Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-book ฟ่าง

e-book ฟ่าง

Published by FANG Chanoknan, 2019-05-30 11:09:24

Description: e-book ฟ่าง

Search

Read the Text Version

ค�ำ นำ� หนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกสป์ ระกอบการสอนเลม่ น้ี รหัสวิชา355121 จดั ท�ำ ขึน้ เพื่อใชป้ ระกอบการ เรยี นการสอนวชิ าการออกแบบสารเพ่ือการศึกษา (Message Design for Education) ศึกษา และวิเคราะหห์ ลักการ และทฤษฎีเก่ยี วกับการเรยี นการสอน และการศึกษา โดยเฉพาะความ สัมพันธ์กับทฤษฎีการเรียนรู้ การสอน การศกึ ษา เทคโนโลยกี ารสอน สารสนเทศ และ การ จดั การ ซ่งึ ใชใ้ นการออกแบบการเรียนการสอน สื่อสาร เพ่อื ให้ผเู้ รยี นเขา้ ใจถึงความส�ำ คัญของ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารเพอื่ น�ำ ไปใช้ในการเรยี นการสอน และเป็นผมู้ คี วามสามารถ มีทักษะในการน�ำ เทคโนโลยีสารสนเทศไปศกึ ษาค้นควา้ ประยุกตใ์ ช้ และพฒั นาตนเองท้งั ทาง ด้านการเรยี นการสอน และการดำ�เนินชีวติ ได้ และเพอ่ื ความสะดวกในการสอนแลว้ นสิ ิตสามารถ ศึกษาด้วยตวั เองโดยมีวดี โี อประกอบ และภาพประกอบ

สารบัญ หน้าที่ ช่อื เรือ่ ง 5 8 บทท่ี 1 9 การออกแบบกราฟิก 11 ความหมายของการออกแบบกราฟิก 12 ความสําคญั ของการออกแบบกราฟกิ 13 จรรยาบรรณของนักออกแบบกราฟิก 14 ความรดู้ า้ นทรพั ยส์ นิ ทางปญั ญาทีน่ ักออกแบบกราฟิกต้องรู้ 15 16 บทที2่ 18 ทฤษฎกี ารความหมายของการออกแบบการสอนและขอบขา่ ย 21 ทฤษฎกี ารเข้าใจภาพ(Cognitive) 22 ความหมายของการออกแบบการสอน(Instructional design) 24 การออกแบบการสอน 25 26 บทท3่ี 27 ความหมายและขอบเขตของการใช้ภาษา 29 วตั ถุประสงค์ของการส่อื สาร 30 ประเภทของการสื่อสาร 31 บริบททางการสอ่ื สาร 32 องคป์ ระกอบของการสื่อสาร 40 หลักในการสื่อสาร 43 44 บทที4่ 45 การส่อื สาร 48 หลกั ในการสื่อสาร จําแนกตามกระบวนการหรอื การไหลของข่าวสาร ศิลปะและการออกแบบ(Art & Design) บทที่5 จิตววิทยาในการออกแบบ แนวคดิ เบื้องตน้ ของการออกแบบ หลักพจิ ารณาเกยี่ วกับการใชส้ ี



5

ปจั จุบนั กราฟิกมีส่วนสําคญั อยางยงิ่ ในการนาํ เสนอข้อมูลและขา่ วสาร เน่ืองจากเรา ได้เขา้ มาสยู่ ุค ของการสื่อสารข้อมลู แบบไรพ้ รมแดนแลว้ โดยมีการสอื่ สารระหวางกลุม่ เปา้ หมายทม่ี คี วามแตก ตา่ งกนทางด้านเชัอ้ื ชาตแิ ละภาษา แตก่ ารตดิ ตอ่ สื่อสารก็ไมไ่ ด้มอี ุปสรรคแตอ่ ยา่ งใด เพราะเรามี ภาษาสากลมาช่วยลดพรมแดนนั้น ซึ่งภาษาสากลนั้นก็คือ กรากฟิก น่นั เองในการออกแบบกราฟกิ ประกอบไปด้วย 2 องคป์ ระกอบหลกั คอื ตัวอักษร และภาพ ซึ่งทําหนา้ ท่ถี า่ ยทอดข้อมูลทซ่ี บั ซอ้ นใหม้ คี วามชดั เจนและงา่ ยต่อการทาํ ความเข้าใจ ปจั จุบนั ภาษาอังกฤษกเ็ ป็นภาษาสากลหน่งึ ท่ีเราใชก้ นอยาั งแพรห่ ลาย เนื่องจากประชากร โลกสว่ น ใหญส่ ามารถใช้ภาษาองั กฤษได้และภาพประกอบก็เปน็ อีกภาพหน่ึงทีม่ คี วามเปน็ สากลได้ แต่ มรี ะดบั ความสากลในการสือ่ สารแตกตา่ งกนไปตามประเภทของภาพประกอบ ซึ่งภาพในการ ออกแบบกราฟิกมีหนา้ ทส่ี ือ่ ความหมายให้กลมุ่ เปา้ หมายสามารถรับรู้ไดช้ ดั เจน โดยไมต่ อ้ งใชต้ วั อกั ษรอธิบายประกอบ ดงั คํากลา่ วที่ว่า “ภาพหนงึ่ ภาพมีความหมายแทน คําพนั คํา” ท�ำ ให้เรารู้ ว่า ภาพสามารถช่วยใหก้ ารถา่ ยทอดข้อมูลอยางกระชับและง่ายต่อการ ทําความเข้าใจ เช่น ภาพ สญั ลกั ษณ์จราจรหรือภาพสัญลักษณบ์ นหน้าปัดนาฬิกา นกั ออกแบบกราฟิก หรือผ้สู รา้ งสรรค์งานกราฟิกจําเปน็ ที่จะต้องมคี วามรูแ้ ละความเขา้ ใจในศาสตรข์ องการ ออกแบบกราฟกิ และสุนทรยี ศาสตรเ์ พ่ือช่วยชีน้ าํ ใหน้ ักออกแบบสามารถสรา้ งสรรค์งานออกแบบได้เพื่อการสอื่ ความหมายได้อยางมปี ระสทิ ธิภาพศาสตร์ ของการออกแบบกราฟกิ เปน็ พ้ืนฐานความคิดในการสร้างสรรค์งานอยางมีสนุ ทรยี ศาสตรค์่ ําวา่ สนุ ทรียศาสตร์(Aesthetics) หมายถงึ วชิ าทีว่ าด้วยความซาบซึ่งในคุณค่าของสิ่ง งดงาม ไพเราะ หรอื รนื่ รมย์ไม่วาจะเปน็ ของธรรมชาต่ิหรืองานศลิ ปะ มกั กลา่ วในลกั ษณะ เป็นปรชั ญาหรอื ทฤษฎี ทัง้ ในเชงิ จิตวทิ ยาจริยศาสตร์ งคมศาสตร์สั รวมถงึ ประวตั ิ รสนยิ ม และการวิจารณง์ านศลิ ปะด้วย (ราชบัณฑิตยสถาน, 2541: 8)การเรียนรู้สุนทรียศาสตรจ์ ะ ม่งุ เนน้ ไปทางด้านศลิ ป์ ซึ่งเปน็ การ เรยี นรูใ้ นการทาํ ความเขา้ ใจในความงามแนวความคิด ในการสรา้ งสรรคค์ วามงามและวิธกี าร ถ่ายทอดความงาม ซง่ึ การเรยี นรู้ทางดา้ นศลิ ปะเกดิ จากการสงั สมประสบการณ์ของนักออกแบบ แตบ่ ุคคล และนกั ออกแบบมีศักยภาพใน 6

การซึมซับความงามโดยรอบตัวแตกตา่ งกนออกไป ดังน้นั นักออกแบบแตล่ ะบุคคลยอมม่ี ความคดิ เห็น ในความงามทางศิลปะ และใหค้ ําจํากดความของความงามของศลิ ปะทแี่ ตกต่าง กันดว้ ย การเรียนรสู้ ุ นทศาสตร์ไมส่ ามารถทาํ ได้ภายในวันเดียวจากหอ้ งเรยี น หรอื ตาํ รา เพยี งหนึง่ เลม่ ดังนัน้ นักออกแบบ กราฟิกจงึ จะตอ้ งเรยี นรจู้ ากส่งิ รอบตวั โดยฝึกตนเป็นคน ชา่ งสงั เกตและตดิ ตามข่าวสารของสังคมโลก อยตู ลอดเวลาจึงจะสามารถเขา้ ใจในแนวความคิด่ และกระแสความนยิ มในความงามของสังคมเม่ือนัก ออกแบบเกิดความเข้าใจในความงาม อยางถอ่ งแท้ก็จะสามารถค้นหาแนวความคดิ ท่จี ะถ่ายทอดความ งามจากความคดิ สรา้ งสรรค์ ของตนเองเพ่ือถา่ ยทอดไปสกู่ ลมุ่ เปา้ หมายไดอ้ ยางชดั เจนและเหมาะสมใน หลักการออกแบบกราฟกิ ท่ีแทจ้ ริงจาํ เป็นท่จี ะต้องใช้ความรู้และความเขา้ ใจทงั้ ทางดา้ นศาสตรแ์ ละ ศิลป์ผสมผสานกนั อยา่ งกลมกลืนเพือ่ สรา้ งสรรค์งานให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ในการออกแบบคือ การถ่ายทอดขอ้ มูลขา่ วสารและส่อื ความหมาย และถา่ ยทอด ความงามทางศลิ ปะ ซ่ึงท้งั 2 ส่วนน้ถี ือได้วาเป็นประโยชนด์ ว้ ย(Function)ของงานกระทาํ ในงานออกแบบการฟิกความงามท่มี ี ประโยชน์ใช้สอยเช่นเดยี วกันเนอ่ื งจากนักออกแบบใชค้ วามงามในการดงึ ดดู ความสนใจกล่มุ เป้าหมาย หลกั ให้เขา้ ส่งู านกราฟกิ เม่อื กลุ่มเป้าหมายเกดิ ความเขา้ ใจและเกดิ ความประทับใจในงานออกแบบ กราฟกิ กล่มุ เป้าหมายกสามารถจดจําข้อมลู ทีถ่ ่ายทอดได้อยางแม่นยาํ ก่อนทจ่ี ะเข้าไปส่เู นอ้ื หาการ ออกแบบกราฟิกในบทเรยี นตอ่ ๆไปนักออกแบบความร้แู ละความเขา้ ใจในความหมายของการออกแบบ กราฟกิ ความออกแบบกราฟิกและจรรยาบรรณของนักออกแบบกราฟิกตลอดจนทรพั ย์สินทางปญั ญา อยางถอ่ งแท้กอ่ นทั้งน้ีกเ็ พื่อใหผ้ ูเ้ รียนเกของการออกแบบกราฟิกความสําคัญของการนักออกแบบ กราฟิกท่ีดที ่พี ึงมีตอ่ สังคมตลอดจนปลกู ฝงั จิตสาํ นึกผูเ้ รยี นซึ่งจะเป็นนักออกแบบกราฟิกในอนาคต ให้ตระหนักถงึ ความสําคัญของสิทธใิ์ นทรัพย์สินทางปญั ญาของตนและผ้อู น่ื เพอื่ หลีกเลยี่ งการละเมิด ผลงานอันมลี ิขสทิ ธข์ิ องผ้อู ืน่ ซ่งึ เปน็ หนึง่ ในจรรยาบรรณของนักออกแบบกราฟกิ ทต่ี ้องถือปฏิบัตอิ ยาง เคร่งครดั 7

1.1 ความหมายของการออกแบบกราฟกิ ในอดีตการออกแบบกราฟิกไม่ได้เปน็ ศาสตรท์ ่ีรจู้ ักกนอยัางแพร่หลายเหมือนใน ปจั จุบนั นี้ เนอ่ื งจากกราฟิกเปน็ เพยี งสว่ นประกอบหนง่ึ ของงานออกแบบอ่ืนๆ เท่านนั้ แต่ปจั จุบันงาน ออกแบบกราฟิกเรม่ิ มบี ทบาทชัดเจนมากยิงขน้ึ่ ในปี ค.ศ. 1992 วิลเลียม แอนดสิ นั วงิ กินส(์ Wil- liam Andison Dwiggins) เปน็ บคุ คลแรกท่ีได้เรมิ่ นําเอาคาํ วา่ “นกั ออกแบบกราฟิกมาใชเ้ ป็นคน แรกแต่ไมไ่ ดร้ ับความนยิ มอยางแพร่หลาย จนกระทงั ่ หลงั สงครามโลกคร้งั ท่2ี จึงได้เรม่ิ มีการใช้คํา ว่า“นักออกแบบกราฟ”ิ กแพร่หลายมากขนึ้ ในฐานะบุคคลทีส่ รา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะเพื่อถ่ายทอด ข้อมูลและข่าวสารไปสกู่ ลมุ่ เปา้ หมาย จาํ นวนมากใหร้ บั รู้และเข้าใจในข้อมลู ขา่ วสารเดยี วกนได้ อยัางตรงก่นนัน้ เองในพจนานุกรมภาษาอังกฤษ ได้ใหค้ วามหมายของการออกแบบและกราฟิกไว้วา่ การออกแบบ (design) หมายถงึ การวาดภาพ ส่ิงของท่อี าจจะถกู นาํ ไปผลิต การจดั การและ การวางแผนทวั ไป่ การสรา้ งตน้ แบบจากเสน้ รูป ร่าง หรอื รูปทรงเพ่อื การประดับตกแต่ง บนพ้นื ปูพรม แจกนและอ่นื ๆั สว่ นคาํ วา่ กราฟิก (graph- ic) หมายถึง การแสดงภาพสญั ลักษณ์ ตวั อักษร ไดอะแกรม การวาดภาพหือ เพ่ือถ่ายทอดราย ละเอยี ดของความคิดใหผ้ ูอ้ ืน่ สามารถรบั รแู้ ละเขา้ ใจได(้ Cowic, 1994: 325, 543)เกรก เบอร์ รแี มน(Gregg Berryman) ไดใ้ ห้คาํ จํากดความของการออกแบบกราฟกิ ั ไวว้ าเป็นการวาดภาพ เพ่ือการอ่าน เช่น หนังสือ นิตยสาร การโฆษณา บรรจภุ ัณฑ์ภาพ สญั ลกั ษณ์ โปสเตอร์ โทรทศั น์ และการแสดงงานนทิ รรศการ(Berryman, 1990: 5)เอเลน ลวิ ิงสตนั และอิสราเบล ลิวงิ สตนั (AlanLivingston and Isabella Livingston) ได้ให้ความหมายทวั ๆ่ ไป ของกาออกแบบกราฟิก ไวว้ าเปน็ การผสมผสานกน่ ระหวัาง่ ตวั อกั ษร ภาพวาด ภาพถ่ายและเทคนคิ การพมิ พโ์ ดยมีจดุ ม่งุ หมายเพื่อโน้มนา้ วความคดิ หรือ ทัศนคติของกลุ่มเป้าหมายท่ีมีตอ่ สงิ่ ใดสง่ิ หน่งึ และเพื่อถา่ ยทอด ขอ้ มูลขา่ วสารหรืองาน ประกอบการสอน (Livingston, 1992: 348)เอมี อ.ี อาร์นต์สัน(Amy E. Arntson) ไดก้ ลา่ ววา่ การออกแบบกราฟกิ คอื การแกไข้ ปญั หางาน 2 มติ บิ นพ้นื ระนาบ โดย นักออกแบบได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์การจัดการและ วางแผนตลอดจนการตัดสนิ ใจในขน้ั ตอน สดุ ท้ายของงานออกแบบ เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลงานออกแบบที่สามารถถ่ายทอดข้อมลู ขา่ วสารจากผสู้ ่ง สารถึงผู้รับสารเฉพาะกลมุ่ ไดอ้ ยางม่ปี ระสิทธิภาพ(Armtson, 1998: 12) กลา่ วโดยสรปุ “การ ออกแบบ หมายถึง การแกปญั หา้ และ “กราฟกิ หมายถงึ สภี าพ หรอื ตัวอักษร ซ่งึ ถูกใชเ้ พอื่ กา รนาํ เสนอรายละเอยี ดของความคิด และถ่ายทอดข้อมูล (ขา่ ว สาร) บางอย่างดังนั้น “การออก แบบกราฟิ ก” หมายถงึ การแกปญั หาโดยการใชภ้ าพ 3 และตัวอักษรในการถา่ ยทอดขอ้ มลู ท่ซี ับ ซอ้ นใหส้ ามารถรบั รแู้ ละเข้าใจงา่ ยอยางรวดเรว็ ่ เชน่ ถา่ ยทอดข้อมลู ใหก้ ล่มุ เป้าหมายจาํ นวนมาก สามารถรับรูข้ ้อมลู ข่าวสารด้วยการอา่ นไดต้ รงกับ ดงั น้นั งานออกแบบกราฟกิ จึงถือไดว้ าเป็นผล งานซึ่งสามารถผลิตในระบบอตสาหกรรม 8

1.2 ความสําคัญของการออกแบบกราฟิก การออกแบบกราฟิกมีความสําคัญต่อหน่วยงานทุกสาขาในปัจจบุ นั เนอ่ื งจากการ ออกแบบกราฟิก ชว่ ยให้การสื่อความหมายที่ซับซ้อนใหง้ ่ายต่อการทําความเข้าใจ *การส่ือความหมายรว่ มกนั ภายในสงั คม การออกแบบกราฟิกมีความสาํ คญั ตอ่ การสื่อความหมายรว่ มกนภายในสังคมั เนอื่ งจากสังคมเรา สว่ นใหญ่มีข้อตกลงร่วมกนั เช่น กฎจราจร โดยใช้ภาพสญั ลกั ษณใ์ นการ สื่อความหมายเพ่อื ให้ทุกคน เขา้ ใจตรงกนั เพ่อื ใหง้ า่ ยต่อการจัดระเบียบทางสงั คม และ ประโยชน์สูงสุดของกลมุ่ ชนทีอ่ าศัยรว่ ม กนัภาพสัญลักษณใ์ นสถานทสี่ าธารณะตา่ งๆ ก็ เปน็ หน่งึ ในข้อตกลงร่วมกนภายในสงั คมทีั่ จําเป็นท่ีจะต้องมีความชดั เ เพอ่ื ปอ้ งกนไมใั่ ห*้ เกดิ ความสับสน หรือเกดิ ความเขา้ ใจผดิ เน่อื งจาก ปัจจบุ นั น้สี ังคมส่วนใหญท่ วั โลกได้เปดิ ประเทศให้ชาวต่างชาตไิ ดเ้ ขา้ มาปฏิสมั พันธ์มากข้นึ ดังนน้ั กราฟกิ ที่มีความสากลจงึ สําคัญอย่างยง่ิ ตอ่ การส่อื ความหมายรว่ มกันภายในสงั คมทมี่ ี ความแตก ตา่ งกันท้ังทางเช้ือชาติและภาษาดงั *การสง่ เสรมิ ความก้าวหน้าทางธรุ กจิ การออกแบบกราฟิกมีความสําคญั ต่อการส่งเสรมิ ความกาวหน้าทางธุรกจิ้ ต้งั แต่ ระดบั อุตสาหกรรม ภายในประเทศจนถึงระดับต่างประเทศ เนื่องจากกราฟกิ สว่ นใหญม่ ักถกู ใชใ้ นการสร้างเอกลักษณ์องคก์ ร(Corporate Identity) ตราสินค้า(Brand) และส่อื ประชา สมั พนั ธ์ (Public Relation) เพื่อชว่ ยในการประชาสัมพันธข์ ้อมูลข่าวสารจากกลุ่มผู้ผลิตไป สกู่ ลุม่ เปา้ หมาย หลักสามารถรบั ร้ขู ้อมลู ขา่ วสารเก่ยี วกบผลิตภัณฑ์ั 9

*การศกึ ษา กราฟิกมคี วามสําคัญอยางยง่ิ ต่อการถ่ายทอดความร้ทู ีซ่ บั ซ้อนใหผ้ ู้เรียนสามารถรับรู้ไดโ้ ดยง่าย และชดั เจน เนือ่ งจากปัจจบุ นั นีก้ ารเรยี นการสอนไม่ได้ม่งุ เนน้ การเรียนจากคร ผู้เปน็ ศนู ยก์ ลางแหง่ วิทยาการตา่ งๆ ภายในหอ้ งเรียนเพยี งอยางเดียว่ แต่ผ้เู รยี นสามารถ ศกึ ษาและเรียนรู้ด้วยตนเอง จากแหลง่ วทิ ยาการตา่ งๆ อยางกว้างขวางภายนอกหอ้ งเรียน่ ยก ตวั อยางเช่น การเรยี นรู้จาก อนิ เทอรเ์ นต็ หรือจากส่ือการเรยี นการสอนอิเลก็ ทรอนิกส์ ซ่งึ องค์ประกอบหลกั บนสือ่ การสอน ประกอบดว้ ย ภาพประกอบ ตัวอกั ษร สีและภาพเคลอ่ื นไหว ต่างๆดังนนั้ กราฟกิ จึงมบี ทบาทสาํ คญั ยงิ ในการถา่ ยทอดความรผู้ านสอ่ื การสอนประเภท่ สาธิตซึ่งแสดงวธิ กี ารปฏบิ ตั ิทลี ะขนั้ ตอนหรือย นระยะเวลาการเรียนรไู้ ด้และเชื่อให้การ่ ศกึ ษาซึง่ ได้อีกเพือ่ การทบทวน ยกตวั อยางเช่น การสอน วธิ สี รา้ งภาพนามธรรมจากรูปทรง ธรรมชาตวิ ธิ กี ารสอนสามารถทําได้ โดยการใช้ภาพแส งขน้ั ตอ นการทํางานตดั ทอนทลี ะส่วน ทีไ่ ม่สําคัญออกไปจนทา้ ยทสี่ ุดคงเหลือไวเ้ พยี งสว่ นทีส่ ําคัญที่สุดของ ภาพเพอ่ื การถา่ ยทอด ความคดิ ท่ชี ดั เจนมากทีส่ ดุ ซง่ึ สอดคลอ้ งกบหนงั สือท่ีช่อื ั “Visual Literacy” ของ จูดีธ ไวล์ด และ รชิ าร์ด ไวล์ด (Judith Wilde and Richard Wilde) ไดน้ าํ เสนอขนั้ ตอนอยา งงา่ ยใหเ้ หน็ ชัดเจน โดยเร่มิ ตน้ จากการกาหนดแนวความคดิ ทีจ่ ะถ่ํายทอดกอ่ น จากนนั้ คน้ หาภาพ ตัวแทน และเร่ิมปฏบิ ตั ิการสร้างภาพ *นักออกแบบกราฟิก การท่นี ักออกแบบได้เหน็ ผลงานออกแบบกราฟิกที่หลากหลายจะสามารถช่วยให้นัก ออกแบบเกิด ความคดิ ใหมๆ่ ไดโ้ ดยไดร้ ับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากผลงานของ นกั ออกแบบกราฟกิ ผูอ้ ื่น ถอื วาเปน็ ส่วนสําคัญอยางยิ่งตอ่ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนกั ออกแบบกราฟิกให้มีศักยภาพ ในการแกปญั หามากยงิ้ ขึน้่ และนอกจากนน้ั การศึกษางานกราฟกิ ของผอู้ ืน่ จะสามารถชวยใหน้ กั ออกแบบหลกี เล่ยี งการสรา้ งสรรคง์ านซา้ ซอ้ นกบผอู้ ่นื วธิ ีการเรียนรจู้ ากการได้เหน็ มากกย็ งิ รู้มาก เป็นวธิ กี ารเรียนรู้ซึ่งสอดคลอ้ งก่บั อัลเดยี ส ฮักส์เลย์(AldousHuxley’s) ซ่งึ ไดก้ ล่าวไวว้ า่ “The more you see the more you learn ดังนนั้ การเรยี นรู้จากผลงานของผอู้ ่นื ก็เป็นส่วนหนงของ การศกึ ษาและพัฒนาการแนวความคิด่ของนักออกแบบไดเ้ มอื่ เกิดความร้แู ละความเข้าใจในแนว การคดิ ของนักออกแบบท่านอืน่ แล้วจะชว่ ยใหน้ กั ออกแบบสามารถใช้แนวการคดิ นน้ั มาประยุกต์ใช้ ในการสร้างสรรคผ์ ลงานของตนได้อยางเหมาะสมก่บวตั ถปุ ระสงคแ์ ละสามารถสื่อความหมายและ ถัา่ ยทอดความรสู้ ึกของนักออกแบบไดอ้ ยางมีประสิทธิภาพมากยิง่ ข่้ึน การเรียนรขู้ องนกั ออกแบบ กราฟิกเป็นการเรียนรู้อยางต่อเนอื่ งไมม่ ีวันส้ินสุด ดงั นัน้ นักออกแบบศกึ ษาผลงานออกแบบกราฟกิ อยางต่อเนอื่ ง 10

1.3 จรรยาบรรณของนกั ออกแบบกราฟกิ จรรยาบรรณของนกั ออกแบบกราฟกิ ถอื ไดว้ ามคี วามสําคญั อย่างยิง่ ตอ่ ผทู้ ีก่ าลงั ศึกษาํ เพอ่ื ทีจ่ ะ กาวออกไปเปน็ นกั ออกแบบและผู้มีก้าลังปฏิบตั หิ นา้ ท่ีในฐานะของนกั ออกแบบํ กราฟกิ ในสังคม เนอ่ื งจากนักออกแบบกราฟกิ เปน็ ผู้ที่สรา้ งสรรคผ์ ลงานท่ีมีอทิ ธิพลต่อ ความคิดและความเช่อื ของ บคุ คลในสงั คมโดยตรง ดังนน้ั การใช้ความรทู้ างวชิ าชีพอยางมี่ จรรยาบรรณและตระหนกั ถึงความ รับผดิ ชอบของนักออกแบบท่มี ีตอ่ ตนเอง สังคม ชาติวฒั นธรรม จรยิ ธรรมและวชิ าชพี ของตนเอง นันเป็นส่ิงทนี่ กั ออกแบบกราฟิกควรยึดถือ ปฏิบตั ิอยางเครง่ ครัด เพราะผลของการบดิ เบอื นขอ้ มูล หรอื ละเมิดทรพั ย์สนิ ทางปญั ญาขถอื ไดวางผ้อู นื่ ดทังศลี ธรรมิ และกฎหมายดังนนั้ นักออกแบบต้อง ยดึ มนั และถือปฏิบัตติ าม่ จรรยาบรรณทดี่ เี พื่อช้ีนาํ การทํางานท่ตี ัง้ มันอยู่บนความถกู ตอ้ ง่ และกาว ไปสคู่้ วามสําเรจ็ ทางด้านวิชาชพี การออกแบบไดอ้ ยางภาคภมู ่ิ จรรยาบรรณทีน่ กั ออกแบบกราฟิ กควรถือปฏิบตั ิ ประกอบไปดว้ ย 1.นกั ออกแบบต้องตระหนกั ถงึ ภาระหน้าท่แี ละความรับผดิ ชอบของตนเองโดยการ ไม่สรา้ งสรรคผ์ ลงานทข่ี ดั ตอ่ ศีลธรรมและจรยิ ธรรมอนั ดีของสังคม 2.นักออกแบบจะต้องไมล่ ะเมดิ สทิ ธแ์ิ ละไมแ่ อบอ้างผลงานการออกแบบหรือ ทรัพย์สินทางปัญญา ของผู้อน่ื หรือนาํ ผลงานของผ้อู นื่ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ตอ่ ตนเอง โดย ทีไ่ ด้รับอนญุ าตจากเจา้ ของ ผลงานกอ่ น 3.นักออกแบบจะต้องมคี วามซือ่ สตั ยต์ ่อตนเอง เพอื่ นร่วมงาน และเจ้าของโครง งานในการให้ ขอ้ มูลที่ตรงไปตรงมาเกยี่ วกบกระบวนการและคัา่ ดาํ เนนิ การตา่ งๆ 4.นกั ออกแบบต้องตระหนกั ถงึ บทบาททางสังคมของตน และตอ้ งไม่ดหู ม่ินอาชีพ ล และความ สามารถทางดา้ นวชิ าชีพของตนและนักออกแบAmerican Institute of Graphic 11

1.4 ความรดู้ ้านทรพั ย์สินทางปญั ญาทน่ี ักออกแบบกราฟิกต้องรู้ การออกแบบกราฟกิ เปน็ การสร้างสรรคง์ านตามแนวความคดิ และจนิ ตนาการของ นักออกแบบที่ สร้างสรรค์ข้นึ เพอ่ื ช่วยในการแกไขปญั หาในการถา้่ ยทอดขอ้ มลู บางครั้ง เปน็ ขอ้ มลู ในเชิงนามธรรม ไม่สามารถมองเหน็ หรือจับตอ้ งไดซ้ ่ึงการสร้างสรรค์งาน นามธรรมให้กลายมาเปน็ ส่ิงท่ีผอู้ น่ื สามารถ รบั รู้ได้และเขา้ ใจไดก้ ฎหมายถือได้วาผลงาน่ ออกแบบเหล่านัน้ เปน็ “ทรัพย์สินทางปญั ญา” ท่ีได้รบั การคุ้มครองจากกฎหมาย ใดละเมดิ ทรัพยส์ ินทางปัญญา โดยการนําเอาผลงานออกแบบดงั กล่าวไป ใช้โดยไม่ไดร้ บั การอนุญาตจากเจา้ ของผลงาน เจ้าของผลงานสามารถดาํ เนินการตามกฎหมายได้ นกั ออกแบบควรมคี วามรู้เบ้ืองต้นดา้ นทรพั ย์สินทางปัญญา 12

13

นอกจากน้นั เราสามารถศึกษาลักษณะเฉพาะและความหมายของสงิ่ ตา่ งๆ จากศลิ ปะ วัฒนธรรมทีเ่ ราอาศยั อยู่ และศลิ ปะวัฒนธรรมของกลุม่ เป้าหมายหลักท่ีเราต้องการนาํ เสนอ ผลงานการออกแบบกราฟกิ เพ่ือช่วยให้นักออกแบบสามารถเลอื กใช้ภาพไดอ้ ยางเหมาะสม่ กบวตั ถปุ ระสงคข์ องการออกแบบั และวาระในการนําเสนองานน้ันๆทฤษฎีการรับร้ภู าพ สามารถแบ่งออกไดเ้ ปน็ 2 สว่ น 2.2.1 ทฤษฎีการศึกษาภาพสญั ลกั ษณ(์ Semiotics) เนอ่ื งจากปจั จุบันเรามีรูปแบบในการสอื่ สารดงั น้คี อื การส่อื สารดว้ ยภาษาอักษร (Verbal Communication) และ ภาษาภาพ (Visual Communication) ซ่งึ การสอื่ สารทั้งสองมี ศักยภาพแตกต่างกนั เนื่องจากภาษาเขียนและพูดด้วยตัวอกั ษรมขี ้อจาํ กดทางดา้ นเชอั้ื ชาติ ของภาษา และรูปแบบของตวั อักษร ตวั อยางเชน่ ภาษาไทย และภาษาจนี มีความแตกต่าง กนเปน็ อยา่ งมาก ผู้ทจี่ ะสามารถเข้าใจในภาษาตัวอักษรไดจ้ ะต้องมีการศกึ ษาทงั้ ทักษะการ พูด ฟงั อา่ นและเขยี น จงึ จะสามารถเขา้ ใจในตวั อกั ษรตา่ งๆ แตภ่ าษาภาพไมม่ ขี อ้ จาํ กดมากั เทา่ กบภาษาเขยี นและพูด ผอู้ า่ นภาพกส็ ามารถเข้าใจในภาพนัน้ ๆ 14

ทฤษฎกี ารเขา้ ใจภาพ(Cognitive) ทฤษฎีการเขา้ ใจภาพ เกิดขน้ึ หลังจากทผ่ี ้รู บั สารมองเห็นภาพ และเกิดความเขา้ ใจใน 6 ภาพ สญั ลกั ษณ์น้ันๆ การที่เราจะเขา้ ใจในสิง่ ต่างๆ รอบตัวเราได้จะตอ้ งอาศัยความรู้พื้นฐาน หรือประสบการณเ์ ดิมทมี่ อี ยปู่ ระกอบกบความสามารถในการตีความหมายภาพของแต่ัละ บคุ คล ซ่ึง แคโรลนิ บลูมเมอร(์ Carolyn Bloomer) ไดก้ ล่าววา่ การรับรสู้ ิ่งรอบตัวและ ความสามารถ ในการตคี วามหมายภาพจําเปน็ ทีจ่ ะต้องอาศยั ปัจจัย 9 ประการ ดังตอ่ ไปนค้ี อื 1) ความทรงจํา (Memory) 2) ความสามารถในการมองเหน็ ภาพ(Projection) 3) การ คาดหวัง(Expectation) 4) การเลอื กคดั สรร (Selectivity) 5) พฤตกิ รรม(Habituation) 9) คํา(Words) 6) ส่งิ เรา้ (Salience) 7) การกาหนดจุดสนใจ(ความทรงจํา(Memory)คนเราส่วนใหญ่ใช้ความทรงจาํ ในการเรยี นรสู้ ิ่งใหม่ และทาํ ความเขา้ ใจในสิ่งตา่ งๆ รอบตวั เราได้ เนอื่ งจากเราใชค้ วามทรงจําทมี่ ซี ึ่งถอื ไดว้ าเป็นตน้ ฉบบั ในการเปรยี บเทยี บกบ่ ั ส่งิ ใหม่ๆ ที่ไดร้ บั รู้ การสร้างความทรงจาํ ไมใ่ ชเ่ พียงแค่การจดจาํ รูปลักษณ์ ภายนอก หรอื คุณลักษณะเฉพาะของสิ่งใดสิ่งหนง่ึ เทา่ นน้ั แต่รวมไปถึงการร้สู ึกทางบวก และทาง ลบทม่ี ีตอ่ ส่งิ นนั้ ๆ ตลอดจนเรียนรคู้ วามหมายในเชิงนามธรรมทีแ่ ฝงอยูภายในส่งิ ใดสง่ิ หนึ่งอีกด้วย การศกึ ษาความหมายของภาพเพือ่ สรา้ งความทรงจาํ อาจจะเปน็ อกี ทางเลือกหน่งึ แตก่ าร หลักๆ ดังนคี้ ือ 1) ทฤษฎกี าร ศกึ ษาภาพสัญลกั ษณ์(Semiotics) และ 2) ทฤษฎกี ารเข้าใจภาพ (Cognitive) เรยี นร้จู ากประสบการณ์จะช่วยให้เราสามารถจาํ จดได้นานกวา่ ยกตวั อยางเชน่ เรา เรยี นร้สู ี สญั ญาณเตือนภัยจากธรรมชาติไดจ้ าแงมมุ เม็กซโิ กสเี หลืองและสีดําซึ่งเราไดเ้ รยี นรู้วา่ สีน้ี หมายถึงสญั ญาณเตอื นอนั ตรายไม่ให้เขา้ ไปใกลใ้ นปจั จบุ นั เราไดป้ ระยุกตใ์ ชส้ เี หลืองและสดี ําสําหรบั สัญลกั ษณเ์ ตอื นอนั ตรายทฤษฎีการรบั รู้มนุษยเ์ ราแต่ละคนมองเหน็ ภาพต่างๆ ในกลุ่มเมฆในท้องฟ้า แตกต่างกันบางคนมองเห็นหนา้ คนบางคร้ังมองเห็นเป็นรปู สุนขั เปน็ ต้นคนแตล่ ะคนมวี ิธใี นการมอง เหน็ ภาพแตกตา่ งกนออกไปท้งั นี้ข้นึ อยกู ่บประสบการณ์ ในการมองเห็นภาพและตามจนิ ตนาการในการสรา้ งภาพจากจิตใตส้ ํานึก 15

ความหมายของการออกแบบการสอน(Instructional design) การออกแบบการสอนเป็นสิ่งทมี่ คี วามสาํ คัญตอ่ การพฒั นาการเรยี นรูข้ อง มนุษยเ์ ป็นอยางมาก่ และส่ิงท่ีเปน็ พื้นฐาน สําคัญของแนวคดิ การออกแบบการสอนคือ ปรชั ญาและทฤษฎีซึง่ ปรัชญาจะ สะทอ้ น ความเชื่อเกย่ี วกบความรัซู้ งึ่ มคี วาม ประการแรก การออกแบบการสอน ในฐานะท่ีเป็ นกระบวนการ(Instructional design as a process)เปน็ การพัฒนาขอ้ กาหนดการเรียนการสอนอยาํ งเป็นระบบโดยการนําทฤษฎีการเรยี นรู้ และทฤษฎกี ารสอนมาใช้เพ่อื ประกนคุณภาพดา้ นการเรียนการสอนโดยประกอบดว้ ยกระบวนการ ทง้ั หมดในการวิเคราะหค์ วามต้องการของการเรียนเป้าหมาย ของการเรียนรแู้ ละการพฒั นาระบบ การนําสง่ เพื่อใหต้ อบสนองความตอ้ งการดังกลา่ วซง่ึ รวมทั้งการพฒั นาเกยี่ วกบสือ่ การเรียนการสอน กจิ กรรมการเรียนการสอน การบา้ นทดลองใช้และการประเมินผลทง้ั ด้านการสอนและกิจกรรมของ ผเู้ รยี น ประการที่ 2 การออกแบบการสอน ในฐานะทเ่ี ป็ นสาขาวชิ าหน่ึง(Instructions design as a dis- cipline) การออกแบบการสอนเป็นสาขาความรทู้ ี่เก่ียวขอ้ งกบั การ และทฤษฎีทเี่ ก่ยี วกบกลยุทธ์ การจดั การเรยี นการสอนและกระบวนการสําหรบั การ และการนํากลยุทธ์เหลา่ นน้ั ไปใช้รออกแบบ การสอน ในฐานะที่เป็นศาสตรแ์ ขนงหนึ่ง(Instru design as a science) การออกแบบการสอน เป็นศาสตรใ์ นการสรางของ รายละเอยี ดสาํ หรบั การพฒั นา การนาํ ไปใช้ การประเมิน และการดาํ รงเสภาพการณ์ที่เอ้อื ตอ่ การเรยี นรูท้ งั้ หน่วยใหญแ่ ละหน่วยยอยของสาร่ ระดับความซบั ซอ้ น แตกตา่ งกนทุกระดับการประเมิน และการดาํ รงไว้ ซึง่ การจดั และหน่วยยอยของสาระวชิ าทมี่ ่ี 16

ประการท่3ี การออกแบบการสอน ในฐานะท่เี ปน็ สงิ่ ทแี่ สดงความเป็นจรงิ (Instructional design as a reality) การออกแบบการสอน สามารถทีจ่ ะเริม่ ตน้ ไดใ้ นทุกจุดของกระบวนการออกแบบทอ่ี าจนาํ ไปสกู่ าร สรา้ งสรรค์และการพฒั นาใหถ้ ึงแกน่ สําคัญของสถานการณ์การเรยี นการสอน(Instruction situ- ation) โดยท่กี ระบวนการทั้งหมดของการออกแบบจะช่วยให้นกั ออกแบบสามารถย้อนกลบั มา ตรวจสอบองค์ประกอบทัง้ หมดโดยอาศยั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และบนั ทึกการดาํ เนินกา รอยางเปน็ ระบบเพ่อื นาํ ไปสู่เหตุผลรวมทงั้ หลกั ฐานเชิงประจกั ษท์ ่เี กิดขึ้นในการสง่ เสริมการเรียน รBู้ riggs (1977) ได้นยิ ามความหมาย การออกแบบการสอน(Instructional design)เป็นกระบวน การท้ังหมดในการวิเคราะหค์ วามต้องการการเรยี นรู้(Learning needs) เปา้ หมาย(Goals)และ การพฒั นาระบบการนําส่ง (Delivery System) เพือ่ ใหส้ ามารถบรรลคุ วามตอ้ งการนัน้ รวมทัง้ การ พัฒนาเนอ้ื หาและสื่อการเรยี นการสอน กจิ กรรม และการทดลองใชก้ ารปรบั ปรุงการเรียนการสอน ตลอดจนการประเมนิ Richey (1986) ไดน้ ิยามความหมาย การออกแบบการสอน(Instruction- al design) คือ ศาสตร(์ Science)ในการกาหนดรายละเอยี ดรายการตาํ่ งๆ เพือ่ การพัฒนา การ ประเมนิ และการทนํ ุบํารุงรกั ษาให้คงไวข้ องสภาวะต่างๆ ทที่ าํ ใหเ้ กิดการเรยี นร้ทู ัง้ ปริมาณเนือ้ หาจํา นวนมากหรอื เน้อื หาสัน้ ๆ 17

การออกแบบการสอน -ความเป็นมาของการออกแบบการสอน ในการออกแบบการสอนนน้ั มีนกั การศกึ ษาหลายกลมุ่ ท่ไี ดน้ ําหลักการหรอื ทฤษฎี เพื่อนาํ มาเปน็ พน้ื ฐานในการออกแบบการสอน ซ่งึ สามารถสรปุ รวบรวมความเปน็ มา ของการออกแบบการสอนตามพฒั นาการทางการศึกษา ได้ดงั น(้ี สมุ าลีชัยเจริญ, 2554) Thorndike (1898) พฒั นาทฤษฎีการเรียนรู้อยางเปน็ วิทยาศาสตรโ์ ดยเรม่ิ แรก ทดลองกบสัตวั์ และตอ่ มาทดลองกบมนุษยัจ์ ากผล การทดลองนัน้ ได้นาํ มาพัฒนาทฤษฎีการเรียนรอู้ ยางเปน็ วิทยาศาสตร่์ แนวคิดเกย่ี วกบการเรียนรูข้ องั Thorndike ไดส้ ร้าง ความรูข้ ้ันพน้ื ฐานที่วาอนิ ทรียส์ รา้ งความสมั พันธเ์ ช่ือมโยงระหว่างสง่ิ เรา้ (Stimulus) และการตอบสนอง (Response) การกระทําตางๆ จะเกดขน้ึ อยางตอเนอ่ื งและจะมอี ทิ ธพิ ล ตอการแสดงพฤติกรรมน้นั ซา้ ๆกันและในทางตรงขา้ ม การกระทํานน้ั เป็นผลที่ทาํ ให้ไมป่ ระสบความสําเร็จแนวคดิ เหลานเ้ี ป็นสิ่งที่เปน็ หลักฐานทเี่ หน็ โดยทัวไปหรอื ไมเปน็ ท่ีพงึ พอใจการ กระทาํ ซ้ากจะมีความถ่นี ้อยลง่โดยผลงานไดป้ รากฏในชัน้ เรียนปัจจุบัน ไดแ้ กก่ ารประเมนิ ผล และไดร้ ับการยกยองเปน็ บุคคลสําคญั ในประวัติศาสตร์เก่ยี วกับสาขาการออกแบบการสอนท่สี ามารถตอบสนองความแตกต่างระหวางบคุ คล่ โดยเฉพาะ อยางยิง่ การ สอนแบบโปรแกรมในปี ค.ศ.1920-1930 Franklin ไดพ้ ฒั นาการสอนรายบุคคลโดยนาํ แนวก ของThorndike มาประยกุ ต์ใชก้ บ ปัญหาทางดา้ นการศกึ ษาั โดยการสนบั สนุนเบาท เชงิ ปฏบิ ตั ิของโรงเรียนวาควรมาจากพื้น่ ฐานการวเิ คราะห์ทักษะท่ีจาํ เป็นสําหรบั การดา ชวี ิตที่ประสบความสําเร็จ และนํามาสกู่ ารวเิ คราะห์ภารกิจการเรยี นในการออกแบบ และสรา้ งความเช่อื มโยงระหวางผลกา รสอน่ และการปฏิบัตกิ ารสอนในชวงคน ศตวรรษท่ี19ไดป้ รากฏผลงานเก่ียวกบการสอนรายบุคคลั Individualize instruction ซึ่Fredericง Burk และผรู้ ่วมงานไดพ้ ฒั นาการสอนรายบคุ คลซง่ึ เปน็ พืน้ ฐานในระยะตอ่ มาTyler (1930) แหง่ มหาวทิ ยาลัย Ohio ได้ปรบั ปรงุ กระบวนการการเขียนวัตถุประสงค์ การสอนมาเป็ นวตั ถปุ ระสงค์เชงิ พฤติกรรม(Behavioral objective) และประเมนิ เพ่อื ปรบั ปรุง โดยไดศ้ กึ ษาการใช้วตั ถปุ ระสงค์ในการอธิบายเก่ียวกบส่ัิงท่ีคาดหวังในการเรียน ซงึ่ พบวา่ โรงเรียนมกั จะประสบ ความล้มเห วในการกาหนดวัตถุประสงค์เฉพาะํ และเพอ่ื ทจ่ี ะ แกปัญหาดังกลา่้ ว Tyler ไดป้ รบั ปรุงกระบวนการในการเขียน วัตถปุ ระสงค์การสอน ในทส่ี ดุ สามารถท่ีจะแกปญั หาดงั กล้่าว โดยสามารถกาหนดวัตถุประสงค์การสอนไดอ้ ยํางชัดเจน่ ในลักษณะ ของพฤตกิ รรมของผูเ้ รยี นและเป็ นผลทาํ ใหส้ ามารถทีจ่ ะทําการประเมนิ 18

ความหมายและขอบขา่ ยของการออกแบบการสอน แนวโน้มของการออกแบบการสอน (Trend in instructional design) แนวโนม้ ของการออกแบบการสอนในปจั จุบนั ทใ่ี หค้ วามสาํ คญั กบั มุมมองใหม่ของ กระบวนการสอน กระบวนการเรยี นรแู้ ละ เทคโนโลยีที่กาวหนา้ รวมท้ังวิธกี ารใชส้ าํ หรับ สนบั สนนุ การเรียนการสอนและการเรยี นร้ซู ึ่งนกั ออกแบบบางสว่ นไดเ้ ปลยี นแปลงชอ่ื จาก การออกแบบการสอน (Instructional design) มาสกู่ ารออกแบบการเรียนรู้(Learning design) อยางไรก็ต่ ามในที่น้ีจะขอใช้ คําว่า การออกแบบการสอน (Instructional design) เชน่ เดิม แนวโน้มของการออกแบบการเรยี นการสอน เก่ยี วกบั พ้นื ฐานการ ออกแบบการสอน การขยายขอบข่ายเก่ยี วกบั พน้ื ฐานของการออกแบบการสอนและการแกปัญหา โดยการ บรู ณาการหลักการ ทฤษฎีลงสกู่ ารปฏบิ ตั ิ จากพนื้ ฐานดงั กลา่ วนนี้ ักออกแบบการสอน โดยเฉพาะอยางย่งิ 3 การออกแบบในฐานะทเ่ี ป็นขอบขา่ ยความ รู้(Design as a domain)ผลอนั เน่อื งมาจากบทความของSkinner (1954) เก่ียวกบั “The service of Learning and the art of teaching” ซ่งึ เป็นการตพี มิ พ์ทีส่ าํ คญั เกยี่ วกบั การออกแบบการ เรยี นการสอน และทฤษฎกี ารออกแบบ นอกจากนยี้ งั มีผลงานการ ตีพมิ พE์ nvisioning Information โดย Edward Tufte ไดเ้ สนอแนวทางการออกแบบกราฟิ กและการออกแบบสาร(Instructional message design) Ine (Fleming & Leuie, 1993) ขอบข่ายของสาขาวิชากบการใหค้ วามสําคญั กบั ปญั หา (Domain oriented plus problem centered) ผลอันเน่ืองมาจากบทความของSkinner (1954) เกยี่ วกบั “The service of learning and the art of teaching” ซ่ึงเป็นการ ตีพิมพท์ สี่ ําคัญเกย่ี วกบั การออกแบบ การเรยี นการสอน และทฤษฎีการออกแบบ นอกจากนีย้ งั มีผลงานการตพี มิ พE์ nvisioning information โดยEdwardTufteซึ่งไดเ้ สนอแนวทางการออกแบบกราฟิ กและการออกแบบสาร(Instructional message design) โดย Fleming (1993)การออกแบบการสอน เปน็ สาขาวิชาหลักทมี่ ุ่งเนน้ บทบาท หน้าท่ีหรือปญั หา มากกวาลกั ษณะเน้อื่ หาสาระ วิชาจากสาเหตุดงั กล่าว นกั ออกแบบตอ้ งบูรณาการความรู้อยางเปน็ รปู ธรรมทปี่ ระสานร่วมระหวางทฤษฎีกบ่ การปฏิบัตัเิ พ่อื ให้บรรลุ เปา้ ประสงคอ์ ยางมีประสทิ ธภิ าพดว้ ยเหตุผลดังกล่าวจงึ ทําให้ต้องกลับมาพจิ ารณาการออกแบบการสอนทงั้ ลกั ษณะทเี่ ปน็ ศาสตร์และ ศลิ ป์รวมทง้ั เทคโนโลยีเชงิ วัฒนธรรม ทม่ี กี ารเปรยี บเทยี บความแตกต่างของศาสตรก์ บศลิ ปั์ ข้อเท็จจริงของเนื้อหาวิชา และหลักการ เชิงบรู ณาการเช่ือมโยงและบรู ณาการระหวางศาสตรแ์ ละศิลป่์ ซงึ่ ได้กลายเป็น สิ่งสาํ คญั ในศตวรรษที2่ 0ซ่งึ ไดจ้ าํ แนกการออกแบบ เป็น 4 สาขายอย่ (Richard, 19 19

ขอบขา่ ยของสาขาวชิ ากบการใหค้ วามสําคญั กบั ปัญหา(Domain oriented plus problem centered) ผลอันเนอื่ งมาจากบทความของSkinner (1954) เก่ียวกบั “The service of learning and the art of teaching” ซ่ึงเป็นการ ตีพมิ พท์ สี่ าํ คัญเกยี่ วกบั การออกแบบ การเรยี นการสอน และทฤษฎีการออกแบบ นอกจากน้ยี งั มีผลงานการตพี ิมพ์Envisioning information โดยEdwardTufteซงึ่ ได้เสนอแนวทางการออกแบบกราฟกิ และการออกแบบสาร(Instructional message design) โดย Fleming (1993)การออกแบบการสอน เป็นสาขาวิชาหลักทม่ี งุ่ เน้น บทบาท หนา้ ทีห่ รือปัญหา มากกวาลกั ษณะเน้อื หาสาระ วิชาจากสาเหตุดงั กล่าว นักออกแบบต้องบรู ณาการความรอู้ ยางเป็นรปู ธรรมทปี่ ระสานร่วมระหวางทฤษฎกี ่บการปฏิบัตัิเพ่อื ให้บรรลุ เปา้ ประสงคอ์ ยางมีประสิทธิภาพดว้ ยเหตผุ ลดงั กล่าวจึงทําให้ต้องกลบั มาพจิ ารณาการออกแบบการสอนทั้งลักษณะท่ีเป็นศาสตรแ์ ละ ศลิ ป์รวมทง้ั เทคโนโลยีเชงิ วฒั นธรรม ท่มี กี ารเปรียบเทยี บความแตกตา่ งของศาสตร์กบศิลปั์ ข้อเท็จจรงิ ของเนอ้ื หาวิชา และหลักการ เชิงบรู ณาการเชอ่ื มโยงและบรู ณาการระหวางศาสตร์และศิลป่์ ซ่ึงได้กลายเป็น สงิ่ สําคญั ในศตวรรษที่20ซึ่งไดจ้ าํ แนกการออกแบบ เปน็ 4 สาขายอยา่ ง (Richard, 191)การออกแบบสัญลักษณแ์ ละการส่ือสารภาพ 2) การออกแบบสอื่ 3) การออกแบบกิจกรรมการ เรียนการสอน4)การออกแบบสง่ิ แวดล้อม การออกแบบการสอน เปน็ องคป์ ระกอบหน่ึงทส่ี ําคัญของ นิยามและขอบขา่ ยของเทคโนโลยกี ารศึกษาทีส่ มาคมเทคโนโลยีและ ส่ือสารการ (AEC) ในชว่ งต้นปี ค.ศ.1970 และ ค.ศ.1994 ไดน้ ิยามคาํ ว่าการออกแบบการ เปน็ กระบวนการของเงื่อนไขเฉพาะ เพอ่ื การเรยี นรู้ทฤษฎีและการปฏิบตั ิทเกอ การออกแบบ โดยการจัดลงสูข่ อบขา่ ยของการออกแบบ ซึ่ งประกอบดว้ ยการและ คุณลักษณะของผเู้ รียน ซ่ึงจะเหน็ วามกี ารสนบั สนุนจากหลากหลายวิชา่ เชน่ การออกแบบสาร (Message design)ทีม่ ีการบูรณา การความรจู้ ากจิตวิทยา การออกแบบกราฟ(ิ Graphicก design) สุนทรยี ศาสตร(์ Aesthetics)และการสื่อสาร(Communication) ซ่ึ งเป็ นความร้ขู อง การออกแบบระบบการเรยี นการสอน(ISD)ทมี่ กี ารประสานรว่ มทฤษฎีจติ วทิ ยาผานการเรยี นร่้ทู ฤษฎกี ารสอ่ื สาร ผานการเลอื กสือ่ และวธิ ีวิทยาการวิจยั ผานการประเมนิ ผล่ อยางไรก็่ตาม วธิ กี ารและขอบขา่ ยของเทคโนโลยีการสอนจะมีลักษณะที่ เป็นเชิงบูรณาการมากกวาเนอ้ื หา วชิ าซง่ึ ส่งผลที่ทําให้มีความจําเป็นในการบูรณาการระหวางขอบข่ายของเทคโนโลยกี ารสอน รวม ทั้งการออกแบบการพัฒนา การใชก้ ารจดั การ และการประเมนิ ดังนนั้ ประเด็นสําคัญทเ่ี ก่ยี วกนั พน้ื ฐานการออกแบบการสอนเป็น ขอบขา่ ยซึง่ จําเปน็ ต้องใชว้ ิธกี ารบูรณาการเชน่ การเรียนรู้ที่เหมาะสมหรอื หลกั สตู รทใี่ หค้ วามสาํ คัญกบปญั หาั (Situated learning หรอื Problem centeredcurriculum) และจาํ เปน็ ทจ่ี ะต้องมกี ารจดั โครงสร้างใหม่ในระบบการศึกษาจากเดิมทใ่ี หค้ วามสาํ คัญกบ หลกั การและเน้ือหาวิชามาสกู่ ารมงุ่ เน้นปัญหาและผลลัพธก์ ารเรยี นรู้สาํ หรบั ประเด็นอน่ื ๆ ของการบูรณาการเป็นการหลอมรวม หลักการจากแนวคิดทีเ่ ปน็ ทางเลอื ก เชน่ ศาสตร์ทางพุทธิปญั ญา (Cognitive science) และ คอนสตรคั ตวิ ิสต์สามารถบรู ณาการเขา้ กบวธิ กี ารั ออกแบบการสอนแบบด้งั เดิม ซึ่งแตล่ ะวธิ กี าร ปรัชญาและขอบขา่ ยจะมผี ลลัพธ์การเรียนรูท้ แี่ ตกตา่ งกนั เชน่ คอนสตรคั ติ วสิ ตจ์ ะมคี วามสอดคล้องกบการแกปั ญั หา (Problem solving) 20

21

ความหมายและขอบเขตของการใช้ ภาษา การใช้ภาษา หมายถึง การตดิ ต่อสื่อความหมายในสงั คมใหเ้ ป็นทีเ่ ขา้ ใจกนดว้ ยการฟังผู้อ่นื พูด บา้ ง ให้ผูอ้ ื่นฟังบ้าง อา่ นส่ิงทผี่ ูอ้ น่ื เขียน และเขียนบางสิง่ บางอยางให้ผู้อื่นอ่านบา้ ง นอกจาก จะติดต่อกบบุคคลในสมัยเดยี วกันแล้ว อาจติดตอ่ กบคนในอดตี หรอื อนาคตได้ั การตดิ ต่อกบ คนในอดตี คือั อ่านขอ้ ความหรือเรือ่ งราวที่มผี ู้เขยี นไว้ในหนังสอื เอกสาร หลกั ฐานในสมัยต่าง ๆ ก็ทาํ ให้มโี อกาสได้รับทราบ เขา้ ใจในความคดิ ของบคุ คลนั้น ๆ แม้วาเขาจะล่วงลับไปแล้ว ก็ตาม ส่วนการติดตอ่ กบบุคคลในอนาคตนั้น คือ ติดต่อด้วยการเขียนหนงั สือไวใ้ หช้ นรุ่นหลัง อ่าน หรอื บนั ทกึ เสียงพูดไวใ้ ห้ชนรนุ่ หลงั ฟงั วฒั นธรรมในการใชภ้ าษา 1.การใชภ้ าษาใหถ้ ูกวัฒนธรรม เมอ่ื ได้มกี ารให้ความหมายของคาํ วัฒนธรรมไว้วา่ คอื “ลกั ษณะ ท่แี สดงถงึ ความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย ความกลมเกลยี วกาวหนา้ ของชนในชาติ้ และศีลธรรมอนั ดีของ ประชาชน” การใช้ภาษาให้ถกู หลักวัฒนธรรมนา่ จะเป็นไปในความสอดคลัองกบความหมายดงั กล่าวพระยาอนุมานราชธน ใหข้ ้อคิดไว้วา่ “การใชภ้ าษาไม่ถูกตามแบบแผนของภาษาไทยหรือพูดจาสามหาวนั้น เปน็ การผิดวฒั นธรรม” การใช้ภาษาใหถ้ ูกวัฒนธรรมจึงนา่ จะมลี ักษณะดงั นี้ 1.ใช้ถูกตามแบบแผนของภาษาไทย 2.ใชค้ าํ สุภาพ หลีกเล่ยี งคาํ หยาบคาย หรือหยาบโลน 3.ใชค้ ําพดู ทสี่ ่ือความหมายแจ่มแจง้ ไมก่ ากวม 4.ใชภ้ าษาท่ีช่วยให้เกิดความเข้าใจดีระหวา่ งกนั กอ่ ให้เกดิ ความร่วมมอื ร่วมใจในหมู่คณะ 5.ใชภ้ าษาท่ีเปน็ สริ มิ งคล ในพิธกี ารต่างๆ 6.ใชภ้ าษาท่ไี พเราะชวนใหเ้ พลิดเพลินเจริญใจ 7.ใชภ้ าษาทเี่ ปน็ คตเิ ตอื นใจ 8.ใช้ภาษาให้ถูกกาลเทศะและเหมาะกบฐานะของบคุ คล 22

2.วฒั นธรรมทแ่ี ทรกหรอื สมั พนั ธอ์ ยกู่ ับการใช้ภาษา การใช้ภาษาในชวี ิตประจําวันไดว้ เหน็ ามีเรือ่ งของวัฒนธรรมแทรกอยดู่ ้วยเสมอเชน่ เม่ือมีการกล่าว ถงึ ส่งิ ต่อไปนี้ คตธิ รรม สํานวน ภาษิต สภุ าษติ ทง้ ในร้อยแกวั ้ รอ้ ยกรอง ในภาษาพดู และภาษาเขยี นความเชอื่ ตา่ ง ๆ ของชาวบ้านทีแ่ ทรกอยใู นนทิ านเรอ่ื งเล่าขนบธรรมเนียมประเพณีท่ปี ฏิบัตอิ ยูในทอ้ งถน่ิ ต่าง ๆ โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ที่เป็ นหลกั ฐานทางวฒั นธรรมศิลปหัตถกรรม แต่ละยุคแตล่ ะสมยั เพลง พ้ืนเมอื ง นิทาน การละเลน่ คาํ ทายต่าง ๆ ที่รวมเรียกว่าคตชิ าวบา้ น หรือคตชิ นวทิ ยา จุดมง่ หมายในการใชภ้ าษาตามแนววฒั นธรรม 1.เพอื่ สือ่ สาร 2.เพื่อสังสอน่ 3.เพื่อสรา้ งสรรค์ การสือ่ สาร การสือ่ สาร(Communication) หมายถงึ กระบวนการส่งขา่ วสารขอ้ มลู จากผูส้ ่งข่าวสารไปยงั ผู้รบั ข่าวสาร มีวตั ถุประสงค์เพ่ือชกั จงู ใหผ้ รู้ บั ขา่ วสารมีปฏิกริ ิยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังใหเ้ ปน็ ไป ตาม ทผี่ ู้ส่งตอ้ งการ องคป์ ระกอบของการส่อื สารประกอบดว้ ย 1.ผ้สู ง่ ขา่ วสาร (Sender) 2.ขอ้ มูลขา่ วสาร (Message) 3.ส่อื ในชอ่ งทางการสื่อสาร (Media) 4.ผู้รบั ข่าวสาร (Receivers) 5.ความเขา้ ใจและการตอบสนอง 23

วตั ถุประสงค์ของการสอื่ สาร ได้จาํ แนกไว้ดงั น้ี 1.เพ่อื แจ้งให้ทราบหรือเพือ่ ทราบ หมายถึง การส่ือสารทีผ่ ้สู ง่ สารจะแจง้ หรอื บอกกลา่ ว ขา่ วสาร ข้อมูล เหตกุ ารณ์ ความคิด ความต้องการของตนให้ผรู้ ับได้ทราบ 2.เพื่อสอนหรือใหก้ ารศึกษา หมายถึง การสือ่ สารที่มงุ่ จะให้ผูร้ ับมีการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมทาง ดา้ นองค์ความรู้ ความคิด สติปัญญา ฉะนน้ั จึงมุง่ เน้นไปทีก่ ารเรียนการสอนหรือการศึกษาค้นคว้า ทางวิชาการ โดยเฉพาะ 3.เพื่อสรา้ งความพอใจหรอื ให้ความบันเทิง หมายถึง การสทื ี่ม่งุ ใหเ้ กอสาิดผลทางจติ ใจหรืออารมณ์ ความรูส้ ึกแกผ่ รู้ ับสาร ซึ่งจะเกดิ ขึน้ ก็ต่อเม่อื ผูส้ ่งสารมีข้อมลู ทีส่ อดคลอ้ งกบความต้องการของผู้รบั สารั และ มกี ลวธิ ีในการนาํ เสนอเป็ นท่ี พอใจ 4.เพ่ือเสนอหรอื ชกั จงู ใจ มงุ่ เน้นใหผ้ ูร้ ับสารมีพฤติกรรมคล้อยตาม หรอื ยอมรบั ปฏบิ ตั ติ ามจากที่ กลา่ วมาจะเห็นได้วา่ ตถุประสงค์ของการสอื่ สารในแต่ัละระดับมจี ุดมงุ่ หมายทแ่ี ตกต่างกนไปั ซ่งึ จะสาํ เร็จ ไดต้ ้องข้ึนอยกู ่บทั้งฝ่ายผ้สู ่งสารและฝ่ายผูร้ บั สาร มีความตอ้ งการท่สี มั พันธ์กนั โดยรวม แลว้ พอ สรุปวัตถุประสงคก์ าร สื่อสารได้ดงั นี้ 1.เพื่อแจง้ ใหท้ ราบ คือ การรับและสง่ ข่าวสารด้านตา่ งๆ การนําเสนอเร่ืองราว ความร้สู ึกนกึ คิด ความรู้หรือส่งิ อืน่ ใด ทต่ี อ้ งการใหผ้ รู้ ับสารรู้และเข้าใจขอ้ มลู นน้ั ๆ โดยมงุ่ ใหค้ วามรู้และสร้างความ เขา้ ใจที่ถูกต้อง 2.เพอื่ ความบนั เทงิ ใจ คือ การรับสง่ ความรู้สึกที่ดีและมงุ่ รกั ษามติ รภาพต่อกนั เปน็ การนาํ เสนอ เร่ือง ราวหรอื สง่ิ อนื่ ใดทีจ่ ะทาํ ให้ผู้รบั สารเกดิ ความพึงพอใจ 3.เพื่อชกั จงู ใจ คอื การนําเสนอเรอื่ งราวหรือสงิ่ อืน่ ใดเพ่อื จงู ใจให้เกดิ ความรว่ มมอื สร้างกาลังใจํ เพ่ือ ให้ผรู้ ับสารเกดิ ความคิดคลอ้ ยตาม หรือปฏิบตั ิตามทผ่ี ู้สง่ สารตอ้ งการ และนําไปส่กู ารปรบั ปรงุ แก้ไข 24

ประเภทของการสือ่ สาร ได้จําแนกประเภทของการส่ือสารไวแ้ ตกตา่ งกนหลายลักษณะ ทงั้ น้ขี น้ึ อยูกบ่ วัาจะใชอ้ ะไรเปน็ เกณฑ์่ ในการจาํ แนก ในท่ีนี้จะแสดงการจําแนกประเภทของการส่ือสาร โดยอาศัยเกณฑ์ในการ จาํ แนกทส่ี ําคัญ 3 ประการ คอื 1.จาํ แนกตามกระบวนการหรอื การไหลของขา่ วสาร 2.จําแนกตามภาษาสญั ลักษณท์ ่แี สดงออก 3.จําแนกตามจํานวนผสู้ ื่อสาร จําแนกตามกระบวนการหรือการไหลของขา่ วสารบ่งเป็น 2 ประเภทคอื 1.1 การสอื่ สารทางเดียว(One-Way Communication) คือการสื่อสารท่ขี า่ วสารจะถูกสง่ จากผู้ ส่ง ไปยังผรู้ บั ในทศิ ทางเดยี ว โดยไมม่ กี ารตอบโต้กลับจากฝา่ ยผ้รู บั เช่น การส่อื สารผานส่อื ่ วิทยุ โทรทัศนห์ นงั สอื พมิ พก์ ารออกคาํ สงั หรือมอบหมายงานโดย ฝ่ายผูร้ ับไม่มโี อกาสแสดงความคิดเห็น ซงึ่ ผ้รู ับอาจไม่เขา้ ใจขา่ วสาร หรอื เขา้ ใจไมถ่ กู ตอ้ งตามเจตนาของ ผ้สู ง่ และทางฝา่ ยผสู้ ง่ เม่ือไม่ทราบ ปฏกิ ริ ิยาของผู้รับจึงไม่ อาจปรับการส่ือสารใหเ้ หมาะสมไดก้ ารสอื่ สารแบบน้ีสามารถทาํ ไดร้ วดเร็ว จงึ เหมาะสาํ หรับการสื่อสารใน เร่ืองท่ีเขา้ ใจง่าย ในสถานการณข์ องการสอื่ สารบางอยาง่ มีความ จําเปน็ ตอ้ งใชก้ าร ส่ือสารทางเดียว แมว้ าเรอ่ื ง่ ราวท่ีสื่อสารจะมีความซับซอ้ นกต็ าม เชน่ กรณีผู้รับ และผู้สง่ ไมอ่ าจพบปะ หรือตดิ ตอ่ สอ่ื สารกนั ได้โดยตรง การส่ือสารแบบกลมุ่ ใหญแ่ ละการสือ่ สาร มวลชนซงึ่ ไม่อาจทราบผรู้ บั ทีแ่ น่นอน 1.2 การสือ่ สารสองทาง(Two-way Communication) คอื การสอ่ื สารทม่ี ีการส่งขา่ วสารตอบกลับ ไป มาระหวางผู้สอ่ื สาร่ ดังน้นั ผู้สือ่ สารแตล่ ะฝา่ ยจงึ เปน็ ทง้ั ผสู้ ่งและผรู้ ับในขณะเดยี วกนั ผู้ส่ือสาร มโี อกาสทราบ ปฏิกริ ยิ าตอบสนอง ระหวางกน่ ั ทาํ ให้ทราบผลของการสอ่ื สารวาบรรลจุ ุดประสงค์ หรอื ไม่และชว่ ยให้ สามารถปรับพฤติกรรมในการสื่อสารใหเ้ หมาะสมกบสถานการณัต์ วั อยางการ สื่อสารแบบสองทาง่ เช่น การพบปะพูดคยุ กนั การพดู โทรศัพท์การออกคาํ สัง่ หรือมอบหมายงาน โดยฝ่ายรับมีโอกาสแสดงความ คดิ เหน็ การส่อื สารแบบนจ้ี ึงมโี อกาสประสบผลสาํ เร็จไดม้ ากก วา่ แตถ่ า้ เรื่องราวทจ่ี ะส่ือสารเปน็ เร่ืองงา่ ย อาจทําให้เสยี เวลาโดยไม่จําเป็น ในสถานการณ์ของ การส่อื สารบางอยาง่ เช่น ในการสอ่ื สารมวลชน ซ่ึ งโดย ปกติมีลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียว นกั ส่อื สารมวลชนกม็ คี วามพยายามทีจ่ ะทําให้มกี าร ส่ือสาร 2 ทางเกดิ ข้ึนโดยการใหป้ ระชาชน ส่งจดหมาย โทรศพั ทต์ อบแบบสอบถาม กลับไปยังองคก์ รส่ือมวลชน เพือ่ นาํ ผลไปปรับปรงุ การ สือ่ สารใหบ้ รรลุผลสมบรู ณ์ยงิ่ ขึ้น 25

บริบททางการส่อื สาร ความสำ�คัญของการสือ่ สาร การสอ่ื สารมคี วามสำ�คัญดังนี้ 1. การส่อื สารเป็นปัจจยั ส�ำ คญั ในการด�ำ รงชีวติ ของมนุษยท์ ุกเพศ ทกุ วยั ไมม่ ีใครท่จี ะดำ�รงชีวติ ได้ โดย ปราศจากการสอ่ื สาร ทกุ สาขาอาชพี ก็ตอ้ งใชก้ ารสอ่ื สารในการปฏบิ ตั งิ าน การทำ�ธุรกิจตา่ ง ๆ โดยเฉพาะ สังคมมนษุ ยท์ ่ีมกี ารเปลีย่ นแปลงและพฒั นาตลอดเวลา พฒั นาการทางสังคม จงึ ด�ำ เนนิ ไปพรอ้ ม ๆ กบั พฒั นาการทางการสอ่ื สาร 2. การสือ่ สารก่อใหเ้ กดิ การประสานสัมพันธ์กนั ระหว่างบคุ คลและสังคม ชว่ ยเสรมิ สร้างความเข้าใจอันดี ระหว่างคนในสงั คม ชว่ ยสบื ทอดวัฒนธรรมประเพณี สะท้อนให้เหน็ ภาพความเจรญิ รงุ่ เรือง วิถีชวี ติ ของผคู้ น ชว่ ยธำ�รงสังคมให้อยู่รว่ มกนั เปน็ ปกตสิ ุขและอย่รู ่วมกันอยา่ งสันติ 3.การส่ือสารเป็นปจั จัยสำ�คัญในการพัฒนาความเจริญกา้ วหนา้ ทงั้ ตัวบคุ คลและสังคม การพัฒนาทางสงั คมใน ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ รวมทัง้ ศาสตรใ์ นการสอ่ื สาร จำ�เปน็ ตอ้ งพฒั นาอยา่ ง ไมห่ ยุดย้งั การสอ่ื สารเป็นเครื่องมือในการพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของมนุษยแ์ ละพฒั นาความเจริญกา้ วหน้าในดา้ น ต่างๆ 26

องคป์ ระกอบของการส่ือสาร องคป์ ระกอบท่ีสำ�คญั ของการส่อื สาร มี 4 ประการ ดังน้ี 1. ผสู้ ง่ สาร (sender) หรือ แหล่งสาร (source) หมายถึง บุคคล กลมุ่ บคุ คล หรือ หนว่ ยงาน ที่ทำ�หน้าท่ใี นการสง่ สาร หรือเปน็ แหล่งก�ำ เนิดสาร ที่เป็นผูเ้ ร่มิ ตน้ สง่ สารด้วยการแปลสารน้นั ให้ อยูใ่ นรูปของสญั ลักษณ์ทม่ี นุษยส์ ร้างข้นึ แทนความคิด ได้แก่ ภาษาและอากัปกิริยาต่าง ๆ เพือ่ ส่ือสารความคดิ ความรสู้ ึก ขา่ วสาร ความต้องการและวัตถปุ ระสงคข์ องตนไปยงั ผ้รู บั สารด้วย วธิ ีการใด ๆ หรอื ส่งผา่ นช่องทางใดกต็ าม จะโดยต้งั ใจหรือไม่ต้ังใจกต็ าม เช่น ผ้พู ูด ผเู้ ขยี น กวี ศิลปิน นกั จดั รายการวทิ ยุ โฆษกรัฐบาล องค์การ สถาบัน สถานวี ทิ ยกุ ระจายเสยี ง สถานี วิทยุโทรทัศน์ กองบรรณาธกิ ารหนงั สือพิมพ์ หนว่ ยงานของรัฐ บริษัท สถาบันสื่อมวลชน เป็นต้น หลกั ในการส่ือสาร การส่อื สารจะประสบความส�ำ เรจ็ ตรงตามจดุ ประสงค์หรอื ไม่ผู้ส่งสารควรค�ำ นึงถงึ หลกั การสือ่ สาร ดังนี้ 1. ผู้ที่จะสื่อสารใหไ้ ดผ้ ลและเกดิ ประโยชน์ จะต้องทำ�ความเขา้ ใจเรอ่ื งองค์ประกอบในการ ส่ือสาร และปัจจยั ทางจิตวทิ ยาท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั ระบบการรับรู้ การคดิ การเรียนรู้ การจ�ำ ซึ่งมีผล ต่อประสิทธภิ าพ ในการสอ่ื สาร 2. ผทู้ ี่จะสอ่ื สารต้องค�ำ นงึ ถงึ บรบิ ทในการส่ือสาร บริบทในการสอื่ สาร หมายถงึ สง่ิ ที่อยู่แวดล้อม ทีม่ สี ว่ นในการกำ�หนดร้คู วามหมายหรือความเขา้ ใจในการสอ่ื สาร 3. ค�ำ นงึ ถงึ กรอบแห่งการอ้างอิง (frame of reference) มนษุ ยท์ กุ คนจะมพี ืน้ ความรทู้ ักษะ เจตคติ ค่านิยม สงั คม ประสบการณ์ ฯลฯ เรยี กวา่ ภมู ิหลังแตกตา่ งกนั ถ้าคสู่ อื่ สารใดมีกรอบแหง่ การอา้ งองิ คลา้ ยกนั ใกล้เคยี งกนั จะท�ำ ใหก้ ารส่ือสารง่ายข้ึน 27

4. การส่อื สารจะมปี ระสิทธผิ ล เมือ่ ผู้สง่ สารส่งสารอย่างมีวัตถปุ ระสงคช์ ัดเจน ผา่ นสอื่ หรือช่อง ทาง ท่ีเหมาะสม ถงึ ผูร้ ับสารทม่ี ีทกั ษะในการส่ือสารและมีวัตถุประสงค์สอดคลอ้ งกนั 5. ผูส้ ่งสารและผรู้ ับสาร ควรเตรยี มตวั และเตรียมการลว่ งหนา้ เพราะจะท�ำ ใหก้ ารส่อื สารราบ รน่ื สะดวก รวดเรว็ เปน็ ไปตามวตั ถุประสงคแ์ ละสามารถแก้ไขไดท้ นั ทว่ งที หากจะเกดิ อปุ สรรค์ ที่จุดใดจดุ หนง่ึ 6. คำ�นงึ ถงึ การใช้ทักษะ เพราะภาษาเปน็ สญั ลกั ษณ์ที่มนษุ ย์ตกลงใช้รว่ มกนั ในการ สือ่ ความหมาย ซึง่ ถอื ได้วา่ เป็นหวั ใจในการสอ่ื สาร คู่สื่อสารตอ้ งศึกษาเร่ืองการใช้ภาษา และ สามารถใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกับกาลเทศะ บคุ คล เนอื้ หาของสาร และช่องทางหรือสอื่ ทใี่ ช้ใน การสื่อสาร 7. คำ�นงึ ถงึ ปฏกิ ิรยิ าตอบกลับตลอดเวลา ถือเป็นการประเมนิ ผลการส่อื สาร ทจี่ ะท�ำ ใหค้ ู่สือ่ สาร รับรผู้ ลของการสือ่ สารวา่ ประสบผลดตี รงตามวัตถหุ รอื ไม่ ควรปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงหรือแกไ้ ข ขอ้ บกพร่องใด เพ่อื ทจ่ี ะทำ�ให้การส่อื สารเกดิ ผลตามที่ต้องกา 28

29

การส่อื สาร การสอ่ื สาร(Communication) หมายถงึ กระบวนการส่งข่าวสารขอ้ มูลจากผูส้ ่งข่าวสารไปยังผรู้ บั ขา่ วสาร มวี ตั ถุประสงค์เพือ่ ชักจงู ให้ผูร้ บั ขา่ วสารมปี ฏกิ ริ ิยาตอบสนองกลบั มา โดยคาดหวงั ใหเ้ ป็นไป ตาม ทีผ่ ู้ส่งตอ้ งการ องค์ประกอบของการสอื่ สารประกอบด้วย 1.ผ้สู ง่ ขา่ วสาร (Sender) 2.ข้อมูลข่าวสาร (Message) 3.สื่อในช่องทางการสอ่ื สาร (Media) 4.ผรู้ บั ข่าวสาร (Receivers) 5.ความเขา้ ใจและการตอบสนอง วัตถุประสงค์ของการสอื่ สาร ไดจ้ าํ แนกไว้ดงั นี้ 1.เพอ่ื แจง้ ให้ทราบหรือเพอ่ื ทราบ หมายถึง การสื่อสารท่ีผสู้ ่งสารจะแจง้ หรือบอกกลา่ ว ข่าวสาร ข้อมลู เหตกุ ารณ์ ความคิด ความตอ้ งการของตนใหผ้ ู้รบั ได้ทราบ 2.เพอ่ื สอนหรอื ใหก้ ารศึกษา หมายถงึ การสอ่ื สารทม่ี งุ่ จะให้ผ้รู ับมีการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมทาง ดา้ นองคค์ วามรู้ ความคิด สติปญั ญา ฉะนั้นจงึ มุ่งเนน้ ไปทก่ี ารเรยี นการสอนหรือการศึกษาค้นคว้าทาง วชิ าการ โดยเฉพาะ 3.เพือ่ สร้างความพอใจหรือใหค้ วามบนั เทิง หมายถึง การสทื ม่ี ุง่ ให้เกอสาดิ ผลทางจติ ใจหรืออารมณ์ ความรสู้ กึ แกผ่ รู้ ับสารซงึ่ จะเกิดข้นึ ก็ตอ่ เม่อื ผู้ส่งสารมขี ้อมลู ท่ีสอดคลอ้ งกบความต้องการของผรู้ บั สาร และ มีกลวิธีในการนาํ เสนอเป็นทีพ่ อใจ 4.เพื่อเสนอหรอื ชักจงู ใจ มุ่งเนน้ ให้ผูร้ บั สารมีพฤติกรรมคลอ้ ยตาม หรือยอมรับปฏิบตั ติ าม 30

จากทกี่ ล่าวมาจะเหน็ ได้ว่าตถุประสงคข์ องการสอื่ สารในแตั่ละระดับมีจดุ มุ่งหมายท่แี ตกต่างกนไปั ซ่งึ จะสําเร็จ ได้ต้องขึ้นอยกู ่บท้งั ฝา่ ยผ้สู ง่ สารและฝ่ายผูร้ บั สาร มคี วามต้องการทีส่ ัมพันธ์กนั โดยรวม แลว้ พอ สรุปวัตถปุ ระสงคก์ าร ส่อื สารไดด้ งั น้ี 1.เพอื่ แจ้งใหท้ ราบ คอื การรับและส่งข่าวสารด้านตา่ งๆ การนาํ เสนอเรื่องราว ความรู้สึกนึกคดิ ความรหู้ รือส่ิงอืน่ ใด ทต่ี ้องการให้ผรู้ บั สารรแู้ ละเขา้ ใจข้อมลู นนั้ ๆ โดยม่งุ ให้ความร้แู ละสรา้ งความ เขา้ ใจทถี่ ูกต้อง 2.เพื่อความบันเทิงใจ คือ การรับส่งความรู้สึกท่ดี ีและมุ่งรกั ษามติ รภาพตอ่ กนั เปน็ การนาํ เสนอ เร่อื งราวหรอื สง่ิ อน่ื ใดท่ีจะทาํ ให้ผู้รบั สารเกดิ ความพงึ พอใจ 3.เพื่อชักจูงใจ คอื การนําเสนอเรอื่ งราวหรอื สิ่งอืน่ ใดเพ่อื จงู ใจให้เกดิ ความร่วมมอื สร้างกาลงั ใจํ เพ่ือใหผ้ รู้ ับสาร เกิดความคดิ คล้อยตาม หรอื ปฏบิ ตั ติ ามทีผ่ ู้สง่ สารตอ้ งการ และนาํ ไปส่กู ารปรบั ปรุง แก้ไข ไดจ้ าํ แนกประเภทของการสอื่ สารไว้แตกตา่ งกนหลายลักษณะ ทงั้ นีข้ ้นึ อยกู บ่ วัาจะใช้อะไรเป็น เกณฑ์่ ในการจําแนก ในท่นี ้ีจะแสดงการจาํ แนกประเภทของการสอื่ สาร โดยอาศัยเกณฑ์ในการ จาํ แนกท่สี าํ คัญ 3 ประการ คือ 1.จําแนกตามกระบวนการหรอื การไหลของข่าวสาร 2.จาํ แนกตามภาษาสญั ลักษณ์ท่ีแสดงออก 3.จาํ แนกตามจํานวนผู้สอ่ื สาร 31

1.จําแนกตามกระบวนการหรอื การไหลของขา่ วสารบง่ เป็น 2 ประเภทคอื 1.1 การสือ่ สารทางเดยี ว(One-Way Communication) คอื การสือ่ สารทขี่ า่ วสารจะถูกส่งจากผู้ ส่ง ไปยงั ผู้รบั ในทิศ ทางเดียว โดยไมม่ ีการตอบโต้กลับจากฝ่ายผ้รู บั เช่น การสอ่ื สารผานสอื่ ่ วทิ ยุ โทรทศั นห์ นงั สอื พมิ พ์ การออกคําสังหรือ่ มอบหมายงานโดย ฝา่ ยผ้รู บั ไมม่ โี อกาสแสดงความคดิ เหน็ ซ่ึงผู้รบั อาจไมเ่ ข้าใจ ขา่ วสาร หรือเขา้ ใจไม่ถูกตอ้ งตามเจตนาของ ผ้สู ่งและทางฝา่ ยผ้สู ง่ เมอ่ื ไม่ทราบปฏกิ ิรยิ าของผรู้ บั จงึ ไม่ อาจปรบั การส่ือสารใหเ้ หมาะสมได้การสื่อสารแบบนส้ี ามารถทาํ ได้รวดเรว็ จงึ เหมาะสาํ หรับการ สือ่ สารใน เรือ่ งท่ีเขา้ ใจง่าย ในสถานการณข์ องการสอ่ื สารบางอยาง่ มคี วามจาํ เป็นตอ้ งใชก้ าร สอื่ สาร ทางเดียว แม้วาเร่ือง่ ราวทีส่ ื่อสารจะมคี วามซับซอ้ นก็ตาม เช่น กรณผี ู้รับและผสู้ ่งไมอ่ าจพบปะ หรือ ตดิ ตอ่ ส่อื สารกนั ได้โดยตรง การส่อื สารแบบกล่มุ ใหญ่และการส่ือสารมวลชนซ่ึงไมอ่ าจทราบผรู้ ับท่ี แนน่ อน 1.2 การสอ่ื สารสองทาง(Two-way Communication) คือการส่ือสารท่มี กี ารสง่ ข่าวสารตอบกลับ ไป มาระหวางผสู้ ่ือสาร่ ดงั นนั้ ผสู้ อ่ื สารแต่ละฝ่ายจงึ เป็นทงั้ ผสู้ ง่ และผ้รู ับในขณะเดียวกนั ผสู้ อื่ สารมี โอกาสทราบ ปฏกิ ิรยิ าตอบสนอง ระหวางกน่ ั ทาํ ให้ทราบผลของการส่อื สารวาบรรลุจดุ ประสงค์หรอื ไม่และชว่ ยให้ สามารถปรบั พฤติกรรมในการสือ่ สารใหเ้ หมาะสมกบสถานการณัต์ ัวอยางการสื่อสาร แบบสองทาง่ เชน่ การพบปะพดู คยุ กนั การพดู โทรศัพท์การออกคาํ สงั ่ หรือมอบหมายงานโดยฝา่ ย รบั มีโอกาสแสดงความ คิดเห็น การสื่อสารแบบนีจ้ ึงมโี อกาสประสบผลสําเร็จได้มากกวา่ แตถ่ ้าเรื่อง ราวท่ีจะส่อื สารเปน็ เรือ่ งง่าย อาจทําใหเ้ สียเวลาโดยไมจ่ ําเปน็ ในสถานการณ์ของการสื่อสารบางอ ยาง่ เช่น ในการสอื่ สารมวลชน ซ่ึ งโดย ปกตมิ ลี ักษณะเปน็ การสอ่ื สารทางเดยี วนักส่อื สารมวลชนกม็ ี ความพยายามท่จี ะทําใหม้ ีการ ส่ือสาร 2 ทางเกดิ ขึ้นโดยการให้ประชาชนส่งจดหมาย โทรศัพท์ตอบ แบบสอบถาม กลบั ไปยังองคก์ รสอื่ มวลชน เพื่อนาํ ผลไปปรับปรุงการสือ่ สารใหบ้ รรลผุ ลสมบูรณ์ยิง่ 32

2.จําแนกตามภาษาสญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงออกบง่ เป็น 2.1 การส่อื สารเชงิ วจั นะ(Verbal Communication) หมายถงึ การส่ือสารดว้ ยการใช้ภาษาพดู หรือ เขียนเป็ นค ในการสอื่ สาร 2.2 การสือ่ สารเชงิ อวจั นะ(Non-Verbal Communication) หมายถงึ การส่อื สารโดยใช้รหสั สญั ญาณ อยางอน่ื ่ เชน่ ภาษาท่าทาง การแสดงออกทางใบหน้า สายตา ตลอดจนถงึ นา้ํ เสยี ง ระดบั เสียง ความเรว็ ใน การพดู เป็นต้น 3.จําแนกตามจํานวนผส้ อื่ สารู กจิ กรรมตา่ งๆ ของบุคคลและสงั คม ถอื วาเปน็ ผลมาจากการสอื่ สารทงั้่ ส้ิน ดงั นั้นการสอ่ื สารจงึ มี ขอบขา่ ยครอบ คลมุ ลักษณะการสือ่ สารของมนษุ ย์ 3 ลกั ษณะคือ 3.1 การสอ่ื สารสว่ นบุคคล (Intrapersonal Communication) 3.2 การสอ่ื สารระหวางบคุ คล่ (Interpersonal Communication) 3.3 การส่ือสารมวลชน(Mass Communication) 33

หนา้ ทขี่ องกระบวนการส่ือสาร 1.การสื่อสารในฐานะเครอื่ งมือให้ได้สง่ิ ท่ีตอ้ งการ 2.การสื่อสารเพ่อื สร้างความสมั พันธ์ 3.การสอ่ื สารส่วนบุคคล 4.การสื่อสารเพ่อื เสาะแสวงหาคาํ ตอบ 5.การสื่อสารเพื่อสร้างจนิ ตนาการ รปู แบบของการสื่อสาร 1.การจําแนกตามคุณลกั ษณะของการสอื่ สาร 1.1 การสอ่ื สารดว้ ยภาษาพูด ได้แก่การพดู อธบิ าย บรรยาย การร้องเพลง เปน็ ต้น 1.2 การส่ือสารด้วยภาษาท่าทางหรอื สัญญาณ เช่น กรยิ าท่าทาง การยิม้ ภาษามอื เป็นตน้ 1.3 การสอ่ื สารดว้ ยภาษาภาพ เช่นโปสเตอร์จดหมาย ลูกศร ตรา รปู ภาพ เครือ่ งหมาย 2.จําแนกตามปฏสิ ัมพนั ธข์ องผร้ บั และผูส้ ง่ ู 2.1 การสอ่ื สารทางตรง ผสู้ ่งและผรู้ บั ส่ือสารซึง่ กนและกนั โดยตรงั เน้ือหาสาระสอดคล้องกนอยัาง ตรงไปตรงมา เชน่ การแลกเปลยี่ นซื้อขายสนิ คา้ ในตลาดสด 2.2 การสอ่ื สารทางออ้ ม เป็นการส่อื สารโดยอาศัยส่อื ในการถา่ ยทอดเนือ้ หาสาระ เช่น การโฆษณา ทางโปสเตอร์ 3.จําแนกตามพฤติกรรมในการโตต้ อบ 3.1 การสื่อสารทางเดยี ว ผู้ส่งกระทําฝา่ ยเดยี ว ผรู้ บั ไม่สามารถตอบสนองทันทีได้เช่น การจดั รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ 3.2 การสอ่ื สารสองทาง ผู้สง่ และผู้รับมีการตอบโต้กนโดยอาจอยใูั นสถานท่เี ดียวกนั หรือถ้าหา่ งกน จะใช้เคร่อื งมอื สื่อสารชั่วยไดเ้ ช่นโทรศัพท์วทิ ยมุ ือถือ 34

4.จาํ แนกตามจํานวนของผร้ ่วมสื่อสารู 4.1 การส่อื สารในตนเอง เปน็ ท้งั ผูส้ ่งและผรู้ ับเช่นการสํารวจความรสู้ ึกนึกคิดของตัวเอง 4.2 การสอื่ สารระหวางบคุ คล่ เปน็ การสือ่ สารระหวางสองคน่ เชน่ การสนทนาการสัมภาษณ์ 4.3 การสอ่ื สารแบบกลมุ่ บคุ คล เป็นการสอ่ื สารท่มี จี าํ นวนผสู้ ง่ ผ้สู ง่ และผ้รู ับมากกวาการส่ือสารระหวา่ ง่ บุคคล เช่น การเรียนการสอนในห้องเรยี น กลมุ่ ตํารวจชว่ ยกนสอบสวนผตู้ อ้ งหาั 4.4 การส่ือสารมวลชน การส่ือสารเป็นกลมุ่ จาํ นวนมากมหาศาล ต้องใชส้ ื่อที่มศี ักยภาพในการแพร่ กระจายข่าวสารได้อยางกว้างไกล่ เช่น วิทยุกระจายเสยี ง วทิ ยุโทรทศั น์ อินเตอรเ์ น็ต โปสเตอร์ แชนนนั และวเี วอร์ไดค้ ิดรูปแบบจําลองของการสือ่ สารข้นึ ในลกั ษณะของกระบวนการ สอื่ สารทาง เดยี ว เชงิ เสน้ ตรง กระบวนการน้ีเร่ิมดว้ ยผู้สง่ สารซ่ึงเป็นแหล่งข้อมูล ทาํ หน้าทีส่ ่งเนอ้ื ข่าวสารเพือ่ สง่ ไปยังผูร้ ับ โดยผานทางเครอ่ื งส่งหรอื ตัวถา่ ยทอด ในลกั ษณะของสญั ญาณท่ีถกู สง่ ไปในชอ่ งทาง ต่างๆ กนั แลว้ แต่ ลกั ษณะของการส่งสญั ญาณแตล่ ะประเภท เมือ่ ทางฝ่ายผรู้ ับไดร้ บั สัญญาณใหเ้ ป็น เนอ้ื หาขา่ วสารน้ันอกี ครัง้ หนงึ่ ใหต้ รงกบท่ีผ้สู ั่งส่งมา ในขน้ั นีเ้ นอ้ื หาทรี่ ับจะไปถงึ จดุ หมายปลายทาง คอื ผู้รบั ตามตอ้ งการ แตใ่ นบาง คร้ังสญั ญาณทสี่ ง่ ไปอาจถูกรบกวนหรอื อาจมบี างสิง่ บางอยางมาขดั ขวาง่ สัญญาณนั้น ทาํ ให้สญั ญาณทสี่ ่งไป กบสญั ญาณทไ่ี ดร้ บั มีความแตกต่ัางกนั เปน็ เหตุทาํ ให้เน้ือหา ข่าวสารท่ีสง่ จากแหลง่ ขอ้ มูล ไปยงั จุดหมาย ปลายทางอาจผดิ เพ้ยี นไป นบั เปน็ ความล้มเหลวของ การสอ่ื สารเนื่องจากขอ้ มูลท่สี ่งไปกบขอ้ มูลท่ีไดร้ ับไมั่ตรงกนั อันจะทาํ ให้เกดิ การแปลความหมายผดิ หรือความเขา้ ใจผดิ ในการสื่อสารกนไดั้แบบจําลองของลาสเวลลม์ ุง่ อธิบายกระบวนการสือ่ สาร ความ สัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบการส่ือสาร จากคําถามท่ี วาใคร่ กลา่ วอะไร ผานช่องทางใด กบใครั ด้วยผล ประการใดเปน็ กระบวนการสื่อสารแบบงา่ ยๆ ระหวางบุคคลซ่งึ ตอ้ งกระทาํ ่ ต่อหนา้ และมกี ารคาดหวัง ผลจากการส่อื สารในเวลาเดียวกนั แต่ไมม่ ีการตรวจ สอบผลสะท้อนกลบั แบบจาํ ลองการส่ือสาร ของ ลาสเวลล์ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของทฤษฎกี ารส่อื สารเชิงระบบพฤติกรรม และทฤษฎกี ารสือ่ สารเชิงพฤตกิ รรม การเข้าและ ถอดรหสั เพราะเป็นการสอ่ื สารท่ีจาํ เป็นตอ้ งมอี งคป์ ระกอบพื้นฐาน การสื่อสารครบถ้วน คอื มีผู้สง่ สาร ผู้รับสาร ตัวสาร และชอ่ งทางการสือ่ สาร 35

ประกอบ การสือ่ สาร 5 เรอื่ งหรือ คือ (1)การวเิ คราะห์แหล่งสาร (Control Studies Analysis) (2)การวิเคราะห์เน้ือหาของสาร (Content Analysis) (3)การวเิ คราะหส์ อ่ื ท่ีใช้เปน็ ช่องทางในการส่งสาร (Media Analysis) (4)การวิเคราะห์ผู้รับสาร(Audience Analysis) (5)การวิเคราะห์ผลของการส่ือสาร(Effect Analysis) 36

หลักการพฒั นาเนื้อหามลั ตมิ ีเดีย และ การออกแบบสรา้ งสรรค์ ก่อนลงมอื พัฒนามลั ตมิ เี ดียตอ้ งกาหนดขํ้นั ตอนในการทาํ งานเพอื่ ให้บรรลุผลตามเปา้ หมายท่ี ตอ้ งการ ขนั้ ตอนในการทํางานม6ี ขนั้ ตอน ดงั น้ี 1.กาหนดประสงค(ํ์ Specification) กาหนดแผนการดําเนนิ เร่ืองของส่อื วาํ ให้ตอ้ งการบรรลุจุด ประสงค์อยา่ งไร่ เป้าหมายของสอ่ื ต้องเปน็ ไปตามความตอ้ งการของผใู้ ช้หรือผบู้ ริโภคสอื่ กา หนดเนํือ้ หาของโครงการตลอดจนค่าใช้จ่ายและรยะเวลาทีใ่ ช้ในการจัดทาํ โดยต้องพิจารณาถึง ขอ้ ต่อไปน้ี 1.1 เป้าหมาย(Objective) กาหนดเปา้ หมายทชี่ ัดเจนโดยจาํ แนกเปน็ ข้อๆอยางชดั เจน มวี ิธีวดั ผลสัมฤทธอิ์ ยางไหร่เปน็ สอื่ สําหรบั งานอะไร 1.2 ก�ำ หนดขอบเขต (Scope) กาหนดวําเปา้ หมายท่วี างไวค้ วรมีขอบเขตของเน่้อื หาแคไ่ หน และ แตล่ ะเรือ่ งใช้เวลาในการเรยี นรเู้ ท่าไร 1.3 กำ�หนด Hardware และ Software ท่ีใช้นําเสนอ ซึง่ เป็นส่วนสาํ คญั ในการกาหนดเปา้ ประ สงคเํ์ ช่น เครือ่ งทใ่ี ช้ไมม่ แี ผนวงจรเสยี งและลาํ โพงเสยี ง่ ผู้ใช้ส่อื ก็ไมส่ ามารถรับฟงั เสยี งบรรยาย หรอื เพลงทม่ี ีในสือ่ ได้ ดงั นั้นตอ้ งกาหนดขอบเขตของฮารด์ แวร์และซอฟทแ์ วร์ทตี่ ้องใช้ในการนํา เสนอให้ชดั เชนํ 1.4 เขียนโครงงาน(Project Initiation) เปน็ การนําเป้าประสงคท์ ั้งหมดมาเขยี นเปน็ โครงงาน รวมท้ังกาหนดค่าํ ใช้จา่ ย ระยะเวลาดาํ เนินการ และเคร่อื งมอื ทต่ี ้องใช้ 2.ออกแบบเคา้ โครงเรอ่ื ง(Outline Design) เป็นขัน้ ตอนในการเขียนรายงานละเอียดโดยยอของ โครงงานมัลติมีเดียซึ่งประกอบดว้ ย 2.1 กลยทุ ธ์ในการพัฒนาวิธีโต้ตอบแบบสองทางและเคร่อื งมือที่ใช้ 2.2 เนอื้ หาและการใช้เสียงประกอบ 2.3 โครงรา่ งของสว่ นต่าง ๆ ในสอ่ื เช่น ระบบเสียง วดี ิทัศน์รปู แบบของข้อความและกราฟกิ เป็นต้น 2.4 การออกแบบจอภาพแตล่ ะเฟรม รวมท้ังการจดั วางขอ้ ความและกราฟิกบนแต่ละจอภาพ 37

3.ออกแบบส่วนรายละเอียดของงาน (Detailed Design) ขั้นตอนนี้นบั วาเปน็ ส่วนสาํ คญั ของ งานออกแบบมลั ตมิ เี ดยี แบง่ เป็นรายการย่อยดงั นี้ 3.1 Screen design ออกแบบการแสดงภาพบนจอในแต่ละหวั ข้อของงาน เช่น การวางภาพ และข้อความบนจอ การให้นํา้ หนกั และสมดุลของภาพ 3.2 Storyboard แต่เดมิ เปน็ ตน้ แบบของการผลติ วีดีทศั น์ทวั ไปประกอบด้วยต้นร่าง ระเบยี บ ปฏิบตั ิ และแบบจาํ ลองของงานStoryboard เปน็ รา่ งทที่ ําใหเ้ หน็ ภาพของผลติ ผลทพี่ ฒั นาขน้ึ แบง่ เปน็ 2 ส่วนคือ 1)สว่ นรายละเอียด (Detail) เป็นส่วนทอ่ี ฎบิ ายโครงงานโดยเขียนเปน็ ขอ้ ความและภาพร่าง ของแต่ละจอภาพ ในภาพรา่ งจะมรี ูปภาพและขอ้ ความบอกรายละเอยี ดของเสยี งที่ใชป้ ระกอบ เน้ือหาในแต่ละเฟรม รวมทัง้ กาหนดแบบอักษรํ ปุ่มกด และรปู ทรงต่าง ๆ 2)สว่ นแผนผัง (Schematic) ใชแ้ สดงข้ันตอนในการดาํ เนนิ เรือ่ ง มรี ายละเอยี ดบอกขน้ั ตอนทกุ ๆ ขนั้ ตอนกากํบในแผนผังดว้ ย ผู้เขยี นStoryboard ต้องใช้ความคดิ ประสบกา ณ์และมีความรู้ในการใช้เครอ่ื งมอื ตา่ ง ๆ เปน็ อ ยางดี่ 3.3 Scripting เขยี นร่างอธิบายรายละเอียดของเหตกุ ารณ์ใน Storyboardแต่ละตอนเป็นแบบ ฟอรม์ มาตรฐานของการดําเนิน เรอ่ื ง มหี ัวขอ้ เหมอื นกนทกุ แบบฟอรม์ ั 3.4 รวบรวมเคร่ืองมอื และอปุ กรณท์ มี่ อี ยเู ดมิ นาํ มาใชใ้ หม่ 38

4.การพัฒนางาน(Development) เป็ นขัน้ ทน่ี ํารายละเอยี ดท้ังหมดมาสรุป เตรยี มอุปกรณ์และ สรา้ งเปน็ โปรแกรมบทเรยี นหรือคอร์สแวรโ์ ดยเลอื กใชซ้ อฟต์แวร์ที่เหมาะสมกบงานั และเพือ่ ใหม้ ลั ตีิ ดยี ท่สี มบูรณแ์ บบและมีคุณคา่ จงึ แบง่ การทาํ งานออกเป็นกล่มการผลติ ตา่ งๆ ตามลกั ษณะงานและ ความชาํ นาญดงั น้ี 4.1 กล่มผลติ กราฟิก (Graphics Production) ทาํ หน้าทอ่ี อกแบบและสร้างภาพกราฟิกทั้งหมด เรยี กวา่ ฝ่าย Computer Graphics 4.2 กล่มผลติ ขอ้ ความ (Text Production) การแสดงข้อความบนจอปกตจิ ะใช้แบบอกั ษรที่มอี ยูใน ระบบ่ แตใ่ นการผลติ สื่อมลั ตมิ ีเดยี อาจตอ้ งออกแบบและพัฒนาแบบอักษรใหม้ คี วามจูงใจตอ่ ผู้ใช้ให้ มากข้ึน 4.3 กล่มผลิตเสยี ง (Sound Production) ระบบเสียง หมายถงึ เสียงพดู เสยี งบรรยาย เสียงดนตรี เพล และเสียงอื่น ๆ 4.4 กลม่ ผลิตวีดทิ ศั น์(Video Production)วีดิทัศนเ์ ป็นสว่ นประกอบท่ถี กู กาหนดไว้ในความหมาย ของมัลตมิ เี ดียวและเปน็ เครือ่ งมือท่ใี ชส้ ่อื สารกบํ ผู้ใช้ไดด้ ที ี่สุด 4.5 กลุม่ พฒั นาซอฟท์แวร(์ Software Development) ซอฟท์แวร์จะถกู พฒั นาใหส้ อดคล้ง บรายละ เอยี ดของการออกแบบมัลติมเี ดยี ทัง้ หมด และต้องสามารถพัฒนาหรอื ปรับปรุงใหมไ่ ด้ 5.ขั้นปฏบิ ตั กิ าร (Implement) หลงั จากพัฒนาโปรแกรมมลั ตมิ เี ดยี เสรจ็ แล้วแล้วต้องทาํ การทดสอบ ผลของโปรแกรมวาดาํ เนนิ ไปตามจดุ ประสงคท์ ่ี พัฒนาข้ึนหรอื ไม่มีขอ้ บกพร่องท่ีใด เชน่ 5.1 ทดสอบเครอื่ งมอื ทีใ่ ชเ้ กบ็ โปรแกรม 5.2 ทดสอบการตดิ ตงั้ โปรแกรม 5.3 จดั ทาํ ค่มู อื ของระบบ 5.4 ทาํ แผนฝกึ อบรมทง้ั ผดู้ ูแลระบบและผ้ใู ชส้ อ่ื 5.5 การปรับปรุงและพฒั นาโปรแกรม 6.การยอมรับของผูใ้ ช(้ User Acceptance)ตอ้ งทดสอบจนแน่ใจวาโปรแกรมทีส่ ร้างขน้่ึ ทํางานได้ครบ ทกุ ส่วนโดยไม่เกดิ การผดิ พลาดขน้ึ ดงั นั้นผพู้ ัฒนาโปรแกรมต้องมีระยะเวลาในการทดลองใชเ้ ช่น ใน ระยะเวลา 3 เดือนถ้ามขี ้อบกพร่องเกดิ ขึน้ ในโปรแกรมจะบรกิ ารแกไขให้โดยไม้คดิ มูลคา่ 39

ศลิ ปะและการออกแบบ(Art & Design) ศิลปะ มีความหมายแตกต่างแยกกนออกไปหลายความหมายด้วยกนั ั ซ่ึงแลว้ แตว่ าบคุ คลนน้่ั ๆ จะ มองศลิ ปะในแงม่ ุมใด ภายใต้หลกั การหรือทฤษฎใี ด ซ่ึงมุมมองทตี่ า่ งกนน้ีเั อง ทาํ ใหเ้ ราไดค้ าํ นิยาม ของศิลปะท่แี ตกต่างกนออกไปฮาโรลด์ เอ็ช ตติ ุส(Harold H. Titus) ไดค้ น้ ควา้ ละรวบรวมทฤษฎี ศิลปะแ(Theories of Art)ไว้ซ่ึงพบวามีท่งั้ หมด 7 ทฤษฎีด้วยกนั ซ่งึ การให้ความหมายของศลิ ปะก็ แตกตา่ งกนไปตามแนวคิดหลกั ของทฤษฎีดังกล่ัาวนซี้ ึง่ ทฤษฎีศิลปะทง้ั 7 ทฤษฎมี ดี ังต่อไปนี้ 1.ศลิ ปะ คือ การเลยี นแบบ(Art as Imaitation) ทฤษฎนี ีเ้ ปน็ ทฤษฎีเกา่ แก่มมี าตง้ั แต่สมัยกรกี โบราณ โดยมีพ้นื ฐานความคิดมาจากเพลโต (Plato) และอรสิ โตเติล(Aristotle) ซง่ึ ถือวาการเลยี นแบบวัตถุธรรมชาติไดอ้ ย่างสมบูรณค์ รบถ้วน่ จดั วาเป็น สง่ิ สวยงามทส่ี ดุ ดังนน้ั ความคดิ แกน่ ของทฤษฎนี ี้การเลียนแบบวตั ถธุ รรมชาติอะไรบางอยาง่ การ เลยี นแบบทป่ี รากฏออกมาก็คือศิลปะ นนั เอง่ 2.ศลิ ปะ คือ ความพึงพอใจ(Art as Pleasure)ทศั นะนม้ี องวา่ ศิลปินคือบุคคลซึ่งพงึ พอใจในความ งามและใช้เวลาของเขาสร้างสิ่งสวยงาม ศิลปินจงึ พงึ พอใจในงานของตัวเอง และยังหวังให้บุคคลอื่น พึงพอใจในผลงานของตนดว้ ย ดงั นนั้ ความหมายของศิลปะกค็ ือ การใหค้ วามพงึ พอใจทางสนุ ทรยี ะ 40

3.ศลิ ปะคอื การเลน่ (Art as Play) ความคดิ ทว่ี า่ ศิลปะคือรปู แบบของการเล่นนีเ้ ร่มิ จากแนวคิด ของ คานต์(Kant) จากนั้นชลิ เลอร์(Schiller)นํามาปฏบิ ัติ และสเปนเซอร์(Spencer) นําไปพัฒนา ต่อไปจนกลายเปน็ ทฤษฎีที่เรยี กกนวัา่ “Spieltrieb”หรือเรียกวา่ ทฤษฎแี รงกระตุ้นใหเ้ ลน่ ทง้ั น้ี การเล่นน้นั ถอื วาเป็นการแสดงออกทเ่ี ก่ิดจากชีวิตจิตใจจริงตา่ งไปจากกิจกรรมที่เปน็ งาน (Work) ของมนุษยแ์ ต่ให้ความพึงพอใจสูงสเปนเซอร์ถอื วา่ ศิลปะคอื การแสดงออกของพลงั งานส่วนเกนิ เชน่ เดียวกบการเลนั่ ศลิ ปะก็คือการแสดงออกซงึ่ เกิดขน้ึ เองของพลังทีส่ าํ คัญแกช่ ีวิต ซึ่งมจี ุดมงุ่ หมายทไ่ี มค่ าํ นงึ ถงึ ประโยชน์ 4.ศลิ ปะ คือ อนั ตรเพทนาการ(Art as Empathy) อันตรเพทนาการ หมายถึง ทา่ ทีของประสาททรี่ ู้สึกคล้อยตามซงึ่ เกดิ กบผูก้ าั ลังชมศิลปวัตถทุ ัง้ นี้ อนั ตรเพทนาการเปน็ การสรา้ งจนิ ตนาการของผชู้ มใหเ้ ป็นอนั หน่งึ อันเดยี วกนกบั ศิลปวัตถุั โดย การถ่ายทอดความร้สู ึกและการตอบสนองของผ้ชู มลงไปในศิลปวตั ถุ 5.ศลิ ปะ คือ การสอื่ สาร(Art as Communication) นกั ปราชญจ์ าํ นวนมากคิดวา่ การส่ือสารเป็นส่งิ ทีข่ าดไม่ได้แท้จริงแล้วเป็นหัวใจของศลิ ปะ ซ่ึง เลโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) กลา่ วไวว้ ่า “...ศิลปะ คอื การส่อื สารของอารมณท์ เ่ี กิดขึ้นแกบ่ ุคคลหน่ึงใหแ้ กบ่ ุคคลอนื่ ๆ ทีม่ ีอารมณอ์ ยาง เดียวกัน โดยการใช้เสน้ สเี สยี ง การเคลอ่ื นไหว หรอื คาํ พดู อารมณย์ งิ รนุ แรงเพยี งใด่ ศลิ ปะก็ยิงดีเพยี ง นั้่น...” 6.ศิลปะ คือ การแสดงออก(Art as Expression) ทฤษฎนี ถ้ี ือวา่ วตั ถุประสงคข์ องศลิ ปะอยูทีก่ ารแสดงอารมณ์ภายในของมนษุ ย์ออกมาใหป้ รากฏ่ แม้ว่าศิลปะเปน็ การแสดงออกซงึ่ อารมณ์ก็ตาม แต่การแสดงอารมณท์ ุกอยางกม็่ ไิ ด้เป็นศลิ ปะไป เสยี ท้ังหมด 7.ศิลปะ คือ คุณลักษณะของประสบการณ(์ Art as a Quality of Experience) จอห์น ดวิ อ้ี(John Dewey) กลา่ ววา่ ศลิ ปะคอื คณุ ลักษณะซ่ึงแหรกอยู่กบั ประสบการ ซ่งึ พบไดใ้ นประสบการณ์ทวั ไปของเรานเี่ อง่ ลักษณะทางสนุ ทรมี อี ยใู นประสบการณท์ ั่วไปทั่ง้ หมด 41

42

43

จติ วิทยาในการออกแบบ นักจติ วทิ ยามีความเชือ่ มน่ั วา่ แรงจูงใจ ( Motivation ) เปน็ แรงผลกั ดนั ชว่ ยกระตุ้นความคดิ ของมนษุ ย์ในอันทจ่ี ะก่อเกิดพฤตกิ รรมอย่างใดอย่างหนึ่งในกระบวนการการสอื่ สารเมอ่ื ผู้รับสาร มที ัศนคติคล้อยตามก็จะแสดงออกทางพฤติกรรม การตรวจสอบว่าส่ือที่น�ำ เสนอใหผ้ ู้ชมหรือผูร้ บั สารนัน้ มีแรงจูงใจให้ผู้รบั สารมที ศั นคติคล้อยตามมากนอ้ ยเพยี งใด จงึ ดทู ีพ่ ฤติกรรมการแสดงออก เช่น การให้ความสนใจมากขนึ้ หรอื อาจจะกระทำ�ตามข้อมลู สาระนนั้ ๆในการสร้างรูปแบบของ งาน สือ่ สงิ่ พมิ พ์ใดๆ ตลอดจนสอื่ โฆษณา ประชาสมั พนั ธ์ทกุ ประเภท การดภู าพ ก่อนจะท�ำ การ ออกแบบ ผอู้ อกแบบต้องรวู้ า่ งานท่ีออกแบบนน้ั ๆมีวัตถุประสงค์อะไร ตอ้ งการจะเนน้ ส่วนใดเป็น หลัก เน้นภาพหรอื ขอ้ ความ หรือตอ้ งการให้สว่ นใดเดน่ ชัดและส่วนใดเป็นส่วนประกอบเสริม และ ต้องการให้ผดู้ ูเห็นอะไร การออกแบบทด่ี ีจะเปน็ การก�ำ หนดสายตาผ้ดู ใู ห้ดูจดุ แรกและต่อเนอ่ื งไป เรอ่ื ยๆจนถึงจดุ สุดท้ายอยา่ งต่อเนอื่ งและสัมพนั ธก์ นั ผ้ดู จู ะให้ความสนใจในจดุ ท่ผี อู้ อกแบบเน้น เป็นพิเศษ ความสำ�เรจ็ ของการถา่ ยทอดขอ้ มลู ข่าวสารกค็ ือผดู้ ภู าพสามารถรบั รู้ เข้าใจในส่ือน้ันๆ อยา่ งชดั เจน สนใจ ใชเ้ วลาน้อยทส่ี ดุ ในการสือ่ ความหมาย การออกแบบทีด่ จี ะเป็นปัจจัยในการคดิ และออกแบบของนักออกแบบของนักออกแบบทีต่ อ้ งคะนึงถึงมีดงั นี้ 1.ทศั นภาพ ( Vision) คอื การมองเหน็ ภาพของผดู้ ูซึ่งเป็นการแสดงการรบั รูข้ องการเหน็ ภาพท่ี ปรากฏแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกในทางการรบั รู้ท่จี ะบอกถงึ รายละเอยี ดของเนอ้ื หาในทางกวา้ ง ยาวและลึก ภาพที่ปรากฏแสดงแสดงถึงลกั ษณะแบบภาพเปน็ 2 มติ ิ หรอื 3 มิติ การเห็นของคน แตล่ ะกลุ่มแตล่ ะวยั มองกลุม่ ภาพแตกต่างกัน 44

แนวคดิ เบื้องต้นของการออกแบบ 1)พ้ืน 2)สว่ นโคง้ 3)รูปร่างไมแ่ บ่งแยกกัน 4)จุดเดน่ ของภาพ 5)สว่ นทีม่ คี วามเข้มมากกว่าคือสว่ นท่เี ป็นภาพ 6)พ้ืนระนาบถกู ปดิ ล้อมคอื สว่ นของภาพ 7)การวางตำ�แหน่งของรปู ต้องสามารถเหน็ ได้เป็นทง้ั สว่ นภาพและพ้นื เท่ากัน 8)ภาพและพ้นท่ีมีขนาดพนื้ ท่ใี กลเ้ คยี งกัน *** การจดั หมวดหมเู่ พ่อื การรบั รภู้ าพ 1)ความใกล้ชิดกัน 2)ความคลา้ ยคลงึ กัน 3)ความตอ่ เนอื่ งกนั 4)การประสานกนั 2.ทัศนมายาหรือภาพลวงตา การเกดิ ลกั ษณะภาพลวงตาเกิดได้หลายลักษณะ ได้แก่ 1)เกิดจากการต่อเติมหรอื เพิ่มเติมสิ่งหนึง่ สิ่งใดลงไป 2)เกดิ จากการมีขนาดสัมพันธ์กัน 3)เกิดจากการตัดกันของเสน้ ทางหรอื เกดิ จากมุมต่างๆกันของเส้นที่นำ�มาประกอบ 4)เกดิ จากลักษณะของรปู ภาพท่ีสร้างขึน้ ความชอบแลไม่ชอบภาพ 45

ความชอบหรอื ไมช่ อบย่อมมคี วามแตกตา่ งกันออกไปตามเง่อื นไขต่างๆหลายประการดว้ ยกัน ไดแ้ ก่ 1)ภมู ิหลังของแตล่ ะคน 2)การศึกษา 3)เพศ 4)วยั 5)สภาพแวดลอ้ ม จติ วทิ ยาในการใชส้ ี 1)ทฤษฎตี ามหลักวิชาฟสิ กิ ส์ สีหมายถงึ ส่วนประกอบของ สเปคตรมั แมส่ แี สงนป้ี ระกอบไปด้วยสี 3 สี ได้แก่ RED GREEN BLUE ถ้าเอาสีของแสงทั้งสาม มาผสมกันจะได้สใี หม่อกี 3 สี ดงั น้ี RED + BLUE = MAGENTA BLUE + GREEN = CYAN GREEN + RED = YELLOW และ RED + GREEN + BLUE = WHITE 46

2)ทฤษฎีตามหลกั วิชาเคมี สีคอื ส่วนผสมท่ียอ้ มขึ้นหรือเปน็ เนอ้ื แท้ของสี ซง่ึ กำ�หนดแมส่ ไี ว้เปน็ 3 สี คือ แดง เหลือง น�ำ้ เงนิ ถ้านำ�เอาสีมาผสมกันจะไดส้ ีใหม่ 3 สี ดังนี้ สแี ดง + สีเหลือง = สม้ สเี หลอื ง + สีนำ้�เงนิ = สีเขียว สนี ำ้�เงิน + สแี ดง = สมี ่วง 3)ทฤษฎีตามหลกั จิตวิทยา แมส่ ตี ามทฤษฎนี ้ีประกอบดว้ ย เหลือง เขยี ว น้�ำ เงนิ และแดง ถา้ นำ�แม่สี มาผสมกนั จะได้สใี หม่ 4 สี ดังน้ี สีเหลอื ง + สีเขยี ว = สีเขียวเหลอื ง สเี ขียว + สนี ำ้�เงิน = สีเขยี วน้ำ�เงิน สนี �ำ้ เงิน + สแี ดง = สมี ว่ ง สแี ดง + สเี หลือง = สีสม้ 4)ทฤษฎีของมันเซลล์ กำ�หนดแมส่ ีขึ้นเป็น 5 สี ดว้ ยกนั คือ แดง เหลือง เขยี ว น้ำ�เงิน และม่วง เม่อื นำ�มาผสมกนั จะ ไดส้ ใี หม่อีก 5 สี ดังน้ี สีแดง + สีเหลือง = สสี ้มหรอื สีเหลอื งแก่ สเี หลือง + สีเขียว = สีเหลอื ง เขยี ว สีเขียว + สนี ำ�้ เงนิ = สีเขยี วน้�ำ เงิน สีนำ้�เงิน + สีม่วง = สมี ว่ งน�้ำ เงิน สมี ่วง + สีแดง = สีมว่ ง แดง ***การใช้สี เม่อื สายตาได้สัมผัสวัตถุไดเ้ หน็ ความแตกตา่ งหลากหลายของสีในวตั ถยุ อ่ มเกิด ความรู้สกึ ต่างๆ ได้แก่ ตน่ื เต้น หนาวเยน็ หรอื อบอุ่น อ่อนหวาน นุ่มนวลหรอื เขม้ แขง็ และยังเป็นท่ี ยอมรับกนั ว่าเปน็ สญั ลักษณ์ทางความคิดเชงิ นามธรรมบางประการอกี ด้วย เช่น ความสงบสันติ การ เคล่อื นไหว อนั ตราย ความตาย ฯลฯ 47

หลกั พจิ ารณาเกี่ยวกบั การใชส้ ี 1)ใช้สีสดใสสำ�หรบั รับกระตนุ้ ให้เหน็ เด่นชดั 2)ควรระลกึ ไว้เสมอว่าการใช้สมี ีวัตถปุ ระสงค์ให้เห็นเด่นชดั 3)การออกแบบกราฟกิ ไมจ่ ำ�เปน็ ตอ้ งใชส้ ีเสมอไป ควรพจิ ารณาถึงความเหมาะสม 4)การใชส้ ีควรเหมาะสมกบั วัยของผู้บรโิ ภค 5)ไมค่ วรใช้สมี ากเกนิ ไปเพราะจะลดความเด่นชัดของงาน 6)เมอ่ื ใช้สีเขม้ จัดคู่กับสีออ่ นมากๆจะทำ�ใหด้ ูชัดเจน 7)การใช้สีพื้นในการออกแบบสงิ่ พิมพ์ที่มีพ้นื ท่วี ่างอาจทำ�ให้ดูไมเ่ รา้ ใจ 8)การใชส้ กี ับข้อความและตวั อกั ษรต้องชัดเจนและอา่ นงา่ ย การเลอื กใช้ภาพ 1)ลกั ษณะของภาพ ตอ้ งเหมาะสมกบั กลุ่มเปา้ หมาย 2)รปู แบบภาพ มีความสัมพันธก์ บั รูปแบบของสื่อ 3)สขี องภาพ ตอ้ งชดั เจน 48

4)ขนาดของภาพ ภาพทมี่ ขี นาดใหญ่จะได้รับความสนใจมากทส่ี ดุ ***นกั ออกแบบแยกแยะงาน ตามลกั ษณะการถ่ายทอดมี 3 ชนิด คือ 1)ภาพทีถ่ า่ ยทอดตามความเป็นจรงิ (Realistic) 2)ภาพท่ีถา่ ยทอดด้วยลักษณะตัดทอน (Distortion) 3)ภาพทีถ่ ่ายทอดตามความรสู้ กึ (Abstraction) ลกั ษณะทดี่ ีของภาพ นักออกแบบควรได้เนน้ ถงึ องค์ประกอบเสริมอ่ืนๆดว้ ย ดังนี้ 1)การออกแบบภาพทุกคร้งั ตอ้ งคำ�นงึ ถึงหลกั ศิลปะหรอื ความ งดงามทางศลิ ปะดว้ ย 2)ภาพที่นำ�มาใช้ต้องมคี วามชดั เจน 3)ภาพทอี่ อกแบบขึ้นต้องมคี วามสมจริง มเี หตุผลเปน็ ไปได้ 4)ภาพที่ดตี ้องมคี วามคมชดั 5)ควรเลือกภาพ ทสี่ ามารถกระตนุ้ อารมณ์และความคิดได้ 6)ภาพต้องไม่สลบั ซับซ้อนเกินไป หลักการสร้างความสนใจ 1)การเสนอดว้ ยรปู แบบของคำ�ถาม 2)การชี้แจงรายละเอียด 3)การขอร้อง 4)การแนะนำ�ให้คลอ้ ยตามหรือรับทราบ 5)การชกั ชวน 6)การสรา้ งปริศนา 7)การเสนอลักษณะทา้ ทาย จติ วิทยาการโน้มน้าวใจ อรสิ โตเตล้ิ ไดก้ �ำ หนดหลกั การโนม้ นา้ วใจไวเ้ ป็น 3 วธิ ี คือ 1)Ethos คอื การโน้มน้าวใจโดยใช้ตัว บุคคล 2)Pathos คือการโนม้ นา้ วใจโดยใช้อารมณ์ แนวคดิ ทชี่ ่วยหว่านลอ้ มใหค้ นเกดิ ความเชอ่ื ถือ อันได้แก่ -พวกมากลากไป -ลักษณะชาตินิยม -การเขา้ หามวลชน -การเนน้ ลกั ษณะเด่นเฉพาะ บคุ คล -การอา้ งเป็นพวกเดียวกัน -ความกลัว -การอำ�พรางบางส่วน -การอา้ งชอ่ื สนับสนนุ -การ ย่วั ยุประสาทสมั ผสั -จติ วทิ ยาทางดา้ นภาษา -การเนน้ เกินความเป็นจรงิ 3)Logos คือการโนม้ นา้ ว ใจโดยใชเ้ หตุผล การอา้ งเหตุผลสามารถนำ�เสนอไดห้ ลายลกั ษณะ 49

บรรณานุกรม กิดานนั ท์ มลทิ อง (2543) การออกแบบการสอน : กรุงเทพ : โรงพมิ พ์ สกนธ์ ภ่งู ามดี (2545) จิตวิทยากบั การออกแบบ : กรงุ เทพฯ , วาดศลิ ป์ ภาษาไทยเพอ่ื การสอื่ สาร (2554) /คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพื่อการสอื่ สาร ศูนย์วชิ าบูรณาการ หมวดวิชาศึกษาทั่วไป. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 7. กรุงเทพฯ: ส�ำ นกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ภาษาไทยเพ่ือการสอ่ื สาร จริ วัฒน์ เพชรรตั น,์ อัมพร ทองใบ กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, (2555) อรวรรณ ปิลนั ธน์โอวาท (2554) จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย, สนพ.แหง่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook