(Genetic character) ลักษณะ ทางพันธุกรรม จัดทําโดยนายบุ ญเลิ ศลํา บุ ญเกิ ด ส า ข า วิ ช า วิ ท ย า ศ า ส ต ร์แ ล ะ ชี ว วิ ท ย า 62040111115 เอกสารอิ เล็ กทรอนิคส์ประก อบ การสอนรายวิชา ชีววิทยาพืนฐาน Udon Pittayanukoon School
ใบความรทู้ ี่ 1.1เรอ่ื งลักษณะทางพันธกรุ รม คนเราแตล่ ะคนจะมลี ักษณะเหมอื นกับพอ่ แมข่ องตนเอง โดยมีลักษณะบางอยา่ ง ทเี่ หมือนกบั พ่อและ มลี ักษณะบางอย่างที่เหมือนกบั แม่ ซง่ึ ลกั ษณะเหลา่ นจ้ี ะถ่ายทอด จากพอ่ แมไ่ ปสลู่ กู พ่อ เป็นลกู ของปูก่ บั ยา่ พ่อจงึ ได้รบั การถา่ ยทอดลกั ษณะบางอยา่ งจากปแู่ ละ ลกั ษณะบางอย่างมาจากยา่ แม่ เป็นลกู ของตากบั ยายแมจ่ งึ ไดร้ ับการถา่ ยทอดลกั ษณะบางอยา่ งจากตา และ ลกั ษณะบางอยา่ งมาจากยาย ตวั เรา เป็นลกู ของพอ่ กบั แมต่ วั เราจงึ ได้รบั การถา่ ยทอดลกั ษณะบางอยา่ งจากพอ่ และลกั ษณะบางอย่างมาจาก แม่ สิง่ มีชีวิตตา่ งๆ ไมว่ า่ จะเป็นพืชหรอื สตั ว์จะมกี ารถ่ายทอดลกั ษณะต่างๆ จากพอ่ แม่ไปสู่ ลกู เช่นเดยี วกบั คนเรา เชน่ แม่ไก่จะออกลกู ออกมาเปน็ ลูกไก่ (ลกู เจย๊ี บ) ซ่งึ มลี ักษณะบางอย่างที่ เหมอื นกบั ตัวพอ่ ไก่แมไ่ ก่ เมลด็ ขา้ วโพดที่ถกู นามาปลูกจะเตบิ โตเป็นต้นขา้ วโพดเหมอื นกับตน้ พ่อ แม่ ลกั ษณะบางอย่างของลกู ท่ีแตกต่าง ไปจากพอ่ หรอื แม่น้ัน อาจเป็นลกั ษณะทไ่ี ดร้ บั การถา่ ยทอด จากปู่ ยา่ ตา หรือยายก็ได้ แต่ถ้าลักษณะทป่ี รากฏ ออกมานน้ั ไมเ่ หมอื นลกั ษณะของใคร ในครอบครวั เลย แสดงวา่ ลกั ษณะบางอยา่ งทป่ี รากฏออกมาเปน็ ลักษณะ ท่แี ปรผนั ซงึ่ สามารถ ถา่ ยทอดไปยังรนุ่ ลกู รนุ่ หลานตอ่ ไปไดส้ ิ่งมชี วี ิตตา่ งๆ สามารถถา่ ยทอดลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรมไปสลู่ ูกหลาน ได้โดยหนว่ ย พนั ธุกรรมนจี้ ะอยู่ใน ยีน (gene) ทอ่ี ย่ใู นเซลลส์ บื พันธุ์ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรม (genetic character) เปน็ ลกั ษณะของสง่ิ มชี ีวติ แต่ละชนิดลักษณะบางอยา่ งทม่ี ี ปรากฏอย่ใู นรุน่ บรรพบรุ ษุ แลว้ ถ่ายทอดลกั ษณะนั้นๆ ใหก้ บั รนุ่ ลกู หลานต่อๆมา ลักษณะทางพนั ธกุ รรมไดแ้ ก่ ลักษณะสนี ัยนต์ า สผี ม สีผิว ความสูง นา้ หนกั ตวั สติปญั ญา สีของ ดอกไม้ ความถนัด ฯลฯ ในการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมมยี ีน(gene) เป็นหนว่ ยควบคุมลักษณะในทาง พนั ธกุ รรมท้าหนา้ ทถี่ ่ายทอดลกั ษณะจากพอ่ แมไ่ ปสูล่ กู หลานยนี (gene)มีต้าแหนง่ อยบู่ นโครโมโซม
ลกั ษณะต่างๆ ของสิง่ มีชีวิตจะถกู ถา่ ยทอดจากบรรพบุรุษไปสรู่ ่นุ ลกู หลาน โดยหน่วยพนั ธุกรรมในเซลลท์ ่ี เรยี กวา่ ยีน ซ่งึ เป็นส่วนหนง่ึ ของดเี อน็ เอ แตด่ เี อน็ เอมที งั้ ส่วนที่อยู่ในนิวเคลียส และสว่ นทอ่ี ยู่ใน ไซโทพลาซึม ซึ่งดีเอน็ เอทงั้ สองส่วนน้จี ะควบคมุ และถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรมด้วยแบบแผนทต่ี า่ งกนั ลักษณะพันธุกรรมของสงิ่ มีชวี ิต นอกจากจะถูกควบคมุ ด้วยดเี อน็ เอหรอื ยนี ในนิวเคลียสแล้วยงั ถกู ควบคุมด้วยยีนท่ีอย่นู อกนิวเคลียสอกี ดว้ ย นน่ั คอื ดเี อน็ เอในไมโทคอนเดรียและพลาสติดซงึ่ อย่ใู นไซโทพลาซมึ ออรแ์ กเนลลท์ งั้ สองสามารถแบง่ ตวั ได้ไม่อยใู่ นการควบคมุ ของนวิ เคลียส เซลลไ์ ข่ของสง่ิ มชี ีวิตเพศเมยี จะมี ขนาดใหญ่ มีไซโทพลาซมึ มาก สเปริ ์มท่ีเขา้ มาผสมจะมแี ตน่ วิ เคลียส แทบจะไมม่ ไี ซโทพลาซมึ เลย ดงั น้ัน ลักษณะตา่ ง ๆ ทถ่ี กู ควบคมุ ด้วยยีนท่ีอยู่ในไซโทพลาซมึ จงึ มกั มาจากทางฝา่ ยแม่ ลักษณะท่ถี กู ควบคมุ ด้วยยีนใน นิวเคลียส จะเปน็ ไปตามกฎของเมนเดล เม่อื มกี ารผสมระหว่างพ่อแมท่ ้ังสายผสมตรง (direct cross) และสายผสมกลบั สลบั พอ่ แม่ (reciprocal cross) ลกู ผสมที่ได้ของทง้ั 2 สาย จะมอี ัตราสว่ นเทา่ กัน แต่ลกั ษณะท่คี วบคมุ ด้วยยนี นอก นวิ เคลียสจะไมเ่ ปน็ ไปตามกฎของเมนเดล
ใบความรู้ที่ 1.2 ลักษณะการแปรผนั ท่ีต่อเนื่องแลลักษณะการแปรผนั ที่ไมต่ ่อเนอื่ ง รวมทัง้ อิทธิพลของสิง่ แวดล้อมเกยี่ วกับการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม 1. การแปรผันทางพันธุกรรมแบบต่อเน่ือง ( Continuous variation ) เปน็ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทไ่ี ม่ สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน มคี วามแตกต่างกันเพียงเลก็ น้อย ความแตกต่างของลักษณะจะ ปรากฏเปน็ ลา้ ดบั ต่อเนอ่ื งกนั ท้าใหย้ ากตอ่ การจดั หมวดหมแู่ ละอตั ราส่วนจะแยกอยา่ งเดด็ ขาดได้ยาก มักถูก ควบคมุ โดยยนี หลายคู่ ( Polygene หรือ Multiple gene)แปรผนั ไดง้ า่ ยเมอื่ ไดร้ ับอทิ ธิพลจากส่งิ แวดล้อม สามารถวดั ขนาดและปริมาณได้ (Quantitative trait )ตัวอยา่ ง เช่น ในคน – สีผวิ ปกติ / ความสูง / น้าหนกั / โครงรา่ ง / ระดับสติปญั ญา ฯลฯ ในสัตว์และพืช – ขนาดของร่างกาย / ผลผลติ / ปรมิ าณการใหเ้ น้อื นม และ ไข่ ฯลฯ เป็นลักษณะทางพันธกุ รรมท่ไี มส่ ามารถแยกความแตกตา่ งได้อยา่ งเดน่ ชัด เช่น ความสูง นา้ หนกั โครง รา่ ง สผี ิว ซ่ึงเกิดจากอทิ ธิพลของกรรมพนั ธแ์ุ ละสงิ่ แวดลอ้ มรว่ มกัน เช่น ความสงู ถ้าไดร้ ับสารอาหารถกู ตอ้ ง ตามหลกั โภชนาการและมีการออกกาลงั กายกจ็ ะทาใหม้ รี า่ งกายสูงได้ 2. การแปรผันแบบไม่ตอ่ เน่ือง ( Discontinuous variation )เปน็ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทม่ี ีความ แตกตา่ งอยา่ งชดั เจนและจ้าแนกชนิดของลกั ษณะที่ปรากฎใหเ้ ปน็ หม่ไู ด้ง่าย ถกู ควบคุมดว้ ยยนี นอ้ ยคไู่ ม่แปรผัน โดยอิทธพิ ลของสง่ิ แวดล้อมเป็นลกั ษณะทางคณุ ภาพ (Quntitative trait) ตวั อย่าง เชน่ ความสามารถในการ หอ่ ล้ิน / การถนดั มอื ซ้าย มือขวา / จา้ นวนช้นั ของหนงั ตา / การมลี กั ยิม้ / ลกั ษณะผิวปกติ – ผวิ เผอื ก / พนั ธกุ รรมของหมู่เลือด / การมีตง่ิ หู – ไมม่ ีต่งิ หู ฯลฯ
เป็นลกั ษณะทางพนั ธุกรรมทส่ี ามารถแยกความแตกต่างไดอ้ ยา่ งชดั เจนเกิดจากอิทธิพลของกรรมพนั ธุ์ เพียงอยา่ งเดียว เช่น มีลักยมิ้ - ไม่มลี กั ยิ้ม ขวัญเวยี นขวา - ขวัญเวยี นซ้าย หอ่ ลิ้นได้ - ห่อลิ้นไม่ได้ มีตงิ่ หู - ไมม่ ี ตงิ่ หู กระดกู โคนนิว้ หัวแม่มือกระดกไปมาได้ – กระดกไปมาไม่ได้ สิง่ แวดล้อม (Environment) หมายถงึ สงิ่ ต่างๆ ทอ่ี ยู่รอบตวั บุคคล ท้าหน้าทเ่ี ปน็ สงิ่ เรา้ ในอนั ทจี่ ะท้าใหบ้ ุคคล แสดงปฏกิ ริ ิยาตอบสนอง และมอี ทิ ธิพลต่อพฒั นาการของบคุ คลนนั้ ๆ ในทางจติ วทิ ยานน้ั สง่ิ แวดลอ้ ม คอื ผลรวมของการกระตุ้นจากส่งิ เรา้ ทบ่ี คุ คลได้รบั และมผี ลกระทบต่อบคุ คล นน้ั ตัง้ แตเ่ รมิ่ ปฏิสนธิจนกระท่ังเสยี ชีวติ สิ่งแวดล้อมมอี ทิ ธพิ ลต่อความเจรญิ งอกงามหรอื ความเส่อื มตอ่ พัฒนาการของบุคคลไดเ้ ปน็ อย่างยงิ่ อิทธพิ ล ของส่ิงแวดล้อมมีผลกระทบตอ่ เราได้ 2 ลกั ษณะ คอื 1. มอี า้ นาจบงั คับต่อบคุ คลโดยตรง ไม่ว่าบุคคลนนั้ สนใจท่ีจะเรยี นร้เู พอื่ ปฏบิ ตั หิ รอื ไม่ สิ่งแวดล้อมเหล่าน้ี ได้แก่ ธรรมชาติ อุณหภมู ิ อากาศ อาหาร เปน็ ต้น 2. บุคคลเกดิ การเรยี นรสู้ ิ่งแวดลอ้ มนนั้ ๆ แล้วนา้ มาปฏิบตั ิ สงิ่ แวดล้อมเหล่านี้ ได้แก่ พฤติกรรมทางสงั คม ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ศาสนา กฎหมาย เป็นต้น
ประเภทของสงิ่ แวดล้อมท่ีมอี ิทธพิ ลต่อบคุ คล สง่ิ แวดลอ้ มนัน้ มีอทิ ธิพลต่อพฒั นาการของบคุ คลนับต้ังแตป่ ฏสิ นธิไจวบจนเสยี ชวี ิต ดงั ท่กี ล่าวมาแลว้ ข้างตน้ ในทางจติ วิทยาน้ันสามารถจ้าแนกประเภทของสง่ิ แวดลอ้ มทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ บุคคลออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท ดังน้ี 1. ส่ิงแวดลอ้ มก่อนเกิด หมายถึง สง่ิ แวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อบุคคลตง้ั แต่เร่มิ ปฏิสนธิมาจนกระท่ังถงึ กา้ หนดคลอด ดงั นัน้ อิทธิพลของ สง่ิ แวดล้อมก่อนเกิดน้นั จงึ ขึ้นอยู่กบั สขุ ภาพของมารดาเป็นสา้ คัญ อนั ไดแ้ ก่ 1) การบริโภคอาหารของมารดา (Maternal Nutrition) อาหารทตี่ ัวออ่ นจะได้รบั น้นั จะผา่ นจากมารดาโดย อาศยั สายรก ดงั น้นั ในระยะนมี้ ารดาควรไดร้ ับสารอาหารท่คี รบถว้ น เพอ่ื ใหเ้ กดิ พฒั นาการทด่ี ีสา้ หรบั ตัวอ่อนใน ครรภ์ อาหารที่เปน็ พษิ กบั พัฒนาการของทารกควรหลกี เลี่ยง 2) ยา (Drug) ในระหวา่ งการต้งั ครรภ์ การใชย้ าควรอยู่ในความดแู ลของแพทยอ์ ยา่ งใกล้ชดิ เพราะยาบางชนดิ อาจมผี ลกระทบตอ่ ความผดิ ปกตขิ องทารกในครรภไ์ ด้ 3) บุหร่ีและสรุ า (Tabacco and Alcohol) มารดาทส่ี บู บหุ ร่มี ากระหว่างการตง้ั ครรภอ์ าจมผี ลให้ทารกมี นา้ หนกั ตัวนอ้ ยกวา่ ปกติ เกดิ การคลอดก่อนก้าหนด หรอื อาจถงึ แทง้ ไดใ้ นโอกาสทส่ี ูงถงึ 2.5 เท่า 4) สาร กมั มนั ตภาพรงั สี (X-ray and Radium) ในระหว่างตงั้ ครรภค์ วรเลยี่ งการรับรังสี X-ray โดยเดด็ ขาดเน่ืองจากมี ผลต่อการเจรญิ เติบโตและการแบง่ ตวั ของเซลลต์ า่ ง ๆ ในร่างกาย ส่งผลถงึ รา่ งกายและเม็ดเลือดได้ 5) สขุ ภาพของมารดา (Maternal Health) การเจ็บป่วยของมารดาในระยะ 3 เดอื นแรกของการตง้ั ครรภ์ มีผล ต่อทารกในครรภ์ได้โดยตรง เชน่ ไวรัสหัดเยอรมนั (German Measier) ท้าใหม้ โี อกาสแท้งสูงมาก 6) อบุ ตั เิ หตุ (Accident) ต่าง ๆ ในขณะตั้งครรภ์ ตัวมารดาและผใู้ กลช้ ิดจงึ ควรระวังไม่ใหเ้ กดิ การเสีย่ ง ต่อการเกิดเหตุการณท์ ี่อันอาจเป็นอันตรายได้ 7) สุขภาพจติ ของมารดา (Mental Health) ถึงแม้ว่าจะไม่มเี ส้นประสาทเช่อื มโยงความร้สู กึ จากมารดาไปสู่ ทารกในครรภ์กต็ าม แต่เปน็ ทีย่ อมรบั ในวงการแพทยว์ า่ สุขภาพจิตของมารดาจะสง่ ผลต่อสุขภาพของทารกใน ครรภโ์ ดยตรง 2. สงิ่ แวดลอ้ มขณะกาลงั เกิด หมายถงึ สง่ิ แวดลอ้ มท่มี อี ทิ ธพิ ลต่อทารกตงั้ แต่เรม่ิ คลอดจากครรภ์ ซ่ึงในชว่ งเวลาน้แี มจ้ ะไม่กนิ เวลานานนกั แต่ปัญหาบางประการกอ็ าจจะท้าใหเ้ กิดการกระทบกระเทอื นตอ่ ทารกได้ง่าย ไดแ้ ก่ 1) ถ้ามกี ารกระทบกระเทอื นตอ่ ระบบการไหลเวยี นโลหิตในร่างกายโดยเฉพาะสว่ นสมอง เชน่ รกพนั คอ หรือ เชิงกรานของแมเ่ ล็กเกินไป หรอื ศีรษะของทารกโตเกินไป ทา้ ใหส้ มองของทารกขาดออกซเิ จน หากขาด ออกซเิ จนนาน 18 วินาที อาจมีผลกบั ระบบการเห็น การพูด การไดย้ นิ และถ้าหากนานเกิน 5-8 นาที เซลล์ สมองจะถกู ทา้ ลาย ทา้ ใหเ้ ปน็ ปญั ญาอ่อนได้ 2) ถา้ สมองของทารกไดร้ บั การกระทบกระเทอื นจากการทา้ คลอดของแพทย์ เชน่ การใช้คมี คีบขมบั หรอื ใช้ เครื่องสูญญากาศดดู ศรี ษะทารก ถ้ารุนแรงเกินไปจะท้าใหส้ มองไดร้ บั ความระทบกระเทอื นได้ 3) ในกรณีที่ช่องคลอดมารดาตดิ เชอ้ื กามโรคโกโนเรีย (Gonorrhea) หรอื หนองใน เชือ้ โรคจะท้าลายเยอ่ื บุ นัยน์ตาของทารกได้
3. ส่ิงแวดล้อมหลงั คลอด หมายถงึ สง่ิ แวดลอ้ มท่ีมอี ทิ ธิพลต่อบคุ คลนบั ตงั้ แตค่ ลอดออกมาจากครรภม์ ายงั โลกภายนอก สิ่งแวดลอ้ ม เหล่านี้ ไดแ้ ก่ 1) สถาบันครอบครัว ครอบครัวถือวา่ เปน็ สถาบันแห่งแรกทมี่ ีความส้าคัญตอ่ พฤติกรรมของบุคคลในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น วิธกี ารอบรมเลยี้ งดู สถานภาพทางเศรษฐกจิ และสงั คม ความม่งุ หมายของพอ่ แม่ เป็นตน้ 2) สถาบนั การศึกษา เปน็ สงิ่ ทส่ี า้ คญั รองลงมาจากสถาบันครอบครัว เพราะครอบครวั เปน็ แหล่งทส่ี รา้ ง พฤตกิ รรม ส่วนสถานศกึ ษาจะเป็นแหลง่ หล่อหลอมพฤตกิ รรมของบคุ คลในการใช้ชีวิตในสังคม ไม่ว่าจะเป็น บคุ ลกิ ภาพของครู บรรยากาศในสถานศกึ ษา เพอื่ นรว่ มสถาบนั การศกึ ษา หลกั สูตร วิธีการสอนของสถาบนั เปน็ ต้น 3) สถาบันศาสนา มีหนา้ ท่ีเปน็ เสมือนเครือ่ งยดึ เหนย่ี วจิตใจ และมีบทบาทในการก้าหนดพฤตกิ รรมการ แสดงออกของบุคคลในศาสนานั้น ๆ อกี ดว้ ย เน่ืองจากอิทธพิ ลทางศาสนาจะมีผลตอ่ จิตใจและศรัทธาสูงมาก 4) สถาบนั ส่ือมวลชน ในปัจจบุ ันตอ้ งเป็นทีย่ อมรบั ว่าสือ่ มวลชนประเภทตา่ ง ๆ มบี ทบาทอยา่ งมากตอ่ สงั คม จงึ มีอทิ ธพิ ลตอ่ การก้าหนดพฤตกิ รรมของบุคคลที่เป็นสมาชกิ ในสงั คมน้ัน ๆ ทงั้ ทางบวกและทางลบ อิทธิพลของพนั ธกุ รรมและสิง่ แวดล้อมที่มีตอ่ ความแตกตา่ งของบุคคลในด้านตา่ งๆ 1. ความแตกตา่ งทางดา้ นรา่ งกาย (Physical) เป็นความแตกต่างทเี่ หน็ ไดเ้ ด่นชัดทีส่ ุด ซ่ึงรบั อทิ ธพิ ลมาจากพันธุกรรมเปน็ สว่ นใหญ่ ซง่ึ เราสามารถจ้าแนก ความแตกตา่ งทางดา้ นร่างกายของแตล่ ะบุคคล ไดแ้ ก่ 1) ลักษณะโครงสร้างทางร่างกาย เชน่ ลักษณะสผี ิว หน้าตา ลกั ษณะรปู รา่ ง ฯลฯ ซึ่งจะเป็นไปตามลกั ษณะโครงสรา้ งตามเผา่ พนั ธุท์ ่ีแตกต่างกัน 2) เพศ ทารกทเี่ กิดใหม่จะไดร้ ับอทิ ธิพลทางเพศมาจาก เซก็ ซโ์ ครโมโซม โดยตรง ซง่ึ สรรี ะของชายและหญงิ กจ็ ะ ปรากฏความแตกตา่ งกันอย่างเหน็ ไดช้ ดั 3) ชนดิ ของกล่มุ โลหติ โดยปกติแล้วมนษุ ยจ์ ะมกี ลุ่มโลหิตเพยี ง 4 กล่มุ คือ A, B, O และ AB ซ่ึงบุคคลใดจะมี โลหติ กลุ่มใดขึน้ อยกู่ ับพันธุกรรมจากบดิ าและมารดาของตนดังตาราง 4) การท้างานของอวัยวะภายใน มกี ารท้างานของระบบภายในร่างกายท่ไี ดร้ บั การยืนยนั วา่ สามารถถา่ ยทอด ทางพันธุกรรมได้ เชน่ ความดนั เลอื ด เป็นตน้ 5) ลกั ษณะของโรคภัยไขเ้ จบ็ และข้อบกพร่องทางร่างกายบางประการทเี่ กดิ จากพนั ธุกรรม เชน่ ตาบอดสี โรค เลือดไหลไมห่ ยุด ลมบา้ หมู ธาลสั ซเี มีย เบาหวาน นิว้ เกนิ นว้ิ ติด ผิวเผือก เปน็ ต้น 2. ความแตกตา่ งทางดา้ นสติปญั ญา (Intelligence) เฮนร่ี อี. กอ็ ดดาร์ด (Henrey E. Goddard) ไดท้ ้าการรวบรวมขอ้ มลู ของตระกลู หนง่ึ ซงึ่ เพอ่ื ความเหมาะสมจงึ ใหก้ ารสมมตชิ ่ือขึ้น โดยศกึ ษายอ้ นหลงั ไปกวา่ 50 ปี ซง่ึ นับว่าเป็นการศึกษาอทิ ธิพลของพันธกุ รรมทมี่ ตี ่อ สติปัญญาของบคุ คลทไี่ ด้รบั การยอมรบั และกล่าวถงึ กันมากในแวดวงจติ วิทยา 3. ความแตกต่างด้านอารมณ์ (Emotion) เคิรตชแ์ ละครตั ช์ฟลิ ด์ (Kretch and Crutchfield) เชือ่ วา่ อารมณ์เปน็ สญั ชาตญาณทตี่ ิดตวั มากบั มนษุ ยแ์ ต่ กา้ เนดิ อยา่ งหน่งึ โดยเฉพาะอารมณ์พ้ืนฐาน (Primary Emotion) ไดแ้ ก่ รกั โกรธ เกลียด กลัว รา่ เริง เศร้า สนุกสนาน เป็นต้น ซง่ึ อารมณเ์ หล่านถ้ี ูกถา่ ยทอดมาจากยนี บรรพบรุ ษุ ของมนุษย์ ดังน้นั คนเราจึงมอี ารมณ์ พน้ื ฐานเหมอื นกันทงั้ สนิ้ เพียงแต่มกี ารแสดงออกทางอารมณ์ท่ีแตกต่างกัน เช่น บางคนเมือ่ โกรธกจ็ ะขว้างปา
สิ่งของ หรอื บางคนอาจแสดงออกแคก่ ารก้ามอื แนน่ เป็นตน้ ซง่ึ เปน็ ไปตามอทิ ธพิ ลของสงิ่ แวดล้อม โดยเฉพาะ การเล้ียงดขู องพอ่ แม่ นอกจากอารมณ์พื้นฐานแลว้ ยังมีอารมณ์บางส่วนทเ่ี กดิ จากการเรียนรูภ้ ายหลงั เช่น อจิ ฉา ใจร้อน ใจเย็น ตลกขบขนั เป็นตน้ 4. ความแตกต่างทางสงั คม (Social) ความแตกต่างทางสงั คม หมายถงึ ความแตกต่างดา้ นการแสดงออกทางพฤติกรรมการอยรู่ ่วมกนั กบั บุคคลอ่นื ในสงั คม ไดแ้ ก่ การสร้างสัมพันธภาพกบั สมาชิกอืน่ ในสงั คม การวางตวั และการปรบั ตัว เป็นต้น ซึ่งพฤตกิ รรม ทแี่ สดงออกมาจะเป็นในทางบวกหรอื ลบในระดับใดนนั้ ขึ้นอยู่กับสภาพสังคมและสงิ่ แวดลอ้ มที่บุคคลเตบิ โตมา โดยเฉพาะสงิ่ แวดล้อมในสถาบนั ครอบครัว 5. ความแตกต่างดา้ นบุคลกิ ภาพ (Personality) บคุ ลิกภาพ หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะของบคุ คลที่แสดงออกมาทงั้ ทางร่างกายและจติ ใจ ด้วยเหตุนบ้ี คุ ลกิ ภาพ ของแตล่ ะบุคคลจงึ แตกต่างกันไป นกั จติ วทิ ยาเชือ่ ว่าบุคลกิ ภาพเปน็ พฤตกิ รรมโดยส่วนรวมที่ได้สง่ั สมกันมาเป็น เวลายาวนาน ดงั นน้ั บุคลิกภาพจงึ ได้รบั อทิ ธพิ ลมาจากสิง่ แวดล้อมเปน็ สว่ นใหญ่ แตท่ งั้ น้ี สงิ่ แวดลอ้ มในแต่ละ สังคมมคี วามแตกตา่ งกัน โดยปจั จัยที่ แตกต่างในสภาพแวดลอ้ มท้าใหบ้ คุ ลิกภาพของแตล่ ะบคุ คล ถูกหลอ่ หลอมใหม้ คี วามแตกตา่ งกนั ไป อยา่ งไรก็ ตาม แม้บคุ ลกิ ภาพจะเปน็ สงิ่ ทสี่ ่งั สมมาตงั้ แต่เดก็ จนกระทง่ั กลายเป็นนสิ ยั และความเคยชินกต็ าม แตบ่ คุ คลก็ สามารถพฒั นาบคุ ลกิ ภาพที่ไม่พงึ ประสงคใ์ ห้ดี
(Genetic character)
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: