Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 12 -91351-สินีนุช-ร่าง2วันที่21กพ64

หน่วยที่ 12 -91351-สินีนุช-ร่าง2วันที่21กพ64

Published by Sineenuch K. Sanserm, 2021-02-22 02:02:26

Description: หน่วยที่ 12 -91351-สินีนุช-ร่าง2วันที่21กพ64

Search

Read the Text Version

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 51 1 เทคนิคสาคญั ในการบริหารความขดั แยง้ คือ วนิ ิจฉยั สาเหตุและรูปแบบความขดั แยง้ ใหไ้ ด้ เพ่อื สามารถจดั การไดอ้ ย่าง 2 สรา้ งสรรคโ์ ดยอาศยั ทกั ษะการส่อื สารการทางานแบบกลุ่ม โอเวนส์ กล่าววา่ ตอ้ งมี การปรองดอง การประนีประนอม การ 3 แขง่ ขนั การร่วมมอื 4 2. การปรองดอง (Accommodtion) เป็นวิธีการแกป้ ัญหาดว้ ยการยอมเสียสละความตอ้ งการของตนเอง 5 เพ่อื ทจ่ี ะใหฝ้ ่ายตรงขา้ มบรรลคุ วามตอ้ งการของตน เป็นการสรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ ก่อกี ฝ่าย เพ่อื หลกี เลย่ี งความขดั แยง้ แต่ 6 วธิ ีน้ีมกั จะไมก่ ่อใหเ้ กิดความพึงพอใจแก่ผูย้ นิ ยอมให้ เพราะตนตอ้ งยอมสละความตอ้ งการและเป้าประสงคข์ องตนใหแ้ ก่ 7 ผูอ้ ่นื จงึ เป็นการสรา้ งความคบั แคน้ ใจท่ตี ิดอยูใ่ นใจ วธิ ีการน้จี งึ ไมใ่ ชท่ างเลอื กทด่ี นี กั ในการบริหารความขดั แยง้ 8 3. การประนีประนอม (Compromise) เป็นวิธีท่บี ุคคลทง้ั 2 ฝ่ ายท่มี คี วามขดั แยง้ สามารถตกลงกนั ไดโ้ ดยวิธี 9 “พบกนั คร่ึงทาง” ต่างฝ่ายต่างตอ้ งยอมลดความตอ้ งการของตนบางสว่ น ดงั นน้ั วธิ กี ารนน้ั จึงเป็นการท่แี ต่ละฝ่ายตอ้ งเสยี สละ 10 บางส่วน เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ ตกลงท่สี ามารถยุติปญั หาความขดั แยง้ มกั จะพบไดว้ า่ บุคคลทงั้ สองฝ่าย จะไมค่ ่อยเหน็ ดว้ ยอย่างเตม็ ท่ี 11 นกั ในระยะยาวเพราะต่างฝ่ ายต่างก็ตอ้ งยอมเสียบางส่วนของตน อาจจะดว้ ยความไม่เต็มใจ อย่างไรก็ดี การใชว้ ิธี 12 ประนีประนอมเพ่ือลดขอ้ ขดั แยง้ อาจจะใชไ้ ดผ้ ลกบั ความขดั แยง้ ในผลประโยชนอ์ นั เกิดจากความจา กดั ของทรพั ยากร 13 (Scarce Resources) ท่จี ะมผี ลสนองต่อความตอ้ งการของแต่ละฝ่ายได้ 14 4. การแขง่ ขนั (Competition) เป็นการใชว้ ธิ ีเอาแพเ้อาชนะ เพ่อื ใหต้ นเองสามารถบรรลคุ วามตอ้ งการ อาจจะตอ้ ง 15 ใชอ้ านาจหรือการแสดงความกา้ วรา้ วรุนแรง อนั อาจจะเกดิ มาจากเม่อื มอี ปุ สรรคหรือส่งิ ขดั ขวางมใิ หบ้ รรลุเป้าหมาย จึงใช้ 16 วธิ กี ารท่อี าจจะตอ้ งทาลายอีกฝ่ ายหน่งึ เพ่อื ใหไ้ ดใ้ นส่งิ ท่ตี นหวงั ไวผ้ ูท้ ่อี ยู่ในลกั ษณะของการแขง่ ขนั มกั จะแสวงหาขอ้ โตแ้ ยง้ 17 อยู่เสมอ และจะคานึงถึงจุดหมายเฉพาะของตนโดยใชก้ ารบีบบงั คบั ใหม้ กี ารยอมรบั เพ่อื อานาจท่เี หนือกว่า และจะรบั รู ้ 18 เฉพาะจุดดขี องตน มองหาจุดบกพร่องของฝ่ายตรงขา้ ม วธิ ีการน้เี ป็นการสรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ ก่ผทู ้ ่เี ป็นฝ่ายชนะ แต่ในทาง 19 ตรงกนั ขา้ มผูท้ ่เี ป็นฝ่ ายแพอ้ าจจะเก็บความคบั แคน้ ใจไวใ้ นขณะหน่ึง เพ่ือรอเวลาท่จี ะหาทางแกแ้ คน้ ในท่สี ุด อย่างไรก็ดี 20 วธิ ีการแขง่ ขนั ถอื ไดว้ ่าเป็นวธิ ีการบริหารความขดั แยง้ วธิ ีหน่งึ ทใ่ี ชไ้ ดผ้ ล เมอ่ื ทง้ั 2 ฝ่าย มคี วามสมั พนั ธเ์ ก่ยี วขอ้ งกนั เพยี งชว่ ง 21 ระยะเวลาอนั สนั้ และไมม่ คี วามจาเป็นท่จี ะตอ้ งรกั ษาสมั พนั ธภาพในระยะยาว การแขง่ ขนั จงึ เป็นวธิ ที ่รี วดเรว็ ของการแกไ้ ขขอ้ 22 ขดั แยง้ ในกรณีน้ี 23 5. การร่วมมือ (Collaboration) โดยทวั่ ไปการบรหิ ารความขดั แยง้ ดว้ ยการเผชญิ หนา้ เป็นวธิ ที ม่ี ปี ระสทิ ธิภาพมาก 24 ท่สี ุดจากวธิ กี ารบรหิ ารความขดั แยง้ ท่กี ลา่ วมาแลว้ ทงั้ หมด คู่กรณีทง้ั สองฝ่ายยินยอมท่จี ะหนั หนา้ เขา้ หารือกนั เพ่อื หาวธิ ีท่ดี ี 25 ท่สี ดุ ในการช่วยกนั บริหารความขดั แยง้ การร่วมมอื กนั เป็นการทาความตกลงกนั ในลกั ษณะของการบรรลถุ งึ ขอ้ ยุตโิ ดยวธิ กี าร 26 ซ่งึ คู่กรณีทง้ั สองฝ่ายท่เี ก่ยี วขอ้ งมคี วามพงึ พอใจ และยนิ ยอมพรอ้ มใจ รวมทง้ั ยอมท่จี ะปฏบิ ตั ติ ามผลของขอ้ ยุตินนั้ อยา่ งไร 27 ก็ตาม วธิ กี ารน้จี าเป็นจะตอ้ งใชร้ ะยะเวลามากในการจดั การแกไ้ ขปญั หา แต่กเ็ ป็นวธิ ที ่ดี ที ส่ี ุด สาหรบั บุคคลท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ขอ้ 28 ขดั แยง้ ทกุ ฝ่ายท่มี สี มั พนั ธภาพในการทางานอยู่ร่วมกนั ในระยะยาว 29 นอกจากวิธีการบริหารความขดั แยง้ 5 วิธี ดงั กล่าวมาแลว้ ยงั มีวธิ ีอ่ืนๆ ซ่ึงเป็นรูปแบบท่ีใชก้ นั ไดผ้ ล ทงั้ ใน 30 ระดบั ประเทศและระดบั ความขดั แยง้ ทวั่ ๆ ไป ดงั น้ี

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 52 1 1. การนงั่ ลงเจรจา (Bargain Table) เป็นวธิ ีหน่งึ ในลกั ษณะของการท่ที กุ ฝ่ ายท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั ความขดั แยง้ มคี วาม 2 ยนิ ยอม ตกลงท่จี ะร่วมมอื กนั แกไ้ ขปญั หา โดยการท่ที ุกฝ่ ายตอ้ งมานงั่ คุยกนั แลกเปล่ยี นขอ้ คิดเห็น และหาวธิ ีการเพ่อื ให้ 3 สามารถส่งเสรมิ อกี ฝ่ายใหบ้ รรลุเป้าประสงคใ์ นขน้ั ทท่ี งั้ สองฝ่ายไดร้ บั ความพงึ พอใจ 4 2. การใชบ้ ุคคลท่ีสาม (Third Party) มาทาหนา้ ท่ใี นการช่วยไกลเ่ กลย่ี ขอ้ ขดั แยง้ ในลกั ษณะท่คี ู่กรณีไม่สามารถ 5 จดั การแกป้ ญั หาหรือหาขอ้ ยุตจิ ากขอ้ ขดั แยง้ ได้ บคุ คลท่สี ามอาจจะเป็นเพ่อื น บคุ คลท่คี ู่กรณีทกุ ฝ่ายใหค้ วามเคารพ ไวเ้น้ือ 6 เชอ่ื ใจ บุคคลท่อี ยู่ในระดบั สูงกว่าในหน่วยงาน ฝ่ายบคุ คล (ทม่ี หี นา้ ท่ใี นการแกไ้ ขปญั หาและยุตขิ อ้ โตแ้ ยง้ โดยเฉพาะ) และยงั 7 รวมถงึ การใชอ้ นุญาโตตุลาการ (Arbitrator) หรือผูป้ ระนอมขอ้ พพิ าท (Conciliator) ในการเจรจาทาความตกลงโดยใช้ 8 บุคคลท่สี ามเขา้ มาช่วยไกลเ่ กลย่ี นน้ั จะตอ้ งไดร้ บั การยนิ ยอมพรอ้ มใจจากคู่กรณีทง้ั สองฝ่ าย ในการท่จี ะมาช่วยไกลเ่ กลย่ี 9 บุคคลท่สี ามจึงจะทาใหเ้ กิด ประสทิ ธผิ ลในการแกไ้ ขความขดั แยง้ ในทางตรงกนั ขา้ มบุคคลท่สี ามจะกลายเป็นส่วนหน่ึงใน 10 ความขดั แยง้ เพ่มิ ข้นึ มา ถา้ ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงของคู่กรณีไม่ยอมรบั ใหม้ บี ุคคลท่สี ามเขา้ มาเก่ียวขอ้ ง บุคคลท่สี ามจา เป็นตอ้ ง 11 เลอื กจากผูม้ ที กั ษะในการท่จี ะวนิ ิจฉยั หาสาเหตุท่แี ทจ้ รงิ ของความขดั แยง้ ได้ รวมทงั้ ตอ้ งสามารถชกั นาใหค้ ู่กรณีมาพบปะ 12 เจรจากนั อยา่ งเปิดเผยจรงิ ใจเพอ่ื ส่อื สารทาความเขา้ ใจและตกลงยุติขอ้ ขดั แยง้ 13 14 วธิ ีการบรหิ ารความขดั แยง้ แบบสนั ตวิ ธิ ี 15 16 สนั ตวิ ิธีเป็นวธิ กี ารเดยี วท่สี นบั สนุนการคดิ และการปฏบิ ตั กิ ารในการจดั การความขดั แยง้ โดยไมใ่ ชค้ วามรุนแรงใน 17 ทุกรูปแบบ ทง้ั ทางร่างกาย ทางเพศ ทางจิตใจ ทางเศรษฐกิจและสงั คม (UNESCO, 2000) โดยเฉพาะอย่างย่งิ การไมใ่ ช้ 18 ความรุนแรงดงั กลา่ วนน้ั ประกอบไปดว้ ยความเป็นธรรม ทง้ั ในแงข่ องความยุติธรรม ความเท่ยี งธรรม การยกย่องและให้ 19 เกียรตมิ นุษยใ์ นสถานะของเพ่อื นร่วมโลกคนหน่งึ ทร่ี กั สุขและเกลยี ดกลวั ความทุกขเ์ ชน่ เดยี วกนั 20 สาหรบั รูปแบบการบริหารความขดั แยง้ แบบสนั ติวธิ ีนนั้ มวี ธิ ีการบริหารความขดั แยง้ ทางการทูตเชงิ สนั ติ (Peaceful 21 Diplomatic Means) เป็นทางเลอื กในหลายทางเลอื กท่เี หมาะสมกบั ยุคปจั จบุ นั ประกอบดว้ ยแนวทางในการแกไ้ ข 4 วธิ ี คอื 22 1. การเจรจา (Negotiation) เป็นการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ แบบสนั ติวธิ ีดว้ ยการแสดงออกซ่ึงขอ้ เสนอท่ี 23 ตอ้ งการใหไ้ ดร้ บั การตกลงบนพ้ืนฐานของประโยชน์ท่ีจะเกิดข้นึ ร่วมกนั และเป็นการสรา้ งความสมั พนั ธ์ในการพบปะ 24 แลกเปลย่ี นขอ้ มลู หรือความรูส้ กึ ของกนั และกนั หรือเป็นการแสดงออกถงึ ความตง้ั ใจ ความพยายาม ความมงุ่ หมายท่ี 25 อยากจะมกี ารตกลงร่วมกนั เพอ่ื หาขอ้ ยุติท่จี ะยดึ ถอื เป็นแนวปฏบิ ตั ทิ ด่ี ตี ่อกนั ในอนาคต 26 2. การไตส่ วน (Inquiry) เป็นการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ แบบสนั ตวิ ธิ ีทม่ี งุ่ เนน้ การจดั การขอ้ พพิ าททง้ั ในประเทศ 27 และระหวา่ งประเทศ ระบบการไต่สวนระหวา่ งประเทศเกดิ ข้นึ เพ่อื ระงบั ขอ้ พิพาทระหว่างประเทศ ทง้ั น้หี ากไมส่ ามารถตกลง 28 กนั ไดโ้ ดยทางการทูตอนั เน่ืองมาจากมีความเห็นขดั แยง้ กนั ก็ใหจ้ ดั ตง้ั คณะกรรมาธิการไต่สวนข้นึ เพ่อื อานวยการศึกษา 29 วเิ คราะหป์ ญั หา โดยหาขอ้ เทจ็ จริงอนั แน่ชดั ดว้ ยการสบื สวนทป่ี ราศจากความลาเอยี งและดว้ ยความบริสทุ ธ์ิใจ อยู่ในวงจากดั 30 เฉพาะขอ้ เทจ็ จริงเทา่ นน้ั ไมม่ ลี กั ษณะช้ขี าด ไมม่ ลี กั ษณะบงั คบั และไมม่ ผี ลผูกพนั ใหร้ ฐั คู่กรณียอมรบั แต่อยา่ งใดแต่ก็อาจมี 31 ประโยชนใ์ นการยุติปญั หาต่อไปได้

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 53 1 2 3. การไกล่เกล่ยี (Reconciliation) เป็นการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ แบบสนั ตวิ ธิ ใี นกรณีท่คี ู่กรณีไมส่ ามารถหาขอ้ 3 ยุติร่วมกนั ได้ จึงตอ้ งอาศยั บุคคลท่สี ามท่ที ง้ั สองฝ่ ายยอมรบั เขา้ มามสี ว่ นร่วมในการเจรจาเพ่อื หาขอ้ ตกลงหรือหาทางออก 4 ใหก้ บั ปญั หาความขดั แยง้ ร่วมกนั โดยจะดาเนินการในลกั ษณะไกลเ่ กลย่ี โดยคนกลาง (Mediation) หรอื ไกลเ่ กล่ยี โดย 5 อาศยั คนกลางเป็นคนติดต่อเชอ่ื มประสาน (Good Officer or Facilitator) ทงั้ สองฝ่ายกไ็ ด้ 6 4. การประนี ประนอม (Compromise) เป็ นการแกไ้ ขปัญหาความขดั แยง้ โดยการมุ่งแสวงหาขอ้ สรุปท่ี 7 สมเหตุสมผล และเป็นท่ตี กลงปลงใจของคู่กรณีทงั้ สองฝ่ าย เป็นการแสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่างของคู่กรณี โดยยึด 8 หลกั การทว่ี า่ ประเดน็ ใดสามารถทจ่ี ะหาทางออกร่วมกนั ไดบ้ นพ้นื ฐานของเทจ็ จรงิ ท่เี กิดข้นึ ใหร้ ีบดาเนนิ การในทนั ที ในขณะท่ี 9 ประเดน็ ใดยงั คงมคี วามแตกต่างในทางความคิดหรอื เหตผุ ลใหส้ งวนเอาไวเ้พอ่ื รอจงั หวะและโอกาสทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะนากลบั มา 10 พจิ ารณาใหมอ่ กี ครงั้ 11 12 วิธกี ารบริหารความขดั แยง้ ตามแนวทางพระพทุ ธศาสนา 13 14 ความขดั แยง้ เกิดข้นึ พระพทุ ธศาสนามองว่าเป็นเร่ืองธรรมดา ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารจดั การใหค้ วามขดั แยง้ เหลา่ นนั้ สงบลง 15 เพราะถอื เป็นเร่ืองธรรมดาสาหรบั สงั คมมนุษยท์ ่มี ธี รรมชาตอิ ยู่อย่างหน่ึง คือ รกั สุข เกลยี ดทุกข์ และไมช่ อบความวุ่นวาย 16 หรือปญั หาท่จี ะก่อใหเ้กดิ ความยุง่ ยากแก่ตนเอง แมว้ ่าในบางคราวจะเกิดปญั หาเก่ยี วกบั ความขดั แยง้ ในสงั คมของตนเองจน 17 อาจจะดูเป็นว่ามนุษยเ์ องทเ่ี ป็นคนท่ชี อบความรุนแรง หรอื เป็นตน้ เหตุของการสรา้ งปญั หาข้นึ เองซง่ึ ความเป็นจริง 18 ความขดั แยง้ หรือปญั หาท่เี กิดข้นึ ในสงั คมมนุษยน์ นั้ มเี หตุผลมาจาก (1) ความแตกต่าง (2) ความเปลย่ี นแปลง 19 ความแตกต่างนน้ั เองท่กี ่อใหเ้กิดความขดั แยง้ โดยทค่ี วามแตกต่างนน้ั เป็นมวลหน่ึงท่จี ะตอ้ งลน่ื ไหลไปตามสภาวะหลกั ของ 20 ธรรมชาตกิ ็คือ “ความเปลย่ี นแปลง” เมอ่ื มคี วามเปลย่ี นแปลงผสมกบั ความแตกต่างท่มี อี ยู่ ในท่สี ุดกก็ ่อใหเ้กดิ ความขดั แยง้ 21 และพฒั นาผลของการขดั แยง้ ใหเ้ ป็นไปทงั้ ในฝ่ ายบวกและฝ่ ายลบ ซ่ึงสงั คมมนุษยน์ นั้ มคี วามแตกต่างอยู่ภายใตค้ วาม 22 เปลย่ี นแปลง ดงั นน้ั สงั คมมนุษยจ์ ึงมคี วามขดั แยง้ เป็นธรรมชาติหรือเป็นปกติ เมอ่ื มคี วามขดั แยง้ เกิดข้นึ จึงเป็นหนา้ ท่ขี อง 23 มนุษยท์ ่จี ะจดั การหรือบรหิ ารความขดั แยง้ นน้ั ใหล้ งตวั และสงบใหไ้ ดเ้ พ่อื ท่จี ะสรา้ งความสงบ สนั ติและผาสุกใหเ้ กิดข้นึ ใน 24 สงั คมใหไ้ ด้ และในการจดั การหรือบรหิ ารความขดั แยง้ ในสงั คมมนุษยต์ ามแนวทางของพระพทุ ธศาสนานน้ั ก็จะตอ้ งดาเนินไป 25 ใน 2 แนวทางท่สี าคญั ไดแ้ ก่ 26 1. การบริหารความขดั แยง้ ภายใน สาหรบั การจดั การหรือบริหารความขดั แยง้ ภายใน ท่มี สี าเหตุภายในมาจาก 27 รากเหงา้ ของอกุศลและกุศลภายในจิตใจ เพราะธรรมชาติของความขดั แยง้ มกั มที งั้ ดา้ นบวกและดา้ นลบ ซ่ึงดา้ นบวก 28 หมายถงึ การมจี ิตท่เี ป็นกุศล เช่น ความไมโ่ ลภ ความไม่โกรธ ความไมห่ ลง การมเี จตนาท่ดี ี การหวงั ดหี รอื ปรารถนาดีต่อ 29 บคุ คล กลมุ่ บคุ คล หรอื ต่อองคก์ ร แต่ปญั หาเกดิ ข้นึ เมอ่ื บุคคล กลมุ่ คนหรือองคก์ รไมเ่ หน็ ดว้ ย หรอื ไมย่ อมรบั ในเจตนาเช่น 30 วา่ นนั้ จึงทาใหท้ งั้ สองฝ่ายเกิดความขดั แยง้ อนั เน่อื งมาจากความเหน็ ทแ่ี ตกต่างทศั นคติท่ไี มต่ รงกนั หรอื การมองเป้าหมายท่ี

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร 54 1 แตกต่างกนั เป็นตน้ ส่วนดา้ นลบ หมายถงึ การมจี ติ ท่เี ป็นอกศุ ล เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง อยากได้ อยากใหญ่ 2 อยากมี อยากเป็น ทฐิ ิ มานะ การถอื ตวั การยดื มนั่ ในค่านิยมทางสงั คม เป็นตน้ 3 2. การบริหารความขดั แยง้ ภายนอก สาหรบั การจดั การหรือการบริหารความขดั แยง้ ภายนอกท่มี สี าเหตุปจั จยั 4 ภายนอกท่กี ่อใหเ้กดิ ความขดั แยง้ ไดแ้ ก่ การเขา้ ถงึ ขอ้ มูลท่แี ตกต่างกนั การแก่งแย่งชว่ งชงิ การใชอ้ านาจเหนอื กวา่ การไม่มี 5 สว่ นร่วม การขาดขอ้ มลู การขาดความสมั พนั ธท์ ด่ี ี การขาดความน่าเช่อื ถอื การตีความท่แี ตกต่าง การขาดความสามคั คี การ 6 ขาดความยุติธรรม ไม่เสมอภาค ไม่สมประโยชน์ การครอบงา การเปลย่ี นแปลงในมติ ิต่าง ๆ หรือแมแ้ ต่โครงสรา้ งทาง 7 เศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง วฒั นธรรม และกฎหมายท่แี ตกต่าง เป็นตน้ ซง่ึ ถอื ว่าเป็นความขดั แยง้ ท่มี ปี รากฏอยูโ่ ดยทวั่ ไป 8 และเป็นความขดั แยง้ ท่เี กิดข้นึ ไดท้ ุกสถานการณ์ ความขดั แยง้ ในทางพระพุทธศาสนา การสรา้ งกุศลท่ีถูกตอ้ งตามหลกั 9 พระพุทธศาสนาทาใหม้ สี ติปญั ญาสามารถควบคุมจิตใจใหป้ ระกอบดว้ ยเหตผุ ลในการแสดง พฤตกิ รรม ไมใ่ หส้ รา้ งปญั หาให้ 10 เกดิ ข้นึ ต่อตนเองผูอ้ ่นื 11 ปญั หาความขดั แยง้ นน้ั เกิดข้นึ มาจากเหงา้ แห่งกิเลสทเ่ี รียกวา่ \"ปปญั จธรรม\" คือ กเิ ลสอนั เป็นธรรมเคร่ืองเน่ินชา้ 12 ท่ที าให้ สงั สารวฏั ฏ์ ยาวนานมากข้นึ ซ่งึ ประกอบดว้ ย ตณั หาหรือความอยาก ทฏิ ฐหิ รือความเหน็ และมานะหรือความถอื ตวั 13 ความลาพองตน ความทะนงตน ซ่ึงหากกิเลสทงั้ 3 อย่างน้ีเบ่งบานหรือเจริญงอกงามจะทาใหเ้ กิด \"อกุศลมูล\" ท่ี 14 ประกอบดว้ ย โลภะ โทสะ โมหะ และส่งผลใหเ้กดิ ววิ าทมลู และอนุวาทมลู เกดิ ข้นึ ติดตามมา ซ่งึ ขณะเดียวกนั มมุ มองทม่ี ตี ่อ 15 การแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ พระพุทธองคท์ รงสงั่ สอนใหพ้ ุทธศาสนิกชนใชห้ ลกั อริยสจั 4 มาเป็นเคร่ืองมอื ในการแกไ้ ข 16 ปญั หา และใช้ \"มรรควธิ ี\" เป็นแนวทางหรือวธิ กี ารในการแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ ซ่งึ ประกอบดว้ ย 8 ประการ ดงั น้ี 17 1) สมั มาทฏิ ฐิ (ปญั ญาเหน็ ชอบ) หมายถงึ การปฏบิ ตั อิ ย่างเหมาะสมตามความเป็นจรงิ ดว้ ยปญั ญา 18 2) สมั มาสงั กปั ปะ (ดาริชอบ) หมายถงึ การใชส้ มองความคดิ พจิ ารณาแต่ในทางกุศลหรอื ความดงี าม 19 3) สมั มาวาจา (เจรจาชอบ) หมายถงึ การพูดตอ้ งสุภาพ พูดในส่งิ ทส่ี รา้ งสรรคด์ งี าม 20 4) สมั มากมั มนั ตะ หมายถงึ การประพฤติดงี ามทางกาย 21 5) สมั มาอาชวี ะ หมายถงึ การทามาหากนิ อยา่ งสจุ รติ ชน ไมค่ ดโกง เอาเปรียบผูอ้ ่นื 22 6) สมั มาวายามะ หมายถงึ ความอตุ สาหะ พยายาม ประกอบความเพยี รในการกศุ ลกรรม 23 7) สมั มาสติ หมายถึง การไมป่ ลอ่ ยใหเ้ กดิ ความพลง้ั เผลอ จติ เลอ่ื นลอย ดารงอยูด่ ว้ ยความรูต้ วั อยู่เป็น 24 ปกติ 25 8) สมั มาสมาธิ หมายถงึ การฝึกจติ ใหต้ ง้ั มนั่ สงบ สงดั จากกิเลส นวิ รณอ์ ยู่เป็นปกติ 26 ทง้ั น้กี ารท่จี ะนามรรคมอี งค์ 8 มาประยุกตใ์ ชน้ นั้ ในทางพระพุทธศาสนายงั ย่อยลงมาใหเ้หลอื เพียง 3 ดา้ นสาคญั ก็ 27 คอื ศลี สมาธิ และปญั ญา ตามหลกั ไตรสกิ ขามาเป็นกรอบในการพฒั นาคน ใหเ้กิด \"สมั มาทฐิ หิ รือความเหน็ ชอบ\" และเป็น 28 ความเหน็ ชอบท่เี ป็น \"ทิฏฐสิ ามญั ญตาหรือความเห็นชอบท่เี ห็นพอ้ งตอ้ งกนั \" มาสนบั สนุนในการแกไ้ ขปญั หาเพ่อื ใหเ้ กิดมี 29 \"ความสามคั คีธรรม\" ใหเ้กิดข้นึ ในทุกสงั คมในท่สี ุด การปลูกฝงั จรยิ ธรรมเพ่อื ความงอกงามทางอารมณ์ เป็นการฝึกจิต ใหม้ ี 30 คุณภาพ มสี มรรถภาพจิตดี การพฒั นาคุณภาพชวี ิตของประชาชน ใหม้ คี ุณภาพชวี ิตท่ดี ีมคี วามสุข มคี วามสมบูรณ์ทง้ั ให้

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 55 1 ประชาชนสามารถดารงชวี ิต มคี วามพงึ พอใจต่อตนเองและสงั คม สามารถดารงชีวติ ใหอ้ ยู่ในกรอบและระเบียบแบบแผน 2 ประเพณี และวฒั นธรรมทด่ี งี ามไดแ้ ละไมท่ าใหเ้ป็นภาระท่กี ่อใหเ้กดิ ปญั หาแก่สงั คม 3 4 กลา่ วโดยสรุป วธิ ีการบริหารความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร มี 3 วธิ ี ดงั น้ี วธิ กี ารบรหิ ารความ 5 ขดั แยง้ พ้นื ฐาน 5 วิธี ไดแ้ ก่ การหลกี เลย่ี ง การปรองดอง การประนปี ระนอม การแขง่ ขนั การร่วมมอื วธิ กี ารบริหารความ 6 ขดั แยง้ แบบสนั ตวิ ธิ ี 4 วิธี ไดแ้ ก่ การเจรจา การไต่สวน การไกลเ่ กลย่ี การประนีประนอม วิธกี ารบรหิ ารความขดั แยง้ ตาม 7 แนวทางพระพุทธศาสนา 2 วธิ ี ไดแ้ ก่ การบริหารความขดั แยง้ ภายใน และการบริหารความขดั แยง้ ภายนอก 8 9 10 11 กจิ กรรมท่ี 12.3.1 12 จงอธิบายวธิ กี ารบริหารความขดั แยง้ แบบสนั ติวธิ ี 13 14 15 แนวการตอบกจิ กรรมท่ี 12.3.1 16 วธิ ีในการบริหารความขดั แยง้ แบบสนั ติวธิ ีมี 4 วธิ ี คือ 17 1. การเจรจา 18 2. การไต่สวน 19 3. การไกลเ่ กลย่ี 20 4. การประนปี ระนอม 21 22 23 24 25 26 27

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 56 1 เร่ืองท่ี 12.3.2 2 กระบวนการบริหารความขดั แยง้ ในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 3 4 กระบวนการบรหิ ารความขดั แยง้ 5 ตามรากฐานความคิดของ Filley (1975) สามารถแบ่งกระบวนการบริหารความขดั แยง้ ออกเป็น 6 ขน้ั ตอน 6 (สถาบนั สนั ตศิ ึกษา, 2538 อา้ งถงึ ใน ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจนิ ดา ขลบิ ทอง,2554, น. 12-42 – 12-46) 7 8 9 10 ภาพท่ี 12.7 กระบวนการบรหิ ารความขดั แยง้ 11 12 1. ขน้ั เตรยี มการพ้นื ฐานเพ่อื ความสาเรจ็ ในการบริหารความขดั แยง้ 13 มปี ระเดน็ สาคญั ท่ตี อ้ งมกี ารเตรยี มการ การสงั เคราะหข์ อ้ มลู และวเิ คราะหค์ วามขดั แยง้ เพอ่ื การวางแผนให้ 14 มที ศิ ทาง กลยุทธท์ ่เี หมาะสมอยา่ งมรี ะบบไดแ้ ก่ 15 1.1 เม่อื ความขดั แยง้ เกดิ ข้ึน และแสดงออกมาในรูปแบบต่างๆ คือ 16 1) สภาพก่อนเกดิ ความขดั แยง้ (antecedent cndition of conflict) เป็นลกั ษณะของสภาพการณ์ทอ่ี าจ 17 ปราศจากความขดั แยง้ แต่จะนาไปสูก่ ารขดั แยง้ 18 2) ความขดั แยง้ ทรี่ บั รูไ้ ด้ (perceived conflict) ในการรบั รูจ้ ากสภาพการณ์ท่เี กิดข้นึ ของฝ่ายต่าง ๆ วา่ มี 19 ความขดั แยง้ เกิดข้นึ 20 3) ความขดั แยง้ ทรี่ ูส้ กึ ได้ (felt conflict) โดยอาจมคี วามรูส้ กึ ว่า ถูกคุกคาม ถูกเกลยี ดชงั กลวั หรือไม่ 21 ไวว้ างใจ ท่ีต่อมาอาจจะกลายเป็นกรณีพิพาท (dispute) เม่ือแต่ละคน หรือแต่ละฝ่ าย หรือกลุ่ม หรือมากกว่า ได้ 22 ผลประโยชนท์ ่ไี มเ่ ป็นท่พี งึ พอใจ การพพิ าทนนั้ 23 1.2 การเผชิญกบั ฝ่ ายตรงขา้ มเร่ืองความขดั แยง้ อาจโดย

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 57 1 1) การเก็บความขดั แยง้ ไว้ ถา้ ความขดั แยง้ นนั้ ไมส่ าคญั เน่อื งจากการตระหนกั ในตนเอง ทต่ี อ้ งการรกั ษา 2 ความสมั พนั ธท์ ่ดี รี ะหว่างกนั ไว้ หรอื ประเมนิ วา่ เรามอี านาจนอ้ ยกวา่ เป็น 3 2) การเผชญิ หนา้ กบั ฝ่ายตรงขา้ มดว้ ยวธิ กี ารทางบวก ท่มี กี ารแสดงความตอ้ งการ และภายใตภ้ าวะความ 4 ถูกตอ้ งว่าตอ้ งการใหค้ ู่กรณี มกี ารเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมท่ีพึงประสงคอ์ ะไร ซ่งึ ไมค่ วรเผชิญหนา้ ดว้ ยวิธีการทางลบ 5 จาเป็นตอ้ งมกี ารรวบรวมบุคคลทเ่ี ก่ยี วขอ้ งมาร่วมแกไ้ ขความขดั แยง้ มกี ารเลอื กสถานการท่เี หมาะสม และเวลาท่เี พยี งพอใน 6 การร่วมแกป้ ญั หาดว้ ยความเท่าเทยี ม และโปร่งใส ยุตธิ รรม และเพอ่ื รูค้ วามจรงิ ท่ถี ูกตอ้ งของความขดั แยง้ 7 ในขนั้ ตอนน้ี อาจมกี ารเผชญิ หนา้ และประทว้ งอยา่ งสนั ติ (non-violence confrontation) เป็นวธิ ีการท่ี 8 แมว้ ่าจะไม่ไดใ้ ชค้ วามรุนแรงในการแกไ้ ขปญั หา แต่เป็นวธิ กี ารทฝ่ี ่ ายหน่งึ ปฏิเสธไมท่ าตามหรอื ปฏบิ ตั ิกิจกรรมท่คี วรปฏบิ ตั ิ 9 หรือมหี นา้ ท่ตี อ้ งปฏิบตั ิ ซ่งึ มิไดเ้ ป็นวิธีการแกไ้ ขท่ีตวั ปญั หา แต่อาจเป็นวธิ ีการกดดนั ใหอ้ ีกฝ่ ายหน่ึงยอมปฏิบตั ิในส่งิ ท่ี 10 ตอ้ งการ วธิ ีการดงั กลา่ วน้ีมกั จะใชไ้ ดผ้ ลดที ่สี ุดในสถานการณ์ท่ฝี ่ ายท่ถี ูกประทว้ งจะตอ้ งพ่งึ พาอาศยั อีกฝ่ ายหน่ึงในความ 11 เป็นอยู่ 12 หรือมกี ารใชก้ าลงั บงั คบั ซ่งึ เป็นวธิ ีการจดั การกบั ขอ้ ขดั แยง้ ท่ฝี ่ ายหน่ึงมอี านาจเหนือกว่าอีกฝ่าย และไม่ 13 สามารถชกั จูงใจใหฝ้ ่ายท่ดี อ้ ยกว่ายอมจานนหรอื คลอ้ ยตามได้ จึงใชว้ ิธบี งั คบั เพ่อื ยุติความขดั แยง้ ท่เี กิด ซ่งึ ฝ่ ายทใ่ี ชก้ าลงั 14 บงั คบั ไดน้ น้ั จะตอ้ งมกี าลงั หรอื อานาจเพยี งพอทจ่ี ะบงั คบั หรอื ทาความเสยี หายใหแ้ ก่อีกฝ่ายหน่ึงได้ และตอ้ งแสดงใหอ้ ีก 15 ฝ่ายทราบดว้ ยว่า มคี วามสามารถเช่นนน้ั ไดแ้ ละจะใชอ้ านาจเช่นนนั้ ดว้ ย แต่ วิธีการน้ีไม่ใชก่ ารแกไ้ ขความขดั แยง้ ท่ปี ญั หา 16 และคู่กรณีทถ่ี กู บงั คบั จะมคี วามรูส้ กึ ไมพ่ อใจจนอาจนาไปสู่การแกแ้ คน้ ได้ 17 18 2. ขน้ั การวเิ คราะหเ์ พอ่ื ประเมนิ เพอ่ื เขา้ ใจและรูค้ ู่กรณีและกาหนดกลยทุ ธก์ ารเจรจา 19 ตอ้ งมกี ารประเมนิ ค่า (assessment) เพ่อื ความเขา้ ใจสถานภาพของแต่ละฝ่ ายจะทาใหก้ ารบริหารความ 20 ขดั แยง้ เป็นไปอย่างมปี ระสทิ ธิภาพ ไดข้ อ้ ตกลงท่ที งั้ สองฝ่ายพงึ พอใจและนาไปปฏบิ ตั ิได้ การเขา้ ใจสถานภาพ ของแต่ละฝ่าย 21 ประกอบดว้ ยเร่ือง ผูท้ ข่ี ดั แยง้ ตอ้ งรูช้ ดั เจนวา่ 22 2.1 มีปญั หาขอ้ ขดั แยง้ อะไร ท่ีเกิดจากการแขง่ ขนั หรือแย่งชิงทรพั ยากรอะไร เพราะโดยแทจ้ ริงแลว้ 23 ความขดั แยง้ ท่แี ทจ้ รงิ อาจจะมมี ากกวา่ หรือซ่อนเรน้ ไว้ ท่มี อี าจจะเป็นหรือเกิดจากความเขา้ ใจผดิ หรอื ความคิดก็ได้ โดย 24 ก่อนเร่ิมลงมอื เจรจา คนกลางท่ที าหนา้ ท่หี รอื คู่กรณีความขดั แยง้ ตอ้ งมมี คี าถามทเ่ี ป็นพ้นื ฐานเพ่อื ใหไ้ ดค้ วามจริงพ้นื ฐานท่ี 25 ขดั แยง้ ในรายละเอยี ดในประเดน็ สาคญั ๆ เพม่ิ ข้นึ จากการท่ไี ดม้ กี ารรวบรวมขอ้ มลู พ้นื ฐานเทา่ ทท่ี าไดม้ าก่อนแลว้ 26 การกาหนดคาถามเพ่อื ตอ้ งการคาตอบ จากคู่กรณีความขดั แยง้ นนั้ ตอ้ งเป็นคาถามปลายเปิด (มกี าร 27 บนั ทกึ ขอ้ มลู ดว้ ยการอดั เสยี งดว้ ย) จุดมงุ่ หมายของคาถามปลายเปิดท่จี ะทาเพม่ิ เติมคอื การท่จี ะกาหนดประเดน็ ท่สี าคญั ใน 28 การเจรจา ใหช้ ดั เจน จากแนวทางของพาเรโตท้ ่เี ราจะตอ้ งวเิ คราะหห์ าเหตรุ อ้ ยละ 20 ท่ที าใหเ้กดิ ปญั หารอ้ ยละ 80 เพ่อื ไดใ้ ช้ 29 เวลา ตามกาหนดการอย่างมคี ุณค่ามากท่สี ุดในการแกป้ ญั หา ดงั นนั้ เป็นทกั ษะทจ่ี าเป็นของผูป้ ระสานงานทเ่ี ป็นคนกลาง ใน 30 การเจรจาทต่ี อ้ งสามารถกาหนดประเดน็ หลกั ท่ตี อ้ งไมย่ อมใหป้ ระเดน็ อ่นื เขา้ มา บดบงั หรือแยง่ ความสาคญั ไป

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 58 1 การตงั้ คาถาม ตอ้ งเตรยี มซกั ซอ้ ม เพ่อื ใหเ้ กิดคลอ่ งแคลว่ และความชดั เจน จาเป็นตอ้ งเตรียมการก่อน 2 เพอ่ื เพ่มิ ทกั ษะในการเจรจา เพราะการกาหนดภาษา การตง้ั ความหมาย การแสดงภาษาทางกาย รวมทงั้ การฟงั อย่างมรี ะบบ 3 และการปฏิบตั ิตน เพ่ือสรา้ งความน่าเช่ือถือ ฯลฯ เป็นเร่ืองท่ีพงึ ปรารถนา ของคนกลางท่จี ะทาหนา้ ท่ปี ระสาน เช่อื ม ให้ 4 คู่กรณีย์ ท่มี คี วามขดั แยง้ มคี วามสบายใจ ในบรรยากาศทก่ี ่อใหเ้ กดิ ความร่วมมอื ในอนั ท่จี ะเกิด สถานการณ์ชนะ ชนะ ให้ 5 มากท่สี ุด 6 ตวั อย่างคาถามปลายเปิดท่ตี อ้ งการคาตอบเพอ่ื ใชว้ เิ คราะหส์ รุปเพม่ิ เตมิ เช่น ขอ้ ขดั แยง้ ท่เี จรจา 7 (ก) มลี กั ษณะอยา่ งไร (ข) มคี วามเป็นมาอย่างไรจึงตอ้ งเกดิ มกี ารเจรจาข้นึ (ค) มใี ครท่เี ก่ียวขอ้ งบา้ ง และการรบั รูข้ องแต่ละ 8 คนท่มี ตี ่อขอ้ ขดั แยง้ น้ีเป็นอย่างไร (ง) ฝ่ายทา่ นตอ้ งการไดอ้ ะไรจากการเจรจาครงั้ น้ี (ผลประโยชน์ ท่ตี อ้ งการจากการแขง่ ขนั 9 ฯลฯ ในการแย่งชงิ ทรพั ยากร) (จ) อะไรคือเป้าหมาย ของคู่กรณี 10 ดงั นนั้ ในการเจรจาต่อรองเร่ืองน้ีถา้ คู่กรณีท่ตี อ้ งการชยั ชนะในการเจรจาเพ่ือเกิดฉันทามติ 11 (consensus) ตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู ท่จี ะตอ้ ง “รูเ้ ขารูเ้ รา รบรอ้ ยครง้ั ชนะรอ้ ยครงั้ ” 12 คู่กรณี ตอ้ งทาการประเมนิ ขอ้ มลู ความเป็นจรงิ ของฝ่ายตรงขา้ มใหไ้ ดว้ า่ (ก) เป้าหมายของฝ่าย 13 ตรงขา้ มคืออะไร (ข) มคี าถามอะไรบา้ งท่คี าดวา่ จะถูกซกั ถาม (ค) ฝ่ ายตรงกนั ขา้ มจะมผี ลประโยชน์ท่นี าไปสู่การกาหนด 14 จุดยนื อยา่ งไร การเจรจา มผี ลประโยชนซ์ ่อนเรน้ อ่นื ใดบา้ งท่มี องไมเ่ หน็ และ (ง) อะไรทเ่ี ป็นผลประโยชน์ เงอ่ื นไข ท่ฝี ่ายตรง 15 ขา้ มถอื ว่าสาคญั มอี ะไรบา้ งท่ฝี ่ายนนั้ จะกาหนดข้นึ เพ่อื เจรจาต่อรอง เป็นตน้ เม่อื คนกลางในการเจรจาต่อรอง หรือคู่กรณี 16 สามารถคาดหมายผลประโยชนท์ ่พี งึ ประสงค์ ท่จี ะนาไปสู่จดุ ยนื ของเขา (ท่อี าจเปลย่ี นไดต้ ามผลประโยชน)์ ของคู่กรณีได้ 17 ลว่ งหนา้ แลว้ 18 ต่อจากน้คี นกลางก็มหี นา้ ท่ตี อ้ งเตรียมความพรอ้ มในดา้ นต่าง ๆ ตามประเดน็ เหลา่ น้ีเพ่อื จะได้ 19 เจรจาโตต้ อบไดด้ ว้ ยขอ้ มลู และตวั เลขต่าง ๆ ท่สี นบั สนุนผลประโยชนท์ ่จี ะแสดงออกมาในรูปของจุดยนื ของเราเองท่เี ป็น 20 คู่กรณีใหเ้ กิดชยั ชนะ (ชนะ-ชนะ) ดว้ ยการทาใหข้ อ้ มลู และความจรงิ นน้ั ใหม้ นี า้ หนกั ย่งิ ข้นึ ของการสมเหตุ สมผล ทงั้ ตอ้ ง 21 พจิ ารณาอารมณ์ของอีกฝ่ ายท่ีเป็นคู่กรณีท่แี สดงออกมาเพราะอารมณ์ เพราะอาจเป็นสาเหตุท่ีแทจ้ ริงของความขดั แยง้ 22 ประกอบการพจิ ารณาสรุปดว้ ย 23 โดยจาเป็นท่ตี อ้ งมกี ารแยกแยะประเด็นปญั หาท่สี าคญั (ตามแนวทางของพาเรโตด้ 20:80) ศึกษาใหล้ กึ ว่า 24 แทจ้ รงิ แลว้ ปญั หาคืออะไรเพอ่ื ท่รี ูส้ าเหตุสาคญั ของปญั หาหลกั และแสวงหา วเิ คราะห์ ว่ามหี นทางท่จี ะจดั การอยา่ งไร เพ่อื ทา 25 ใหส้ ามารถเตรียมการผูเ้ก่ยี วขอ้ งใหร้ บั รู ้ และเขา้ ใจอย่างถอ่ งแทเ้กย่ี วกบั ผลประโยชนท์ เ่ี ป็นความสนใจร่วม ปญั หาร่วม ความ 26 ตอ้ งการร่วม ในอนั ท่จี ะมกี ารเปลย่ี นจุดยนื ท่จี ะตอ้ งยดื หยุ่นไดใ้ นการการเจรจา 27 2.2 การช้ีใหค้ ูก่ รณี เหน็ วา่ ตอ้ งมีความร่วมมือกนั ในกระบวนการแกไ้ ขความขดั แยง้ ดว้ ยความเคารพ 28 และนบั ถือซ่งึ กนั และกนั ทง้ั ตอ้ งละลดพฤติกรรมท่ปี รากฏชดั ท่อี าจแสดงความกา้ วรา้ ว การแขง่ ขนั การโตเ้ ถียงหรือการ 29 แกป้ ญั หา 30 2.3 กาหนดกลยุทธ์ (strategy) ของการเจรจา ผูป้ ระสานงานในการเจรจาท่ีเป็นคนกลางหรือคู่กรณีท่ี 31 ขดั แยง้ กนั จาเป็นตอ้ งกาหนดกลยทุ ธก์ ารเจรจาในอนั ทจ่ี ะเกดิ ผลในสถานการณท์ พ่ี งึ ปรารถนามากท่สี ดุ คอื ชนะ-ชนะ ทง้ั น้ี

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 59 1 คู่กรณีมสี ทิ ธิกาหนดทางเลอื กอ่นื ทส่ี ง่ ผลดี ลดหลนั่ รองลงมาดว้ ย การกาหนดกลยุทธ์ คือ การท่ีเรากาหนดวธิ ีการอนั 2 ชาญฉลาด ในการบรรลเุ ป้าหมาย เอาไว้ ซ่งึ จะตอ้ งรู ้ “เป้า” ทช่ี ดั เจน รูป้ ญั หาหลกั และสาเหตทุ ่สี าคญั ท่จี ะเป็น “เป้าของการ 3 ยงิ ” เพอ่ื ท่จี ะไดจ้ ดั การว่า ปจั จยั (inputs) ทเ่ี ป็นทรพั ยากรอะไร ท่ตี อ้ งนามา “ส่งเสบยี งสาหรบั การรบ” จะแบง่ หน่วยระบบ 4 ทเ่ี ป็น หน่วยระบบกระทาการ (treatment) ก่หี น่วยตามสถานการณ์ แต่ละสถานการณ์ 5 คู่กรณีเอง ในการกาหนดกลยุทธข์ องท่าน ก็ควรพิจารณาว่าทง้ั ฝ่ ายท่านและฝ่ ายตรงขา้ มมี 6 “ทางเลอื กท่ีดีท่ีสุดท่ีเป็นขอ้ ตกลงของการเจรจาต่อรอง” หรือไม่ (Best Alternative To a Negotiated Agreement; 7 BATNA) กลา่ วคอื BATNA ของทา่ นจะเป็นตวั กาหนดว่า มลู ค่าท่ตี า่ สดุ ซ่งึ ท่านสามารถรบั ไดจ้ ากขอ้ ตกลงของการเจรจาน้ี 8 เป็นเท่าไร แต่ถา้ ไดส้ ูงกวา่ น้กี ็เป็นเร่อื งดี อย่างไรกต็ ามในทางกลบั กนั ท่านกไ็ มค่ วรคาดหวงั ถงึ ความสาเร็จของการเจรจาโดย 9 ไมม่ อง BATNA ของฝ่ายตรงขา้ มแมว้ ่าฝ่ายท่านไมอ่ าจสนองตอบไดก้ ็ตาม แต่ทา่ นอาจทาใหฝ้ ่ายตรงขา้ มเปลย่ี นแปลงได้ 10 11 3. ขน้ั การกาหนดกฎกตกิ าพ้นื ฐาน (Definition of ground rules) 12 หลงั จากทไ่ี ดว้ างแผนและกาหนดกลยุทธเ์ สรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ คู่เจรจา ทเ่ี ป็นคู่ขดั แยง้ ก็เร่ิมหารือกบั ฝ่ าย 13 ตรงขา้ ม เพอ่ื ท่ที ง้ั สองฝ่ายไดแ้ ลกเปลย่ี นขอ้ เสนอเบ้อื งตน้ ท่เี ป็นทเ่ี ป็นผลประโยชนท์ ่แี สดงออกมาในรูปของจดุ ยนื อยา่ งนอ้ ย 14 ตอ้ งมเี ร่ืองสาคญั ท่เี ก่ยี วขอ้ งคือ 15 - กติกาพ้นื ฐานและขน้ั ตอนทเ่ี ก่ยี วกบั การเจรจาว่าจะดาเนนิ อยา่ งไร 16 - ใครจะเป็นผูเ้จรจาต่อรอง จะเจรจาทไ่ี หน 17 - ขอ้ จากดั เร่อื งเวลามหี รอื ไม่ ถา้ มจี ะทาอย่างไร จะจากดั ประเดน็ ทเ่ี จรจาหรอื ไมเ่ พยี งใด 18 - จะมวี ธิ ีดาเนนิ การอยา่ งไรหากการเจรจาพบทางตนั 19 - แลกเปลย่ี นขอ้ เสนอหรือความตอ้ งการของฝ่ายตนในเร่อื งท่จี ะเจรจาต่อไป 20 21 4. ขน้ั การทาความชดั เจนของปญั หาขดั แยง้ 22 ดว้ ยการร่วมมอื กนั และหาเหตุผลสนบั สนุน (Clarification and justification) ในขน้ั น้ีแต่ละฝ่ ายจะ 23 อธบิ าย ขยายความ ทาความชดั เจน เสรมิ แต่ง และหาเหตผุ ลเพอ่ื สนบั สนุน ผลประโยชนท์ ่แี สดงออกมาในรูปของจุดยนื เดมิ 24 ของตน เป็นขนั้ ตอนท่คี ู่กรณี สามารถมอบเอกสารทส่ี นบั สนุนขอ้ เสนอของแต่ละฝ่ าย ใหฝ้ ่ายตรงขา้ มพจิ ารณา ขน้ั ตอนน้ไี ม่ 25 จาเป็นตอ้ งเป็นการเผชญิ หนา้ กนั แต่ถอื เป็นโอกาสดที ่แี ต่ละฝ่ายจะไดเ้รียนรูไ้ ดใ้ หก้ ารศกึ ษาหรือไดแ้ จง้ ใหท้ ราบซง่ึ กนั และกนั 26 ในเร่อื งท่สี าคญั คอื 27 4.1 สรุปประเด็นเจรจาท่ีมคี วามสาคญั มีอะไร มีอย่างไร การระบุปญั หาร่วมกนั เป็นพ้นื ฐานของความ 28 เช่อื ท่วี ่าคู่กรณีทกุ ฝ่าย แสดงใหเ้หน็ ถงึ ความตอ้ งการทจ่ี ะแกป้ ญั หา ดว้ ยความเคารพซง่ึ กนั และกนั หลกี เลย่ี งการใชอ้ านาจ มี 29 ความรบั ผิดชอบต่อกนั ทง้ั เร่ืองความรูส้ ึก ความคิดและพฤติกรรมท่ีแสดงออก ท่ีเม่อื รบั รูข้ อ้ มูลป้ อนกลบั ก็สามารถ 30 เตรยี มการเปลย่ี นแปลงท่ยี ดื หยุน่ ได้ ความขดั แยง้ ท่ีเกิดตอ้ งเนน้ ท่ีตวั ปญั หาและสาเหตุปญั หา ไม่ใช่เนน้ ท่ีตวั บุคคลท่ี 31 เก่ยี วขอ้ ง แมว้ ่าตอ้ งทราบรายละเอยี ดดงั กลา่ วอย่างยง่ิ ก็ตาม เพราะการเนน้ ประเดน็ ปญั หาทเ่ี กดิ จากการแขง่ ขนั หรอื แยง่ ชงิ

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 60 1 ทรพั ยากร ฯลฯ ไม่เนน้ ตวั บุคคล จะก่อใหเ้ กิดความร่วมมอื ร่วมใจ มากกว่าทม่ี กี ารเนน้ ตวั บุคคลท่อี าจจะเกิดผลดา้ นการ 2 ต่อตา้ น ไมล่ งรอยในท่สี ดุ 3 ความยากงา่ ยของการจดั การความขดั แยง้ ข้นึ อยู่กบั ความสลบั ซบั ซอ้ นของปญั หาและสมรรถภาพในการ 4 วเิ คราะหห์ าเหตุท่แี ทจ้ รงิ ท่เี ป็นสาเหตสุ าคญั รอ้ ยละย่สี ิบ (20) ท่ที าใหเ้ กิดปญั หารอ้ ยละแปดสบิ (80) อาจถงึ ทางตนั (dead 5 lock) ซง่ึ จาเป็นทต่ี อ้ งหาสาเหตุท่ที าใหเ้กดิ ทางตนั ดว้ ยการรเิ ร่ิมกระบวนการ ทม่ี กี ารตรวจสอบทงั้ สองดา้ นทเ่ี ป็นการสบื คน้ 6 ลว้ งลกึ หาผลประโยชนแ์ ละขอบเขตทน่ี าไปสู่การกาหนดจุดยนื ของคู่กรณีใหพ้ บเพอ่ื กาหนดประเดน็ ปญั หา เร่ืองราวในการ 7 เจรจาใหช้ ดั เจน ซ่งึ อาจทาใหม้ กี ารเปลย่ี นจดุ ยนื ของคู่กรณีทข่ี ดั แยง้ ดว้ ยการ “รกั ษาหนา้ ” ของคู่กรณีดว้ ย 8 กระบวนการท่มี กี ารตรวจสอบทง้ั สองดา้ น ประกอบดว้ ย (ก) แต่ละฝ่ายมอี ารมณ์คา้ งจากเหตุการณ์อ่ืน 9 หรอื ไม่ (ข) ใหร้ ะบุประเด็นขอ้ ตกลงและดาเนินการไดก้ ่อน เพ่อื ลดความขดั แยง้ แลว้ ค่อยระบุประเดน็ ของความขดั แยง้ ท่ี 10 คา้ งคา (ค) เลอื กวธิ ีการ และเทคนิค การผา่ ทางตนั ทเ่ี หมาะสมกบั สถานการณ์ เช่น การหลกี เลย่ี ง การเผชญิ หนา้ กบั อกี ฝ่าย 11 ท่แี สดงพลงั การบบี บงั คบั และกาหนดกรอบกตกิ าท่เี หมาะสม โดยเฉพาะ ว่าใครเป็นผูท้ ม่ี สี ว่ นในการตดั สนิ ใจ (ชาญชยั อา 12 จินสมาจาร, 2547) 13 4.2 แต่ละฝ่ ายจะบรรลุความตอ้ งการของตนไดอ้ ย่างไร ดว้ ยวธิ ีการสมานฉนั ทเ์ พ่อื เกิดขอ้ ตกลงร่วม 14 (consensus) 15 16 5. ขน้ั ท่ฝี ่ ายท่ีขดั แยง้ รว่ มกนั แสวงหาและประเมนิ ทางเลือกท่ดี ที ่ีสดุ 17 ทางเลอื กท่เี ป็นท่นี ่าพงึ พอใจของฝ่ ายท่มี ีความขดั แยง้ คือสถานการณ์ชนะ-ชนะ และสมั พนั ธภาพท่พี ึง 18 ปรารถนา ทจ่ี ะเกดิ การสรา้ งพลงั ร่วมหากมโี อกาสทเ่ี ป็นไปได้ ขนั้ ท่ี 5 สามารถแยกออกเป็น 2 ขน้ั ตอน คือ 19 5.1 การระดมความคดิ จากทกุ ฝ่ ายท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั ความขดั แยง้ น้ัน ในการใหค้ าตอบหรือทางเลอื กต่าง ๆ 20 ในแต่ละประเด็นท่จี ะใชแ้ กไ้ ขความขดั แยง้ ซ่งึ มรี ะดบั ความคาดหวงั ระหวา่ งท่สี ูงทส่ี ุดกบั ตา่ ท่สี ุดท่พี งึ รบั ได้ ซ่งึ การจดั ท่นี งั่ 21 มกั นงั่ เป็นวงกลาง 22 5.2 การประเมินทางเลอื กตามคาตอบในแตล่ ะประเด็นของความขดั แยง้ ทก่ี ารแกไ้ ขปญั หาความขดั แยง้ 23 แบบสรา้ งสรรคค์ ุณค่า (values creating) และเพ่มิ คุณค่า (values added) ดว้ ยการหาคาตอบท่สี นองความตอ้ งการของ 24 ทง้ั สองฝ่ายดว้ ย ทง้ั ก่อใหเ้กดิ สมั พนั ธภาพทด่ี ี และอาจเพ่มิ พลงั ร่วม ต่อการทางานร่วมกนั อีกดว้ ย การกาหนดทางเลอื กจาก 25 วธิ กี ารแกไ้ ขความขดั แยง้ มี 4 วธิ ี ไดแ้ ก่ (ก) วธิ ชี นะ-แพ้ (ข) วธิ แี พท้ ง้ั คู่ (ค) วธิ กี ารทท่ี ง้ั สองฝ่ายเป็นผูช้ นะ (ง) วธิ ีการแกไ้ ข 26 ปญั หาร่วมกนั ทม่ี ผี ลรูปแบบชนะทง้ั คู่ 27 ในขน้ั ตอนน้ี อาจมีการแทรกแซงจากคนกลาง ในรูปแบบของการไกล่เกล่ยี หรือการเจรจาต่อรอง หรือ 28 อนุญาโตตุลาการ 29 30 6. ขน้ั มขี อ้ ตกลงร่วมในการมีคาตอบท่ีเหมาะสม และมีความเป็ นไปไดส้ ูงในการนาไปใช้ จากขนั้ ท่ี 5 เมอ่ื ไดม้ ี 31 การประเมนิ ทางเลอื กทส่ี รา้ งข้นึ ทุกทางเลอื กแลว้ กจ็ ะตอ้ งมกี ารทาการตกลงวา่

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 61 1 6.1 ใชท้ างเลือกทางใด โดยปกติจะเลอื กจากผลการประเมินว่าทางเลอื กท่ดี ีท่ีสุดควรเป็นทางเลอื กท่ี 2 ตดั สนิ ใจแลว้ ว่าจะนาไปใช้ การทาขอ้ ตกลงอาจทาในรูปของสญั ญาซง่ึ จะบอกสทิ ธิหนา้ ทข่ี องแต่ละฝ่ายตลอดจนส่งิ ท่จี ะไดร้ บั 3 6.2 การมีฉนั ทามติ หรือขอ้ ตกลงร่วม (consensus) หลงั จากไดข้ อ้ ตกลงท่เี ป็นท่พี งึ พอใจแลว้ ตอ้ งมกี าร 4 เขยี นไวอ้ ย่างชดั เจน ถา้ ตกลงไมช่ ดั เจนการแกไ้ ขความขดั แยง้ จะไมเ่ ป็นผลสาเร็จ 5 หลกั ของฉนั ทามติ คอื เป็นผลสรุปของการตดั สนิ ใจ (resolution) ทค่ี ู่กรณี มอี านาจเทา่ เทยี มกนั ชว่ ยกนั 6 ในการแกป้ ญั หาและหาทางออกร่วมกนั ฟงั และถามคาถามแทนการใชอ้ านาจและโตแ้ ยง้ ตรวจทานความเขา้ ใจโดยการ 7 สนทนาและแลกเปล่ยี นความคิดเห็นระหว่างกนั ท่ี เกิดจากปญั ญา ค่านิยม ทางเลอื ก ความคาดหวงั และเง่ือนไขของ 8 คู่กรณีทจ่ี ะนาไปสู่การตดั สนิ ใจหรือพฒั นาในอนาคตดงั นน้ั ผลทไ่ี ดข้ องฉนั ทามติ ก็คือ ความโปร่งใส มกี ารเผยแพร่รายงาน 9 อยา่ งกวา้ งขวาง (บรรพต ตน้ ธรี วงศ,์ 2553) 10 6.3 แต่ละฝ่ ายจะนาไปปฏิบตั ิ ในการปฏบิ ตั จิ ะตอ้ งมกี ารประเมนิ ก่อนว่าเป็นไปตามขอ้ ตกลงหรือไม่ ถา้ 11 จาเป็นในระหว่างการปฏบิ ตั ิอาจมกี ารปรบั ปรุงขอ้ ตกลงใหเ้ หมาะสมย่งิ ข้นึ อาจมกี ารเจรจากนั ใหมเ่ พ่อื แกไ้ ขและปรบั ปรุง 12 ขอ้ ตกลงใหเ้ กดิ ผลเป็นท่พี ึงพอใจของทกุ ฝ่ายและสามารถ ปฏิบตั ิไดโ้ ดยผลท่ไี ดย้ ึดหลกั ชนะ-ชนะ การลงนามจะตอ้ งเกิด 13 เป็นพนั ธสญั ญาและมแี นวทางในการใหข้ อ้ ตกลง มคี วามเป็นไปได้ ในการควบคุมจดั การ (manipulation) ใหบ้ งั เกิดผล 14 ดว้ ยท่ฝี ่ายทข่ี ดั แยง้ จะตอ้ งดาเนนิ การ 15 กลา่ วโดยสรุป กระบวนการบริหารความขดั แยง้ ในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตรแบง่ ออกเป็น 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี 16 เตรียมการพ้นื ฐานเพ่อื ความสาเร็จในการจดั การความขดั แยง้ วิเคราะหเ์ พ่อื ประเมนิ คู่กรณีและกาหนดกลยุทธก์ ารเจรจา 17 กาหนดกฎกติกาพ้นื ฐาน ทาความชดั เจนของปญั หาขดั แยง้ ร่วมกนั แสวงหาและประเมนิ ทางเลอื กท่ีดที ่สี ุด และกาหนด 18 ขอ้ ตกลงร่วมกนั 19 20 กจิ กรรมท่ี 12.3.2 21 กระบวนการบรหิ ารความขดั แยง้ มขี น้ั ตอนอะไรบา้ ง 22 23 แนวตอบกจิ กรรมท่ี 12.3.2 24 กระบวนการบรหิ ารความขดั แยง้ มี 6 ขนั้ ตอนดงั น้ี 25 1. เตรียมการพ้นื ฐานเพอ่ื ความสาเรจ็ ในการจดั การความขดั แยง้ 26 2. วเิ คราะหเ์ พ่อื ประเมนิ คู่กรณีและกาหนดกลยุทธก์ ารเจรจา 27 3. กาหนดกฎกตกิ าพ้นื ฐาน 28 4. ทาความชดั เจนของปญั หาขดั แยง้ 29 5. ร่วมกนั แสวงหาและประเมนิ ทางเลอื กทด่ี ที ่สี ุด 30 6. กาหนดขอ้ ตกลงร่วมกนั 31

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 62 1 เร่ืองท่ี 12.3.3 2 กลยทุ ธก์ ารบรหิ ารความขดั แยง้ ในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 3 4 การบริหารความขดั แยง้ นบั เป็นภารกิจท่ยี ากท่สี ุดอยา่ งหน่งึ ของผูบ้ รหิ ารในการดาเนนิ การใหอ้ งคก์ ารสามารถบรรลุ 5 วตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี ง้ั ไว้ การบริหารความขดั แยง้ ควรเป็นไปในทางทจ่ี ะทาใหไ้ ดผ้ ลตามมาเป็นประโยชนต์ ่อองคก์ ารมากท่สี ุด โดย 6 ปราศจากการเป็นศตั รูกนั ของกลมุ่ ทข่ี ดั แยง้ และพฤตกิ รรมการทาลาย การท่จี ะจดั การกบั ความขดั แยง้ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 7 นน้ั ตอ้ งอาศยั ทกั ษะในการบริหาร และตอ้ งมกี ารวนิ จิ ฉยั ความขดั แยง้ ไดถ้ ูกตอ้ ง ผูท้ ่จี ดั การกบั ความขดั แยง้ ตอ้ งมศี ิลปะใน 8 การจูงใจคน ตอ้ งมคี วามใจเยน็ อดทนเพยี งพอ และมคี วามสามารถในการตดั สนิ ใจ 9 10 กลยทุ ธท์ ่สี าคญั ในการบรหิ ารจดั การความขดั แยง้ 11 กลยุทธท์ ่สี าคญั ในการบรหิ ารจดั การความขดั แยง้ ในการส่งเสริมและพฒั นาการเกษตร ประกอบดว้ ย 9 กลยุทธ์ 12 ไดแ้ ก่ กลยุทธใ์ ชใ้ นการไกล่เกลย่ี และเจรจาเพ่อื แกป้ ญั หาความขดั แยง้ กลยุทธก์ ารลดระดบั ความตอ้ งการของคู่เจรจาฝ่าย 13 ตรงขา้ มลง กลยุทธก์ รอบความคดิ ในการต่อรอง กลยุทธก์ ารเนน้ ขอ้ ยุติแบบชนะ-ชนะแทนแบบชนะ–แพ้ กลยุทธก์ ารสรา้ ง 14 ความไวว้ างใจ กลยุทธก์ ารสรา้ งพลงั ร่วม กลยุทธก์ ารร่วมมอื กนั การผสมผสาน หรือการแกป้ ญั หา กลยุทธก์ ารมคี วามเหน็ 15 สอดคลอ้ ง และกลยุทธก์ ารตดั สนิ ใจแบบผสมผสาน โดยดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจินดา ขลบิ ทอง (2554, น. 12-50 – 12-54) 16 ศริ วิ รรณ มนอตั ระผดุง (2559, น. 193-208) ไดอ้ ธิบายกลยุทธท์ ่สี าคญั ในการบรหิ ารจดั การความขดั แยง้ ไวด้ งั น้ี 17 18 ภาพท่ี 12.8 กลยุทธท์ ส่ี าคญั ในการบริหารจดั การความขดั แยง้ ในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 63 1 1. กลยทุ ธใ์ ชใ้ นการไกลเ่ กล่ยี และเจรจาเพอ่ื แกป้ ญั หาความขดั แยง้ 2 ประกอบดว้ ย 3 1.1 การเจรจามุ่งเน้นท่ีตวั ปญั หาและความตอ้ งการ ดว้ ยวิธีการการแกป้ ญั หา (Problem Solving 4 Negotiation) ท่เี หมาะสม มที ศิ ทางท่สี าคญั คือ 5 1) มงุ่ เนน้ ทีผ่ ลประโยชนไ์ มใ่ ช่จุดยนื และใชเ้ กณฑท์ ีเ่ หมาะสม ยตุ ิธรรม ท่เี นน้ การต่อรองเพ่ือ 6 สว่ นรวม และคน้ หาส่งิ ทเ่ี ป็นประโยชนร์ ่วมกนั 7 2) ตอบสนองประโยชนร์ ่วมของค่ขู ดั แยง้ ทกุ ฝ่ าย ใหอ้ ยู่ในสถานการณ์ชนะ ชนะ (win- win 8 situation) ก่อน ท่กี ่อใหเ้กิดการเพม่ิ ระดบั ความพงึ พอใจของทกุ ฝ่าย ดว้ ยการขยายผลประโยชนก์ ่อนทจ่ี ะแบง่ ปนั กนั ดว้ ย 9 การสรา้ งทางเลอื กท่ดี ที ่สี ดุ ตามขอ้ ตกลงในการเจรจา 10 3) การสนบั สนุนความสมั พนั ธแ์ บบสมานฉนั ท์ (collaborative relationship) 11 1.2 การเจรจาแบบมีหลกั การ (Principled Negotiation) มที ศิ ทางทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ 12 1) มงุ่ เนน้ ทีผ่ ลประโยชน์ แต่ไมจ่ าเป็นท่ตี อ้ งนุ่มนวลเสมอไป เพราะตอ้ งเจาะลกึ ใหเ้ ขา้ ถงึ แก่น 13 ของประเดน็ ปญั หาและผลลพั ธท์ ่จี ะได้ 14 2) แยกบคุ คลออกจากปญั หา เพราะตอ้ งการใหเ้กดิ การสมานฉนั ทข์ องคู่ขดั แยง้ 15 3) ใชแ้ นวทางที่เกิดผลประโยชนแ์ ก่ทกุ ฝ่ าย มกี ารยดึ หลกั การ มกี ารกาหนดและ ใชเ้ กณฑท์ ่ี 16 เหมาะสมตามทศิ ทางในสองขอ้ ยอ่ ยขา้ งบน ทง้ั มที างเลอื กท่ดี ที ส่ี ดุ ทก่ี ่อใหเ้กดิ ผลลพั ธ์ ทด่ี ที ่สี ดุ 17 1.3. การเจรจาแบบปรปกั ษก์ นั (Adversary Negotiation) มที ศิ ทางท่สี าคญั คือ 18 1) เนน้ ผลลพั ธใ์ นสถานการณแ์ บบชนะ –แพ้ (win – lose situation) 19 2) ความสมั พนั ธเ์ ป็นปรปกั ษก์ นั เพราะตอ้ งเนน้ การขม่ ขู่ โตแ้ ยง้ การเปิดเผยขอ้ มลู ลบั ของคู่ 20 ขดั แยง้ ใหม้ ากท่สี ุดเพ่อื บนั่ ทอนความมนั่ ใจของฝ่ ายคู่กรณีใหม้ ากท่สี ุด ทงั้ ตอ้ งปกป้องผลประโยชนข์ องฝ่ายตนใหม้ ากทส่ี ุด 21 ดว้ ยการสรา้ งการเบย่ี งเบน หนั เห ท่กี ่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจผิด ตลอดจนการปิดบงั ขอ้ มลู ดา้ นลบหรือจดุ อ่อนใหม้ าก ทส่ี ุด 22 ของตนเองดว้ ยการสรา้ งความพงึ พอใจใหฝ้ ่ ายตน เพยี งเพราะตอ้ งการถอื สทิ ธ์ิ ในทรพั ยากรท่ีขดั แยง้ กนั กนั ซ่ึงมจี ากดั 23 ทง้ั หมดหรือ มาก ท่สี ดุ 24 2. กลยุทธก์ ารลดระดบั ความตอ้ งการของคู่เจรจาฝ่ ายตรงขา้ มลง (Reduce opponents’ aspirations) 25 ผูเ้ จรจาต่อรองของฝ่ ายขดั แยง้ ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึง มกั ใชก้ ลยุทธข์ องตนเพ่อื ลดระดบั ความตอ้ งการของคู่ 26 เจรจาท่ขี ดั แยง้ ดว้ ยการยา้ ขอ้ มูลเหตุผลใหเ้ ห็นว่าคู่ขดั แยง้ ท่เี จรจามโี อกาสนอ้ ยมากท่จี ะสามารถบรรลุเป้ าหมายของตน 27 เพราะฉะนนั้ จึงขอใหพ้ จิ ารณารบั ขอ้ เสนอจากฝ่ ายเราซ่งึ พยายามเอ้ือประโยชนใ์ หม้ ากท่สี ุดแลว้ หรือช้ใี หเ้ หน็ ว่าหากฝ่ าย 28 ตรงกนั ขา้ มไมย่ อมรบั ขอ้ เสนอแลว้ ฝ่ายเราก็จาเป็นตอ้ งดงึ พนั ธมติ รรายอ่ืนท่มี ศี กั ยภาพสูงพอเขา้ มาแทน เป็นตน้ อย่างไรก็ 29 ตามกลยุทธเ์ ช่นน้ี ถา้ หากสรา้ งแรงกดดนั ต่อคู่เจรจามากกอ็ าจพบทางตนั ของการเจรจา และฝ่ ายคู่เจรจาก็อาจหาพนั ธมติ ร 30 ใหมม่ าร่วมงานไดเ้ ช่นกนั แต่ในทางกลบั กนั ถา้ คู่เจรจาเห็นว่า เงอ่ื นไขผลประโยชนจ์ ากขอ้ เสนอสูงพอ การเจรจาต่อรองก็ 31 บรรลผุ ล (Conflict and Negotiation, 2010)

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 64 1 3. กลยุทธก์ รอบความคดิ ในการต่อรอง (Cognitive frames in bargaining) 2 เป็นกลยุทธท์ ่ผี ูเ้จรจาต่อรองใชว้ ธิ พี จิ ารณาบรบิ ทและผลทต่ี อ้ งการจากการต่อรองอยา่ งละเอียดถถ่ี ว้ นแลว้ 3 นามาจดั เป็นกลุม่ ของกรอบความคิด (Cognitive frames) โดยพิงคเ์ ลย์ (Pinkley, 1990) ไดจ้ ดั กรอบความคิดดงั กล่าว 4 ออกเป็น 3 มติ ิ ไดแ้ ก่ (1) มติ มิ งุ่ สมั พนั ธก์ บั ม่งุ งาน (relationship / task) (2) มติ ิมงุ่ ใชอ้ ารมณ์กบั ใชส้ ติ (emotional / 5 intellectual) (3) มติ มิ งุ่ ความร่วมมอื กบั มงุ่ ชนะ (cooperate / win) 6 กรอบความคิดในการเจรจาต่อรองดงั กล่าวใหป้ ระโยชนต์ ่อการต่อรองอย่างมาก โดยเฉพาะคู่ขัดแยง้ ท่ี 7 เลอื กใชก้ รอบท่มี งุ่ งาน (task frame) หรอื กรอบทม่ี งุ่ ความร่วมมอื (cooperative frame) เป็นหลกั ในการเจรจา จะทาใหไ้ ด้ 8 ขอ้ ยุติทแ่ี ต่ละฝ่ายไดท้ งั้ ผลประโยชนเ์ ฉพาะฝ่ายและผลประโยชนท์ ่รี ่วมกนั (joint outcome) สูงกว่าการใชก้ รอบทม่ี งุ่ เอาชนะ 9 (win frame) ในขณะเดยี วกนั คู่เจรจาทง้ั สองทเ่ี ลอื กใชก้ รอบท่มี งุ่ ใชส้ ติ (intellectual frame) และกรอบท่มี งุ่ สมั พนั ธจ์ ะเกิด 10 ความรูส้ กึ พงึ พอใจต่อการเจรจามากกว่าการใชก้ รอบมงุ่ ใชอ้ ารมณ์ (emotional frame) 11 4. กลยุทธก์ ารเนน้ ขอ้ ยตุ ิแบบชนะ-ชนะแทนแบบชนะ–แพ้ (win-win versus win–lose orientation) 12 บางครง้ั ส่งิ ท่สี าคญั มากทส่ี ุดของการเจรจาท่ปี ระสบความสาเรจ็ ก็คอื การไดข้ อ้ ยุติเป็นทพ่ี อใจทงั้ สองฝ่าย 13 วอลตนั และแมคเคอรซ์ ี (Walton and McKersie) (อา้ งจากจรูญรตั น์ จนั ทุมา ,ชลดา ปืนแกว้ และคณะ (2549) เคยเสนอ 14 ไวก้ ว่า 30 ปีทแ่ี ลว้ วา่ ผูท้ ่รี ่วมการเจรจามขี อ้ ยุติท่เี ป็นทางเลอื กสาคญั อยูส่ องทาง อย่างแรกคอื มองว่าการเจรจาต่อรองใด ๆ 15 จะตอ้ งมฝี ่ายหน่งึ เป็นผูช้ นะในขณะท่อี ีกฝ่ายตอ้ งเป็นผูแ้ พ้ (win–lose situations) ส่วนอย่างหลงั ก็คือ ผูเ้ขา้ ร่วมการเจรจา 16 สามารถทาใหท้ ง้ั สองฝ่ายเป็นผูช้ นะ (win–win situations) กลา่ วคอื มองว่าผลประโยชนข์ องทงั้ สองฝ่ายมคี วามสาคญั เท่า 17 เทยี มกนั โดยพยายามใหไ้ ดผ้ ลประโยชนท์ ส่ี ูงสดุ เท่าท่ที าได้ 18 อย่างไรก็ดีไม่ใช่ทุกสถานการณ์ท่สี ามารถทาไดเ้ ช่นนนั้ แต่ถา้ ผูเ้ ขา้ ร่วมเจรจาทงั้ สองฝ่ ายเต็มใจท่คี น้ หา 19 ทางเลอื กต่าง ๆ อยา่ งรอบคอบ โดยการผสมผสานแนวคดิ ต่าง ๆ ในการแกป้ ญั หาเขา้ ดว้ ยกนั กส็ ามารถพบทางเลอื กใหมท่ ด่ี ี 20 ซง่ึ เรียกว่า ขอ้ ยุตแิ บบบูรณาการ (integrative agreement) ซ่งึ ทงั้ สองฝ่ายเป็นผูช้ นะ (win–win situation) แทนการใชว้ ธิ ี 21 ประนปี ระนอมงา่ ย ๆ ซ่งึ ทงั้ สองฝ่ายต่างตอ้ งสูญเสยี สว่ นหน่งึ ท่ีตนตอ้ งการไดไ้ ป 22 5. กลยทุ ธก์ ารสรา้ งความไวว้ างใจ (trust) 23 ความไวว้ างใจคือการท่กี ลุ่มเป้าหมายเกิดความเช่อื ถือต่อบคุ คลท่มี ปี ฏสิ มั พนั ธด์ ว้ ยเพราะความเชอ่ื ว่าจะ 24 ทาใหเ้ กิดการลดความเส่ยี งภายใตเ้ งอ่ื นไขของความคาดหวงั ในความเป็นอิสระท่มี บี รรยากาศของความแบ่งปนั และความ 25 เอ้อื เฟ้ือเอ้อื อาทร จะส่งเสริมใหเ้กิด ความสมั พนั ธท์ ่ลี ดภาวะการแข่งขนั ชงิ ดชี งิ เดน่ ลดความสลบั ซบั ซอ้ น เพม่ิ ระดบั ความ 26 ซ่อื ตรง เพ่มิ การเปิดเผยกนั สรา้ งใหเ้ กิดการแบ่งปนั แลกเปล่ยี น ความรู ้ ขอ้ มลู และความคาดหวงั ในการ สรา้ งทมี งาน 27 เครือขา่ ย มฉี นั ทามติหรือขอ้ ตกลงร่วมท่เี ป็นสถานการณ์ ชนะ-ชนะ (ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย, 2554) 28 กลยุทธก์ ารสรา้ งความไวว้ างใจจงึ เป็นการการปลูกฝงั การถ่ายทอดการอนุรกั ษต์ ่อรากฐานของเหตุ ปจั จยั 29 ท่ที าใหเ้กิดความไวว้ างใจคือ 30 (1) มบี รรยากาศของความสมั พนั ธเ์ นน้ การแบง่ ปนั และเอ้อื เฟ้ือเอ้อื อาทร (sharing & caring)

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการส่งเสรมิ และพฒั นาการเกษตร 65 1 (2) เทคนคิ การปฏสิ มั พนั ธท์ ท่ี าใหเ้กดิ (ก) ความตงั้ ใจรบั ฟงั (attention) อย่างจริงใจเพราะคนถูกสรา้ งให้ 2 มสี องหูแต่มแี ค่ ปากเดียว (ข) การยอมรบั (acceptance) ความเท่าเทยี มในการเป็นมษุษย์ (ค) การยอมรบั (approval) 3 เมอ่ื ขามเี หตุมผี ลท่ถี ูกตอ้ ง (ง) การช่นื ชม (admiral) เมอ่ื เขามคี วามคิดเห็นท่เี ป็นเหตุเป็นผล มคี วามซอ่ื สตั ย์ ไมพ่ ูดปด (จ) 4 มกี ารดูแลปฏบิ ตั ิ (appreciation) ต่อเขาดว้ ยความช่นื ชมอยา่ งเปิดเผย 5 6. กลยทุ ธก์ ารสรา้ งพลงั รว่ ม (synergy) 6 พลงั ร่วมคือพลงั ท่เี กิดจากกระบวนการสรา้ งพลงั ของการร่วมกระทาท่มี กี ารร่วมมอื ร่วมใจกนั ทางานของ 7 กลุ่มเป้าหมาย ไม่ใช่เกิดจากการประนีประนอมแต่เกิดจากบุคคลเป้ าหมายในกลุม่ เป้ าหมายมีความเห็นสอดคลอ้ งใน 8 จุดมงุ่ หมายท่คี ลา้ ยคลงึ กนั และเขา้ ใจในสมรรถภาพของความร่วมมอื ร่วมใจเป็นพ้นื ฐานในการระดมความคดิ การทางาน 9 ร่วมกนั อย่างเป็นระบบ ในบรรยากาศทเ่ี อ้อื ต่อผลประโยชนใ์ นสถานการณช์ นะ-ชนะ กระบวนการสรา้ งพลงั ร่วมน้ี จะเกิดผล 10 เต็มท่ีถา้ กลุ่มเป้ าหมายมีความสนใจร่วม ปญั หาและความตอ้ งการร่วม (common of interst , problems & needs) 11 ผลลพั ธท์ ไ่ี ดจ้ งึ เกดิ ผลในการเชอ่ื มโยงสรา้ งสรรค์ ประยุกตใ์ ชท้ ่มี ากกว่าผลบวกหรือผลลพั ธข์ องการท่บี ุคคลเป้าหมายต่างคน 12 ต่างทาหรอื แยกกนั ทาเองมารวมกนั หรือถูกบงั คบั ใหม้ าทาร่วมกนั (ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย, 2554) 13 กลยุทธก์ ารเสรมิ สรา้ งพลงั ร่วมจึงเกิดจากการทม่ี กี ารปลูกฝงั มกี ารถ่ายทอด มกี ารอนุรกั ษ์ ในเหตุปจั จยั 14 ทส่ี าคญั เช่น 15 1) การสรา้ งเสริมใหท้ าใหก้ ลุม่ เป้ าหมายเห็นคณุ ค่า (values) ของการร่วมกนั คิด ในการร่วม 16 วสิ ยั ทศั น์ ร่วมเป้าหมาย ร่วมทรพั ยากร ร่วมกนั กระทาในเร่อื งของกจิ กรรมทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง แกป้ ญั หาท่เี กิดดว้ ยความร่วมมอื ร่วม 17 ใจกนั อย่างแทจ้ รงิ 18 2) การสรา้ งพลงั เชงิ วฒั นธรรม ในการสรา้ งระบบเปิดในทางานร่วมกนั ในบรรยากาศของการไร้ 19 การครอบงาทางความคิดแมจ้ ะอยู่คนละฝ่าย สรา้ งภาวะการพฒั นาการเรยี นรูจ้ ากการถา่ ยทอดจากเทคโนโลยที ่เี หมาะสม มี 20 ความเขา้ ใจดว้ ยการรบั ฟงั การวพิ ากษว์ จิ ารณ์ดว้ ยความใจกวา้ งดว้ ยความกระตอื รอื รน้ การปรบั เปลย่ี นอย่างยดื หยุ่นดว้ ย 21 ความคิดเห็นในเชิงบวก ทศั นคติและความเช่ือเชิงบวก เพ่ิมพฤติกรรมเชิงรุก (procactive) และลดพฤติกรรมเชิงรบั 22 (reactive) 23 3) องคป์ ระกอบของการสรา้ งพลงั ร่วม ประกอบดว้ ย การร่วมกาหนดเป้าหมายท่โี ปร่งใส และ 24 กระจ่างชดั 25 7. กลยุทธก์ ารร่วมมือกนั การผสมผสาน หรือการแกป้ ัญหา (collaborating, integration or problem 26 solving strategy) 27 มลี กั ษณะท่สี าคญั ไดแ้ ก่ (ปรบั จากสถาบนั สนั ติศกึ ษา, 2538) 28 7.1 เนน้ ความสมั พนั ธท์ ่ีดีดา้ นการประสานสายสมั พนั ธ์ และการบรรลุเป้ าหมายร่วม ท่เี ป็นการผสาน 29 ประโยชนข์ องฝ่ ายท่ขี ดั แยง้ กนั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง โดยยดึ ผลประโยชนข์ องทุกฝ่ายเป็นหลกั ในรูปแบบสถานการณ์ชนะ-ชนะ (win- 30 win situation) ดงั นนั้ การแกไ้ ขความขดั แยง้ จึงมงุ่ เนน้ เจรจาและการไกลเ่ กลย่ี ทงั้ สองฝ่ ายจะมคี วามปรารถนาทางบวกใน 31 การร่วมกนั พิจารณาแนวคิด ความคิดเหน็ เหตุและผลของจุดเด่น เพ่อื เพ่ิมความคิดสรา้ งสรรคพ์ ฒั นาในนวตั กรรม ขอ้

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 66 1 คน้ พบใหมท่ ่จี ะเป็นทางเลอื กใหม่อาจหลายทาง เพ่อื ผลประโยชนร์ ่วมท่นี ามาซ่งึ เพ่มิ ความสามารถ ความน่าเช่อื ถอื ท่เี พม่ิ พูน 2 ข้นึ ของตน หรือความเขม้ แขง็ ขององคก์ รแต่ละฝ่ายท่เี กิดข้นึ จากการร่วมมอื กนั ของฝ่ ายท่ขี ดั แยง้ กนั ทงั้ ร่วมกนั พิจารณาจุด 3 ดอ้ ยเพอ่ื หาขอ้ มลู เพ่มิ เติมในการหลกี เลย่ี งภาวะคุกคามและใช้ โอกาสลดจุดอ่อน 4 7.2 การเต็มใจอานวยความสะดวก หรอื สงบละมนุ ละม่อม (accommodating or smoothing) จะเนน้ 5 การใส่ใจประสานกนั โดยทฝ่ี ่ายใดฝ่ายหน่งึ ยอมแมบ้ รรลเุ ป้าประสงคข์ องตนนอ้ ยลง แต่มขี อ้ ตกลงท่เี หมาะสมแมต้ นเองเสีย 6 ประโยชนก์ ็ยอมรบั แนวความคิด การรบั ฟงั ยอมรบั และทาตามความตอ้ งการของอีกฝ่ ายหน่ึง จงึ เป็นสถานการณ์เป็นแบบ 7 แพ-้ ชนะ (lose – win situation) กรณีอย่างน้ีหากมกี ารยอมรบั จากทข่ี ดั แยง้ กนั 8 7.3 การแบ่งปนั หรือการประนีประนอมหรอื ทาขชอ้ ตกลง (sharing or compromise) เนน้ รูปแบบของ 9 การแสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง ทเ่ี กดิ ความขดั แยง้ เก่ยี วขอ้ งกบั การมองภาพรวม (perspective) และค่านิยมขนั้ พ้นื ฐาน 10 หรือคุณค่าขน้ั พ้นื ฐาน (basic values) ซ่งึ แมม้ กี ารแขง่ ขนั ก็เป็นการเดินทางสายกลางท่แี ต่ละฝ่ ายมีการผลกั ดนั ใหเ้ กิด 11 ผลลพั ธ์ ในการบรรลุเป้าหมายของตนดว้ ยการหาสง่ิ ท่เี หมอื นกนั ผลประโยชนร์ ่วมกนั (แสวงจุดร่วม) และแยกส่งิ ทข่ี ดั แยง้ 12 กนั หรือเป็นไปไมไ่ ด้ แยกออกไปก่อน (สงวนจดุ ต่าง) 13 7.4 การหลีกเล่ียงหรือการถอนตวั (avoidance or withdrawal) การหลกี เล่ยี ง หรือการถอนตัว 14 อาจจะเป็นการยอมแพ้หรอื เพอ่ื รกั ษาความสมั พนั ธ์ หรือรกั ษาหนา้ ของตนเอง หรอื ทงั้ คู่กรณีท่เี กิดความขดั แยง้ สถานการณ์ 15 อย่างน้ี มกั เป็นสถานการณ์แบบแพ-้ แพ้ (lose – lose situation) คือ เป็นการเก็บกดความรูส้ กึ ดว้ ยการอยู่เหนือปญั หา 16 หรอื ทาตน้ ใหพ้ น้ จากการเขา้ ไปเก่ยี วขอ้ งในประเดน็ ท่เี หน็ วา่ ไมส่ าคญั หรือมแี ต่เปลอื งตวั ในการเขา้ ไปเก่ยี วขอ้ ง 17 7.5 การแขง่ ขนั การบงั คบั หรือการกระตุน้ กดดนั (competing, forcing or compelling) เกดิ โดยการ 18 ไมค่ านึงถงึ การประสานการร่วมมอื จากคนอ่นื อาจจะใชอ้ านาจ หรือการกดดนั เขา้ มาบงั คบั เพ่อื ใหค้ นอ่นื สูญเสีย เพอ่ื ใหฝ้ ่าย 19 ตนบรรลุเป้าหมายท่กี าหนด จึงเกิด สถานการณ์ชนะ-แพ้ (win-lose situation) ฝ่ ายท่ตี อ้ งการชยั ชนะ จะกาหนดจุดยืน 20 ผลกระทบ อา้ งหลกั การ และยนื ยนั นโยบาย กรณีอย่างน้ี จะทาลายความสมั พนั ธท์ ่จี ะเป็นความร่วมมอื ก่อใหเ้ กิดภาวะ 21 ความเกลยี ดชงั ทุกข์ ทนต่อการสูญเสยี ของผูแ้ พท้ อ่ี าจตอ้ งเกบ็ งา แมใ้ นหลายครงั้ อาจก่อใหเ้กิดผลดา้ นความรวดเร็ว หากมี 22 การยอมกนั จากผูส้ ูญเสยี ทง้ั หมดน้มี ที งั้ ขอ้ ดขี อ้ เสยี ทพ่ี งึ ตอ้ งประเมนิ โดยคนท่เี ขา้ ไปไกลเ่ กลย่ี ว่าจะเลอื กวธิ ีใดทค่ี วรเร่ิมตน้ 23 จากขอ้ แรก ๆ ลงมาก่อน เพ่อื ทก่ี ารตอบสนองของผูท้ ่มี สี ว่ นไดส้ ่วนเสยี ไดเ้ กดิ ประโยชนเ์ ตม็ ท่ี หรอื เสยี ประโยชนน์ อ้ ยทส่ี ุด 24 เพราะมกั เนน้ การแกไ้ ขท่มี ผี ลลพั ธท์ างสนั ติมากกว่า และมผี ลลพั ธท์ ่พี งึ ปรารถนาสาหรบั คู่กรณีมากกวา่ ทง้ั ตอ้ งคานึงถงึ 25 ความร่วมมอื กนั ประสานประโยชนก์ นั เพ่ิมความสมั พนั ธท์ ด่ี ีต่อกนั ใหม้ ากทส่ี ุดในการท่จี ะเกิดพลงั ร่วม (synergy) ใหม้ าก 26 ท่สี ุดเทา่ ท่จี ะเป็นได้ ทง้ั น้ตี อ้ งลดการทาลายทรพั ยากรและส่งิ แวดลอ้ มของส่วนรวมใหม้ ากทส่ี ุดดว้ ย 27 8. กลยุทธก์ ารมคี วามเหน็ สอดคลอ้ ง 28 มลี กั ษณะท่สี าคญั ไดแ้ ก่ (Conflict and Negotiation, 2010) 29 1) ยอมรบั วา่ การขดั แยง้ เป็นส่งิ ทม่ี ปี ระโยชน์ 30 2) มงุ่ มองทต่ี วั ปญั หามากกว่าตวั บคุ คล 31 3) หาขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ปญั หา ไมก่ ลา่ วว่าใครผดิ -ถูก

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 67 1 4) ทกุ ฝ่ายมคี วาม จรงิ ใจ เปิดเผย ใจกวา้ ง ยอมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ผูอ้ ่นื 2 5) หลกี เลย่ี ง หรือขดั ขวางความตอ้ งการของผูอ้ ่นื 3 6) อาศยั บุคคลทส่ี ามท่เี ป็นคนกลางมาประสานงาน 4 9. กลยุทธก์ ารตดั สนิ ใจแบบผสมผสาน 5 มลี กั ษณะทส่ี าคญั ไดแ้ ก่ (Conflict and Negotiation, 2010) 6 1) การทบทวนและปรบั ตวั เนน้ ทางดา้ นความสมั พนั ธท์ ด่ี ตี ่อกนั 7 2) ระบุปญั หาใหช้ ดั เจนของทกุ ฝ่ายทข่ี ดั แยง้ 8 3) มกี ารแสวงหาแนวทางแกไ้ ขดว้ ยความเต็มใจร่วมกนั และสมานฉนั ท์ 9 4) ตดั สนิ ใจแบบใหม้ คี วามเหน็ สอดคลอ้ งกนั 10 11 กลา่ วโดยสรุป กลยุทธท์ ่สี าคญั ในการบริหารจดั การความขดั แยง้ มี 9 กลยุทธ์ ไดแ้ ก่ กลยุทธใ์ ชใ้ นการไกลเ่ กล่ยี 12 และเจรจาเพอ่ื แกป้ ญั หาความขดั แยง้ กลยุทธก์ ารลดระดบั ความตอ้ งการของคู่เจรจาฝ่ายตรงขา้ มลง กลยุทธก์ รอบความคิด 13 ในการต่อรอง กลยุทธก์ ารเนน้ ขอ้ ยุตแิ บบชนะ-ชนะแทนแบบชนะ–แพ้ กลยุทธก์ ารสรา้ งความไวว้ างใจ กลยุทธก์ ารสรา้ งพลงั 14 ร่วม กลยุทธก์ ารร่วมมอื กนั การผสมผสาน หรอื การแกป้ ญั หา กลยุทธก์ ารมคี วามเหน็ สอดคลอ้ ง และกลยุทธก์ ารตดั สนิ ใจ 15 แบบผสมผสาน 16 17 18 กจิ กรรมท่ี 12.3.3 19 กลยุทธท์ ส่ี าคญั ในการบริหารจดั การความขดั แยง้ มอี ะไรบา้ ง 20 21 แนวการตอบกจิ กรรมท่ี 12.3.3 22 กลยุทธท์ ส่ี าคญั ในการบรหิ ารจดั การความขดั แยง้ ไดแ้ ก่ 23 1. กลยุทธใ์ ชใ้ นการไกลเ่ กลย่ี และเจรจาเพ่อื แกป้ ญั หาความขดั แยง้ 24 2. กลยุทธก์ ารลดระดบั ความตอ้ งการของคู่เจรจาฝ่ายตรงขา้ มลง 25 3. กลยุทธก์ รอบความคิดในการต่อรอง 26 4. กลยุทธก์ ารเนน้ ขอ้ ยุติแบบชนะ-ชนะแทนแบบชนะ–แพ้ 27 5. กลยุทธก์ ารสรา้ งความไวว้ างใจ 28 6. กลยุทธก์ ารสรา้ งพลงั ร่วม 29 7. กลยุทธก์ ารร่วมมอื กนั การผสมผสาน หรือการแกป้ ญั หา 30 8. กลยุทธก์ ารมคี วามเหน็ สอดคลอ้ ง 31 9. กลยทุ ธก์ ารตดั สนิ ใจแบบผสมผสาน

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสริมและพฒั นาการเกษตร 68 1 บรรณานุกรม 2 กรมสง่ เสริมการเกษตร. (2559). แผนยุทธศาสตรก์ รมสง่ เสรมิ การเกษตร พ.ศ. 2560-2564. คน้ คนื จาก 3 https://www.doae.go.th/doae/upload/files/2560-2564.pdf 4 ดเิ รก ฤกษห์ ร่าย และจินดา ขลบิ ทอง. (2554). การบรหิ ารความขดั แยง้ ในการส่งเสริมการเกษตร. ในเอกสารการสอนชดุ 5 วชิ าหลกั การบรหิ ารการสง่ เสริมการเกษตร. หน่วยท่ี 4. นนทบรุ ี. มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช. 6 ณฐั ชานนั ท์ วรี ะกุล. (2561). การบริหารความขดั แยง้ ในองคก์ าร. คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ . ศูนยบ์ รกิ าร 7 ส่อื และส่งิ พมิ พก์ ราฟิคไซท:์ กรุงเทพฯ 8 บญุ ฑริกา วงษว์ านชิ และทพิ ยร์ ตั น์ เลาหวเิ ชยี ร. (2560). การจดั การความขดั แยง้ และพฤติกรรมการเป็นสมาชกิ ทด่ี ขี อง 9 องคก์ าร: CONFLICT MANAGEMENT AND ORANIZATIONAL CITIZENSHIP BEHAVIOR. ใน 10 วารสาร RMUTT Global Business and Economics Review, 12(2), น.33-45. 11 บุษบา สธุ ีธร. (2560). ความขดั แยง้ และการคลค่ี ลายความขดั แยง้ ระหวา่ งบคุ คล: Conflict and Interpersonal Conflict 12 Resolution. สาขาวชิ านิเทศศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. ในวารสารนกั บริหาร Executive Journal, 13 37(1). น.54-67. 14 เปรมปรดี ์ิ ชวนะนรเศรษฐ.์ (2560). การบรหิ ารความขดั แยง้ . คน้ คนื จาก 15 http://person.ddc.moph.go.th/hrd/images/DATA/0808256011.pdf 16 พรนพ พุกกะพนั ธุ.์ (2542). การบรหิ ารความขดั แยง้ Conflict management. ว. เพช็ รสกุล: กรุงเทพฯ 17 รฐั พล เยน็ ใจมา และสุรพล สยุ ะพรหม. (2561). ความขดั แยง้ ในสงั คม : ทฤษฎแี ละแนวทางแกไ้ ข (CONFLICT IN 18 SOCIETY : THEORY AND SOLUTION). ใน วารสาร มจร สงั คมศาสตรป์ ริทรรศน,์ 7(2), น. 224-238. 19 สถาบนั สนั ตศิ ึกษา. (2538). ทกั ษะ และกระบวนการแกไ้ ขความขดั แยง้ ดา้ นนโยบายสาธารณะ. เอกสารประกอบการสมั มนา 20 เชงิ ปฏบิ ตั ิการ. 21-25 พฤศจกิ ายน 2538. 21 สุตาภทั ร จนั ทรป์ ระเสรฐิ . (2560). ความขดั แยง้ ในองคก์ รธุรกจิ : แนวทางป้องกนั และแกไ้ ข. วารสารวชิ าการมหาวทิ ยาลยั 22 ปทุมธาน,ี 9(1), น.218-226 23 ศริ วิ รรณ มนอตั ระผดงุ . (2559). การจดั การความขดั แยง้ ในองคก์ ารอย่างสรา้ งสรรค:์ CREATIVE CONFLICT 24 MANAGEMENT. ในวารสารวไลยอลงกรณป์ ริทศั น์ (มนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร)์ , 6(2), น. 193-208. 25 Montana, P. and Charnov, B. (2008).Management. 4th ed. New York: Barron's Educational Series, Inc. 26 Robbins, S. and Judge, T. (2013).Organizational behavior. 15th ed. New Jersey: Pearson Education, Inc.,. 27 28 29

การบริหารความขดั แยง้ ภายใตก้ ารเปลยี่ นแปลงในการสง่ เสรมิ และพฒั นาการเกษตร 69 1


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook