หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี ๑ หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๒ หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ ๓ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๔ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๕ วทิ ยาศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี ๕ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี ๖ ๑_หลกั สูตรวิชาวิทยาศาสตร์ ๒_แผนการจัดการเรยี นรู้ ๓_PowerPoint_ประกอบการสอน ๔_Clip ๕_ใบงาน_เฉลย ๖_ขอ้ สอบประจาหน่วย_เฉลย ๗_ขอ้ สอบ_เฉลย ๘_การวดั และประเมินผล ๙_รปู ภาพ ๑o_เสรมิ สาระ ๑๑_ส่ือเสริมการเรียนรู้
๑หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี มหศั จรรย์ส่งิ มชี วี ติ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๑. สารวจ เปรียบเทยี บ และระบลุ ักษณะของตนเองกับคนในครอบครวั ได้ ๒. อธิบายการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมชี วี ิตในแตล่ ะรุ่นได้ ๓. สังเกตและระบุสว่ นประกอบของดอกและโครงสร้างท่ีเกี่ยวข้องกบั การสบื พันธ์ุของพชื ดอกได้ ๔. อธบิ ายการสบื พันธ์ขุ องพชื ดอกการขยายพนั ธ์ุพืชและนาความรู้ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ๕. อธบิ ายวฏั จกั รชวี ิตของพืชดอกบางชนิดได้ ๖. อธิบายการสบื พนั ธแ์ุ ละการขยายพันธข์ุ องสตั ว์ได้ ๗. อภปิ รายวัฏจักรชวี ิตของสัตวบ์ างชนดิ และนาความรู้ไปใช้ประโยชนไ์ ด้
บทท่ี ๑ การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของสง่ิ มชี วี ติ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม ลกั ษณะทกุ ชนิดของสงิ่ มชี วี ติ ซง่ึ ถ่ายทอดจากพอ่ แม่ไปสลู่ กู ได้ และถ่ายทอดจากรุ่นหน่ึง ไปยงั อกี รุน่ หนึง่ เรื่อยๆ ไป เช่น สีผม ลักษณะของเส้นผม สีผวิ
ลกั ษณะของตนเองกบั คนในครอบครวั การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรมของคน ทาใหเ้ ราและผ้อู ่ืนสามารถทราบได้วา่ เราเปน็ ลกู ของพอ่ แมเ่ พราะเรามี ลักษณะบางอยา่ งเหมือนพ่อแม่ เช่น มีใบหนา้ เหมือนแม่ มีผิวคล้าและมรี ปู ร่างสงู เหมอื นพอ่ เป็นตน้
ตัวอย่าง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมในมนุษย์ ผมหยกิ หยกั ศก ผมเหยยี ดตรง หนงั ตาชน้ั เดียว หนงั ตาสองชน้ั หอ่ ล้ินได้ ห่อลน้ิ ไม่ได้ มีต่ิงหู ไมม่ ีติง่ หู มลี ักยิ้ม ไม่มลี ักยิม้ หัวแมม่ ืองอน หวั แม่มอื ไม่งอน
การถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มชี วี ติ ในแต่ละรุ่น เกรเกอร์ เมนเดล : ไดส้ รปุ กฎของการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธุกรรมไว้ ดงั นี้ ลกั ษณะต่างๆ ของสง่ิ มชี ีวติ จะถูกควบคุมโดยยีนท่ีอยใู่ นเซลล์สบื พนั ธ์แุ ละจะถ่ายทอดไปยงั ลูกหลานทางเซลลส์ บื พนั ธุ์ การถ่ายทอดลักษณะแตล่ ะลักษณะเปน็ อสิ ระต่อกัน และไม่เกยี่ วขอ้ งกับลักษณะอนื่ ถา้ รุ่นพอ่ แมพ่ นั ธ์แุ ท้ ลักษณะท่ีปรากฏออกมาในรุ่นลูก เรียกว่า ลักษณะเดน่ ส่วนลักษณะ ท่ีปรากฏออกมาในรนุ่ หลาน เรยี กว่า ลกั ษณะดอ้ ย สดั ส่วนของลกั ษณะเดน่ ตอ่ ลักษณะดอ้ ย จะเป็น 3 : 1 เสมอ
บทท่ี ๒ ศกึ ษาชีวติ พชื การสบื พนั ธขุ์ องพชื ดอก สว่ นประกอบของดอก เกสรเพศเมีย เกสรเพศผู้ กลบี ดอก กลบี เล้ียง สร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ์ สร้างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ ห่อหุม้ เกสรขณะยังอ่อน หอ่ หมุ้ สว่ นของดอก เพศเมยี เพศผู้ อยู่ กลบี ดอกมีสีสัน ในขณะที่ดอกยงั ตูมอยู่ เพื่อป้องกันอันตราย สวยงาม และมีกล่ินหอม เพื่อใชล้ ่อแมลงมาผสม จากแมลง เกสร
“เกสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี ทาหนา้ ที่ในการสบื พันธ์ขุ องพชื ” เกสรเพศเมยี เกสรเพศผู้
การจาแนกดอกของพืช ใช้…ส่วนประกอบของดอก…เปน็ เกณฑ์ ดอกสมบูรณ์ ดอกไม่สมบรู ณ์ • มีส่วนประกอบครบ 4 สว่ น ในหน่ึงดอก • มสี ่วนประกอบไมค่ รบ 4 ส่วน ในหนึ่งดอก - ดอกบวั - ดอกมะระ - ดอกพรกิ - ดอกตาลึง - ดอกกหุ ลาบ - ดอกบวบ - ดอกพู่ระหง - ดอกฟกั ทอง - ดอกมะเขอื - ดอกมะพรา้ ว - ดอกมะละกอ
การจาแนกดอกของพืช ใช้…เกสรเพศผ้แู ละเกสรเพศเมยี …เปน็ เกณฑ์ ดอกสมบรู ณ์เพศ ดอกไม่สมบรู ณ์เพศ • มเี กสรเพศผแู้ ละเกสรเพศเมยี อยใู่ น • มีเกสรเพศผู้หรือเกสรเพศเมยี เพียงอย่าง ดอกเดยี วกัน เดยี วในดอกหน่ึงดอก - ดอกพูร่ ะหง - ดอกขา้ วโพด - ดอกกล้วยไม้ - ดอกฟักทอง - ดอกกุหลาบ - ดอกมะละกอ - ดอกขา้ ว - ดอกมะยม - ดอกบัว - ดอกตาลงึ - ดอกบวบ
ข้นั ตอนการสืบพันธุ์ของพชื ดอก การสบื พนั ธแุ์ บบอาศัยเพศ เมอ่ื พืชดอกเจรญิ เติบโตเต็มที่จะเริ่มออกดอก ภายในดอกมีการสรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธ์ุ เกสรเพศผู้ สร้าง เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้หรอื ละอองเรณเู กบ็ ไวใ้ นอับเรณู เกสรเพศเมยี มีรงั ไข่ และภายในรังไข่มีออวลุ ทาหน้าทเ่ี ก็บเซลลส์ บื พนั ธุ์ เพศเมยี หรอื เซลล์ไขเ่ อาไว้
ข้นั ตอนการปฏิสนธิพืชดอก ขน้ั ท่ี 1 ขั้นท่ี 2 ขน้ั ที่ 3 ละอองเรณูปลวิ ไป ละอองเรณูงอกหลอดไปตาม ละอองเรณงู อกเป็นหลอดยาวเขา้ ไปผสม ตกบนยอดเกสรเพศเมยี เกสรเพศเมยี กบั เซลลไ์ ข่เกิดการปฏสิ นธิ
หลงั การปฏิสนธขิ องพืชดอก 1 ยอดและกา้ นชูเกสรเพศเมยี จะเหยี่ วลง 2 กลบี เล้ียง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมยี จะแหง้ แล้วร่วงหลุดไป 3 รังไขแ่ ละออวลุ จะมกี ารเจรญิ เติบโตต่อไป • รังไข่ ผล • ผนังรงั ไข่ • ออวุล เปลอื กและเน้ือของผลไม้ เมล็ด (ภายในเมล็ดจะเก็บตน้ อ่อนและเกบ็ สะสม อาหารไว้ภายในเพือ่ เกิดเป็นต้นใหมต่ อ่ ไป)
การสืบพนั ธ์ุแบบไมอ่ าศยั เพศ ไมม่ ีการปฏิสนธิ แตจ่ ะเป็นการเพ่ิมจานวนพชื โดยใช้ส่วนตา่ งๆ ในการแพรพ่ นั ธ์ุแทนสามารถเกิดขน้ึ ไดเ้ องตามธรรมชาติ การแตกหน่อ การแตกต้นใหมจ่ ากใบพืช • ภาพแตกหน่อของกลว้ ย • ภาพแตกต้นใหม่ของใบต้นตายใบเปน็
การขยายพันธ์พุ ชื การทาใหพ้ ชื มีจานวนเพ่ิมขึ้น ทาได้หลายวิธนี อกจากใช้วิธีเพาะเมลด็ ซึ่งเปน็ การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศแลว้ เรายังสามารถขยายพันธุ์พชื โดยการสืบพันธ์แุ บบไม่อาศยั เพศไดอ้ กี หลายวธิ .ี .. การปักชา การตอนก่งิ การติดตา การทาบก่งิ การเสยี บยอด การเพาะเล้ยี งเนอ้ื เยื่อ
การเพาะเมล็ด ยอ่ ยดนิ 2 1 เตรียมดิน ใหร้ ่วนซุยแล้วใส่ป๋ยุ คอกผสม ให้เข้ากนั แลว้ นาไปใส่ภาชนะที่ โดยการดายหญ้าออกใหห้ มด ขุดพลิกดินดา้ นลา่ งขนึ้ มา ตากดนิ เตรียมไว้ ไว้ 2-3 วัน เพือ่ ฆ่าเชื้อโรค ดแู ล 4 3 หวา่ นโรย จนเมลด็ งอกเปน็ ต้นกลา้ เมลด็ ลงหลมุ ในภาชนะหรือ และเจรญิ เตบิ โตแขง็ แรง แปลงที่เตรียมไว้ แลว้ ใช้ดิน ดีแลว้ จงึ ยา้ ยตน้ กลา้ ไปปลกู กลบและรดน้าให้ชุ่ม ในบริเวณทตี่ อ้ งการ
การปักชา • การขยายพนั ธุพ์ ชื โดยการตดั สว่ นต่างๆ ของพืช เชน่ ก่ิง กา้ น ใบ ลาตน้ ราก ออกจากต้นเดมิ มาปักลงดินหรือทราย ท่มี ีความชื้น พอสมควรแล้วรดน้า หรือนามาปักลงในน้ารอจนแตกยอดอ่อน พร้อมกบั รากแตกออกมาจากสว่ นทป่ี กั ลงดนิ หรอื แช่น้า เม่ือราก มปี รมิ าณมากและแขง็ แรง จึงนากิง่ นน้ั ไปปลกู ในดนิ ข้อดี : พชื ใหด้ อกและผลเรว็ กว่าการเพาะเมล็ด
การตอนกง่ิ 1 เลือกกง่ิ ที่ตง้ั ตรง ไมแ่ กห่ รืออ่อนจนเกินไป ควน่ั รอบๆ กง่ิ โดยใหร้ อยคว่นั หา่ งกันประมาณ 0.5-1 น้ิว การขยายพันธ์พุ ืชโดยการทากง่ิ ใหเ้ กดิ ราก ขณะท่ีกง่ิ ยงั ตดิ อยู่กบั ตน้ แม่ 2 แล้วลอกเปลอื กท่อี ยรู่ ะหวา่ งรอยควั่นออก 3 ใช้สนั มดี ขูดเนือ้ เยอื่ ลาเลียงกง่ิ ออกให้หมด 4 นาดินร่วนคอ่ นขา้ งเหนยี วมาห้มุ ที่รอยคว่ันจนมิด จากน้นั หมุ้ ดว้ ย กาบมะพร้าวชุ่มน้า แลว้ ใชเ้ ชือกมัดหัวและทา้ ยใหแ้ น่น 5 ใชถ้ ุงพลาสตกิ พนั ทบั อีกครง้ั เพือ่ ปอ้ งกันนา้ เข้า 6 ดูแลรดน้าประมาณ 2-3 สปั ดาห์ จะเห็นรากเร่มิ งอกออกมา พอสมควรแล้ว จงึ ตดั บริเวณรอยควั่น เพอ่ื นากิง่ ตอนไปปลูก
การติดตา การนาแผน่ ตาของกิง่ พันธุ์ดี ไปติดเชอ่ื มประสานบนตน้ ตอเพือ่ ใหเ้ จรญิ เป็นพืชต้นเดยี วกนั โดยนาเอาแผน่ ตา ของพชื พันธด์ุ ีไปตดิ เข้ากับตน้ ตอ เพอ่ื ให้ตาเจรญิ เตบิ โตเปน็ พืชตน้ ใหม่ตอ่ ไป การติดตาแบบตวั T กรีดแผลตน้ ตอ เป็นรปู ตัว T 1 23 กรดี เปลอื กลาต้นของต้นตอใหเ้ ป็น ใชป้ ลายมีดเปิดเปลอื กไม้ นาแผ่นตาพันธดุ์ ี เม่อื แผน่ ตาเจริญเป็นต้นใหม่แล้วให้ตดั แผน่ รูปตวั ที (T) ยาวประมาณ 6-7 ซม. มาเสยี บแลว้ พันด้วยแผน่ พลาสติก พลาสติกออก
การทาบกิง่ 1 นาต้นตอพนั ธ์ุพืน้ เมอื งมาปลกู ลงในถงุ พลาสตกิ ใช้มดี คมๆ เฉือนเอาเปลือกด้านทหี่ นั เขา้ กนั ออกท้ัง 2 กง่ิ แล้วนามา 2 ทาบตดิ กันให้สนิท ใชแ้ ผน่ พลาสตกิ พันให้แน่นท้งิ ไว้ 2-3 สปั ดาห์ จนเนอื้ เย่ือของกงิ่ ทั้ง 2 ก่ิง 3 ประสานกันจนเปน็ เนือ้ เดียวกัน 4 ตดั กง่ิ พันธ์ดุ ใี ตบ้ รเิ วณที่ทาบเอาไว้ออกจากนน้ั ใหน้ าต้นพันธุ์พ้ืนเมอื งท่ีมยี อดไปปลกู
การเสยี บยอด 1 ตดั ยอดตน้ ตอใหส้ ูงจากพน้ื ดนิ ประมาณ 10 ซม. แล้วผ่ากลางลาต้นของตน้ ตอใหล้ ึกประมาณ 3-4 ซม. 2 เฉือนยอดพันธดุ์ เี ปน็ รปู ล่มิ ยาวประมาณ 3-4 ซม. เสยี บยอดพันธุ์ดลี งในแผลต้นตอให้รอยแผลตรงกัน 3 แล้วใช้เชอื กมดั ด้านบน และด้านลา่ งของรอยแผล ตน้ ตอให้แนน่ 4 ทง้ิ เอาไว้ประมาณ 5-7 สัปดาห์ รอยแผลจะประสาน กนั ดแี ละนาออกมาพักไวใ้ นโรงเรอื นเพอื่ รอการปลกู ต่อไป
การเพาะเลยี้ งเนือ้ เยอ่ื เนื้อเย่ือทีน่ ามาเพาะ อาหารเพาะเล้ยี ง กลุ่มตน้ ออ่ นท่ีเกดิ ขนึ้ แยกตน้ ออ่ นออกจากขวด นาตน้ อ่อนทีแ่ ขง็ แรงมาปลกู • การเตรียมอาหารเพาะเลีย้ ง การนาธาตอุ าหารหลักทพี่ ืชต้องใชใ้ นการเจริญเตบิ โต มาผสมกับวนุ้ ฮอรโ์ มนพืช วิตามนิ และน้าตาล ในอตั ราสว่ น ที่พอเหมาะ แลว้ นาไปฆ่าเชื้อแล้วใส่ลงในขวดท่ใี ช้เพาะเลีย้ ง • การเพาะเลย้ี งเนือ้ เย่อื การนาเอาเน้อื เยือ่ สว่ นตา่ งๆ ของพืช เชน่ ยอดออ่ น ตาอ่อน ท่เี ราต้องการขยายพนั ธม์ุ าทาความสะอาด และนาไปฆ่าเชื้อ แลว้ จงึ นามาวางบนอาหารเพาะเลีย้ งจนเกิดเปน็ ต้นออ่ นจานวนมาก • การย้ายเลีย้ งตน้ อ่อน การแยกต้นออ่ นออกจากกัน เพือ่ นาไปเพาะเลี้ยงบนอาหารเพาะเลี้ยงใหม่ จนต้นอ่อนแขง็ แรงจึงนาไปปลกู ในแปลงเพาะเลีย้ ง ตอ่ ไป
วัฏจกั รชวี ติ ของพืชดอก 1 แผนภาพแสดงวัฏจกั รชวี ิตของตน้ ถวั่ ซ่ึงมีวฏั จกั รชีวิตยาวนานประมาณ 1 ปี 32 1 2 3 เมอื่ นาเมล็ดไปปลกู เมลด็ งอกเป็นต้นอ่อน และ เม่อื เจริญเตบิ โตเตม็ ท่ีตน้ ถั่วจะออกดอก เม่อื ดอก เจรญิ เตบิ โตขน้ึ ไดร้ บั การผสมพนั ธุจ์ ะออกฝกั (ผล)
บทที่ ๓ เรยี นร้ชู ีวติ สัตว์ การสบื พันธข์ุ องสตั ว์ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ • การสืบพันธแ์ุ บบอาศยั เพศของสัตว์น้ันจะเกดิ ข้นึ เม่อื สัตวเ์ จรญิ เติบโตเต็มท่ี อสุจิ เซลลไ์ ข่ สตั ว์ตวั ผูส้ รา้ งเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ สัตว์ตัวเมียสร้างเซลล์สบื พันธุ์เพศเมยี เรยี กว่า อสจุ ิ เรียกวา่ ไข่ • เมื่ออสจุ เิ ข้าไปผสมกบั ไขจ่ ะเกดิ การปฏิสนธิ แลว้ เจรญิ เตบิ โตเป็นสตั วต์ ัวใหมต่ ่อไป
การปฏิสนธิของสตั ว์ มี 2 ลักษณะ การปฏิสนธภิ ายนอกรา่ งกาย การปฏสิ นธิภายในร่างกาย การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย การท่ีเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศผู้ (อสจุ )ิ ผสมกับเซลลส์ บื พันธุ์เพศเมีย (ไข่) โดยมีนา้ เป็นตวั กลางช่วย ใหอ้ สจุ ิเคลอื่ นที่ไปผสมกับไข่ เปน็ การผสมพนั ธ์ุภายนอกร่างกายของตวั เมยี หลังจากนน้ั ไข่ท่ี ไดร้ บั การผสมแลว้ จะฟกั เปน็ ตัวตอ่ ไป สตั วท์ มี่ ีการปฏิสนธภิ ายนอกรา่ งกายเชน่ กงุ้ ปู ปลาสว่ นใหญ่ เช่น ปลากดั ปลาชอ่ น สัตว์ สะเทินน้าสะเทนิ บกทกุ ชนดิ เช่น คางคก อ่ึงอา่ ง กบ เขยี ด
การปฏิสนธิภายในรา่ งกาย การท่ีเซลลส์ บื พนั ธเ์ุ พศผู้ (อสจุ ิ) เข้าไปผสมกบั เซลลส์ บื พันธุ์เพศเมยี (ไข)่ ภายในรา่ งกายของสตั ว์ ตวั เมยี จากนั้นไขท่ ีไ่ ด้รบั การผสมแล้วก็จะเจรญิ เตบิ โตภายในร่างกายของสัตวต์ วั เมยี ทาใหส้ ัตว์ ตัวเมียตงั้ ท้อง เมอื่ ครบกาหนดคลอด สตั วต์ ัวเมยี จะออกลกู เป็นตวั ท่มี ีลกั ษณะเหมือนพอ่ แม่ แต่มีขนาดเล็กกว่า สัตวเ์ ล้ียงลกู ด้วยนา้ นม เช่น แมว สนุ ขั ชา้ ง ม้า วัว ควาย สตั ว์บางชนดิ มีการปฏสิ นธภิ ายในร่างกายเชน่ เดยี วกนั แต่ไขท่ ี่ไดร้ บั การผสมแลว้ มีการเจรญิ เตบิ โต ภายนอกรา่ งกายของสัตวต์ ัวเมีย โดยสตั ว์ตวั เมียจะออกลกู เปน็ ไขท่ ่มี เี ปลอื กแขง็ หรือมีเปลือก เหนยี วหุม้ แลว้ ฟกั เป็นตัวนอกรา่ งกายของสตั วต์ ัวเมีย ได้แก่ สตั วเ์ ล้อื ยคลาน เชน่ เต่า งบู างชนิด สัตว์ปกี เช่น นก เปด็ ไก่ ห่าน
การสบื พันธแุ์ บบไมอ่ าศัยเพศ : ไม่ตอ้ งมีการผสมกนั ระหวา่ งอสจุ ขิ องสัตว์เพศผแู้ ละไขข่ องสตั ว์เพศเมยี : มักพบในสัตวช์ น้ั ตา่ หรือสตั วท์ ม่ี เี ซลลเ์ ดยี ว การงอกใหม่ ลาตัวท่อนท่ีขาดออกจากตัวเดิมจะสามารถงอกกลายเป็นตวั ใหม่ทส่ี มบรู ณ์ได้ เช่น ดาวทะเล พลานาเรีย (หนอนตัวแบน) การแบ่งเซลล์ จากสัตวเ์ ซลล์เดยี ว 1 ตัว สามารถแบง่ เซลลอ์ อกเปน็ 2 ส่วน เหมอื นๆ กนั ได้ เช่น อะมบี า เปน็ ๒ ส่วน ยูกลนี า พารามีเซียม การแตกหนอ่ เปน็ การสร้างหนอ่ บนสว่ นใดสว่ นหน่งึ ของร่างกาย เม่ือหนอ่ เจรญิ ข้นึ จะหลดุ ออกไปเปน็ ตัวใหม่ เชน่ ไฮดรา ปะการัง ฟองนา้
การขยายพนั ธส์ุ ตั ว์ การคดั เลอื กพันธุ์สัตว์ วัตถปุ ระสงค์ เพ่ือใหไ้ ดส้ ตั ว์ที่ให้ผลผลิตดตี ามต้องการ เชน่ ให้ปรมิ าณเน้ือแดงมาก เพ่อื นาสตั วไ์ ปใชเ้ ปน็ พอ่ พนั ธ์ุหรอื แมพ่ นั ธ์ุ เพือ่ ให้ไดส้ ตั ว์ทมี่ ีความทนทานตอ่ สภาพดินฟา้ อากาศ และโรคต่างๆ เพอื่ การผสมพันธุ์ใหไ้ ด้พนั ธใุ์ หม่ท่ีมคี ุณภาพดขี น้ึ กว่าเดิม
ตวั อย่าง การคัดเลือกพันธุแ์ ละขยายพนั ธ์สุ ตั ว์ ไก่พันธุ์เซย่ี งไฮ้ ลักษณะพนั ธ์ทุ ่ไี ด้ ไก่พนั ธุโ์ รดแดง (โตเร็ว) (ไข่ดก) โตเร็ว ทนทานโรค ไข่ดก เนือ้ แนน่
การผสมเทยี ม • การนานา้ เชอื้ จากสตั วเ์ พศผผู้ สมไข่ของสตั วเ์ พศเมีย • ปจั จบุ นั เปน็ วธิ ที ่ีนยิ ม เพราะน้าเช้ือจากสตั วพ์ ่อพนั ธุส์ ามารถเกบ็ ไวไ้ ดเ้ ปน็ เวลานานหลายปี โดยการแชไ่ วใ้ นที่เยน็ จัด การผสมเทยี มสตั ว์ทม่ี กี ารปฏสิ นธภิ ายในร่างกาย การผสมเทียมสัตวท์ มี่ กี ารปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ประโยชน์ของการผสมเทยี ม
การผสมเทียมสัตวท์ ่มี กี ารปฏสิ นธภิ ายในรา่ งกาย • สัตวท์ ่นี ยิ มทาการผสมเทียม เช่น โค สกุ ร กระบอื • โดยการรีดเอานา้ เชื้อจากสัตวพ์ ่อพันธุ์แล้วนามาฉีดเข้าไปในมดลกู ของสัตวเ์ พศเมยี ในระยะทีม่ กี ารตกไข่ หรือ ในระยะท่ีสัตวเ์ พศเมียพร้อมทจี่ ะทาการผสมพนั ธุ์ แล้วทาใหเ้ กิดการปฏิสนธริ ะหวา่ งไข่กับอสจุ ภิ ายในรา่ งกาย ของสัตว์ทใี่ ชเ้ ปน็ แมพ่ นั ธุ์ การผสมเทยี มสัตวท์ ่มี กี ารปฏสิ นธิภายนอกร่างกาย • สัตวท์ น่ี ิยมนามาผสมเทยี ม เชน่ ปลาบึก ปลาสวาย ปลานิล • โดยการรดี นา้ เชื้อจากปลาตัวผู้ และรดี ไขจ่ ากปลาตัวเมียออกมา แลว้ นาไขก่ บั นา้ เชื้อมาผสมกันในภาชนะท่ีได้ เตรยี มไว้ ใช้ขนไกค่ นเบาๆ ให้นา้ เชื้อผสมกบั ไข่อย่างทว่ั ถงึ แล้วนาไข่ปลาที่ผสมแลว้ เทเบาๆ ลงในบอ่ ฟัก เพื่อใหไ้ ขฟ่ ักเปน็ ตวั ตอ่ ไป
ประโยชนข์ องการผสมเทียม ปรบั ปรุงพันธสุ์ ตั วใ์ หด้ ขี ้นึ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว เพราะนา้ เชอ้ื ทีร่ ดี เกบ็ จากพ่อพันธส์ุ ามารถฉดี ให้กบั สัตวต์ ัวเมียได้ครงั้ ละหลายๆ ตวั ทาให้ได้สตั วล์ กู ผสมพนั ธุด์ ีเพิม่ ขึ้นอยา่ งรวดเรว็ ทาใหเ้ กษตรกรไมต่ อ้ งเลยี้ งดูสตั วพ์ อ่ พันธุซ์ ง่ึ หายากและราคาแพง ตดั ปญั หาเรือ่ งการขนส่งสตั ว์ ไปผสมพันธุ์ เพราะมบี รกิ ารนานา้ เช้ือไปผสมให้ถงึ คอกสตั ว์ทกุ แหง่ สามารถผสมพันธ์ุสัตว์ต่างขนาดกนั ได้ ป้องกันโรคตดิ ตอ่ ท่ีเกดิ จากการผสมพนั ธุแ์ ละป้องกันโรคระบาดท่มี าจากการเคลอื่ นย้ายสัตว์
วฏั จักรชวี ิตของสตั ว์ ลูกสัตว์เกิดมา หรือฟักออกจากไข่ สามารถสบื พนั ธอ์ุ อกลกู เปลี่ยนแปลงและเจรญิ เตบิ โต ออกหลานได้ ขึ้นจนเปน็ ตวั เตม็ วยั การเปลีย่ นแปลงที่เกิดขน้ึ นี้ เรยี กวา่ วฏั จักรชวี ิตของสตั ว์ ซ่งึ จะเกดิ ข้ึนหมนุ เวียนต่อกันไปเช่นนเ้ี ร่อื ยๆ
วฏั จกั รชีวติ ของสตั ว์ทอ่ี อกลูกเปน็ ไข่ วฏั จกั รชวี ิตของสัตวท์ ีม่ ี 3 ระยะ ไก่ จง้ิ จก งู ปลา และแมลงบางชนิด เชน่ ตั๊กแตน แมลงสาบ ตัวเตม็ วยั ไข่ ระยะที่ 3 ระยะที่ 1 วฏั จกั รชวี ิตของสตั ว์ ตัวออ่ น ทม่ี ี 3 ระยะ วัฏจกั รชีวติ ของตก๊ั แตน ตวั ออ่ น ระยะที่ 2
สตั วส์ ะเทินน้าสะเทนิ บก เช่น กบ คางคก อึง่ อา่ ง : มีการเปล่ยี นแปลงรูปรา่ งระหว่างการเจรญิ เติบโตของตัวออ่ นอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ตวั ออ่ น ตวั อ่อนทมี่ ี (ลูกออ๊ ด) การเปลยี่ นแปลงรปู รา่ ง ไข่ ตวั เตม็ วัย *วัฏจักรชีวติ ของกบ จะมกี ารเปลีย่ นแปลงในระยะตัวอ่อนอยา่ งชดั เจน
วฏั จกั รชวี ติ ของสตั วท์ ่ีมี 4 ระยะ สตั วจ์ าพวกแมลง เช่น ผเี สื้อ แมลงวนั ยุง ดว้ งกวา่ ง หิ่งหอ้ ย ระยะที่ 4 ระยะท่ี 1 วฏั จักรชวี ิตของสตั ว์ ทมี่ ี 4 ระยะ ดกั แด้ ตวั ออ่ น ระยะท่ี 2 ระยะที่ 3
วฏั จกั รชีวติ ของสัตวท์ อี่ อกลกู เปน็ ตวั เร่มิ จาก ลกู สัตวท์ ี่คลอดจากทอ้ งแม่ (ตัวอ่อน) จะมลี กั ษณะรปู รา่ งคล้ายคลึงกับพ่อแม่แตม่ ขี นาด เลก็ กวา่ อวัยวะต่างๆ ยงั เจริญเติบโตไม่เตม็ ทแี่ ละในระหว่างการเจริญเติบโตเป็นตัวเตม็ วัย จะไมม่ ี การเปล่ียนแปลงรูปรา่ ง แบ่งเปน็ 2 ระยะ ระยะท่ี 1 ตวั ออ่ น วัฏจักรชวี ติ ของสัตว์ ทม่ี ี 2 ระยะ ตวั เตม็ วยั ระยะที่ 2
สตั ว์ท่อี อกลกู เป็นตัว สตั ว์เลี้ยงลูก สนุ ัข แมว ชา้ ง มา้ วัว ควาย หนู วาฬ โลมา พะยนู แมวนา้ ดว้ ยน้านม ปลาบางชนิด ปลาหางนกยงู ปลาสอด ปลาเข็ม
การใชป้ ระโยชนจ์ ากวฏั จกั รชวี ติ ของสตั ว์ ดา้ นการเกษตร ใชค้ วามรู้เกยี่ วกบั วัฏจักรชีวติ ของสตั วม์ าเพาะเล้ียงสัตว์ เพ่อื การใชง้ าน ด้านต่างๆ เชน่ ใชแ้ รงงาน ใชเ้ ปน็ พาหนะ ด้านอตุ สาหกรรม ใชค้ วามรู้เกย่ี วกับวฏั จกั รชวี ิตของสัตว์มาเพมิ่ ผลผลิต เชน่ ดา้ นอาหาร การผลติ เสน้ ไหม ดา้ นการดแู ลรักษาส่ิงแวดล้อม ดแู ลส่งิ แวดล้อม เช่น การกาจดั ลกู นา้ ยุงลาย
Search
Read the Text Version
- 1 - 39
Pages: