ตวั ชี้วัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พันธ์ระหวา่ งส่งิ ไม่มชี ีวติ กบั สิง่ มชี ีวิต และ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสิ่มชี วี ติ กับสงิ่ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถา่ ยทอดพลงั งาน การเปลีย่ นแปลงแทนที่ ในระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม แนวทางในการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มรวมท้ังนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ขอ้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้ 1. 1. อธิบายปฏสิ ัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบของระบบ ระบบนเิ วศประกอบด้วยองค์ประกอบ นิเวศทไี่ ดจ้ ากการสารวจ ที่มีชีวติ เช่น พชื สตั ว์ จลุ ินทรยี ์ และองคป์ ระกอบที่ไม่มชี วี ิต เชน่ แสง น้า อณุ หภูมิ แร่ธาตุ แกส๊ องค์ประกอบเหลา่ นม้ี ีปฏิสัมพันธก์ นั เชน่ พืชต้องการแสง นา้ และแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์ การสร้าง อาหาร สัตว์ต้องการอาหาร และ สภาพแวดลอ้ มทเ่ี หมาะสมในการ ดารงชีวิต เชน่ อุณหภูมิ ความชน้ื องคป์ ระกอบทงั้ สองส่วนนี้ จะต้องมี ความสมั พนั ธก์ ันอยา่ งเหมาะสมระบบ นิเวศจึงจะสามารถคงอยตู่ ่อไปได้ 2 ๒. อธิบายรูปแบบความสมั พันธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ิต กับ • ส่ิงมชี ีวิตกับส่ิงมีชีวิตมีความสมั พันธ์ ส่งิ มีชวี ติ รปู แบบต่างๆในแหล่งทีอ่ ย่เู ดยี วกนั ทไี่ ด้จากการ กันในรปู แบบ ต่าง ๆ เช่น ภาวะพงึ่ พา สารวจ กัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะเหยื่อกับผลู้ ่า ภาวะปรสิต • ส่งิ มีชีวติ ชนิดเดยี วกนั ทอ่ี าศัยอยู่ รว่ มกันใน แหล่งที่อย่เู ดยี วกนั ในช่วง เวลาเดียวกัน เรยี กวา่ ประชากร • กลุม่ สงิ่ มชี วี ิตประกอบดว้ ยประชากร ของสิง่ มชี ีวติ หลาย ๆ ชนดิ อาศัยอยู่ ร่วมกนั ในแหล่งท่ีอยู่ เดยี วกนั
3 ๓. สรา้ งแบบจาลองในการอธิบายการถา่ ยทอด พลังงานใน • กล่มุ สิ่งมีชวี ติ ในระบบนเิ วศแบง่ ตาม สายใยอาหาร หน้าท่ไี ด้เปน็ ๓ กลุ่ม ได้แก่ผูผ้ ลิต ๔. อธบิ ายความสัมพันธข์ องผู้ผลิต ผู้บริโภค และ ผู้ยอ่ ย ผู้บรโิ ภค และผ้ยู อ่ ยสลาย สารอินทรยี ์ สลายสารอินทรียใ์ นระบบนิเวศ สิ่งมีชวี ติ ทั้ง ๓ กลุ่มน้ีมคี วาม สัมพนั ธ์ ๕. อธิบายการสะสมสารพิษในส่ิงมชี ีวติ ในโซ่อาหาร กนั ผู้ผลิตเป็นสงิ่ มชี วี ิตที่สร้างอาหาร ๖. ตระหนกั ถงึ ความสมั พันธ์ของสง่ิ มชี ีวิต และ สง่ิ แวดล้อม ไดเ้ อง โดยกระบวนการสงั เคราะห์ ในระบบนิเวศ โดยไมท่ าลายสมดลุ ของระบบนิเวศ ดว้ ยแสง ผูบ้ ริโภค เป็นสงิ่ มีชวี ติ ทไี่ ม่ สามารถสร้างอาหาร ไดเ้ อง และต้อง กนิ ผู้ผลิตหรอื สิง่ มีชวี ติ อืน่ เปน็ อาหาร เมอื่ ผูผ้ ลิตและผบู้ รโิ ภคตายลง จะถกู ย่อยโดยผู้ยอ่ ยสลายสารอนิ ทรียซ์ ง่ึ จะ เปลีย่ น สารอนิ ทรยี เ์ ป็นสารอนนิ ทรีย์ กลับคนื สู่ ส่ิงแวดลอ้ ม ทาใหเ้ กิดการ หมนุ เวียนสารเปน็ วฏั จักร จานวน ผผู้ ลติ ผบู้ รโิ ภคและผ้ยู อ่ ยสลาย สารอนิ ทรยี ์ จะต้องมีความเหมาะสม จงึ ทาให้กลุ่มส่ิงมชี วี ติ อยไู่ ด้อย่าง สมดุล • พลังงานถูกถา่ ยทอดดจากผู้ผลิตไป ยงั ผูบ้ ริโภค ลาดับต่าง ๆ รวมทง้ั ผู้ยอ่ ย สลายสารอนิ ทรยี ์ ในรปู แบบสายใย อาหาร ที่ประกอบดว้ ยโซ่อาหาร หลายโซท่ ี่สมั พันธก์ ัน ในการถ่ายทอด พลงั งานใน โซอ่ าหาร พลงั งานท่ีถกู ถา่ ยทอดไปจะลดลง เรอ่ื ย ๆ ตามลาดับของการบริโภค • การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ อาจทาให้ มสี ารพิษสะสมอยใู่ น ส่งิ มีชวี ติ ไดจ้ นอาจก่อใหเ้ กดิ อนั ตราย ต่อส่งิ มีชวี ิต และทาลายสมดุลใน ระบบนิเวศ ดงั นั้นการดูแลรักษา ระบบนิเวศ ใหเ้ กิดความสมดุล และ คงอยู่ตลอดไปจึงเป็น สง่ิ สาคญั สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคญั ของการถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรม สาร พันธกุ รรม การเปลยี่ นแปลงทางพันธกุ รรมท่มี ผี ลต่อสง่ิ มชี วี ติ ความหลากหลาย ทางชวี ภาพและ ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี วี ิต รวมท้งั นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4 ๑. อธิบายความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ยนี ดเี อ็นเอ และ • ลักษณะทางพนั ธกุ รรมของสิ่งมีชวี ติ
โครโมโซม โดยใชแ้ บบจาลอง สามารถ ถ่ายทอดจากรุน่ หนึ่งไปยงั อีก รุน่ หนง่ึ ไดโ้ ดยมยี นี เป็นหน่วยควบคุม ลกั ษณะทางพันธุกรรม • โครโมโซม ประกอบดว้ ย ดีเอน็ เอ และโปรตนี ขด อยู่ในนิวเคลยี ส ยีน ดีเอ็นเอ และ โครโมโซม มีความสัมพนั ธ์กัน โดย บางสว่ นของดีเอน็ เอ ทาหนา้ ที่เป็นยีน ท่ีกาหนดลกั ษณะของสง่ิ มีชวี ิต • สิ่งมชี ีวติ ที่มโี ครโมโซม ๒ ชดุ โครโมโซมที่เป็นคกู่ ัน มีการเรียงลาดบั ของยนี บนโครโมโซมเหมือนกัน เรยี กวา่ ฮอมอโลกสั โครโมโซม ยนี หน่งึ ทอ่ี ยู่ บนคู่ฮอมอโลกสั โครโมโซม อาจมรี ปู แบบ แตกต่างกนั เรียกแต่ละ รปู แบบของยนี ทต่ี า่ งกนั นว้ี า่ แอลลลี ซง่ึ การเข้าคกู่ นั ของแอลลีลต่าง ๆ อาจ สง่ ผลทาใหส้ งิ่ มชี ีวิตมีลักษณะท่ี แตกต่างกนั ได • สง่ิ มีชวี ิตแต่ละชนิดมจี านวน โครโมโซมคงที่ มนุษย์ มจี านวน โครโมโซม ๒๓ คู่ เปน็ ออโตโซม ๒๒ คู่ และ โครโมโซมเพศ ๑ คู่ เพศหญงิ มี โครโมโซมเพศ เปน็ XX เพศชายมี โครโมโซมเพศเปน็ XY 5 ๒. อธิบายการถา่ ยทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมจาก การ • เมนเดลไดศ้ ึกษาการถ่ายทอด ผสมโดยพิจารณาลักษณะเดยี วที่แอลลลี เด่น ขม่ แอลลี ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ของต้นถวั่ ลดอ้ ยอยา่ งสมบรู ณ์ ชนิดหนึง่ และนามาสูห่ ลักการพื้นฐาน ๓. อธิบายการเกิดจโี นไทป์และฟโี นไทป์ของลกู และ ของการถา่ ยทอดลักษณะทาง 6 คานวณอัตราส่วนการเกิดจโี นไทป์ และฟีโนไทป์ของรุ่นลูก พนั ธกุ รรมของ ส่ิงมีชีวิต • สง่ิ มีชีวติ ทมี่ โี ครโมโซมเป็น ๒ ชุด ยนี แตล่ ะ ตาแหน่งบน ฮอมอโลกัสโครโมโซมมี๒ แอลลลี โดย แอลลีลหน่งึ มาจากพ่อ และอีกแอล ลลี มาจาก แมซ่ ง่ึ อาจมีรูปแบบ เดยี วกนั หรือแตกตา่ งกนั แอลลลี ที่ แตกตา่ งกนั นแ้ี อลลลี หน่ึงอาจมกี าร แสดงออกข่มอีกแอลลีลหน่ึงได้เรยี ก แอลลีลน้ันว่า เปน็ แอลลีลเดน่ สว่ น
แอลลลี ที่ถกู ขม่ อย่างสมบรู ณ์ เรียกวา่ เปน็ แอลลีลด้อย • เมอื่ มกี ารสรา้ งเซลล์สบื พันธุ์แอลลีล ทเี่ ปน็ คู่กัน ในแตล่ ะฮอมอโลกัส โครโมโซมจะแยกจากกนั ไปสู่เซลล์ สบื พันธ์แุ ต่ละเซลลโ์ ดยแต่ละเซลล์ สบื พันธุ์ จะไดร้ บั เพยี ง ๑ แอลลีลและ จะมาเข้าคกู่ ับ แอลลีลที่ตาแหนง่ เดยี วกันของอีกเซลล์สบื พนั ธุ์หน่ึง เมอื่ เกดิ การปฏสิ นธจิ นเกดิ เป็นจีโนไทป์ และ แสดงฟโี นไทป์ในรนุ่ ลูก 7 ๔. อธบิ ายความแตกตา่ งของการแบ่งเซลล์แบบ ไมโทซสิ • กระบวนการแบ่งเซลลข์ องสิ่งมีชวี ิต และไมโอซสิ ม๒ี แบบ คอื ไมโทซสิ และไมโอซิส • ไมโทซสิ เป็นการแบ่งเซลลเ์ พ่ือเพม่ิ จานวนเซลล์ รา่ งกาย ผลจากการแบง่ จะได้เซลลใ์ หม่ ๒ เซลล์ ทมี่ ีลักษณะ และจานวนโครโมโซมเหมอื นเซลล์ต้ัง ตน้ • ไมโอซสิ เป็นการแบง่ เซลลเ์ พื่อสร้าง เซลลส์ บื พนั ธ์ุ ผลจากการแบง่ จะได้ เซลล์ใหม่ ๔ เซลล์ทม่ี ี จานวน โครโมโซมเป็นครึ่งหน่งึ ของเซลลต์ ัง้ ต้น เมอ่ื เกิดการปฏสิ นธขิ องเซลล์สบื พนั ธ์ุ ลูกจะได้รับ การถา่ ยทอดโครโมโซม ชุดหนึ่งจากพ่อและอีก ชดุ หนึ่งจากแม่ จงึ เปน็ ผลให้รุ่นลกู มจี านวน โครโมโซม ๕. บอกได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของยีนหรือโครโมโซม อาจ เท่ากับรนุ่ พอ่ แม่และจะคงทใ่ี นทุกๆรุน่ 8 ทาให้เกดิ โรคทางพนั ธกุ รรม พร้อมทง้ั ยกตัวอย่างโรคทาง • การเปลีย่ นแปลงของยนี หรือ พนั ธกุ รรม โครโมโซม ส่งผลให้ เกดิ การ เปลย่ี นแปลงลกั ษณะทางพนั ธุกรรม ของ สิ่งมชี ีวิต เช่น โรคธาลัสซเี มยี เกดิ จากการ เปลยี่ นแปลงของยนี กลุม่ ๖. ตระหนกั ถงึ ประโยชนข์ องความรู้เรอื่ งโรคทาง พันธุกรรม อาการดาวน์เกิดจากการ 9 โดยรู้ว่ากอ่ นแต่งงานควรปรึกษาแพทย์ เพอ่ื ตรวจและ เปลี่ยนแปลงจานวนโครโมโซม วนิ ิจฉยั ภาวะเสย่ี งของลูกทอี่ าจ เกิดโรคทางพันธุกรรม • โรคทางพนั ธุกรรมสามารถถ่ายทอด ๗. อธบิ ายการใชป้ ระโยชนจ์ ากสง่ิ มีชวี ติ ดัดแปร พันธกุ รรม จากพ่อแม่ไปสู่ ลกู ได้ดงั น้นั ก่อน และผลกระทบที่อาจมตี ่อมนุษย์ และสง่ิ แวดลอ้ ม โดยใช้ แต่งงานและมีบุตรจึงควรปอ้ งกนั โดย 10 ข้อมูลทรี่ วบรวมได้ การตรวจและวินจิ ฉยั ภาวะเสี่ยงจาก
๘. ตระหนักถึงประโยชนแ์ ละผลกระทบของสิง่ มชี วี ติ ดดั การ ถา่ ยทอดโรคทางพนั ธุกรรม แปรพันธุกรรมที่อาจมตี อ่ มนุษย์และส่ิงแวดล้อม โดยการ เผยแพรค่ วามรู้ท่ไี ดจ้ ากการโต้แย้งทาง วทิ ยาศาสตร์ซง่ึ มี • มนษุ ย์เปลี่ยนแปลงพันธกุ รรมของ ขอ้ มลู สนับสนนุ สิ่งมชี วี ติ ตาม ธรรมชาติเพือ่ ใหไ้ ด้ 11 สิ่งมชี ีวติ ที่มลี กั ษณะตาม ต้องการ เรยี กสงิ่ มีชีวิตนีว้ ่าส่ิงมชี ีวิตดดั แปร พนั ธกุ รรม • ในปจั จบุ นั มนษุ ยม์ ีการใชป้ ระโยชน์ จากสิ่งมชี ีวิต ดัดแปรพนั ธกุ รรมเปน็ จานวนมาก เชน่ การผลิต อาหารการ ผลติ ยารักษาโรคการเกษตรอยา่ งไรกด็ ี สังคมยงั มีความกังวลเกีย่ วกบั ผลกระทบของ ส่ิงมชี วี ติ ดดั แปร พันธกุ รรมท่ีมตี อ่ ส่ิงมชี ีวิตและ สิ่งแวดล้อม ซ่ึงยังทาการติดตามศกึ ษา ผลกระทบ ดังกลา่ ว 12 ๙. เปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพ ในระดับชนดิ • ความหลากหลายทางชีวภาพ มี๓ สง่ิ มีชวี ิตในระบบนเิ วศต่าง ๆ ระดับ ไดแ้ ก่ ความหลากหลายของ ๑๐. อธบิ ายความสาคญั ของความหลากหลายทาง ชวี ภาพ ระบบนิเวศ ความหลาก หลายของ 13 ท่มี ีต่อการรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ และต่อมนษุ ย์ ชนิดสงิ่ มชี วี ิต และความหลากหลาย ๑๑. แสดงความตระหนกั ในคุณค่าและความสาคัญ ของ ทางพนั ธกุ รรม ความหลากหลายทาง ความหลากหลายทางชวี ภาพ โดยมีสว่ นรว่ ม ในการดูแล ชีวภาพนีม้ ี ความสาคัญต่อการรกั ษา 14 รกั ษาความหลากหลายทางชีวภาพ สมดุลของระบบนเิ วศ ระบบนิเวศที่มี ความหลากหลายทางชวี ภาพสูง จะ รกั ษาสมดลุ ไดด้ ีกวา่ ระบบนเิ วศท่มี ี ความ หลากหลายทางชวี ภาพตา่ กว่า นอกจากนี้ ความหลากหลายทาง ชวี ภาพยงั มคี วามสาคญั ตอ่ มนษุ ยใ์ น ดา้ นต่าง ๆ เช่น ใชเ้ ป็นอาหาร ยา รักษาโรค วตั ถุดบิ ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดงั นั้น จึงเปน็ หนา้ ท่ีของทุกคนใน การดแู ลรกั ษา ความหลากหลายทาง ชีวภาพให้คงอยู่ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธ์ระหว่างสมบตั ิ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งอนุภาค หลักและ ธรรมชาติ ของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคม 15 ๑. ระบุสมบัติทางกายภาพและการใช้ประโยชน์ วัสดุ • พอลิเมอรเ์ ซรามิก และวัสดุผสม ประเภทพอลิเมอรเ์ ซรามิก และวัสดุผสม โดยใช้หลักฐาน เป็นวัสดทุ ใ่ี ช้ มากในชวี ติ ประจาวัน
เชิงประจักษ์และสารสนเทศ • พอลเิ มอรเ์ ป็นสารประกอบโมเลกุล ๒. ตระหนักถงึ คุณค่าของการใชว้ ัสดุประเภท พอลิเมอร์ ใหญ่ ทีเ่ กดิ จากโมเลกลุ จานวนมาก เซรามิก และวัสดผุ สม โดยเสนอแนะ แนวทางการใชว้ สั ดุ รวมตวั กันทางเคมี เช่น พลาสตกิ ยาง 16 อยา่ งประหยดั และคุม้ ค่า เสน้ ใยซึง่ เปน็ พอลิเมอร์ทม่ี ี สมบัติ แตกตา่ งกัน โดยพลาสติกเป็นพอลิ เมอร์ท่ี ขนึ้ รปู เปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้ ยางยดื หยนุ่ ได้ ส่วนเส้นใยเป็นพอลิ เมอรท์ ่ีสามารถดึงเปน็ เส้นยาวได้ พอลิ เมอร์จงึ ใชป้ ระโยชน์ได้แตกต่างกัน • เซรามกิ เปน็ วัสดทุ ผ่ี ลิตจาก ดนิ หนิ ทราย และ แรธ่ าตุต่าง ๆ จาก ธรรมชาติและส่วนมากจะผา่ น การ เผาท่ีอุณหภูมิสงู เพ่อื ให้ได้เนื้อสารที่ แข็งแรง เซรามกิ สามารถทาเปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ไดส้ มบัติ ทว่ั ไปของ เซรามิกจะแข็ง ทนตอ่ การสึกกรอ่ น และเปราะ สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ ไดเ้ ชน่ ภาชนะทเ่ี ปน็ เคร่ืองป้ันดนิ เผา ชน้ิ ส่วนอิเลก็ ทรอนิกส์ • วัสดผุ สมเป็นวัสดทุ ี่เกดิ จากวัสดุ ตั้งแต่ ๒ ประเภท ท่ีมีสมบตั แิ ตกต่าง กันมารวมตวั กนั เพ่ือนาไปใช้ ประโยชนไ์ ด้มากขน้ึ เช่น เส้ือกันฝน บางชนดิ เป็นวสั ดผุ สมระหว่างผา้ กับ ยางคอนกรีตเสรมิ เหล็ก เป็นวสั ดุผสม ระหว่างคอนกรีตกบั เหล็ก • วสั ดุบางชนดิ สลายตวั ยาก เช่น พลาสตกิ การใช้ วสั ดุอยา่ งฟุ่มเฟือย และไม่ระมัดระวงั อาจก่อ ปญั หาต่อ สง่ิ แวดล้อม 17 ๓. อธบิ ายการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีรวมถึงการจัด เรยี งตัวใหม่ • การเกิดปฏิกิรยิ าเคมีหรอื การ ของอะตอมเม่อื เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี โดยใชแ้ บบจาลองและ เปลย่ี นแปลงทาง เคมขี องสาร เป็น สมการข้อความ การเปลย่ี นแปลงที่ทาใหเ้ กิด สารใหม่ โดยสารที่เข้าทาปฏกิ ริ ิยาเรยี กว่าสาร ตัง้ ตน้ สารใหมท่ ่เี กิดข้ึนจากปฏกิ ิรยิ า เรียกวา่ ผลติ ภณั ฑ์ การเกดิ ปฏิกิรยิ า เคมีสามารถเขยี นแทนได้ดว้ ย สมการ ขอ้ ความ
• การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมอี ะตอมของ สารตงั้ ต้นจะมี การจัดเรียงตวั ใหม่ ได้ เปน็ ผลิตภัณฑซ์ ึง่ มีสมบัติ แตกตา่ งจาก สารตัง้ ต้น โดยอะตอมแตล่ ะชนิด ก่อน และหลังเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีมจี านวน เท่ากนั 18 ๔. อธบิ ายกฎทรงมวล โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ • เมอ่ื เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีมวลรวมของ สารตง้ั ตน้ เทา่ กบั มวลรวมของ ผลิตภัณฑซ์ ึ่งเป็นไปตาม กฎทรงมวล 19 ๕. วิเคราะหป์ ฏิกิริยาดูดความร้อน และปฏกิ ริ ยิ า คายความ • เมื่อเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมีมกี ารถ่ายโอน รอ้ น จากการเปล่ียนแปลงพลังงาน ความร้อนของปฏิกริ ยิ า ความร้อน ควบคูไ่ ปกบั การจัดเรียงตัว ใหมข่ องอะตอมของสาร ปฏิกริ ิยาท่มี ี การถา่ ยโอนความร้อนจากสง่ิ แวดล้อม เขา้ ส่รู ะบบเป็นปฏิกริ ยิ าดดู ความรอ้ น ปฏกิ ริ ิยา ทม่ี ีการถ่ายโอนความร้อน จากระบบออกสู่ สิ่งแวดลอ้ มเป็น ปฏิกริ ยิ าคายความร้อน โดยใช้ เครอื่ งมือที่เหมาะสมในการวัด อณุ หภูมิเชน่ เทอร์มอมิเตอรห์ ัววดั ที่ สามารถตรวจสอบ การเปลย่ี นแปลง ของอุณหภมู ิได้อย่างต่อเนื่อง 20 ๖. อธิบายปฏกิ ริ ิยาการเกิดสนมิ ของเหล็ก ปฏกิ ริ ยิ า ของ • ปฏกิ ริ ยิ าเคมที ่ีพบในชวี ติ ประจาวนั มี กรดกับโลหะ ปฏกิ ริ ิยาของกรดกบั เบส และ ปฏิกิรยิ าของ หลายชนดิ เช่น ปฏิกริ ิยาการเผาไหม้ เบสกับโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์และอธบิ าย การเกิดสนิมของเหล็ก ปฏิกิริยาของ ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหม้ การเกิดฝนกรด การสังเคราะห์ดว้ ย กรดกับโลหะ ปฏิกริ ยิ าของกรดกบั แสง โดยใช้ สารสนเทศ รวมท้ังเขยี นสมการข้อความแสดง เบส ปฏิกิรยิ าของเบสกับโลหะ การ ปฏิกิรยิ าดังกล่าว เกดิ ฝนกรด การสังเคราะห์ด้วยแสง ปฏิกิริยาเคมีสามารถ เขยี นแทนได้ ด้วยสมการขอ้ ความ ซ่ึงแสดงชอื่ ของ สารตั้งต้นและผลติ ภัณฑเ์ ชน่ เชอื้ เพลิง + ออกซิเจน → คาร์บอนไดออกไซด+์ น้า ปฏกิ ิรยิ า การเผาไหม้เป็นปฏิกริ ิยาระหวา่ งสาร กบั ออกซิเจน สารที่เกดิ ปฏิกิรยิ าการ เผาไหม้ ส่วนใหญ่เปน็ สารประกอบท่ีมี คารบ์ อนและ ไฮโดรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ ซึ่งถา้ เกิดการเผาไหม้ อยา่ งสมบูรณจ์ ะไดผ้ ลติ ภัณฑ์เปน็
คารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ • การเกดิ สนิมของเหล็ก เกิดจากปฏกิ ิริยาเคมี ระหว่างเหล็ก น้า และออกซิเจน ได้ ผลิตภัณฑ์ เปน็ สนมิ ของเหลก็ • ปฏิกิริยาการเผาไหมแ้ ละการเกิดสนิม ของเหล็ก เป็นปฏกิ ิรยิ าระหว่างสาร ต่าง ๆ กับออกซิเจน • ปฏิกิริยาของ กรดกับโลหะกรดทาปฏิกริ ิยากบั โลหะไดห้ ลายชนิด ได้ผลิตภณั ฑ์เป็น เกลือของ โลหะและแก๊สไฮโดรเจน • ปฏกิ ริ ิยาของกรดกบั สารประกอบ คารบ์ อเนต ไดผ้ ลติ ภณั ฑ์เปน็ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ เกลอื ของโลหะ และนา้ • ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับเบส ได้ ผลิตภณั ฑ์เป็นเกลือ ของโลหะและน้า หรืออาจไดเ้ พียงเกลือของโลหะ • ปฏิกิริยาของเบสกับโลหะบางชนิด ได้ ผลิตภณั ฑ์ เปน็ เกลอื ของเบสและแกส๊ ไฮโดรเจน • การเกดิ ฝนกรด เป็นผล จากปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ ง น้าฝนกับ ออกไซด์ของไนโตรเจน หรือออกไซด์ ของซัลเฟอร์ทาใหน้ า้ ฝนมสี มบัติเปน็ กรด • การสงั เคราะห์ด้วยแสงของพชื เป็นปฏิกิริยา ระหว่างแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์กบั น้า โดยมี แสง ชว่ ยในการเกดิ ปฏิกิรยิ า ไดผ้ ลิตภณั ฑ์ เป็น น้าตาลกลูโคสและออกซิเจน 21 ๗. ระบปุ ระโยชน์และโทษของปฏกิ ิริยาเคมี ทม่ี ีต่อส่งิ มชี วี ิต • ปฏิกิรยิ าเคมที ี่พบในชีวติ ประจาวนั มี และสิ่งแวดล้อม และยกตัวอย่าง วธิ กี ารปอ้ งกันและ ท้ังประโยชน์ และโทษต่อส่ิงมีชีวติ และ แกป้ ัญหาทเี่ กิดจากปฏิกริ ยิ าเคมี ท่ีพบในชีวติ ประจาวัน สิง่ แวดล้อม จงึ ต้อง ระมดั ระวังผลจาก จากการสบื ค้นข้อมูล ปฏิกริ ยิ าเคมีตลอดจนรู้จักวธิ ี ป้องกนั ๘. ออกแบบวิธีแก้ปญั หาในชีวิตประจาวัน โดยใช้ ความรู้ และแก้ปัญหาที่เกดิ จากปฏิกิรยิ าเคมีที่ 22 เกยี่ วกับปฏิกริ ยิ าเคมี โดยบูรณาการวทิ ยาศาสตร์ พบ ในชวี ติ ประจาวนั คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยแี ละวศิ วกรรมศาสตร์ • ความรู้เกย่ี วกบั ปฏกิ ิริยาเคมีสามารถ นาไปใช้ ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวัน และสามารถบูรณาการ กบั คณติ ศาสตร์เทคโนโลยแี ละ วิศวกรรมศาสตร์ เพอื่ ใชป้ รับปรุง
ผลติ ภัณฑใ์ ห้มีคุณภาพ ตามต้องการ หรืออาจสรา้ งนวตั กรรมเพ่ือป้องกนั และแก้ปัญหาท่ีเกดิ ขึน้ จากปฏกิ ิรยิ า เคมีโดยใช้ ความรูเ้ ก่ียวกับปฏิกริ ิยา เคมีเชน่ การเปลย่ี นแปลง พลังงาน ความร้อนอนั เนอื่ งมาจากปฏิกิรยิ าเคมี การเพ่ิมปรมิ าณผลผลติ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๓ เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปลยี่ นแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธร์ ะหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวติ ประจาวัน ธรรมชาติ ของคล่นื ปรากฏการณ์ที่ เกย่ี วข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า รวมท้ังนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์ 23 ๑. วิเคราะห์ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความต่างศักย์ • เม่ือตอ่ วงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมี กระแสไฟฟ้า และความต้านทาน และคานวณ ปรมิ าณท่ี กระแสไฟฟ้า ออกจากข้วั บวกผ่าน เกีย่ วขอ้ งโดยใช้สมการ V = IR จากหลักฐานเชิงประจักษ์ วงจรไฟฟ้าไปยงั ขัว้ ลบของ ๒. เขียนกราฟความสัมพนั ธ์ระหวา่ งกระแสไฟฟ้า และความ แหลง่ กาเนดิ ไฟฟ้า ซง่ึ วดั ค่าได้จาก ตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า แอมมเิ ตอร์ • คา่ ท่ีบอกความแตกต่างของพลังงาน ๓. ใชโ้ วลต์มิเตอร์แอมมิเตอรใ์ นการวดั ปริมาณทาง ไฟฟ้า ไฟฟา้ ต่อหน่วย ประจรุ ะหว่างจดุ ๒ จุด เรียกว่า ความต่างศักย์ ซง่ึ วดั คา่ ได้ จากโวลต์มิเตอร์ • ขนาดของกระแสไฟฟา้ มีคา่ แปรผัน ตรงกับ ความตา่ งศักยร์ ะหว่างปลาย ทั้งสองของตัวนา โดยอัตราสว่ น ระหวา่ งความต่างศักย์และ กระแสไฟฟ้า มคี ่าคงท่ี เรียกค่าคงท่นี ้ี ว่า ความตา้ นทาน 24 ๔. วิเคราะห์ความต่างศักย์ไฟฟา้ และกระแสไฟฟ้า ใน • ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วย วงจรไฟฟ้าเมื่อต่อตวั ตา้ นทานหลายตัว แบบอนุกรมและ แหลง่ กาเนดิ ไฟฟา้ สายไฟฟ้า และ แบบขนานจากหลักฐาน เชิงประจกั ษ์ อปุ กรณ์ไฟฟา้ โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า แต่ ละชน้ิ มคี วามตา้ นทาน ในการตอ่ ตวั ๕. เขยี นแผนภาพวงจรไฟฟา้ แสดงการต่อตัวตา้ นทาน แบบ ตา้ นทาน หลายตัว มที ั้งตอ่ แบบ อนกุ รมและขนาน อนุกรมและแบบขนาน • การตอ่ ตัวต้านทานหลายตวั แบบ อนุกรมใน วงจรไฟฟา้ ความต่างศักย์ ทีค่ ร่อมตวั ต้านทาน แต่ละตัวมคี ่า เทา่ กบั ผลรวมของความต่างศักย์ ท่ี คร่อมตวั ตา้ นทานแต่ละตวั โดย กระแสไฟฟ้า ที่ผา่ นตวั ต้านทานแตล่ ะ
ตวั มคี ่าเท่ากัน 25 ๖. บรรยายการทางานของช้นิ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างงา่ ย • การตอ่ ตัวต้านทานหลายตัวแบบ ในวงจรจากข้อมูลทร่ี วบรวมได้ ขนานใน วงจรไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าที่ ๗. เขยี นแผนภาพและต่อชิน้ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อย่างง่าย ผ่านวงจรมีค่าเท่ากับผลรวม ของ ในวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าท่ีผ่านตวั ต้านทานแต่ละ ตวั โดยความต่างศักย์ทค่ี ร่อมตัว ต้านทานแต่ละตัว มีค่าเท่ากนั • ชน้ิ ส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์มหี ลายชนดิ เชน่ ตวั ตา้ นทาน ไดโอด ทรานซิสเตอร์ตัวเกบ็ ประจุโดยช้นิ ส่วน แต่ละชนดิ ทาหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกันเพื่อให้ วงจร ทางานได้ตามต้องการ • ตัวต้านทานทาหนา้ ที่ควบคุมปรมิ าณ กระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ ไดโอดทา หนา้ ท่ีใหก้ ระแสไฟฟ้า ผ่านทางเดยี ว ทรานซิสเตอรท์ าหนา้ ทเี่ ปน็ สวิตช์ ปิด หรอื เปดิ วงจรไฟฟา้ และควบคุม ปรมิ าณ กระแสไฟฟา้ ตัวเกบ็ ประจุทา หน้าที่เกบ็ และ คายประจไุ ฟฟ้า • เครื่องใช้ไฟฟ้าอยา่ งง่าย ประกอบด้วยชนิ้ สว่ น อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หลายชนิดท่ที างานร่วมกนั การตอ่ วงจรอเิ ล็กทรอนิกสโ์ ดยเลอื กใช้ ช้ินสว่ น อเิ ล็กทรอนิกสท์ ่ีเหมาะสม ตามหนา้ ทีข่ องชน้ิ สว่ น นนั้ ๆ จะ สามารถทาใหว้ งจรไฟฟ้าทางานได้ ตาม ตอ้ งการ 26 ๘. อธบิ ายและคานวณพลงั งานไฟฟา้ โดยใชส้ มการ • เคร่ืองใช้ไฟฟ้าจะมคี า่ กาลงั ไฟฟา้ W = Pt รวมทงั้ คานวณคา่ ไฟฟา้ ของเคร่ืองใช้ ไฟฟา้ ในบ้าน และความต่างศักย์ กากับไว้ กาลังไฟฟา้ มีหนว่ ยเป็นวตั ตค์ วามตา่ ง ศักย์ มีหน่วยเป็นโวลตค์ ่าไฟฟ้าส่วน ใหญค่ ดิ จาก พลงั งานไฟฟ้าท่ีใช้ ทง้ั หมด ซงึ่ หาไดจ้ ากผลคูณ ของ กาลังไฟฟ้า ในหนว่ ยกโิ ลวตั ตก์ บั เวลา ใน หน่วยชัว่ โมง พลงั งานไฟฟ้ามี ๙. ตระหนักในคณุ ค่าของการเลือกใชเ้ ครื่องใชไ้ ฟฟ้า โดย หนว่ ยเปน็ กโิ ลวัตต์ชัว่ โมง หรือหนว่ ย 27 นาเสนอวิธกี ารใช้เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ อย่างประหยัดและ • วงจรไฟฟ้าในบา้ นมีการต่อ ปลอดภัย เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าแบบ ขนานเพื่อให้
ความตา่ งศักย์เท่ากนั การใช้เครื่องใช้ ไฟฟา้ ในชีวิตประจาวนั ต้องเลือกใช้ เครอื่ งใช้ไฟฟ้า ที่มีความตา่ งศักย์และ กาลังไฟฟ้าใหเ้ หมาะกับ การใช้งาน และการใชเ้ ครอื่ งใช้ไฟฟ้าและอปุ กรณ์ ไฟฟ้าต้องใช้อยา่ งถูกตอ้ ง ปลอดภัย และประหยดั 28 ๑๐. สรา้ งแบบจาลองทอ่ี ธิบายการเกดิ คลืน่ และบรรยาย • คลืน่ เกิดจากการสง่ ผ่านพลงั งานโดย ส่วนประกอบของคลน่ื อาศัยตัวกลาง และไม่อาศยั ตัวกลาง ในคลน่ื กล พลังงานจะถูก ถ่ายโอน ผา่ นตัวกลางโดยอนุภาคของตัวกลาง ไม่เคลื่อนที่ไปกบั คล่ืน คล่นื ที่แผ่ ออกมาจาก แหลง่ กาเนิดคล่ืนอย่าง ต่อเน่ืองและมรี ปู แบบ ท่ซี ้ากัน บรรยายไดด้ ว้ ยความยาวคลื่น ความถ่ี แอมพลจิ ดู 29 ๑๑. อธิบายคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้าและสเปกตรัม คลน่ื • คล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้าเปน็ คลน่ื ทีไ่ ม่ แมเ่ หล็กไฟฟา้ จากข้อมลู ที่รวบรวมได้ อาศยั ตัวกลาง ในการเคลื่อนท่ี มี ๑๒. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์และอนั ตรายจาก คล่ืน ความถีต่ ่อเน่ืองเปน็ ช่วงกว้างมาก แม่เหลก็ ไฟฟา้ โดยนาเสนอการใช้ ประโยชน์ในดา้ นต่าง ๆ เคลือ่ นท่ใี นสญุ ญากาศดว้ ยอัตราเร็ว 30 และอันตรายจาก คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ ในชีวติ ประจาวัน เทา่ กนั แตจ่ ะเคล่ือนท่ดี ้วยอัตราเร็ว ตา่ งกันในตัวกลางอ่นื คลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าแบ่งออกเป็นช่วง ความถ่ีตา่ งๆ เรียกว่า สเปกตรัมของ คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟ้า แตล่ ะ ชว่ งความถ่ี มชี ่อื เรยี กต่างกนั ได้แก่คลื่นวทิ ยุ ไมโครเวฟ อนิ ฟราเรดแสงทม่ี องเหน็ อัลตราไวโอเลต รังสเี อกซ์และรงั สี แกมมา ซ่งึ สามารถนาไป ใชป้ ระโยชน์ ได้ • เลเซอรเ์ ป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ทมี่ ี ความยาวคลืน่ เดยี ว เปน็ ลาแสงขนาน และมีความเข้มสูง นาไปใช้ ประโยชน์ ในดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นการส่ือสาร มี การใชเ้ ลเซอรส์ าหรับสง่ สารสนเทศ ผา่ น เสน้ ใยนาแสงโดยอาศยั หลักการ การสะท้อนกลับหมด ของแสง ดา้ น การแพทยใ์ ช้ในการผ่าตัด
• คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้านอกจากจะ สามารถนาไปใช้ ประโยชนแ์ ล้ว ยงั มี โทษตอ่ มนุษยด์ ว้ ย เชน่ ถ้ามนุษย์ ไดร้ บั รังสอี ลั ตราไวโอเลตมากเกินไป อาจจะทาให้เกิดมะเรง็ ผิวหนัง หรอื ถ้า ได้รงั สี แกมมาซึ่งเปน็ คลื่น แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ที่มีพลงั งานสูง และ สามารถทะลุผา่ นเซลลแ์ ละอวัยวะได้ อาจทาลายเน้ือเยื่อหรืออาจทาให้ เสยี ชีวิตได้ เมอ่ื ไดร้ ับรังสแี กมมาใน ปรมิ าณสูง 31 ๑๓. ออกแบบการทดลองและดาเนนิ การทดลอง ด้วยวธิ ที ี่ • เมอ่ื แสงตกกระทบวัตถจุ ะเกิดการ เหมาะสมในการอธิบาย กฎการสะทอ้ นของแสง สะท้อนซง่ึ เปน็ ไปตามกฎการสะทอ้ น ๑๔. เขียนแผนภาพการเคลอื่ นทข่ี องแสง แสดง การเกดิ ของแสง โดยรงั สีตกกระทบ เส้นแนว 32 ภาพจากกระจกเงา ฉาก รังสสี ะท้อนอยู่ในระนาบเดยี วกนั และมุมตกกระทบเทา่ กับมมุ สะท้อน ภาพจาก กระจกเงาเกิดจากรังสี สะท้อนตัดกันหรือต่อแนว รังสี สะทอ้ นใหต้ ัดกนั โดยถา้ รังสีสะท้อน ตัดกนั จรงิ จะเกิดภาพจริง แต่ถ้าตอ่ แนวรงั สสี ะทอ้ นให้ ไปตดั กัน จะเกดิ ภาพเสมือน 33 ๑๕. อธบิ ายการหักเหของแสงเม่อื ผา่ นตัวกลาง โปรง่ ใสที่ • เม่ือแสงเดินทางผ่านตวั กลางโปรง่ ใส แตกตา่ งกัน และอธิบายการกระจาย แสงของแสงขาวเมอื่ ท่ีแตกตา่ ง กัน เชน่ อากาศและนา้ ผา่ นปรซิ มึ จากหลกั ฐาน เชิงประจักษ์ อากาศและแกว้ จะเกิด การหักเห ๑๖. เขียนแผนภาพการเคลื่อนที่ของแสง แสดงการเกดิ หรืออาจเกิดการสะท้อนกลับหมดใน ภาพจากเลนส์บาง ตัวกลางที่แสงตกกระทบ การหักเห 34 ของแสงผา่ น เลนสท์ าให้เกิดภาพที่มี ชนดิ และขนาดตา่ ง ๆ • แสงขาวประกอบด้วยแสงสีต่าง ๆ เม่ือแสงขาว ผ่านปรซิ ึมจะเกดิ การ กระจายแสงเป็นแสงสตี ่างๆ เรียกวา่ สเปกตรัมของแสงขาว เม่ือเคลอ่ื นทีใ่ น ตวั กลางใด ๆ ท่ไี มใ่ ช่อากาศ จะมี อตั ราเรว็ ต่างกัน จงึ มีการหักเหตา่ งกนั 35 ๑๗. อธบิ ายปรากฏการณท์ เ่ี กี่ยวกบั แสง และการทางาน • การสะทอ้ นและการหักเหของแสง ของทัศนอปุ กรณจ์ ากข้อมลู ที่รวบรวม ได้ นาไปใชอ้ ธิบาย ปรากฏการณ์ท่ี ๑๘. เขยี นแผนภาพการเคล่อื นท่ขี องแสง แสดงการ เกดิ เกี่ยวกับแสง เช่น รงุ้ มิราจ และ
36 ภาพของทัศนอปุ กรณแ์ ละเลนส์ตา อธบิ ายการทางานของทัศนอุปกรณ์ เชน่ แวน่ ขยาย กระจกโคง้ จราจร กล้องโทรทรรศน์ กลอ้ งจุลทรรศนแ์ ละ แว่นสายตา • ในการมองวัตถุ เลนสต์ าจะถกู ปรับ โฟกัส เพื่อ ให้เกดิ ภาพชดั ทจ่ี อตา ความบกพรอ่ งทางสายตา เช่น สายตา สั้น และสายตายาว เป็นเพราะ ตาแหน่ง ทเ่ี กิดภาพไม่ได้อยทู่ ี่จอตา พอดีจงึ ต้องใช้เลนส์ ในการแก้ไขเพือ่ ช่วยให้มองเหน็ เหมือนคนสายตา ปกติ โดยคนสายตาสั้นใชเ้ ลนสเ์ วา้ สว่ นคน สายตายาวใชเ้ ลนส์นนู 37 ๑๙. อธิบายผลของความสว่างทม่ี ีต่อดวงตาจาก ขอ้ มูลที่ได้ • ความสว่างของแสงมีผลต่อดวงตา จากการสบื คน้ มนุษย์การใช้ สายตาใน ๒๐. วดั ความสวา่ งของแสงโดยใช้อุปกรณ์วดั ความสวา่ ง สภาพแวดลอ้ มท่ีมีความสวา่ งไม่ 38 ของแสง เหมาะสม จะเปน็ อนั ตรายตอ่ ดวงตา ๒๑. ตระหนกั ในคุณค่าของความรู้เรือ่ ง ความสวา่ ง ของ เชน่ การดวู ตั ถุในท่มี ี ความสวา่ งมาก 39 แสงที่มตี ่อดวงตา โดยวเิ คราะหส์ ถานการณ์ ปญั หาและ หรอื นอ้ ยเกินไป การจ้องดู เสนอแนะการจดั ความสว่าง ให้เหมาะสมในการทากิจกรรม หน้าจอภาพเปน็ เวลานาน ความสว่าง ต่าง ๆ บนพ้ืนท่ีรบั แสง มีหน่วยเปน็ ลักซ์ ความรเู้ กยี่ วกบั ความสวา่ ง สามารถ นามาใช้จัดความสว่างให้เหมาะสมกบั การทากจิ กรรมต่าง ๆ เช่น การจดั ความสว่าง ทเี่ หมาะสมสาหรับการ อา่ นหนังสอื สาระท่ี ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เขา้ ใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการ เกิด และววิ ฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้ังปฏสิ ัมพันธ์ภายในระบบ สรุ ยิ ะ ท่สี ่งผลต่อสง่ิ มีชีวติ และการประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยีอวกาศ 40 ๑. อธบิ ายการโคจรของดาวเคราะหร์ อบ ดวงอาทติ ย์ดว้ ย • ในระบบสรุ ยิ ะมดี วงอาทิตย์เปน็ แรงโนม้ ถว่ งจากสมการ F = (Gm1 m2 )/r2 ศนู ย์กลางโดยมี ดาวเคราะห์และ บริวาร ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์ นอ้ ยดาวหางและอนื่ ๆเช่น วตั ถุคอย เปอร์ โคจรอยู่โดยรอบ ซ่ึงดาวเคราะห์ และวตั ถุ เหลา่ นีโ้ คจรรอบดวงอาทติ ย์ ดว้ ยแรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงเปน็ แรง ดงึ ดดู ระหวา่ งวตั ถุสองวัตถุ โดยเป็น สัดส่วนกบั ผลคณู ของมวลทั้งสองและ
เป็น สดั สว่ นผกผนั กบั กาลังสองของ ระยะทางระหวา่ ง วตั ถุท้งั สอง แสดง ได้โดยสมการ F = (Gm1 m2 )/r2 เม่ือ F แทนความโน้มถ่วงระหว่างมวล ทงั้ สอง G แทนค่านจิ โนม้ ถ่วงสากล m1 แทนมวลของ วัตถุแรก m2แทน มวลของวตั ถุท่สี อง และ r แทน ระยะหา่ งระหวา่ งวตั ถทุ ั้งสอง 41 ๒. สรา้ งแบบจาลองทอ่ี ธิบายการเกิดฤดูและ การเคลื่อนท่ี • การท่โี ลกโคจรรอบดวงอาทิตยใ์ น ปรากฏของดวงอาทิตย์ ลักษณะท่ี แกนโลกเอยี งกับ แนวตัง้ ฉากของระนาบทางโคจร ทา ใหส้ ่วนตา่ ง ๆ บนโลกไดร้ บั ปริมาณ แสงจาก ดวงอาทติ ย์แตกตา่ งกนั ใน รอบปเี กดิ เปน็ ฤดู กลางวันกลางคืน ยาวไม่เทา่ กนั และตาแหนง่ การข้นึ และตกของดวงอาทิตย์ทีข่ อบฟา้ และ เส้นทางการขึ้นและตกของดวงอาทติ ย์ เปลี่ยนไป ในรอบปีซ่งึ สง่ ผลต่อการ ดารงชีวิต 42 ๓. สรา้ งแบบจาลองท่อี ธิบายการเกดิ ขา้ งขน้ึ ข้างแรม การ • ดวงจนั ทร์โคจรรอบโลก โลกและ เปลี่ยนแปลงเวลาการข้นึ และตก ของดวงจนั ทร์และการเกิด ดวงจันทร์โคจร รอบดวงอาทิตยด์ วง น้าขึน้ น้าลง จนั ทรร์ ับแสงจากดวงอาทิตย์ คร่ึงดวง ตลอดเวลา เมือ่ ดวงจันทร์โคจรรอบ โลก ไดห้ ันสว่ นสว่างมายังโลกแตกต่าง กนั จึงทาให้คน บนโลกสังเกตสว่ น สว่างของดวงจันทร์แตกตา่ งไป ในแต่ ละวนั เกิดเปน็ ข้างขึน้ ข้างแรม • ดวงจันทร์โคจรรอบโลกในทิศทาง เดยี วกนั กบั ทีโ่ ลกหมนุ รอบตัวเอง จึง ทาให้เหน็ ดวงจันทร์ขึ้นชา้ ไป ประมาณวันละ ๕๐ นาที • แรงโน้มถ่วงทีด่ วงจันทรด์ วงอาทติ ย์ กระทาตอ่ โลกทาให้เกิดปรากฏการณ์ น้าข้ึนน้าลง ซึ่งสง่ ผล ต่อสิง่ แวดลอ้ ม และส่ิงมีชีวติ บนโลก วันทน่ี า้ มี ระดบั การขึน้ สูงสุดและลงตา่ สดุ เรยี ก วนั น้า เกดิ ส่วนวนั ที่ระดบั นา้ มีการข้ึนและ ลงนอ้ ยเรียก วันนา้ ตายโดยวนั น้าเกิด
นา้ ตาย มีความสมั พนั ธก์ ับ ข้างข้นึ ขา้ งแรม 43 ๔. อธบิ ายการใชป้ ระโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ และ • เทคโนโลยีอวกาศได้มบี ทบาทตอ่ ยกตวั อยา่ งความก้าวหนา้ ของโครงการ สารวจอวกาศ จาก การดารงชวี ติ ของมนษุ ยใ์ นปัจจบุ ัน ข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ มากมาย มนุษย์ได้ใช้ ประโยชนจ์ าก เทคโนโลยีอวกาศเช่น ระบบนาทาง ดว้ ยดาวเทยี ม (GNSS) การติดตาม พายุ สถานการณไ์ ฟป่า ดาวเทียมช่วย ภยั แล้ง การตรวจคราบน้ามันในทะเล • โครงการสารวจอวกาศตา่ ง ๆ ได้ พฒั นาเพิ่มพูน ความรคู้ วามเข้าใจต่อ โลก ระบบสุริยะและเอกภพ มากขึ้น เปน็ ลาดับ ตัวอย่างโครงการสารวจ อวกาศ เชน่ การสารวจสิง่ มชี วี ติ นอก โลก การสารวจ ดาวเคราะหน์ อก ระบบสุรยิ ะ การสารวจดาวอังคาร และบรวิ ารอืน่ ของดวงอาทิตย์ สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยเี พื่อการดารงชีวิตในสังคมท่ีมีการเปล่ียนแปลง อยา่ งรวดเรว็ ใช้ความรู้และทักษะทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตรอ์ นื่ ๆ เพ่อื แก้ปัญหาหรือพฒั นางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสม โดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และส่งิ แวดล้อม 1 ๑. วิเคราะห์สาเหตุ หรอื ปัจจยั ท่สี ง่ ผลต่อการ เปลี่ยนแปลง • เทคโนโลยมี กี ารเปล่ยี นแปลง ของเทคโนโลยีและความสมั พันธ์ ของเทคโนโลยกี ับศาสตร์ ตลอดเวลาตัง้ แต่อดีต จนถึงปัจจบุ ัน อืน่ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตรห์ รือคณิตศาสตรเ์ พอ่ื เปน็ ซง่ึ มสี าเหตหุ รือปัจจัยมาจาก หลาย แนวทาง การแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน ด้าน เช่น ปญั หาหรอื ความต้องการ ของมนษุ ย์ ความกา้ วหนา้ ของศาสตร์ ต่างๆการเปลี่ยนแปลง ทางด้าน เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม สง่ิ แวดลอ้ ม • เทคโนโลยมี ีความสมั พนั ธก์ ับศาสตร์ อืน่ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์โดย วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นพ้นื ฐานความรู้ ท่ี นาไปสูก่ ารพฒั นาเทคโนโลยแี ละ เทคโนโลยีที่ ได้สามารถเปน็ เครื่องมือ ที่ใชใ้ นการศึกษา คน้ ควา้ เพ่อื ใหไ้ ดม้ า ซ่ึงองคค์ วามรู้ใหม่ 2 ๒. ระบปุ ญั หาหรือความต้องการของชมุ ชนหรือ ท้องถ่นิ • ปญั หาหรือความต้องการอาจพบได้
เพอ่ื พัฒนางานอาชีพ สรปุ กรอบของ ปญั หา รวบรวม ในงานอาชีพ ของชุมชนหรอื ท้องถิ่น วเิ คราะหข์ ้อมลู และแนวคดิ ทเี่ ก่ียวข้องกบั ปญั หา โดย ซงึ่ อาจมีหลายด้าน เช่น ดา้ น คานงึ ถงึ ความถูกต้อง ด้านทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา การเกษตร อาหาร พลงั งาน การ ขนส่ง • การวิเคราะห์สถานการณป์ ัญหา ช่วยใหเ้ ขา้ ใจ เงอ่ื นไขและกรอบของ ปัญหาได้ชดั เจน จากน้ัน ดาเนนิ การ สบื ค้น รวบรวมข้อมลู ความรู้ จาก ศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกยี่ วขอ้ ง เพ่ือนาไปสู่ การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หา 3 ๓. ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหา โดยวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ • การวเิ คราะห์เปรียบเทยี บ และ และตัดสินใจเลอื กข้อมูลท่จี าเปน็ ภายใต้เงือ่ นไขและ ตัดสนิ ใจเลือก ขอ้ มลู ท่ีจาเปน็ โดย ทรัพยากรทม่ี ีอยู่ นาเสนอ แนวทางการแก้ปัญหาใหผ้ ู้อ่นื คานงึ ถงึ ทรัพย์สนิ ทางปญั ญา เงอื่ นไข เขา้ ใจดว้ ยเทคนิค หรือวธิ กี ารท่หี ลากหลาย วางแผน และทรัพยากร เชน่ งบประมาณ เวลา ขน้ั ตอน การทางานและดาเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็น ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ เครอื่ งมือ ขนั้ ตอน และอุปกรณ์ ชว่ ยใหไ้ ดแ้ นวทางการ แกป้ ัญหาทเ่ี หมาะสม • การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา ทาได้ หลากหลายวิธีเช่น การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ การเขยี นผงั งาน • เทคนคิ หรอื วธิ กี ารในการนาเสนอ แนวทาง การแกป้ ัญหามีหลากหลาย เช่น การใช้แผนภูมิ ตาราง ภาพเคล่อื นไหว • การกาหนดขน้ั ตอนและระยะเวลา ในการทางาน กอ่ นดาเนนิ การ แกป้ ญั หาจะช่วยใหก้ ารทางาน สาเรจ็ ได้ตามเป้าหมาย และลดขอ้ ผิดพลาด ของการทางานท่ีอาจเกิดขึ้น 4 ๔. ทดสอบ ประเมนิ ผล วเิ คราะห์และใหเ้ หตผุ ล ของปัญหา • การทดสอบและประเมินผลเป็นการ หรอื ข้อบกพร่องที่เกดิ ขึ้นภายใต้ กรอบเง่ือนไข พร้อมทงั้ หา ตรวจสอบ ชนิ้ งานหรือวิธีการวา่ แนวทางการปรบั ปรุง แก้ไข และนาเสนอผลการแก้ปญั หา สามารถแก้ปัญหาไดต้ าม วตั ถปุ ระสงคภ์ ายใต้กรอบของปญั หา เพื่อหา ข้อบกพร่อง และดาเนินการ ปรบั ปรงุ โดยอาจ ทดสอบซ้าเพอ่ื ให้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ • การนาเสนอผลงานเปน็ การ ถ่ายทอดแนวคดิ เพื่อให้ผู้อื่นเขา้ ใจ
เกย่ี วกบั กระบวนการทางาน และ ชิน้ งานหรือวิธีการที่ได้ซึ่งสามารถทา ได้ หลายวธิ เี ช่น การเขยี นรายงาน การทาแผ่น นาเสนอผลงาน การจดั นิทรรศการ การนาเสนอ ผ่านสอื่ ออนไลน์ 5 ๕. ใช้ความรแู้ ละทกั ษะเกีย่ วกับวัสดอุ ปุ กรณ์ เคร่อื งมอื • วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมสี มบัติแตกตา่ ง กลไก ไฟฟา้ และอิเล็กทรอนิกส์ ใหถ้ กู ตอ้ งกบั ลกั ษณะของ กัน เชน่ ไม้ โลหะ พลาสติก เซรามกิ งาน และปลอดภัย เพอ่ื แกป้ ัญหาหรือพฒั นางาน จงึ ต้องมีการวเิ คราะห์ สมบัตเิ พอื่ เลือกใช้ใหเ้ หมาะสมกบั ลักษณะ ของ งาน • การสรา้ งชิ้นงานอาจใช้ความรู้เรือ่ ง กลไก ไฟฟ้า อิเลก็ ทรอนกิ สเ์ ช่น LED LDR มอเตอรเ์ ฟือง คาน รอก ล้อ เพลา • อปุ กรณ์และเคร่ืองมือในการสรา้ ง ชน้ิ งาน หรือพัฒนาวิธกี ารมีหลาย ประเภท ตอ้ งเลือกใช้ ให้ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย รวมทั้งรู้จกั เก็บรกั ษา สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เขา้ ใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพ่ือการดารงชวี ิตในสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรูแ้ ละทักษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ ศาสตรอ์ น่ื ๆ เพอื่ แกป้ ัญหาหรือพฒั นางานอยา่ งมีความคิดสรา้ งสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้ เทคโนโลยีอยา่ งเหมาะสม โดยคานงึ ถึงผลกระทบตอ่ ชวี ิต สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม 1 ๑. วิเคราะห์สาเหตุ หรอื ปัจจัยทส่ี ่งผลตอ่ การ เปลี่ยนแปลง • เทคโนโลยีมีการเปลีย่ นแปลง ของเทคโนโลยีและความสัมพันธ์ ของเทคโนโลยกี บั ศาสตร์ ตลอดเวลาต้ังแต่อดีต จนถงึ ปัจจบุ นั อ่ืน โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์หรอื คณิตศาสตรเ์ พื่อเป็น ซ่ึงมีสาเหตหุ รอื ปัจจยั มาจาก หลาย แนวทาง การแก้ปญั หาหรือพัฒนางาน ด้าน เชน่ ปัญหาหรอื ความต้องการ ของมนษุ ย์ ความก้าวหนา้ ของศาสตร์ ต่างๆการเปลย่ี นแปลง ทางด้าน เศรษฐกจิ สงั คม วฒั นธรรม สิ่งแวดลอ้ ม • เทคโนโลยมี คี วามสัมพนั ธก์ ับ ศาสตรอ์ ืน่ โดยเฉพาะ วิทยาศาสตร์ โดยวิทยาศาสตรเ์ ปน็ พนื้ ฐานความรู้ ท่ี นาไปสูก่ ารพฒั นาเทคโนโลยีและ เทคโนโลยที ี่ ได้สามารถเป็นเครอื่ งมือ
๒. ระบปุ ญั หาหรอื ความต้องการของชมุ ชนหรือ ทอ้ งถ่ิน ทีใ่ ช้ในการศึกษา ค้นควา้ เพ่อื ใหไ้ ดม้ า เพอื่ พฒั นางานอาชีพ สรปุ กรอบของ ปญั หา รวบรวม ซง่ึ องค์ความร้ใู หม่ วิเคราะห์ข้อมูลและแนวคิด ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกับปญั หา โดย คานึงถึงความถูกต้อง ดา้ นทรพั ย์สินทางปัญญา • ปญั หาหรอื ความต้องการอาจพบได้ ในงานอาชีพ ของชมุ ชนหรอื ท้องถนิ่ ๓. ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหา โดยวเิ คราะห์ เปรยี บเทยี บ ซึง่ อาจมีหลายด้าน เชน่ ดา้ น และตัดสนิ ใจเลือกข้อมูลทีจ่ าเปน็ ภายใต้เงื่อนไขและ การเกษตร อาหาร พลงั งาน การ ทรัพยากรทม่ี ีอยู่ นาเสนอ แนวทางการแก้ปัญหาใหผ้ ู้อ่ืน ขนสง่ เข้าใจดว้ ยเทคนิค หรือวิธกี ารทห่ี ลากหลาย วางแผน • การวิเคราะหส์ ถานการณ์ปัญหา ขัน้ ตอน การทางานและดาเนินการแก้ปัญหาอยา่ งเปน็ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจ เงื่อนไขและกรอบของ ขนั้ ตอน ปัญหาไดช้ ัดเจน จากนั้น ดาเนนิ การ สืบคน้ รวบรวมข้อมูล ความรู้ จาก ๔. ทดสอบ ประเมินผล วิเคราะห์และใหเ้ หตผุ ล ของปัญหา ศาสตรต์ า่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง เพื่อนาไปสู่ หรือข้อบกพรอ่ งที่เกดิ ขน้ึ ภายใต้ กรอบเงือ่ นไข พร้อมทงั้ หา การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หา แนวทางการปรบั ปรุง แก้ไข และนาเสนอผลการแกป้ ญั หา • การวิเคราะหเ์ ปรยี บเทียบ และ ตดั สนิ ใจเลอื ก ขอ้ มลู ท่ีจาเป็น โดย คานึงถงึ ทรัพยส์ ินทางปญั ญา เงอื่ นไข และทรัพยากร เชน่ งบประมาณ เวลา ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ เคร่ืองมือ และอปุ กรณ์ ชว่ ยใหไ้ ดแ้ นวทางการ แก้ปญั หาท่เี หมาะสม • การออกแบบแนวทางการแก้ปญั หา ทาได้ หลากหลายวธิ เี ช่น การร่างภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขยี นผังงาน • เทคนิคหรือวธิ ีการในการนาเสนอ แนวทาง การแก้ปญั หามีหลากหลาย เช่น การใชแ้ ผนภมู ิ ตาราง ภาพเคลื่อนไหว • การกาหนดข้ันตอนและระยะเวลา ในการทางาน กอ่ นดาเนนิ การ แก้ปัญหาจะชว่ ยใหก้ ารทางาน สาเร็จ ได้ตามเป้าหมาย และลดขอ้ ผิดพลาด ของการทางานที่อาจเกดิ ขึน้ • การทดสอบและประเมนิ ผลเปน็ การ ตรวจสอบ ชน้ิ งานหรือวธิ ีการวา่ สามารถแก้ปญั หาไดต้ าม วตั ถุประสงค์ภายใต้กรอบของปญั หา เพื่อหา ข้อบกพร่อง และดาเนินการ ปรบั ปรุง โดยอาจ ทดสอบซ้าเพอื่ ให้
สามารถแก้ไขปัญหาได้ • การนาเสนอผลงานเปน็ การ ถ่ายทอดแนวคดิ เพื่อให้ผู้อ่ืนเข้าใจ เกี่ยวกบั กระบวนการทางาน และ ช้นิ งานหรอื วิธีการท่ไี ด้ซึ่งสามารถทา ได้ หลายวิธเี ช่น การเขียนรายงาน การทาแผน่ นาเสนอผลงาน การจัด นทิ รรศการ การนาเสนอ ผา่ นสื่อ ออนไลน์ ๕. ใช้ความรแู้ ละทักษะเก่ยี วกับวสั ดุอปุ กรณ์ เครอื่ งมอื • วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมสี มบัติแตกต่าง กลไก ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ให้ถกู ตอ้ งกับลกั ษณะของ กนั เช่น ไม้ โลหะ พลาสติก เซรามิก งาน และปลอดภัย เพือ่ แก้ปัญหาหรอื พัฒนางาน จึงตอ้ งมีการวิเคราะห์ สมบัตเิ พือ่ เลอื กใช้ใหเ้ หมาะสมกับลักษณะ ของ งาน • การสรา้ งช้นิ งานอาจใชค้ วามรู้เรือ่ ง กลไก ไฟฟ้า อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ ช่น LED LDR มอเตอร์เฟือง คาน รอก ลอ้ เพลา • อุปกรณ์และเคร่ืองมือในการสรา้ ง ชน้ิ งาน หรือพัฒนาวิธกี ารมีหลาย ประเภท ต้องเลือกใช้ ให้ถกู ต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทั้งรจู้ กั เกบ็ รักษา สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่พี บในชวี ิตจริงอยา่ งเป็น ขน้ั ตอน และเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแกป้ ญั หา ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ รเู้ ทา่ ทนั และมีจรยิ ธรรม 1 ๑. พฒั นาแอปพลิเคชันทีม่ ีการบูรณาการกับวชิ าอ่ืน อยา่ ง • ขน้ั ตอนการพฒั นาแอปพลิเคชัน สร้างสรรค์ • Internet of Things (IoT) • ซอฟตแ์ วรท์ ี่ใช้ในการพัฒนาแอป พลเิ คชนั เชน่ Scratch, python, java, c, AppInventor • ตวั อยา่ งแอปพลิเคชนั เช่น โปรแกรมแปลง สกลุ เงิน โปรแกรมผนั เสียงวรรณยุกต์โปรแกรม จาลองการ แบ่งเซลลร์ ะบบรดนา้ อตั โนมตั ิ 2 ๒. รวบรวมข้อมูล ประมวลผล ประเมินผล นาเสนอ ขอ้ มลู • การรวบรวมข้อมลู จากแหลง่ ข้อมูล และสารสนเทศตามวัตถุประสงคโ์ ดยใช้ ซอฟตแ์ วร์หรอื ปฐมภมู ิและ ทุติยภมู ิประมวลผล
บรกิ ารบนอินเทอร์เนต็ ท่ี หลากหลาย สร้างทางเลือก ประเมนิ ผล จะทาให้ ไดส้ ารสนเทศเพือ่ ใช้ในการแก้ปัญหา หรอื การตัดสินใจได้อยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ • การประมวลผลเปน็ การกระทากบั ข้อมลู เพ่อื ให้ได้ ผลลพั ธท์ ี่มี ความหมายและมปี ระโยชน์ตอ่ การ นาไปใช้งาน • การใชซ้ อฟต์แวรห์ รือ บริการบนอนิ เทอร์เน็ต ทหี่ ลากหลาย ในการรวบรวม ประมวลผล สร้าง ทางเลือก ประเมนิ ผล นาเสนอ จะ ช่วยให้ แก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ถกู ต้อง และแมน่ ยา • ตวั อยา่ งปัญหา เช่น การเลือกโปรโมชนั โทรศัพท์ ให้ เหมาะกบั พฤติกรรมการใช้งาน สินคา้ เกษตร ทตี่ ้องการและสามารถปลูกได้ ในสภาพดินของ ทอ้ งถ่ิน 3 ๓. ประเมินความน่าเช่อื ถือของข้อมลู วิเคราะหส์ อื่ และ • การประเมินความนา่ เชื่อถอื ของ ผลกระทบจากการให้ขา่ วสารทผี่ ดิ เพ่ือการ ใช้งานอยา่ ง ข้อมลู เช่น ตรวจสอบและยืนยนั รเู้ ทา่ ทนั ขอ้ มลู โดยเทียบเคยี งจาก ข้อมูล หลายแหลง่ แยกแยะข้อมลู ท่ีเป็น ข้อเท็จจรงิ และข้อคิดเห็น หรือใช้ PROMPT 4 ๔. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั และมี ความ • การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง รับผิดชอบต่อสงั คม ปฏบิ ัตติ ามกฎหมาย เกย่ี วกบั ปลอดภัย เช่น การทาธุรกรรม คอมพวิ เตอร์ใช้ลิขสทิ ธิข์ องผอู้ ื่น โดยชอบธรรม ออนไลนก์ ารซื้อสินคา้ ซื้อซอฟต์แวร์ ค่าบรกิ ารสมาชกิ ซื้อไอเท็ม • การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างมี ความรับผดิ ชอบ เชน่ ไม่สรา้ งข่าวลวง ไม่แชร์ข้อมลู โดยไมต่ รวจสอบ ขอ้ เท็จจรงิ • กฎหมายเกย่ี วกับคอมพิวเตอร์ • การใช้ลขิ สิทธิ์ของผู้อน่ื โดยชอบ ธรรม (fair use)
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: