Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การแสดงนาฏศิลป์

การแสดงนาฏศิลป์

Description: การแสดงนาฏศิลป์

Search

Read the Text Version

CREDITS: This presentation template was created by Slidesgo, including icons by Flaticon, infographics & images by Freepik

เป็นศลิ ปวฒั นธรรมทแ่ี สดงถงึ ความเปน็ ไทย ทม่ี มี าตง้ั แตช่ นั้ นาน และไดร้ บั อทิ ธพิ ลแบบแผน ตามแนวคดิ จากตา่ งชาตเิ ขา้ มาผสมผสาน และนามาปรบั ปรงุ เปน็ เอกลกั ษณป์ ระจาชาตไิ ทย การแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทยเปน็ การแสดงทม่ี คี วามวจิ ติ ร งดงามทงั้ เสอื้ ผา้ การแตง่ กาย ลีลา ท่ารา ดนตรปี ระกอบและบทรอ้ ง นอกจากนกี้ ารแสดงนาฏศลิ ปไ์ ทย เกดิ จากการละเลน่ พน้ื บา้ น วถิ ีชวี ติ ของคนไทยในแตล่ ะภมู ภิ าค

ประเภทของนาฏศิลป์ไทย แบ่งได้ 4 ประเภท

1 โขน

เปน็ การแสดงนาฏศลิ ปช์ น้ั สงู ของไทย ที่มีเอกลกั ษณ์ คอื ผู้แสดงจะตอ้ งสวมหวั ทเ่ี รยี กวา่ “หวั โขน” และใชล้ ลี าทา่ ทางการแสดงดว้ ยการเลน่ ไปตามบทพากย์ การเจรจาของผพู้ ากย์ และตามทานอง เพลงหนา้ พาทยท์ บ่ี รรเลงดว้ ยวงปพี่ าทย์ เรอื่ งทน่ี ยิ มนามาแสดง คอื พระราชนพิ นธบ์ ทละคร เรอื่ งรามเกยี รต์ิ แต่งกายเลยี นแบบเครอื่ งทรงของ พระมหากษตั รยิ ท์ เี่ ปน็ เครอื่ งตน้ เรยี กวา่ การแตง่ กายแบบ “ยนื เครอื่ ง” มีจารตี ขน้ั ตอนการแสดงทเ่ี ปน็ แบบแผน นิยมจดั แสดงเฉพาะพธิ สี าคญั ได้แก่ งานพระราชพธิ ตี า่ ง ๆ

ประเภทของโขน แบ่งได้ 5 ประเภท

1.โขนกลางแปลง การแสดงโขนบนพ้นื ดิน ไม่มกี ารสร้างโรง ผแู้ สดงเล่นกลางสนาม โขนกลางแปลงสว่ นใหญ่เล่นเก่ยี วกบั การยกทพั และการรบระหว่าง ฝา่ ยพระรามและฝ่ายทศกณั ฐ์ ดนตรที ่ใี ช้ประกอบเปน็ วงป่ีพาทย์ อยา่ งน้อย 2 วง บรรเลงเพลงหนา้ พาทยบ์ ทท่ีเลน่ ส่วนมาก มคี าพากย์และบทเจรจา

2.โขนโรงนอกหรอื โขนนงั่ ราว การแสดงโขนที่แสดงบนโรง มีหลังคามรี าวพาดตามสว่ นยาวของโรง สาหรบั ให้ตวั ละครนัง่ แทนเตยี ง ซ่งึ เพ่ิงมภี ายหลงั ตวั ละครทน่ี ง่ั ราวไดจ้ ะตอ้ งเปน็ ตวั สงู ศกั ด์ิ เชน่ พระราม พระลกั ษณ์ สคุ รพี ทศกัณฐ์ ตวั ละครฝา่ ยหญงิ จะมีเตยี งใหน้ ่ังตา่ งหาก ดนตรปี ระกอบเหมอื นโขนการแปลง และมีเพยี งคาพากย์และบทเจรจา เช่นเดียวกัน

3. โขนหนา้ จอ มีการปลอ่ ยตัวโขนออกมาเล่น สลับกบั การเชดิ หนังใหญ่เรียกวา่ “หนงั ตดิ หัวโขน” ต่อมา เมอ่ื คนไม่นยิ มดูหนังใหญ่ จะดโู ขนมากกว่าจงึ ปล่อยโขน ออกมานง่ั เลน่ หน้าจอ

4.โขนโรงใน โขนท่นี าเอาศิลปะของตวั ละคร ในมาผสม มกี ารเต้นบทพากย์ บทเจรจาและเพลงหนา้ พาทย์แบบโขน ท่มี มี าแตเ่ ดิม แตเ่ พม่ิ เพลงรอ้ ง และมีระบา รา ฟ้อนแบบละครใน เวลาแสดงจะมีเตียงให้ตัวละครนั่ง โดยวางอยู่ 2 ขา้ ง

5.โขนฉาก เร่มิ มีขนึ้ ในสมยั รชั กาลที่ 5 โดยมีคดิ สร้างฉากประกอบการแสดงโบนเวทขี ึ้น มกี ารเปลีย่ นฉากตามทอ้ งเร่อื ง บทท่ีแสดงมกี ารปรับปรงุ ใหก้ ระชบั รวดเรว็ ทันใจ คล้ายกบั ละครดึกดาบรรพ์ วิธีแสดงเหมือนโขนในทกุ อยา่ ง มีการขบั รอ้ ง มกี ระบวนการรา มที ่าเต้น มีเพลงหน้าพาทย์ ตามแบบแผนละครในและโขนโรงใน ดว้ ยเหตนุ จี้ ึงมีชือ่ เรยี กศิลปะการแสดงในชนิดน้ี ว่า “โขนฉาก”



ตวั พระ จะคดั เลอื กผูท้ ล่ี กั ษณะใบหนา้ รปู ไข่ สวยงาม คมคายเด่นสะดดุ ตา ท่าทางสะโอดสะอง และผงึ่ ผาย ลาคอระหง ไหลล่ าดตรง ชว่ งอกใหญ่ ขนาดลาตวั เรยี วตามลักษณะชายงาม ในวรรณคดีไทย เชน่ พระอภยั มณี ศรีสวุ รรณ พระลอ เปน็ ต้น

ตัวนาง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ตวั นางทเ่ี ป็นกษัตรยิ แ์ ละนางตลาด ซึง่ นางกษัตรยิ จ์ ะคัดเลือกจากผู้ท่ีมีรปู รา่ ง ลักษณะคล้ายกบั ตัวพระ สวมมงกุฎ ห้อยดอกไมเ้ พชรดา้ นซ้าย กิริยามารยาท เรยี บร้อยสุภาพ นุม่ นวล ออ่ นหวาน สว่ นนาง ตลาดจะคดั เลอื กจากผทู้ ม่ี ีท่าทางกระฉบั กระเฉง คล่องแคลว่ ว่องไว มจี ริตสามารถแสดง กิรยิ าทา่ ทางต่าง ๆ ได้ เป็นธรรมชาติ

ตัวยกั ษ์ การคดั เลอื กตวั ยกั ษส์ าหรับการแสดงจะคดั เลือก ผ้ทู มี่ ีลักษณะคล้ายกบั ตวั พระ รูปรา่ งสงู ใหญ่ วงเหลี่ยมของผแู้ สดงเป็นตัวยักษ์ตลอดจน ถึงการทรงตัวตอ้ งดแู ขง็ แรง กิรยิ าทา่ ทางเยือ้ งยา่ งและดูสง่างาม โดยเฉพาะผ้แู สดงเป็นทศกณั ฐ์ ซ่ึงเป็นตวั ละครสาคญั ในเรือ่ งรามเกยี รติ์

ตวั ลงิ การคัดเลือกตวั ลงิ สาหรับการแสดงจะคัดเลือก ผู้ทม่ี ลี ักษณะทา่ ทางไมส่ งู มากนกั กิริยาท่าทางคล่องแคล่วว่องไวตามฉบบั ของลิง มีการจัดโครงสรา้ งของรา่ งกายให้ออ่ น ซง่ึ ลีลาท่าทางของตัวลิงน้ันจะไมอ่ ยู่นงิ่ กับท่ี ตีลังกาลกุ ลีล้ กุ ลนตามธรรมชาตขิ องลิง

2 ละคร

ละครเปน็ ศลิ ปะการรา่ ยราทเี่ ลน่ เปน็ เรอ่ื งราว มีพฒั นาการมาจากการเลา่ นทิ าน มเี อกลกั ษณ์ ในการแสดง และการดาเนนิ เรอ่ื งดว้ ยลลี า กระบวนทา่ รา เข้ากบั บทรอ้ ง ทานองเพลง และเพลงหนา้ พาทยท์ บ่ี รรเลงดว้ ยวงปพี่ าทย์ มีแบบแผนในการเลา่ เลน่ ทเี่ ปน็ ทง้ั ของชาวบา้ นและของหลวงทเ่ี รยี กวา่ ละคร โนราชาตรี ละครนอก ละครใน เรือ่ งทนี่ ยิ มนามาแสดงคอื พระสธุ น สังขท์ อง อิเหนา อุณรฑุ นอกจากนย้ี งั มลี ะครทป่ี รบั ปรงุ ขน้ึ ใหมอ่ กี หลายชนดิ การแตง่ กายของละครเลยี นแบบเครอื่ งทรงพระมหากษตั รยิ เ์ รยี กวา่ “การแตง่ กายยนื เครอื่ ง”

ราและระบา 3

รา เปน็ ศลิ ปะการร่ายราทีม่ ีผู้แสดง ตง้ั แต่ 1 - 2 คน เช่น การราเดีย่ ว การราคู่ การราอาวุธ เปน็ ต้น มลี กั ษณะการแต่งกายตามรปู แบบของการแสดง ไม่เล่นเป็นเรอื่ งราว อาจมีบทขบั ร้อง ประกอบการราเข้ากบั ทานองเพลงดนตรี มีกระบวนทา่ รา โดยเฉพาะการราคจู่ ะต่างกบั ระบาเน่ืองจากท่าราจะมีความเชื่อมโยงสอดคลอ้ ง ตอ่ เนอื่ งกนั และเป็นบทเฉพาะสาหรับผแู้ สดงนน้ั ๆ เชน่ ราเพลงช้าเพลงเร็ว ราเพลงแม่บท ราเมขลารามสูร เป็นตน้

ระบา ศิลปะการรา่ ยราท่มี ีผ้แู สดงตัง้ แต่ 2 คนขน้ึ ไป มีลักษณะการแต่งกายคลา้ ยคลงึ กัน กระบวนท่าราคล้ายคลงึ กนั ไมเ่ ลน่ เป็นเรื่องราว อาจมีบทขับร้องประกอบการราเข้ากับทานอง เพลงดนตรีซ่งึ ระบาแบบมาตรฐาน มกั บรรเลงด้วยวงปพ่ี าทย์ การแตง่ กายนิยมการแตง่ กายยนื เครอื่ งพระนาง หรือแตง่ แบบนางในราชสานกั เช่น ระบาสบ่ี ท ระบาดาวดึงส์

การแสดงพน้ื เมอื ง 4

การละเลน่ ทมี่ กี ารแสดง การรา่ ยรา มีเพลงดนตรปี ระกอบ ท่ีได้วางเปน็ แบบแผน และนิยมเลน่ หรือถา่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มาจนแพรห่ ลาย การแสดงพน้ื เมอื ง อาจเกดิ จากการบชู าบวงสรวงสงิ่ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ เชน่ ขอใหส้ งิ่ ทตี่ นนบั ถอื ประทานสง่ิ ทตี่ นปรารถนา หรือขจดั ปดั เปา่ สง่ิ ทไ่ี มป่ รารถนา นอกจากนี้ ก็เปน็ การแสดงเพอ่ื ความบนั เทงิ รน่ื เรงิ ซ่งึ สามารถแบง่ ออกเปน็ ภมู ภิ าคได้ 4 ภูมภิ าค ดังนี้

ภาคเหนอื เปน็ ศลิ ปะการรา และการละเลน่ หรือทน่ี ยิ มเรยี กกนั ทว่ั ไปวา่ “ฟอ้ น” การฟอ้ นเปน็ วฒั นธรรมของชาวลา้ นนา และกลมุ่ ชนเผา่ ตา่ งๆ เชน่ ชาวไต ชาวลอื้ เปน็ ตน้ ลักษณะของการฟอ้ น แบง่ เปน็ 2 แบบ คือ แบบดง้ั เดมิ และ แบบทปี่ รบั ปรงุ ขนึ้ ใหม่ แตย่ งั ยงมกี ารรกั ษาเอกลกั ษณ์ ทางการแสดงไวค้ อื มลี ลี าทา่ ราทแี่ ชม่ ชา้ อ่อนชอ้ ย มกี ารแตง่ กายตามวฒั นธรรทอ้ งถนิ่ ทส่ี วยงามประกอบกบั การบรรเลงและขบั รอ้ งดว้ ยวงดนตรพี นื้ บา้ น เชน่ วงสะลอ้ ซอ ซึง เปน็ ตน้ โอกาสทแ่ี สดงมกั เลน่ กนั ในงานประเพณี หรอื ต้อนรบั แขกบา้ นแขกเมอื ง ไดแ้ ก่ ฟ้อนเลบ็ ฟอ้ นเทยี น เปน็ ตน้

ภาคกลาง เปน็ ศลิ ปะการรา และการละเลน่ ของชนชาวพนื้ บา้ นภาคกลาง ซึง่ สว่ นใหญม่ อี าชพี เกย่ี วกบั เกษตรกรรม ศิลปะการแสดงจงึ มคี วามสอดคลอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ และเพอื่ ความบนั เทงิ สนกุ สนาน เปน็ การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ จากการทางาน หรอื เมอื่ เสรจ็ จากเทศกาลฤดเู กบ็ เกย่ี ว เชน่ การเลน่ เพลงเกย่ี วขา้ ว เตน้ การาเคยี ว ราโทน หรอื ราเถดิ เทงิ เปน็ ตน้ มกี ารแตง่ กาย ตามวฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ และใชเ้ ครอ่ื งดนตรพี น้ื บา้ น เชน่ กลองยาว กลองโทน ฉงิ่ ฉาบ กรบั และโหมง่

ภาคอสี าน เปน็ ศลิ ปะการราและการละเลน่ ของชาวพนื้ บา้ นภาคอสี าน แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 กลุ่มวฒั นธรรมใหญๆ่ คือ กล่มุ อกี สาน-เหนอื มวี ฒั นธรรมไทยลาว ซงึ่ มกั เรยี กการละเลน่ วา่ “เซง้ิ ฟอ้ น และหมอลา” เช่น เซ้งิ บงั้ ไฟ เซิง้ สวงิ ฟ้อนภไู ท เปน็ ตน้ ซึง่ ใชเ้ ครอื่ งดนตรพี น้ื บา้ นประกอบ ไดแ้ ก่ แคน พิณ ซอ กลอง ยาว อีสาน ฉ่งิ ฉาบ ฆ้อง และกรบั ภายหลงั เพมิ่ เตมิ โปงลางและโหวดเขา้ มาดว้ ย สว่ นกลมุ่ อสี านใตไ้ ดร้ บั อทิ ธพิ ลไทยเขมร มีการละเลน่ ที่เรยี กวา่ เรอื ม เช่น รากระทบสาก ระบาตกั๊ แตนตาขา้ ว วงดนตรที ใี่ ชบ้ รรเลง คอื วงมโหรอี สี านใต้ มีเครอ่ื งดนตรี คอื ซอดว้ ง ซอตรวั เอก กลองกนั ตรมึ พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่สไล กลองรามะนา และเครอ่ื งประกอบจงั หวะ การแตง่ กายประกอบการแสดงเปน็ ไปตามวฒั นธรรมของ พืน้ บา้ น ลกั ษณะทา่ ราและทว่ งทานองดนตรใี นการแสดง ค่อนขา้ งกระชบั รวดเรว็ และสนกุ สนาน

ภาคใต้ ภาคใต้ เป็นดนิ แดนทต่ี ดิ ทะเลทง้ั ฝงั่ ตะวนั ตก และตะวนั ออก ทางดา้ นใตต้ ดิ กบั มลายู ทาใหร้ บั วฒั นธรรมของมลายมู าบา้ ง และมขี นบประเพณี วัฒนธรรม และบคุ ลกิ บางอยา่ งคลา้ ยคลงี กนั คือ พูดเรว็ อุปนสิ ยั วอ่ งไว ตัดสนิ ใจรวดเรว็ เดด็ ขาด การแตง่ กาย เพลง และดนตรคี ลา้ ยคลงึ กนั มาก การแสดง พื้นเมอื งภาคใต้ แบง่ เปน็ 2 ประเภท คือ มหรสพ การแสดงเปน็ เรอ่ื ง เช่น หนงั ตะลงุ มตี วั หนงั มีคนเชดิ มีการรอ้ ง และเจรจา นอกจากนน้ั มี ลิเกปา่ ซงึ่ ผแู้ สดงโตต้ อบกนั เปน็ เรอื่ งราว อกี การแสดงคอื โนรา การแสดงเบด็ เตลด็ คือ ร่ายราเปน็ ชดุ เชน่ โนรา รอ็ งเงง็ ตารกี ปี สั ระบารอ่ นแร่ ราซดั ชาตรี

CREDITS: This presentation template was created by Slidesgo, including icons by Flaticon, infographics & images by Freepik

เปน็ ศลิ ปะการเคลอ่ื นไหวสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ให้มลี ลี าอนั งดงาม ไดแ้ ก่ ระบา รา ฟอ้ นตา่ ง ๆ ซง่ึ เปน็ ทนี่ ยิ มเลน่ หรอื แสดงกนั ในทอ้ งถน่ิ ในภาษาไทย เรามคี าวา่ “ระบา” “ราฟอ้ น” ทใี่ ชใ้ นความหมายของการแสดงลลี านาฏศลิ ปไ์ ทย แตใ่ นทอ้ งถน่ิ ภาคเหนอื จะใชค้ าวา่ “ฟอ้ น” เปน็ ศพั ทเ์ ฉพาะทอ้ งถน่ิ ศลิ ปะของการฟอ้ น ในทอ้ งถน่ิ จะมดี นตรพี นื้ บา้ นประกอบ ซึง่ อาจจะใหท้ ว่ งทานองเปน็ เพลงบรรเลงลว้ น ๆ หรือเปน็ บทเพลงทมี่ กี ารขบั รอ้ งประกอบรว่ มดว้ ย กไ็ ด้ นอกจากนน้ั การฟอ้ นในทอ้ งถนิ่ อาจเปน็ องคป์ ระกอบหนงึ่ ของการเลน่ พนื้ บา้ น คือ ปรากฏอยใู่ นการแสดงมหรสพตา่ ง ๆ เช่น การฟอ้ นทเ่ี ปน็ สว่ นประกอบของการแสดง ซอของภาคเหนอื หมอลาของภาคอสี าน เป็นตน้

ลกั ษณะของนาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ น 2.นาฏศลิ ปพ์ นื้ บา้ น มกั มคี วามเรยี บงา่ ย 1.นาฏศลิ ปพ์ นื้ บา้ น และมอี สิ ระในการแสดงออก ผฟู้ ้อนราสามารถทจี่ ะสรา้ งสรรค์ มักจะถา่ ยทอดกนั มาโดย พลิกแพลงทว่ งทา่ ลลี าการเคลอื่ นไหว การสงั เกต จดจา เลยี นแบบ ออกไปได้ หลายทาง มไิ ดม้ ที า่ แมบ่ ท เปน็ หลกั แบบนาฏศลิ ปท์ เ่ี ปน็ แบบแผน การบอกเลา่ กลา่ วสอน อย่างของราชสานกั หรือของ โดยทม่ี ไิ ดม้ กี ารจดบนั ทกึ ไว้ กรมศลิ ปากร แตม่ ลี ลี าทง่ี ดงาม สอดคลอ้ งกบั ทว่ งทานองเพลงพน้ื บา้ น เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร และแสดงออกถงึ เอกลกั ษณ์ หรอื ตารา ต่าง ๆ ของวฒั นธรรมทอ้ งถน่ิ นนั้ ๆ ทีท่ าให้ สามารถบอกไดว้ า่ เปน็ นาฏศลิ ป์ หรือการฟอ้ นราของทอ้ งถน่ิ ใด

ลกั ษณะของนาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ น 3.รปู แบบทา่ ทางของนาฏศลิ ปพ์ นื้ บา้ น 4.กาเนดิ ของนาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ น ในยคุ หลงั ตอ่ มา ได้ถกู กาหนดแบบแผน แต่ดงั้ เดมิ มกั จะเกย่ี วเนอื่ งกบั กจิ กรรมอน่ื โดยผรู้ ู้ หรอื ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากวฒั นธรรมของ เช่นปรากฏในพธิ กี รรมทางศาสนา ความเชอ่ื ส่วนกลาง ( เมอื งหลวง ) ประเพณบี างอยา่ ง มิไดม้ จี ดุ ประสงค์ ทาใหแ้ ปรเปลยี่ นจากความเรยี บงา่ ย ม่งุ ความบนั เทงิ เปน็ สาคญั มาแตแ่ รก หรือลกั ษณะเสรไี ปสทู่ ว่ งทา่ ทเ่ี ปน็ แบบแผนมากขน้ึ เช่น การฟอ้ นผมี ด มาจากพธิ กี รรมบชู าผปี ยู่ า่ ดังเหน็ ไดจ้ ากในปจั จบุ นั เชน่ การทค่ี รนู าฏศลิ ป์ ในสถาบนั การศกึ ษาตา่ ง ๆ นาลกั ษณะการฟอ้ น หรอื ผบี รรพบรุ ษุ เปน็ ตน้ ของชาวบา้ นไปประยกุ ตใ์ หม่ ใหม้ ลี ลี างดงาม การศกึ ษานาฏศลิ ปพ์ น้ื บา้ น จงึ ตอ้ งรถู้ งึ เปน็ ขน้ั ตอนขนึ้ และกลายเปน็ แบบแผนทชี่ าวบา้ น ประวตั คิ วามเปน็ มา หรอื จดุ มงุ่ หมายแตเ่ ดมิ นาแบบอยา่ งมาปรบั ปรงุ ลลี าการฟอ้ นของตน ตลอดจนพฒั นาการทแี่ ปรเปลยี่ นมาสรู่ ปู แบบ ใหเ้ ปน็ ตามแบบแผนตามไปดว้ ย เปน็ ตน้ ในยคุ ปจั จบุ นั ดว้ ย

CREDITS: This presentation template was created by Slidesgo, including icons by Flaticon, infographics & images by Freepik

เพลงท่ใี ชป้ ระกอบการแสดงราวงมาตรฐานมที งั้ หมด 10 เพลง จม่ืน มานติ ยน์ เรศ (เฉลิม เศวตนันท์) ไดเ้ ป็นผปู้ ระพันธ์คาร้อง จานวน 4 เพลง ได้แก่ เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงราซมิ ารา เพลงคืนเดือนหงาย ต่อมา ท่านผู้หญงิ ละเอยี ด พบิ ลู สงคราม ไดป้ ระพนั ธ์บทรอ้ งอกี 6 เพลง ได้แก่ เพลงดวงจันทรว์ ันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจนั ทร์ขวญั ฟา้ เพลงยอดชายใจหาญ เพลงบูชานกั รบ อาจารยม์ นตรี ตราโมท เปน็ ผปู้ รับปรุงทานองเพลง และใชเ้ ครอ่ื งดนตรเี ข้ามาบรรเลงประกอบการขบั รอ้ งจัดท่าราวงให้งดงามถกู ตอ้ ง ตามแบบนาฏศลิ ป์ไทย

เครอื่ งแตง่ กาย ประกอบดว้ ย 4 แบบ ดงั น้ี

แบบท่ี 1 แบบชาวบา้ น ผ้ชู าย ผหู้ ญิง นุง่ ผา้ โจงกระเบน นุ่งโจงกระเบน ห่มผา้ สไบอดั จบี ปล่อยผม สวมเสอ้ื คอพวงมาลยั ประดับดอกไม้ท่ีผมดา้ นซา้ ย คาดเข็มขดั ใส่เครอ่ื งประดบั เอวคาดผ้าห้อยชายดา้ นหนา้

แบบที่ 2 แบบรชั กาลท่ี 5 ผูช้ าย ผหู้ ญงิ นุ่งโจงกระเบน นงุ่ โจงกระเบน สวมเส้ือลกู ไม้ สไบพาดบ่าผูกเปน็ โบว์ สวมเสอื้ ราชประแตน ทงิ้ ชายไว้ข้างลาตวั ด้านซา้ ย ใสถ่ ุงเทา้ รอ้ งเท้า ใส่เคร่อื งประดับมุก

แบบท่ี 3 แบบสากลนยิ ม ผู้ชาย ผหู้ ญงิ นุ่งกางเกง สวมสทู น่งุ กระโปรงปา้ ยขา้ ง ผูกเนคไทด์ ยาวกรอมเทา้ ใส่เสือ้ คอกลม แขนกระบอก

แบบที่ 4 แบบราตรสี โมสร ผ้ชู าย ผู้หญิง สวมเสือ้ พระราชทาน นุง่ กระโปรงยาวจีบหนา้ นาง ใส่เสื้อจบั เดรป น่งุ กางเกง ชายผา้ ห้อยจากบ่าลงไป ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหนา้ ทางด้านหลงั เปดิ ไหลข่ วา ศีรษะทาผมเกลา้ เป็นมวยสูง ใส่เก้ียวและเครอื่ งประดับ

ผู้ประดิษฐ์ทา่ ราประกอบเพลงราวงมาตรฐาน หม่อมครตู ว่ น ครมู ลั ลี คงประภทั ร์ ครูลมลุ ยมคปุ ค์ (ครศู ภุ ลกั ษณ์ ภัทรนาวกิ )

ราวงมาตรฐาน 10 เพลง เพลงงามแสงเดอื น เพลงชาวไทย เพลงรามาซมิ ารา ทา่ สอดสรอ้ ยมาลา ทา่ ชกั แปง้ ผดั หนา้ ทา่ ราสา่ ย เพลงดวงจนั ทรว์ ันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญงิ ไทยใจงาม เพลงคืนเดอื นหงาย ทา่ แขกเตา้ เขา้ รัง ท่ารายวั่ ท่าพรหมสีห่ น้า และทา่ ยูงฟ้อนหาง ทา่ สอดสรอ้ ยมาลาแปลง และทา่ ผาลาเพียงไหล่ -------- เพลงดวงจันทร์ขวญั ฟา้ เพลงยอดชายใจหาญ เพลงบูชานักรบ ท่าชา้ งประสานงา หญิงทา่ ชะนีร่ายไม้ หญงิ ท่าขัดจางนาง และท่าจันทรท์ รงกลดแปลง ชายท่าจอ่ เพลงิ กลั ป์ และทา่ ล่อแก้ว ชายทา่ จนั ทรท์ รงกลดตา่ และท่าขอแก้ว

คารอ้ ง จมน่ื มานิตยน์ เรศ (นายเฉลิม เศวตนนั ท์) หัวหนา้ กองการสงั คีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร) ทานอง อาจารย์มนตรี ตราโมท งามแสงเดอื นมาเยือนส่องหลา้ งามใบหนา้ เมื่ออยวู่ งรา (ซา้ ) เราเลน่ เพ่ือสนุก เปล้อื งทกุ ขว์ ายระกา ขอให้เล่นฟ้อนรา เพอ่ื สามัคคีเอย ความหมาย ยามทีแ่ สงจนั ทรส์ ่องมายงั โลกทาใหโ้ ลกนดี้ สู วยงาม ผคู้ นที่มาเล่นราวงยามที่แสงจนั ทรส์ อ่ ง ก็มีความงดงามดว้ ย การราวงน้เี พือ่ ใหม้ คี วามสนกุ สนาน มีความสามคั คกี ัน และละทิ้งความทกุ ขใ์ ห้หมดสิ้นไป

ทา่ รา ชายและหญงิ ใช้ทา่ สอดสรอ้ ยมาลา

คารอ้ ง จมืน่ มานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หวั หนา้ กองการสังคตี กรมศลิ ปากร (ประพนั ธ์ในนามกรมศลิ ปากร) ทานอง อาจารย์มนตรี ตราโมท ชาวไทยเจา้ เอย ขออย่าละเลยในการทาหน้าท่ี การท่ีเราไดเ้ ล่นสนุก เปลอ้ื งทุกข์สบายอย่างนี้ เพราะชาตเิ ราได้เสรี มีเอกราชสมบรู ณ์ เราจึงควรช่วยชชู าติ ให้เก่งกาจเจดิ จารญู เพ่อื ความสขุ เพมิ่ พูน ของชาวไทยเราเอย ความหมาย หน้าที่ท่ีชาวไทยพึงมีตอ่ ประเทศชาตนิ ัน้ เปน็ ส่งิ ทีท่ ุกคนควรต้องทาอยา่ ไดล้ ะเลยไปเสยี ในการทเี่ ราไดม้ าเลน่ ราวงกันอยา่ งสนกุ สนานปราศจากทกุ ขโ์ ศกท้งั ปวงเชน่ นี้ เพราะประเทศ ไทยเรามเี อกราช ประชาชนมีเสรีภาพในการทจ่ี ะคดิ จะทาสงิ่ ใดๆ ดงั นัน้ เราจึงควรช่วยกันเชิด ชูชาตไิ ทยใหเ้ จรญิ รุ่งเรืองตอ่ ไป เพ่อื ความสนุกยงิ่ ๆ ขึ้นของไทยเรา

ทา่ รา ชายและหญงิ ใช้ท่าชักแป้งผัดหนา้

คารอ้ ง จม่ืนมานติ ย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์) หวั หนา้ กองการสังคีต กรมศลิ ปากร (ประพนั ธใ์ นนามกรมศิลปากร) ทานอง อาจารยม์ นตรี ตราโมท ราซิมารา เรงิ ระบากนั ใหส้ นกุ ยามงานเราทางานจรงิ จริง ไม่ละไมท่ ิ้งจะเกิดเข็ญทกุ ข์ ถงึ ยามว่างเราจงึ ราเล่น ตามเชิงเช่นเพอ่ื ให้สรา่ งทกุ ข์ ตามเยีย่ งอยา่ งตามยคุ เล่นสนกุ อย่างวฒั นธรรม เล่นอะไรให้มีระเบยี บ ให้งามให้เรยี บจึงจะคมขา มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้อนรา มาเล่นระบาของไทยเราเอย ความหมาย เปน็ การเชญิ ชวนใหม้ าร่วมเริงระบาราฟอ้ น หลงั จากว่างงาน เพราะในเวลางานเราตา่ งตั้งใจ กนั ทางานใหเ้ สรจ็ ลุลว่ งไปไดด้ ว้ ยดี เม่อื งานเสรจ็ สิน้ เราจงึ ควรผอ่ นคลายด้วยการฟอ้ นรา ซง่ึ มลี กั ษณะสวยงามตามแบบอยา่ งของวฒั นธรรมไทย

ทา่ รา ชายและหญิง ใช้ท่าราส่าย

คาร้อง จมืน่ มานิตยน์ เรศ (นายเฉลมิ เศวตนนั ท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศลิ ปากร (ประพันธ์ในนามกรมศลิ ปากร) ทานอง อาจารย์มนตรี ตราโมท ยามกลางเดอื นหงาย เยน็ พระพายโบกพริว้ ปลิวมา เยน็ อะไรกไ็ มเ่ ย็นจิต เท่าเย็นผูกมติ รไม่เบ่ือระอา เย็นรม่ ธงไทยโบกไปทั่วหลา้ เยน็ ยิ่งน้าฟา้ มาประพรมเอย ความหมาย เวลากลางคืนเป็นคนื เดอื นหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจแตก่ ็ยงั ไม่สบายใจเทา่ กับ การได้ผูกมิตรกบั ผู้อน่ื และทีร่ ม่ เย็นไปทั่วทกุ แหง่ ยง่ิ กว่านา้ ฝนทโ่ี ปรยลงมาก็คอื การท่ีประเทศเป็นประเทศเอกราช มธี งชาตไิ ทยเปน็ สัญลกั ษณ์ ทาให้รม่ เยน็ ทัว่ ไป

ท่ารา ชายและหญิง ใช้ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง

คารอ้ ง จม่ืนมานติ ยน์ เรศ (นายเฉลิม เศวตนนั ท์) หัวหนา้ กองการสงั คีต กรมศลิ ปากร (ประพนั ธใ์ นนามกรมศลิ ปากร) ทานอง อาจารยม์ นตรี ตราโมท ดวงจันทร์วันเพ็ญ ลอยเดน่ อยใู่ นนภา ทรงกลดสดสี รัศมีทอแสงงามตา แสงจันทร์อร่าม ฉายงามส่องฟ้า ไม่งามเท่าหนา้ นวลน้องยองใย งามเอยแสนงาม งามจรงิ ยอดหญงิ ชาติไทย งามวงพกั ตร์ยง่ิ ดวงจันทรา จรติ กิริยานม่ิ นวลละไม วาจากงั วาน ออ่ นหวานจับใจ รูปทรงสมส่วน ยว่ั ยวนหทยั สมเป็นดอกไม้ ขวญั ใจชาตเิ อย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook