ประวตั กิ ีฬาฟุตบอล
สารบญั ห3นา้ 4 ประวตั ิความเป็นมากีฬาฟตุ บอล 8 ประวตั ิความเป็นมากีฬาฟตุ บอลในประเทศไทย 9 ประวตั คิ วามเป็นมากีฬาฟตุ บอลโลก กตกิ าฟตุ บอล
ประวตั คิ วามเป็ นมาของกฬี าฟุตบอล นบั ไดว้ า่ ฟุตบอล เป็นกีฬาท่ีมีคนสนใจอยทู่ วั่ มุมโลก เห็นไดจ้ ากเวลาท่ีมีการ แข่งขนั รายการใหญ่อยา่ งฟุตบอลโลก หรือฟุตบอลยโู ร กจ็ ะมีบริษทั ต่าง ๆ ผลิตสินคา้ เก่ียวกบั การแข่งขนั ออกมาขายตอบสนองความตอ้ งการของแฟนบอลในตลาดเสมอ เช่น แกว้ ฟุตบอลโลก เส้ือแข่ง เป็นตน้ จึงเป็นหลกั ฐานช้ีชดั วา่ กีฬาชนิดน้ี ไดร้ ับความ นิยมไปทว่ั โลกจริง ๆ โดยเฉพาะประเทศไทย ที่ประชาชนสนใจกีฬาฟุตบอลเป็นอนั ดบั 1 อยแู่ ลว้ ดงั น้นั เราจะมาทาความรู้จกั กบั กีฬาฟุตบอลกนั เพ่ือทาใหผ้ อู้ ่านเกิดอรรถรส ในการรับชมการแข่งขนั ยงิ่ ข้ึน ประวตั ิฟุตบอล ฟุตบอล (Football) หรือซอคเกอ้ ร์ (Soccer) เป็นกีฬาท่ีมีผสู้ นใจที่จะ ชมการแข่งขนั และเขา้ ร่วมเล่นมากท่ีสุดในโลก ชนชาติใดเป็นผกู้ าเนิดกีฬาชนิดน้ีอยา่ ง แทจ้ ริงน้นั ไม่อาจจะยนื ยนั ไดแ้ น่นอน เพราะแต่ละชนชาติต่างยนื ยนั วา่ เกิดจากประเทศ ของตน แต่ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอิตาลี ไดม้ ีการละเล่นชนิดหน่ึงท่ีเรียกวา่ “ซู เลอ” (Soule) หรือจิโอโค เดล คาซิโอ (Gioco Del Calcio) มีลกั ษณะ การเล่นที่คลา้ ยคลึงกบั กีฬาฟุตบอลในปัจจุบนั ท้งั สองประเทศอาจจะถกเถียงกนั วา่ กีฬา ฟุตบอลถือกาเนิดจากประเทศของตน อนั เป็นการหาขอ้ ยตุ ิไม่ได้ เพราะขาดหลกั ฐาน ยนื ยนั อยา่ งแทจ้ ริง ดงั น้นั ประวตั ิของกีฬาฟุตบอลท่ีมีหลกั ฐานท่ีแทจ้ ริงสามารถจะ อา้ งอิงได้ เพราะการเล่นท่ีมีกติกาการแข่งขนั ท่ีแน่นอน คือประเทศองั กฤษเพราะ ประเทศองั กฤษต้งั สมาคมฟุตบอลในปี พ.ศ. 2406 และฟุตบอลอาชีพขององั กฤษ เกิดข้ึนในปี พ.ศ. 2431 วิวฒั นาการดา้ นฟตุ บอลจะเป็นไปพรอ้ มกบั ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของมนุษย์ ตลอดมา ตน้ กาเนิดกีฬาตะวนั ออกไกลจะไดร้ บั อทิ ธิพลมาจากสงครามครง้ั สาคญั ๆ เช่น สงครามพระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราช ไดน้ าเอา “แกลโล-โรมนั ” (Gello- Roman) พรอ้ มกีฬาตา่ งๆ เขา้ มาสเู่ มืองกอล (Gaul) อนั เป็นรากฐานส่วนหนง่ึ ของกีฬาฟตุ บอลในอนาคต และการเลน่ ฮารป์ าสตมั (Harpastum) ไดถ้ กู ดดั แปลงมาเป็นกีฬาซูเล
ประวตั ิความเป็ นมากฬี าฟุตบอลในประเทศไทย กีฬาฟุตบอลในประเทศไทย ไดม้ ีการเล่นต้งั แต่สมยั “พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ” รัชกาลท่ี 5 แห่งกรุงรัตนโกสิทร์ เน่ืองจากสมยั รัชกาลที่ 5 พระองคไ์ ดส้ ่งพระเจา้ ลูก ยาเธอ พระเจา้ หลานยาเธอ และขา้ ราชบริพารไปศกึ ษาวชิ าการดา้ นต่างๆ ที่ประเทศองั กฤษ และ ผทู้ ี่นากีฬาฟุตบอลกลบั มายงั ประเทศไทยเป็นคนแรกคือ “เจา้ พระยาธรรมศกั ด์ิมนตรี (สนนั่ เทพหสั ดิน ณ อยธุ ยา)” หรือ ท่ีประชนชาวไทยมกั เรียกชื่อส้นั ๆวา่ “ครูเทพ” ซ่ึงท่านไดแ้ ต่ง เพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปดว้ ยเร่ืองน้าใจนกั กีฬาอยา่ งแทจ้ ริง เชื่อกนั วา่ เพลงกราวกีฬาท่ีครูเทพ แต่งไวน้ ้ีจะตอ้ งเป็น “เพลงอมตะ” และจะตอ้ งคงอยคู่ ู่ฟ้าไทย เมื่อปี พ.ศ. 2454-2458 ท่านไดด้ ารงตาแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการคร้ังแรก เม่ือท่าน ไดน้ าฟุตบอลเขา้ มาเล่นในประเทศไทยไดม้ ีเสียงวพิ ากษว์ จิ ารณ์ต่างๆมากมาย โดยหลายคน กล่าววา่ ฟุตบอลเป็นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกบั ประเทศที่มีอากาศร้อน เหมาะสมกบั ประเทศท่ีมี อากาศหนาวมากกวา่ และเป็นเกมที่ทาใหเ้ กิดอนั ตรายต่อผเู้ ล่นและผชู้ มไดง้ ่าย ซ่ึงขอ้ วจิ ารณ์ ดงั กล่าวถา้ มองอยา่ งผวิ เผนิ อาจคลอ้ ยตามได้ แต่ภายหลงั ขอ้ กล่าวหาดงั กล่าวกไ็ ดค้ ่อยหมดไป จนกระทง่ั กลายเป็น กีฬายอดนิยมที่สุดของประชาชนชาวไทยและชาวโลกทวั่ ทุกมุมโลก ซ่ึงมี ววิ ฒั นาการดงั กาลงั อยรู่ ะหวา่ งปรับปรุงขอ้ มูลต่อไปน้ี พ.ศ. 2440 รัชกาลท่ี 5 ไดเ้ สดจ็ นิวตั ิพระนคร กีฬาฟุตบอลไดร้ ับความสนใจมากข้ึนจาก บรรดาขา้ ราชการบรรดาครูอาจารย์ ตลอดจนชาวองั กฤษในประเทศไทยและผสู้ นใจชาวไทย จานวนมากข้ึนเป็นลาดบั กอร์ปกบั ครูเทพท่านไดเ้ พยี รพยายามปลูกฝังการเล่นฟุตบอลใน โรงเรียนอยา่ งจริงจงั และแพร่หลายมากในโอกาสต่อมา พ.ศ. 2443 (รศ. 119) การแข่งขนั ฟุตบอลเป็นทางการคร้ังแรกของไทยไดเ้ กิดข้ึนเมื่อวนั เสาร์ที่ 2 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2443 (รศ. 119) ณ สนามหลวง ซ่ึงเป็นสถานที่ออกกาลงั กายและ ประกอบงานพิธีต่างๆการแข่งขนั ฟุตบอลคู่ประวตั ิศาสตร์ของไทย ระหวา่ ง “ชุดบางกอก” กบั “ชุดกรมศกึ ษาธิการ” จากกระทรวงธรรมการหรือเรียกช่ือการแข่งขนั คร้ังน้ีวา่ “การแข่งขนั ฟุตบอลตามขอ้ บงั คบั ของแอสโซซิเอชน่ั ” เพราะสมยั ก่อนเรียกวา่ “แอสโซซิเอชน่ั ฟุตบอล” (ASSOCIATIONS FOOTBALL) สมยั ปัจจุบนั อาจเรียกไดว้ า่ “การแข่งขนั ฟุตบอลของสมาคม” หรือ “ฟุตบอลสมาคม” ผลการแข่งขนั ฟุตบอลนดั พเิ ศษดงั กล่าวปรากฏวา่ “ชุดกรมศกึ ษาธิการ” เสมอกบั “ชุดบางกอก” 2-2 (คร่ึงแรก 1-0) ต่อมาครูเทพท่านไดว้ าง แผนการจดั การแข่งขนั ฟุตบอลนกั เรียนอยา่ งเป็นทางการพร้อมแปลกติกาฟุตบอลแบบสากลมา ใชใ้ นการแข่งขนั ฟตุ บอลนกั เรียนคร้ังน้ีดว้ ย พ.