสมควร มคี วามยนิ ดแี ละพอใจตามสมควรแกฐ่ านะ และภาวะของตนเอง เรยี กวา่ “ยถาสารปุ ปสนั โดษ” 2. ลกั ษณะของผมู้ สี นั โดษ (1) เป็ นผแู ้ สวงหาเครอ่ื งเลยี้ งชพี ดว้ ยความเพยี รและปัญญาตามความเหมาะสมกบั ภาวะของ ตนและเทา่ ทเี่ ป็ นความชอบธรรม (2) เป็ นผทู ้ ไี่ มอ่ ยากไดข้ องผอู ้ น่ื หรอื ของทไ่ี ดม้ าดว้ ยความฉอ้ ฉลไมท่ าการทจุ รติ เพราะปาก ทอ้ งและผลประโยชนส์ ว่ นตัว (3) เมอื่ หามาไดแ้ ละใชส้ อยสงิ่ เหลา่ นัน้ ก็ไมต่ ดิ ไมห่ มกมนุ่ มัวเมา (4) เมอ่ื ทาสดุ กาลังแลว้ ไมไ่ ด ้ ไมส่ าเร็จ ก็ไมเ่ ดอื ดรอ้ นกระวนกระวาย ไมย่ อมใหค้ วามผดิ หวงั ครอบงา ยงั คงปฏบิ ัตหิ นา้ ทขี่ องตนตอ่ ไปได ้ (5) ไมถ่ อื เอาสงิ่ ทต่ี นหามาไดท้ ัง้ สมบัตหิ รอื ผลสาเร็จในงานมายกตนขม่ ผอู ้ นื่ (6) หาความสขุ ไดจ้ ากสงิ่ ทเี่ ป็ นของตน ตามสทิ ธทิ จี่ ะพงึ ไดท้ ตี่ นเขา้ ถงึ ในขณะนัน้ ๆ (7) มคี วามภมู ใิ จในความสาเร็จทเี่ กดิ จากกาลังงานของตนมคี วามอดทนยนิ ดรี อคอยผลสาเร็จ แมน้ อ้ ย ทเ่ี กดิ จากน้าพักน้าแรงของตน ไมย่ นิ ดผี ลแมม้ ากทเ่ี กดิ จากความไมช่ อบธรรม (8) มคี วามรักและภักดใี นหนา้ ทก่ี ารงานของตน มงุ่ หนา้ ปฏบิ ัตหิ นา้ ทกี่ ารงานใหก้ า้ วหนา้ 3. ธรรมทเ่ี ป็ นปฏปิ กั ษห์ รอื อกศุ ลธรรม ทพี่ งึ กาจัดดว้ ยสนั โดษ ประกอบดว้ ย (1) การเบยี ดเบยี นกนั เพราะอยากไดข้ องผอู ้ นื่ (2) การทจุ รติ เพราะอยากไดแ้ ตไ่ มอ่ ยากทา หรอื อยากไดเ้ ร็วไมอ่ าจรอคอยผลสาเร็จทจ่ี ะพงึ เกดิ จากการกระทาของตนเอง (3) ความฟ้งุ เฟ้อ สารวย การใชช้ วี ติ โกห้ รู ฟ่ มุ เฟือยแตไ่ มช่ อบทางาน (4) การทอดทง้ิ ละเลย ไมเ่ อาใจใสใ่ นหนา้ ทกี่ ารงาน ตลอดถงึ การทจุ รติ ตอ่ หนา้ ที่ (5) ความเกยี จครา้ น เฉ่อื ยชา

(6) ความเดอื ดรอ้ นใจ ความกระวนกระวาย รมุ่ รอ้ น หาความสขุ ไมไ่ ด ้ เพราะความเหอ่ เหมิ ทะเยอทะยาน ไมพ่ อใจอยตู่ ลอดเวลา 4. วตั ถปุ ระสงคข์ องสนั โดษ แบง่ ออกเป็ น 2 ระดับคอื (1) วตั ถปุ ระสงคท์ ว่ั ไป การทตี่ อ้ งปฏบิ ตั สิ นั โดษก็เพอ่ื เป็ นสว่ นประกอบชว่ ยเสรมิ และ สนับสนุนการปฏบิ ัตติ ามสายกลางคอื อรยิ มรรคมอี งค์ 8 ซง่ึ มจี ดุ หมายสงู สดุ คอื วมิ ตุ ติ ไดแ้ ก่ ความหลดุ พน้ หรอื อสิ รภาพโดยสมบรู ณ์ (2) วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะ การปฏบิ ัตสิ นั โดษก็เพอ่ื ใหจ้ ติ ปลอดโปรง่ มนั่ คงไมค่ ดิ ในสง่ิ เยา้ ยวน ไรก้ ังวลทจ่ี ะตอ้ งบารงุ บาเรอตนเอง จะไดน้ าเวลาและความคดิ มาอทุ ศิ ทมุ่ เทแกก่ ารปฏบิ ัติ หนา้ ทข่ี องตนใหเ้ ต็มทแี่ ละเต็มกาลัง นอกเหนอื จากวตั ถปุ ระสงคด์ ังกลา่ วแลว้ สนั โดษยังมผี ลพลอยไดพ้ เิ ศษดงั นคี้ อื (1) สง่ิ ทต่ี นมอี ยู่ และแสวงหามาเพอื่ สรา้ งความสขุ ความสบายแกต่ น ก็ใหค้ วามสขุ ไดจ้ รงิ (2) ป้องกนั การทจุ รติ ทเี่ กดิ จากความอยากได ้ โดยไมอ่ ยากทา การไดไ้ มร่ จู ้ ักพอ การอยาก ไดข้ องผอู ้ น่ื ทาใหส้ งั คมสงบสขุ ไปดว้ ย (3) การมงุ่ ปฏบิ ตั กิ จิ หนา้ ทข่ี องตนทาใหเ้ กดิ ความกา้ วหนา้ ทัง้ สว่ นตัว และความเจรญิ ของ ประเทศ (4) ป้ องกนั ความสญู เสยี ทจี่ ะเกดิ จากความฟ่ มุ เฟือย ฟ้งุ เฟ้อ ของประชาชนทาใหเ้ วลา ความคดิ และกาลงั งาน เกดิ ผลงอกเงยมากขนึ้ 5. คณุ ประโยชนข์ องสนั โดษ ความสนั โดษมคี ณุ ประโยชนต์ อ่ ผปู ้ ฏบิ ตั เิ ป็ นอนั มากเพราะความ สนั โดษชว่ ยใหค้ นยนิ ดกี บั สง่ิ ของทตี่ นไดโ้ ดยสจุ รติ เป็ นผลใหม้ คี วามพอใจในผลประโยชนท์ ี่ เกดิ ขน้ึ ขจัดเสยี ซง่ึ ความตระหนี่ มจี ติ ใจเออ้ื เฟื้อเผอื่ แผ่ จติ ใจสงบเยอื กเย็น พน้ จากความวนุ่ วาย ทะเยอทะยานอยากไดจ้ นเกนิ ควร ยอ่ มเป็ นคนทสี่ งบสขุ มคี วามเจรญิ ในชวี ติ เพราะรคู ้ ดิ หมัน่ ทางานตามประมาณของตน ===========================================

วธิ กี ารศกึ ษาและคน้ ควา้ พระไตรปิฎก และคัมภรี ร์ องอน่ื ๆ ในการศกึ ษาคัมภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนานัน้ ทา่ นวางระดับความสาคัญของคัมภรี ท์ พี่ งึ เชอ่ื ถอื ลดหล่นั ลงไป ดังน้ี 1. พระไตรปิฎก 2. สตุ ตานุโลม (หมายถงึ อรรถกถา ฎกี า อนุฎกี า ตลอดถงึ ปกรณพ์ เิ ศษทัง้ หลาย) 3. เกจอิ าจารย์ (ผรู ้ ทู ้ เี่ ป็ นพหสู ตู ทเ่ี ชอ่ื ถอื ได)้ 4. อตั โนมตั ิ (ความคดิ เห็นสว่ นตัว) เสฐยี รพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑติ ไดเ้ ขยี นบทความเรอื่ ง “วธิ ศี กึ ษาคน้ ควา้ พระไตรปิฎก” ซง่ึ เห็นวา่ เป็ นบทความทส่ี าคญั และน่าสนใจเป็ นอยา่ งยง่ิ และควรนามาเป็ นวธิ กี ารศกึ ษาและ คน้ ควา้ พระไตรปิฎกและคมั ภรี ร์ อง อน่ื ๆจงึ นามาสรปุ ไวใ้ นทน่ี ้ี ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. พระไตรปิ ฎกคอื อะไร พระไตรปิฎก คอื คัมภรี บ์ ันทกึ คาสอนของพระพทุ ธเจา้ (คาสอนของคนอน่ื ทพี่ ระพทุ ธองค์ ทรงรับรองก็นับรวมในทน่ี ด้ี ว้ ย) แบง่ เป็ น 3 ปิฎก คอื พระวนิ ัยปิฎก พระสตุ ตนั ตปิฎก และพระ อภธิ รรมปิฎก 2. พระไตรปิ ฎกมคี วามเป็ นมาอยา่ งไร 1. สมัยพทุ ธกาลไมม่ พี ระไตรปิฎก พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดง ธรรม-วนิ ัย หรอื พรหมจรรย์ 2. ตอ่ มาภายหลงั พระพทุ ธเจา้ ปรนิ พิ พาน พระมหากสั สปะ รวบรวมพระอรหนั ตท์ รงอภญิ ญา 500 รปู กระทาสงั คายนาครัง้ ท่ี 1 ทาการสงั คายนาพระธรรม-วนิ ัย 3. ในชว่ งระหวา่ งสงั คายนาครัง้ ท่ี 2 จนถงึ ครัง้ ท่ี 3 มกี ารสนั นษิ าฐานวา่ ธรรม-วนิ ัย ไดแ้ ตก แขนงออกเป็ น 3 หมวด เรยี กวา่ เตปิฎก = ไตรปิฎก 4. พระไตรปิฎก ไดถ้ า่ ยทอดสบื ตอ่ กันมาโดยการทอ่ งจา และไดร้ ับการจารกึ ลงเป็ นลาย ลกั ษณอ์ กั ษรในการทาสงั คายนาครัง้ ท่ี 5 ดว้ ยอักษรสงิ หล เมอื่ พ.ศ. 450 ณ ศรลี ังกา จากนัน้ ก็ถา่ ยทอดเป็ นอกั ษรของชาตติ า่ ง ๆ ทส่ี บื ทอดพระไตรปิฎก 5. พระไตรปิฎกบันทกึ ดว้ ยภาษามคธ ตอ่ มาไดเ้ ปลย่ี นมาเรยี กเป็ นภาษาบาลี และมกี ารถอด เป็ นอกั ษรโรมัน สาหรับประเทศไทยก็มกี ารถอดเป็ นอกั ษรไทย 6. พระไตรปิฎกทใี่ ชอ้ า้ งองิ แพรห่ ลายในปัจจบุ นั คอื ฉบับโรมนั ฉบับสงิ หล ฉบับพมา่ และฉบบั ไทย 3. ความสาคญั ของพระไตรปิ ฎก พระธรรมปิฎก ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชนข์ องการศกึ ษาพระไตรปิฎกไว ้ 6 ประการ ดังนี้ 1. เป็ นทรี่ วมไวซ้ งึ่ พุทธพจน์ คอื พระดารัสของพระพทุ ธเจา้ 2. เป็ นทส่ี ถติ ของพระศาสดาของพทุ ธศาสนกิ ชนเพราะเป็ นทบ่ี รรจพุ ระธรรมวนิ ัยท่ี พระพทุ ธเจา้ ตรัสไวใ้ หเ้ ป็ นศาสดา แทนพระองค์ 3. เป็ นแหลง่ ตน้ เดมิ ของคาสอนในพระพทุ ธศาสนา 4. เป็ นหลักฐานอา้ งองิ การแสดงหรอื ยนื ยันหลกั การทกี่ ลา่ ววา่ เป็ นพระพทุ ธศาสนา 5. เป็ นมาตรฐานตรวจสอบคาสอนในพระพทุ ธศาสนา 6. เป็ นมาตรฐานตรวจสอบความเชอ่ื ถอื และขอ้ ปฏบิ ัตใิ นพระพทุ ธศาสนา ===========================================

การครองตนเป็ นพลเมืองดี การครองตนเป็นพลเมืองที่ดี นาชีวติ และครอบครัวของตนไปสู่ความเจริญ สงบสุข และเป็นพลเมืองที่ สร้างสรรคส์ งั คม โดยประพฤติ ดงั น้ี 1. ไมค่ บชูส้ ู่หามวั หมกมุน่ ในทางเพศ หรือการล่วงละเมิดทางเพศ 2. ไมใ่ จแคบเสพสิ่งเลิศรสผเู้ ดียว ควรมีความเอ้ือเฟ้ื อเผอื่ แผ่ แบง่ ปันกนั 3. ไมพ่ ร่าเวลาถกถอ้ ยที่เล่ือนลอยไร้สาระ หมายถึง การไมป่ ล่อยเวลาใหเ้ ปล่าประโยชน์ หรือมีชีวติ อยู่ ไปวนั ๆ โดยไม่ก่อประโยชนใ์ ด ๆ ท้งั สิ้น 4. ประพฤติดี มีวนิ ยั ต้งั อยใู่ นศีล 5 5. ปฏิบตั ิกิจหนา้ ท่ีสม่าเสมอโดยสมบูรณ์ 6. ไมป่ ระมาท กระตือรือร้นทุกเวลา 7. มีวจิ ารณญาณ ทาการโดยใชป้ ัญญา 8. สุภาพ ไมด่ ้ือกระดา้ ง ยนิ ดีรับฟังผอู้ ่ืน 9. เสง่ียมงาม รักความประณีตสะอาดเรียบร้อย 10. พูดจาน่าฟัง ท้งั ใจกายกอ็ ่อนโยน ไม่หยาบคาย 11. มีน้าใจเอ้ือสงเคราะห์ต่อมิตรสหาย 12. เผอ่ื แผแ่ บง่ ปัน ช่วยเหลือคนทว่ั ไป 13. รู้จกั จดั การงานใหเ้ รียบร้อยและไดผ้ ลดี 14. บารุงพระสงฆท์ รงความรู้ ผทู้ รงศีลทรงธรรม 15. ใคร่ธรรม รักความสุจริต 16. อ่านมาก ฟังมาก รู้วชิ าของตนเช่ียวชาญ 17. ชอบสอบถามคน้ ควา้ ใฝ่ หาความรู้ยง่ิ ข้ึนไป ฯลฯ ===========================================

ภพ – ภูมิ ภพ หมายถึง โลกเป็นที่อยขู่ องสัตว์ หรือภาวะชีวติ ของสัตว์ มี 3 คือ 1. กามภพ หมายถึง ภพที่เป็นกามาวจร หรือภพของผยู้ งั เสวยกามคุณ คืออารมณ์ทางอินทรียท์ ้งั 5 (อารมณ์ที่เกิดจากอินทรียท์ ้งั 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ไดแ้ ก่ 1) อบาย 4 (ภาวะหรือท่ีอนั ปราศจากความ เจริญ) ประกอบดว้ ย นรก หรือภาวะท่ีไม่มีความสุขความเจริญ ภาวะที่เร่าร้อนกระวนกระวายใจ กาเนิด ดิรัจฉาน หรือพวกมือมวั โง่เขลา แดนเปรต หรือภูมิแห่งผูห้ ิวกระหายไร้สุข และพวกอสูร หรือพวก หวาดหวน่ั ไร้ความรื่นเริง 2) มนุษยโลก และ 3) กามาวจรสวรรคท์ ้งั 6 ประกอบดว้ ย จาตุมหาราชิกา (สวรรค์ ช้นั ท่ีทา้ วมหาราช 4 ปกครอง) ดาวดึงส์ (แดนแห่งเทพ 33 มีทา้ วสักกะเป็นใหญ)่ ยามา (แดนแห่งเทพผู้ ปราศจากความทุกข)์ ดุสิต (แดนแห่งเทพผอู้ ่ิมเอิบดว้ ยสิริสมบตั ิของตน) นิมมานรดี (แดนแห่งเทพผยู้ นิ ดีใน การเนรมิต) และปรนิมมิตวสวตั ดี (แดนแห่งเทพผยู้ งั อานาจใหเ้ ป็นไปในสมบตั ิที่ผูอ้ ื่นเนรมิตให้) 2. รูปภพ หมายถึง ภพท่ีเป็นรูปาวจร หรือภพของผทู้ ี่เขา้ ถึงรูปฌาน ไดแ้ ก่ รูปพรหมท้งั 16 ประกอบดว้ ย ระดบั ปฐมฌาน คือพวกบริษทั บริวารมหาพรหม พวกปุโรหิตมหาพรหม และพวกทา้ วมหาพรหม ระดบั ทุติย ฌาน คือ พวกมีรัศมีนอ้ ย และพวกมีรัศมีประมาณไม่ได้ ระดบั 3. อรูปภพ หมายถึง ภพที่เป็นอรูปาวจร หรือภพของผทู้ ่ีเขา้ ถึงอรูปฌาน ไดแ้ ก่ อรูปพรหมท้งั 4 ประกอบดว้ ย ช้นั ที่เขา้ ถึงภาวะมีอากาศที่ไมม่ ีที่สุด ช้นั ที่เขา้ ถึงภาวะมีวญิ ญาณไม่มีที่สุด ช้นั ท่ีเขา้ ถึงภาวะไม่ มีอะไร และช้นั ท่ีเขา้ ถึงภาวะมีสญั ญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ภูมิ หมายถึง พ้นื เพ พ้นื ช้นั ที่ดิน แผน่ ดิน หรือหมายถึง ช้นั แห่งจิต ระดบั จิตใจ หรือระดบั ชีวติ มี 4 คือ 1. กามาวจรภูมิ หมายถึง ช้นั ที่ทอ่ งเที่ยวอยใู่ นกาม หรือระดบั จิตใจท่ียงั ปรารภกามเป็นอารมณ์ คือ ยงั เก่ียวขอ้ งอยกู่ บั กามคุณ หรือระดบั จิตใจของสัตวใ์ นกามภพท้งั 11 ช้นั 2. รูปาวจรภูมิ หมายถึง ช้นั ที่ทอ่ งเท่ียวอยใู่ นรูป หรือระดบั จิตใจที่ปรารภรูปธรรมเป็นอารมณ์ หรือ ระดบั จิตใจของท่านผไู้ ดฌ้ านหรือผอู้ ยใู่ นรูปภพ 16 ช้นั 3. อรูปาวจรภูมิ หมายถึง ช้นั ท่ีทอ่ งเท่ียวอยใู่ นอรูป หรือระดบั จิตใจท่ีปรารภอรูปธรรมเป็นอารมณ์ หรือ ระดบั จิตใจของทา่ นผไู้ ดอ้ รูปฌาน หรือผอู้ ยใู่ นอรูปภพท้งั 4 ช้นั 4. โลกุตตรภูมิ หมายถึง ช้นั ท่ีพน้ จากโลก หรือระดบั แห่งโลกุตตรธรรม หรือระดบั จิตใจของพระอริย เจา้ อนั พน้ แลว้ จาก โลกิยภูมิ 3 ขา้ งตน้ ===========================================


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook