๑ รายงานการวจิ ัย เรือ่ ง การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียน เร่อื ง การคานวณและบันทึกบัญชีเม่อื หนุ้ ส่วนนาเงินสดและนาสินทรัพย์อืน่ ๆ มาลงทุน โดยวธิ กี ารจับคูค่ ิด โดย (ชือ่ ) นางสาวปทั มา ปล่งั เปลอ่ื ง (ตาแหนง่ ) ครูผชู้ ่วย โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ สานกั งานบริหารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓
๓ รายงานการวจิ ยั เรอ่ื ง การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรยี น เร่อื ง การคานวณและบนั ทกึ บัญชเี มื่อหุ้นส่วนนาเงนิ สด และนาสนิ ทรัพย์อ่นื ๆ มาลงทนุ โดยวิธีการจับคู่คิด โดย นางสาวปทั มา ปลั่งเปลื่อง ครู โรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ สานักงานบรหิ ารงานการศึกษาพเิ ศษ สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร ภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓
๓ ชื่อผู้วิจยั : นางสาวปทั มา ปล่ังเปลอ่ื ง ช่ือเรื่อง : การพฒั นาการจัดกิจกรรมการเรียน เร่ือง การคานวณและบันทกึ บญั ชี เมอื่ หุ้นสว่ นนาเงินสดและนาสนิ ทรัพย์อ่นื ๆ มาลงทุน โดยวิธีการจบั คู่คิด ปีการศึกษา : ๒๕๖๓ บทคดั ยอ่ งานวิจัยฉบับนี้ มจี ดุ มุ่งหมายเพื่อเปน็ การพฒั นาการจัดกจิ กรรมการเรียน เรอ่ื ง การคานวณและบนั ทึก บัญชี เมือ่ หุ้นส่วนนาเงนิ สดและนาสนิ ทรพั ย์อื่น ๆ มาลงทุน โดยวิธีการจบั คูค่ ดิ ต่อวชิ าการบญั ชหี า้ งห้นุ ส่วน ของนักเรียนระดับช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ สาขาพาณชิ ยกรรม (การบญั ช)ี จานวน ๑๒ คน ภาคเรยี นท่ี ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๓ โดยมีการเก็บรวบรวมขอ้ มลู จาการทาแบบฝึก การสังเกต การสมั ภาษณ์ ข้อมลู ดา้ นการเรยี น และการตอบสนอง แบบสอบถามจากนักเรียน การใช้แรงจูงใจ โดยใหค้ าชมเชยแก่นักศึกษา รวมท้งั ดแู ลดา้ น การเรียนให้มีความรบั ผดิ ชอบ สนใจเรยี น ทาใหน้ กั เรยี น สง่ งานมากย่งิ ขนึ้ มคี วามเอาใจใสต่ อ่ การเรยี น รับผดิ ชอบและสนใจเรียนมากขนึ้ ทาใหบ้ รรยากาศการ เรยี นภายในหอ้ งเรียนท่ีเออ้ื ต่อการเรยี นรู้ มคี วามตง้ั ใจ เรียนมากข้ึน ส่งงานตรงต่อเวลา มีความรับผดิ ชอบในหนา้ ท่ี ทางานตามท่ไี ด้รับมอบหมาย ชว่ ยเหลอื ซง่ึ กัน และกนั ด้วยความเต็มใจมากย่ิงขนึ้
สารบัญ ๓ หนา้ บทคดั ย่อ............................................................................................................................................... บทท่ี ๑ บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปญั หา....................................................................................๑ วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั ...........................................................................................................๑ สมมติฐานการวิจัย (ถา้ มี) .........................................................................................................๒ ขอบเขตของการวิจยั .................................................................................................................๒ ประโยชนท์ ี่คาดว่าจะได้รับ........................................................................................................๒ บทที่ ๒ เอกสารและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ ง เอกสารที่เก่ยี วข้อง.....................................................................................................................๓ งานการวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข้อง..............................................................................................................๗ บทที่ ๓ วิธีดาเนนิ การวจิ ัย กาหนดประชากรกลมุ่ เป้าหมาย................................................................................................๘ เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการวิจยั ............................................................................................................๘ การวิเคราะห์ข้อมลู ....................................................................................................................๙ สถติ ทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล..................................................................................................๙ บทที่ ๔ ผลการวจิ ยั ..........................................................................................................................๑๐ บทที่ ๕ สรุปและขอ้ เสนอแนะ......................................................................................................... วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย......................................................................................................๑๔ ความสาคัญของการวิจยั ........................................................................................................๑๔ สรปุ ผลการวิจยั ......................................................................................................................๑๔ อภิปรายผล............................................................................................................................๑๕ บรรณานุกรม.......................................................................................................................................๑๖
๑ บทท่ี ๑ บทนา ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๖ ไดก้ ล่าวว่า “การจดั การศึกษาต้องเป็นไป เพื่อพัฒนาคนไทยใหเ้ ป็นมนษุ ย์ท่ีสมบรู ณท์ ง้ั ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจรยิ ธรรมและ วฒั นธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกบั ผอู้ ื่นได้อย่างมีความสขุ ” (พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ : มาตรา ๑๐) อีกท้งั ยงั ระบุไว้ในมาตรา ๙ วา่ การจดั ระบบ โครงสร้าง และกระบวนการจดั การศกึ ษาให้ยดึ หลักการมีสว่ นร่วมของบุคคล ครองครัว ชมุ ชน องคก์ รชมุ ชน องค์กรปกครองสว่ น ท้องถ่ิน เอกชน องค์กรเอกชน องคก์ รวชิ าชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการและสถาบนั สงั คมอื่น สว่ น เรื่องกระบวนการเรยี นรู้กาหนดไว้ในมาตรา ๒๔๓ ซ่งึ มีสาระสาคัญคือ มุ่งเน้นให้จัดกระบวนการเรยี นรู้ใหผ้ ูเ้ รยี น ได้เรียนรู้จากประสบการณจ์ รงิ ฝึกการปฏิบัตใิ ห้ทาได้ คิดเป็นทาเป็น รกั การอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง การจัดการเรียนรู้ให้เกิดข้ึนได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดามารดา ผู้ปกครองและ บุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพ่ือร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ (สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศกึ ษา (องคก์ ารมหาชน, ๒๕๔๗ : ๕-๑๔) จากนโยบายดังกล่าวจะเห็นไดว้ ่าเป็นการเน้นการส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนพฒั นาทางร่างกายและจิตใจ โดย เฉพาะอย่างยิ่งสามารถใช้ความรู้ทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษามาสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมทงั้ ในระดับครอบครัว สังคม ประเทศและโลก มสี ่วนรวมในการอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาติ พลังงานและส่ิงแวดลอม เพอื่ จะเกดิ ผลดีต่อ การพัฒนาคณุ ภาพชีวติ ของคนในสังคมโดยรวมตอ่ ไป สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน จงึ ได้ กาหนดนโยบาย และเปา้ หมายการพัฒนาการจัดการศึกษา เพอื่ เป็นแนวทางให้สถานศึกษาได้เพิ่มประสิทธิภาพ ในการดาเนินการจัดการเรยี นการสอน เพ่ือให้ผู้สาเร็จการศึกษามีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของ ตลาดแรงงาน สอดคลองกบั สภาพเศรษฐกิจและสังคม โดยไดก้ าหนดจุดเน้นและเปา้ หมายการพัฒนาทส่ี าคัญ คือ สร้างมาตรฐาน และพัฒนาระบบการผลิตกาลังคนทวิศึกษาใหเ้ ป็นทยี่ อมรับ ของตลาดแรงงาน ส่งเสริม ผลักดนั ให้ครู–อาจารย์ไดร้ บั การฝึกอบรม และรับการถา่ ยทอดเทคโนโลยีให้มากขนึ้ ปรับปรุงรูปแบบการเรียน การสอนใหม้ ีความยืดหยุ่นหลากหลาย จากการทผ่ี ู้วจิ ยั เป็นบคุ ลากรปฏบิ ัติหนา้ ทสี่ อน พบว่า เมื่อให้นักเรยี น ทางานท่ีกาหนดให้ นักเรยี นยัง ขาดทกั ษะในการทางาน ยงั ไม่เขา้ ใจเนื้อหาท่ีครูสอน แตเ่ ม่ือมอบหมายงานใหน้ ักเรยี นแต่ละคนทางานทางาน เป็นกลุ่ม ผลของงานสว่ นใหญ่จะมขี ้อบกพร่องนอ้ ยกวา่ ผลงานท่ใี หท้ าคนเดยี ว แสดงว่านกั เรยี นยังขาดทักษะใน การทางานคนเดยี วซ่งึ ทาใหผ้ ลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียนต่ากวา่ ทีค่ วรจะได้รับการเรียน วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย ๑. เพอื่ พัฒนาการเรยี นรูเ้ ร่อื งการบัญชหี า้ งหุ้นสว่ น โดยใช้วิธจี บั คคู่ ดิ ๒. เพอ่ื เปรียบเทยี บผลการเรียนโดยใช้วธิ จี ับคูค่ ดิ ให้ผู้เรียนแสวงหาและค้นพบความรู้ดว้ ยตนเอง
๒ สมมติฐานการวจิ ัย การพัฒนาการจดั กิจกรรมการเรียน การคานวณและบันทึกบญั ชเี ม่อื ห้นุ ส่วนนาเงนิ สดและนาสนิ ทรัพย์ อ่นื ๆ มาลงทนุ โดยใช้วธิ ีจับคคู่ ิด ของนักเรียนระดับชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ ๔ สาขาพาณิชยกรรม (การบญั ช)ี จานวน ๑๒ คน ภาคเรียนที่ ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓ มกี ารพฒั นาในระดบั ท่ีดีขน้ึ ขอบเขตของการวิจยั กล่มุ เปา้ หมายในการวิจยั คร้งั นี้คือ นกั เรียนระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๔ สาขาพาณิชยกรรม (การบัญชี) จานวน ๑๒ คน ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะไดร้ บั ๑. ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรียนท่ีไม่ตา่ กว่าร้อยละ ๕๐ ๒. นักเรียนมที ักษะการคานวณและบนั ทึกบญั ชีหา้ งหุน้ สว่ นมากย่งิ ขน้ึ ๓. เปน็ แนวทางในการพัฒนากาเรยี นการสอนของนักเรยี นและผู้สอนใหม้ ีประสิทธภิ าพมากยิง่ ข้ึ
๓๓ บทท่ี ๒ เอกสารและงานวิจยั ท่ีเก่ยี วข้อง การศกึ ษาค้นคว้าครั้งน้ี ผู้ศึกษาค้นคว้าได้ศึกษาเอกสารท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาค้นคว้าโดยเรียงลาดับ ตามหัวขอ้ ดังตอ่ ไปนี้ ๑. ทฤษฎผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ๑.๑ กฎแห่งความพร้อม (law of readiness) การเรยี นรจู้ ะเกิดข้ึนไดด้ ี ถา้ ผเู้ รียนมีความ พรอ้ มทงั้ ทางรา่ งกายและจติ ใจ ๑.๒ กฎแหง่ การฝกึ หัด (low of exercise) การฝึกหดั หรือกระทาบ่อยๆ ด้วยความเขา้ ใจจะ ทาให้การเรียนรู้นั้นคงถาวร ถ้าไม่ได้กระทาซา้ บ่อยๆ การเรียนรนู้ น้ั จะไม่คงถาวร และในทส่ี ดุ อาจจะ ลมื ได้ ๑.๓ กฎแห่งผลทพี่ งึ พอใจ (law of effect) เมอ่ื บุคคลไดร้ บั ผลท่ีพึงพอใจยอ่ มอยากจะเรียนรู้ ตอ่ ไป แตถ่ า้ ได้รบั ผลทีไ่ ม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรยี นรู้ ดงั นั้น การไดร้ ับผลที่พึงพอใจ จงึ เป็นปัจจยั สาคญั ในการเรยี นรู้ ทฤษฎขี องสกินเนอร์ ทฤษฎขี องสกนิ เนอร์สว่ นใหญ่จะใชห้ ลักการของธอร์นไดค์ สว่ นสาคญั ที่นามาเป็นหลกั ของบทเรียนคือ หลักการเสริมแรงผ้เู รียนจะเกิดกาลังใจต้องการเรียนต่อ เมื่อไดร้ บั การเสรมิ แรงในขั้นตอนท่ีเหมาะสม การ เสริมแรงของบทเรียนใช้การเฉลยคาตอบใหท้ ราบทนั ทีและพยายามหาวิธีการเพอ่ื ไม่ใหเ้ กิด ถนอม เลาหจรัสแสง (๒๕๔๙, ๑๕๙-๑๖๐) ได้กลา่ วถงึ ทฤษฎีการเรียนรแู้ ละจิตวิทยาการเรยี นรู้ที่ เกีย่ วขอ้ งกบั การออกแบบสอ่ื มลั ติมีเดียเพื่อการศึกษาดังนี้ ๑. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) สกินเนอร์ (Skinner) เปน็ บิดาของทฤษฎนี ้ี ซึ่งเป็นทฤษฎที ี เชอื่ วา่ จติ วิทยาเป็นเสมือนการศกึ ษาทางวิทยาศาสตรข์ องพฤตกิ รรมมนษุ ย์ และการเรยี นรขู้ องมนุษย์เป็นง่ิ ท่ี สามารถสงั เกตได้จากพฤติกรรมภายนอก นอกจากน้ียงั มีแนวคิดเกย่ี วกับความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงเรา้ และการ ตอบสนอง (Stimulit and Response) เชอ่ื วา่ การตอบสนองสิ่งเร้าของมนุษย์จะเกิดขน้ึ ควบคกู่ ันในชว่ งเวลาที่ เมหาะสม นอกจากนี้ยงั เช่อื ว่าการเรยี นร้ขู องมนุษย์เปน็ พฤติกรรมแบบแสดงอาการกระทา (Operant Conditioning) ซึง่ มีการเสรมิ แรง (Reinforcement) เปน็ ตัวการ โดยทฤษฎพี ฤติกรรมนิยมน้ี จะไม่พูดถงึ ความ นคิ ิดภายในของมนุษย์ ความทรงจา ภาพ ความรู้สกึ โดยถือวา่ คาเหล่านี้เปน็ คาตอ้ งหา้ ม (Taboo) ทฤษฎี พฤติกรรมนิยม จะมีโครงสร้างของบทเรียนในลักษณะเชิงเสน้ ตรง (Linear) โดยผเู้ รยี นทุกคนจะไดร้ บั การ นาเสนอเนอื้ หาในลาดับทเี่ หมือนกันและตายตัว มีการต้ังคาถามผู้เรียนอยา่ งสมา่ เสมอ หากผเู้ รียนตอบถูกกจ็ ะ ได้รบั การตอบสนองในรูปผลป้อนกบั ทางบวกหรือรางวัล (Reward) ถ้าตอบผดิ ก็จะได้รับการตอบสนองในรู
๔ ของผลปอ้ นกลับในทางลบและคาอธิบายหรอื การลงโทษ (Punishment) ซง่ึ ถือเปน็ การเสริมแรง เพื่อให้เกิดพฤติกรรมท่ีต้องการ ๒. ทฤษฎปี ญั ญานยิ ม (Cognitivism) เกดิ จากแนวคิดของชอมสกี้ (Chomsky) ทีไ่ ม่เห็นด้วยกบั สกินเนอร์ ชอมสกเี้ ชือ่ ว่าพฤติกรรมของมนุษยน์ ัน้ เปน็ เรือ่ งของภายในจติ ใจมนษุ ย์ มนุษย์มคี วามนึกคดิ มี อารมณ์ จติ ใจ และความรสู้ กึ ภายในทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ดังน้ัน การออกแบบการเรยี นการสอนก็ควรทจ่ี ะ คานงึ ถึงความแตกตา่ งภายในของมนุษยด์ ้วย ทฤษฎปี ญั ญานิยมทาให้เกดิ แนวคดิ เกยี่ วกบั การออกแบบในลักษณะสาขา (Branching) ของคราวเดอร์ (Crowder) ซงึ่ เป็นการออกแบบในลกั ษณะสาขา จะทาให้ผ้เู รยี นมอี ิสระมากข้ึนในการควบคุมการเรียนด้วย ตนเอง โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การมีอิสระมากข้ึนในการเลือกลาดับของการนาเสนอเนอ้ื หาบทเรียนทเี่ หมาะสมกบั ตน ๓. ทฤษฎโี ครงสรา้ งความรู้ (Scheme Theory) เป็นแนวคิดท่เี ชือ่ ว่าโครงสร้างภายในของความรูท้ ี่ มนษุ ยม์ ีอยูน่ ้นั จะมีลกั ษณะเป็นโหนดหรือกล่มุ ที่มีการเชื่อมโยงกันอยู่ มนุษยจ์ ะนาความรใู้ หม่ ๆ ทีเ่ พง่ิ ได้รับนน้ั ไปเช่อื มโยงกับกล่มุ ความรู้ทีม่ ีอย่เู ดิม หน้าท่ีของโครงสรา้ งความรู้นีก้ ค็ ือ การนาไปสูก่ ารรับรขู้ ้อมลู (Perception) การรบั รูข้ ้อมลู นน้ั ไม่สามารถเกดิ ขึ้นได้หากขาดโครงสร้างความรู้ (Schema) การนาทฤษฎี โครงสรา้ งความรูม้ าประยุกต์ใชใ้ นการสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จะส่งผลใหล้ กั ษณะการนาเสนอเนอ้ื หาทีม่ ี การเชื่อมโยงไปมา คล้ายใยแมงมมุ (Webs) หรอื บทเรียนในลักษณะท่เี รียกว่าบทเรยี นแบบสือ่ หลายมิติ (Hypermedia) ทฤษฎีการเรยี นรู้ทางจติ วิทยาอาจแบ่งเป็น ๒ กลมุ่ ใหญ่ ๆ คอื ๑. ทฤษฎีการเรยี นรู้กลมุ่ พฤติกรรม (Behavioral Theory) ทฤษฎีในกลุม่ น้ี อธบิ ายวา่ การเรียนรสู้ งิ่ ต่าง ๆ เปน็ การสรา้ งความสัมพนั ธห์ รือเชือ่ มโยงระหว่างสิง่ เรา้ กบั การตอบสนอง ทฤษฎีที่สาคัญในกลมุ่ น้ี ได้แก่ ทฤษฎกี ารเรียนรวู้ างเง่อื นไขแบบคลาสสิก หรือแบบสิ่งเร้าและทฤษฎกี ารเรยี นรู้การวางเง่ือนไขแบบการกระทา ๒. ทฤษฎีการเรียนร้กู ล่มุ ปญั ญานิยม (Cognitive theory) ทฤษฎใี นกลมุ่ นี้อธบิ ายวา่ การเรียนรู้เป็น ผลของกระบวนการคดิ ความเข้าใจ การรบั รูส้ ่งิ เร้าท่ีมากระตุน้ ผสมผสานกับประสบการณใ์ นอดีตทผี่ ่านมาของ บคุ คล ทาให้เกิดการเรียนรู้ขน้ึ ซ่ึงการผสมผสานระหว่างประสบการณ์ที่ได้รับในปัจจบุ นั กับประสบการณ์ใน อดีต จาเปน็ ต้องอาศยั กระบนการทางปญั ญาเข้ามามีอทิ ธิพลในการเรียนรดู้ ้วย ทฤษฎกี ลุ่มนีจ้ งึ เน้นกระบวนการ ทางปญั ญา (Cognitive Process) มากกว่า การวางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดพฤติกรรม ทฤษฎีการเรยี นรูใ้ นกลุ่มน้ี ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางปัญญาสังคม การเรยี นรูแ้ บบการหยั่งรู้ เปน็ ต้น ตวั อยา่ งทฤษฎกี ารเรียนรูท้ ี่สาคญั ๑. ทฤษฎีการเรียนรู้การวางเงอื่ นไขแบบคลาสสกิ (Classical Conditioning Theory) หรอื แบบ สิง่ เรา้ จุดเริ่มมาจากนักสรีระวิทยา ชาวรสั เซีย ชือ่ อวิ าน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov) ทาการทดลองให้สุนขั หล่ัง นา้ ลายเมอ่ื ไดย้ ินเสยี งกระดง่ิ โดยอินทรีย์ (สนุ ขั ) เกดิ การเช่ือมโยงส่งิ เรา้ ๒ ส่งิ คือ เสียงกระดิ่งกบั ผงเน้ือ จน เกดิ การตอบสนองโดยนา้ ลายไหล เม่อื ไดย้ นิ เสยี งกระดง่ิ การทดลองโดยสัน่ กระด่ิงก่อนท่ีจะเอาอาหาร (ผงเน้ือ) ใหแ้ กส่ ุนัข เวลาระหวา่ งการสัน่ กระดิ่งและการให้ผงเน้อื แก่สุนัขตอ้ งเป็นเวลาท่ีกระชั้นชดิ มากประมาณ .๒๕ ถงึ
๕ .๕๐ วนิ าที ทาซา้ ควบคู่กนั หลายคร้งั และในท่สี ดุ หยดุ ให้อาหารเพียงแต่ส่นั กระดิง่ กป็ รากฏว่าสุนขั กย็ ังคงมี น้าลายไหลได้ โดยท่ขี ้างแก้มของสุนัขติดเคร่ืองมอื วัดระดบั การไหลของนา้ ลายไว้ ปรากฏการเชน่ นี้เรยี กว่า พฤติกรรมของสุนัขถกู วางเงื่อนไข (Povlov, ๑๙๗๒) หรือท่ีเรียกว่าสุนขั เกิดการเรียนรแู้ บบวางเงอื่ นไขแบบ คลาสสิค ๒. ทฤษฎปี ัญญาทางสังคม (Social Cognitive Theory) แนวคิดพ้นื ฐาน ๑. แบนดูรามีทศั นะวา่ พฤติกรรม (Behavior หรือ B) ของมนุษยม์ ีปฏิสัมพนั ธ์กบั ปัจจัยหลักอกี ๒ ปจั จัย คือ ๑) ปจั จัยทางปัญญาและปจั จยั ส่วนบคุ คลอน่ื ๆ (Personal Factor หรือ P) ๒) อิทธพิ ลของสภาพ แวดลอ้ ม (Environmental Influences) ซ่งึ สาคัญมาก เพราะคนเรา อาจจะเรียนรู้อะไรหลายอยา่ งแตไ่ มจ่ าเป็นตอ้ งแสดงออกทกุ อยา่ ง เช่น เราอาจจะเรยี นรวู้ ิธกี าร ทุจริตในการ สอบวา่ ตอ้ งทาอย่างไรบ้าง แต่ถึงเวลาสอบจรงิ เราอาจจะไม่ทุจริตกไ็ ด้ หรือเราเรยี นร้วู ่าการพดู จาและแสดง กิริยาอ่อนหวานกับพอ่ แม่เป็นส่ิงที่ดี แตเ่ ราอาจจะไมเ่ คยทากรยิ าดงั กลา่ วเลยก็ได้ ๓) แบนดรู าเชอื่ ว่าการเรยี นร้ขู องมนุษย์ส่วนมากเปน็ การเรียนรู้โดยการสงั เกต (Observational Learning) หรือการเลยี นแบบจากตวั แบบ (Modeling) สาหรบั ตัวแบบไม่จาเป็นต้องเป็นตัวแบบทม่ี ีชีวิตเท่านน้ั แตอ่ าจจะเป็นตัวแบบสญั ลกั ษณ์ เชน่ ตวั แบบทเ่ี ห็นในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมสค์ อมพิวเตอร์ หรืออาจเป็น รปู ภาพ การ์ตูน หนงั สือ นอกจากน้ี คาบอกเล่าดว้ ยคาพดู หรอื ข้อมลู ท่ีเขียนเปน็ ลายลักษณ์อกั ษรกเ็ ปน็ ตวั แบบ ได้ ๓. กระบวนการเรียนรูโ้ ดยการสังเกต การเรียนร้โู ดยการสงั เกต หรือการเลยี นแบบประกอบไปด้วย ๔ กระบวนการ คือ กระบวนการใสใ่ จ กระบวนการเก็บจา กระบวนการกระทาและกระบวนการจูงใจ ๑. กระบวนการใสใ่ จ (Attentional processes) เปน็ กระบวนการท่ีมนุษย์ใส่ใจและสนใจรบั รู้พฤติกรรมของตวั แบบ การเรยี นรูโ้ ดยการสงั เกต จะ เกดิ ขน้ึ ได้มากกต็ ่อเม่ือบุคคลใสใ่ จต่อพฤตกิ รรมของตัวแบบ แต่การจะใสใ่ จได้มากน้อยเพียงไรข้ึนอยกู่ ับปจั จยั หลกั ๒ ปจั จัยคอื ปัจจยั เกย่ี วกับตัวแบบ และปจั จยั เกี่ยวกับผสู้ ังเกต ปจั จัยเกี่ยวกับตัวแบบ ได้แก่ - ความเดน่ ชัด ตวั แบบทีม่ ีความเดน่ ชดั ย่อมดึงดูดให้คนสนใจไดม้ ากกวา่ ตวั แบบท่ีไม่เด่น - ความซับซ้อนของเหตุการณ์ เหตกุ ารณท์ เ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ตวั แบบถ้ามีความซับซ้อนมากจะทาให้ ผูส้ ังเกตมคี วามใส่ใจน้อยกวา่ เหตกุ ารณท์ ี่มีความซับซอ้ นน้อย - จานวนตัวแบบ พฤติกรรมหน่ึง ๆ หากมีตวั แบบแสดงหลายคนกเ็ รยี กความสนใจใสใ่ จจากผู้ สงั เกตได้มาก หรือการมีตวั แบบที่หลากหลายก็เรียกความสนใจจากผู้สงั เกตไดม้ ากเช่นกัน - คณุ ค่าในการใชป้ ระโยชน์ ตัวแบบท่ีแสดงพฤตกิ รรมท่เี ป็นประโยชนต์ ่อผูส้ งั เกตจะได้รบั ความสนใจมากกว่าตวั แบบทีเ่ ปน็ ไปในทางตรงขา้ ม เช่น ผทู้ ่ีสนใจการทาอาหารกจ็ ะให้ ความใสใ่ จเป็นพิเศษกบั รายการโทรทัศน์ ทสี่ อนการทาอาหาร เป็นต้น
๖ - ความร้สู ึกชอบ/ไม่ชอบ ถ้าผู้สงั เกตมคี วามรู้สกึ ชอบตัวแบบอยูแ่ ล้ว ผ้สู งั เกตกจ็ ะให้การใส่ใจ กับพฤตกิ รรมของตวั แบบมากกวา่ กรณที ี่ผู้สงั เกตไมช่ อบตัวแบบน้นั เลย ฉะนั้น การโฆษณาสนิ ค้าผา่ นสอ่ื โทรทศั น์ จึงมกั ใชต้ วั แบบท่เี ป็นชน่ื ชอบของประชาชนมาเป็นตัวแบบเพือ่ กชวนใหป้ ระชาชนใชส้ ินค้าที่โฆษณา โดยคาดหวงั ใหป้ ระชาชนใสใ่ จกบั การโฆษณาของตน ปจั จัยเกย่ี วกับผูส้ งั เกต - ความสามารถในการรับรู้ รวมถงึ ความสามารถในการเหน็ การไดย้ ิน การอา่ น การรู้รส การรู้ กลิน่ และการสมั ผัส ผสู้ ังเกตท่ีมคี วามสามารถในการรับรู้สูงก็มีโอกาสใส่ใจกบั ตัวแบบได้มากกวา่ ผู้สงั เกตท่มี ี ความสามารถในการรับรตู้ า่ - ระดบั ความต่ืนตวั การวจิ ัยทางจติ วทิ ยาพบว่าบุคคลท่ีมีความตน่ื ตัวระดับปานกลางมโี อกาส จะใสใ่ จกบั พฤติกรรมของตวั แบบได้มากกวา่ บุคคลท่มี ีความต่นื ตัวตา่ เช่น กาลงั งว่ งนอน หรอื มี ความต่นื ตัวสงู เช่น กาลังตกใจหรือดีใจอย่างมาก - ความชอบ/รสนิยมที่มีมาก่อน ผูส้ งั เกตมักมีความชอบสงั เกตตวั แบบบางชนดิ มากกวา่ ตัว แบบบางชนดิ อยู่กอ่ นแล้ว ดังนน้ั ตวั แบบทีส่ อดคล้องกับความชอบของผูส้ ังเกตก็ทาให้ผสู้ งั เกตใส่ใจ กบั ตัวแบบ ไดม้ าก เชน่ เดก็ เล็กชอบดูการต์ นู มาก ตัวการ์ตูนก็มโี อกาสเป็นตวั แบบให้กับเด็ก ได้มาก ส่วนวยั รุ่นมกั ชอบตวั แบบที่เปน็ นกั ร้อง นักแสดงยอดนยิ มเปน็ ต้น ๒. กระบวนการเกบ็ จา (Retention processes) เปน็ ขน้ั ทผ่ี ู้สงั เกตบันทกึ ส่ิงท่ีตนสังเกตจากตัวแบบไปเก็บไวใ้ นความจาระยะยาว ซ่ึงอาจจะ เก็บ จาในรปู ของภาพ หรอื คาพูดก็ได้ แบนดรู าพบว่า ผู้สังเกตที่สามารถอธบิ ายพฤติกรรมของตวั แบบ ออกมาเป็น คาพูด หรือสามารถมภี าพของส่ิงทต่ี นสงั เกตไว้ในใจจะเป็นผูท้ ีส่ ามารถจดจาส่งิ ท่เี รยี นรูโ้ ดย การสังเกตไดด้ กี วา่ ผู้ ท่เี พยี งแตด่ เู ฉย ๆ หรอื ทางานอน่ื ในขณะที่ดตู ัวแบบไปดว้ ย สรุปแล้วผ้สู งั เกตทสี่ ามารถระลึกถงึ สง่ิ ทสี่ งั เกตเปน็ ภาพพจนใ์ นใจ (Visual Imagery) และสามารถเขา้ รหัสด้วยคาพดู หรือถ้อยคา (Verbal Coding) จะเปน็ ผทู้ ่ี สามารถแสดงพฤติกรรมเลยี นแบบจากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน และนอกจากนถี้ ้าผสู้ งั เกตมีโอกาสท่ี จะไดเ้ ห็นตวั แบบแสดงส่งิ ทจ่ี ะตอ้ งเรยี นรซู้ า้ กจ็ ะเปน็ การชว่ ยความจาให้ดียิ่งขนึ้ ๓. กระบวนการกระทา (Production processes) เป็นกระบวนการที่ผูส้ งั เกตเอาสง่ิ ทีเ่ กบ็ จามาแปลงเป็นการกระทา ปจั จัยที่สาคัญของ กระบวนการนี้คือ ความพร้อมทางด้านร่างกายและทักษะทจี่ าเป็นจะต้องใชใ้ นการเลียนแบบของผสู้ งั เกต ถ้าผู้ สงั เกตไม่มีความพร้อมก็ไม่สามารถท่ีจะแสดงพฤติกรรมเลยี นแบบได้แบนดรู า กล่าววา่ การเรยี นร้โู ดยการ สงั เกตหรอื การเลียนแบบไม่ใช่เป็นพฤติกรรมทีล่ อกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรยี นรโู้ ดยการสงั เกตมีปจั จัยใน เร่อื ง กระบวนการทางปัญญา (Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านรา่ งกายของผสู้ งั เกต ฉะน้ันในข้นั กระบวนการกระทา หรือขนั้ ของการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบของแต่ละบุคคลจึงต่างกนั ไป ผ้สู งั เกตบาง คนอาจจะทาไดด้ ีกวา่ ตวั แบบหรอื บางคนกส็ ามารถเลยี นแบบ ได้เหมือนมาก ในขณะท่ีบางคนก็อาจจะทาได้ไม่ เหมือนกับตัวแบบเพียงแตค่ ล้ายคลงึ เทา่ นัน้ หรือบางคนอาจจะไมส่ ามารถแสดงพฤตกิ รรมเหมอื นตวั แบบเลยก็ ได้
๗ ๔. กระบวนการจูงใจ (Motivation process) ตามทไี่ ดก้ ล่าวไว้ในหัวข้อแนวคิดพืน้ ฐานข้อท่ี ๒ คอื แบนดรู าแยกความแตกต่างระหวา่ ง การ เรยี นรู้ (Learning ) ออกจาก การกระทา (Performance) นัน่ คอื เราไม่จาเปน็ ต้องแสดงพฤติกรรมทุกอยา่ งที่ ได้เรยี นรูอ้ อกมา เราจะทาหรือไม่ทาพฤติกรรมนน้ั ๆ ก็ข้นึ อยกู่ บั ว่าเรามแี รงจงู ใจมากน้อย แค่ไหน เช่น เรา อาจจะเรยี นรวู้ ิธีการเต้นแอโรบคิ จากโทรทัศน์ แตเ่ ราก็ไม่ยอมเตน้ อาจจะเป็นเพราะขเี้ กยี จ ฯลฯ แตอ่ ยูม่ าวนั หนึง่ เราไปเจอเพื่อนเกา่ ซ่ึงทักว่าเราอว้ นมากน่าเกลียด คาประณามของเพ่ือนสามารถจูงใจใหเ้ ราลุกขน้ึ มาเต้น แอโรบคิ จนลดความอว้ นสาเร็จ เป็นต้น ๔. การเรียนรโู้ ดยการหยั่งรู้ (Insight Learning) นักจิตวิทยาทีส่ นใจเร่ืองการเรียนรูโ้ ดยการหยั่งรู้ และทาการทดลองไว้คือ โคท์เลอร์ (Kohler, ๑๙๒๕) โคทเ์ ลอร์ ได้ทดลองกับลิงชอ่ื \"สลุ ตา่ น\" โดยขังสุลตา่ นไว้ในกรง และเมื่อสุลตา่ นเกิดความหิว เพราะถึง เวลาอาหาร โคทเ์ ลอร์ ได้วางผลไมไ้ ว้นอกกรงในระยะทสี่ ลุ ต่านไม่สามารถเออ้ื มถงึ ไดด้ ้วยมอื เปลา่ พร้อม กับวาง ท่อนไม้ซง่ึ มขี นาด ต่างกัน ส้ันบา้ งยาวบา้ ง (ดงั รปู ที่ ๕) ทอ่ นสั้นอยู่ใกลก้ รงแต่ท่อนยาวอยู่หา่ งออกไป สลุ ตา่ น ควา้ ไม้ท่อนสั้นได้ แตไ่ ม่สามารถเขย่ี ผลไม้ได้ สุลต่านวางไม้ทอ่ นสั้นลงและวงิ่ ไปมาอยู่สักครู่ ทันใดน้นั \"สุลต่าน\" ก็ จบั ไมท้ ่อนสัน้ เขยี่ ไม้ท่อนยาวมาใกล้ตวั และหยบิ ไม้ท่อนยาวเขีย่ ผลไมม้ ากนิ ได้ พฤติกรรมของสลุ ตา่ นไม่มกี าร ลองผดิ ลองถูกเลย โคทเ์ ลอร์จงึ ได้ สรปุ วา่ สลุ ตา่ นมีการหย่งั รู้ (Insight) ในการแกป้ ัญหาคือมองเห็น ความสัมพนั ธข์ องไม้ท่อนส้นั และทอ่ นยาวและ ผลไม้ได้ จากการทดลองของโคทเ์ ลอร์ โคท์เลอร์ไดข้ ้อสรุป เก่ยี วกับการเรยี นรูโ้ ดยการหยงั่ รู้ ไวด้ ังน้ี ๑. แนวทางการเรยี นรู้ในการแกป้ ญั หาของผู้เรียนมักจะเกิดข้ึนทันทีทันใดจึงเรียกวา่ Insight ๒. การที่จะมีความสามารถเรียนรแู้ ก้ปญั หาอยา่ งทนั ทที ันใดไดน้ ั้นผเู้ รยี นจะต้องมีประสบการณใ์ นการ แกป้ ัญหาทานองเดียวกันมาก่อนเพราะจะช่วยทาให้มองเห็นชอ่ งทางในการแก้ปัญหาแบบใหมไ่ ด้ ๓. นอกเหนือจากประสบการณเ์ ดมิ แล้ว ผู้เรยี นจะต้องมีความสามารถในการมองเหน็ ความสัมพันธ์ ตา่ ง ๆ เพราะการที่มีความสามารถมองเห็นความสัมพันธข์ องส่งิ ต่าง ๆ นเี้ องจะมีสว่ นช่วยใหผ้ ้เู รียนมกี ารเรยี นรู้ ในการแก้ปัญหาไดอ้ ย่างถกู ต้อง ความสามารถดังกลา่ วนจี้ าเป็นอย่างย่งิ ท่ี ผู้เรยี นจะต้องมีระดบั สตปิ ัญญาดี พอสมควรจงึ สามารถแกป้ ญั หาโดยการหย่งั รไู้ ด้ ๒. งานการวจิ ัยทีเ่ ก่ยี วข้อง อรรถพร ฤทธเิ กิด (๒๕๕๐, บทคัดย่อ) งานวิจัยเร่อื ง การพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน เรื่องกระบวนการในห้องมืดโดยใช้เทคนคิ การเรียนแบบรว่ มมือ ผศ.ดร.นันทนา แจ้งสว่าง (๒๕๖๑) การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น เร่ืองการวิเคราะห์ รายการค้าและการบันทกึ บัญชใี นสมุดรายวัน ของรายวชิ าหลกั การบัญชี สาหรบั นกั ศึกษาสาขาวชิ าการจดั การ โดยใชแ้ บบฝึกปฏิบตั ิ อาภาภทั ร์ วสันต์สกลุ (๒๕๖๒) ผลกระทบของคุณภาพสารสนเทศทางบญั ชแี ละการเติบโต ของเทคโนโลยที ี่มีต่อประสทิ ธิภาพการตดั สินใจของผู้บรหิ ารวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาค ตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนและตอนกลาง
8 บทที่ ๓ วิธดี าเนนิ การวิจัย การวจิ ัยครั้งน้เี ปน็ การวจิ ยั ในชน้ั เรียน ๑. กาหนดประชากรกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มทศ่ี ึกษาเป็น นกั เรียนระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๔ สาขา พาณชิ ยกรรม (การบัญช)ี จานวน ๑๒ คน โดยใชก้ ิจกรรมจับคู่คิดในการจดั การเรียนการสอนวิชาการบัญชีหา้ ง หุ้นสว่ น ภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ๒. เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจัย เครือ่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ยั ประกอบดว้ ย ๑) แผนการจัดการเรยี นรู้ เรื่อง การบันทกึ รายการเปิดบัญชีของหา้ งหนุ้ สว่ น รายการเปดิ บญั ชีกรณหี ุน้ สว่ นนาเงนิ สด สนิ ทรัพยอ์ ืน่ ๆ มาลงทนุ ๒) แบบทดสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรียน เร่อื ง การบนั ทึกรายการเปดิ บญั ชีของห้างหุ้นส่วน รายการเปดิ บญั ชีกรณหี ้นุ ส่วนนาเงนิ สด สนิ ทรัพย์อน่ื ๆ มาลงทนุ ๓. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้คน้ คว้าไดด้ าเนนิ การเก็บข้อมลู ดงั น้ี ๑. ชี้แจง ๒. ทดสอบกอ่ นเรยี น โดยใช้แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลงั เรียน ๓. เรมิ่ ดาเนนิ การสอน ใหน้ กั เรียนจบั คู่กับเพื่อน โดยใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้และใบงานที่ สรา้ งข้ึนจานวน ๒ ชดุ ซงึ่ ใช้ทดสอบ ๘ ชั่วโมง ๔. เมื่อสอนเสร็จแตล่ ะแผนการจัดการเรียนรู้ จะมีการประเมินผลโดยใชใ้ บงาน มเี กณฑ์การ ให้คะแนน ถ้าไมผ่ ่านก็ซ่อมเสริม ๕. เมื่อทดลองทาแบบฝึกหัดตามใบงานท่ีกาหนดแล้ว ก็ทดสอบหลงั เรยี น โดยใช้แบบทดสอบ ก่อนและหลังเรยี นชดุ เดมิ ๖. การทดสอบหลงั เรยี นจะใหน้ กั เรยี นทาการเรียนโดยการจบั ค่คู ดิ โดยใหน้ กั เรยี นทาความ เขา้ ใจเนื้อหาทคี่ รูสอนก่อนทาแบบทดสอบท้งั ๒ ชดุ ๗. เมอ่ื จบในหวั ข้อตา่ ง ๆ ให้นักเรียนทาแบบทดสอบย่อยท้ายบทเรยี น นาคะแนนของ นักเรยี นที่ได้มาเทยี บเป็นคะแนนพัฒนาการ (Improvement Point) ของแตล่ ะคน ซ่ึงหาได้จากความแตกต่าง ระหว่างคะแนนฐาน กบั คะแนนท่ีนักเรยี นได้ทาแบบทดสอบ (ถ้าต่ากว่าคะแนนฐานมากกว่า ๓ คะแนน จะได้ คะแนนพัฒนาการ ๐ คะแนน
๙ ๔. การวิเคราะหข์ อ้ มูล การวิเคราะห์ขอ้ มลู ผูว้ ิจัยดาเนินการดงั น้ี ๑. ทาตารางบนั ทึกการสง่ งาน แบบฝกึ หัดในเวลา แบบฝึกหัดการบ้าน ใบงาน ภาคเรียนที่ ๒ ประจาปี การศกึ ษา ๒๕๖๓ ของรายวชิ าการบญั ชีหา้ งหนุ้ สว่ น ๒. เปรยี บเทียบความแตกต่างคะแนนถัวเฉลี่ย ค่าร้อยละ ระหว่างการทดสอบครั้งแรกกับคร้ังหลังของ กลมุ่ ตวั อย่าง และเปรยี บเทียบคะแนนการทาแบบฝึกทักษะกบั คะแนนสอบหลงั เรียน ๕. สถติ ิท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้คา่ สถติ ิพืน้ ฐาน โดยหาคา่ เฉลยี่ (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) ของ คะแนนแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น ทดสอบความแตกตา่ งของคะแนนแบบทดสอบ กอ่ นเรยี นและ หลงั เรียน ใช้การทดสอบที (t-test) ชนิดตัวอย่างประชากรสมั พนั ธ์กัน (Dependent Samples) โดยวธิ ีการจบั คู่คดิ ในการจัดการเรยี นการสอนในวชิ าการบัญชหี ้างห้นุ สว่ น ภาคเรียนที่ ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๐ มนี ักเรยี น จานวน ๑๒ คน
๑๐ บทท่ี ๔ ผลการวิจยั และอภปิ รายขอ้ มูล การวิจยั เรอ่ื ง การพฒั นาการจัดกิจกรรมการเรยี น เรอ่ื ง การคานวณและบันทึกบัญชีเม่ือหุ้นสว่ นนา เงินสดและนาสินทรัพย์อ่นื ๆ มาลงทุน โดยวิธีการจับค่คู ิด ของนักเรียนระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ สาขา พาณชิ ยกรรม (การบญั ชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ไดน้ าผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ดังน้ี ตอนท่ี ๑ ผลการเปรยี บเทียบคะแนนกอ่ นเรียนและหลังเรียนของนักเรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ สาขาพาณิชยกรรม (การบัญชี) โดยวิธีการจบั ค่คู ดิ ในการจัดการเรยี นการสอนในวิชาการบัญชหี ้างหนุ้ ส่วน ภาค เรียนที่ ๒ ปี การศกึ ษา ๒๕๖๐ มีนักเรยี นจานวน ๑๒ คน ตารางท๑ี่ ค่าเฉล่ยี และรอ้ ยละ ของแบบทดสอบก่อนเรยี นหลังเรยี นและคะแนนแบบฝึก ทักษะ ทางการเรยี นเร่ืองการคานวณและบันทึกบัญชีเมื่อห้นุ สว่ นนาเงนิ สดและนาสินทรัพยอ์ ่ืนๆ มาลงทุน ภาคเรียนท่ี ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๓ ดังนี้ เลขท่ี คะแนนการทดสอบดว้ ยแบบฝึกหัด แบบฝึกทกั ษะก่อนเรยี น แบบฝึกทกั ษะหลงั เรยี น แบบฝึกที่ ๑ แบบฝกึ ที่ ๒ รวมคะแนน แบบฝึกท่ี ๑ แบบฝึกที่ ๒ รวมคะแนน (๑๐) (๑๐) กอ่ นเรยี น (๑๐) (๑๐) หลงั เรยี น ๑ ๒ ๓ ๕ ๗ ๙ ๑๖ ๒ ๕ ๔ ๙ ๘ ๙ ๑๗ ๓ ๕ ๓ ๘ ๗ ๙ ๑๖ ๔ ๕ ๔ ๙ ๘ ๑๐ ๑๘ ๕ ๕ ๔ ๙ ๗ ๙ ๑๖ ๖ ๒ ๓ ๕ ๘ ๑๐ ๑๘ ๗ ๔ ๓ ๗ ๘ ๙ ๑๗ ๘ ๕ ๓ ๘ ๙ ๙ ๑๘ ๙ ๓ ๓ ๖ ๘ ๘ ๑๖ ๑๐ ๓ ๔ ๗ ๗ ๙ ๑๖ ๑๑ ๓ ๓ ๖ ๘ ๙ ๑๗ ๑๒ ๕ ๔ ๙ ๘ ๑๐ ๑๘
๑๒ ตารางท่ี ๑ แสดงคะแนนการทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน จากตารางท่ี ๑ พบว่า การใช้กิจกรรมจับ คู่คิด มีค่าเฉลี่ยคะแนนก่อนเรียนเท่ากับ ๗.๓๓ และมีค่าเฉลี่ยคะแนนหลังเรียนเท่ากับ จากการเปรียบเทียบ ความ แตกต่างของค่าเฉลีย่ คะแนนก่อนเรียนและค่าเฉล่ียคะแนนหลังเรียน พบว่า จากการสอนโดยใช้กิจกรรม จับคู่คิดคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียน แสดงว่า การสอนโดยใช้กิจกรรมจัดคู่คิด ให้นักเรียนมี ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนทสี่ ูงขนึ้ ตอนที่ ๒ ผลการประเมินการสอนของครูโดยผู้เรียน (หลักฐานแสดงความพึงพอใจต่อการเรียนการ สอน) ของนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ สาขาพาณิชยกรรม (การบัญชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรียนราช ประชานเุ คราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ระดับคุณภาพ (นร. /คน) ร้อยละจานวน ท่ี รายการประเมิน ดี ดีมาก ดี พอใช้ ปรบั ปรุง ในระดบั ดี เยยี่ ม (๔) (๓) (๒) (๑) ดีมาก และ (๕) ดีเยย่ี ม ๑ ครมู กี ารเตรียมการในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ๗ ๔ ๑ - - ๑๐๐.๐๐ ๒ การจดั สภาพหอ้ งเรียน / แหลง่ เรียนรู้ ๔ ๖ ๒ - - ๑๐๐.๐๐ ๓ เน้อื หาที่สอนสอดคล้องกับชวี ิตและทนั สมยั ๔๓๔๑ - ๙๑.๖๗ ๔ ผู้เรยี นทราบสภาพความสาเร็จของการเรียนรู้ท่ชี ัดเจน ๖๔ - ๒ - ๘๓.๓๓ ๕ กจิ กรรมการเรยี นสอดคลอ้ งกบั ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั ๗๓ - ๒ - ๘๓.๓๓ ๖ กจิ กรรมการเรยี นรู้สนุกและน่าสนใจ ๗ ๓ ๒ - - ๑๐๐.๐๐ ๗ ครมู ีการใชส้ ื่อประกอบการสอน ๕๒๒๓ - ๗๕.๐๐ ๘ ครูใหโ้ อกาสผเู้ รียนซักถามปัญหา ๗ ๔ ๑ - - ๑๐๐.๐๐ ๙ ครูใหโ้ อกาสผู้เรยี นทางานร่วมกนั เปน็ กลุ่ม / ทมี ๖ ๕ ๑ - - ๑๐๐.๐๐ ๑๐ ครสู ง่ เสรมิ ให้ผ้เู รยี นมคี วามคดิ รเิ ร่มิ และร้จู ักวพิ ากษ์วิจารณ์ ๔ ๔ ๒ ๒ - ๘๓.๓๓ ๑๑ ครยู อมรบั ความคดิ ของผเู้ รยี นท่ตี ่างไปจากครู ๔๔๓๑ - ๙๑.๖๗ ๑๒ ครใู ช้วธิ ีการสอนหลายวธิ ี (เชน่ การทางานกลุ่ม,โครงงาน,จบั คู่ ฯลฯ) ๔ ๓ ๒ ๓ - ๗๕.๐๐ ๑๓ ครูสง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นคน้ คว้าหาความรจู้ ากหอ้ งสมุดและแหลง่ ๔ ๔ ๔ - - ๑๐๐.๐๐ เรยี นรู้นอกหอ้ งเรยี น ๑๔ ครสู ง่ เสรมิ ให้ทดลอง / ทางานในหอ้ งปฏิบตั ิการหรอื นอกชน้ั ๓ ๔ ๒ ๓ - ๗๕.๐๐ เรียนบ่อย ๆ ๑๕ ผู้เรยี นทราบเกณฑก์ ารประเมนิ ผลล่วงหนา้ ๕ ๕ ๒ - - ๑๐๐.๐๐ ๑๖ ผเู้ รยี นมีส่วนร่วมในการประเมนิ ผลการเรียน ๒๔๒๓ - ๗๕.๐๐ ๑๗ ครูประเมินผลอย่างยุตธิ รรม ๖๒๑๓ - ๗๕.๐๐ ๑๘ ครตู ้งั ใจสอน ให้คาแนะนาผู้เรียนในการทากจิ กรรม ๔๒๔๒ - ๘๓.๓๓ ๑๙ ผเู้ รียนนาความรจู้ ากวชิ าที่ เรียนไปใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ได้ ๕๒๒๓ - ๗๕.๐๐ ๒๐ ผู้เรียนเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสุข ๗๓๐๒ - ๘๓.๓๓
๑๓ จากตาราง พบว่า ความพึงพอใจการจัดกิจกรรมการสอนของครูในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (x¯= ๔.๐๐) และเมื่อพจิ ารณาเป็นรายขอ้ พบว่า ข้อที่มคี า่ เฉลย่ี สูงสุด คอื ครูมีการเตรียมการในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน อยู่ในระดับ ดีเย่ียม (x¯= ๔.๕๐) รองลงมาคือ กิจกรรมการเรียนรู้สนุกและน่าสนใจ อยู่ในระดับ ดีมาก (x¯=๔.๔๒) ส่วนข้อที่มีค่าเฉล่ียต่าสุด ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลการเรียน อยู่ในระดับ ดี (x¯= ๓.๑๖)
๑๔ บทที่ ๕ สรปุ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยเกยี่ วกับ การพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรียน เรื่อง การคานวณและ บนั ทึกบญั ชีเมื่อหนุ้ ส่วนนาเงนิ สดและนาสินทรพั ย์อน่ื ๆ มาลงทนุ โดยวิธกี ารจับค่คู ิด ของนกั เรียนระดับช้ัน มธั ยมศึกษาปที ่ี ๔ สาขาพาณิชยกรรม (การบัญชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๓๑ ประจา ภาคเรียนท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ท่ใี ชแ้ บบฝึกทักษะทางการเรียน และใช้วธิ กี ารจับคู่คิดในการจดั การเรียน การสอน ประกอบด้วย แบบฝึกการเรียนจานวน ๒ ชดุ ตอนที่ ๑ ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรยี น โดยใช้วิธกี ารจบั คู่คิดในการจัดการเรยี น การสอนในวิชาการบัญชหี า้ งหนุ้ ส่วน ภาคเรียนที่ ๒ ปี การศกึ ษา ๒๕๖๓ มีนักศึกษา จานวน ๑๒ คน ตอนท่ี ๒ ผลการประเมินการสอนของครูโดยผู้เรียน (หลักฐานแสดงความพึงพอใจต่อการเรียนการ สอน) วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย ๑. เพื่อพัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรียน เรอื่ ง การคานวณและบนั ทกึ บัญชีเมอ่ื หุ้นสว่ นนาเงนิ สดและนา สนิ ทรพั ยอ์ ื่นๆ มาลงทนุ โดยวธิ ีการจับคู่คดิ ของนักเรียนระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๔ สาขาพาณชิ ยกรรม (การ บัญช)ี จานวน ๑๒ คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ ๒. เพอื่ เปรียบเทียบผลการเรียนโดยใชว้ ธิ จี บั ค่คู ิด ของนกั เรยี นระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ สาขา พาณชิ ยกรรม (การบญั ชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรยี นท่ี ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ ความสาคัญของการวจิ ัย เพอื่ เป็นแนวทางพัฒนาผลการเรียน เร่อื ง การคานวณและบนั ทึกบัญชเี ม่ือหุ้นสว่ นนาเงนิ สดและนา สนิ ทรัพย์อ่ืนๆ มาลงทุน โดยวิธีการจับคคู่ ิด ของนักเรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๔ สาขา พาณิชยกรรม (การบัญชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ สรปุ ผลการวิจัย การใชแ้ บบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียนวิชาการบัญชหี า้ งหุน้ ส่วน เรอื่ งการคานวณและบันทกึ บัญชี เมอื่ หุ้นสว่ นนาเงินสดและนาสนิ ทรัพย์อ่ืนๆ มาลงทุน โดยใช้วธิ ีการจบั คคู่ ิด เปน็ เคร่ืองมือการวดั และประเมนิ ผล นกั เรยี น พบว่าคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนของ นกั เรยี นระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๔ สาขาพาณชิ ยกรรม (การ บญั ชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรยี นที่ ๒ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๓ สูงขึ้นกวา่ คะแนนการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เปรยี บเทยี บผลการประเมนิ กับคา่ เป้าหมาย สงู ขน้ึ ร้อยละ ๘๔.๕๘ ซง่ึ ค่าเป้าหมายสถานศึกษากาหนดคือ ๘๐.๐๐
15 อภิปรายผลการวจิ ัย รายงานการพัฒนาการจดั กจิ กรรมการเรยี น เรื่อง การคานวณและบนั ทึกบญั ชีเม่ือหุ้นสว่ นนาเงินสด และนาสนิ ทรัพย์อน่ื ๆ มาลงทุน โดยวิธกี ารจบั คคู่ ิด โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรยี น มขี ้อค้นพบท่ีนา มาอภปิ รายผลได้ ดังน้ี ๑. การใช้แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรยี นวิชาการบัญชหี า้ งหนุ้ ส่วน เร่อื งการคานวณและบนั ทึก บัญชีเม่ือหนุ้ ส่วนนาเงนิ สดและนาสินทรัพย์อ่ืนๆ มาลงทนุ โดยใช้วธิ ีการจบั คูค่ ดิ เป็นเครื่องมือการวดั และ ประเมนิ ผลนักเรียน พบว่าคะแนนแบบทดสอบหลังเรียนของ นักเรยี นระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ ๔ สาขาพาณชิ ยกรรม (การบัญชี) จานวน ๑๒ คน โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๓๑ ประจาภาคเรียนท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ สูงขน้ึ กวา่ คะแนนการทาแบบทดสอบก่อนเรียน ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น เปรียบเทียบผลการประเมนิ กบั คา่ เป้าหมายสูงขนึ้ ร้อยละ ๘๔.๕๘ ซง่ึ ค่าเป้าหมายสถานศกึ ษากาหนดคือ ๘๐.๐๐ ๒. ผลการวเิ คราะห์ความพึงพอใจการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนของครู ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๔ สาขาพาณิชยกรรม (การบญั ชี) โดยใช้กจิ กรรมกลุ่มในการจัดการเรยี นการสอน ในวชิ าการบัญชีหา้ งหนุ้ สว่ น ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๓ มีนกั เรยี น จานวน ๓๙ คน พบวา่ ความพงึ พอใจการจัดกิจกรรมการสอน ของครูในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x¯=๔.๐๐) และเมอ่ื พจิ ารณาเป็นรายข้อ พบวา่ ข้อที่มคี า่ เฉล่ยี สงู สดุ คือครู มกี ารเตรยี มการในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน อยู่ในระดับ ดเี ย่ยี ม (x¯= ๔.๕๐) รองลงมาคือ กิจกรรมการ เรียนรสู้ นกุ และนา่ สนใจ อยู่ในระดบั ดีมาก (x¯=๔.๔๒) ส่วนข้อท่ีมคี า่ เฉลยี่ ตา่ สดุ ผู้เรียนมีสว่ นรว่ มในการ ประเมินผลการเรยี น อยู่ในระดับ ดี (x¯= ๓.๑๖) ข้อเสนอแนะ จากสรปุ ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลจะเหน็ วา่ ๑. การใชน้ วัตกรรมแบบฝึกเสรมิ การเรยี นรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ เพ่ือการแก้ไขปัญหา การเรยี นรู้ใหแ้ กน่ ักเรยี นท่ีมแี นวโน้มปญั หาวกิ ฤตินั้น สามารถใช้ไดผ้ ลเพราะทาให้นักเรยี นมีผล การเรยี นดขี น้ึ ๒. ในปี ต่อไปควรหาแนวทางการแก้ไข ปรับปรุงวิธีการจัดการเรียนรู้เพ่ือแก้ไขปัญหาส่วนร่วม หรือ ปัญหา การเรียนรูจ้ ดุ ประสงคข์ องนักเรยี นตอ่ ไป
16 บรรณานกุ รม นางสาววภิ าวดี สิงสีทา.การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน วชิ าการบัญชเี บือ้ งตน้ ๑ โดยใช้ บทเรียนสาเรจ็ รปู นางสาววภิ าวดี สิงสที า.การพัฒนาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนวิชาการบัญชี หา้ งหุ้นสวน โดยใช้กจิ กรรม กรรมกลุ่มของนักศึกษาระดับประกาศนียบตั รวิชาชีพ ชั้นปี ท่ี ๒ หอ้ ง ๑ วทิ ยาลัยเทคโนโลยีอรรถวทิ ยพ์ ณชิ ย การ นางสาวถนอมนวล ฐาปนพงษ์ไพบลู ย์.การศึกษาผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าการบัญชีต๋ัวเงนิ เรอ่ื ง การ กูเ้ งนิ โดยออกตั๋วสัญญาใชเ้ งนิ โดยใชก้ ิจกรรมเพื่อนชว่ ยเพื่อนของนักเรยี นระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชีพชนั้ ปที ่ี ๒ วทิ ยาลัยเทคโนโลยวี ิมล ศรยี า่ น นางบุญผอ่ ง สายเพ็ชร.การพัฒนาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นวชิ าการบัญชตี ั๋วเงนิ โดยใช้แบบฝึกทกั ษะของ นกั ศึกษา ระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชพี (ปวช.) ชัน้ ปที ี่ ๒ สาขาวชิ าการบญั ชีภาคเรยี นที่ ๑ ประจาปีการศึกษา ๒๕๖๑ ของวิทยาลัยเทคโนโลยอี รรถวทิ ยพ์ ณชิ ยการ
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: