Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนาฏศิลป์

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนาฏศิลป์

Description: ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับนาฏศิลป์

Search

Read the Text Version

นาฏศลิ ป์ หมายถงึ ศลิ ปะการรา่ ยรา หรอื ความรแู้ บบแผนของการรา่ ยรา เป็นสงิ่ ทม่ี นษุ ยป์ ระดษิ ฐข์ น้ึ ด้วยความประณตี งดงาม โดยการเคลอื่ นไหวอวยั วะสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ได้แก่ ขา ลาตัว แขน มอื และใบหนา้ เพอื่ ถ่ายทอดความหมาย โนม้ นา้ วอารมณ์ และความรสู้ ึกของผชู้ มใหค้ ลอ้ ยตาม ศลิ ปะประเภทนีต้ อ้ งอาศยั การบรรเลงดนตรี และการขบั รอ้ งเขา้ รว่ มดว้ ย

นาฏศลิ ปไ์ ทยกาเนดิ มากจาก ❑ การเลยี นแบบธรรมชาติ ❑ การเซน่ สรวงบชู า ❑ การรบั อารยธรรมของอนิ เดยี

ขั้นท่ี 1 การเลยี นแบบธรรมชาติ เมอื่ มนษุ ยเ์ กดิ อารมณอ์ ยา่ งใร ข้นั ที่ 2 ก็แสดงอารมณน์ น้ั ออกมา เช่น ดีใจก็ตบมอื หรอื หวั เราะ เม่ือมนษุ ยเ์ จรญิ ขน้ึ รจู้ กั ใชก้ ริ ยิ าแทน เสียใจกร็ อ้ งไห้ เปน็ ต้น คาพดู อยา่ งทเ่ี รยี กว่า “ภาษาใบ”้ ขัน้ ท่ี 3 เชน่ กวกั มอื เขา้ หมายถงึ ใหเ้ ข้ามาหา กวักมอื ออก หมายถงึ ใหอ้ อกไป มีผ้ฉู ลาดเลอื กเอากริ ยิ าทา่ ทาง ซง่ึ แสดงอารมณต์ า่ ง ๆ น้ัน มาเรยี บเรยี ง สอดคลอ้ ง ตดิ ตอ่ กนั เปน็ ขบวนฟอ้ นราใหเ้ หน็ งาม จนเปน็ ทต่ี อ้ งตาตดิ ใจคน

การเซน่ สรวงบชู า มนษุ ยแ์ ต่โบราณมามคี วามเชอื่ ถอื ในสง่ิ ศักดสิ์ ทิ ธ์ิ จึงมีการบชู า เซน่ สรวง เพื่อขอใหส้ ิ่งศกั ด์สิ ทิ ธปิ์ ระทานพรใหต้ น สมปรารถนา หรอื ขอใหข้ จัดปดั เปา่ สิ่งทต่ี นไมป่ รารถนาใหส้ นิ้ ไป การบชู าเซน่ สรวง มกั ถวายสงิ่ ทต่ี นเหน็ วา่ ดหี รอื ทีต่ นพอใจ เชน่ ขา้ วปลาอาหาร ขนมหวาน ผลไม้ ดอกไม้ จนถงึ การขบั รอ้ ง ฟอ้ นรา

การรบั อารยธรรมของอนิ เดีย เมอื่ ไทยมาอยูใ่ นสวุ รรณภมู ใิ หม่ ๆ นั้น มีชนชาตมิ อญ และชาตขิ อมเจรญิ รงุ่ เรอื ง อยกู่ อ่ นแลว้ ชาติทั้งสองนน้ั ได้รบั อารยธรรม ของอินเดยี ไวม้ ากมายเปน็ เวลานาน เม่ือไทยมาอยู่ในระหวา่ งชนชาตทิ ั้งสองนี้ กม็ ีการตดิ ต่อกันอยา่ งใกลช้ ิด ไทยจงึ พลอยไดร้ บั อารยธรรมอนิ เดียไวห้ ลายดา้ น เชน่ ภาษา ประเพณี ตลอดจนศลิ ปะการละคร ไดแ้ ก่ ระบา ละครและโขน

องคป์ ระกอบของนาฏศลิ ปไ์ ทย นาฏศลิ ปไ์ ทยเปน็ ศลิ ปะการแสดงทม่ี คี วามงดงาม ออ่ นชอ้ ย และเปน็ เอกลกั ษณข์ องชาตไิ ทย ที่อย่คู ชู่ าตไิ ทยมาตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปจั จบุ นั การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยแตล่ ะประเภท ท่มี คี วามงดงามนนั้ จะตอ้ งมอี งคป์ ระกอบนาศลิ ป์ ที่ช่วยใหก้ ารแสดงมคี วามงดงามและสมบรู ณ์ ดงั น้ี

1. การฟ้อนราหรอื ลลี าการใชท้ า่ รา เปน็ ทา่ ทางของการเยอ้ื งกรายท่สี วยงาม โดยมมี นษุ ยเ์ ปน็ ผปู้ ระดษิ ฐท์ า่ ราเหลา่ นนั้ ใหถ้ กู ตอ้ งตามแบบแผน รวมทงั้ บทบาทลกั ษณะของตวั ละคร ประเภทของตวั ละคร และการสอ่ื ความหมายทช่ี ดั เจน

2.จังหวะทใ่ี ชใ้ นการแสดง จังหวะถอื วา่ เปน็ พนื้ ฐานในการฝกึ หดั การแสดงนาฏศลิ ป์ ผู้แสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยจะตอ้ ง ทาความเขา้ ใจกบั จงั หวะดนตรี เพือ่ ใหส้ ามารถรา่ ยรา แสดงทา่ ทางไดถ้ กู ตอ้ งตามจงั หวะ หากแสดงไมถ่ กู ตอ้ งตามจงั หวะ หรือที่เรยี กวา่ “บอดจงั หวะ” จะทาใหก้ ารแสดงไมส่ วยงามและไมพ่ รอ้ มเพรยี ง

3.ดนตรที ใ่ี ชป้ ระกอบการแสดง ในการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย จะใชว้ งปพี่ าทย์บรรเลงประกอบการแสดง บทเพลงทใี่ ชบ้ รรเลงประกอบกริ ยิ าของตวั ละครแบง่ ออกเปน็ หน้าพาทย์ธรรมดา และหนา้ พาทยช์ นั้ สงู ส่วนมากบรรเลงโดยไมม่ เี นอ้ื รอ้ ง การบรรเลงเพลงหนา้ พาทยจ์ ะบรรเลงตามความหมาย และอารมณข์ องตวั ละครทแี่ ตกต่างกนั ไป

4. คารอ้ งหรอื เนอ้ื รอ้ ง การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยมที ง้ั ชดุ การแสดงทมี่ บี ทรอ้ ง และไมม่ บี ทรอ้ งประกอบการแสดง ซ่งึ ในการแสดงทมี่ เี นอ้ื รอ้ งประกอบการแสดงจะทาใหผ้ ชู้ มเขา้ ใจการแสดงมากขน้ึ และผคู้ ดิ คน้ ประดษิ ฐท์ า่ ราใหเ้ หมาะสมกบั คารอ้ งเพอ่ื ใหผ้ ชู้ มเขา้ ใจการแสดงมากขน้ึ และผคู้ ดิ คน้ ประดษิ ฐท์ า่ ราใหเ้ หมาะสมกบั คารอ้ งเพอ่ื ใหผ้ แู้ สดงสามารถถา่ ยทอดอารมณไ์ ด้ ถูกต้องและมคี วามสวยงาม เช่น ระบาดาวดงึ ส์ เปน็ การแสดงทม่ี บี ทรอ้ งประกอบ มีท่ารา่ ยราทีส่ อ่ื ความหมายตามบทรอ้ ง ท่มี คี วามยนิ ดปี รดี า

5. การแตง่ กายและการแตง่ หนา้ การแตง่ กายทใ่ี ชใ้ นการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย จะมคี วามสวยงามวจิ ิตรและบง่ บอกถงึ ความเปน็ ไทย ทาใหก้ ารแสดงมเี อกลกั ษณ์ เช่น การแสดงโขน ที่มกี ารแตง่ กายทงี่ ดงาม มีศรี ษะโขนทตี่ กแตง่ ลวดลาย ประดษิ ฐข์ นึ้ อยา่ งวจิ ติ ร ซงึ่ ศรี ษะโขนกจ็ ะแตกตา่ งกนั ไปตาม ลักษณะของตวั ละครทาใหผ้ ชู้ มเขา้ ใจการแสดงไดม้ ากขน้ึ การแตง่ หนา้ เปน็ องคป์ ระกอบหนง่ึ ทท่ี าใหผ้ แู้ สดงสวยงาม และอาพรางขอ้ บกพรอ่ งของใบหนา้ ของผแู้ สดงได้ นอกจากนี้ ก็ยงั สามารถใชว้ ธิ กี ารแตง่ หนา้ เพอื่ บอกวยั บอก ลกั ษณะเฉพาะของตวั ละครได้ เช่น แตง่ หนา้ คนหนุ่มใหเ้ ปน็ คนแก่ แตง่ หนา้ ใหผ้ แู้ สดงเปน็ ตวั ตลก เป็นต้น

6.อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง อุปกรณท์ ใี่ ชป้ ระกอบการแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย เป็นองคป์ ระกอบนาฏศลิ ปท์ ส่ี าคญั อยา่ งหนงึ่ ทท่ี าใหก้ ารแสดงมคี วามสวยงามและมเี อกลกั ษณ์ ซงึ่ การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยบางชดุ อาจไมม่ ี อปุ กรณป์ ระกอบการแสดง แต่บางชดุ กม็ อี ปุ กรณป์ ระกอบการแสดง ทาใหก้ ารแสดงน่าสนใจมากขนึ้ เชน่ ฟ้อนเทยี น ระบาดอกบวั ระบาฉงิ่ เปน็ ต้น

ประเภทของนาฏศลิ ปไ์ ทย นาฏศลิ ปไ์ ทยแบง่ ตามรปู แบบ การแสดง 4 รปู แบบ

1.โขน เปน็ การแสดงนาฎศลิ ปช์ ้นั สงู ของไทยทมี่ เี อกลกั ษณ์ คือ ผู้แสดงจะตอ้ งสวมหวั ท่ีเรยี กวา่ “หัวโขน” และใชล้ ลี าทา่ ทางการแสดงดว้ ย การเตน้ ไปตามบทพากย์ การเจรจาของผพู้ ากย์ และตามทานองเพลงหนา้ พาทย์ ท่บี รรเลงดว้ ยวงปพี่ าทย์ เรอ่ื งท่นี ยิ มนามาแสดง คือ พระราชนพิ นธบ์ ทละครเรอื่ งรามเกยี รติ์ แตง่ การเลยี นแบบเครอื่ งทรงของพระมหากษตั รยิ ์ ที่เป็นเครอ่ื งตน้ เรยี กวา่ การแตง่ กายแบบ “ยืนเครอื่ ง” มจี ารตี ขน้ั ตอนการแสดงทีเ่ ปน็ แบบแผน นยิ มจดั แสดงเฉพาะพธิ สี าคัญได้แก่ งานพระราชพธิ ตี ่าง ๆ

2.ละคร เป็นศิลปะการรา่ ยราทเ่ี ลน่ เปน็ เรอื่ งราว มีพฒั นามาจากการเลา่ นิทาน มเี อกลกั ษณ์ ในการแสดง และการดาเนนิ เรอื่ งดว้ ย กระบวนลลี าทา่ ราเขา้ กับบทรอ้ ง และทานองเพลง เร่ืองทน่ี ยิ มนามาแสดง คอื พระสธุ น สังขท์ อง อิเหนา อุณรฑุ การแตง่ กายดว้ ยชุดยนื เครอ่ื งพระ - นาง

3.ราและระบา เป็นศลิ ปะแหง่ การรา่ ยราประกอบเพลงดนตรี และบทขบั รอ้ ง โดยไมเ่ ลน่ เปน็ เรอื่ งราว ในทน่ี หี้ มายถงึ รา และระบาทมี่ ลี กั ษณะ เปน็ การแสดงแบบมาตรฐาน

ราเปน็ ศิลปะแหง่ การรา่ ยทม่ี ผี แู้ สดง ต้ังแต่ 1-2 คน เช่น การราเดยี่ ว ราคู่ และราอาวธุ การแตง่ กายจะแตง่ ตาม รปู แบบของการแสดง ไมเ่ ลน่ เปน็ เรอื่ งราว อาจมบี ทขบั รอ้ ง ประกอบการราเขา้ กบั ทานองเพลง ดนตรี มีกระบวนทา่ รา

ระบา เปน็ ศลิ ปะแหง่ การรา่ ยราทม่ี ผี เู้ ลน่ ตงั้ แต่ 2 คนขน้ึ ไป มลี ักษณะการแตง่ การคลา้ ยคลงึ กนั กระบวนทา่ ราคลา้ ยคลงึ กนั ไมเ่ ลน่ เปน็ เรอ่ื งราว อาจมบี ทขบั รอ้ งประกอบการราเขา้ ทานองเพลงดนตรี ซง่ึ ระบาแบบมาตรฐานมกั บรรเลงดว้ ยวงปพี่ าทย์ การแตง่ การนยิ มแตง่ กายยืนเครอ่ื งพระ-นาง หรือแตง่ แบบนางในราชสานกั เช่น ระบาสบ่ี ท ระบากฤดาภนิ หิ าร ระบาฉง่ิ เปน็ ต้น

4.การแสดงพนื้ เมือง เป็นศลิ ปะแหง่ การรา่ ยราทม่ี ที งั้ รา ระบาการละเลน่ ทเี่ ปน็ เอกลกั ษณข์ อง กลมุ่ ชนตามวฒั นธรรมในแตล่ ะภมู ภิ าค ซ่งึ แบง่ ได้ 4 ภาค

การแสดงพน้ื เมอื งภาคเหนอื เป็นศลิ ปะแหง่ การรา่ ยรา การละเลน่ ท่นี ยิ มเรยี กวา่ กนั ทัว่ ไปวา่ “ฟอ้ น” ลักษณะการฟอ้ นจะแบง่ ออกเปน็ 2 แบบ คอื แบบดงั้ เดมิ และแบบปรบั ปรงุ ขนึ้ ใหม่ แตย่ งั คงมกี ารรกั ษาเอกลกั ษณท์ างการแสดงไว้ คอื มลี ลี าทา่ ราทแี่ ชม่ ชา้ อ่อนชอ้ ย มกี ารแตง่ กายตามวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ ทสี่ วยงาม ประกอบกบั การบรรเลง และขบั รอ้ งดว้ ย วงดนตรพี นื้ บา้ น เชน่ วงสะลอ้ ซอ ซึง เป็นตน้ โอกาสทแี่ สดงมกั เลน่ กนั ในงานประเพณี หรือต้นรบั แขกบา้ นแขกเมอื ง ไดแ้ ก่ ฟ้อนเลบ็ ฟ้อน เทียน ฟ้อนครวั ทาน ฟ้อนสาวไหม และฟอ้ นเจงิ

การแสดงพนื้ เมอื งภาคกลาง เปน็ ศลิ ปะการรา่ ยราและการละเลน่ ของชนชาวพน้ื บา้ นภาคกลาง ซงึ่ สว่ นใหญม่ อี าชพี เกย่ี วกบั เกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจงึ มคี วามสอดคลอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ และ เพอ่ื ความบนั เทงิ สนกุ สนาน เป็นการพกั ผอ่ นหยอ่ น ใจจากการทางาน หรือเมอ่ื เสรจ็ จากเทศ การฤดเู กบ็ เกบ็ เกย่ี ว เช่น การเลน่ เพลงเกยี่ วขา้ ว เต้นการาเคยี ว ราโทนหรอื ราวง ราเถิดเทงิ รากลองยาว เป็นตน้ มกี ารแตง่ กายตามวฒั นธรรม ของทอ้ งถนิ่ และใช้เครอ่ื งดนตรพี นื้ บา้ น เชน่ กลองยาว กลองโทน ฉง่ิ ฉาบ กรบั และโหมง่

การแสดงพน้ื เมอื งภาคอีสาน เปน็ ศลิ ปะการราและการเลน่ ของชาวพนื้ บา้ นภาคอีสาน หรอื ภาคตะวนออกเฉยี งเหนอื ของไทย แบ่งไดเ้ ปน็ 2 กลมุ่ วฒั นธรรมใหญ่ ๆ คอื กลุม่ อสี านเหนอื มีวฒั นธรรมไทยลาว ซง่ึ มกั เรยี กการละเลน่ วา่ “เซง้ิ ฟอ้ น และหมอลา” เชน่ เซ้ิงบง้ ไฟ เซงิ้ สวงิ ฟอ้ นภไู ท เปน็ ต้น ซง่ึ ใชเ้ ครอ่ื งดนตรพี น้ื บา้ นประกอบ ได้แก่ แคน พิณ ซอ กลองยาว อีสาน ฉิง่ ฉาบ ฆ้อง และกรบั ภายหลงั เพม่ิ เตมิ โปงลางและโหวดเขา้ มาดว้ ย สว่ นกลมุ่ อสี านใตไ้ ดร้ บั อทิ ธพิ ล ไทยเขมร มีการละเลน่ ทเ่ี รยี กวา่ เรอื ม หรือ เร็อม เชน่ เรือมลดู อนั เร ราอาไย เปน็ ต้น วงดนตรี ทใ่ี ช้บรรเลง คือวงมโหรี อีสานใต้ มีเครอื่ งดนตรี คือ ซอดว้ ง ซอดว้ ง ซอครวั เอก กลองกันตรมึ พิณ ระนาด เอกไม้ ปี่สไล กลองรามะนา ลกั ษณะท่าราและทว่ งทานองดนตรใี นการแสดงคอ่ นขา้ งกระชบั รวดเรว็ และสนกุ สนาน

การแสดงพนื้ เมอื งภาคใต้ เป็นศลิ ปะการราและการละเลน่ ของชาวพน้ื บา้ นภาคใต้ อาจแบง่ ตามกลมุ่ วฒั นธรรมได้ 2 กลุ่มคือ วฒั นธรรมไทยพทุ ธ ไดแ้ ก่ การแสดงโนรา หนังตะลงุ เพลงบอก เพลงนา และวฒั นธรรมไทยมสุ ลมิ ไดแ้ ก่ รองเงง็ มะโยง่ (การแสดงละคร) ลเิ กฮูลู และซลิ ะ มีเครอ่ื งดนตรปี ระกอบท่สี าคญั เชน่ กลองโนรา กลองโพน กลองปดื โทน ทับ กรบั พวง โหมง่ ปกี่ าหลอ ปี่ไหน รามะนา ไวโอลนิ อคั คอรเ์ ดยี น ภายหลงั ไดม้ รี ะบาทป่ี รบั ปรงุ จากกจิ กรรมในวถิ ชี วี ติ ศลิ ปะตา่ ง ๆ เช่น ระบารอ่ นแต่ การดี ยาง ปาเตตะ๊ เป็นตน้