ศ. 2444 (รศ. 120) หนงั สือวทิ ยาจารย์ เล่มท่ี 1 ตอนที่ 7 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2444 ไดต้ ีพมิ พเ์ ผยแพร่เร่ืองกติกาการแข่งขนั ฟุตบอลสากลและการแข่งขนั อยา่ งเป็นแบบแผนสากล การแข่งขนั ฟุตบอลนกั เรียนคร้ังแรกของประเทศไทยไดเ้ กิดข้ึนในปี พ.ศ. 2444 น้ี ผเู้ ขา้ แข่งขนั ตอ้ งเป็นนกั เรียนชายอายไุ ม่เกิน 20 ปี ใชว้ ธิ ีจดั การแข่งขนั แบบน็อกเอาต์ หรือแบบแพ้ คดั ออก (KNOCKOUT OR ELIMINATIONS) ภายใตก้ ารดาเนินการจดั การ แข่งขนั ของ “กรมศึกษาธิการ” สาหรับทีมชนะเลิศติดต่อกนั 3 ปี จะไดร้ ับโล่รางวลั เป็น กรรมสิ ทธ์ ิ
พ.ศ. 2448 (รศ. 124) เดือนพฤศจิกายน สามคั ยาจารย์ สมาคม ไดเ้ กิดข้ึนคร้ังแรก เป็นการแข่งขนั ฟุตบอลของบรรดาครูและสมาชิกครู โดยใชช้ ่ือวา่ “ฟุตบอลสามคั ยา จารย”์ พ.ศ. 2450-2452 (รศ. 126-128) ผตู้ ดั สินฟุตบอลชาวองั ช่ือ “มร.อี.เอส.สมิธ” อดีต นกั ฟุตบอลอาชีพไดม้ าทาการตดั สินในประเทศไทย เป็นเวลา 2 ปี ทาใหค้ นไทย โดยเฉพาะครู-อาจารย์ และผสู้ นใจไดเ้ รียนรู้กติกาและส่ิงใหม่ๆเพ่มิ ข้ึนมาก พ.ศ. 2451 (รศ. 127) มีการจดั การแข่งขนั “เตะฟุตบอลไกล” คร้ังแรก พ.ศ. 2452 (รศ. 128) พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 5 ได้ ทรงสวรรคต เมื่อวนั ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2452 นบั เป็นการสูญเสียคร้ังยง่ิ ใหญ่ของ ผสู้ นบั สนุนฟุตบอลไทยในยคุ น้นั ซ่ึงต่อมาในปี น้ี กรมศึกษาธิการกไ็ ดป้ ระกาศใชว้ ธิ ีการ แข่งขนั “แบบพบกนั หมด” (ROUND ROBIN) แทนวธิ ีจดั การแข่งขนั แบบแพ้ คดั ออกสาหรับคะแนนท่ีใชน้ บั เป็นแบบของแคนาดา (CANADIAN SYSTEM) คือ ชนะ 2 คะแนน เสมอ 1คะแนน แพ้ 0 คะแนน และยงั คงใชอ้ ยจู่ นถึง ปัจจุบนั ต่อมาพระบาทสมเดจ็ พระมงกฏุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ 6 พระองคท์ รงมีความสน พระทยั กีฬาฟุตบอลเป็นอยา่ งยงิ่ ถึงกบั ทรงกีฬาฟุตบอลเอง และทรงต้งั ทีมฟุตบอลส่วน พระองคเ์ องช่ือทีม “เสือป่ า” และไดเ้ สดจ็ พระราช ดาเนินประทบั ทอดพระเนตรการ แข่งขนั ฟุตบอลเป็นพระราชกิจวตั รเสมอมา โดยเฉพาะมวยไทยพระองคท์ รงเคย ปลอม พระองคเ์ ป็นสามญั ชนข้ึนต่อยมวยไทยจนไดฉ้ ายาวา่ “พระเจา้ เสือป่ า” พระองคท์ ่านทรง พระปรีชาสามารถมาก จนเป็นที่ยกยอ่ งของพสกนิกรทว่ั ไปจนตราบเท่าทุกวนั น้ี จากพระราชกิจวตั รของพระองคร์ ัชกาลท่ี 6 ทางดา้ นฟุตบอลนบั ไดว้ า่ เป็นยคุ ทองของไทย อยา่ งแทจ้ ริงอีกท้งั ยงั มีการเผยแพร่ข่าวสาร หนงั สือพมิ พ์ และบทความต่างๆทางดา้ น ฟุตบอลดงั กาลงั อยรู่ ะหวา่ งปรับปรุงขอ้ มูลต่อไปน้ี พ.ศ. 2457 (รศ. 133) พระยาโอวาทวรกิจ” (แหมผลพนั ชิน) หรือนามปากกา “ครู ทอง” ไดเ้ ขียนบทความกีฬา “เร่ืองจรรยาของผเู้ ล่นและผดู้ ูฟุตบอล” และ “คุณพระวรเวทย์ พสิ ิฐ” (วรเวทย์ ศวิ ะศริยานนท)์ ไดเ้ ขียนบทความกีฬา “เรื่องการเล่นฟุตบอล” และ “พระ ยาพาณิชศาสตร์วธิ าน” (อู๋ พรรธนะแพทย)์ ไดเ้ ขียนบทความกีฬาท่ีประทบั ใจชาวไทย อยา่ งยง่ิ “เร่ืองอยา่ สาหรับนกั เลงฟุตบอล” พ.ศ. 2458 (รศ. 134) ประชาชนชาวไทยสนใจกีฬาฟุตบอลอยา่ งกวา้ งขวาง เน่ืองจาก กรมศึกษาธิการไดพ้ ฒั นาวธิ ีการเล่น วธิ ีจดั การแข่งขนั การตดั สิน กติกาฟุตบอล ท่ีสากลยอมรับ ตลอดจนระเบียบการแข่งขนั ที่รัดกมุ ยง่ิ ข้ึน และผใู้ หญ่ในวงการใหค้ วาม สนใจอยา่ งแทจ้ ริงนบั ต้งั แต่พระองคร์ ัชกาลท่ี 6 เองลงมาถึงพระบรมวงศานุวงศจ์ นถึง สามญั ชน และชาวต่างชาติ และในปี พ.ศ. 2458 จึงไดม้ ีการแข่งขนั ฟุตบอลประเภท สโมสรคร้ังแรกเป็นการชิงถว้ ยพระราชทานและเรียกชื่อการแข่งขนั ฟุตบอลประเภทน้ีวา่ “การแข่งขนั ฟุตบอลถว้ ยทองของหลวง” การแข่งขนั ฟุตบอลสโมสรน้ีเป็นการแข่งขนั ระหวา่ ง ทหาร-ตารวจ-เสือป่ า ซ่ึงผเู้ ล่นจะตอ้ งมีอายเุ กินกวา่ ระดบั ทีมนกั เรียน นบั วา่ เป็น การเพม่ิ ประเภทการแข่งขนั ฟุตบอล
ราชกรีฑาสโมสร หรือสปอร์ตคลบั นบั ไดว้ า่ เป็นสโมสรแรกของไทยและเป็นศนู ยร์ วมของ ชาวต่างประเทศในกรุงเทพฯ ซ่ึงยงั อยใู่ นปัจจุบนั และสโมสรสปอร์ตคลบั เป็นศนู ยก์ ลางของกีฬา หลายประเภท โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอลไดม้ ีผเู้ ล่นระดบั ชาติจากประเทศองั กฤษมาเขา้ ร่วมทีมอยหู่ ลาย คน เช่น มร.เอ.พ.ี โคลปี . อาจารยโ์ รงเรียนราชวทิ ยาลยั นบั ไดว้ า่ เป็นทีมฟุตบอลที่ดี มีความพร้อม มากท้งั ทางดา้ นผเู้ ล่น งบประมาณและสนามแข่งขนั มาตรฐาน จึงตอ้ งเป็นเจา้ ภาพใหท้ ีมต่างๆของ ไทยเรามาเยอื นอยเู่ สมอ ทาใหว้ งการฟุตบอลไทยในยคุ น้นั ไดพ้ ฒั นายง่ิ ข้ึน และรัชกาลท่ี 6 ทรงสน พระทยั โดยเสดจ็ มาเป็นองคป์ ระธานพระราชทานรางวลั เป็นพระราชกิจวตั ร ทาใหป้ ระชาชนเรียก การแข่งขนั สมยั น้นั วา่ “ฟุตบอลหนา้ พระที่นงั่ ” และระหวา่ งพกั คร่ึงเวลามีการแสดง “พวกฟุตบอล ตลกหลวง” นบั เป็นพธิ ีช่ืนชอบของปวงชนชาวไทยสมยั น้นั เป็นอยา่ งยงิ่ และการแข่งขนั ฟุตบอล สโมสรคร้ังแรกน้ี มีทีมสมคั รเขา้ ร่วมแขง่ ขนั จานวน 12 ทีม ใชเ้ วลาในการแข่งขนั 46 วนั (11 ก.ย.- 27 ต.ค. 2458) จานวน 29 แมตช์ ณ สนามเสือป่ า ถนนหนา้ พระลาน สวนดุสิต กรุงเทพมหานคร หรือสนามหนา้ กองอานวนการรักษาความปลอดภยั แห่งชาติปัจจุบนั พระองคร์ ัชกาลที่ 6 ไดท้ รง โปรดเกลา้ แต่งต้งั คณะกรรมการดาเนินการแข่งขนั นบั วา่ ฟุตบอลไทยมีระบบในการบริหารมานาน นบั ถึง 72 ปี แลว้ ความเจริญกา้ วหนา้ ของฟุตบอลภายในประเทศไดแ้ ผข่ ยายกวา้ งขวางทวั่ ประเทศไปสู่สโมสร กีฬา-ต่างจงั หวดั หรือชนบทอยา่ งรวดเร็ว ซ่ึงเป็นท่ีนิยมกนั ทว่ั ไปภายใตก้ ารสนบั สนุนของรัชกาลท่ี 6 และพระองคท์ ่านทรงเลง็ เห็นกาลไกลวา่ ควรที่ตะต้งั ศนู ยก์ ลางหรือสมาคมอยา่ งมีระบบแบบแผนท่ีดี โดยมีคณะกรรมการบริหารสมาคมและทรงมีพระบรมราชโองการก่อต้งั “สโมสรคณะฟุตบอล สยาม” ข้ึนมาโดยพระองคแ์ ละพระบรมวงศานุวงศท์ รงเล่นฟุตบอลเอง รัชกาลที่ 6 ไดท้ รงมีวตั ถุประสงคข์ องการก่อต้งั สมาคมฟุตบอลแห่งสยามดงั น้ีคือ 1. เพ่อื ใหผ้ เู้ ล่นฟุตบอลมีพลานามยั ท่ีสมบูรณ์ 2. เพอ่ื ก่อใหเ้ กิดความสามคั คี 3. เพื่อก่อใหเ้ กิดไหวพริบ และเป็นกีฬาท่ีประหยดั ดี 4. เพื่อเป็นการศึกษากลยทุ ธ์ในการรุกและการรับเช่นเดียวกบั กองทพั ทหารหาญ จากวตั ถุประสงคด์ งั กล่าว นบั เป็นสิ่งท่ีผลกั ดนั ใหส้ มาคมฟุตบอลแห่งสยามดาเนินกิจการ เจริญกา้ วหนา้ มาจนตราบถึงทุกวนั น้ี ซ่ึงมีกาลงั อยรู่ ะหวา่ งปรับปรุงขอ้ มูลดงั น้ี พ.ศ. 2458 (ร.ศ. 134) การแข่งขนั ระหวา่ งชาติคร้ังแรกของประเทศไทย เมื่อวนั องั คารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2458 ณ สนามราชกรีฑาสโมสร (สนามมา้ ปทุมวนั ปัจจุบนั ) ระหวา่ ง “ทีมชาติ สยาม” กบั “ทีมราชกรีฑาสโมสร” ต่อหนา้ พระที่นง่ั และมี “มร.ดกั ลาส โรเบิร์ตสัน” เป็นผตู้ ดั สิน ซ่ึงผลการแข่งขนั ปรากฏวา่ ทีมชาติสยามชนะทีมราชกรีฑาสโมสร 2-1 ประตู (คร่ึงแรก 0-0) และ คร้ังท่ี 2 เม่ือวนั เสาร์ท่ี 18 ธนั วาคม พ.ศ. 2458 เป็นการแข่งขนั ระหวา่ งชาตินดั ที่ 2 แบบเหยา้ เยอื นต่า หนา้ พระท่ีนง่ั ณ สนามเสือป่ าสวนดุสิตและผลปรากฏวา่ ทีมชาติสยามเสมอกบั ทีมราชกรีฑา สโมสร หรือทีมรวมต่างชาติ 1-1 ประตู (คร่ึงแรก 0-0)
สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย(THE FOOTBALL ASSOCIATION OF THAILAND) มีววิ ฒั นาการตามลาดบั ต่อไปน้ี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ต้งั สมาคมฟุตบอลแห่งสยามข้ึนเมื่อวนั ท่ี 25 เมษายน พทุ ธศกั ราช 2459 และตราขอ้ บงั คบั ข้ึนใชใ้ น สนามฟุตบอลแห่งสยามดว้ ยซ่ึงมีช่ือยอ่ วา่ ส.ฟ.ท. และเขียนเป็นภาษาองั กฤษวา่ “THE FOOTBALL ASSOCIATION OF THAILAND UNDER THE PATRONAGE OF HIS MAJESTY THE KING” ใชอ้ กั ษรยอ่ วา่ F.A.T. และสมาคมฯ จดั การแข่งขนั ถว้ ยใหญ่และถว้ ยนอ้ ยเป็นคร้ังแรกในปี น้ีดว้ ย พ.ศ. 2468 เป็นภาคีสมาชิกสมาพนั ธ์ฟุตบอลระหวา่ งชาติ เมื่อวนั ท่ี 23 มิถุนายน พุทธศกั ราช 2468 ชุดฟุตบอลเสือป่ าพรานหลวง ไดร้ ับถว้ ยของพระยาประสิทธ์ิศุภการ (เจา้ พระยารามราฆพ) ซ่ึงเล่น กบั ชุดฟุตบอลกรมทหารรักษาวงั เม่ือ พ.ศ. 2459-2460 ไดร้ ับไวเ้ ป็นกรรมสิทธ์ิ โดยชนะ 2 ปี ติดต่อกนั ชุดฟุตบอลสโมสรกรมหรสพ ไดร้ ับพระราชทาน “ถว้ ยใหญ่” ของสมาคมฟุตบอลแห่ง สยาม ในพระบรมราชูปถมั ภ์ เม่ือวนั ท่ี 30 กนั ยายน 2459 พ.ศ. 2499 การแกไ้ ขเพิ่มเติมขอ้ บงั คบั คร้ังที่ 3 และเรียกวา่ ขอ้ บงั คบั ลกั ษณะปกครอง สมาคมฟุตบอลฯ ไดส้ ิทธ์ิส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเขา้ ร่วมการแข่งขนั “กีฬาโอลิมปิ ก” คร้ังท่ี 16 นบั เป็นคร้ังแรกที่ประเทศไทยมีสิทธ์ิเขา้ ร่วมการแข่งขนั เมื่อวนั ท่ี 26 พฤศจิกายน พทุ ธศกั ราช 2499 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย พ.ศ. 2500 เป็นภาคีสมาชิกสมาพนั ธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย ซ่ึงมีช่ือยอ่ วา่ เอเอฟซี และเขียนเป็น ภาษาองั กฤษวา่ “ASIAN FOOTBALL CONFEDERATION” ใชอ้ กั ษรยอ่ วา่ A.F.C. พ.ศ. 2501 การแกไ้ ขเพิม่ เติมขอ้ บงั คบั ลกั ษณะปกครอง คร้ังที่ 4 พ.ศ. 2503 การแกไ้ ขเพ่ิมเติมขอ้ บงั คบั ลกั ษณะปกครอง คร้ังที่ 5 พ.ศ. 2504-ปัจจุบนั สมาคมฟุตบอลฯไดจ้ ดั การแข่งขนั ฟุตบอลถว้ ยนอ้ ย และถว้ ยใหญ่ ซ่ึงภายหลงั ไดจ้ ดั การแข่งขนั แบบเดียวกนั ของสมาคมฟุตบอลองั กฤษคือจดั เป็นประเภทถว้ ยพระราชทาน ก, ข, ค, และ ง และยงั จดั การแข่งขนั ประเภทอ่ืนๆ อีกเช่น ฟุตบอลนกั เรียน ฟุตบอลเตรียมอุดม ฟุตบอล อาชีวะ ฟุตบอลเยาวชนและอนุชน ฟุตบอลอุดมศกึ ษา ฟุตบอลเอฟเอ คพั ฟุตบอลควสี ์ คพั ฟุตบอล คิงส์คพั เป็นตน้ ฯลฯ นอกจากน้ียงั ไดจ้ ดั การแข่งขนั และส่งทีมเขา้ ร่วมกบั ทีมนานาชาติมากมาย จนถึงปัจจุบนั พ.ศ. 2511 สมาคมฟุตบอลไดส้ ิทธ์ิส่งทีมฟุตบอลชาติไทยเขา้ ร่วมการแข่งขนั กีฬาโอลิมปิ กเป็นคร้ังท่ี 2 เม่ือวนั ที่ 13 ตุลาคม พุทธศกั ราช 2511 ณ ประเทศเมก็ ซิโก พ.ศ. 2514 การแกไ้ ขเพม่ิ เติมขอ้ บงั คบั ลกั ษณะปกครอง คร้ังท่ี 6 ชุดฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดแรกที่ เดินทางไปแข่งขนั “กีฬาโอลิมปิ ก” คร้ังท่ี 16 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวนั ท่ี 26 พฤศจิกายน 2499 พ.ศ. 2531 สมาคมฟุตบอลฯ ไดม้ ีโครงการจดั การแข่งขนั ฟุตบอลภายในประเทศ รวมท้งั เชิญทีม ต่างประเทศเขา้ ร่วมแข่งขนั และส่งทีมเขา้ ร่วมการแข่งขนั ในต่างประเทศตลอดปี
ประวตั กิ ฬี าฟุตบอลโลก ฟุตบอลโลก หรือ ฟุตบอลโลกฟี ฟ่ า (FIFA World Cup) เป็นการแข่งขนั ฟุตบอล ระหวา่ งประเทศ โดย ฟุตบอลโลก เริ่มคร้ังแรกในปี ค.ศ.1930 (พ.ศ.2473) สาหรับผรู้ ิเริ่มใหม้ ีการ แข่งขนั ฟุตบอลโลก คร้ังแรกคือ จูลส์ ริเมท์ (Jules Rimet) เป็นชาวฝร่ังเศส โดยไดเ้ สนอใน ที่ประชุมของประเทศสมาชิกสหพนั ธฟ์ ุตบอลนานาชาติ เมื่อปี ค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) แต่กวา่ จะลง ตวั และเริ่มจดั ข้ึนจริง ๆ คือปี ค.ศ.1930 ซ่ึงประเทศท่ีไดเ้ กียรติเป็นเจา้ ภาพ ฟุตบอลโลก คร้ังแรก ไดแ้ ก่ ประเทศอุรุกวยั โดยมปี ระเทศทเี่ ข้าร่วมแข่งขนั ท้งั หมด 13 ชาติ และประเทศอรุ ุกวยั กค็ ว้า แชมป์ โลกไปครองได้สาเร็จ ด้วยการเอาชนะประเทศอาร์เจนตนิ าไป 4-2 ประตู ท้งั นี้ เพื่อเป็ นเกยี รติ แด่ จูลส์ ริเมท์ ถ้วยรางวลั ชนะเลศิ จึงใช้ชื่อ “ถ้วยจูลส์ ริเมท์” จากน้นั กม็ ีการจดั การแข่งขนั ฟุตบอลโลก ต่อเนื่องมาทุก 4 ปี โดยคร้ังท่ี 2 จดั ข้ึนในปี ค.ศ.1934 (พ.ศ.2477) ที่ประเทศอิตาลี ผลปรากฏวา่ ทีมเจา้ ภาพกค็ วา้ แชมป์ โลกไปครองไดอ้ ีก ดว้ ย การเอาชนะประเทศเชโกสโลวาเกีย ส่วนคร้ังท่ี 3 จดั ข้ึนในปี ค.ศ.1938 (พ.ศ.2481) ที่ประเทศ ฝรั่งเศส แต่ประเทศอิตาลียงั ยอดเยย่ี มควา้ แชมป์ โลกไปครองไดอ้ ีกสมยั แต่หลงั จากฟุตบอลโลก คร้ังท่ี 3 การแข่งขนั ตอ้ งหยดุ ชะงกั ไป 12 ปี (ค.ศ.1942, 1946) เนื่องจากเกิดสงครามโลกคร้ังท่ี 2 และไดม้ าเริ่มแข่งขนั คร้ังที่ 4 ในปี ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) โดยประเทศบราซิลรับเป็นเจา้ ภาพ ท่ามกลางความขดั แยง้ ของหลาย ๆ ชาติ เนื่องจากควนั หลงจากสงครามโลกนนั่ เอง ต่อมาในปี ค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) ประเทศบราซิลไดค้ วา้ แชมป์ โลกเป็นสมยั ท่ี 3 จึงไดส้ ิทธ์ิ ครอบครอง ถว้ ยจูลส์ ริเมท์ (ซ่ึงภายหลงั ไดถ้ ูกขโมยไป) ทางสมาชิกสหพนั ธฟ์ ุตบอลนานาชาติจึง ไดจ้ ดั ทาถว้ ยรางวลั ข้ึนมาใหม่ โดยใชช้ ื่อวา่ “ถ้วยฟี ฟ่ า” ทาดว้ ยทองคา มีความสูง 36 เซนติเมตร มูลค่าประมาณ 4 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ และใชม้ าจนถึงปัจจุบนั ขณะเดียวกนั ในปี ค.ศ.1982 (พ.ศ.2524) ซ่ึงเป็นการแข่งขนั ฟุตบอลโลก คร้ังท่ี 12 ทาง สมาชิกสหพนั ธฟ์ ุตบอลนานาชาติไดป้ รับเปลี่ยนจานวนทีมเขา้ แข่งขนั จากเดิม 16 ทีม เป็น 24 ทีม และในปี ค.ศ.1998 (พ.ศ.2541) ต่อมากเ็ พมิ่ จาก 24 ทีมเป็น 32 ทีม เนื่องจากฟุตบอลเริ่มไดร้ ับความ นิยมไปแพร่หลายทว่ั โลก แต่ละประเทศมีการพฒั นาฝี เทา้ ข้ึนมาก จึงน่าจะมีทีมท่ีผา่ นเขา้ สู่รอบ สุดทา้ ยมากข้ึนตามไปดว้ ย จนไดช้ ่ือวา่ เป็นการแข่งขนั กีฬาท่ีมีผชู้ มมากท่ีสุดในโลก อยา่ งไรกต็ าม ถือเป็นธรรมเนียมในการปฏิบตั ิ สาหรับการคดั สรร ตวั มาสคอร์ท (Mascot) เพ่ือเป็นสัญลกั ษณ์ฟุตบอลโลก (World Cup Mascot) ในการแข่งขนั แต่ ละคร้ัง ในการแข่งขนั ฟุตบอลโลก คร้ังที่ 19 หรือ ฟุตบอลโลก 2010 ตวั นาโชคอยา่ งเป็นทางการ คือ ซากมู ี (Zakumi) ซ่ึงเป็นมนุษยค์ ร่ึงเสือดาว ผมสีเขียว ช่ือของเขามีที่มาจาก “ZA” ซ่ึงเป็น รหสั ประเทศของประเทศแอฟริกาใต้ “kumi” ซ่ึงมคี วามหมายว่า “สิบ” เป็นจานวนภาษาที่ หลากหลายในแอฟริกา สีของตวั นาโชคน้ีบ่งบอกถึงชุดท่ีทีมเจา้ ภาพใชท้ าการแข่งขนั คือ สีขาว และ สีดา โดยคาขวญั ประจาการของ ซากูมี คือ Zakumi’s game is Fair Play
กตกิ าของฟตุ บอลมจี านวนทงั้ หมด 17 ขอ้ ท่ี 1 สนามฟตุ บอลตอ้ งเป็นสนามหญา้ รูปท่ีเหลียมผืนผา้ และมีเสน้ ทง้ั หมดเป็นสีขาว ขอ้ ท่ี 2 ลกู ฟตุ บอล ตอ้ งเป็นวงกลม ผลิตจากหนงั หรอื อ่ืนๆท่ีเป็นวสั ดตู ามความเหมาะสมและไม่เป็น อนั ตรายต่อผเู้ ลน่ ขอ้ ท่ี 3 จานวนผเู้ ล่น มีสองทีมแต่ละทีมตอ้ งมีตวั จรงิ และสารอง ผเู้ ลน่ ตวั จริงมี 11 คนและสารองไม่ เกิน 7 คน ขอ้ ท่ี 4 ผเุ้ ล่นจะตอ้ งใส่เสือ้ สีตดั กนั อย่างชดั เจนครบั นอกจากผรู้ กั ษาประตู ขอ้ ท่ี 5 ผตู้ ดั สนิ หรอื กรรมการ คอยควบคมุ การแขง่ ขนั โดยมีผชู้ ว่ ยผตู้ ดั สินใหค้ วามชว่ ยเหลือ ขอ้ ท่ี 6 ผชู้ ว่ ยผตู้ ดั สินทาหนา้ ท่ีเป็นผทู้ ่ีคอยชีแ้ นะหรอื ใหค้ าปรกึ ษากรรมการในสนาม ขอ้ ท่ี 7 ระยะเวลาในการแข่งขนั ฟตุ บอล มี 2 ครง่ึ /ครง่ึ เวลาละ 45 นาทีไมร่ วมทดเวลานะครบั และ พกั ครง่ึ ไดไ้ มเ่ กิน 15 นาที ขอ้ ท่ี 8 ลูกบอลอยใู่ นการเล่น -เม่ือกระดอนจากเสาประตู ,คานประต,ู ธงมมุ สนาม, เขา้ มาในสนามแข่งขนั -เม่ือกระดอนจากผตู้ ดั สนิ หรอื ผชู้ ่วยผตู้ ดั สนิ ในขณะท่ีเขาอย่ใู นสนาม ลูกบอลอยนู่ อกการเล่น -เม่ือลกู บอลไดผ้ ่านเสน้ ประตหู รอื เสน้ ขา้ งออกไปหมดทงั้ ลกู -เม่ือผตู้ ดั สนิ ส่งั หยดุ การเลน่ ขอ้ ท่ี 10 การนบั คะแนนยงิ เขา้ 1 ลกู ถือวา่ ไดห้ น่งึ แตม้ หรอื 1 ประตผู ชู้ นะนน้ั คือทีมท่ีไดป้ ระตู มากกวา่ แตถ่ า้ เท่ากนั ก็นบั เป็นเสมอ ขอ้ ท่ี 11 ตาแหนง่ ลา้ หนา้ -ผเู้ ลน่ อยใู่ นตาแหนง่ ลา้ หนา้ ถา้ เขาไดอ้ ยใู่ กลเ้ สน้ ประตขู องฝ่ายตรงขา้ มมากกวา่ ลกู บอล ยกเวน้ -ผเู้ ล่นอย่ใู นแดนตนเองของสนามแขง่ ขนั -มีผเู้ ล่นฝ่ายตรงขา้ มไม่นอ้ ยกวา่ 2 คน อยใู่ กลเ้ สน้ ประตขู องเขา ขอ้ ท่ี 12 การทาผดิ กติกามีโทษ 3 แบบคือ ตกั เตือน ,ใบเหลือง,ใบแดง ขอ้ ท่ี 13: ฟรคี กิ ขอ้ ท่ี 14: ลกู โทษ ขอ้ ท่ี 15: การท่มุ ขอ้ ท่ี 16: โกลคิก ขอ้ ท่ี 17: การเตะมมุ
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: