Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 01-พระพุทธศาสนากับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม (2)

01-พระพุทธศาสนากับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม (2)

Published by kitsuchin.ponsen, 2019-06-21 12:14:26

Description: 01-พระพุทธศาสนากับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม (2)

Search

Read the Text Version

บทความวจิ ยั บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั

ค�ำนยิ ม บณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลยั ไดจ้ ดั โครงการ “การประชุมวิชาการน�ำเสนอผลงานวจิ ัย บณั ฑติ ศกึ ษาระดบั ชาติ ประจำ� ปี ๒๕๖๑ “National Research Symposium ๒๐๑๘” มหี ลกั แนวคดิ ของการจดั งาน ในครงั้ นค้ี อื “พทุ ธธรรมกบั ศาสตรส์ มยั ใหมส่ นู่ วตั กรรม” ไดเ้ ปดิ โอกาสใหค้ ณาจารย์ นกั ศกึ ษาทง้ั ภายในและภายนอก สถาบนั นำ� ผลการวจิ ยั ของตนมานำ� เสนอในรูปแบบการนำ� เสนอบนเวที หรอื ปา้ ยโปสเตอร ์ การศึกษาระดบั บณั ฑติ ศึกษานั้น ผทู้ ี่จบการศกึ ษาได้ต้องน�ำผลงานวทิ ยานิพนธ์หรอื ส่วนหนึ่งของวทิ ยานพิ นธ์ ตีพิมพ์ หรืออย่างน้อยได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ในวารสารระดับชาติหรือระดับนานาชาติที่มีคุณภาพตามประกาศ คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา เรอื่ ง หลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณาวารสารทางวชิ าการสำ� หรบั การเผยแพรผ่ ลงานทางวชิ าการ หรือนำ� เสนอต่อท่ปี ระชมุ วชิ าการโดยบทความท่ีน�ำเสนอฉบับสมบรู ณ์ (Full Paper) ไดร้ ับการตีพิมพใ์ นรายงานสืบ เนอื่ งจากการประชมุ วชิ าการ (Proceedings) การผลติ บณั ฑติ ทม่ี คี ณุ คา่ ไดป้ รญิ ญาทม่ี คี ณุ ธรรม ตรงตามปรชั ญาของ มหาวิทยาลัยว่า “ความเปน็ เลศิ ทางวชิ าการด้านพระพุทธศาสนา” โดยส่งเสรมิ ศึกษา ค้นควา้ วิจัย เพื่อองคค์ วามรู้ คูค่ ุณธรรม ตามปรัชญาของบัณฑิตวิทยาลัย ผลงานวจิ ยั ทกุ ชนิ้ มคี ณุ คา่ ตอ่ การศกึ ษาและพฒั นาประเทศ การวจิ ยั เปน็ กระบวนการพฒั นาทม่ี หี ลกั วชิ าจำ� เปน็ ต่อการพัฒนาทุกระบบ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้นมุ่งให้นักวิจัยได้น�ำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ไปปรับใช้ในกิจกรรมอย่างเป็นรูปธรรม เพ่ือให้สังคมเกิดความสงบสุขและแก้ปัญหาได้จริง ขอท่านทั้งหลายจงท�ำ หนา้ ทข่ี องตนเองใหด้ ที ส่ี ดุ ในฐานะนกั วจิ ยั เปน็ บคุ ลกรขององคก์ รและของชาตทิ ม่ี คี ณุ ภาพและเปน็ ผพู้ รอ้ มดว้ ยวชิ ชา และจรณะ คือเปน็ ผมู้ คี วามรู้ดีและความประพฤตดิ ีจึงนบั วา่ สมบูรณ์ พระเทพบณั ฑติ อธิการบดี มหาวทิ ยาลัยมหามกฏุ ราชวิทยาลยั

คำ� ปรารภ โครงการประชุมวชิ าการนำ� เสนอผลงานวิจยั บัณฑิตศกึ ษาระดับชาติ ประจ�ำปี ๒๕๖๑ Research Sym- posium ๒๐๑๘ นี้ เปน็ โครงการทจี่ ดั ขน้ึ เพอื่ เปดิ โอกาสใหน้ กั ศกึ ษา คณาจารยแ์ ละนกั วจิ ยั นำ� เสนอผลงานวจิ ยั ทเ่ี ปน็ องค์ความรู้ทางพระพุทธศาสนาและทางการพัฒนาสังคมตามสาขาวิชาที่บัณฑิตวิทยาลัยเปิดการเรียนการสอนอยู่ การน�ำเสนอผลงานวิจัยเป็นไปตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการเรื่องเกณฑ์มาตรฐานการศึกษาระดับ บัณฑิตศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๘ ซ่งึ มวี ัตถปุ ระสงคใ์ หผ้ ูท้ ท่ี �ำวจิ ยั แลว้ ไดแ้ สดงผลการวจิ ยั ตอ่ ที่สาธารณะใหผ้ สู้ นใจได้รับรู้ รบั ทราบและนำ� ไปตอ่ ยอด นบั เปน็ ประโยชนต์ ่อการศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยได้ผลิตมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตตามภารกิจด้าน หนงึ่ ของหน่วยงานทง้ั ในส่วนกลางและวทิ ยาเขต เพือ่ เป็นกำ� ลังส�ำคญั ในการพัฒนาสังคม มงุ่ หมายให้นกั วจิ ยั ทกุ ทา่ น ตระหนักถึงองค์ความรู้ท่ีจะน�ำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน โครงการฯ น้ีจึงได้เกิดข้ึนและกระท�ำต่อเนื่อง กนั มาเปน็ ระยะเวลายาวนาน สำ� หรบั ปนี จ้ี ดั ขน้ึ ในวนั ท่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ.๒๕๖๑ ณ หอ้ งประชมุ อาคารสชุ พี ปญุ ญานภุ าพ และอาคารสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส (B ๗.๑) ชนั้ ๕ ในนามบัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ขออนุโมทนาและขอขอบคุณคณะกรรมการ ทุกฝ่าย คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ นักศึกษา และนักวิจัยทุกท่าน ที่มีความวิริยะอุตสาหะช่วยกันด�ำเนินการจัดพิมพ์ เอกสารและจดั การประชมุ ใหเ้ ปน็ ไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ย ขออำ� นาจคณุ พระศรรี ตั นตรยั จงคมุ้ ครองปกปกั รกั ษาทกุ ทา่ น ใหป้ ระสบความส�ำเร็จดว้ ยกนั ทุกท่านเทอญ พระศรีวนิ ยาภรณ์, ดร. รักษาการในต�ำแหน่งคณบดบี ัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั

ค�ำสงั่ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ที่ ๙๖๐/๒๕๖๑ เรอื่ ง แตง่ ตั้งคณะกรรมการผทู้ รงคุณวฒุ ิพิจารณากล่ันกรองบทความวิจยั และบทความวิชาการ โครงการประชุมวชิ าการนำ� เสนอผลงานวจิ ัยบัณฑติ ศึกษาระดบั ชาติ ประจ�ำปีการศึกษา ๒๕๖๑ ด้วยบณั ฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย จักได้ด�ำเนนิ โครงการประชุมวชิ าการ นำ� เสนอ ผลงานวจิ ยั บณั ฑติ ศกึ ษาระดบั ชาติ ประจำ� ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ในวนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๔ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เพอ่ื ใหบ้ ทความวจิ ยั และบทความวชิ าการทข่ี น้ึ เสนอทกุ ผลงานไดร้ บั การพจิ ารณากลนั่ กรองคณุ ภาพจากผทู้ รงคณุ วฒุ ขิ องบณั ฑติ วทิ ยาลยั อาศัยอ�ำนาจตามความในมาตรา ๒๗ แหง่ พระราชบัญญัตมิ หาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย พ.ศ.๒๕๔๐ จงึ แตง่ ตง้ั คณะกรรมการผทู้ รงคณุ วฒุ พิ จิ ารณากลน่ั กรองบทความวจิ ยั และบทความวชิ าการโครงการประชมุ วชิ าการ น�ำเสนอผลงานวิจยั บณั ฑิตศกึ ษาระดับชาติ ประจ�ำปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๑ ดังมีรายนามตอ่ ไปน้ี :- ท่ีปรกึ ษา พระเมธาวินัยรส, รศ.ดร. รองอธกิ ารบดีฝา่ ยวชิ าการ พระกิตตสิ ารสุธี, ดร. คณบดคี ณะศาสนาและปรัชญา พระศรวี นิ ยาภรณ,์ ดร. คณบดีบัณฑติ วทิ ยาลัย, รก. พระมหาอรุณ ปญฺารุโณ คณบดคี ณะสังคมศาสตร์, รก พระมหาทองเชดิ กตปุญฺโ, ผศ.ดร. ผูอ้ ำ� นวยการสถาบัญวจิ ยั ญาณสงั วร, รก. ผู้ทรงคุณวฒุ ภิ ายในมหาวทิ ยาลยั ๑. สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา พระเมธาวนิ ยั รส, รศ.ดร. พระมหาบุญศรี าณวุฑฺโฒ, ผศ.ดร. พระศรวี นิ ยาภรณ์, ดร. พระครูศรีปรยิ ตั ิคณุ าภรณ,์ ผศ.ดร. ศ.(กติ ติคุณ) ดร.สมุ านพ ศิวารัตน์ รศ.ดร.สวุ ิญ รักสัตย์ รศ.ดร.มานพ นักการเรยี น

๒. สาขาวชิ าพุทธศาสนาและปรชั ญา พระมหามฆวินทร์ ปรุ ิสุตตฺ โม, ผศ.ดร. พระมหาบญุ ไทย ปุญฺมโน, ดร. รศ.ดร.บญุ รว่ ม คำ� เมืองแสน พระครูปลัดสวุ ฒั นเมธาคุณ, ดร. ดร.กฤตสชุ ิน พลเสน รศ.สเุ ชาวน์ พลอยชุม ๓. สาขาวิชารัฐศาสตร์การปกครอง รศ.ดร.กันตภณ หนทู องแก้ว รศ. (พิเศษ) ดร.สกุ ิจ ชยั มุสิก ดร.ฐากูร หอมกลิน่ ดร.สมภพ ระงับทุกข์ ดร.จักรวาล สขุ ไมตร ี ๔. สาขาวิชาสงั คมวิทยา พระศากยวงศ์วสิ ทุ ธ,์ิ ดร. พระครูสุนทรมหาเจติยานรุ กั ษ,์ ดร. รศ.ดร.เดชชาติ ตรีทรพั ย ์ รศ.ดร.กนั ตภณ หนูทองแกว้ ผศ.ดร.ตระกลู ช�ำนาญ รศ.ดร.สเุ ทพ สุวีรางกรู ๕. สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา พระราชรตั นมงคล, ดร. พระมหาธ�ำรงค์ ฐิตปุญโฺ ญ, ดร. รศ.ดร.สวุ ทิ ย์ ภาณุจารี ผศ.ดร.ด�ำรงค์ เบญจครี ี ผศ.ดร.อนพุ ันธ์ อภิชยานุภาพ ผศ.ดร.สถาพร ขนั โต ดร.ลัดดา ผลวฒั นะ ผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมหาวทิ ยาลยั ๑. สาขาวชิ าพทุ ธศาสน์ศึกษา พระสธุ ีรตั นบัณฑติ , รศ.ดร. ศ.ดร.กมลพร แก้วพรสวรรค์ รศ.ดร.ผจญ คำ� ชูสังข ์ ผศ.รท.ดร.บรรจบ บรรณรุจิ ผศ.ดร.ประทีป จนิ ง ่ี ดร.วงศกร เพม่ิ ผล ๒. สาขาวชิ าพุทธศาสนาและปรัชญา ศ.ดร.เดือน ค�ำด ี ศ.ดร.ประยงค์ แสนบรุ าณ พระราชปรยิ ัตมิ ุนี , ผศ.ดร. พระมหาพรชัย สิรวิ โํ ส, ผศ.ดร. รศ.ดร.วิทยา ศกั ยาภนิ นั ท ์ ผศ.ดร.ธีรตั ม์ แสงแกว้ ผศ.ดร.สมบูรณ์ วัฒนะ

๓. สาขาวชิ ารัฐศาสตร์การปกครอง ผศ.ดร.ชาญชัย ฮวดศรี ผศ.ดร.ธชั ชนันท์ อิศรเดช ผศ.ดร.บุรินทร์ ภ่สู กุล ผศ.ดร.ยุทธนา ประณตี ผศ.ดร.กมลพร กลั ยาณมิตร ผศ.ดร.ปัญญา คล้ายเดช ๔. สาขาวชิ าสังคมวิทยา รศ.ดร.สุวิทย์ รงุ่ วสิ ยั พระมหาปรีดา ขนตฺ ิโสภโณ, ดร. ดร.ศิรโิ สภา สนั ตทิ ฤษฎกี ร ผศ.ดร.ดิเรก นนุ่ กล�ำ่ ๕. สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา ผศ.ดร.ประกอบ คณานรุ กั ษ ์ รศ.ดร.กลา้ ทองขาว รศ.ดร.ทวีวัฒน์ ปิตยานนท์ ผศ.ดร.บญุ จันทร์ สสี นั ต ์ ท้ังนี้ ต้ังแตบ่ ัดน้เี ปน็ ตน้ ไป สั่ง ณ วันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ (พระเทพบณั ฑิต) อธิการบดี มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย

พระพุทธศาสนากบั ความเปล่ียนแปลงทางสังคม Buddhism and the change of the society ดร.กฤตสุชิน พลเสน, พระครธู รรมธรมะลนิ กติ ฺติปาโล,ผศ., พระครูวภิ ชั ธรรมวิจิตร,ดร.ประเวช วะทาแกว้ , ดร.กติ ตวิ ัจน์ ไชยสขุ , สิรพิ ร ครองชพี ,กฤตยิ าณี ย่ืนกระโทก บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลยั Email: [email protected] บทคัดย่อ บทความวชิ าการน้ี มีวัตถุประสงค์ เพอ่ื ศกึ ษาเร่อื ง พระพุทธศาสนากบั ความเปล่ียนแปลงทางสังคม จากการ คน้ ควา้ พบวา่ พระพทุ ธองคท์ รงประกาศศาสนาสงั่ สอนประชาชนทว่ั ไปจนเกดิ ความเลอ่ื มใสศรทั ธา แผข่ ยายกวา้ งไกล ออกไป ทกุ ชนั้ วรรณะ ทำ� ให้พุทธศาสนามีอิทธพิ ลและกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลง ปรบั ปรุงแกไ้ ข ของแวน่ แคว้นต่าง ๆ พระองคไ์ ดท้ รงแสดงธรรมอนั เป็นหลกั เคร่ืองยนื ยนั ถึงการเปลี่ยนแปลงทางความเชอื่ ทีม่ มี าแต่ดง้ั เดมิ ศาสนาพุทธ ก็เปรียบเสมือนนาวาหรือเรือ หรือผู้ช้ีน�ำแนวทางของคนในสังคมเพ่ือท่ีจะด�ำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความ เจริญและความมสี นั ติสุข คำ� ส�ำคัญ : การเปลี่ยนแปลง, สังคม Abstract This academic article is aimed to study about Buddhism and the change of the society. The study shows that the Lord Buddha had spread the Buddhist teachings to people until they admonish in Buddhism, Buddhism has been spreading around to all hierarchical levels which made Buddhism an influential religion to make some changes, improvement in different areas. The Lord Buddha’s preaching was proved that it changed the people’s previous belief. Buddhism is like a ship or a person who lead the way to the prosperity and peace Keyword : Changes, The society บทน�ำ ในเรื่องของศาสนาและปรัชญา นอกจากพวกพราหมณ์ ซึ่งยึดคัมภีร์พระเวทเป็นหลักแล้วก็เกิดมีนักคิด นัก ศาสนาประกาศลัทธคิ �ำสอนเป็นจ�ำนวนมาก มชี ่ือเรยี กต่าง ๆ กนั เชน่ ปรพิ าชก นิครนถนาฏบตุ ร อาชีวก อเจลก ฤาษี มนุ ี ฯลฯ แต่ละส�ำนักยนื ยนั วา่ ลทั ธิของตนเทา่ นน้ั ถกู ส่วนของคนอ่นื ผดิ กอ่ ใหเ้ กดิ การถกเถยี งโตแ้ ยง้ กันอยา่ ง รนุ แรง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเกิดวกิ ฤตการณ์ทางวิญญาณ (Spiritual Crisis) อยา่ งถึงขนาด ดังนน้ั เพ่ือความเข้าใจใน เรอ่ื งนอี้ ยา่ งถกู ตอ้ งยงิ่ ขน้ึ จงึ สมควรทราบเบอ้ื งหลงั ทว่ั ๆ ไปพอสมควร รวมทง้ั ความสำ� คญั ของพระพทุ ธศาสนาทเ่ี ขา้ มาแกไ้ ขสถานการณ์ในขณะนน้ั ด้วย พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นท่ามกลางศาสนาพราหมณ์ ซึ่งคัมภีร์พระเวทท่ีปราชญ์อินเดียคาดว่ามีอายุประมาณ 4,500 ปี กอ่ นคริสตกาล (อดุ ม รุ่งเรอื งศร,ี 2523, หน้า 4) เป็นฐานความนึกคดิ และประพฤตปิ ฏิบตั ิคัมภรี ์พระเวท ประกอบด้วย :-

34 บทความวิจยั 1. ฤคเวท เปน็ คำ� ฉันท์ ออ้ นวอนและสรรเสรญิ เทพเจ้า 2. สามเวท เปน็ ค�ำฉันทส์ วดในพิธถี วายนำ้� โสม 3. ยชรุ เวท เป็นคำ� ร้อยแก้ว อธิบายถึงพธิ กี รรมต่าง ๆ และ 4. อถรรพเวท เป็นบทอาคม เพอื่ อำ� นวยใหเ้ กดิ ความสขุ สวสั ดี และส�ำหรับใหร้ า้ ยแก่ศัตรู บรรยากาศในยุคพระเวท จึงเปน็ บรรยากาศของการบชู ายัญ การนับถือเทพเจา้ เปน็ จำ� นวนมาก การแบง่ กล่มุ ชนออกเป็นชน้ั วรรณะ และกำ� หนดให้ประพฤติปฏบิ ตั ิอยา่ งเคร่งครดั มนุษยม์ ีหน้าท่ี 5 อยา่ ง ที่ต้องกระท�ำคือ ฯกษาพระเวท บูชายัญ ใหก้ �ำเนดิ บตุ ร (โดยเฉพาะบุตรชายเชือ่ ว่า จะชว่ ยไม่ใหพ้ ่อแม่ตกนรกได)้ ต้อนรับแขกและบริจาคทาน (การบรจิ าคทานก็เปน็ หน่ึงในข้อปฏิบตั ิของพทุ ธศาสนา คอื ทาน ศลี ภาวนา) แนวความคดิ ในยคุ พระเวท เกี่ยวกับเทพเจา้ แมจ้ ะมลี กั ษณะเปน็ พหเุ ทวนิยม (Gods) แต่เมอ่ื ศึกษาบทสวด ใหล้ กึ ซ้งึ จะเหน็ วา่ มุ่งตรงตอ่ ความเช่ือทวี่ ่า มีเทพเจ้าผู้มศี ักดานภุ าพย่ิงใหญข่ องมหาเทพองค์น้นั อยู่เบอ้ื งหลงั น่นั เอง แนวโนม้ ดังกลา่ วจงึ เปน็ แมบ่ ทของปรชั ญาอปุ นิษทั หรือเวทานตะในยุคต่อมา1 การถือช้นั วรรณะในสังคม นอกจากการประกอบพธิ กี รรมตา่ ง ๆ บชู าเทพเจา้ มากมายแลว้ ชาวอนิ เดยี ยงั มคี วามเชอื่ เรอื่ งชน้ั วรรณะ ตาม ค�ำสัง่ สอนของศาสนาพราหมณซ์ ง่ึ เปน็ ศาสนาที่มีอิทธิพลอยา่ งสูง ในสังคมและการเมืองของอินเดีย ค�ำสอนในคมั ภีร์ ของศาสนาและการปฏิบัติของนักบวชในศาสนา เสมือนหนึ่งเป็นเคร่ืองมือของชนช้ันปกครองในการกดขี่สามัญชน ทัว่ ๆ ไปของประเทศ ท�ำใหค้ นส่วนน้อยมีอภสิ ทิ ธ์ิเหนือคนสว่ นใหญ่ คนเม่อื เกิดในวรรณะใดกต็ อ้ งยอมรับสภาพของ ตนไปตามวรรณะน้ันตลอดชีวิต ทั้งท่ีไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค แต่เป็นกฎเกณฑ์ของสังคมท่ีศาสนาก�ำหนดขึ้นให้ ทุกคนยึดถอื ปฏิบตั ิอยา่ งเครง่ ครดั ย่ิงกว่ากฎหมาย เพราะกฎหมายยงั เปลยี่ นแปลง และมขี อ้ ยกเว้น แตก่ ฎเกณฑท์ ่ี กำ� หนดโดยศาสนา เปลี่ยนแปลงไมไ่ ด้ และไมม่ ขี อ้ ยกเว้นใด ๆ ทกุ คนต้องยอม เพราะถือว่า เป็นสิง่ ทพี่ ระเจ้าก�ำหนด เปน็ พรหมลิขติ ต่อเม่อื เกดิ พระพทุ ธศาสนาขึน้ พระพทุ ธเจ้าทรงสง่ั สอนเปลีย่ นแปลง คดั ค้านความเช่ือถือแตเ่ ดมิ จากพรหม ลขิ ติ เปน็ กรรมลขิ ติ ทกุ คนเกดิ มาเทา่ เทยี มกนั มสี ทิ ธเิ สมอภาค แตท่ แี่ ตกตา่ งกนั ทงั้ รปู รา่ งฐานะ ชาตติ ระกลู ตามกำ� เนดิ เปน็ เพราะกรรมทท่ี �ำมา แตก่ ็อาจสามารถทำ� ดี และได้รบั ผลของกรรมดไี ด้ ด้วยการกระทำ� ของตนเอง มิใช่เพราะ พระเจา้ พระพุทธเจา้ ยกเลกิ ชน้ั วรรณะ ในศาสนาพทุ ธแม้กษตั ริย์ผยู้ ่งิ ใหญ่ก็ต้องกราบท�ำความเคารพคนวรรณศทู ร ผ้บู วชประพฤติปฏบิ ัตเิ พอ่ื มุ่ง(อดุ มการณ์)เปน็ พระอรยิ บคุ คลโสดาบันเป็นตน้ ไป ศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาในโลกประมาณ 2550 กว่าปี ในประเทศอินเดีย ซ่ึงในขณะน้ันเรียกว่า ชมพูทวีป ในสมัยพุทธกาลนั้นชมพูทวีปส่วนท่ีเก่ียวข้องกับศาสนาพุทธก็คืออินเดียตอนเหนือในปัจจุบัน ในขณะนั้นชมพูทวีป ส่วนที่เก่ยี วข้องกับศาสนา กค็ ืออินเดียตอนเหนอื ในปัจจบุ ัน ในขณะน้ันอินเดยี ยงั แบ่งแยกออกเป็นหลายแว่นแคว้น ดงั ที่กลา่ วไว้ในคัมภรี พ์ ุทธศาสนามอี ยู่ 16 แควน้ ใหญ่ หรือประเทศ นอกนัน้ ก็มแี คว้นเลก็ ๆ หรอื อนปุ ระเทศ, ใน แคว้นใหญ่ 16 แควน้ ได้แก่ อังคะ มคธ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กรุ ุ ปัญจาละ มัจฉะ สรุ เสนะ อัสสกะ อวนั ตี คันธาระ กัมโพชะ และมแี ควน้ เลก็ ๆ อีกมาก แต่ทีส่ �ำคญั เกย่ี วขอ้ งกับพระพทุ ธศาสนากค็ ือ สกั กะชนบท เป็นแคว้นเลก็ ตั้งอยู่ ระหวา่ งกลางแมน่ ำ�้ คคั ครา กบั แมน่ ำ�้ อริ วดี ทางทศิ ตะวนั ออกของแควน้ โกศล มเี มอื ง “กบลิ พสั ด”์ุ เปน็ ราชธานี้ (บดั น้ี เรียกว่า นาคาร์บสั หรือ เนปาล) ซงึ่ อยู่ใกล้กับเมืองเทวทหะหรือรามคาม (บดั นีเ้ รียกว่า ดโี อกาล)ิ ในสมัยนน้ั แควน้ สักกะหรอื สกั กะชนบทนี้ข้ึนตอ่ แคว้นโกศล2 ท�ำเลทีต่ ง้ั ของเมืองกบลิ พสั ดเ์ุ ปน็ ทำ� เลดมี าก 3 ประการ คือ มแี ม่นำ้� ไหล ผ่านหน้าเมือง, ล้อมรอบด้วยป่าไม้สักกะ, และมองเห็นภเู ขาหมิ าลัยถนดั ชัดเจน 1 จนิ ดา จันแก้ว. (2525), หนา้ 25 - 29 2 จ�ำนง ทองประเสริฐ. (2520)

บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวทิ ยาลยั 35 ราชวงศ์ศากยะ (หรือโคตมโคตร) ครองเมอื งกบลิ พสั ดุ์ และราชวงศ์เทวทหะครองเมืองเทวทหะ ราชวงศท์ งั้ สองน้ีต้นตระกูลสืบเช้อื สายมาจากพนี่ อ้ งสายโลหิตเดียวกัน และเปน็ สายราชวงศท์ ่บี ริสุทธ์มิ าก คอื ไมม่ สี ายราชวงศ์ อนื่ มาปนเลย ทง้ั สองราชวงศ์จะแตง่ งานกนั เอง ซงึ่ ถ้านับไปแล้วกค็ อื ลกู พ่ีลูกนอ้ งแตง่ งานกันเอง โดยถือตัววา่ เปน็ โคตรตระกูลสงู ส่งและบรสิ ทุ ธิก์ ว่าโคตรอ่ืน จึงไม่ยอมแตง่ งานกบั โคตรอื่น พระเจา้ สทุ โธทนะ เปน็ กษตั รยิ ค์ รองกรงุ กบลิ พสั ด์ุ มพี ระมเหสพี ระนามวา่ ศริ มิ หามายา (เจา้ หญงิ แหง่ ราชวงศ์ เทวทหะ) ไดป้ ระสตู พิ ระโอรสเปน็ รัชทายาท พระนามวา่ สทิ ธตั ถะ หรือ สิทธารถ เมือ่ ประสูตไิ ด้ 7 วนั พระมารดา กส็ ิ้นพระชนม์ พระบดิ าแต่งตงั้ พระเจ้าน้า คือ พระนางปชาบดีโคตมเี ปน็ มเหสี และทรงเล้ยี งดูเจ้าชายสิทธตั ถะแทน พระมารดา เม่ือประสตู ิใหม่ ๆ นนั้ มีมหาฤาษีและโหราจารยผ์ ู้มีชอื่ เสยี ง รวมท้ังทา่ นอัญญาโกญทัญญะ (ซ่ึงตอ่ มาได้ เปน็ สาวกผไู้ ดด้ วงตาเหน็ ธรรมเปน็ คนแรก) ไดถ้ วายคำ� ทำ� นายแกพ่ ระเจา้ สทุ โธทนะวา่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงมบี ญุ บารมี สงู ยงิ่ ตามพระลกั ษณะ ถา้ ครองราชยต์ อ่ ไปจะไดเ้ ปน็ พระมหาจกั รพรรดผิ ยู้ งิ่ ใหญท่ ส่ี ดุ ของโลก, หากออกบรรพชาสละ ชวี ติ ทางโลกแลว้ กจ็ ะไดเ้ ปน็ ศาสดาเอกของโลก และดว้ ยความเชอ่ื ในคำ� ทำ� นาย พระบดิ าเกรงวา่ พระโอรสจะออกบวช จงึ บำ� รงุ บำ� เรอความสขุ ตา่ ง ๆ เพอ่ื มใิ หโ้ อรสฝกั ใฝใ่ นการละกเิ ลส ทรงจดั การแตง่ งานใหพ้ ระโอรสกบั พระนางยโสธรา หรือพมิ พา(พระธดิ าในวงศเ์ ทวทหะ) และเป็นพระขนิษฐาของพระเทวทตั ผจู้ องลา้ งจองผลาญพระพุทธเจา้ ในเวลา ต่อมา เม่อื เจ้าชายสทิ ธตั ถะมพี ระชนม์ได้ 29 พรรษา พระนางยโสธราประสูติพระโอรส พระนามวา่ ราหุล ซึ่งไดช้ อ่ื ตามท่พี ระบิดาอทุ านว่า บ่วงเกิดแลว้ (ราหุล = แปลวา่ บว่ ง) ตลอดเวลาท่ีผ่านมาจนมโี อรส เจา้ ชายสิทธัตถะทรง พจิ ารณาเห็นความแท้จริงของชีวิตว่ามีแต่ความทุกข์ หาความสุขท่ีแทจ้ รงิ ไม่ ทรงเบือ่ หน่ายในความสขุ ทไี่ ม่เท่ยี งแท้ และคิดหาอุบายที่จะให้พ้นทุกข์ ดังน้ันหลังจากพระโอรสประสูติ พระองค์ก็ทรงหนีออกบวชเมื่อพระชนม์ได้ 29 พรรษา และไดเ้ ขา้ ศกึ ษาในสำ� นกั อาจารยท์ มี่ ชี อื่ เสยี งทงั้ หลายจนหมดสน้ิ ความรขู้ องอาจารย์ แตก่ ย็ งั ไมพ่ บวธิ พี น้ ทกุ ข์ ทีแ่ ท้จริง แม้จะทรงบ�ำเพญ็ เพยี รทรมานกายด้วยวธิ ีต่าง ๆ อยา่ งหนักกไ็ มพ่ บวธิ ีแห่งความดบั ทกุ ขไ์ ด้ จึงทรงหันมา บำ� เพ็ญเพยี รทางจติ บำ� เพ็ญสมาธิโดยถอื ปฏบิ ตั แิ บบสายกลาง คือ มัชฌมิ าปฏิปทา จนพระชนมไ์ ด้ 35 พรรษากท็ รง ตรัสรู้ พระสมั มาสัมโพธิญาณ วิธีแหง่ ความดับทุกข์ ในวันเพญ็ ขนึ้ 15 คำ�่ เดือน 6 ก่อน พ.ศ. 45 ปี เรยี กวา่ วัน วิสาขบูชา นับเปน็ วนั ท่ีกำ� เนดิ ศาสนาท่สี ำ� คญั ของโลก ความคดิ ใหมแ่ ละความเปล่ยี นแปลง ในการเปลีย่ นแปลงแนวความคิด และความเชอ่ื ในยคุ ทีเ่ กิด ศาสนาพุทธ น้ัน กม็ ศี าสนา เชน (ไชนะ หรอื ชิ นะ) ก�ำเนดิ ขึ้นไล่ ๆ กับศาสนาพุทธ ท้ังสองศาสนานม้ี ีแนวคิดใกลเ้ คยี งคลา้ ยคลึงกันมาก ในเรือ่ งตา่ ง ๆ ทั้งเร่อื งการ ไมเ่ ชอ่ื ในพรหมลขิ ิต ไมถ่ อื ช้ันวรรณะ และเชอื่ เรอ่ื งกฎแห่งกรรม ทำ� ดีไดด้ ี ท�ำชัว่ ได้ชว่ั และการเวยี นวา่ ยตายเกดิ จะ ต่างกนั คอื รายละเอียด ในคำ� สอนและแนวปฏิบัติ ซึ่งศาสนาพุทธยดึ หลักกลาง ๆ คือ มชั ฌมิ าปฏปิ ทา, แต่ศาสนา เชนยดึ ถือการปฏิบตั ทิ เ่ี ครง่ ครัด ตงึ เครียด จริงจงั แบบอตั ตกลิ มัตถานุโยค และยึดถอื หลกั อหิงสาอย่างจริงจงั ในขณะท่ีมีผู้คนท่ีมีความคิดสติปัญญาจ�ำนวนมาก เบื่อหน่ายต่อพฤติกรรมของศาสนาพราหมณ์ฮินดู และ พยายามคน้ หาวถิ ที างใหม่ เพอ่ื ใหถ้ งึ ซงึ่ ความสขุ อนั ปราศจากทกุ ข์ และความสงบทางจติ เปน็ การแกป้ ญั หาทางสงั คม ในเร่อื งศาสนา จึงมีผูย้ อมรับทรรศนะใหมข่ องพระพทุ ธศาสนา และศาสนาเชนกันมาก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ทีย่ ึดถอื หลกั กลาง ๆ คนทว่ั ไปยอมรบั ได้ และเป็นการแก้ปญั หาทางสังคมในเรือ่ งการไม่เสมอภาค ไม่ยุติธรรมในการ ด�ำรงชีวติ แกข้ ้อสงสัยและขอ้ บกพรอ่ งของศาสนาเดมิ และความเช่ือเกา่ ๆ ได้ เม่ือมีผู้คนหันมานิยมนับถือศาสนาใหม่มากขึ้นก็ขยายกว้างแพร่ไปท่ัวอย่างรวดเร็ว ประชาชนท่ัวไปเร่ิมสงสัย ในอภสิ ทิ ธขิ์ องชนชนั้ พราหมณ์ และชน้ั ปกครองทก่ี ดขม่ี าชา้ นานในสงั คม ทำ� ใหพ้ วกพราหมณเ์ สยี อำ� นาจ สถานะทาง สังคมคลอนแคลน จึงไมพ่ อใจอยา่ งมาก และย่ิงเดือดร้อนทนไม่ได้ย่ิงขึน้ ทุกที เพราะลาภสกั การะที่เคยไดก้ ล็ ดน้อย ลงทกุ ที จำ� ตอ้ งตอ่ ตา้ นและทำ� ลายลา้ งพระพทุ ธศาสนาใหไ้ ดท้ กุ วถิ ที าง ดงั ทปี่ รากฏเปน็ เรอ่ื งราวตา่ ง ๆ ในพระไตรปฎิ ก และหลักฐานทางประวัติศาสตร์

36 บทความวจิ ยั จากสภาพสงั คมและพฤตกิ รรมของชาวอนิ เดยี ชว่ งระยะเวลากอ่ นเกดิ ศาสนาพทุ ธดงั ทกี่ ลา่ วมานจี้ ะเหน็ วา่ สภาพ สังคมโดยทั่วไปอยู่ในสภาวะของการเปลี่ยนแปลงประชากรจ�ำนวนมากพยายามเปล่ียนแปลงไปในทิศทางท่ีถูกต้อง เปน็ ความนิยมของคนในโลก คอื ระบอบประชาธิปไตยทีค่ นสว่ นใหญ่มปี ญั ญาความรเู้ ห็นชอบด้วยมากยิ่งขนึ้ การเกิด ขนึ้ ของพระพทุ ธศาสนา จงึ เปน็ เสมอื นคนทกี่ ำ� ลงั ตอ้ งการคนรแู้ จง้ เหน็ จรงิ ในชอ่ งทางหรอื เสน้ ทาง(ตรสั ร)ู้ เขา้ มาชแี้ นะ ให้เดินหรอื ดำ� เนนิ ชีวิตทถี่ กู ต้องได้ หรือเหมือนคนทว่ี า่ ยน้�ำในท่ามกลางมหาสมทุ ร วา่ ยเท่าไร ๆ กม็ องไมเ่ หน็ ฝง่ั ก็มี ความตอ้ งการเรอื และคนทจี่ ะพาขา้ มมหาสมทุ รขน้ึ ฝง่ั ใหไ้ ดฉ้ นั ใด ศาสนาพทุ ธกเ็ ปรยี บเสมอื นนาวาหรอื เรอื หรอื ผชู้ นี้ ำ� แนวทางของคนในสงั คมเพือ่ ท่ีจะดำ� เนินไปสจู่ ุดหมายปลายทางแห่งความเจรญิ และความมสี นั ติสขุ ฉนั น้ัน เม่ือพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น พระพุทธองค์ทรงประกาศศาสนาส่ังสอนประชาชนทั่วไปจนเกิดความเล่ือมใส ศรัทธา แผ่ขยายกว้างไกลออกไป และซึมซาบไปท่ัวทุกช้ันวรรณะ ท�ำให้พุทธศาสนามีอิทธิพลและก่อให้เกิดการ เปลยี่ นแปลง ปรบั ปรุงแก้ไข ของแว่นแควน้ ตา่ ง ๆ ในชมพูทวีป ซงึ่ พอสรปุ ได้ดงั นี้ 1. ในสมัยพทุ ธกาล แควน้ ทง้ั 6 แคว้นใหญ่และแควน้ เลก็ ๆ ตา่ งทำ� สงครามต่อสู้แย่งชงิ อ�ำนาจเป็นระยะเสมอ มา ในบรรดาแคว้นเหลา่ น้ี มรี ะบบการปกครอง 2 ประเภท คอื :- 1.1 ระบบประชาธิปไตย หรือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แคว้นมคธ มีเมืองราชคฤห์เป็นเมืองหลวง ปกครองโดยพระเจ้าพมิ พสิ าร, แคว้นโกศล มีเมืองสาวตั ถเี ปน็ เมืองหลวง ปกครองโดยพระเจ้าปเสนทโิ กศล ฯลฯ 1.2 ระบบสามคั คีธรรม คอื ประชาธปิ ไตยระดบั หนงึ่ โดยการเลอื กกษตั รยิ ข์ องเมอื งตา่ ง ๆ ข้ึนเปน็ ประมขุ ของแคว้น โดยผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเม่ือปกครองครบวาระ เช่น มาเลเซีย เลือกสุลต่านมาเป็นประมุข ผลัดกัน เปน็ การเลอื กแบบเสยี งขา้ งมาก (Major Vote)3 แคว้นท่ีปกครองตามระบบนอ้ี ย่างสมบูรณแ์ บบจริง ๆ คอื แคว้นวชั ชี ของหมูก่ ษัตริย์ ลจิ ฉวี มีเมอื งไพศาลเี ป็นเมอื งหลวง สภาพการเมอื งในสมยั น้ันชใี้ ห้เหน็ วา่ กำ� ลังมกี ารขยายอ�ำนาจ ประเทศตา่ ง ๆ ก�ำลงั ตอ้ งการขยายดนิ แดน มี การสู้รบกันเพ่ือยึดอ�ำนาจไว้แต่ผู้เดียว ในขณะที่เหตุการณ์ก�ำลังอยู่ในภาวะคับขัน พระพุทธองค์ทรงใช้วิธีประเล้า ประโลมใหเ้ หน็ คุณและโทษ ดว้ ยธรรมต่าง ๆ นานา จนเป็นผลสำ� เร็จ ให้กษตั ริยห์ ลายพระองคล์ ะทิฐมิ านะของตน เขา้ ถงึ ธรรมของพระองค์ หยดุ การรบราฆา่ ฟนั หันมาปกครองโดยเมตตาธรรม นำ� ประชาชนให้เปน็ อยสู่ ุขสบาย มี ความรม่ เย็นเปน็ สุขโดยทั่วหนา้ กัน พระพุทธศาสนาในสมัยพทุ ธกาลนนั้ พระพทุ ธเจา้ มไิ ดต้ ้องการใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆ์ ซงึ่ เป็นสาวกของพระองคท์ ่าน เข้าข้างฝ่ายใดฝา่ ยหนงึ่ หรอื สนบั สนนุ ระบบการปกครอง ระบบใดระบบหนงึ่ โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเปน็ ราชาธปิ ไตย ไมว่ ่าจะเป็นสามัคคีธรรม แตพ่ ระองค์ไดว้ างหลักธรรมสำ� หรบั นักปกครองให้ปฏิบัติ เพ่ือการปกครองระบบนั้น ๆ ให้ เป็นไปด้วยดี และประสบความส�ำเร็จในการปกครองเพื่อประโยชน์แก่สังคม และประชาชนได้มากท่ีสุดหลักธรรม สำ� หรบั นักปกครอง พระพทุ ธองค์ตรสั สอนหลักธรรมซง่ึ เรียกวา่ อปรหิ านิยธรรม แปลว่า ธรรมะท่ปี ฏบิ ัตแิ ลว้ ไมท่ ำ� ให้เสือ่ ม มแี ต่ จะท�ำให้เจรญิ อยา่ งเดียว มี 7 ประการดว้ ยกัน คือ :- 1. หมั่นประชมุ กนั เนอื งนิตย์ 2. เม่ือประชุมกพ็ ร้อมเพรยี งกันประชุม เมือ่ เลิกประชมุ กพ็ รอ้ มเพรียงกนั เลิก และพร้อมเพรยี งท�ำกจิ ที่ควรทำ� 3. ไม่บญั ญัติขอ้ บญั ญัติ หรอื หลกั การใหม่ข้ึนมาทดแทนขอ้ ปฏบิ ัติ หรือหลกั การเก่าท่ยี ังใชไ้ ดด้ ีอยู่ 4. เคารพนบั ถือ รบั ฟงั คำ� แนะน�ำของผูใ้ หญ่ทม่ี ปี ระสบการณ์ หรือท่ีเคารพนบั ถอื 5. ปอ้ งกันหรอื ให้อารักขาแก่สตรที ้ังหลาย มใิ หถ้ ูกข่มเหงรงั แก สมัยใหม่ ก็คอื การสง่ เสริมสิทธเิ สรภี าพสตรี 6. เคารพบูชาเจดยี ์สถาน ปูชนยี สถาน รวมทั้งอนสุ าวรีย์ ซึง่ เปน็ ทเ่ี คารพของประเทศชาติ ของประชาชน 7. การให้ความอารักขาแก่สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบตามหลักพระธรรมวินัย และเป็นหลักยึด เหนย่ี วจิตใจของประชาชน 3 เสถยี รพงษ์ วรรณปก, (2527)

บณั ฑิตวทิ ยาลัย มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย 37 น้ีคือหลักที่พระพุทธองค์ทรงตรัสอบรมส่ังสอนเร่ืองการเมืองการปกครองแก่กษัตริย์วัชชี และผู้บริหารบ้าน เมือง ซึ่งก่อใหเ้ กดิ ความพรอ้ มเพรียงสามคั คกี นั มคี วามมนั่ คงแข็งแกร่ง ข้าศกึ ศัตรเู อาชนะได้ยาก ทำ� ให้แควน้ มคธ ไม่กล้ายกกองทพั ไปรุกรานแควน้ วัชชี ทง้ั ๆ ทีม่ กี องทัพมากมายมหาศาลกวา่ สำ� หรับบา้ นเมอื งท่ปี กครองด้วยระบบประชาธิปไตย หรือสมบูรณาญาสทิ ธริ าช แนวปฏบิ ัติทีพ่ ระพุทธเจา้ ทรง วางไว้นั้น จะแตกตา่ งกันออกไปเลก็ นอ้ ย คอื ทรงวางหลักธรรมไวเ้ ป็น 2 ระดับ หรอื 2 ชน้ั คือ :- 2.1 ระดับกษตั รยิ ์ ควรมคี ณุ ธรรมของกษตั ริยท์ ด่ี ี เรยี กวา่ ทศพิธราชธรรม หรอื ธรรม 10 ประการแหง่ พระราชา หรือผ้นู �ำสูงสุด ประมุขของประเทศ 2.2 ระดบั ผู้นำ� ผ้บู ริหาร ผูป้ กครองบ้านเมอื ง ต้งั แต่ระดับสูงสุดจนถึงระดบั ตำ่� (ถา้ เปรยี บกับระดบั ปจั จบุ ัน กค็ ือ ต้งั แตร่ ะดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง เร่ือยลงมาจนถงึ ระดับทอ้ งถ่นิ ได้แก่ กำ� นนั ผใู้ หญบ่ า้ น เปน็ ต้น) เรยี กวา่ จกั กวตั ตวิ ตั ร หรือ จักรวรรดวิ ตั ร เป็นหลกั สำ� หรบั ปฏิบัตหิ น้าท่ีตอ่ ปวงชน ก�ำหนดภารกจิ ทจี่ ะพึง กระทำ� ตอ่ สงั คม ทงั้ หมดมี 12 ประการ แตโ่ ดยส่วนใหญ่จะนยิ มแพร่หลาย และควรรู้ มี 5 ประการ ไดแ้ ก่ :- 2.2.1 ปกครองประเทศดว้ ยธรรมาธิปไตย คือ ถือธรรมเป็นใหญ่ เคารพยตุ ธิ รรม ถือความถกู ต้องยดึ หลกั การเปน็ หลกั รักษาทรพั ยากรธรรมชาตขิ องประเทศ 2.2.2 จดั การรักษาคุ้มครองป้องกนั และท�ำนุบ�ำรุงแกช่ นทกุ หมเู่ หลา่ ในแว่นแคว้น ตลอดจนสัตว์ป่าอนั ควรสงวนพันธุ์ รกั ษาทรัพยากรธรรมชาตขิ องประเทศ 2.2.3 ไมใ่ ห้มีการกระท�ำผดิ ธรรมขนึ้ ในแวน่ แคว้นของตน คือ ปอ้ งกัน และก�ำจดั ผกู้ ระทำ� ความผดิ ทาง อาญา กฎหมาย และศีลธรรม 2.2.4 แบง่ ปนั และเฉลย่ี ทรพั ยใ์ หแ้ กผ่ ทู้ ไ่ี มม่ ที รพั ย์ หมายความวา่ ไมใ่ หม้ ผี ยู้ ากจนในแวน่ แควน้ สงเคราะห์ ชว่ ยเหลอื คนยากจน และแนะน�ำใหพ้ วกเขาชว่ ยตวั เองได้ 2.2.5 ปรึกษาไต่สวนสมณพราหมณ์ หมายความว่า ต้องแสวงหาปัญญาอยู่เสมอ โดยหาที่ปรึกษาท่ีดี ผบู้ รสิ ุทธ์ิมีคุณธรรม ในหลักธรรมส�ำหรับระบบประชาธิปไตยน้ัน ถ้าพิจารณาจะเห็นคติหรือแนวคิดของพระพุทธศาสนาเก่ียวกับ การปกครองของระบบนี้ว่า มีเนอื้ หาสาระทเ่ี น้นเรอ่ื งใด และผิดแผกจากแนวคิดดัง้ เดมิ อย่างไร ตามคติเดิมโดยเฉพาะตามแนวคิดของพราหมณ์-ฮินดู สมัยต่อมาสอนเร่ืองการปกครองโดยมุ่งไปแต่ความย่ิง ใหญ่ของกษตั รยิ ์ พูดแตอ่ �ำนาจ วิธีแสวงหาอำ� นาจ ความม่งั ค่งั สมบูรณ์ดว้ ยโภคทรพั ย์ อสิ ริยยศ บรวิ าร จนบางที กไ็ มค่ ำ� นงึ ถงึ จรยิ ธรรม ซงึ่ ตามคตคิ วามเชอ่ื ของศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู ยกฐานะกษตั รยิ อ์ ยสู่ งู เกนิ มนษุ ยว์ า่ เปน็ สมมติ เทพ ประชาชนตอ้ งเคารพเช่ือฟงั ไมว่ ่าผดิ หรอื ถูก อยเู่ หนอื เหตผุ ล เหนือกฎหมาย แต่ตามหลกั ธรรมทีพ่ ระพุทธเจา้ ทรงส่ังสอนนน้ั จะเห็นได้ว่าพระพทุ ธศาสนาได้เปน็ จดุ สนใจของการปกครอง ออกจากความมอี �ำนาจเพื่อความย่งิ ใหญ่ มาเปน็ มีอ�ำนาจเพอื่ ความสงบสขุ ของประเทศชาติ สอนใหใ้ ช้อำ� นาจความ ย่งิ ใหญ่เพอื่ ประโยชนส์ ุขของราษฎร อ�ำนาจหรือความย่งิ ใหญม่ ิใช่จดุ มุ่งหมายปลายทางแหง่ ชวี ติ ของนกั ปกครองที่มี คุณธรรมจริยธรรม แต่กลายเป็นอุปกรณ์ส�ำหรับใช้สร้างสรรค์ประโยชน์สุข หากการปกครองท่ีเข้มแข็งยาวนานแต่ ปราศจากความรม่ เย็นของพลเมอื งกไ็ มม่ ีความหมายอะไร ทจี่ ะกลา่ วให้ถกู ตอ้ งตรงกับอดุ มการณท์ วี่ า่ “การปกครอง นี้เพือ่ ประโยชนส์ ขุ แห่งมวลมนษุ ยชาติ (ทัง้ ผูป้ กครองเอง และผ้อู ยภู่ ายใตก้ ารปกครอง)” จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจา้ ทรงวางหลักธรรมไวท้ ัง้ สองแบบ คือทัง้ ทางระบอบธรรมาธปิ ไตย และราชาธปิ ไตย เปน็ การปฏริ ปู ความเชอ่ื และพฤตกิ รรมของสงั คมการเมอื งและการปกครอง อยา่ งทไี่ มม่ ศี าสนาใด ลทั ธใิ ด ทำ� มากอ่ น และเปน็ คำ� สง่ั สอนทม่ี หี ลกั การ เหตผุ ล และใช้ปฏิบตั ไิ ด้ พระองคท์ รงเทศนาสงั่ สอน โน้มนา้ วจติ ใจชนชัน้ ปกครอง ตัง้ แต่ กษตั ริย์ ประมุข ผูป้ กครอง ผ้บู รหิ าร ขนุ ทพั ขุนศกึ ทหาร พ่อคา้ เศรษฐี คหบดี ผเู้ ป็นบุคคลส�ำคญั ของสงั คม

38 บทความวิจยั ให้เชื่อถือศรัทธา และลงมือปฏิบัติตามค�ำสั่งสอน เม่ือปฏิบัติตามก็ได้ดีทันตาเห็น ท�ำให้แพร่หลายกระจายไปตาม เมอื ง และแวน่ แควน้ ตา่ ง ๆ ตา่ งกพ็ ากนั เลอื่ มใสศรทั ธาและถอื เอาเปน็ แนวปฏบิ ตั ิ ดงั ตวั อยา่ งทแ่ี ควน้ วชั ชี พวกกษตั รยิ ์ ลิจฉวี พระเจา้ พมิ พิสาร พระเจา้ ปเสนทโิ กศล เป็นตน้ ตอ่ มาเมอื่ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแลว้ นบั รอ้ ยปี พระเจา้ อโศกมหาราช ผคู้ รองแควน้ มคธ อนั ทรง บุญญาบารมี ขยายดินแดนไปกว้างใหญ่ไพศาล ซ่ึงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชมพูทวีป พระองค์ทรงเล่ือมใส ศรทั ธานบั ถือพระพุทธศาสนา และทรงยดึ ถอื ปฏบิ ัตติ าม ทศพธิ ราชธรรม และปฏปิ ทาแหง่ จกั พรรดิ ทำ� นบุ ำ� รุงเหลา่ ประชาราษฎร์ และศาสนา ทรงพยายามท�ำพระองค์ให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิที่ดี และพระมหากษัตริย์รุ่นหลัง ๆ ก็พยายามด�ำเนนิ รอยตามหลายพระองค์ เชน่ พระเจา้ กนิษกมหาราช พระเจ้าทรรษวฒั น์ หรือนอกเหนือจากอนิ เดยี ต่อไปในญ่ปี นุ่ กม็ ี เจ้าชายโกโตกุน ที่เขาเรียกว่า พระเจา้ อโศกแห่งแดนอาทิตยอ์ ุทัย และในประเทศไทยท่ีด�ำเนินตามรอยน้ีคือ พ่อขุนรามค�ำแหงมหาราช อันน้ีเป็นการพยายามที่จะน�ำเอาอุดมคติที่ดี ทส่ี ดุ หรือระบบการปกครองโดยบุคคลคนเดียวท่ดี ีทส่ี ุดมาใชน้ น่ั เอง4 สรุป ดังทีท่ ราบกนั ดีว่า สงั คมอนิ เดียกอ่ นพุทธกาล คอื กอ่ นท่ีจะกำ� เนดิ พุทธศาสนาข้ึน ชาวอนิ เดยี สว่ นใหญเ่ คารพ นับถือเทพเจ้าต่าง ๆ มากมาย ท้ังทีเ่ ปน็ เทพระดับสงู ในศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู และเทพเจา้ อน่ื ๆ ที่เก่ยี วขอ้ งกบั ธรรมชาติ และอำ� นาจลล้ี บั ประชาชนมักจะประกอบพธิ ีกรรม บูชาบวงสรวง เชน่ สงั เวยภายในบา้ นของตนเองเปน็ ประจ�ำ โดยมีรปู เคารพและเซน่ สังเวยบรรพบรุ ุษ สวดขอพรหรือสรรเสริญพระเจ้า นอกจากนี้ก็มพี ิธีกรรมใหญ่ ๆ ซ่ึง จดั ทำ� ไดเ้ ฉพาะชนชนั้ สูงในสังคม เช่น กษตั ริย์ พราหมณ์เศรษฐคี หบดี ขุนนาง ทง้ั หลาย มีการประกอบพิธีกรรมด้วย การเซ่นสังเวย บูชายญั ด้วยธญั ญาหารดี ๆ ตลอดจนส่งิ มชี วี ติ สตั ว์ รวมท้ังคน (สาวพรหมจาร)ี โดยการเผาเข้าไฟ กองใหญด่ ้วย เม่ือพระพทุ ธเจ้าเกดิ ขน้ึ ในโลก พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมอนั เป็นหลกั เครือ่ งยนื ยนั ถึงการเปล่ียนแปลง ทางความเชอ่ื ที่มมี าแต่ด้ังเดมิ นนั้ โดยแสดง ธมั มจักกปั ปวัตตนสูตร คอื อรยิ สจั 4 อนั เปน็ ความจรงิ ท่ีบคุ คลสามารถ นำ� ไปพิจารณาประกอบการด�ำเนนิ ชีวิตอยา่ งถกู ตอ้ ง, ปฎจิ สมปุ ปาท คือ กฎแห่งการเวยี นว่ายตายเกดิ ของชวี ิตสรรพ สตั ว,์ อนตั ตลกั ขณสตู ร คอื ความหลงผดิ ยดึ มน่ั ถอื มนั่ เปน็ ตวั ตน เปน็ นนั่ เปน็ นซ่ี งึ่ เปน็ เพยี งสมมต,ิ อาทติ ตปรยิ ายสตู ร คือ ว่าด้วยความร้อนรุ่มกลุ้มใจ อนั เกิดจากการกระทำ� ใจไมแ่ ยบคาย ซ่งึ เมอื่ ความทุกข์เข้ามาทาง ตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ ก็ใช้วธิ กี ารเผาทเ่ี รียกว่า ตบะ ทีไ่ มถ่ กู ตอ้ ง, กาลามสตู ร คอื ความเชอื่ ทต่ี ้งั ไว้ผิด ไม่ประกอบความเชื่อ ใหถ้ กู ต้องด้วยสตแิ ละปญั ญา ได้ดีและถกู ตอ้ ง กท็ ำ� ให้เชือ่ ถอื อยา่ งผดิ ๆ นำ� ชีวติ ให้ตกไปสคู่ วามทกุ ข,์ มงคลสตู ร คือ เปน็ สตู รทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงสอนใหพ้ จิ ารณา และนำ� ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั เิ พอื่ ใหเ้ กดิ เปน็ สริ มิ งคลตอ่ ชวี ติ ไมเ่ พยี งแตช่ วี ติ ท่อี ยู่ในฆราวาสวสิ ยั เทา่ น้ัน แต่ถ้าหากผู้ใดปฏบิ ัตไิ ด้ถงึ ข้ันสดุ ยอด กส็ ามารถบรรลมุ รรคผลนิพพานไดใ้ นชาตปิ จั จบุ นั นี้เป็นอจั ฉรยิ ภาพที่พระองค์ทรงเทศนา ยากทีจ่ ะมใี ครเหมือน ภายหลังพทุ ธปรินพิ พาน สมยั พระเจา้ อโศกมหาราช ได้ทรงท�ำนบุ ำ� รงุ พระพทุ ธศาสนา และได้สง่ สาวกไปประกาศพระพุทธศาสนายังรฐั และประเทศตา่ ง ๆ ทำ� ให้โลกมี การเปล่ียนแปลง เพราะมผี ู้ตรสั ร้ตู ามพระพทุ ธเจา้ และได้อบรมส่ังสอนประชาชนใหม้ คี วามเห็นชอบมากยง่ิ ขึน้ แต่ อยา่ งไรกค็ งสกู้ ฎแหง่ กรรมทส่ี รรพสตั วใ์ นแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมยั กระทำ� ไวม้ ไิ ด้ เพราะความหลงผดิ หรอื ลแุ กอ่ ำ� นาจกเิ ลส ตณั หา ทำ� ใหล้ มื ศลี ธรรม ความดงี าม มงุ่ แตจ่ ะเอาผลประโยชนท์ างวตั ถธุ รรมกนั โดยสว่ นเดยี ว สงั คมโลกมคี วามเดอื ด รอ้ น ประหตั ถป์ ระหารกนั ไมเ่ ว้นแตล่ ะวนั ผศู้ ึกษาจึงควรพจิ ารณาจงึ ควรพิจารณาตอ่ ไปอกี วา่ ถา้ พระพุทธศาสนายงั เอาไม่อยู่ ผคู้ นในโลกกต็ อ้ งหนั กลับไปเอาสิ่งศกั ดิ์สิทธ์ิ ในรูปแบบของไสยศาสตร์ เครือ่ งรางของขลงั เสริม หรือการ 4 พระมหาการุณ พรหมปญโฺ ญ.(2525), หนา้ 1-6

บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั 39 ทรงเจา้ เข้าผชี ว่ ยเหลือ แตเ่ ม่อื เรามองถงึ ดา้ นการสะสมอาวุธไวป้ อ้ งกันตวั มใิ ชแ่ ต่ป้องกนั ตัว แตม่ นษุ ยย์ งั มอี าวุธไว้ ประหตั ถป์ ระหารกันดว้ ย เช่นเดยี วกบั รูปแบบของไสยศาสตร์ ท่ีท�ำให้คอู่ ริตอ้ งพนิ าศไปเชน่ กัน ถ้าหากว่าสังคมโลก ไม่พิจารณาให้รอบคอบ การสะสมนวิ เคลียร์เพื่อพลังงานสันติ หรือเพือ่ ป้องกนั ประเทศของตน ก็อาจท�ำให้โลกเกิด ความพินาศไดเ้ ชน่ กัน จะโทษวา่ ศาสนาไมช่ ว่ ยอะไรเลยดจู ะผิดไป เพราะคนในโลกไม่นำ� เอาหลักธรรมทางศาสนาไป ประพฤตปิ ฏิบตั เิ องต่างหาก. บรรณานกุ รม จนิ ดา จนั แกว้ . พทุ ธศาสนากบั สภาพการณท์ างศาสนาและปรชั ญาร่วมสมัย (พุทธจักร ปีที่ 37 ฉบับที่ 6 มิถุนายน 2525) จำ� นง ทองประเสริฐ. วิชาศาสนา. มหาจุฬาลงกรณร์ าชวทิ ยาลัย, พระนคร. อาศรมอักษร, 2520 เสถียรพงษ์ วรรณปก(2527), พุทธศาสนากบั การเมือง, การอภปิ ราย ณ ห้องประชมุ กรมประชาสัมพันธ์ วัน ท่ี 4 มิถุนายน, พระมหาการุณ พรหมปญฺโญ. พทุ ธศาสนาช่วยควบคมุ พฤติกรรมสงั คมในเชงิ บวก. วารสารราชทัณฑ,์ ปที ี่ 30 เลม่ ที่ 3, 2525, น.1-6


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook