หนา 45 การชะลอการเกดิ สีน้าตาลในผลไมโ้ ดยใชส้ ารสกดั จากธรรมชาตแิ ทนการใช้สารเคมี ภาณุ ดีกา1, สุจิรภา จนั ทนามส1ี , นันทล์ นิ ี ภมู สิ วสั ดิ์1 จรูญลกั ษณ์ วรโคตร2 และ พิเชษฐ์ กางโหลน2 1นักเรยี นโรงเรียนสารคามพทิ ยาคม, E-mail:[email protected] 2โรงเรยี นสารคามพิทยาคม บทคัดยอ่ แม่ค้าขายผลไม้ในตลาดหรือช่างภาพท่ีอยากถ่ายภาพของผลไม้ท่ีสดใหม่เอาไว้ จะเป็นสิ่งท่ีทุกคนคิดว่าเป็นสิ่งท่ี ง่ายดาย แต่หากในความเป็นจริงแล้วสิ่งเหล่าน้ีไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ีจะสามารถถ่ายรูปหรือขายผลไม้ท่ีสดใหม่ เพราะในตัวของ ผลไม้มีกระบวนการท่เี มื่อเนื้อของผลไม้สัมผสั กบั อากาศแลว้ จะท้าให้เนื้อเยอ่ื ถกู ท้าลายและเกิดสเี ปน็ สนี ้าตาลซึ่งจะท้าให้ผลไม้ น้ันไม่สดใหม่ รวมถึงสูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ ดังน้ันเหล่าแม่ค้าในตลาดหรือช่างภาพมือโปรจะหันมาใช้สารเคมีเช่น โซเดียมเมแทไบซัลไฟต์ (Na2S2O5) หรือกรดซิตริก ซ่ึงมีการช่วยให้ผลไม้น้ันชะลอการเกิดสีน้าตาล แต่หากว่ามันจะท้าให้ ส่งผลเสียต่อร่างกายมนุษย์เม่ือสัมผัสหรือรับประทาน ดังนั้นทางคณะผู้จัดท้าจึงได้ทดสอบสารสกัดจากมะเขือเทศ ใบมะรุม และหอมหัวใหญ่ ซ่ึงมีความสามารถในการชะลอการเกิดสีน้าตาลได้เช่นกันแต่ว่าสารสกัดจากมะเขือเทศ ใบมะรุมและ หอมหัวใหญจ่ ะไมส่ ง่ ผลเสยี ต่อร่างกายของมนุษย์ ค้าส้าคัญ: การชะลอการเกดิ สีนา้ ตาลในผลไม้ , ความสดใหม่ของผลไม้
หนา 46 การสงั เคราะหซ์ งิ คอ์ อกไซดจ์ ากใบเขลง เวธินี ปานทอง1 , อรศิ รา หงส์สมดี1 , เพญ็ พิชชา ชินบรู ณ์1 ปริวรรต มีหนองหว้า2 และ ปิยะดา วังวร2 1นักเรียนโรงเรยี นนครพนมวทิ ยาคม, E-mail:[email protected] 2โรงเรียนนครพนมวิทยาคม บทคัดยอ่ โครงงานเร่ืองการสังเคราะห์ซิงค์ออกไซด์จากใบเขลงมจี ุดประสงคเ์ พื่อศกึ ษาวิธีการสังเคราะห์ซิงค์ออกไซด์ จากสารสกัดใบเขลงและวิเคราะหซ์ ิงค์ออกไซด์ โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 ตอน ตอนท่ี 1 การสกดั ซิงค์ออก ไซด์ด้วยสารละลายซิงค์อะซีเตทกับสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เป็นสารต้ังต้นโดยวิธีการตกตะกอนพบว่า สารเป็นผงสีขาวที่มีอนุภาคขนาดเล็กโดยน้าหนักของซิงค์ออกไซด์ที่ได้จากการสังเคราะห์ คือ 0.188 กรัม คิด เป็นผลได้ร้อยละ 94.16 ตอนที่ 2 วิเคราะห์ซิงค์ออกไซด์ที่ละลายด้วยกรดซัลฟิวริก ร้อยละ 5 โดยมวลต่อ ปรมิ าตร มคี ่าการดูดกลืนแสงปรากฏชัดเจนทช่ี ่วงความยาวคลืน่ สงู สดุ 248 นาโนเมตร โดยมีค่าการดดู กลนื แสง เทา่ กบั 2.306 คา่ ความเปน็ กรดด่างของสารละลายซิงค์ออกไซด์ 50 กรมั ตอ่ ลิตร ทอี่ ณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส ในสารละลายกรดซัลฟิวริกรอ้ ยละ 5 โดยปรมิ าตร เท่ากบั 6.6 ซึง่ มีคา่ ใกล้เคยี งกับคณุ สมบตั ิของสารละลาย ซิงค์ออกไซด์ คาสาคัญ: การสังเคราะห์ซงิ ค์ออกไซด์
หนา 47 การสกดั เพคตินจากเปลอื กสม้ จารุภา ศรีบุญเรือง1 , จฬุ ารัตน์ สรรพกิจกาจร1 , วสวตั คมุ้ ดี1 นชุ นภา พลสรรค2์ , อรทยั อนิ ทะสรอ้ ย2 1นกั เรียนโรงเรียนอุดรพทิ ยานกุ ลู , Email: [email protected] 2โรงเรยี นอุดรพทิ ยานกุ ูล บทคดั ยอ่ เนอื่ งจากเพคตนิ เปน็ สารประกอบพอลแี ซคคาไรดท์ ี่พบมากในผกั และผลไม้ นยิ มนามาใชใ้ นอตุ สาหกรรมอาหาร โดย ทาหนา้ ท่เี ป็น Thickener, Gelling agent, Stabilizer เปน็ ต้น ผู้จดั ทาโครงงานจงึ สนใจท่ีจะนาเปลือกผลไม้ทเ่ี ป็นวสั ดุเหลือ ท้ิงมาสกดั เพคตนิ เพื่อใช้ประโยชนใ์ นอุตสาหกรรมและเพมิ่ มูลคา่ วัสดเุ หลือท้ิง จงึ ไดน้ าเปลอื กสม้ มาสกดั เพคตนิ ดว้ ยกรดไฮโดร คลอริก 1. เพอ่ื ศกึ ษาอัตราส่วนทเี่ หมาะสมของเปลือกสม้ ต่อกรดไฮโดรคลอริกในการสกัดเพคตนิ โดยใชอ้ ัตราส่วนของเปลือก ส้มตอ่ กรดไฮโดรคลอรกิ เท่ากับ 1:1 , 1:2 , 1:3 , 1:4 และ 1:5 โดยมวลต่อปริมาตร จากการทดลองพบว่าการสกดั เพคตนิ จากเปลือกส้ม ดว้ ยอตั ราสว่ นของเปลือกส้มตอ่ กรดไฮโดรคลอรกิ เท่ากบั 1:3 โดยมวลตอ่ ปริมาตร มปี ริมาณเพคตินมากทสี่ ุด คือ รอ้ ยละ 1.45 และการสกดั เพคตินจากเปลือกส้ม ดว้ ยอตั ราสว่ นของเปลือกสม้ ตอ่ กรดไฮโดรคลอรกิ เทา่ กบั 1:5 โดยมวล ตอ่ ปรมิ าตร มีปรมิ าณเพคตนิ นอ้ ยทีส่ ุด คอื ร้อยละ 0.38 2. เพอ่ื ศกึ ษาความพึงพอใจของผบู้ รโิ ภคต่อเยลล่ีทม่ี ีสว่ นผสมของ เพคติน และไมม่ สี ่วนผสมของเพคตนิ จานวน 20 คน พบว่า ผูบ้ รโิ ภคมคี วามพึงพอใจตอ่ เยลล่ีทมี่ สี ว่ นผสมของเพคตินมากกวา่ เยลลท่ี ไ่ี มม่ สี ่วนผสมเพคตนิ ซ่ึงความพึงพอใจต่อเยลล่ีท่ีผสมเพคตินเฉลย่ี อยใู่ นระดบั พอใจมาก (������=4.067 , S.D. = 0.636) และความพึงพอใจตอ่ เยลลี่ท่ีไมม่ สี ว่ นผสมของเพคตินเฉลย่ี อยูใ่ นระดบั พอใจ (������=3.433 , S.D. 0.779) Keyword : เปลอื กสม้ , การสกดั เพคติน
หนา 48 ชือ่ โครงงาน การศึกษาอตั ราส่วนปุ๋ยทมี่ ผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพืช โครงงานสาขา เคมี ผูจ้ ัดทา 1.นายศุภกร เมรุ 2. นางสาวปรยี านชุ วาสโสหา Email [email protected] ครูทปี่ รกึ ษา 1.คุณครฐู ติ ิโชค อยา่ งสวย 2.คณุ ครสู ุธญั ญา วีระกลุ บทคัดย่อ ปัจจุบันกระแสคนรักสุภาพและการนิยมบริโภคพืชผักอินทรีย์กาลังมาแรง เราเยาวชนคนรุ่นใหม่ จาเป็นต้องใสใ่ จและเรยี นร้ทู ันตอ่ การเปล่ียนแปลง ซ่งึ พ่อหลวงของเราได้วางรากฐานความพอเพยี งรักษาธรรมชาติ ไว้ให้ลูกหลานมายาวนาน เพ่ือเป็นการปลูกฝังจิตสานึกในการรู้จักรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ดูแลผนื แผ่นดินให้ อุดมสมบูรณ์ตลอดไป พวกเราจึงได้วางแผนการดาเนินโครงการที่สามารถตอบโจทย์ของหลักปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียงได้อย่างสมบูรณ์ โดยเร่ิมต้นจากการทาปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์ ต่อยอดไปสู่การปลูกพืชผักอินทรีย์เพื่อ บริโภคและจาหน่ายต่อได้ ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกให้มากที่สุดและสร้างภูมิคุ้มกันกับรายได้จากปัจจัยภายใน น้ัน การทาปุ๋ยหมักไม่พลิกกองใช้หญ้า ใบไม้ เศษพืช เปลือกผลไม้ เศษอาหารในครัวเรือนก็สามารถเอามาทาปุ๋ย หมักได้ ร่วมกับมูลสัตว์ท่ีมี เป็นการใช้ปัจจัยภายในให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เม่ือได้ปุ๋ยหมักแล้วก็นามาปลูกผัก ขึ้นฉ่ายกับดินทรายท่ีไม่มีธาตุอาหารโดยการนาปุ๋ยมาผสมกับดินทรายในสัดส่วนท่ีต่างกันในกระถางปลูก 4 กระถาง คือ กระถางท่ี 1 ใส่ทราย 4 ส่วน กระถางท่ี 2 ใส่ทราย 3 ส่วน ปุ๋ย 1 ส่วน กระถางที่ 3 ใส่ทราย 2 ส่วน ปุ๋ย 2 สว่ น กระถางท่ี 4 ใส่ทราย 1 สว่ น ปยุ๋ 3 ส่วนเพ่อื เปรียบเทยี บประสิทธิภาพของปุย๋ ในสัดสว่ นท่ีต่างกัน ในการดาเนินโครงงานคร้ังนี้พวกเราได้ศึกษาข้อมูลการทาปุ๋ยหมักและนาปุ๋ยที่ได้มาทดสอบในสัดส่วน ต่างๆพบว่ากระถางที่ 3 มีปุ๋ยและดนิ ทรายในสัดส่วนท่เี ท่ากันมีประสิทธิภาพตอ่ การเจริญเติมโตของพืชได้ดีที่สดุ
หนา 49 การเปรียบเทยี บการกร่อนสนมิ ด้วยสารละลายอเิ ล็กทรอไลต์ ขจรยศ วานชิ ชัง1, ชนาธิป มณีทัพ1, ศภุ กิตติ์ ทาสแี ก้ว1, สคุ นธา โคตรโสภา2 1นักเรียนโรงเรียนวาปีปทุม, E-mail: [email protected] 2โรงเรยี นวาปีปทุม บทคดั ย่อ โครงงานวิทยาศาสตรเ์ รื่อง การเปรยี บเทยี บ การกร่อนของสนิมดว้ ยสารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์ เพ่ือเปรยี บเทยี บการ กาจดั สนมิ ของสารอเิ ล็กโทรไลต์ โดยการเตรยี มสารละลายโซเดยี มคลอไรด์ สารละลายโซเดียมซลั เฟต และสารละลาย โซเดยี มไฮดรอกไซด์ ชนิดละ 0.5 M บรรจไุ ว้ในกะละมงั จากนนั้ นาตะปทู เ่ี กดิ สนมิ มาต่อกบั หม้อแปลงไฟฟ้าอีกด้านของหม้อ แปลงตอ่ กบั สงั กะสขี นาด 10x2.5 เซนติเมตร จากนัน้ นาแผ่นสงั กะสแี ละตะปจู ุม่ ลงไปในสารละลาย แตไ่ มใ่ หโ้ ลหะทั้งสอง สัมผสั กัน ทาเช่นน้ใี นทุกการทดลอง จากนน้ั สังเกตและบนั ทึกผลว่าสารละลายใดทที่ าให้สนมิ กร่อนออกมาไดม้ ากท่สี ุด โดย ได้ผลการทดลองวา่ ตะปูทจี่ มุ่ ในสารละลายโซเดียมคลอไรด์ทาใหเ้ นอ้ื สนิมกรอ่ นออกมาจากตะปูมากทส่ี ุด โดยคิดเปน็ ร้อยละ 17.51 สว่ นสารละลายโซเดยี มซลั เฟต และสารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์ กร่อนเนื้อสนิมไดเ้ พียงร้อยละ 2.62 และร้อยละ 2.20 ตามลาดบั จงึ สามารถสรุปได้วา่ สารละลายโซเดยี มคลอไรดม์ คี ุณสมบตั ิในการกร่อนสนมิ มากทส่ี ดุ สารละลายโซเดยี ม ซลั เฟตคณุ สมบตั ใิ นการกร่อนสนมิ รองลงมา และสดุ ท้ายสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซดม์ คี ณุ สมบตั ใิ นการกรอ่ นสนมิ นอ้ ย ทีส่ ุด คาสาคัญ : สนิม, สารละลายโซเดยี มคลอไรด์, สารละลายโซเดียมซลั เฟต, สารละลายโซเดยี มไฮดรอกไซด์
หนา 50 การเปรียบเทียบประสทิ ธภิ าพการดูดซับโลหะตะกวั่ ในน้าสังเคราะห์ด้วยซิลกิ าจากชานออ้ ย และผักตบชวา กฤษดา นุจัตรุ สั 1 , ปานชวี า บุญเสริม1 , สิทธกิ ร วงษาเนาว1์ ฑิฎาภรณ์ นวกุลพงศ์พชิ ญ2์ , ณิชานนั ท์ กุตระแสง3 , ภีระพฒั น์ ปัดทมุ มา3 1นกั เรยี นโรงเรียนธาตุนารายณ์วิทยา, E-mail:[email protected] 2โรงเรียนธาตนุ ารายณว์ ิทยา, 3มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร บทคดั ย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดูดซับโลหะตะก่ัวในน้าสังเคราะห์ด้วยซิลิกาจาก ชานอ้อย และผักตบชวา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการสกัดซิลิกา และการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการดูดซับตะก่ัวใน น้าสังเคราะห์โดยใช้ซิลิกาจากชานอ้อย และผักตบชวา โดยมีขันตอนการทดลอง เร่ิมจากการสกัดซิลิกาจากชานอ้อย และ ผักตบชวา จากนันน้าสกัดซิลิกาจากชานอ้อย และผักตบชวา ศึกษาประสิทธิภาพการดูดซับโลหะตะกั่วในน้าสังเคราะห์ โดย น้าซิลิกาจาก ชานอ้อย และผักตบชวา มาแช่ในน้าตะกั่วสังเคราะห์ความเข้มข้น 5 ppm ในอัตราส่วนซิลิกา 1 g ต่อปริมาณ น้าตะกั่วสังเคราะห์ 50 ml โดยแช่ในเวลาท่ีต่างกันคือ 60 นาที และ 120 นาที ตามล้าดับ หลังจากนันน้าไปวิเคราะห์ผล เพื่อหาปริมาณโลหะตะก่ัวท่ียังคงเหลืออยู่ แล้วน้าไปท้าการเปรียบเทียบปริมาณการดูดซับโลหะตะก่ัวในน้าสังเคราะห์ของ ซิลิกาจากชานออ้ ย และผกั ตบชวา จากการทดลองเปรียบเทยี บประสิทธิภาพการดูดซับตะกวั่ ในนา้ สังเคราะห์โดยใช้ซลิ กิ าจาก ชานอ้อย และผักตบชวา พบว่า ซิลิกาจากชานอ้อยมีประสิทธิภาพการดูดซับตะกั่วเฉลี่ย 1.995 ppm คิดเป็นร้อยละ 39.9 และซิลิกาจากผกั ตบชวามปี ระสิทธิภาพการดูดซับตะกั่วเฉล่ยี 4.135 คิดเป็นร้อยละ 82.7 ท้าให้ทราบว่าซิลิกาจากผักตบชวา มีประสทิ ธภิ าพการดดู ซับตะก่ัวมากกวา่ ซิลิกาจากชานอ้อยคดิ เป็นอตั ราส่วนประมาณ 2 : 1 คา้ สา้ คญั : ชานออ้ ย ผักตบชวา Silicon Dioxide
หนา 51 การศึกษาสมบัติเบ้อื งต้นของพลาสตกิ ท่ยี อ่ ยสลายไดท้ างชวี ภาพ (Biodegradable plastics) ทีม่ สี ว่ นผสมระหวา่ งโฟมกับเสน้ ใยจากธรรมชาติ พิชชากร จันทร์แดง1, วาสนา โพธิกามน1, จารวุ รรณ ภถู มนลิ 1 กีรติ ภนู าหา2 นักเรียนโรงเรยี นอนุกลู นาร,ี 1โรงเรียนอนกุ ลู นารี ,E-mail : [email protected] บทคดั ยอ่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เรอื่ ง การศกึ ษาสมบัตเิ บ้อื งต้นของพลาสตกิ ทยี่ อ่ ยสลายไดท้ างชวี ภาพ (Biodegradable plastics) มีจดุ ประสงคเ์ พ่อื ผลิตพลาสตกิ ทยี่ ่อยสลายได้ทางชวี ภาพทมี่ สี ว่ นผสมระหวา่ งโฟม กบั เส้นใยจากธรรมชาติ ได้แก่ กาบกล้วย กาบมะพรา้ ว และกาบไผ่ และเพ่อื แกป้ ญั หาขยะที่เปน็ ปญั หาสาคัญภายในโรงเรียนและชุมชน เนอื่ งจากพืชเหลา่ นี้มีเซลลโู ลสเป็นองคป์ ระกอบอยู่จานวนมาก ประกอบกบั ภายในบรเิ วณโรงเรียนมเี ศษขยะจาก โฟมในรปู ของกลอ่ งโฟมและเศษโฟมอย่เู ป็นจานวนมาก ส่งผลใหเ้ กดิ ปัญหาขยะและเกิดมลพษิ ภายในโรงเรียน ผ้วู ิจยั จงึ มคี วามสนใจทจ่ี ะลดปัญหาขยะท่เี กิดจากโฟมเหล่านี้ โดยนามาเปน็ สว่ นผสมระหวา่ งโฟมกับเสน้ ใยจากธรรมชาติ แล้วข้ึนรปู เปน็ ผลติ ภณั ฑ์และศึกษาคณุ สมบตั เิ บื้องต้นของผลติ ภณั ฑพ์ ลาสตกิ ที่ย่อยสลายไดท้ างชีวภาพ เช่น การ ช่วยลดระยะเวลาในการย่อยสลายของโฟม ความแขง็ แรงทนทานของผลติ ภณั ฑ์ คณุ สมบตั ิการละลายในน้า และ คุณสมบัตกิ ารทนความร้อน คณะผู้ทาโครงงานจงึ แบง่ การศกึ ษาออกเป็น 2 ตอน ได้แก่ ตอนที่ .1ศึกษาอตั ราส่วนระหวา่ งโฟมตอ่ เสน้ ใย จากธรรมชาติเพื่อหาอัตราส่วนท่ดี ที สี่ ดุ ท่ีทาใหผ้ ลติ ภณั ฑ์ยอ่ ยสลายได้เร็วทีส่ ดุ และมคี วามเหมาะสมต่อการใชง้ านมาก ท่สี ดุ สว่ นตอนที่ 2 ศึกษาสมบตั ิเบื้องตน้ ของผลติ ภณั ฑ์ ได้แก่ ความแข็งแรง .การทนความร้อน และคุณสมบตั ิในการ ละลายน้าของผลติ ภณั ฑ์ ซ่งึ จากการทดลองในตอนที่ 1 พบว่า อตั าตราสว่ นระหว่างโฟมตอ่ เสน้ ใยธรรมชาติทที่ าให้ ผลิตภณั ฑ์ย่อยสลายไดเ้ รว็ ทสี่ ุด คอื อตั ราสว่ น 1:1 ระหว่างโฟมตอ่ กาบกล้วย กาบไผ่ และกาบมะพร้าวตามลาดับ จากการทดลองในตอนที่ 2 การศกึ ษาความแข็งแรงของผลิตภณั ฑ์ พบว่าอัตราส่วนระหว่างโฟมตอ่ เสน้ ใยธรรมชาติที่ มีผลตอ่ ความแขง็ แรงของผลติ ภณั ฑ์มากที่สดุ คือ 31: ระหว่างโฟมตอ่ เส้นใยของกาบกล้วย กาบไผ่ และกาบ มะพร้าวตามลาดับ คณุ สมบตั ิการทนความร้อน พบวา่ อตั ราส่วนทมี่ ผี ลต่อการทนความร้อนไดด้ ีท่สี ดุ คือ 2:1และ3:1 และจากคณุ สมบัติในการละลายนา้ ของผลติ ภณั ฑ์ พบว่าผลติ ภณั ฑ์ระหว่างโฟมตอ่ เสน้ ใยธรรมชาติ ไมส่ ามารถ ละลายน้าได้ ดงั นั้น จึงสามารถสรุปไดว้ ่า อัตราสว่ นระหวา่ งโฟมต่อเสน้ ใยจากธรรมชาติท่ที าให้ผลติ ภณั ฑ์ยอ่ ยสลายไดเ้ ร็ว ท่สี ดุ คอื อตั ราส่วน 1:1 ซึ่งเปน็ เสน้ ใยของกาบกลว้ ย ชนิดของเส้นใยทีม่ ผี ลตอ่ ความแข็งแรงของผลติ ภัณฑม์ ากท่ีสุด คือ เส้นใยของกาบกล้วย มอี ัตราสว่ น 3 1:อัตราสว่ นของเส้นใยทีม่ ีผลตอ่ การทนความร้อนของผลติ ภณั ฑท์ ด่ี ีทส่ี ดุ คอื อตั ราส่วน และ 3:1ผลติ ภณั ฑร์ ะหว่างโฟมตอ่ เสน้ ใยธรรมชาติ ไมส่ ามารถละลายในน้าได้ และยงั สามารถลดปริมาณ ขยะจากโฟมที่เป็นปญั หาสาคญั ภายในโรงเรยี นและชุมชนลงไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ คาสาคญั : เสน้ ใยจากธรรมชาติ. ยอ่ ยสลายได้ทางชีวภาพ.
หนา 52 การสกดั ฟอร์มาลีนในอาหารทะเลด้วยสารสกดั จากใบหญา้ นาง จิราภรณ์ เจยี รสคุ นธ์¹ , เขสรา อุทมุ มาลา¹ , ทนิ ภัทร เรวงษ์¹, ศลิ ปกรณ์ จันทไชย² และ ทศพร สวนแกว้ ² ¹นักเรียนโรงเรียนปิยะมหาราชาลยั , E-mail:[email protected] ²โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย บทคัดยอ่ เนื่องจากปัจจุบันสารเคมใี นอาหารค่อนขา้ งมากทาใหผ้ บู้ ริโภคไดร้ ับอันตรายและอาจถงึ ชีวิตได้ในระยะยาว ซ่ึงเกดิ จากการท่ีผู้จาหน่ายเปลี่ยนจากการใช้สารฟอกขาวมาใช้ฟอร์มาลีนแทนเพื่อรักษาคุณภาพสินค้า คณะผู้จัดทาจึงได้พยายาม คิดค้นวิธีการในการล้างฟอร์มาลีนในอาหารเพ่ือความปลอดภัย จากการศึกษาทาให้ทราบวา่ มีสมุนไพรหลายชนิดท่ีสามารถ ลา้ งสารเคมไี ด้ เช่น มะนาว มะขามปอ้ ม ตน้ หอม มะละกอ แตงโม ทบั ทมิ รางจดื ขมิน้ เป็นต้น จึงคน้ ควา้ จากอนิ เทอรเ์ นต็ ทา ให้ทราบวา่ ใบหญา้ นางสามารถลา้ งสารเคมไี ด้ โดยใบหญ้านางมปี ระโยชนห์ ลายอย่าง ในใบหญ้านางมีสารแทนนนิ ซงึ่ เปน็ สาร ป้องกันการสลายตัวของวิตามินซี ทาให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นาน และใบหญ้านางยังอุดมไปด้วยสารอาหารอื่น ๆ ทั้ง วิตามินเอ วิตามินบี 1 และ 2 ธาตุเหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัส สารแทนนินและวิตามนิ ซีที่มีอยู่ในใบหญ้านางเป็นสารท่ี ช่วยเสริมสรา้ งภมู ิคุม้ กันให้รา่ งกาย จึงช่วยแก้ไข้จากอากาศที่เปลย่ี นแปลงได้ โดยใบหญ้านางมาคั้นดื่ม เพราะน้าใบหญา้ นาง ถอื เปน็ ยาท่ีช่วยลดและระบายความรอ้ นออกจากรา่ งกาย ปรบั สมดลุ ร่างกาย และสามารถรกั ษาโรคไดม้ ากมาย คาสาคัญ: สารฟอกขาว, ฟอร์มาลีน, แทนนิน, ภูมิค้มุ กนั
หนา 53 น้ำหมกึ จำกพืชธรรมชำติ จุฑำมณี ชมที1, ปยิ ะพร เหลำ่ แดง1, สุภำวดี อคั รบุตร1 ภาสกร กลิน่ มาลี2, ลลิตา บญุ เถิง2 1นักเรยี นโรงเรยี นสตรีราชินูทิศ , E-mail; [email protected] 2โรงเรียนสตรีราชินูทศิ บทคัดย่อ เนื่องด้วยน้าหมึกทมี่ ีขายในท้องตลาด มสี ารเคมปี ะปนอยู่และเมอ่ื สารเคมีเข้าสรู่ า่ งกายอาจเปน็ อันตรายต่อผใู้ ชไ้ ด้ ทางผูจ้ ัดท้าไดเ้ ล็งเห็นปัญหานี และคิดหาวธิ ที ้าน้าหมึกขนึ มาเพ่ือใช้กับปากกาหมกึ ซึม ปากกาสปดี บอลหรือพู่กนั โดยใชส้ ารท่มี ีอยใู่ นธรรมชาติ และหาไดใ้ นทอ้ งถน่ิ คณะผจู้ ดั ท้าจงึ ได้คิดค้นโครงงาน เร่ืองพืชธรรมชาติสร้างนา้ หมึกขึน ซึง่ เป็นการนา้ เอาพชื ธรรมชาตทิ ่ีมสี าร Tannin สงู มาท้านา้ หมกึ และพฒั นา น้าหมึกใหม้ ีคุณภาพใกล้เคียงกบั นา้ หมึกที่ขายตามท้องตลาด ได้แก่ ใบชา เปลอื กคูณ หมากแห้ง และทับทิม เพราะมีสารปนเปอ้ื นน้อย การผลติ นา้ หมึกใหม้ ีคณุ ภาพ ผลิตโดยวิธีการน้าผงตะไบเหล็ก 10 กรัม ผสมกบั พชื ธรรมชาตชิ นิดละ 10 กรัม แชใ่ นน้าร้อน 150 cm3 เป็นเวลา 1 ชวั่ โมงแล้วนา้ มาระเหยน้าออกจนเหลือสารละลาย 10 cm3 และได้สารละลายน้าหมกึ จากนนั นา้ ไปทดสอบคุณภาพการดดู ซึมโดยท้าโครมาโทรกราฟี ทดสอบการตดิ ทนนาน พรอ้ มทงั น้าไปทดสอบ การเขยี นจากผใู้ ชง้ านนา้ หมึกจากพชื ธรรมชาติ มีความคดิ เหน็ วา่ นา้ หมึกทผ่ี ลิตจากใบชานนั มคี ุณภาพดีที่สดุ และมีประสิทธภิ าพใกล้เคียงกบั นา้ หมึกท่ีขายตาม ท้องตลาด จงึ สรุปได้วา่ หมกึ จากใบชามีคณุ สมบตั ิทจ่ี ะนา้ มาใช้มากที่สดุ เพราะว่ามีการซมึ น้อยและทา้ ใหห้ มึก ติดทนนานโดยการเติมสารท่มี ีไอออนของโลหะ เช่น โซเดยี มคลอไรด์ แคลเซยี มคาร์บอเนต คำ้ สำ้ คญั : น้าหมกึ จากธรรมชาต,ิ ได้แก่ ใบชา เปลือกคณู หมากแห้ง และทับทิม
หนา 54 ,n,'5111 AhnHn1 , 01\\Jfl'W'IJ'IJ1 �miuin1 , l\\!,qiiuwi qY1'51 V.'l'IJ'UO iiii1hl LLfl:: �wruqp UJ1Z'l1�2 tl'm1uuh�L;mm111;;!m,n, Emal I: str44746'1)strlsukso.ac.th 2 frnruul!',rrllmn 1f'l'i��1u1Y1tJ1f'l1M1iL�!l�dii1,i�tl'i::<1�flL�!l '1nfl<11'iLL't'luiimnnvi'!l LLfl:: Pi'i1s1<1m.Jtl�1J1ruLLflZ')'t'lihiut� uuf'lviL;tJ'!l!l�<111uY1uiiu�l'lnfl,nnii'll 3 '!JUfl 1fiuri 1uiiuii1tl::,..,ir� 1u�t� LLfl::Lu�enii�\"lfl l,itJYi1m,<1nfll'!11u't'luiiu fl1tJ.i'1vi1fl::fl1tJEJ::;J191tJLLflZL!JiiflU8flO!l!lvf1° f'l111JLi1Jiui'evm; 60 Ufl:: 80 LfltJm1J1fl'i ;�titlfl'i1ri1'UVl'IJ918911 vi1<1::<11tJ 1:10, 1:20 ufl:: 1:301 (o/mll �fln7'l'Ylflflt1�v.u11 Ei'Pi,1ri1u 1:10 <111moi,n,i<11'iLL't'l'UU'Ui;i'm!l::'UL,iui't1tJfl:: . . .601fi�1J1ru<1�n11Lt1iiflLL!lfln!l!lt1f1° tviv1u�t�ii�1J1ru<11'iu't'luiiw1n�<1v1 'i!l�fl�1J1 fit1 Ltl�vnii�Rfl LLfl::1uiiuii1tl::,..,ir� P111Jfi1iu L�!l'Ylfll'l!l\\J')'YIBvut�uuf'lviL7tJ Escherichia coli (E. coli) Ufl:: Staphylococcus aureus (5. oureus) 'll!l�'11'iLL'Yl'UU'Uvi<1nmnn1u�t�fi'1tJ!J::;1fl'U V.tJ11 '!J'U1flLimhu�uanfl1�1� 1'11'Un7'iUtJ8� (inhibition zone) L;!l E. coli Ll1111tJ 11.3 iiflallJfl'i Ufl::L{tl 5. aureus Ll1111tJ 12.0 iiflaUJPl'l ,nniiuu1'11'i<lf1flLL'Yl'UU'U1tl,,,,f'l1f'l111J Li1Jtu�1�v1vi<111J1'it1vut�uuf'lviL7tJ (MIC) v.v:h <11'i<1t1flU'Yl'UU'Uf'l111JLi1Jtui't1tJfl:: 25 <111J1wuut� E. coli LLfl:: f'l111JLt1Jtufvtifl:: 3.13 <111J1wuut� 5. aureus m1J.i1�u uim�1Jf'l111JL'U1J'!l'U'!Jt1�<11'iu't'l'UU'U1viv1i'lu�t� 20 nfo LLft1tl-fof'1111JL'll1J'iul1.1Ltl'U 250 • 500 LLfl:: 1,000 ii<1ani'1J91!JUJ1f'l'iafl'i V.tJ11 ,nrnnflU't'l'UU'Uvif'l111JL'U1J'U'U 250 iiflani'1J�!J11JLf'l'iafl'i '111J1'i'1VtJ8�m'iL'il�'lJ'!l!l�L;fvLL\\Jf'l�L;tJ'il1n�1iivu<1::1u1,ni1lfi�Y!�fl 'i11niiuu1<1Trnt1f!U't'l'UU'U 1tl1111f'l111JL'U1Jt'U�1�fl�'111J1'i'1UtJt�utJf'lviL 7tJ (MIC) V.\\J11 <11'i<l11flU't'l'UU'Uf'l111JL'!l1J'!l'U 0.5 iiflanfo�v11JLf'l'ia\\ll'i flt11'i1�1�vitun1'iutJt� E. coli Ufl:: 5. aureus lfi �fl'il10n1'i't'lflflB�LLl'lfl�h1L'l�'U11 iim11JLU'Ultllfi'vi<111J1'i'1U1 '11'i<l11flU'Yl'UU'Usl1nfflf1uliLtluri1u1.J'i::n!ltJ1�aflJiru'1fM'viLLtJflviL7tJ1fi
หนา 55 การเปรียบเทยี บประสทิ ธภิ าพของการลอกกาวของเส้นไหมระหวา่ งสารซาโปนิน จากมะคาดคี วายและสบูผ่ สมโซดาแอช อิสรานุวฒั น์ สาสาย¹, พชิ ามญช์ุ ธนาไสย¹, ชนิกานต์ ขอดเมชัย¹, ศลิ ปกรณ์ จนั ทไชย² ¹นกั เรยี นโรงเรยี นปิยะมหาราชาลยั , E-mail:[email protected] ²โรงเรียนปยิ ะมหาราชาลยั บทคัดย่อ คณะผู้จัดทำมคี วำมสนใจทีจ่ ะศกึ ษำเก่ยี วกบั กำรลอกกำวของเสน้ ไหม เน่อื งจำกวำ่ กำรทอผำ้ พ้นื เมืองในประเทศไทย มีมำกมำยหลำยจังหวัดซ่ึงแต่ละจังหวัดจะมีลวดลำยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพำะ บำงพ้ืนท่ีใช้เส้นไหมท่ีได้จำกกำรสังเครำะห์ แต่ในบำงพ้ืนท่ีอำจใช้เส้นไหมไหมทไี่ ด้จำกธรรมชำติ แต่ส่วนมำกนยิ มใช้เสน้ ไหมที่ได้จำกธรรมชำติเน่ืองจำกสำมำรถผลิตเสน้ ไหมเองได้ ซึง่ ในกระบวนกำรผลติ เส้นไหมต้องมีขั้นตอนของกำรลอกกำวของเส้นไหม ซึง่ กำรลอกกำวของเส้นไหมสำมำรถทำ ได้ 2 วิธี คือ ใช้ด่ำงธรรมชำติ และด่ำงสำรเคมี ได้แก่ สบู่ โซดำแอช น้ำยำอเนกประสงค์ (น้ำยำซักล้ำงท่ีไม่มีสีไม่มีกลิ่น) ส่วนกำรลอกกำวด้วยดำ่ งสำรธรรมชำติ เป็นสำรน้ำด่ำงจำกข้ีเถ้ำทนี่ ิยมใช้ ได้แก่ ข้ีเถ้ำรวมจำกเตำไฟ ซ่ึงกำรลอกกำวของเส้น ไหมด้วยด่ำงสำรเคมี และด่ำงสำรธรรมชำติต่ำงก่อให้เกิดมลภำวะต่อสิ่งแวดล้อม คณะผู้จัดทำจึงทำกำรศึกษำและพบว่ำ มะคำดีควำยมสี ำรซำโปนนิ เป็นสำรประกอบไกลโคไซด์ มีคณุ สมบัติทำใหเ้ กดิ ฟองไดง้ ำ่ ย และมคี ณุ สมบตั เิ ปน็ สำรลดแรงตงึ ผวิ ชนิดไม่มไี อออน จึงสกดั สำรซำโปนินจำกมะคำดีควำย โดยใช้สำรละลำยเอทลิ แอลกอฮอล์ในกำรสกดั เพ่ือนำไปใช้ในกำรลอก กำวของเสน้ ไหมเพอ่ื ลดกำรใช้สำรเคมีต่อไป และในกระบวนกำรกำรเปรียบเทียบประสิทธิภำพในกำรลอกกำวของเส้นไหมระหว่ำงสำรซำโปนินจำกผล มะคำดีควำยและสบู่ผสมโซดำแอช มีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษำสมบัติทำงเคมีของสำรซำโปนินจำกผลมะคำดีควำยและสบู่ผสม โซดำแอช และเปรียบเทียบประสิทธิภำพในกำรลอกกำวของเส้นไหมระหว่ำงสำรซำโปนินจำกผลมะคำดีควำย และสบู่ผสม โซดำแอช เม่ือนำเส้นไหมไปผ่ำนกระบวนกำรโดยใช้สำรซำโปนินจำกมะคำดีควำยและสบู่ผสมโซดำแอ ชและตรวจสอบ ประสิทธภิ ำพกำรกำรลอกกำว ผลกำรทดลองพบว่ำ กำรใช้สำรซำโปนินจำกมะคำดีควำย ทดสอบโดยวธิ ีสัมผัสเส้นไหม ใชม้ อื สมั ผสั เสน้ ไหมพบว่ำ มีควำมนุ่ม และไม่หยำบกร้ำน แสดงว่ำมีกำรลอกกำวออกแล้ว และเม่ือนำไปช่ังน้ำหนักไหมก่อนและหลังลอกกำว พบว่ำ เสน้ ไหมมนี ้ำหนกั ลดลง คาสาคัญ: กำวของเสน้ ไหม, สำรวำโปนิน, มะคำดคี วำย
หนา 56 การศึกษาประสทิ ธภิ าพการกาจดั สยี ้อมในห้องปฏบิ ตั กิ ารจากเปลอื กผลไม้ ภัทรวรรธน์ สทิ ธมิ งคล1, ณัฐวรา ศรวี งษา1, รวิวรรณ สมิ มาคา1, ศภุ ชยั โพธ์ลิ ้อม2 1นักเรียนโรงเรยี นเลยพทิ ยาคม, E-mail: [email protected] 2ครโู รงเรียนเลยพิทยาคม, E-mail: [email protected] บทคัดย่อ การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการกาจัดสีย้อมคริสตัลไวโอเลต (Crystal violet) ใน สารละลายโดยใช้เปลือกผลไม้ที่พบในท้องถ่ิน ได้แก่ ลาไย ส้ม กล้วย และเสาวรสเป็นวัสดุกาจัด เมื่อศึกษาการกาจัดสีย้อม คริสตัลไวโอเลตจากเปลือกผลไม้ทั้ง 4 ชนิด ท่ีนามาทดสอบ (อัตราส่วน 1 กรัม ต่อ 20 มิลลิลิตร ใช้เวลาการกาจัด30 นาที นามาวัดค่าการดูดกลืนแสงของสีย้อมคริสตัลไวโอเลตในสารละลายที่มีความยาวคล่ืน 588 นาโนเมตร)พบว่าเปลือกลาไยมี ประสิทธิภาพในการกาจัดสีย้อมคริสตัลไวโอเลตดีที่สุด คิดเป็นร้อยละ 89.39 0.80ส่วนเปลือกส้ม กล้วยและเสาวรสมี ประสิทธิภาพในการกาจัดสีย้อมคริสตัลไวโอเลต คิดเป็นร้อยละ 77.49 1.45, 72.35 2.33 และ 87.01 1.13 ตามลาดับจึงคัดเลือกเปลือกลาไยมาศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการกาจัดสีย้อม ได้แก่ ปริมาณตัวดูดซับ เวลาสัมผัส และผลของ เกลือ พบว่าเปลอื กลาไย อัตราส่วน1 กรมั ตอ่ 40 มิลลลิ ิตร มีประสิทธภิ าพในการกาจดั คดิ เป็นรอ้ ยละ 91.65 2.97 จงึ ได้ ทาการศึกษาเวลาทีใ่ ช้ในการสัมผัส พบว่าเวลาในการสัมผัส 5 นาที เป็นต้นไป มีประสิทธภิ าพในการกาจัดร้อยละ 90 ขึ้นไป และเมื่อเติมเกลือลงไป 1 เปอร์เซ็นต์มปี ระสิทธิภาพในการกาจัดรอ้ ยละ 95.93 0.10 คาสาคญั : เปลือกลาไย; สยี ้อมครสิ ตลั ไวโอเลตในสารละลาย; การกาจดั สียอ้ ม
หนา 57 พลาสติกชีวภาพจากไส้ คล้า วัชรพรรณ อนิ ทรเพชร1, กมลวรรณ เยาวขันธ์1, ประคากรอง วศิ รีปัทย์1 จุฑารตั น์ ปุรา2 และ พิสิตา ตันวัฒนเสรี2 1นกั เรียนโรงเรียนศรบี ุญเรืองวิทยาคาร, E-mail: [email protected] 2โรงเรียนศรีบุญเรืองวิทยาคาร บทคดั ยอ่ พลาสติกชีวภาพจากไส้คล้า เป็นการนาไส้คล้าที่เป็นของเหลือท้ิงทางการเกษตรมาใช้ในการข้ึนรูป พลาสติก โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพือ่ นาไส้คล้ามาสังเคราะหเ์ ป็นคารบ์ อกซิลเมธิลเซลลูโลส หรือ ซีเอ็มซี แล้วนาซีเอ็มซีที่ได้มาขึ้น รูปเป็นพลาสติก โดยทดสอบสมบัติทางกายภาพของพลาสติกชีวภาพจากไส้คล้า พบว่าผงเซลลูโลสจากไส้คล้าสามารถ สังเคราะห์ซีเอ็มซีได้ โดยใช้สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์เข้มข้นร้อยละ 30 โดยมวล มีค่าร้อยละของผลิตภัณฑ์เท่ากับ 158.8 ± 2.08 กรมั และสารละลายซเี อม็ ซีจากไส้คล้าท่ีมีน้าเป็นตัวทาละลาย จะมีลักษณะใส ไม่มีสี มีความหนืด เม่ือนาไป อบที่อณุ หภมู ิ 40 องศาเซลเซยี ส เปน็ เวลา 24 ชั่วโมง จะได้พลาสติกท่ีมีพ้ืนผิวเรียบ สีเหลือง ใส มีความหนาประมาณ 0.32 มิลลิเมตร ในการผลิตพลาสติกชีวภาพจากไส้คล้าใช้ระยะเวลาเฉล่ียในการย่อยสลายในดิน 9.33 ช่ัวโมง และใช้ระยะเวลา เฉลี่ยในการย่อยสลายในน้า 2.43 ช่ัวโมง เน่ืองจากพลาสติกชีวภาพท่ีได้เป็นซีเอ็มซีจากธรรมชาติเป็นพอลิเมอร์ เมื่อวัดค่า ความโปรง่ แสงของพลาสติกชีวภาพโดยใช้เคร่อื งวัดความเข้มแสง พบว่าค่าความส่องสว่างภายในห้องก่อนวางแผ่น พลาสติก ชีวภาพที่ช่องรับแสง มีค่าเฉลี่ย 101.13 ลักซ์ และเมื่อนาแผ่นพลาสติกชีวภาพมาวางปิดที่ช่องรับแสง ค่าความส่องสว่างใน ห้องมีค่าเฉลี่ย 92.73 ลักซ์ ซ่ึงมีค่าลดลง 8.4 ลักซ์ และแสงท่ีวัดได้มีปริมาณลดลงในปริมาณร้อยละ 8.91 แสดงว่าแผ่น พลาสตกิ ชีวภาพสามารถปลอ่ ยให้แสงสอ่ งผ่านไดใ้ นปริมาณที่ใกล้เคียงกับความเข้มแสงเร่ิมต้นท่ีใช้เคร่ืองวัดความเข้มแสงวัด โดยตรง เม่อื ศกึ ษาความสามารถทนการรั่วซึมของน้า พบว่าแผ่นพลาสติกชีวภาพสามารถทนการร่ัวซึมของน้าได้นานเฉล่ีย 3.12 นาที และพลาสติกชีวภาพจากไส้คล้าเปน็ พอลิเมอรท์ ่มี ีความเปน็ ประจุ จึงสามารถละลายได้ในสารละลายท่ีมีความเป็น ข้ัว คือ สารละลายกรด เบส และกลาง สว่ นเฮกเซนเปน็ สารละลายท่ไี ม่มีขวั้ จงึ ไมเ่ กิดการละลายของพลาสตกิ ชีวภาพ คาสาคญั : พลาสติกชีวภาพ, คลา้ , คาร์บอกซลิ เมธลิ เซลลโู ลส คาสาคญั : การย้อมเส้นคลา้ , การย้อมสจี ากเปลือกประดู่, โคลนดินดา, สนิมเหล็ก, นา้ มะขามเปียก, น้าขี้เถา้
Search