Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้การพัฒนาตนเองชุมชนสังคม

ใบความรู้การพัฒนาตนเองชุมชนสังคม

Description: ใบความรู้การพัฒนาตนเองชุมชนสังคม

Search

Read the Text Version

19 ใบความรู้ที่ 1 เร่ือง หลกั การพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม ความหมายของคาว่าการพฒั นา ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายไวห้ ลายคน ดงั น้ี วริ ัช วิรัชนิภาวรรณ กล่าววา่ การพฒั นาหมายถึง การเปลี่ยนแปลงท่ีมีการกระทาใหเ้ กิดข้ึน หรือมีการวางแผนกาหนดทิศทางไวล้ ่วงหน้า โดยการเปล่ียนแปลงน้ีตอ้ งเป็ นไปในทิศทางทิศทางที่ดีข้ึน ขณะเดียวกนั การพฒั นามิไดห้ มายถึงการเพ่ิมข้ึนของปริมาณสินคา้ หรือรายไดข้ องประชาชนเท่าน้นั แต่ หมายรวมถึงการเพิ่มความพงึ พอใจและการเพมิ่ ความสุขของประชาชนดว้ ย วิทยากร เชียงกูล กล่าวว่า การพฒั นาหมายถึง ชีวิตความเป็ นอยขู่ องประชาชนมีความสุข มีความสะดวกสบาย ความอย่ดู ี กินดี ความเจริญทางศิลปวฒั นธรรมและจิตใจและความสงบสนั ติ ซ่ึง นอกจากจะข้ึนอยกู่ บั การไดร้ ับปัจจยั ทางวตั ถเุ พ่อื สนองความตอ้ งการของร่างกายแลว้ ประชาชนยงั ตอ้ งการ พฒั นาทางดา้ นการศึกษาส่ิงแวดลอ้ มท่ีดี การพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ การพฒั นาทางวฒั นธรรมและจิตใจดา้ นต่างๆ ดว้ ย ความตอ้ งการท้งั หมดน้ีบางคร้ังเราเรียกวา่ เป็นการพฒั นา “คุณภาพ” เพ่ือท่ีให้เห็นว่าการพฒั นาไม่ได้ ข้ึนอยู่กับการเพิ่มปริมาณสินคา้ หรือการเพ่ิมรายได้เท่าน้ัน หากอยู่ที่การเพิ่มความพอใจความสุขของ ประชาชนมากกว่า สัญญา สญั ญาวิวฒั น์ ไดใ้ ห้ความหมายของ การพฒั นาหมายถึง การเปล่ียนแปลงที่มีการ กาหนดทิศทาง หรือการเปลี่ยนแปลงที่ไดว้ างแผนไวล้ ่วงหนา้ แลว้ ยวุ ฒั น์ วุฒิเมธี ให้ความหมายว่า การพฒั นาหมายถึง การทาให้เกิดข้ึนคือการเปล่ียนจาก สภาพหน่ึงไปสู่อกี สภาพหน่ึงที่ดีกวา่ ทิตยา สุวรรณชฎ ไดก้ ลา่ วถงึ การพฒั นาไวว้ ่า คือการเปลี่ยนแปลงที่ตอ้ งการและไดก้ าหนด ทิศทางและมงุ่ ท่ีจะควบคุมอตั ราการเปลยี่ นแปลงดว้ ย ที. อาร์. แบ็ทเท็น (T.R. Batten) ผเู้ ช่ียวชาญดา้ นการพฒั นาชุมชนขององั กฤษ ให้ความหมาย ของการพฒั นาไวว้ ่า หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในทางทีดีข้ึน จากความหมายของการพฒั นาดังท่ีกล่าวมาน้ัน สรุ ปได้ว่าการพัฒนาหมายถึง การ เปลี่ยนแปลงในทางท่ีดีข้ึน โดยไดม้ ีการกาหนดแนวทางในการพฒั นาไวแ้ ลว้ ซ่ึงการพฒั นาน้นั มิไดห้ มายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ดีข้ึนดา้ นปริมาณท่ีสามารถจบั ตอ้ งได้ วดั ได้ เท่าน้นั แต่หมายถึงการเปลี่ยนแปลงดา้ น คุณภาพดว้ ย นนั่ คือประชาชนได้รับประโยชน์จากการพฒั นาและประชาชนมีความพึงพอใจตลอดจนมี ความสุขดว้ ย

20 แนวคดิ การพฒั นา การพฒั นาท่ยี ง่ั ยืน แนวคิดการพฒั นาท่ียงั่ ยนื (sustainable development) สืบเน่ืองจากกระแส โลกาภิวตั น์ ความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี และกลไกการตลาด ไดก้ ่อใหเ้ กิดการเจริญเติบโต การผลิต การบริโภคและการใชป้ ระโยชน์ที่เป็นผลเสียต่อทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม รวมถึงผลกระทบต่อ ชีวิตมนุษย์ สัตว์ พืชพรรณอยา่ งฉบั พลนั และต่อเนื่อง ประกอบกบั การพฒั นาแบบเดิมที่เนน้ การบริโภค อยา่ งฟ่ มุ เฟื อย ไมค่ ุม้ ค่า ไม่คานึงถึงสภาพแวดลอ้ มโดยทาลายสภาพแวดลอ้ ม ซ่ึงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มที่มอี ยอู่ ยา่ งจากดั ทาใหท้ รัพยากรธรรมชาติบางอย่างสูญหายไป เกิดปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม และ ส่งผลกบั มนุษย์ สร้างปัญหาใหก้ บั มนุษยอ์ ยา่ งมหาศาล หากมนุษยเ์ ร่งพฒั นาและเนน้ การบริโภคอยา่ งฟ่ ุมเฟื อยทรัพยากรทางธรรมชาติท่ีมนุษยจ์ ะนา นามาใชแ้ ละบริโภคจะร่อยหรอ เสื่อมสภาพ และหมดลงในท่ีสุด ส่ิงมีชีวติ ท่ีมีอยใู่ นโลกก็คงจะดารงชีวิตอยู่ ดว้ ยความยากลาบากหรือหมดส้ินในที่สุด เพือ่ ไม่ใหท้ ุกสรรพสิ่งในโลกน้ีตอ้ งพบจุดจบ จึงเกิดแนวคิดการพฒั นาท่ียงั่ ยนื ข้ึน นานาชาติจึง แสวงหาแนวทางพฒั นาท่ีเป็ นกลางมากท่ีสุดโดยเน้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพฒั นาในทุก ข้นั ตอน การพฒั นาท่ียงั่ ยนื ตอ้ ง “ระเบิดจากขา้ งใน” จากชุมชนเองไม่ใช่จากบุคลภายนอกไปกาหนดกรอบ และทิศทางการพฒั นา บุคคลภายนอกเป็นเพียงผสู้ นบั สนุนและช่วยเหลือเท่าน้นั ดงั น้นั จึงเป็นรูปแบบการพฒั นาท่ีตอบสนองความตอ้ งการของคนรุ่นปัจจุบนั โดยไมส่ ่งผลลบ กบั คนรุ่นต่อๆไป ตอ้ งไมท่ าลายทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ตอ้ งทาใหม้ นุษยก์ บั ธรรมชาติได้ เก้ือกลู ซ่ึงกนั และกนั ทุกสิ่งทุกอยา่ งสมดุล เป็นไปตามวิถธี รรมชาติ การพฒั นาท่ียงั่ ยนื ไมไ่ ดป้ ฏเิ สธ เทคโนโลยี แต่เทคโนโลยจี ะตอ้ งไม่ทาลายธรรมชาติ จึงจะเป็นการพฒั นาท่ียง่ั ยนื การพฒั นาท่ียง่ั ยนื ในประเทศไทยเป็นการพฒั นาท่ีมลี กั ษณะผสมผสาน คือมีกิจกรรมพฒั นา รวมท้งั มกี ารอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ มในลกั ษณะที่เป็นส่วนรวม เมื่อใดท่ีการพฒั นา ทรัพยากรทางธรรมชาติหายไปตอ้ งเสริมสร้างคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มในที่อืน่ ชดเชยเพือ่ ใหค้ ุณภาพสิ่งแวดลอ้ มใน ภาพรวมคงอยู่ อนั จะทาใหม้ นุษยแ์ ละส่ิงแวดลอ้ มควบคกู่ นั ไปโดยสงบสุขและยง่ั ยนื จากแนวคิดดงั กลา่ ว ประเทศไทยไดบ้ รรจุการพฒั นาที่ยงั่ ยนื ไวใ้ นแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 9 (พ.ศ. 2545- 2549) โดยเนน้ แนวทางเศรษฐกิจพอเพยี ง เนน้ ชุมชนเขม้ แขง็ เนน้ การพฒั นาทย่ี งั่ ยนื

21 การพฒั นาตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพียง (sufficiency economy) เป็นแนวทางการพฒั นาท่ีพระบาทสมเดจ็ พระ เจา้ อยหู่ วั ทรงมพี ระราชดารัสช้ีแนะแนวทางการดาเนินชวี ติ แก่ชาวไทยมาโดยตลอดนานกวา่ 28 ปี ซ่ึงมมี า ก่อนเกิดวกิ ฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และภายหลงั ไดท้ รงเนน้ ย้าแนวทางแกไ้ ขเพอื่ ใหร้ อดพน้ และสามารถดารง อยไู่ ดอ้ ยา่ งมน่ั คงและยง่ั ยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภิวตั นแ์ ละการเปลีย่ นแปลงดา้ นต่างๆ เศรษฐกิจพอเพยี งจึง เป็นฐานในการประยกุ ตใ์ ชก้ บั การพฒั นาดา้ นต่างๆ รวมท้งั ใชใ้ นแง่ของการดารงชีวติ และการปฏบิ ตั ิงานท้งั ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สงั คมดว้ ย ความพอเพยี งประกอบดว้ ย 3 ดา้ นดว้ ยกนั 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ไม่มาก ไมน่ อ้ ยจนเกินไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเอง และผอู้ ่ืน ไดแ้ ก่ การบริโภคที่อยใู่ นระดบั ท่ีพอประมาณ 2. ความมเี หตุมีผล หมายถงึ การตดั สินใจเก่ียวกบั ระดบั ของความพอเพยี ง จะตอ้ งเป็นไปอยา่ ง มีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจยั ที่เกี่ยวข้องตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดจากการกระทาน้ันๆ อยา่ งรอบคอบ 3. การมภี ูมิคุม้ กนั ท่ดี ีในตวั หมายถึง การเตรียมตวั ใหพ้ ร้อมรับผลกระทบและการเปลย่ี นแปลง ดา้ นต่างๆ ท่ีคาดวา่ จะเกิดข้ึนในอนาคตท้งั ใกลแ้ ละไกล ท้งั น้ี ตอ้ งมวี ิชาความรู้ ควบคกู่ บั คณุ ธรรม เป้าหมายของการพฒั นา การพฒั นาชุมชน สงั คม น้นั มหี ลายคนสงสยั ว่าพฒั นาไปเพอ่ื อะไร ในท่ีน้ีจะใหค้ าตอบว่า เป้าหมายของการพฒั นาคืออะไร ซ่ึงมผี ใู้ หค้ วามหมายของเป้าหมายการพฒั นาชุมชนไว้ ดงั น้ี สญั ญา สญั ญาววิ ฒั น์ กลา่ วว่าเป้าหมายของการพฒั นาชุมชน แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ คนและสิ่งแวดลอ้ ม คนจะรวมอยใู่ นการพฒั นาดา้ นต่างๆ คือ การเมอื ง เศรษฐกิจ การศกึ ษา สงั คม วฒั นธรรม ครอบครัวและประชากร อนามยั และ สาธารณสุข นนั ทนาการ ฯลฯ ไพฑูรย์ เครือแกว้ กล่าวถึงเป้าหมายของการพฒั นาชุมชนวา่ มงุ่ หวงั พฒั นาตวั บุคคล กล่มุ คน ปรากฏการณ์และสิ่งแวดลอ้ มทางวตั ถแุ ละสงั คมของหมูบ่ า้ น ที. อาร์. แบท็ เท็น (T. R. Batten) กล่าววา่ เป้าหมายของการพฒั นาชุมชน หมายถึง งานที่จะ พฒั นาคน วตั ถหุ รือส่ิงของ แต่อยา่ งไรกต็ ามมีผรู้ ู้เก่ียวกบั การพฒั นาชุมชนส่วนใหญ่มิไดก้ าหนดไวแ้ น่นอนว่าจะตอ้ ง พฒั นาส่ิงใดก่อน แต่อยา่ งไรก็ตามการดาเนินการท้งั หลายท้งั ปวงน้นั เป้าหมายสูงสุดของการพฒั นาชุมชน คือ การส่งเสริม สนบั สนุนใหป้ ระชาชนในชุมชนพ่ึงตนเอง

22 หลกั การพฒั นาตนเอง หลกั ของการพฒั นาตนเอง มดี งั น้ี 1. การพฒั นาตนเองตอ้ งเกิดจากความเต็มใจและสมคั รใจ ผทู้ ่ีพฒั นาตนเองตอ้ งมีความตอ้ งการท่ี จะเปล่ียนแปลงตนเองดว้ ยตวั บุคคลน้ันเอง โดยปราศจากความรู้สึกว่าถูกบงั คบั ซ่ึงความเต็มใจน้ีเกิดข้ึนจาก ปัจจยั สาคญั ประการหน่ึง คือการตระหนกั รู้ถึงปัญหาและความจาเป็นในการเปลีย่ นแปลงตนเอง นัน่ คือผทู้ ่ีจะ พฒั นาตนเองตอ้ งมีความใส่ใจมีการติดตามสังเกตตนเองในแง่พฤติกรรมการแสดงออก ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกในสถานการณ์ต่างๆ อยา่ งเป็ นปัจจุบนั ซ่ึงการรู้ตนเองเกี่ยวกบั พฤติกรรมการแสดงออก ความคิด อารมณ์ความรู้สึกเหล่าน้ี จะทาให้บุคคลตระหนักรู้ถึงความรู้สึกของปัญหาและความจาเป็ นของการ เปล่ยี นแปลงตนเอง พร้อมท้งั มีความมงุ่ มนั่ ที่จะฟันฝ่ าอุปสรรคและการผลกั ดนั ตนเองเพอ่ื ใหไ้ ปถึงเป้าหมายได้ 2. ผทู้ ่ีตอ้ งการพฒั นาตนเอง ตอ้ งเป็นผทู้ ่ีมีบทบาทหลกั ในการลงมือพฒั นาตนดว้ ยตนเอง หมายถึงผทู้ ี่พฒั นาตนตระหนกั ถึงความรับผดิ ชอบต่อชีวิตของตนเองวา่ ไมม่ ีใครลงมอื แทนตนเองได้ ถงึ แมว้ า่ ในการเปลยี่ นแปลงตนเองอาจจะไดร้ ับความช่วยเหลือจากเพ่ือน พอ่ แม่ หรือครูอาจารยร์ ่วมดว้ ย อยา่ งไรก็ตาม ผทู้ ี่มีบทบาทหลกั คือ ผทู้ ี่ตอ้ งการพฒั นาตนเองนนั่ เอง 3. มนุษยท์ ุกคนมีความสามารถที่จะควบคุมและจดั การเปล่ยี นแปลงสภาพแวดลอ้ มและปัจจยั ภายในตนเองเพ่ือการพฒั นาตนเอง แมว้ า่ สภาพแวดลอ้ มภายนอกและความคิดความรู้สึกซ่ึงเป็นสภาพภายในตวั บุคคลจะส่งผลรวมกนั ต่อพฤติกรรมมนุษย์ แต่ผทู้ ี่ควบคุมดแู ลจดั การใหต้ วั เรามีการพฒั นาคนหรือพฤติกรรมท่ี เปลยี่ นแปลงไปจากเดิมคือ ตวั เราเอง 4. การพฒั นาตนเองเป็นการเปล่ยี นแปลงตนเองท่ีมขี อบเขตของจุดม่งุ หมายครอบคลุมท้งั 3 ดา้ น คือเพอ่ื การแกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึนในปัจจุบนั เพือ่ การป้องกนั ปัญหาท่ีจะเกิดข้นึ ในอนาคต และเพือ่ การสร้าง เสริมศกั ยภาพของคนใหส้ ูงข้ึน 5. การพฒั นาตนเองเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเนื่องตลอดชีวติ เพื่อความสุขและความงอกงาม ของตนเอง ซ่ึงจะส่งผลให้เกิดความสุขและความงอกงามของสงั คมส่วนรวมดว้ ยเช่นกนั

23 วธิ กี ารพฒั นาตนเอง องคก์ รหน่วยงานต่างๆ มีจุดมุ่งหมายท่ีจะพฒั นาบุคลากรของตน ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็ น ผูท้ รงคุณค่า การท่ีบุคคลไดร้ ับการพฒั นาน้ัน จะเป็ นหลกั ประกันไดว้ ่าหน่วยงานน้ัน จะสามารถรักษา บุคลากรน้นั ไดย้ าวนาน และเป็นทรัพยากรมนุษยท์ ่ีมีคุณค่าขององคก์ รน้นั ต่อไป วธิ ีการพฒั นาตนเองโดยการ ฝึกอบรม มีดงั น้ี 1. การลงมอื ปฏิบตั ิจริง 2. การบรรยายในหอ้ งเรียน 3. การลงมอื ปฏิบตั ิงานจริง 4. การอบรมเพิ่มเติม 5. การฝึกจาลองเหตุการณ์และใชว้ ิธีการอนื่ ๆ การพฒั นาตนเองดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิ เพอ่ื เสริมสร้างตนเองใหบ้ รรลวุ ตั ถุประสงคต์ ามท่ี กาหนดไวค้ วรดาเนินการ ดงั น้ี 1. การหาความรู้เพม่ิ เติม กระทาไดโ้ ดย 1.1 การอา่ นหนงั สือเป็นประจาและอยา่ งต่อเน่ือง 1.2 การเขา้ ร่วมประชุมหรือเขา้ รับการอบรม 1.3 การสอนหนงั สือหรือบรรยายต่างๆ 1.4 การร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนหรือองคก์ รต่างๆ 1.5 การร่วมเป็นท่ีปรึกษาแก่บุคคลหรือหน่วยงาน 1.6 การศึกษาต่อหรือศกึ ษาเพิม่ เติมจากสถาบนั การศกึ ษาหรือมหาวิทยาลยั เปิ ด 1.7 การพบปะเยยี่ มเยยี นบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ 1.8 การเป็นผแู้ ทนในการประชุมต่างๆ 1.9 การจดั ทาโครงการพิเศษ 1.10 การปฏิบตั ิงานแทนหวั หนา้ งาน 1.11 การคน้ ควา้ หรือวิจยั 1.12 การศกึ ษาดูงาน 2. การเพ่มิ ความสามารถและประสบการณ์ อาจกระทาโดย 2.1 การลงมือปฏิบตั ิจริง 2.2 การฝึกฝนโดยผทู้ รงคุณวฒุ ิหรือหวั หนา้ งาน

24 2.3 การอา่ น การฟัง การถาม จากเอกสารหรือผทู้ รงคุณวุฒิ หรือหวั หนา้ งาน 2.4 การทางานร่วมกบั บุคคลอ่ืน 2.5 การคน้ ควา้ วจิ ยั 2.6 การหมุนเวยี นเปลี่ยนงาน ความหมายของชุมชน สังคม ราชบณั ฑิตยสถาน (2546) ไดใ้ หค้ วามหมายของชุมชนไวว้ ่า ชุมชนคือหมู่ชน กลมุ่ คนท่ีอยู่ รวมกนั เป็นสงั คมขนาดเลก็ อาศยั อยใู่ นบริเวณเดียวกนั และมีผลประโยชนร์ ่วมกนั ปาริชาติ วลยั เสถยี ร ไดก้ ล่าวถึงชุมชนว่า ชุมชนหมายถึง การท่ีคนจานวนหน่ึง อาศยั อยพู่ ้นื ท่ี แห่งหน่ึง มคี วามเชื่อ ผลประโยชน์ กิจกรรม และมคี ุณสมบตั ิอนื่ ๆท่ีคลา้ ยคลงึ กนั คณุ ลกั ษณะเหล่าน้ีมี ลกั ษณะเด่นเพยี งพอที่จะทาใหส้ มาชิกน้นั ตระหนกั และเก้ือกลู กนั อนุชาติ พวงสาลี และอรทยั อาจอา่ อธิบายวา่ ชุมชน (community) หมายถงึ การรวมตวั ของ กลุ่มคนท่ีมวี ตั ถปุ ระสงคร์ ่วมกนั ซ่ึงการรวมตวั ดงั กลา่ วอาจรวมตวั ตามพ้นื ท่ีหรือไมก่ ไ็ ด้ สิ่งสาคญั อยทู่ ่ีสมาชิก ของชุมชนมีการติดต่อส่ือสารกนั มีความเอ้อื อาทรต่อกนั มกี ารทากิจกรรมร่วมกนั มกี ารเรียนรู้ร่วมกนั มี การบริหารจดั การส่ิงต่างๆใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ อยา่ งไรกต็ ามในปัจจุบนั น้ีไดเ้ กิดชุมชนรูปแบบใหม่ พร้อมกบั การพฒั นาดา้ นเทคโนโลยีและ ความรุนแรงของปัญหาสังคม ทาใหไ้ ม่สามารถที่จะจากดั ความเป็ นชุมชนเฉพาะแต่ในพ้ืนท่ีหน่ึงพ้ืนที่ใด เท่าน้นั แต่เป็นการรวมพลงั ความร่วมมอื และเป็นการผนึกกาลงั ดา้ นทรัพยากรจากภายนอกชุมชนดว้ ยเชน่ กนั ซ่ึงสมาชิกในชุมชนรูปแบบใหม่ สคูเลอร์ (Schuler) กล่าวว่า มีสมาชิกในชุมชนหลายเพศ วยั ศาสนา และ ฐานะทางเศรษฐกิจ ตวั อยา่ งชุมชนรูปแบบท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ ชุมชนเครือข่ายทางอินเทอร์เน็ต สมาชิกรายการ วทิ ยกุ ระจายเสียง สมาชิกในชุมชนไม่จาเป็นตอ้ งพบหนา้ กนั โดยตรง แต่มีการส่ือสารถงึ กนั ทางเทคโนโลยี ประสานความสัมพนั ธ์และจิตสานึกร่ วมกันโดยใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศพั ทม์ ือถือ เป็นตน้ ธีระภทั รา เอกผาชยั สวสั ด์ิ กล่าวถึง ความหมายของชุมชนมลี กั ษณะร่วมกนั ดงั น้ี 1. การรวมกลุม่ ของคน ซ่ึงอาจมีปฏกิ ิริยาต่อกนั ทางสงั คม หรืออาจไมม่ กี ็ไดแ้ ต่เป็น ความสมั พนั ธก์ นั ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ หรืออาจไมย่ ดึ ติดพ้ืนที่ตายตวั 2. มีอาณาเขตบริเวณสาหรับอยอู่ าศยั หรือประกอบกจิ กรรม เช่นเป็นชุมชนทางอากาศ เป็นตน้ 3. การจดั ระเบียบทางสงั คมเพื่อควบคุมความสมั พนั ธส์ มาชิกในชุมชนเช่นบรรทดั ฐาน หรือ อาจเป็นการจดั ระเบียบชุมชนในการท่ีจะเขา้ กลมุ่ อาจจะไมเ่ ขม้ ขน้ หรือแน่นแฟ้นถงึ ระดบั การจดั ระเบียบทางสงั คม แต่ถา้ ไม่ปฏิบตั ิตามก็ไมไ่ ดก้ ารยอมรับจากกล่มุ เป็นตน้

25 4. มคี วามสมั พนั ธท์ างสงั คม มีการติดต่อสมั พนั ธก์ นั มกี ิจกรรมร่วมกนั ในรูปแบบต่างๆ 5. มวี ตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้าหมายร่วมกนั และรับผลกระทบท่ีมผี เู้ ป็นส่วนไดส้ ่วนเสียร่วมกนั 6. มรี ะบบการติดต่อสื่อสารและการเรียนรู้ร่วมกนั 7. อน่ื ๆ ประโยชน์ท่ีเกดิ ขึน้ จากการพฒั นาตนเอง 1. การประสบความสาเร็จในการดารงชีวิต 2. การประสบความสาเร็จในการประกอบอาชีพการงาน 3. การมีสุขภาพอนามยั สมบูรณ์ 4. การมคี วามเชื่อมน่ั ในตนเอง 5. การมีความสงบสุขทางจิตใจ ความหมายของการพฒั นาชุมชน สังคม วิรัช วริ ัชนิภาวรรณ กล่าวว่า การพฒั นาชุมชน (community development) ตามปรัชญาของ การพฒั นาชุมชนน้นั ประกอบดว้ ย 1. มงุ่ พฒั นาและใหค้ วามสาคญั กบั คนมากท่ีสุด แต่การพฒั นาโดยทว่ั ไปม่งุ พฒั นาทางวตั ถุ เศรษฐกิจ หรือพ้นื ท่ีเป็นหลกั 2. การพฒั นาชมุ ชนเนน้ การมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชนอยา่ งมาก 3. การพฒั นาชมุ ชนมแี นวคิดทต่ี อ้ งการใหป้ ระชาชนชว่ ยเหลือตวั เอง และปกครองตนเอง โดยรัฐคอยช่วยเหลอื ดา้ นวชิ าการ 4. ในทุกข้นั ตอนการดาเนินงานเปิ ดโอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมในการคดิ ตดั สินใจ วางแผน ลงมือปฏบิ ตั ิ และประเมนิ ผล แต่การพฒั นาโดยทว่ั ไปมงุ่ ที่ผลสาเร็จของงานเป็นหลกั อนุรักษ์ ปัญญานุวฒั น์ กล่าวถงึ การพฒั นาชุมชนไวว้ า่ เป็นกระบวนการท่ีมขี ้นั ตอนของการ เปลีย่ นแปลง เพ่ือใหเ้ ป็นไปในทิศทางที่ดีข้ึน และมคี วามสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชุมชน ซ่ึงมี องคป์ ระกอบอยา่ งนอ้ ย 4 ประการคือ 1. ความยงั่ ยนื ของสรรพส่ิง 2. การมสี ่วนร่วมของประชาชน 3. การปรับแนวคิดทางการศกึ ษาเรียนรู้ 4. การพฒั นาชุมชนภายใตแ้ นวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

26 หลกั การพฒั นาชุมชน สังคม การปฏบิ ตั ิงานพฒั นาเพ่ือสร้างความเจริญใหแ้ ก่ประชาชนในดา้ นเศรษฐกิจ สงั คม การเมอื ง เพ่ือ นาไปสู่จุดหมายปลายทางของการพฒั นา คือการพฒั นาคน และการพฒั นาวตั ถุ ส่ิงแวดลอ้ ม แนวทางใน การพฒั นา มีดงั น้ี 1. ยดึ ถือผลประโยชนข์ องประชาชนและใหค้ นเป็นศูนยก์ ลางของการพฒั นา 2. ทาการพฒั นาให้สอดคลอ้ งกบั สภาพของชุมชน 3. ประชาชนเขา้ มามีส่วนร่วม 4. การทางานตอ้ งค่อยเป็นค่อยไป 5. ใหค้ วามสาคญั กบั ความสนใจ และความตอ้ งการของประชาชน 6. ใชว้ ธิ ีดาเนินงานที่สอดคลอ้ งกบั หลกั ประชาธิปไตย 7. การดาเนินงานตอ้ งยดื หยนุ่ ได้ 8. ทาการพฒั นาใหส้ อดคลอ้ งกบั วฒั นธรรม 9. ทางานพฒั นากบั ผนู้ าทอ้ งถ่นิ 10. ทางานพฒั นากบั องคก์ รหรือสถาบนั ที่มีอยใู่ นชุมชน 11. ใชเ้ จา้ หนา้ ท่ีวชิ าการเฉพาะสาขา 12. ทางานกบั คนทุกคนในครอบครัว 13. การดาเนินงานควรกวา้ งขวาง 14. ทางานพฒั นากบั ชนทุกช้นั ของสงั คม 15. การพฒั นาตอ้ งสอดคลอ้ งกบั นโยบายของชาติ 16. ทางานพฒั นาโดยเขา้ ถงึ ตวั ประชาชน 17. ทางานพฒั นาตามความตอ้ งการท่ีแทจ้ ริงของประชาชน 18. กิจกรรมพฒั นาควรเริ่มจากกิจกรรมพฒั นาท่ีง่ายไปหายาก 19. ทางานพฒั นาดว้ ยความประหยดั 20. ประสานกบั หน่วยงานหรือองคก์ รท้งั ในและนอกชุมชน 21. ทางานพฒั นาโดยผา่ นกล่มุ 22. มีการประเมินผลตลอดเวลา 23. การพฒั นาเป็นกระบวนการต่อเน่ือง 24. ทางานพฒั นาอยา่ งเป็นระบบเครือข่าย

27 ใบความรู้ที่ 3 เร่ือง วธิ กี ารจดั เกบ็ ข้อมลู ในชุมชน “ข้อคดิ และการปฏบิ ตั ติ นเมอ่ื เข้าไปสารวจข้อมลู ในชุมชน” เทคนิคการเขา้ สู่ชุมชน เป็นส่ิงท่ีนกั ศกึ ษาจะตอ้ งเรียนรู้ ซ่ึงจะแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ข้นั ตอนหลกั ๆ คือ การเตรียมตวั ก่อนที่จะเขา้ ไปสู่ชุมชน การปฏิบตั ิตวั เมื่ออยใู่ นชุมชน และการออกจากชุมชน การลงชุมชนเราจะตอ้ ง “พร้อม” เตรียมตวั เตรียมใจ เตรียมความรู้ เตรียมความสามารถ เตรียมงาน ของตวั เองใหเ้ รียบร้อย พร้อมที่จะลงชุมชนอยา่ งสม่าเสมอลงไปอยา่ งมนั่ ใจ ไปใชเ้ วลาของชุมชนเป็นที่ต้งั เวลาทางาน ไปตามนดั ไม่ควรผดิ สญั ญากบั ชาวบา้ น การทางานอะไร ทาท่ีไหน โดยเฉพาะทากบั ใคร เป็นสิ่งที่นกั ศึกษาจะตอ้ งเรียนรู้ และเตรียมพร้อม อยา่ งเตม็ ที่ ส่ิงแรกที่สาคญั ท่ีสุดในข้นั ตอนแรกกค็ ือ การเตรียมตวั และเตรียมใจของตนเอง อนั ดบั แรกคือ ทาความเขา้ ใจถึงเป้าหมายและวตั ถุประสงคห์ ลกั ในการทางานคร้ังน้ี “การสารวจข้อมลู คร้ังนี้ วตั ถปุ ระสงค์คืออะไร ” “ข้อมลู ทไี่ ด้จะใช้ประโยชน์อะไร อย่างไร” “จดั กระบวนการเรียนรู้ใหเ้ ขาไดร้ ู้จกั ตวั ของเขาเอง ใหเ้ ขาแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง จนนาไปสู่การ เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนของเขาเอง” เป็นคาถามและคาตอบท่ีจะตอ้ งพดู ซ้าแลว้ ซ้าอีกในทุกคร้ังท่ีทางานพฒั นาชุมชน สงั คม เพ่ือให้ นกั ศกึ ษาเขา้ ใจบทบาทของตวั เองวา่ “เราเข้าสู่ชุมชนคร้ังนเี้ พื่ออะไร” ……………………………… เราเขา้ ไปเพื่อทางานกบั ชุมชน ทางานร่วมกนั กบั เขา ไม่ได้เข้าไปช่วยเขา ไม่ได้เข้าไปสอนเขา เรา เข้าไปเพ่ือร่วมกนั เรียนรู้ ประโยชนท์ ี่ไดเ้ กิดจากการเรียนรู้ตามกระบวนการท่ีถูกตอ้ งและสมบูรณ์ จะตอ้ งไม่ นาส่ิงแปลกปลอมจากภายนอกเขา้ ไปสู่ชุมชน แต่สามารถนา “ความรู้” ของเราเขา้ ไปได้ ซ่ึงเป็นความรู้จาก ภายนอก จากหนงั สือ ตารา แต่เราเขา้ ไปเพื่อจดั กระบวนการเรียนรู้โดยฐานความรู้และทุนของชุมชน ดงั น้นั ความรู้ท่ีเราจะเอาเขา้ ไปคือ ความรู้ในการจดั กระบวนการเรียนรู้เท่าน้ัน ไมม่ ีการอบรม สอน บรรยาย สงั่ การ ช้ีแนะ และช้ีนา แต่อยา่ งใด เทคนคิ การสนทนาในชุมชน การพบชุมชน นกั ศกึ ษาจะตอ้ งเรียนรู้เร่ืองมนุษยสมั พนั ธ์ โดยเฉพาะความสมั พนั ธร์ ะหว่างคนกบั คน ทกั ษะเรื่องมนุษยสมั พนั ธน์ ้นั คงจะไม่สามารถยดึ เอาตามทฤษฎีไดร้ ้อยท้งั ร้อย สิ่งสาคญั ท่ีสุดก็คือ การ รู้จกั ปรับตวั และความยดื หยนุ่ นกั ศกึ ษาจะตอ้ งทาในสิ่งท่ีถกู ตอ้ งมากกว่าส่ิงที่ถูกใจ เรียนรู้จกั การแกไ้ ข

28 ปัญหาเฉพาะหนา้ ประยกุ ตใ์ ชส้ ิ่งท่ีไดร้ ่าเรียนมาต้งั แต่จาความได้ บุคลิก ลกั ษณะนิสยั เขาทาอยา่ งไร เราทา อยา่ งน้นั เขาไมช่ อบอะไร เราอยา่ ทาแบบน้นั “คนในเมือง กบั คนในชุมชนชนบท ใครท่ีเมอื่ มีคนมาอยใู่ กล้ ๆ แลว้ จะรู้สึกอดึ อดั มากกวา่ กนั ” นกั ศกึ ษาจะตอ้ งเรียนรู้เรื่องของ “ความรู้สึกเป็นเจา้ ของพ้ืนท่ี (Space) ว่าคนท่ีเราจะตอ้ งเขา้ คุย ดว้ ยกนั เขามคี วามรู้สึกรักในพ้นื ที่หรือช่องห่างระหว่างคนสองคนท่ีกาลงั คุยกนั หรือทางานดว้ ยกนั และ โดยเฉพาะคนแปลกหนา้ เขาชอบที่จะใหอ้ ยใู่ กล้ ๆ หรือรู้สึกอึดอดั เมอื่ มีคนมาอยใู่ กลม้ าก ๆ นกั ศกึ ษาจะตอ้ ง เขา้ ใจผอู้ ื่น คนในชุมชนชนบทส่วนใหญ่ คุน้ ชินกบั การไดอ้ ยใู่ นท่ีโล่ง ในท่ีกวา้ ง ดงั น้นั เขาจะชินกบั การที่อยู่ แบบห่าง ๆ กบั ผคู้ นมากกว่าคนในชุมชนเมอื ง เช่น การนงั่ ทานขา้ วในร้านอาหารโตะ๊ เดียวกบั คนท่ีเราไมร่ ู้จกั ในขณะท่ีโตะ๊ อาหารอ่ืนเตม็ หมด “เราจะนงั่ ดไี หม” คงจะเร่ืองที่ตดั สินใจไม่ยากและเป็นภาพปกติเมอ่ื คนไป นง่ั ทานขา้ วโต๊ะเดียวกนั แต่ไมร่ ู้จกั กนั ถา้ ร้านน้นั ต้งั อยใู่ นกรุงเทพฯ แต่นอ้ ยนกั ที่จะเห็นภาพแบบน้นั ใน ร้านอาหารต่างจงั หวดั โดยเฉพาะในชุมชนชนบท ดงั น้นั เวลาที่นกั ศึกษาเขา้ ไปสารวจขอ้ มลู หรือจดั การสนทนา จะตอ้ งรู้ว่าเราควรจะนงั่ อยหู่ ่างจาก คนท่ีเราคุยดว้ ยมากนอ้ ยขนาดไหน นอกจากทจ่ี ะตอ้ งดูเรื่องของสภาพพ้นื ที่โดยรวมรอบ ๆ แลว้ นกั ศกึ ษา จะตอ้ งดูเพศ ดูวยั ดูลกั ษณะนิสยั ใจคอ ซ่ึงจะตอ้ งอาศยั ทกั ษะ ประสบการณ์ และการสงั เกตอยา่ งละเอยี ดถี่ถว้ น เพื่อใหก้ ารสนทนาน้นั ราบร่ืน และเกิดความสบายใจท้งั ผสู้ มั ภาษณ์และผถู้ กู สมั ภาษณ์ คาชีแ้ จง นกั ศึกษาอาจศกึ ษาหาความรู้เพ่มิ เติมไดจ้ ากเอกสารแบบเรียนการพฒั นาตนเอง ระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 หรือขอ้ มลู จาก หนงั สือ และสื่ออืน่ ๆ เพิ่มเติมได้

29 ใบความรู้ที่ 4 เรื่อง ปัญหาและแนวทางแก้ไขในการเกบ็ ข้อมลู ชุมชน ปัญหาด้านสภาพแวดล้อม แนวทางแก้ไข 1. เสน้ ทางในการเก็บขอ้ มูลบางบา้ นเขา้ ไป 1. ควรหาขอ้ มลู เกี่ยวกบั ชุมชนในหมบู่ า้ น ลาบากระยะทางในหม่บู า้ นค่อนขา้ งไกล 2. เขียนแผนที่ใหช้ ดั เจนหรือไปสารวจเสน้ ทาง 2. ระยะทางของบา้ นแต่ละหลงั ห่างกนั ก่อน หรือ เดินทางกนั เป็นคาราวาน จะไดไ้ มห่ ลง 3. ความไม่รู้จกั และคุน้ เคยกบั พ้ืนท่ีที่จะไปเกบ็ ทางกนั ขอ้ มลู 3. ศกึ ษาดูแผนท่ีแผนผงั ของบา้ นท่จี ะไปก่อนลง 4. มีการหลงทางเพราะไมศ่ ึกษาเสน้ ทางมา มอื ปฏิบตั ิ ก่อน 4. สอบถามเสน้ ทางจากเพอ่ื นนกั ศึกษาท่ีรูจ้ กั 5. ผไู้ ปเก็บขอ้ มูลไม่มีความชานาญในพ้นื ทนี่ ้นั เสน้ ทาง 6. บางบา้ นเล้ยี งสตั ว์ เช่น สุนขั ดุมาก 5. ควรศกึ ษาเสน้ ทางใหด้ ีก่อนออกเดินทาง 7. บางบา้ นน้าท่วมเขา้ ไปในบา้ นไมไ่ ด้ 6. ควรศกึ ษาเสน้ ทางก่อนไป หรือใหผ้ ทู้ ่ีเคยไป 8. สภาพอากาศท่ีร้อนทาใหเ้ ป็นอปุ สรรคต์ ่อ นาเสน้ ทาง การสารวจขอ้ มลู และดาเนินงาน 7. ตอ้ งหาไมต้ ิดตวั ไปดว้ ยหรือใหเ้ จา้ ของบา้ นมา 9. ปริมาณนกั ศึกษาชายมีไม่เพียงพอ ไล่หรือจบั สุนขั ไวค้ วรเตรียมความพร้อมท่ีจะ ออกไปเกบ็ ขอ้ มลู 8. ตอ้ งอดทนกบั ความหิว และอากาศที่ร้อน เพอื่ ฝึ กความอดทน 9. แบ่งกล่มุ คละๆ กนั ไป มผี ชู้ ายอยา่ งนอ้ ยกลุ่ม ละ 1-2 คน

3 ใบความรู้ท่ี 5 เรื่อง เครื่องมอื การเกบ็ ข้อมลู ชุมชน ตวั อยา่ งเคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู (แบบสมั ภาษณ์) แบบสัมภาษณ์นกั ศึกษา ข้อมลู ส่วนตวั และครอบครัว 1. สถานภาพ ( ) โสด ( ) สมรส ( ) หยา่ ร้าง 2. ประกอบอาชีพ...............................................มีรายไดป้ ระมาณ................................. บาท/เดือน ( ) ไม่ประกอบอาชีพเนื่องจาก...................................... มรี ายไดป้ ระมาณ............... บาท/เดือน 3. จานวนบุตร..................คน กาลงั ศกึ ษา จานวน...............คน ข้อมูลการเรียน 1. ผลการเรียน ภาคเรียนที่ 1............ ผลการเรียนเฉล่ยี (ถา้ มี)........... ภาคเรียนท่ี 2…….. ผลการเรียนเฉลีย่ (ถา้ มี)........... ภาคเรียนที่ 3........... ผลการเรียนเฉลยี่ (ถา้ มี).......... 2. วชิ าท่ีชอบ................................................................................................................................................. เหตุผล .......................................................................................................................................................... 3. วิชาท่ีไมช่ อบ............................................................................................................................................. เหตุผล........................................................................................................................................................... ข้อมลู ด้านสังคม 4. ความสมั พนั ธก์ บั เพ่อื นบา้ น ......................................................................................................................................................................... 5. กิจกรรมท่ีทาร่วมกนั กบั เพ่อื นบา้ น ......................................................................................................................................................................... 6. ความสมั พนั ธก์ บั เพอ่ื นนกั ศกึ ษา (อธิบาย) ......................................................................................................................................................................... 7. เพือ่ นสนิท ( ) ไม่มี ( ) มี ระบุช่ือ / ช้นั หรือระดบั ..........................................................................................................................................................................

4 ข้อมูลความสนใจ งานอดเิ รก ประสบการณ์ในด้านต่างๆ 8. ความใฝ่ ฝันในอนาคตท่ีอยากเป็น (อาชีพ) ........................................................................................................................................................................... 9. ความสนใจ (ดา้ นต่าง ๆ เช่น คอมพวิ เตอร์ เกม กีฬา) .......................................................................................................................................................................... 10. ความสามารถพเิ ศษ .................................................................................................................................................................................. 11. งานอดิเรก / กิจกรรมที่ทาในเวลาว่าง ................................................................................................................................................................................. 12. ความภาคภูมใิ จ (เช่น ชนะเลศิ ดีเด่นดา้ นต่าง ๆ) .................................................................................................................................................................................. 13. ปัญหา อุปสรรค (ถา้ มี) (เช่น ในดา้ นชีวติ การเรียน เพอื่ น) .................................................................................................................................................................................. 14. การแกไ้ ข ปัญหา อปุ สรรค (จากขอ้ 13) ..................................................................................................................................................................................

5 ใบความรู้ท่ี 6 เร่ือง ปรัชญาการพัฒนาผู้นาชมุ ชนท่ดี ี ปรัชญาการพฒั นา-15/ผู้นาชุมชนท่ดี ี เขยี นโดย ดร. เสรี พงศ์พศิ ทำงำนกบั ชำวบ้ำนมำหลำยปี ได้พบเหน็ ผ้นู ำชมุ ชนหลำกหลำยรูปแบบ สรุปคณุ ลกั ษณะผ้นู ำชมุ ชนที่ดไี ว้ได้ หลำยข้อ ผ้นู ำคนหนงึ่ อำจจะไมม่ ีทกุ ข้อ มบี ำงข้อ มำกน้อยตำ่ งกนั 1.ผ้นู ำท่ีดี เป็นคนดมี ีคณุ ธรรม มีศรทั ธำในศำสนำ เช่ือมนั่ ในหลกั จริยธรรม 2.ผ้นู ำท่ีดี ทำตวั เป็นแบบอยำ่ ง ไมด่ แี ตพ่ ดู หรือบอกคนอ่ืนให้ทำ 3.ผ้นู ำท่ีดี สร้ำงควำมมนั่ คงปลอดภยั ทำให้ชมุ ชนอยเู่ ยน็ เป็นสขุ 4.ผ้นู ำท่ีดี ก่อให้เกิดกำรเปลย่ี นแปลงท่ีดใี นชมุ ชน คณุ ภำพชีวติ ผ้คู นดขี นึ ้ 5.ผ้นู ำท่ีดี ปรำรถนำและพร้อมท่จี ะเรียนรู้และสง่ เสริมกำรเรียนรู้ของชมุ ชน 6.ผ้นู ำท่ีดี ปรำรถนำและสง่ เสริมนวตั กรรมหรือกำรสร้ำงสรรคส์ ่ิงใหมๆ่ 7.ผ้นู ำท่ีดี มองเหน็ จดุ ออ่ นจดุ แขง็ ข้อจำกดั และศกั ยภำพของตวั เองและของชมุ ชน 8.ผ้นู ำที่ดี สร้ำงแรงบนั ดำลใจ สร้ำงขวญั และกำลงั ใจให้สมำชิกในชมุ ชน 9.ผ้นู ำท่ีดี เป็นตวั เช่ือม (catalyst) ที่ดีและผนึกพลงั ชมุ ชนให้เกิดผลเป็นทวคี ณู (synergy) 10.ผ้นู ำท่ีดี เคำรพในศกั ดศ์ิ รีและให้เกียรตชิ ำวบ้ำน ไมด่ ถู กู ผ้อู ื่น 11.ผ้นู ำที่ดี ทำให้ชมุ ชนมีสว่ นร่วมในกำรดำเนินกิจกรรมตำ่ งๆ และในกำรตดั สนิ ใจ 12.ผ้นู ำท่ีดี สร้ำงเครือขำ่ ยภำยในชมุ ชนและกบั นอกชมุ ชน เกิดประชำสงั คมท่ีมพี ลงั 13.ผ้นู ำที่ดี ดำเนินงำนอยำ่ งโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไมม่ ผี ลประโยชนท์ บั ซ้อน วำระซอ่ นเร้น 14.ผ้นู ำที่ดี เห็นแกป่ ระโยชน์สว่ นรวมมำกกวำ่ สว่ นตนและพวกพ้อง 15.ผ้นู ำท่ีดี มคี วำมเชื่อมนั่ ในตวั เอง เป็นตวั ของตวั เอง มเี หตมุ ีผล 16.ผ้นู ำท่ีดี มคี วำมอดทนตอ่ กำรวิพำกษ์วจิ ำรณ์ ใจกว้ำง รบั ฟังควำมคดิ เหน็ ของผ้อู น่ื 17.ผ้นู ำท่ีดี ใช้ข้อมลู ควำมรู้ และปัญญำในกำรทำงำนเพอ่ื ชมุ ชน 18.ผ้นู ำท่ีดี ไมใ่ ช้เงินหรืออำนำจอทิ ธิพลเพื่อชกั นำ ครอบงำ บงั คบั ขเู่ ขญ็ คนอื่น 19.ผ้นู ำท่ีดี มวี สิ ยั ทศั น์ มยี ทุ ธศำสตร์ในกำรดำเนนิ งำน 20.ผ้นู ำที่ดี คอื ผ้มู ีบำรมี ที่ชำวบ้ำนอยำกเดนิ ตำม